December 13, 2025
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 813

 “ธนาคารไทยพาณิชย์” เตรียมพร้อมเดินหน้าสู่ยุคแห่งการแข่งขันด้านบริการอย่างเต็มรูปแบบ ล่าสุดพลิกโฉมแพลตฟอร์มการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าครั้งใหญ่ (Customer Experience Platform)  ทุ่มเม็ดเงินกว่า 500 ล้านบาท ลงทุนด้านเทคโนโลยีและพัฒนา “ศูนย์บริการลูกค้า” หรือ “Customer Center” แห่งใหม่ ภายใต้แนวคิด “The New Chapter of Customer Center” ที่ใช้เป็นแกนสำคัญในการพัฒนาสร้างมิติใหม่ของการทำงานให้กับพนักงานผู้ให้บริการ (Smart Agent)  ให้มีศักยภาพสามารถมอบบริการที่ตอบโจทย์ ตรงใจและเข้าถึงความต้องการของลูกค้า ตั้งเป้าเพิ่มจำนวน Smart Agent เท่าตัวสู่หลัก 1,200 คนในไตรมาสที่ 2 ของปี 2561             หวังแนวคิดใหม่นี้จะช่วยเติมเต็มทุก Touchpoint ของธนาคารให้สามารถรองรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกค้ายุคดิจิทัล เดินหน้าสู่ยุคแห่งการแข่งขันด้านบริการอย่างแท้จริง

อนิสา ชูจันทร์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Customer Experience ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ปัจจุบันศูนย์บริการลูกค้าของธนาคารมีปริมาณสายของลูกค้าติดต่อเข้ามาใช้บริการเฉลี่ยกว่า 1 ล้านสายต่อเดือน โดยในปัจจุบัน        มีพนักงานรับสายกว่า 700 คน ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ธนาคารยังได้จัดทีมพนักงานที่คอยดูแลและตอบคำถามลูกค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกช่องทางที่ลูกค้าติดต่อเข้ามานั้นจะได้รับการติดต่ออย่างรวดเร็วและได้รับบริการที่ดีเหนือความคาดหมายในทุกๆ ครั้งที่ติดต่อใช้บริการ แต่ด้วยกำลังคน เทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งสถานที่ในการให้บริการที่มีอยู่ ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันที่คาดหวังว่าปัญหาของเขาจะต้องได้รับการแก้ไขเร็วที่สุด

ซึ่งธนาคารตระหนักถึงความสำคัญและได้วางแผนรองรับในอนาคต มุ่งสร้างความแตกต่างและเพิ่มศักยภาพเพื่อรองรับการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วให้เหนือกว่าคู่แข่ง โดยชู 3 เรื่องหลัก ได้แก่ คุณภาพความเป็นเลิศ เทคโนโลยี - จิตวิญญาณในการทำงานเป็นแกนสำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถพนักงานผู้ให้บริการ (Smart Agent) เพื่อที่จะสามารถให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

สำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านการบริการลูกค้าของธนาคารครั้งนี้ วิลาสินี พุทธิการันต์ Master of Customer Experience และที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ทิศทางและเทรนด์ของโลกดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในทุกวงการ พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนไปจากอดีตค่อนข้างมาก การปรับตัวให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนไปจึงเป็นภารกิจหลักที่ธนาคารให้ความสำคัญ

 

 

โดยกลางปี 2560 ที่ผ่านมาธนาคารได้มีการลงทุนเพื่อปรับโฉมแอปพลิเคชัน SCB EASY รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Digital Platform) ที่นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร ควบคู่ไปกับการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า (Customer Experience Platform) ผ่าน Touchpoint ต่างๆ ของธนาคาร ซึ่งแพลตฟอร์มทั้งสองเปรียบเสมือนฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันองค์กรไปสู่ความสำเร็จ

นอกจากนั้นหลังจากที่ไทยพาณิชย์ได้ประกาศยกเลิกค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่ทำผ่าน SCB EASY ไปเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2561             ที่ผ่านมานั้น ธนาคารยิ่งต้องเน้นและให้ความสำคัญกับเรื่องของเซอร์วิสให้มากยิ่งขึ้น เพราะจากนี้ไปธนาคารสามารถอยู่ได้ทุกที่บนโลกใบนี้ และศูนย์บริการลูกค้า (Customer Center) นับเป็นอีกหนึ่ง Touchpoint สำคัญที่จะต้องมีการปรับตัว              ให้ทันสมัยและตอบโจทย์การให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจร”

“ด้วยความท้าทายและการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรง ประกอบกับพฤติกรรมของลูกค้าในปัจจุบันที่มีความต้องการที่ซับซ้อนและหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของการแข่งขันด้านการบริการลูกค้า ลูกค้าคือบุคคลที่สำคัญที่สุด

ดังนั้น ธนาคารจึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและยกระดับการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ดียิ่งขึ้น (For Better Customer Experience) ในปีนี้ ธนาคารได้วางโรดแมปในการพลิกโฉมแพลตฟอร์มการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าครั้งใหญ่ (Customer Experience Platform) ภายใต้แนวคิด “The New Chapter of Customer Center” เพื่อมุ่งสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จ (The Journey of Excellence) ผ่าน 5 มิติ ได้แก่

Command Center ศูนย์ควบคุมรักษาคุณภาพในการให้บริการ สนับสนุนข้อมูลวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ เพื่อให้ลูกค้าได้ประสบการณ์ที่ดีและทางศูนย์บริการสามารถแก้ปัญหาและให้บริการลูกค้าได้ทันที ซึ่งไทยพาณิชย์เป็นธนาคารแรกและธนาคารเดียวในประเทศไทยที่มีศูนย์ควบคุมในรูปแบบนี้ โดยเริ่มทำการตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2561

การปฏิบัติการ (Operation) กระบวนการทำงานโดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ปรับลด SLA ในการแก้ปัญหาให้ลูกค้าอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เน้นการสร้างความมั่นใจในกระบวนการทำงานต่างๆ ของธนาคาร

สิ่งอำนวยความสะดวก (Facility) ภายในศูนย์บริการลูกค้าแห่งใหม่นี้ ครอบคลุมพื้นที่ถึง 2 ชั้น ได้มีการจัดสรรพื้นที่ไว้สำหรับการทำกิจกรรมสร้างสรรค์และสร้างความผ่อนคลายจากการทำงาน ที่มอบให้กับพนักงานอย่างครบครัน  โดยแบ่งออกเป็น พื้นที่สำหรับพักผ่อน (Breakout area) ห้องเล่นเกมส์ (Gaming room) ห้องออกกำลังกาย (Fitness) และระเบียง (Terrace area) นอกจากนี้ภายในศูนย์แห่งใหม่ยังได้รับการออกแบบด้วยรูปลักษณ์ใหม่ ในห้องทำงานมีลักษณะที่เปิดโล่งและมีชีวิตชีวา (Open and dynamic) มากกว่าการนั่งทำงานในห้องที่มีคอกกั้นแบบเดิม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่และสร้างเสริมสุขภาพทั้งกายและใจที่ดี (Physical and mental) ให้กับพนักงาน

 

วัฒนธรรมและบุคลากร (Culture and People) ศูนย์บริการลูกค้ารูปแบบใหม่นี้จะเป็นการสร้างวัฒนธรรมการทำงานใหม่ๆ ให้กับพนักงาน (SCB Way) เพื่อสร้างทัศนคติที่ดีในการทำงาน ปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กร และ หล่อหลอมวิธีคิดในการทำงานให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน มีการจัดอบรมให้กับพนักงานเพื่อพัฒนาและเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถให้กับพนักงาน รวมถึงการสร้างโอกาสให้ผู้บกพร่องทางสายตาและการได้ยิน (Disabled agent)

เทคโนโลยี (Technology) การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า (Customer Experience) ด้วยการนำเทคโนโลยี Voice biometric เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตนของลูกค้าด้วยเสียงลดขั้นตอนการทำงาน ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการด้วยความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น และเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมต่างๆ กับธนาคาร การนำเอาเทคโนโลยี Speech recognition ช่วยให้ลูกค้าสามารถพูดเรื่องหรือหัวข้อที่ต้องการใช้บริการได้ด้วยตนเองแทนการกดปุ่มเมนูต่างๆ เพิ่มการเข้าถึงระบบอัตโนมัติได้มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ทางศูนย์บริการยังมีแผนในการปรับ Call Center Platform เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในไตรมาสถัดไป

