×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 7637

บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ พร้อมสนับสนุนรัฐบาลเดินหน้าโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา มุ่งส่งเสริมศักยภาพนักเรียนด้านทักษะการงานอาชีพและประสบการณ์เพื่อสร้างโอกาสการทำงานให้นักเรียนหลังจบการศึกษา รองรับความต้องการของท้องถิ่น

ในโอกาสที่ ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์ อุดม  คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายมีชัย วีระไวทยะ คณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบโรงเรียนร่วมพัฒนา หรือ Partnership School เยี่ยมชมและให้กำลังใจคณะผู้บริหารและนักเรียน ”โรงเรียนธงชัยเหนือวิทยา(โคกศิลา)” และ “โรงเรียนชุมชนบ้านวัด”  ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบและได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา มุ่งสร้างครูและนักเรียนเป็นทั้งคนดีและคนเก่ง ส่งเสริมสถานศึกษาเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน

นายทวีสิน  คุณากรพิทักษ์กุล รองกรรมการผู้จัดการ ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทมุ่งมั่นมีส่วนร่วมขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาของไทย โดยให้การสนับสนุนโรงเรียนในจังหวัดนครราชสีมา ตามแนวทางการพัฒนาการศึกษาของประเทศไทย ซึ่งโรงเรียนร่วมพัฒนาเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการจัดการศึกษาที่เพิ่มบทบาทให้ภาคเอกชน ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาในพื้นที่ เข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาระบบบริหารการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาให้แก่ผู้เรียนอย่างทั่วถึง ลดความเหลื่อมล้ำ  รวมทั้งพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้ความสามารถ เพื่อที่จะพัฒนาเด็กนักเรียนให้เป็นคนดีและคนเก่ง พร้อมกันนี้ ส่งเสริมสถานศึกษาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของคนในชุมชน

ทั้งนี้ ซีพีเอฟ ได้ระดมสมองเพื่อทำแผน 5 ปี (2561-2566) เพื่อสนับสนุนโครงการฯทั้งด้านวิชาการและทักษะให้ตรงความต้องการและความถนัดของแต่ละคนเพื่อสร้างความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะการฝึกฝนจากการทดลองปฏิบัติจริงในโรงเรียนและการฝึกงานในโรงงาน เพื่อขับเคลื่อนโรงเรียนให้เป็นไปตามเป้าประสงค์

“ทั้ง 2 โรงเรียนมีศักยภาพในการพัฒนาให้เป็นโรงเรียนต้นแบบและศูนย์การเรียนรู้ของชุมชนและจังหวัด ซึ่งบริษัทเชื่อว่าการร่วมแรงร่วมใจกันระหว่างภาครัฐ เอกชน โรงเรียน ชุมชน และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะช่วยสนับสนุนให้โรงเรียนเดินหน้าสู่เป้าหมาย ช่วยยกระดับการศึกษา ทักษะและความชำนาญ ของเด็กให้แข่งขันกับนานาประเทศได้เป็นอย่างดี และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน” นายทวีสิน กล่าว   

นายเมธี คอบตะขบ   ผู้อำนวยการโรงเรียนธงชัยเหนือวิทยา(โคกศิลา) กล่าวว่า  คณะกรรมการของโรงเรียนร่วมพัฒนา จะร่วมกันกำหนดแผนพัฒนาโรงเรียนร่วมพัฒนา เป็นแผนระยะ 5 ปี มีเป้าหมายให้นักเรียนทุกคนต้องอ่านออกเขียนได้ สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวันได้ คุณครูนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มทักษะในการผลิตสื่อการเรียนการสอน นอกจากนี้ โรงเรียนต้องเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน และช่วยพัฒนาทักษะอาชีพให้นักเรียนมีอาชีพติดตัวหลังจากที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งโรงเรียนเปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ ชั้นอนุบาล1 –  มัธยมศึกษาปีที่  3  มีจำนวนนักเรียน 240 คน