“ธนาคารได้ลงทุนด้านเทคโนโลยีและพัฒนาศูนย์บริการลูกค้า Customer Center แห่งใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ที่ภิรัชทาวเวอร์ แอท  ไบเทค บนพื้นที่กว่า 3,990 ตารางเมตร ที่ได้รับการออกแบบเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงาน (Working Environment) ที่ดีขึ้นให้กับพนักงาน โดยธนาคารหวังว่าจะทำให้พนักงานมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะเราเชื่อว่าเมื่อพนักงานมีความสุขก็จะส่งผ่านความสุขให้กับลูกค้าด้วยบริการที่น่าประทับใจ และการยกระดับแพลตฟอร์มด้านบริการนี้จะเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญในการเติมเต็มทุก Touchpoint ในการให้บริการลูกค้าของธนาคาร โดยเราตั้งเป้าเพิ่มจำนวนพนักงานผู้ให้บริการ  (Smart Agent) เท่าตัวเป็น 1,200 คนภายในไตรมาสสองปีนี้ และยังเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญขององค์กร ในการมุ่งสู่เป้าหมายการเป็น “ธนาคารที่น่าชื่นชมที่สุด” (The Most Admired Bank) อีกด้วย”วิลาสินี กล่าวสรุป

หลังจากที่ บมจ.เจมาร์ท (JMART) ประกาศความสำเร็จ บ.เจ เวนเจอร์ส (JVC) บริษัทย่อยที่ระดมทุน ICO (Initial Coin Offering) สำเร็จเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเปิด Pre-Sale ขาย JFin Coin 100 ล้านโทเคนหมดเกลี้ยงภายใน 55 ชั่วโมง ล่าสุดเดินหน้าแผนธุรกิจตามที่กำหนดไว้ เปิดเกมรุกสินเชื่อในโลกฟินเทค โดยพัฒนา JFin DDLP ระบบสินเชื่อแบบดิจิทัลที่ไม่มีตัวกลาง อีกทั้งเตรียมนำมาต่อยอดผลิตภัณฑ์อื่นๆ ประเดิมใช้งานในกลุ่มเจมาร์ทภายในปี 2562 นี้

อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART  เปิดเผยถึง แผนการดำเนินงานหลังจาก บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ JVC (เป็นบริษัทย่อยที่ JMART ถือหุ้นในสัดส่วน 80%)  ผู้พัฒนาซอฟท์แวร์ และแอฟพลิเคชั่นทางด้านฟินเทค ลงทุนในธุรกิจสตร์ทอัพ ประสบความสำเร็จจากการระดมทุนด้วยการทำ ICO เป็นรายแรกในประเทศไทยของกลุ่มบริษัทมหาชน ที่สร้างปรากฏการณ์ของโลกการเงิน นำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาใช้ในการทำธุรกิจสินเชื่อ ในชื่อเหรียญ JFin Coin

 

อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน)

 

ทั้งนี้ JFin Coin เปิดเสนอขาย Pre-sale วันแรกเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับเกินคาดหมาย โดยเปิดเสนอขายในคราวนี้จำนวน 100 ล้านโทเคน ที่ราคาขาย 6.60 บาทต่อโทเคน ได้ถูกผู้สนับสนุนจองซื้อหมดเต็มจำนวนเรียบร้อยแล้วภายใน 55 ชั่วโมงแรก ตอกย้ำความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนในแผนธุรกิจที่วางไว้ ในฐานะที่เจมาร์ทเป็นบริษัทมหาชน ก่อตั้งและดำเนินธุรกิจมา 30 ปี การันตีความถูกต้อง และธรรมภิบาลในการบริหารธุรกิจ มุ่งหวังในการเป็นผู้นำเทคโนโลยีทางด้านการเงินอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เกิด ICO ที่มีมาตรฐานขึ้นในประเทศไทย ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานต่างๆ มั่นใจนำเงินที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และมีประสิทธิภาพ โดยเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนราว 660 ล้านบาท ทีมงานได้เริ่มดำเนินการพัฒนาระบบ Decentralized Digital Lending Platform (DDLP) ไปตามแผนที่วางไว้เรียบร้อยแล้ว สนับสนุนการเติบโตในธุรกิจสินเชื่อของกลุ่มเจมาร์ท ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้

ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ JVC เผยถึงการพัฒนระบบสินเชื่อแบบดิจิทัลที่ไม่มีตัวกลาง (Decentralized Digital Lending Platform หรือ DDLP) คือ ระบบการกู้ยืมเงินแบบดิจิทัลบนเทคโนโลยี Blockchain ที่มีความปลอดภัยสูง รองรับกระบวนการแบบครบวงจร ตั้งแต่การระบุตัวตน (KYC) กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ การประเมินเครดิต การอนุมัติสินเชื่อ และการติดตามหนี้สิน เพื่อสนับสนุนและพัฒนาการบริการด้านสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รวมถึงรองรับระบบ P2P Lending ระบบตลาดสินเชื่อออนไลน์ที่เชื่อมต่อให้ผู้กู้ที่มีศักยภาพสามารถกู้เงินได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงิน ดังนั้น ระบบ DDLP จะเป็นหนึ่งในระบบสำคัญที่เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของกลุ่มบริษัทเจมาร์ทในอนาคตอันใกล้นี้ ตั้งเป้าระบบจะแล้วเสร็จ พร้อมเริ่มใช้งานในปี 2562

 

 

สำหรับจุดแข็งของ  JFin DDLP  คือ เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นจากการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ ทำให้สามารถสร้างระบบการเงินที่ยั่งยืน ขยายตลาด และเข้าถึงประชากรได้อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบธนาคารหรือการให้บริการทางการเงิน โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นการจับกลุ่มลูกค้าที่มีเครดิตดี วิเคราะห์จากฐานข้อมูลลูกค้าของกลุ่มเจมาร์ทที่มีรวมกันมากกว่า 3 ล้านราย

โดยเฉพาะบริษัทในเครือ ได้แก่ บมจ.เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ผู้นำในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และรับจ้างติดตามหนี้สิน เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เรามีฐานข้อมูลและสามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น

รวมถึงการเสริมทัพด้วยการจับมือพันธมิตรและกลุ่มผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ เพื่อสนับสนุนข้อมูลให้แก่บริษัทฯ ให้มี Big Data ที่สามารถสร้าง Credit scoring หรือการประเมินการขอสินเชื่อบุคคลโดยอัติโนมัติผ่านเทคนิคการให้คะแนนเครดิตผ่านข้อมูลต่างๆ ที่ระบุไว้ เพื่อให้สามารถคัดเลือกลูกค้าที่มีเครดิตดีได้อย่างแม่นยำมากขึ้น นับเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในโลกการเงินอย่างสมบูรณ์แบบ ส่งผลดีต่อ JVC ในฐานะผู้นำในธุรกิจพัฒนาซอฟท์แวร์ และแอฟพลิเคชั่นทางด้านฟินเทคให้ได้รับการตอบรับมากขึ้นในอนาคต

 

ในโลกดิจิทัลปัจจุบัน ผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมพยายามพัฒนาข้อจำกัดของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นในด้านขีดความสามารถ การเชื่อมต่อ รูปแบบธุรกิจ ประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้

ดร.พัทธนันท์ เพชรเชิดชู รองอธิการบดีสายงานภาคีสัมพันธ์ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA : COLLEGE OF INNOVATIVE BUSINESS AND ACCOUNTANCY) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เผยถึง หลักสูตรใหม่ของมหาวิทยาลัย ที่เรียกว่าเป็นการสร้าง “นักรบพันธุ์ดิจิทัลด้วยหลักสูตรพันธุ์ใหม่” เพื่อรองรับโลกปัจจุบันและอนาคต

จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ Gig Economy ที่คนใน Generation Y, Generation Z ไม่มีเพียงอาชีพเดียวอีกต่อไป เห็นได้จากแนวโน้มธุรกิจต่างๆ เริ่มมีการลดขนาดลงเป็นจำนวนมาก (Downsizing) เพราะเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่คนในบางส่วนงาน และนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่ม ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท ซึ่งในอีก 5-10 ปีข้างหน้า จะเกิดความล้ำสมัยที่เกินคาดกว่านี้อีกมาก งานอาชีพอีกหลายงานจะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีอย่างไม่มีข้อสงสัย

มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จึงต้องกลับมามองว่า วันนี้เราไม่ได้เปิดการเรียนการสอนเพื่อสร้างนักศึกษาขึ้นมาป้อนบุคลากรให้บริษัทเอกชนเหมือนเดิมอีกต่อไป เด็กที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์จะต้องมีความรู้และอาชีพที่เป็นได้มากกว่าหนึ่งอย่าง ไม่ใช่จบบัญชีรู้แต่เพียงเรื่องบัญชี เด็กจบบัญชีอาจจะรู้บัญชี และสุขภาพความงามเพื่อไปทำธุรกิจของตนเองได้ หรืออาจจะเป็นเรื่องการตลาดหรือการ Coding Program เพื่องานรับจ้างเพิ่มเติมในช่วงพาร์ทไทม์ได้อีกด้วย ไม่ใช่รู้ในเพียงศาสตร์เดียว

นักศึกษาต้องถูก Re-Skill ให้มีทักษะในหลายๆ ด้านรวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยีใหม่อย่างต่อเนื่อง จะไม่เหมือนศาสตร์เดิมๆ เนื่องจากเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว จึงต้องมีการปรับหลักสูตรในทุกปี เพราะเมื่อดิจิทัลทำให้บิสิเนสโมเดลเปลี่ยน เราจึงต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงนั้น เพื่อผลิตคนออกไปให้ตรงกับความต้องการของธุรกิจ