“โรงเรียนทำโครงการ 1 ห้องเรียน 1 ผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งแต่ละปีเด็กจะเรียนรู้ทักษะอาชีพ 2 ชิ้นงาน  อาทิ ระดับอนุบาล เรียนรู้วิธีการทำจ่อมเห็ด เพ้นท์สี ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ทำแซนวิชเห็ด ขยายพันธุ์กล้าไม้  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลิตไม้ประดับแบบแขวน  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทำกระถางต้นไม้จากเศษผ้าขนหนู เป็นต้น นอกจากนี้ โรงเรียนจัดกิจกรรมโครงการศูนย์เศรษฐกิจพอเพียง การเพาะเห็ดนางฟ้าพัฒนาคุณภาพชีวิต เป็นโครงการที่สร้างกระบวนการเรียนรู้แบบครบวงจร เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการทำก้อนเชื้อเห็ด การเพาะเห็ดในโรงเรือน จำหน่ายผลผลิตเห็ดสด จนถึงการแปรรูปเห็ด  ซึ่งสามารถถ่ายทอดความรู้เให้แก่ชุมชนได้ด้วย” ผู้อำนวยการโรงเรียนธงชัยเหนือวิทยา กล่าว

ด้านนายธนยศ ปะเสทะกัง  ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนบ้านวัด กล่าวว่า  โรงเรียนชุมชนบ้านวัดเป็นโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา เน้นพัฒนานักเรียนทั้งในด้านคุณธรรม จริยธรรม  ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และฝึกทักษะอาชีพให้นักเรียนรู้จักพึ่งพาตัวเองตามสภาพพื้นที่ของโรงเรียนและสภาพพื้นที่ของชุมชนโดยรอบ  เช่น กิจกรรมค่ายพัฒนาภาษาอังกฤษ กิจกรรมเลี้ยงปลาดุกในบ่อดินและกระชังบก กิจกรรมปลูกถั่วดาวอินคาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และทักษะอาชีพ ปลูกกล้วยน้ำว้า ปลูกฟักข้าว การเลี้ยงจิ้งหรีด เป็นต้น  โรงเรียนคาดหวังว่าการเข้าร่วมโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา จะให้ความสำคัญไปที่การพัฒนานักเรียนทั้งด้านวิชาการ ทักษะอาชีพ  มีภาวะผู้นำ เป็นทั้งคนเก่งและคนดี

ปัจจุบัน โรงเรียนชุมชนบ้านวัด อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา  มีจำนวนนักเรียน  230 คน เปิดสอนระดับชั้นอนุบาล 2 ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่  3  โรงเรียนอยู่ในเขตพื้นที่เฝ้าระวังการกระจายของยาเสพติด จึงเน้นทำกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดกับนักเรียนและชุมชน  รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างโรงเรียน ผู้ปกครอง และชุมชนในพื้นที่ ให้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาและทักษะอาชีพ 

เอสซีจีลงนามบันทึกความเข้าใจการอุทิศที่ดินบึงบางซื่อใน “โครงการสานพลังประชารัฐ-การพัฒนาพื้นที่บึงบางซื่อ” ร่วมกับกรมธนารักษ์ มุ่งพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับสังคม และยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนกว่า 800 ชีวิต พร้อมผลักดันสู่ต้นแบบที่อยู่อาศัยชุมชนเมือง และแหล่งพักผ่อนของคนกรุงเทพฯ คาดบ้านใหม่โครงการแรกพร้อมเข้าอยู่ปี 2562 บึงน้ำสาธารณะต้องใช้เวลาพัฒนาร่วมกับกทม. โดยมีผู้บริหารจากกรุงเทพมหานคร และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน พร้อมด้วยคณะกรรมการสหกรณ์เคหสถาน บ่อฝรั่งริมน้ำพัฒนา จำกัด ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ เอสซีจี สำนักงานใหญ่