เปิดมาร์เก็ตเพลสสำหรับปั้นผู้ประกอบการ

แน่นอนว่าจากที่กระแสโลกเปลี่ยนไปนั้น จึงเป็นที่มาของ DPU-X หรือ Innovation Hub และ Entrepreneurial Hub ซึ่งเป็นศูนย์สร้างผู้ประกอบการ ที่มีดร.พณชิต กิตติปัญญางาม เป็นผู้อำนวยการ โดยเราวางคอนเซปต์ให้เป็นมาร์เก็ตเพลสสำหรับสตาร์ตอัพและเอสเอ็มอี และดีมานด์กับซัพพลายต้องมาเจอกันที่เรา ไม่ใช่สร้างแต่เพียงซัพพลายอย่างเดียว ต้องสร้างการจับคู่กันให้ได้

ทั้งนี้ DPU-X จะมีวัตถุประสงค์หลัก ในการช่วยเหลือสนับสนุนคน 2 กลุ่ม คือ 1. สร้างนักศึกษาของมหาวิทยาลัยให้เป็นผู้ประกอบการ คนรุ่นใหม่ที่อยากทำโปรเจกต์ ดำเนินธุรกิจของตนเอง เราจะหล่อหลอมให้มีความรู้ความสามารถทำธุรกิจได้ตั้งแต่ตอนเรียน 2. การช่วยเหลือบุคคลภายนอก ที่อยากเป็นผู้ประกอบการ โดยจะนำโปรเจกต์ที่เพิ่งเกิดขึ้น (Incubate) หรือโปรเจกต์ที่มีแนวโน้มจะไปต่อได้ (Accelerate) แต่ยังขาดปัจจัยอื่น เช่น เงินทุน นำมาบ่มเพาะและต่อยอด โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือคำแนะนำ เพื่อเข้าสู่ในกระบวนการหาเงินทุน รวมถึงหาที่ปรึกษา (Mentor) ของสายธุรกิจนั้นมาช่วยเหลือ เพื่อให้โปรเจกต์สามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างแท้จริง

ปรับหลักสูตรเน้น Experience Center

ดร.พัทธนันท์ ย้ำว่า บทบาทของมหาวิทยาลัยในศตวรรษที่ 21 นี้ ไม่ได้เป็นเพียงที่ให้การเรียนการสอน เพื่อให้ Knowledge เท่านั้น แต่จะต้องเป็นสถานที่ให้ Experience เพราะ Knowledge วันนี้หาได้จากอินเทอร์เน็ต แต่ Experience จะมีได้จากปฏิสัมพันธ์จริง (Face to Face interaction) ระหว่างเพื่อนนักเรียนและอาจารย์ผู้สอน จากการคบหา พูดคุย การถกเถียง การมีกิจกรรมร่วมกันซึ่งออนไลน์ไม่สามารถมาทดแทนได้ทั้งหมด

ดังนั้นการหล่อหลอมนักศึกษาที่เข้ามาเรียนเป็นเวลา 4 ปีนั้น ต้องไม่ใช่การเรียนการสอนในแบบเดิม เพราะเมื่อจบการศึกษาไปแล้วอาจจะนำไปใช้ไม่ได้ในการทำงานจริง

วันนี้มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เริ่มปรับการเรียนการสอนเป็นแบบ Module จากในอดีตการเรียนในแต่ละวิชาจะแยกออกจากกัน เราจึงได้มีการปรับวิธีการ เช่น ทั้งหมวดวิชามี 12 หัวข้อแต่เรานำวิชาที่เกี่ยวข้องมาเพียง 5 ข้อและอีก 5 ข้อเป็นการนำวิชาอื่นๆ มารวมด้วย เรียกว่าเป็นการคละวิชา เมื่อนำวิชามาคละกันแล้วจะพัฒนาขึ้นเป็น Module การเรียนแบบนี้จะเป็นการหล่อหลอมให้เกิดการคิดครบวงจร ไม่เหมือนอดีตที่เรียนการตลาด หรือการเงิน การพัฒนาโปรเจกต์ใดขึ้นมาในวันนี้ จำเป็นจะต้องรู้การตลาดเฉพาะบางเรื่อง และการเงินเฉพาะบางเรื่อง ไม่ต้องรู้ทุกเรื่อง

การศึกษาของนักเรียนตั้งแต่ชั้นปีที่ 1 จึงมีการปรับเปลี่ยนไป โดยทุกวิชาเป็นลักษณะของโปรเจกต์ซึ่งจะช่วยให้เด็กมีประสบการณ์ และ DPUX จะเข้าไปพัฒนาตั้งแต่ชั้นปีที่ 3 ซึ่งได้มีการปูพื้นฐาน Stem University Core ตั้งแต่ปี 1-2 ซึ่งประกอบด้วยทั้ง Design, Technology, Engineering และ Mathematic เป็นการเรียนแบบวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Apply Science) ทดลองทำจริง ไม่ใช่การท่องจำ

รวมถึงการเรียน AR และ Chat Bot โปรแกรมมิ่ง การบังคับโดรน บังคับโรบอต การเขียนภาษาสวิพ (Swift) รูบี (Ruby) เป็นวิชาพื้นฐานของนักศึกษาปีที่ 1 ในทุกคณะวิชา ทั้งสายวิทยาศาสตร์ และสายศิลปศาสตร์ เป็นการปรับใหม่ทั้งหลักสูตรที่ยังไม่มีมหาวิทยาลัยอื่นทำ

ซึ่งอาจจะมีการตั้งคำถามว่า นักศึกษาที่เรียนต้องมีความรู้พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์หรือไม่ คำตอบคือ ไม่มีความจำเป็น เพราะเราสอนในสิ่งที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน เป็นความพยายามทำให้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีเป็นเรื่องง่าย เพื่อสร้าง “นักรบพันธุ์ดิจิทัลด้วยหลักสูตรพันธุ์ใหม่”

ขอย้ำว่านักศึกษาที่จบการศึกษาจากที่นี่ นอกจากรู้ในศาสตร์สำคัญของตนเอง เช่นรู้ในสายวิศวะ หรือรู้ไอที รู้เทคโนโลยีตั้งแต่ IoT การใช้โดรนแล้วนั้น ยังต้องรู้ Business เพราะเราเป็นธุรกิจบัณฑิตย์ การเรียนรู้เทคโนโลยีนั้น ต้องนำมาใช้ได้ เพราะการทำธุรกิจเองจะต้องเข้าใจ และนำไปใช้เป็น

ถัดมาในปีการศึกษาที่ 3 จะเป็นการเรียนในวิชาที่เรียกว่า Capstone Project คือ การรวมกลุ่มข้ามคณะ เพื่อพัฒนาบิสิเนสโปรเจกต์ในลักษณะการแก้ปัญหาหน่วยงานรัฐและเอกชนตามโจทย์ที่ให้มา และมหาวิทยาลัยจะ Assign Mentor มาให้เพื่อช่วยแนะนำตามคอนเซปต์ของ Design Thinking ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วน ตั้งแต่การนำเสนอไอเดียแก้ปัญหา นำมาพิชชิ่งหากผ่านคณะกรรมการ จะได้เงินทุนตั้งต้น (Seed Money) ไปทำตัวทดลองต้นแบบ (Prototype) ต่อในเทอมที่ 2 เมื่อมีเงินเริ่มต้นในการพัฒนา Prototype ช่วงที่ 2 จะเป็น VC พิชชิ่ง (Venture Capital) เพื่อหาคนมาร่วมลงทุน และสำหรับนักศึกษาที่มีแนวโน้มจะไปต่อในทางธุรกิจ จะมีทุนของมหาวิทยาลัยลงเป็น VC ให้อีกด้วย ซึ่งมหาวิทยาลัยมีแผนว่าใน 1 ปีจะสามารถพัฒนาโครงการลักษณะนี้ได้ถึงประมาณ 20 โครงการ โดยมุ่งเน้นที่ 3 ด้านหลักๆ คือ Wellness, Way of Living (Personal Living) และ Technology & Innovation

ดังนั้นโปรเจกต์ที่เดินหน้าสนับสนุน จะตอบสนอง 3 ด้านนี้ สาย Wellness นั้นกว้างมาก เพราะประกอบด้วย Body, Mind & Seoul เรียกได้ว่าสปา, Health หรือผู้สูงวัยก็เป็นหนึ่งใน Wellness ซึ่งหัวข้อเหล่านี้เด็กมีความคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ออกมาได้อย่างน่าสนใจมาก หน้าที่ของมหาวิทยาลัยคือ การเปลี่ยน Imagination เป็น Innovation ให้ตอบสนองความต้องการของสังคมได้ เราจึงพัฒนาหลักสูตรใหม่และก่อตั้ง DPU-X ขึ้นมา

ปัจจุบันได้มีการนำร่องนักศึกษากลุ่มนี้ขึ้นมาแล้ว ซึ่งทั้งหมดนั้นมีไอเดีย เพียงแต่ขาดคนนำจึงต้องสนับสนุนเพิ่มเติม ตั้งแต่ชี้ชัดกลุ่มเป้าหมาย รายได้ ไปจนถึงการช่วยเหลือเงินทุน ซึ่ง DPU-X สนับสนุนทุกคณะวิชา และเปิดรับบุคคลภายนอกด้วย

มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กำลังสร้างมนุษย์พันธุ์ดิจิตอล ที่ไม่แค่เพียงรู้เทคโนโลยี แต่ต้องสามารถนำมาใช้ได้ เพราะลองคิดดูว่าในอนาคตไม่เกิน 10 ปี แม้แต่อุปกรณ์ในบ้านก็ต้องผ่านการ Coding ง่ายๆ ของเราเอง เพื่อให้ตอบสนองการทำงานที่เราต้องการ จึงต้องเร่งในการพัฒนาคนให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง”

เผยความสำเร็จ “9 ศาสตรา” ภาพยนตร์แอนิเมชันไทยของกันย์ พันธ์สุวรรณ ผู้กำกับหนุ่มวัย 28 ปี ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากคอหนังทุกระดับ ทุกเพศ ทุกวัย ได้อย่างไร ซึ่งใครจะคาดคิดว่าการกำกับภาพยนตร์ออกมาเป็นผลงานชิ้นโบแดงนี้ เป็นงานชิ้นแรกของคนที่ไม่มีประสบการณ์ด้านภาพยนตร์มาก่อนเลย

กันย์ เล่าให้ นิตยสาร MBA ฟังถึงประวัติส่วนตัวว่า เลือกเรียนสาขาทางด้านจิตวิทยา เพราะมีอินสไปร์และความชอบในการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ กระทั่งจบการศึกษาจากสหรัฐอเมริกามาถึงวันนี้ได้ประมาณ 5 ปี พบว่าการที่เลือกเรียนมาทางสายนี้เป็นประโยชน์มากในการทำงานร่วมกับผู้คนที่หลากหลาย

“หลังจบการศึกษาผมก็ตัดสินใจย้ายกลับมาที่เมืองไทยทันที ถึงแม้คนทั่วไปจะมองว่าการอยู่ที่อเมริกามีโอกาสมากกว่า แต่การทำงานที่ต่างประเทศไม่ใช่แค่เริ่มนับหนึ่ง เพราะต้องเริ่มจากศูนย์ ในขณะที่การกลับมาที่ไทยยังมีความช่วยเหลือ มีครอบครัวคอยสนับสนุน นั่นหมายถึงมีโอกาสในการทำสิ่งต่างๆ ตามความฝันได้มากกว่า ในระยะ 6 เดือนแรกที่กลับมา ได้ผันตัวมาเป็นโปรกอล์ฟ เพื่อตอบโจทย์ตามความฝันของคุณแม่ที่อยากให้เป็นเหมือนไทเกอร์ วู้ดส์ และฝึกฝนซ้อมกอล์ฟอยู่ระยะหนึ่งจนสอบได้และได้ลองแข่งขัน จนผ่านไปประมาณ 6-7 เดือนก็รู้ว่า “มันไม่ใช่ทาง” ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่มีโปรเจกต์หนังเรื่อง 9 ศาสตราเข้ามาในช่วงเวลานั้น ”

จุดกำเนิด 9 ศาสตรา

กันย์เล่าว่า จุดพลิกผันที่ทำให้เข้าสู่วงการสร้างภาพยนตร์อย่างเต็มตัว คือ พี่ๆ ในบริษัทฯ ของคุณพ่อผม ถามถึงความสนใจที่จะร่วมกันทำหนัง 9 ศาสตรา จึงมาถึงทางแยกที่ต้องเลือก และกลับไปคุยกับครอบครัวว่า การเป็นโปรกอล์ฟนั้น สามารถทำได้แล้ว และจะกลับมาทำเมื่อไรก็ได้ แต่การทำหนังเป็นโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว จึงตัดสินใจเดินหน้า

จากการจุดประกายครั้งสำคัญของรุ่นพี่ 2 คนซึ่งมีบริษัทแอนิเมชันที่กำลังมีปัญหา และได้เข้ามาคุยขอความช่วยเหลือจากทางบริษัทฯ มีเสนอการทำซีรีย์ ในขณะที่เราอยากทำเป็นหนังแอนิเมชันของเราเองในแนวของมวยไทยเพราะในระยะนั้น (4-5 ปีก่อน) Mix Martial Art (MMA) เป็นกีฬาที่กำลังเติบโต และนักกีฬาเหล่านั้นต้องมีวิชามวยไทยทุกคน มวยไทยจึงเป็นสิ่งที่มีชื่อเสียง มีคนรู้จักทั่วโลก ถือว่าเป็นหนึ่งในจุดขาย โจทย์อยู่ที่จะทำอย่างไรให้น่าสนใจ

ในช่วงแรกๆ มีการลองผิดลองถูก เพราะไม่มีความรู้ถึงความต่างของพรีโพรดักชัน โพรดักชัน และโพสโพรดักชันว่าคืออะไร ทำทุกอย่างพร้อมกันไปหมด ทำให้ไม่สามารถตีงบประมาณได้ ไม่สามารถทำสตอรีบอร์ดได้ ส่งผลให้เสียไปกว่า 20 ล้านบาท จนหาทางออกสุดท้ายได้ คือ ต้องนำทีมฮอลลีวูดสกรีนไรเตอร์เข้ามาช่วย จึงเป็นความท้าทายที่มีมูลค่าค่อนข้างสูง ซึ่งเมื่อนำทีมจากฮอลลีวูดมาก็ทำให้หนังสนุกขึ้นมาได้จริงๆ

 

 

มองตลาดแอนิเมชันแบบ 360Õ

เมื่อมีความลงตัวต่างๆ ที่ทำให้เริ่มโปรเจกต์นี้ขึ้นมา โดยตั้งบริษัท EXFORMAT FILMS (เอ็กซ์ฟอร์แมท ฟิล์มส์) จากนั้นเราก็เริ่มมองเห็นโอกาสจากแอนิเมชันที่สามารถต่อยอดไปได้อีกมากมาย เพราะถ้าคอนเทนต์เกิดได้จะสามารถต่อยอดไปได้อีกหลายอย่าง ทั้งของเล่น เกม ธีมพาร์ค แม้แต่เสื้อผ้า นอกจากนี้ในต่างประเทศอื่นเองก็มีซูเปอร์ฮีโร่ของเขาแล้ว ทำไมไทยจะมีไม่ได้ เราพยายามเริ่มสร้างซูเปอร์ฮีโร่ของเราเองสำหรับคนไทย “ในวันหนึ่งเด็กๆ ของเราเดินเข้าไปในทอยอาร์อัส เห็นตัวเอก อ๊อด กับ เสี่ยวหลาน ยืนอยู่ จะเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย ที่เรามีคอนเทนต์ของเราเองในตลาดโลก แม้ตอนนี้เรายังไม่มี แต่นั่นคือ End Goal ของพวกเรา”

การทำตลาดแอนิเมชัน ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม การขายเฉพาะในประเทศมีโอกาสรอดน้อยมาก การฉายเพียงโรงหนังในประเทศ มีโอกาสขาดทุนอย่างแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงกำไร เพราะมีค่าใช้จ่ายเรื่องผู้จัดจำหน่าย และอื่นๆ ที่สูงพอสมควร แต่ถ้าเรามีโอกาสที่จะได้ฉายทั่วโลก โอกาสที่จะคืนทุน หรือกำไรก็จะมีมากขึ้น เราจึงคิดว่าเวลาทำหนังดีๆ ขึ้นมา เราต้องขายต่างชาติด้วย ต้องไปอินเตอร์ ถ้าคิดแค่เมืองไทยอย่างเดียวนั้น ไม่รอดแน่นอน

ดังนั้นมาตรฐานจึงต้องถึง บทต้องถึง Music score ต้องถึง ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นโจทย์แต่แรกว่าต้องไปโกลบอล เพื่อการไปให้รอด เป็นที่ทราบกันว่าหนังแอนิเมชันไทยแทบทั้งหมดนั้นไม่มีกำไร ที่ใกล้ที่สุดน่าจะเป็น ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องก้านกล้วย ที่ทำกำไรจากความนิยมจากกลุ่มคนดูในต่างประเทศ ของเราเองวันนี้ก็ไม่มีกำไร

ความแตกต่างของแอนิเมชันกับหนังในการประสบความสำเร็จนั้นต้องมองที่คาร์แรคเตอร์ของตลาด คนไทยชอบหนังผีกับหนังตลก และคนไทยขอบดารา การเห็นดาราไปเล่นหนังเรื่องไหนก็จะมีการติดตาม นี่อาจจะเป็นข้อจำกัดของแอนิเมชันส่วนหนึ่ง แต่ถ้าแอนิเมชันติดตลาด ก็มีโอกาสจะรุ่งได้มากเช่นกัน เพราะการดูหนังจะได้จำนวนเป็นแฟมิลี อย่างไรก็ตามโอกาสของแอนิเมชันก็ยังยากกว่า ด้วยยังไม่มีแม่เหล็กเพียงพอสำหรับตลาดไทย