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า “การดำเนินงานในโครงการฯ เป็นไปตามแนวทางที่ตั้งเป้าหมายไว้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชุมชนบึงบางซื่อกว่า 800 ชีวิต ทั้งด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนที่จะก่อสร้างที่พักอาศัยจำนวน 197 ยูนิต แบ่งเป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์ 60 ยูนิต อาคารชุดพักอาศัย 4 ชั้น 3 อาคาร รวม 133 ยูนิต และบ้านกลางสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่มีผู้ดูแลอีก 4 ยูนิต สำหรับงานก่อสร้างทาวน์เฮ้าส์และบ้านกลางได้รับใบอนุญาตก่อสร้างแล้ว และคาดว่าจะแล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้คือภายในปี 2562 จากนั้น จะเริ่มก่อสร้างอาคารชุดพักอาศัย ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA (Environmental Impact Assessment Report) คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ปลายปี 2562 และจะแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ภายในปี 2563 สำหรับการพัฒนาบึงน้ำสาธารณะ จะเริ่มดำเนินการพัฒนาหลังจากชุมชนได้ย้ายเข้าที่อยู่อาศัยใหม่ครบหมดแล้ว ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในการพัฒนาร่วมกับกรุงเทพมหานครไม่น้อยกว่า 1 ปี

ส่วนความคืบหน้าความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ นั้น สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ได้พิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่อเพื่อสร้างบ้านสำหรับชุมชนจำนวน 48 ล้านบาท การรถไฟแห่งประเทศไทยได้พิจารณาอนุญาตให้เช่าที่ดินเพื่อพัฒนาเป็นทางเข้า – ออก และที่จอดรถ และสำนักงานเขตจตุจักรได้พิจารณาออกใบอนุญาตก่อสร้างทาวน์เฮ้าส์ ระหว่างนี้ เอสซีจียังคงลงพื้นที่ทำกิจกรรมร่วมกับชุมชนเพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างสหกรณ์ พัฒนาศักยภาพคณะกรรมการและคณะทำงาน รวมถึงจัดตั้งกลุ่มออมสัจจะสะสมทรัพย์ ดูแลเยาวชนและผู้สูงอายุ”

ด้านนายพชร  อนันตศิลป์  อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า “หลังจากที่ได้รับมอบที่ดินจากเอสซีจีแล้ว สำหรับพื้นที่อยู่อาศัยชุมชนกรมธนารักษ์จะให้สหกรณ์เคหสถานบ่อฝรั่งริมน้ำพัฒนา จำกัด ซึ่งเป็น
นิติบุคคลที่เกิดจากการรวมกลุ่มก่อตั้งของชุมชนในพื้นที่บ่อฝรั่ง เช่าระยะยาว 30 ปี โดยกรรมสิทธิ์ของบ้านพัก

อาศัยจะเป็นของชุมชนผู้เข้าร่วมโครงการ และกรมธนารักษ์จะคิดค่าเช่าที่ดินในอัตราเดียวกับโครงการบ้านมั่นคงในที่ราชพัสดุ สำหรับพื้นที่สวนสาธารณะ กรมธนารักษ์มอบให้กรุงเทพมหานครร่วมกับเอสซีจี และภาคีเครือข่ายอื่นๆ ร่วมกันพัฒนาเป็นบึงน้ำสาธารณะ โดยกรมธนารักษ์จะพิจารณาให้สิทธิ์แก่องค์กร หรือนิติบุคคลอื่นๆ ทำหน้าที่บริหารจัดการ ดูแลรักษาพื้นที่ในส่วนนี้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของบึงน้ำสาธารณะ โดยมีกรุงเทพมหานครทำหน้าที่ดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความปลอดภัยแทนกรมธนารักษ์”