จากการติดตามฟีดแบค นับแต่เริ่มฉายเมื่อเดือนมกราคม 2560 ถึงกุมภาพันธ์ 2560 กันย์กล่าวว่า จากวันแรกที่เข้าฉายจนถึงปัจจุบันประมาณเกือบ 2 เดือนที่ยังคงอยู่ในโรงอยู่ เรียกว่าฟีดแบคยังคงหนาแน่น “หนังของเรานั้นไม่ได้พีคแล้วดรอป แต่เป็นลักษณะค่อยๆ ไป” เหมือนปากต่อปากที่แนะนำกัน ซึ่งเราก็พยายามทำให้ดีที่สุด และต้องขอบคุณคนที่ไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็นกำลังใจอย่างมากให้พวกเราสู้กันต่อ โดยจากการวัดผลพบว่ากว่า 80-90% ที่เดินออกมาจากโรงหนังบอกว่าดีและชอบ ซึ่งนั่นเป็นจุดที่เราต้องการ เพราะมีวัตถุประสงค์ให้หนังเอ็นเตอร์เทน ตอนที่หนังเริ่มฉายช่วงแรกๆ เราให้กลุ่มรีวิวหนังไปดู เราได้ 8-9 เต็ม 10 เมื่อมีฟีดแบคจากคนดูเข้ามาเสริม จึงยิ่งเป็นสิ่งพิสูจน์และกำลังใจให้คนทำหนัง การทำหนังถึง 5 ปี อายุเฉลี่ยหนังบางเรื่องอาจจะฉายได้เพียงแค่ 6 เดือน เท่านั้น จึงถือว่าเป็นความภูมิใจมากของทีมงานกว่า 200 ชีวิตที่มีการตอบรับที่ดี

Global Goal ใช้งบสูงและมืออาชีพในทุกสาขา

เป็นที่ทราบกันดีว่า 9 ศาสตราเป็นภาพยนตร์ไทย ที่ใช้งบประมาณการสร้างสูงกว่าทั่วไป ซึ่งในมุมมองของผู้กำกับกล่าวว่า ต้องมองถึงความสมเหตุสมผลของงบฯ ให้ลองคำนวณง่ายๆ ถึงคนทำงาน 200 กว่าชีวิต ที่มีเงินเดือนเฉลี่ย 3 หมื่นบาทกับระยะเวลาทำงาน ก็คิดออกมาเป็นเม็ดเงินจำนวนมากแล้ว ยังมีค่าอุปกรณ์ ค่าไลฟ์ออเคสตร้า และอื่นๆ อีก

“ดังนั้นอะไรที่สมเหตุสมผล และคิดว่าทำให้เราไประดับโลกได้เราจะทำ” ตั้งแต่บทที่เราใช้คนไทยเขียนโดยทีมของเราเอง แต่เราจ้างสกรีนเพลย์ไรทเตอร์จากฮอลลีวูดมาช่วยปรับบทให้เป็นสากลขึ้น มีอีกหลายอย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อน หรือคิดไม่ถึง ซึ่งต้องปรับใหม่ ยังมีส่วนของสเปเชียลเอฟเฟกต์ที่เราใช้พี่แคนจาก Luma Pictures ที่ทำสเปเชียลเอฟเฟกต์ ให้ Underworld, Charlie’ s Angles มาช่วยดูให้

 

 

นอกจากนี้ยังมีอาจารย์ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี มาช่วยให้คำแนะนำเรื่องอาร์ต เพื่อให้สิ่งที่ออกแบบมาคงความเป็นไทย และนำมาปรับให้มีความเป็นโมเดิร์น นอกจากนี้ที่ขาดไม่ได้คือเรื่องของเพลงที่ได้พี่ไก่ คุณสุธี แสงเสรีชน มาเป็นมิวสิกไดเรกเตอร์ และได้แนะนำให้ทำไลฟ์ออเคสตร้า ซึ่งวันนี้ก็ได้เห็นถึงความเหมาะสม รวมถึงไรอัน ชอร์ มาร่วมทำดนตรีให้ บนเงินทุนทั้งหมดที่ 230 ล้านบาทไม่รวมค่ามาร์เก็ตติง (รวมมาร์เก็ตติงประมาณ 250 ล้านบาท)

โดยทั้งหมดนั้นเป็นทุนส่วนตัวจากทั้ง 10 คนในบริษัทฯ ซึ่งถ้าให้กล่าวถึงรีเทิร์นในวันนี้ แม้จะรู้ว่ายังไม่ได้กำไร แต่กันย์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “เป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก เราไม่พูดเรื่องเงิน แต่จะพูดถึงความภาคภูมิใจที่มีอะไรเป็นของคนไทย” ซึ่งเราเดินไปต่างประเทศได้ไม่อายใคร ผมเชื่อมั่นเพราะโพรดิวเซอร์ต่างชาติทุกคนที่ดูหนังเรื่องนี้ ต่างบอกว่าเป็นอะไรที่แปลก น่าสนใจมาก เป็นสไตล์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และภาพสวย ซึ่งไม่คิดว่าภาพจะออกมาดีได้ขนาดนี้ บนทุนที่ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ” เป็นความทึ่งของ Producer ต่างชาติที่ไม่คาดว่าเมืองไทยจะทำหนังแอนิเมชันระดับนี้ออกมาได้

สำหรับก้าวต่อไปไม่ว่าจะเป็นสเต็ปต่อไปของภาคนี้ หรือโปรเจกต์ของภาคสอง เราเปิดกว้างให้กับบริษัทที่ต้องการมาร่วมทุนด้วย แต่หากไม่ลงตัวก็คงจะไปในรูปแบบการลงทุนเองแบบเดิม

ร่วมคิดกลยุทธ์มาร์เก็ตติง

นอกจากสร้างหนังเรื่องหนึ่งให้เกิดขึ้นมาแล้ว การร่วมการวางกลยุทธ์การตลาดกับผู้จัดจำหน่าย ถือเป็นอีกเรื่องสำคัญที่เราให้ความสำคัญด้วย ถึงแม้จะมีผู้จัดจำหน่ายเป็นเอ็มพิกเจอร์ แต่เนื่องจากเราเป็นแนวทำทุกอย่างเอง เราจึงทำมาร์เก็ตติงร่วมกับเขาด้วย เรามีคอนเนคชัน หรืออะไรที่ช่วยได้ ก็นำมาร่วมสนับสนุนกัน รวมทั้งแชร์มุมมองกัน ในสิ่งที่ต้องยอมรับว่า เกินกว่าที่คิดไว้ คือ ทีมงานของเราอาจจะมีความเชื่ออย่างมากในเรื่องของโซเชียลมีเดีย แต่วันนี้เราเข้าใจกันแล้วว่า ทำไมยังต้องมีเทรดดิชันนัลมีเดีย ทำไมยังต้องมีบิลบอร์ด ยังต้องออกสื่อทีวี เพราะเทรดดิชันนัลมีเดีย คือสื่อที่เข้าไปหาชุมชน ในขณะที่โซเชียลมีเดียคือชุมชนต้องเข้าไปหาสื่อ นี่คือความแตกต่างที่ได้เรียนรู้ร่วมกัน

Next Step

“แม้เราไม่ได้เจ๊งจากโปรเจกต์แรก แต่เราก็ไม่ได้กำไร” เราอยู่ในจุดที่ขาดทุนแต่ยังสู้ต่อได้ และวันนี้เราเริ่มมีแฟนเบสของ 9 ศาสตราแล้ว ก้าวต่อไปที่อยากทำคือ อยากให้คนเห็นคอนเทนต์ของเรามากขึ้น จะมีการต่อยอดไปที่เรื่อง ของเล่น เกม เมอร์ชันไดซ์ต่างๆ เช่นเสื้อผ้า ให้เกิดความต่อเนื่อง หรืออาจจะไปถึงจุดของทีวีซีรีย์ โดยมีไทม์ไลน์ที่ค่อนข้างชัดเจนในหลายๆ ส่วนทั้งเกมและฟิกเกอร์ ที่มีร่วมกับบริษัท เอสเอ็มฯ หนึ่งในบริษัทผลิตฟิกเกอร์สำหรับนักสะสม ที่มีชื่อระดับโลก โดยทั้งหมดจะเริ่มทยอยตามกันมาประมาณกลางปีนี้

ที่ผ่านมาเราให้เวลากับการทำแอนิเมชันเรื่องนี้มาถึง 5 ปี ดังนั้นเราต้องดันออกมาให้สุดให้ได้ Vision ของพวกเราคือต้องทำให้คาร์แรคเตอร์ของเราเป็นที่รู้จัก ทุกครั้งที่คนเห็นมวยไทย จะต้องเห็นอ๊อดพระเอกของเรา หรือทุกครั้งที่คนพูดถึงไทยแลนด์ คนจะต้องคิดถึง 9 ศาสตรา”

 