โครงการสานพลังประชารัฐ-การพัฒนาพื้นที่บึงบางซื่อ เป็นความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และชุมชน ได้แก่ เอสซีจี สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย สำนักงานเขตจตุจักร สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กรุงเทพมหานคร และกรมธนารักษ์ มุ่งเป็นต้นแบบการยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชน 4 ด้าน ได้แก่ หนึ่งในต้นแบบโครงการสานพลังประชารัฐ ลดความเหลื่อมล้ำของสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชน ต้นแบบที่อยู่อาศัยชุมชนเมือง จัดสรรพื้นที่อย่างคุ้มค่า มีพื้นที่ส่วนกลางใช้ประโยชน์ร่วมกัน ต้นแบบการมีส่วนร่วมของชุมชน เปิดโอกาสร่วมกันออกแบบที่อยู่อาศัยที่ลงตัวกับทุกวิถีชีวิต กระตุ้นให้เกิดการออมในชุมชน และต้นแบบบึงน้ำสวนสาธารณะ เพื่อเป็นแก้มลิงและแหล่งพักผ่อนของคนกรุงเทพฯ

บริษัท เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป จำกัด (CMG) ผู้นำเข้านาฬิกา CASIO G-SHOCK อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เผยโฉมนาฬิกาไฮไลท์ 4 รุ่นสุดเอ็กซ์คลูซีฟ GMW-B5000KL (Full Metal x kolor), MRG-G2000HA “TETSU-TSUBA”, GRAVITYMASTER GR-B100 และ PRO TREK WSD-F20A พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย ณ งาน ‘เซ็นทรัล อินเตอร์เนชั่นแนล วอทช์ แฟร์ 2018’ เซ็นทรัล ชิดลม มหกรรมเรือนเวลาแห่งภูมิภาคเอเชีย ครั้งที่ 20 ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 17 กันยายน 2561 

เริ่มต้นความพิเศษในงานด้วยนาฬิกา GMW-B5000KL (Full Metal x kolor) นาฬิกาจาก G-SHOCK 5000 Series รุ่น Full Metal ใหม่ล่าสุด ซึ่งผลิตขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 35 ปีของ G-SHOCK ด้วยตัวเรือนที่ทำจากวัสดุแสตนเลสสตีล และหน้าปัดเหลี่ยมทรงคลาสสิคที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาต้นแบบรุ่น ORIGINS ที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 1983 พร้อมดีไซน์สไตล์สตรีท ลักซ์ชัวรี่ ที่เท่ห์แบบไร้กาลเวลา

นาฬิกา GMW-B5000KL (Full Metal x kolor) เป็นรุ่นพิเศษที่พัฒนาขึ้นร่วมกับ kolor แบรนด์แฟชั่นชั้นนำจากแดนญี่ปุ่น โดยผลิตเพียง 700 เรือนทั่วโลกเท่านั้น โดดเด่นด้วยด้วยตัวเรือนและองค์ประกอบสีทอง ที่ตัดกันอย่างลงตัวกับสายเรซิ่นสีดำ ให้อารมณ์ความหรูหราและสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของแบรนด์ kolor ที่เป็นที่รู้จักในด้านการใช้วัสดุที่แตกต่างกันได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ นาฬิกา GMW-B5000KL ยังมาพร้อมกับความพิเศษด้วยอักษรสลัก G-SHOCK 35th anniversary บนฝาหลังตัวเรือนและสลักโลโก้ kolor บนที่เก็บสายนาฬิกาอีกด้วย 

ในแง่ของคุณสมบัติ GMW-B5000KL เสริมฟังก์ชั่น Connected Engine ที่เชื่อมต่อเวลาเซิร์ฟเวอร์กลางผ่านทางสมาร์ทโฟนและสัญญาณวิทยุเวลา โดยผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อนาฬิการุ่นนี้ผ่านแอพพลิเคชั่น G-SHOCK Connected บนสมาร์ทโฟน ให้สามารถใช้งานได้สะดวกและง่ายต่อการตั้งค่ายิ่งขึ้น เช่น การตั้งเวลามาตรฐานโลกและฟังก์ชั่นตั้งปลุก เป็นต้น ทั้งยังให้ความเที่ยงตรงเหมาะสำหรับทุกการใช้งานทั่วทุกมุมโลก

GMW-B5000KL (Full Metal x kolor)

 