มีการวางแผนตลาดส่งออก โดยเซ็นสัญญากับบริษัทที่ประเทศจีน เพื่อนำ 9 ศาสตราเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ประมาณกลางปีนี้ โดยจีนจะมีโควตาให้หนังจากต่างประเทศเข้ามาเพียงปีละ 34 เรื่อง แบ่งเป็นหนังฮอลลีวูด 28 เรื่อง และอีก 6 เรื่องที่เหลือเป็นหนังอินเตอร์ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากที่เราได้โควตานั้นมาเพราะตลาดจีนเป็นตลาดที่ใหญ่มาก เมืองไทยมีโรงหนังอยู่ประมาณ 700 ในขณะที่จีนมีถึง 40,000 กว่าโรง และการดูภาพยนตร์ยังเป็นสิ่งที่ใหม่และนิยมมากสำหรับคนจีน ธุรกิจหนังจึงมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ดี ส่วนตลาดเป้าหมายถัดไป คือ สหรัฐอเมริกา เพราะเราอยากส่ง 9 ศาสตราเข้าประกวดรางวัลออสก้าด้วย สำหรับกันย์ เขากล่าวว่า “อย่างน้อยเราต้องฝันให้เต็มที่”

ทั้งนี้เมื่อถามถึง Key Success ของ 9 ศาสตรา กันย์ตอบสั้นๆ ว่า ความรักกับ Passion “คือเราอยู่กันด้วยความรัก เราอาจจะเห็นไม่ตรงกัน แต่ก็มาคุยกัน และไม่เคยลืมว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน และเรามี Passion ที่ไม่เคยท้อถอย ไม่ว่าจะโดนปฏิเสธหรือล้มเหลวกี่ครั้ง เราเป็นเพื่อนที่กลายเป็น Family กันไปแล้ว

กันย์ ทิ้งท้ายโดยฝากถึงคนรุ่นใหม่ที่มีความฝันด้วยข้อแนะนำดีๆ ว่า ให้คิดเริ่มต้นทำตามแรงบันดาลใจและความฝันในการสร้างภาพยนตร์ วันนี้โอกาสในการเริ่มนั้นมีหลายวิธีที่จะทำได้ มาคุยกับเราก็ได้ ถ้าเราเห็นว่าโปรเจกต์น่าสนใจและโอกาสดี เราก็ทำ หรือมีทางเลือกอื่นๆ เช่นงาน Festival ที่สามารถไปขายคอนเทนต์ ขายหนังได้ เพราะโลกในปัจจุบันได้เปิดกว้างมาก ส่วนตัวของเขาเองก็อีเมลไปหาทุกคน ทั้งผู้จัดจำหน่าย และตัวแทนต่างๆ เริ่มไม่ต่างจากใครๆ คือการกูเกิลหา และอีเมลตรงไป ถึงแม้จะอีเมลไป 50 คนตอบมาเพียงแค่ 8 คน ถ้าเจรจาแล้วมีโอกาสก็บินไปคุยต่อ เอาหรือไม่เอาก็ตาม เราก็ถือว่าเปิดโอกาสให้กับตัวเอง เพื่อหาวิธีที่จะไปต่อให้ได้

 

พฤติกรรมการเลือกใช้สมาร์ทโฟนของคนไทย มีแนวโน้มให้ความนิยมเลือกสินค้าที่มีฟีเจอร์ตอบโจทย์การใช้งานได้ เป็นที่มาของการเปิดตัว หัวเว่ย  Y9 2018  สมาร์ทโฟนระดับแมส ในราคา 6,990 บาทด้วยจุดเด่น 4 กล้อง และสเปกจัดเต็ม พร้อมด้วยภาพลักษณ์การเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนชั้นนำที่คุ้มราคาที่สุด เจาะกลุ่มเป้าหมายในยุคดิจิทัล ดึงคาแร็กเตอร์จากเพจดังบนโลกโซเชียลสร้างการตลาดรูปแบบใหม่

ทศพร นิษฐานนท์ รองผู้อำนวยการ หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า แม้ว่าภาพรวมของตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทยจะไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างหวือหวาเหมือนในช่วง 3 ปีที่แล้ว

แต่แนวโน้มการเลือกใช้สมาร์ทโฟนของคนไทยโดยเฉพาะตลาดสมาร์ทโฟนในกลุ่มราคา 3,000-7,000 บาท ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่กลุ่มสมาร์ทโฟนในระดับราคาต่ำกว่า 3,000 บาท มีขนาดหดตัวลง

สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของลูกค้าที่พร้อมจับจ่ายในราคาที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้ฟังก์ชั่นที่ล้ำหน้าและตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น ซึ่งหัวเว่ยมองเห็นโอกาสของตลาดในระดับราคาดังกล่าว เราจึงเติมเต็มความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้โดยเปิดตัว ‘HUAWEI Y9 2018’ สมาร์ทโฟน 4 กล้องรุ่นใหม่ สเปคครบครัน เทียบเท่าสมาร์ทโฟนระดับกลาง-บนด้วยราคาสุดคุ้มเพียง 6,990 บาท ซึ่งจุดนี้ถือเป็นจุดขายสำคัญของแบรนด์หัวเว่ยที่ถือเป็นแบรนด์ที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าในราคาที่จับต้องได้

อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบสัดส่วนสมาร์ทโฟนกลุ่มราคาประหยัด ที่จับต้องได้ ในระดับต่ำกว่า 7,000 บาท  พบว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แนวโน้มของสมาร์ทโฟนระดับราคาต่ำกว่า 3,000 บาทจากปี 2016 มีสัดส่วนที่ 47% ลดลงมาเหลือ 33% ในปี 2017 ซึ่งถือว่าลดลงกว่า 29%

 

 

ขณะที่ช่วงระดับราคา 3,000 - 5,000 บาท ปี 2016 อยู่ที่ 43%  มีอัตราการเติบโตขึ้น 24% ในปี 2017 มาอยู่ที่ 52% ส่วนในช่วงระดับราคา 5,000 - 7,000 บาท แม้ว่าจะมีสัดส่วนน้อยในกลุ่มนี้ แต่ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตสูงจากปี 2016 อยู่ที่ 11% เพิ่มขึ้น 35% มาอยู่ที่ 14%

ในส่วนของตลาดรวมสมาร์ทโฟนในปีนี้คาดว่าจะเติบโตในระดับซิงเกิลดิจิต จากปีที่ผ่านมาที่มียอดขายต่อเดือนราว 1.2-1.3 ล้านเครื่อง แต่จะไปเติบโตในส่วนของมูลค่าแทน ส่วนระยะเวลาเปลี่ยนเครื่องของผู้ใช้แอนดรอยด์ปัจจุบันอยู่ที่ราว 13 เดือน

สำหรับเป้าหมายของหัวเว่ย ที่วางไว้ จะขึ้นเป็นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนในปี 2020 ซึ่งนอกจากแข่งขันในสินค้าที่ตอบโจทย์เพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดแล้ว  ในปีนี้ จะเน้นในส่วนของการให้บริการลูกค้าที่จะขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ด้วยเช่นกัน

ชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด กล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายของ HUAWEI Y9 2018 คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ช่วงอายุอยู่ในวัยเรียนหรือเพิ่งเริ่มทำงาน หรือเรียกได้ว่าเป็น Digital Natives คือกลุ่มคนที่เติบโตมาพร้อมกับโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง ซึ่งมีพฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์เป็นสื่อหลักในชีวิตประจำวัน ทั้งเพื่อเปิดรับข้อมูลข่าวสารหรือเพื่อกิจกรรมความบันเทิงต่างๆ

ด้วยเหตุนี้ หัวเว่ยจึงได้สร้างสรรค์กิจกรรมการตลาดที่แปลกใหม่และคิดนอกกรอบจากการสื่อสารการตลาดรูปแบบเดิม โดยการใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นคาแร็กเตอร์จากเพจดังบนโลกโซเชียล อย่าง ‘JayTheRabbit’ และ ‘คนอะไรเป็นแฟนหมี’ ซึ่งถือว่าเป็นการใช้พรีเซ็นเตอร์ที่เป็นคาแร็กเตอร์ครั้งแรกของแบรนด์สมาร์ทโฟน โดยเหตุผลที่เลือกคาแร็กเตอร์จาก 2 เพจนี้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เนื่องจากรูปแบบของการสร้างสรรค์คอนเทนต์บนเพจเป็นการเล่าเรื่องสนุกๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเข้าถึงคนไทยส่วนใหญ่ทั้งกลุ่มที่เป็นคนโสด (JayTheRabbit) และกลุ่มคนที่มีคู่ (คนอะไรเป็นแฟนหมี) ที่สามารถสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเพจและผู้ติดตามได้เป็นอย่างดี โดยเราเชื่อว่ากลยุทธ์

“ การสื่อสารการตลาดในรูปแบบนี้จะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพของ HUAWEI Y9 2018 ที่เป็นสมาร์ทโฟนที่อัดแน่นด้วยสเปกครบครันในราคาที่เข้าถึงง่ายที่สุด ”

 

ปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอยู่ 6 แห่งใน 3 ทวีปทั่วโลก ล่าสุดจับมือพันธมิตรในไทย คือ ธนบุรีประกอบรถยนต์ ร่วมลงทุนกว่า 100 ล้านยูโรเพื่อขยายโรงงานรถยนต์และสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่แห่งใหม่ ยกระดับการผลิตในไทย และรองรับความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สำหรับเม็ดเงินดังกล่าวจะใช้เพื่อขยายโรงงานรถยนต์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และสร้างโรงงานประกอบแบตเตอรี่แห่งใหม่ขึ้นในที่ตั้งเดียวกัน เพื่อเป็นหลักประกันว่าโรงงานในไทยจะมีเทคโนโลยีอันล้ำหน้าไว้พร้อมสำหรับรถยนต์ที่มีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว (Battery Electric Vehicle – BEV) ที่ผลิตขึ้นที่นี่

 

 

มาร์คุส เชฟเฟอร์ กรรมการบริหาร รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ฝ่ายการผลิตและการจัดการห่วงโซ่อุปทาน เปิดเผยถึงโครงการเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าในเครือข่ายการผลิต ทั่วโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ คาร์ ที่มีความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการผลิตสูง และกำลังก้าวรุดหน้าด้วยดีและรวดเร็วอย่างยิ่ง โดยหนึ่งในแผนงานตามกลยุทธ์ คือ การร่วมมือกับพันธมิตรอย่างธนบุรีประกอบรถยนต์ เพื่อเตรียมพร้อมสู่อนาคตแห่งการสัญจรในประเทศไทยที่จะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า

ซึ่งจากแนวคิดการผลิตแบตเตอรี่ของเราที่มีมาตรฐานเดียวกันและสามารถขยายต่อเติมได้ ทำให้เราเปิดสายการผลิตได้อย่างรวดเร็วในภูมิภาคใดๆ ก็ตามด้วยขนาดโรงงานที่เหมาะสม เช่นเดียวกับโรงงานแบตเตอรี่ในประเทศไทยจะเสริมเครือข่ายการผลิตแบตเตอรี่ทั่วโลกของเราให้มีโรงงานเพิ่มขึ้นเป็น 6 แห่งใน 3 ทวีป

รวมถึงข้อดีของการผลิตที่เป็นมาตรฐานเดียวกันและแนวคิดในการออกแบบโรงงาน แผนงานในการผลิตแบตเตอรี่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ คาร์จึงสามารถปรับขยายได้เพื่อให้เหมาะสมกับการสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะต่างๆ และเพื่อให้การดำเนินการตามแผนการผลิตเป็นไปด้วยความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับภาวะตลาดทั่วโลกภายในปี 2565

 

 

ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า “เมอร์เซเดส-เบนซ์ ถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลก และเป็นผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของประเทศไทยด้วยผลิตภัณฑ์และบริการมาตรฐานระดับโลก ก่อให้เกิดการลงทุน สร้างรายได้ให้กับประเทศ และนับเป็นหนึ่งในพลังขับเคลื่อนที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศให้เติบโตก้าวหน้าทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสังคม

โดยขณะนี้ ทางบริษัทฯ ได้มีการขอขยายการส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน (Plug-in Hybrid Electric Vehicles: PHEV) เป็นการตอบรับต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย ที่มีเป้าหมายที่จะก้าวไปสู่การพัฒนายานยนต์แห่งอนาคตและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องที่ใช้พลังงานไฟฟ้า แสดงให้เห็นว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ จากประเทศเยอรมนี ได้เล็งเห็นความสำคัญของประเทศไทย ในการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาค

อีกทั้งยังเป็นการยกระดับความสามารถคนไทยด้วยการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีที่เหนือกว่าการผลิตชิ้นส่วนทั่วไป ซึ่งจะช่วยให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศก้าวหน้าเป็นอย่างมาก และสามารถสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาชาติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

บริษัทฯ จะผสานระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเข้ากับรถยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างทั่วถึง เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกที่เป็นรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า อย่างน้อย 1 รุ่นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่รถยนต์จากแบรนด์สมาร์ทไปจนถึงรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ รวมถึงบริษัทฯ กำลังวางแผนจะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า  50 รุ่นย่อยอีกด้วย ในขณะเดียวกันเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังสนับสนุนการพัฒนารถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและการแจ้งเกิดของระบบ 48 โวลท์ พร้อมด้วยรถยนต์รุ่นแรกในตระกูล EQ ซึ่งใช้ชื่อว่า EQC ที่จะเข้าสู่สายการผลิตในปี 2562 ที่เบรเมน ประเทศเยอรมนี ทั้งนี้ EQ เป็นแบรนด์เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์ CASE ซึ่งประกอบด้วยเสาหลักเชิงกลยุทธ์ที่ผสานกัน ได้แก่ การเชื่อมต่อ (Connected), การขับเคลื่อนด้วยตัวเอง (Autonomous), ความยืดหยุ่นในการใช้งาน (Shared & Services) และระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (Electric)

 

 

 

 

โรงงานผลิตแบตเตอรี่แห่งที่ 6 ของเมอร์เซเดส-เบนซ์

โรงงานแบตเตอรี่ในประเทศไทย จะเป็นหนึ่งในเครือข่ายการผลิตแบตเตอรี่ทั่วโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ คาร์ โดยจะผลิตเพื่อรองรับความต้องการในประเทศและเพื่อส่งออก ซึ่งยังมีโรงงานทั้งในเยอรมนี สหรัฐอเมริกา และจีนอีกด้วย เครือข่ายการผลิตแบตเตอรี่นี้จะตอบสนองความต้องการในตลาดอย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับการผลิตรถยนต์

ซึ่งกลยุทธ์นี้จะทำให้มีเทคโนโลยีแบตเตอรี่ อันทันสมัยจากศูนย์กลางการผลิตในแต่ละพื้นที่ ทั้งยุโรป จีน และสหรัฐอเมริกาไว้พร้อมรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นตามแผนงานรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัท ทั้งนี้ โรงงานผลิตแบตเตอรี่ในประเทศไทยมีแผนจะเริ่มเดินสายการผลิตภายในปี 2562

 

มั่นใจศักยภาพตลาดรถยนต์นั่งในประเทศไทย

การร่วมลงทุนในครั้งนี้ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ คาร์ และธนบุรีประกอบรถยนต์ซึ่งเป็นพันธมิตรในประเทศไทย ส่วนหนึ่งเพื่อการขยายโรงงานผลิตรถยนต์ที่มีอยู่ ซึ่งจะส่งผลให้ศักยภาพการผลิตรถยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญด้วยจำนวนรุ่นที่มากขึ้น

ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว การลงทุนในครั้งนี้สะท้อนความเชื่อมั่นที่เรามีต่อศักยภาพของตลาดรถยนต์นั่งในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่เราทำตลาดอยู่ในปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างสูงจากกลุ่มลูกค้า และเราจะยังคงเดินหน้าเพิ่มความหลากหลายของรถยนต์ที่ผลิตภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2560 มียอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทยสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ด้วยจำนวนมากกว่า 14,000 คัน ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตสูงถึงสองหลัก โดยรุ่นที่มียอดจำหน่ายสูงสุดประกอบด้วยรถยนต์ซีดานตระกูล E-Class, C-Class และ CLA ในปัจจุบันเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ทำตลาดรถยนต์ที่ประกอบภายในประเทศรวมทั้งหมด 9 รุ่น

โดยรุ่นที่เป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้ง C-Class, S-Class และ GLE ในเวอร์ชั่นปลั๊กอินไฮบริดที่เปิดตัวในช่วงต้นปี 2559 และล่าสุดคือรุ่น E 350e Avantgarde, E 350e Exclusive และ E 350e AMG Dynamic นอกจากนี้ยังครองตำแหน่งผู้นำตลาดรถยนต์ระดับพรีเมี่ยมในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องมาตลอด 17 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2544

ปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ที่ส่งผลต่อความสำเร็จอย่างสูงในประเทศไทยคือความร่วมมืออันใกล้ชิดระหว่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่ง  ประเทศไทย และ ธนบุรีประกอบรถยนต์ ในฐานะผู้ดำเนินงานด้านการผลิตในประเทศไทย โดยที่ในปี 2560 เพียงปีเดียว ธนบุรีประกอบรถยนต์ สามารถผลิตได้มากกว่า 12,000 คัน ในปัจจุบันโรงงานแห่งนี้มีพนักงานกว่า 1,000 คน และคาดการณ์ว่าเมื่อโครงการลงทุนครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์ โรงงานแห่งนี้จะสร้างงานเพิ่มขึ้นอีกกว่า 300 ตำแหน่ง โดยในจำนวนนี้จะเป็นการจ้างงานในส่วนของการผลิตแบตเตอรี่เกือบ 100 ตำแหน่ง

 

 