รุ่นไฮไลท์อีกรุ่นที่พลาดไม่ได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิของ G-SHOCK ได้แก่ MRG-G2000HA “TETSU-TSUBA” ที่ส่งตรงจากงานนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในโลก “บาเซิลเวิลด์ 2018” (Baselworld 2018) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ MRG-G2000HA เป็นส่วนหนึ่งของนาฬิกาตระกูลกันกระแทกอันโด่งดัง MR-G (Majesty Reality G-SHOCK) ด้วยแรงบันดาลใจและชื่อรุ่นจาก tetsu-tsuba ("การ์ดมือเหล็กซามูไร") ที่สร้างขึ้นจากฝีมือและความปราณีตของช่างดาบญี่ปุ่นดั้งเดิม โดยนาฬิกา G-SHOCK MRG-G2000HA Limited Edition ได้ถูกผลิตมาเพียง 350 เรือนทั่วโลก และประเทศไทยได้นำเข้ามาให้สาวก G-SHOCK ได้ครอบครองเพียง 5 เรือนเท่านั้น

MRG-G2000HA ใช้เทคนิคการลงสีแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ผสมผสานกับเทคนิคการเคลือบ AIP® (Arc Ion Plating) แบบใหม่ ที่ช่วยดึงความสวยงามของโลหะสีม่วงเข้ม ‘มูราซากิ-กาเนะ (Murasaki-gane) และวัสดุทองแดง ‘ซูอากะ' (Suaka) ที่ใช้ในงานหัตถกรรมญี่ปุ่น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างและสง่างาม ตัวนาฬิกาเสริมด้วยโมดูล Connected Engine 3-Way ซึ่งเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่ออัพเดตข้อมูลของนาฬิกาโดยอัตโนมัติ รวมถึงเวลา เวลาออมแสง (DST) และการเปลี่ยนแปลงโซนเวลา ซึ่ง MRG-G2000HA เป็นนาฬิกา MR-G ที่สามารถผสมผสานนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเข้ากับสุนทรียศาสตร์ญี่ปุ่นได้อย่างสวยงามและลงตัวอย่างไร้ที่ติ 

นอกจาก MRG-G2000HA แล้ว ภายในงาน เซ็นทรัล อินเตอร์เนชั่นแนล วอทช์ แฟร์ 2018  G-SHOCK ยังได้นำอีกหนึ่งรุ่นจากซีรี่ยส์ MR-G มาจัดแสดง ได้แก่รุ่น MRG-G2000CB ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ‘คูโรโซเนะ’ (Kurozonae) หรือกองกำลังทหารพิเศษของญี่ปุ่นในสมัยโบราณ ซึ่งสวมใส่ ‘Black Guard’ หรือชุดเกราะสีดำ ถ่ายทอดออกมาเป็นนาฬิกา MRG-G2000HA ที่ทำด้วยโลหะสีดำล้วนทั้งเรือน สื่อถึงความแข็งแกร่งและอำนาจ พร้อมด้วยวัสดุ COBARION® อัลลอยโคบอลต์ที่พัฒนาในญี่ปุ่น แข็งแกร่งเป็นสองเท่าของสแตนเลสสตีล แต่ให้ประกายแวววาวเทียบเท่ากับแพลตทินัม และยังมีระบบ Bluetooth® และ GPS ขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ที่ควบคุมโดยคลื่นวิทยุ โดยทาง เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป (CMG) ได้นำเข้ามาในประเทศไทยเพียง 10 เรือนเท่านั้น

อีกหนึ่งรุ่นไฮไลท์ที่ออกแบบมาเพื่อนักบินและผู้ที่หลงใหลในการเดินทางโดยเฉพาะได้แก่ GRAVITYMASTER GR-B100 จากซีรี่ยส์ GRAVITYMASTER ที่ยึดถือหลักการสำคัญสำหรับอาชีพนักบินเป็นหลัก นั่นก็คือความเชื่อมั่นและการตรงต่อเวลา ด้วยระบบ Bluetooth® เพื่อการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนแบบไร้สายสำหรับเวลาที่เที่ยงตรง ไม่ว่าจะเป็นการปรับเวลาออมแสง หรือการเปลี่ยนแปลงเวลาในเขตต่างๆ ของโลก ทั้งนี้ นาฬิกา GR-B100 รุ่นใหม่ล่าสุดยังได้เสริมฟังก์ชั่นการนับถอยหลังเวลา ซึ่งให้คุณสามารถนับถอยหลังไปถึงวันและเวลาที่ระบุได้แม่นยำถึงวินาทีที่แน่นอน พร้อมกำหนดป้ายกำกับเหตุการณ์นั้นๆด้วย นอกจากนี้ นาฬิกา GR-B100 ยังมีฟังก์ชั่นบันทึกเที่ยวบินสำหรับการบันทึกข้อมูล เวลา และสถานที่ ด้วยความสามารถในการแสดงจุดที่ตั้งและเส้นทางการบินจากบนแผนที่ภายในแอพพลิเคชั่นได้

ในส่วนของการดีไซน์ นาฬิกา GR-B100 ได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบหน้าปัดจากหน้าปัดของเกจ์ (Gauge) ต่างๆ ในค็อกพิทเครื่องบิน โดยเข็มชั่วโมง นาที และดัชนีได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว พร้อมปุ่มด้านข้างหกปุ่มสำหรับการเรียกใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ อย่างสะดวกสบาย เหมาะแก่การใช้งานในชั่วโมงเร่งด่วนเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ หน้าปัดนาฬิกายังมีหน้าจอ LCD ความละเอียดสูงขนาดใหญ่ ซึ่งเอื้อต่อการอ่านข้อความและข้อมูลตัวเลข เช่น เวลาและป้ายกำกับเหตุการณ์ที่ป้อนจากภายในแอพพลิเคชัน

ทั้งนี้ GRAVITYMASTER GR-B100 มีให้เลือกถึง 3 รุ่น ได้แก่ GR-B100-1A2 สีฟ้า, GR-B100-1A3 สีเขียว และ GR-B100-1A4 สีส้ม  

GRAVITYMASTER GR-B100 ด้วย 3 สีอันโดดเด่น

 

นาฬิกาไฮไลท์รุ่นสุดท้ายจากเครือผลิตนาฬิกาชั้นนำ CASIO ที่ CMG ได้นำมาเปิดตัวแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่แรกที่เดียว ณ งาน เซ็นทรัล อินเตอร์เนชั่นแนล วอทช์ แฟร์ 2018 ได้แก่ PRO TREK Smart WSD-F20A นาฬิกาอัจฉริยะสำหรับกิจกรรมเอ้าท์ดอร์อย่างแท้จริง ด้วยความทนทานที่รับรองโดยมาตรฐานทหาร (US Military Standard) และหน้าจอ Dual-Layer ที่ให้คุณเลือกตั้งค่าระหว่างจอสีและจอขาว-ดำได้ เพื่อช่วยประหยัดแบตเตอรี่ขณะผจญภัย นอกจากนี้ นาฬิกา PRO TREK Smart WSD-F20A รุ่นใหม่ยังใช้เทคโนโลยี GPS และแผนที่สีที่ใช้พลังงานต่ำ ซึ่งสามารถใช้งานแบบออฟไลน์ได้ และถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งในพื้นที่ที่ไม่มีบริการโทรศัพท์มือถือ โดดเด่นด้วยสีคราม Indigo Blue

PRO TREK Smart WSD-F20A

 

พิเศษสุด สำหรับงาน เซ็นทรัล อินเตอร์เนชั่นแนล วอทช์ แฟร์ 2018 ลูกค้าที่ซื้อนาฬิกา MRG-G2000HA “TETSU-TSUBA” จะได้รับบัตรกำนัลอาหารญี่ปุ่นสไตล์โอมากาเซะ ฉบับต้นตำรับญี่ปุ่นแท้จำนวน 2 ท่าน จากร้าน GINZA SUSHI ICHI มูลค่า 11,770 บาท นอกจากนี้ ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ณ บูธ G-SHOCK จะมีกิจกรรมประเพณีชงชาญี่ปุ่นอันเก่าแก่ ‘ซะโด’ เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านได้ลิ้มลองและร่วมสัมผัสอีกแง่มุมของ G-SHOCK ที่ผสมผสานความแม่นยำ เที่ยงตรง หล่อหลอมไปกับขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศญี่ปุ่นที่สวยงามและพิถีพิถันได้อย่างไม่มีที่ติ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ G-SHOCK รุ่น GMW-B5000KL (Full Metal x kolor), MRG-G2000HA “TETSU-TSUBA”, GRAVITYMASTER GR-B100 และ PRO TREK WSD-F20A รวมถึงนาฬิกา G-SHOCK รุ่นอื่นๆ สามารถเข้าชมได้ที่งาน เซ็นทรัล อินเตอร์เนชั่นแนล วอทช์ แฟร์ 2018 ณ เซ็นทรัลชิดลม ชั้น 3 บูธ CASIO G-SHOCK ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 17 กันยายน 2561 หรือผ่านทางเว็บไต์ www.casio-cmg.com และ Facebook: Casio Watches Thailand

 

เอปสัน ผู้นำด้านเทคโนโลยีการพิมพ์และผู้นำตลาดอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ของโลก เปิดตัวอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ซีรี่ส์ใหม่ WF-C5000 สำหรับลูกค้าเอสเอ็มอี ได้แก่ รุ่น WF-C5290 และ WF-C5790 ที่ให้ความเร็วกว่าพิมพ์เทียบเท่าเลเซอร์ พรินเตอร์แต่มีต้นทุนการพิมพ์ที่ประหยัดกว่าเลเซอร์ถึง 50%

WF-C5000 series อิงค์เจ็ทพรินเตอร์มาพร้อมกับหัวพิมพ์ PrecisionCore ที่ให้งานพิมพ์คุณภาพสูง ด้วยความเร็วในการพิมพ์ 24 แผ่น/นาที สามารถรองรับปริมาณงานพิมพ์ต่อเดือนได้ถึง 45,000 แผ่น  มาพร้อมกับฟังก์ชั่นการพิมพ์ 2 หน้าแบบอัตโนมัติ (Auto-Duplex) ที่มีความเร็ว 15 ภาพต่อนาที (สำหรับ A4)  จึงช่วยประหยัดต้นทุนและเวลาในการพิมพ์   รวมถึงยังมีชุดระบบหมึก RIP (Replaceable Ink Pack) ที่ออกแบบมาให้สามารถเปลี่ยนได้ง่าย  ไม่ยุ่งยาก และเปลี่ยนเฉพาะสีที่หมด   ซึ่งหมึกพิมพ์แต่ละชุดสามารถรองรับงานพิมพ์ได้ถึง 3,000 แผ่นสำหรับการพิมพ์ขาวดำและสี   ทั้งยังเป็นหมึกกันน้ำ DuraBrite Pigment Ink ขนาดความจุสูง สำหรับพิมพ์งานจำนวนมากแบบต่อเนื่อง  จึงไม่ต้องเสียเวลาในการเปลี่ยนหมึกบ่อยๆ รองรับการพิมพ์ได้มากถึง 10,000 แผ่น  นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อได้หลากหลาย ทั้ง Ethernet, Wi-Fi, Wi-Fi Direct, NFC และ USB 2.0   รวมทั้งยังสามารถสั่งพิมพ์ผ่านมือถือด้วยแอพพลิชั่น Epson Connect  นอกจากนี้  WF-C5000 series ยังประหยัดค่าไฟได้มากกว่าการพิมพ์ด้วยเลเซอร์พรินเตอร์ถึง 90% และได้รับมาตรฐาน Energy Star® ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย  ดังนั้น WF-C5000 series จึงเป็นอิงค์เจ็ทพรินเตอร์เพื่อเอสเอ็มอีที่ต้องการมองหาผู้ช่วยงานพิมพ์แบบมืออาชีพโดยเฉพาะ  สนใจข้อมูลเพิ่มเติม www.epson.co.th  หรือ เอปสัน คอล เซ็นเตอร์ 0-2685-9899

X

Right Click

No right click