อันเดรอัส เลทเนอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึง การขยายโรงงานและการผลิตแบตเตอรี่ที่จะเริ่มขึ้นในอนาคต ณ โรงงานในจังหวัดสมุทรปราการ นับเป็นการกระชับความร่วมมือกับธนบุรีประกอบรถยนต์ให้แข็งแกร่งขึ้นอีกขั้น และยังเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับรูปแบบการสัญจรในอนาคต

นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับพนักงานของเราที่จะได้รับการฝึกอบรมใช้ทักษะความรู้ขั้นสูง เตรียมพร้อมสำหรับเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ที่เรามุ่งมั่นที่จะเพิ่มบทบาทในภูมิภาคและสานต่อความร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ความร่วมมือทั้งกับธนบุรีประกอบรถยนต์ และกับหน่วยงานภาครัฐของไทยล้วนเป็นไปอย่างดีเยี่ยม โดยได้รับการสนับสนุนให้การดำเนินการผลิตต่อไปของเราประสบความสำเร็จ และให้มั่นใจได้ว่ารถยนต์ทุกคันที่ผลิตในเครือข่าย การผลิตทั่วโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ คาร์มีคุณภาพสูงตามมาตรฐานของแบรนด์ไม่ว่าจะผลิตจากฐานการผลิตแห่งใดก็ตาม

โดยในช่วงของการเตรียมการเพื่อเริ่มผลิตรถยนต์รุ่นใหม่หรือใช้เทคโนโลยีใหม่ พนักงานในประเทศไทยจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากทีมงานที่มีประสบการณ์สูงเพื่อให้พวกเขาคุ้นเคยกับกระบวนการผลิตใหม่ๆ เหล่านั้นด้วย

 

 

วีระชัย เชาวน์ชาญกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด กล่าวว่า การที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ได้มอบความไว้วางใจให้ธนบุรีประกอบรถยนต์ เป็นผู้ผลิตอย่างเป็นทางการในการตั้งโรงงานแห่งใหม่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายการผลิตแบตเตอรี่ทั่วโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ คาร์  โดยโรงงานผลิตแบตเตอรี่แห่งใหม่นี้จะตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 30 ไร่ ใกล้กับโรงงานประกอบรถยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในปัจจุบัน โดยมีแผนจะเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงต้นปี 2562  ซึ่งเราตระหนักเป็นอย่างดีว่าความรู้ความสามารถของพนักงานฝ่ายผลิตมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเครือข่ายการผลิตทั่วโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ คาร์  ทั้งนี้ ด้วยคำยืนยันของเราที่ว่า “เราเชื่อมั่นในตัวบุคลากร เครือข่าย และการผลิตที่ใช้ทักษะฝีมือขั้นสูง”

ดังนั้นในช่วงของการเตรียมตัวเปิดสายการผลิต พนักงานในประเทศไทยจะได้รับการสร้างเสริมความรู้ความชำนาญในการผลิตและความรู้ทางเทคนิคสำหรับการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด เพื่อให้มั่นใจได้อย่าเต็มเปี่ยมว่าแบตเตอรี่จะมีคุณภาพได้มาตรฐานทัดเทียมกับ แหล่งผลิตอื่นๆ ทั่วโลก

 

“ธนาคารไทยพาณิชย์” ขานรับนโยบายธปท. เดินเกมบุกอีมาร์เก็ตเพลส (e-Marketplace) หรือการให้บริการผ่านแพลตฟอร์ มอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเป็นทางการรายแรกของเมืองไ ทย พร้อมชูแนวคิด “แฮปปี้ ทรานแซคชั่น” (Happy Transaction) มุ่งสร้างความรู้สึกดีๆ ในทุกครั้งที่ทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชัน SCB EASY

ประเดิมด้วยการผนึกกำลัง “เอส เอฟ” พันธมิตรด้านไลฟ์สไตล์ ส่งมอบ #ตั๋วหนังเพื่อคุณ ให้ลูกค้าผู้ใช้บริการ SCB EASY พร้อมประสบการณ์ใหม่ในการซื้อตั๋วภาพยนตร์ที่ “สะดวก ง่าย รวดเร็ว เดินเข้าโรงได้ทันที” พร้อมโปรโมชั่นตั๋วหนังราคา 80 บาท ทุกรอบที่โรงภาพยนตร์ในเครือ เอส เอฟ ทุกสาขา เมื่อซื้อผ่านแอปฯ SCB EASY ตั้งเป้ายึดหัวหาดครองใจลูกค้า ดันยอดผู้ใช้จากปัจจุบัน 6 ล้านราย เป็น 10 ล้านราย ภายในสิ้นปี 2561

ธนา เธียรอัจฉริยะ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส Chief Marketing Officer ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “หลังจากที่ไทยพาณิชย์ได้พัฒนาแ ละปรับโฉม SCB EASY โมบายแบงก์กิ้ง แอปพลิเคชัน แบบยกเครื่องใหม่เมื่อกลางปีที่ ผ่านมา ด้วยรูปแบบของบริการและการทำตลา ดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี

ในปัจจุบันมียอดผู้ใช้งานอยู่ ที่ 6 ล้านราย มียอดใช้งานแอคทีฟ 70 – 75 % ธนาคารไม่หยุดนิ่งที่จะเดินหน้า พัฒนารูปแบบการให้บริการที่ตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์และการเงินของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล และนับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ธนาค ารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกเกณฑ์อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทในกลุ่มธุรกิ จทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ สามารถให้บริการแพลตฟอร์มอิเล็ก ทรอนิกส์ (e-Marketplace Platform) หรืออีมาร์เก็ตเพลส เพื่อเป็นช่องทางให้ลูกค้าซื้อขาย ชำระเงินออนไลน์ได้อย่างครบวงจร

 

 

ไทยพาณิชย์ ในฐานะผู้นำด้านดิจิทัล ไลฟ์สไตล์ แบงก์กิ้ง จึงไม่รอช้าที่จะขานรับนโยบายดังกล่าว และพร้อมประเดิมเป็นรายแรกในการ เปิดให้บริการอีมาร์เก็ตเพลสอย่างเป็นทางการ โดยในครั้งนี้เรายึดแนวคิด “แฮปปี้ ทรานแซคชั่น” (Happy Transaction) เป็นแกนหลักในการพัฒนาบริการใหม่ๆ เพื่อให้แอปฯ SCB EASY เป็นช่องทางในการเข้าถึงความสุขของลูกค้า โดยเริ่มจากเอนเตอร์เทนเมนท์ และเมื่อพูดถึงเอนเตอร์เทนเมนท์ก็ต้อง “โรงภาพยนตร์ในเครือ เอส เอฟ”

ดังนั้นธนาคารจึงได้จับมือ “เอส เอฟ” พันธมิตรด้านไลฟ์สไตล์ เปิดให้บริการซื้อตั๋วหนังผ่านแ อปฯ SCB EASY ซึ่งการชมภาพยนตร์นับเป็นความบันเทิงด้านไลฟ์สไตล์ที่ง่ายต่อกา รเข้าถึง และสามารถสร้างความสุขให้กับผู้ คนได้เป็นอย่างดี”

 สุวิทย์ ทองร่มโพธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานปฏิบัติการ บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เอส เอฟ และธนาคารไทยพาณิชย์ มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการเป็นผู้นำด้านดิจิทัล ไลฟ์สไตล์ ซึ่งการให้บริการเปิดขายตั๋วหนังผ่านโมบายแบงก์กิ้งแอปพลิเคชัน SCB EASY ในครั้งนี้ จะเป็นอีกส่วนสำคัญในการยกระดับ ประสบการณ์ด้านดิจิทัลและเข้าถึงไลฟ์สไตล์ความต้องการของลูกค้า ยุค 4.0 ที่ชื่นชอบการชมภาพยนตร์และมีแนวโน้มในการซื้อตั๋วภาพยนตร์ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และคล่องตัวให้กับลูกค้า โดยไม่ต้องเสียเวลามาเข้าคิวเพื่อซื้อหรือรับตั๋วที่เคาน์เตอร์ จำหน่ายอีกต่อไป เพียงแสดง E-ticket ที่ได้จากการซื้อตั๋วผ่านแอปฯ SCB EASY กับพนักงานที่หน้าโรงภาพยนตร์ ก็สามารถเข้าชมภาพยนตร์เรื่องโป รดได้ทันที นับเป็นการมอบประสบการณ์ที่ช่วย เพิ่มช่วงเวลาแห่งความสุขให้ลูก ค้าอีกด้วย”

นายธนา กล่าวสรุปว่า จากเดิมที่ลูกค้าต้องเปิดแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ ของโรงหนัง แล้วจึงโยงมาชำระเงินที่ช่องทางของธนาคาร แต่จากนี้เพียงลูกค้าเปิดแอปฯ SCB EASY แล้วคลิกที่ไอค่อน “Movies” หรือ “ดูหนัง” เลือกภาพยนตร์ที่ชื่นชอบ เลือกรอบฉาย เลือกที่นั่งและจำนวนที่ต้องการแล้วชำระเงิน ก็สามารถออก E-ticket เพื่อนำไปใช้ดูหนังได้ทันที

นับว่าเป็นการมอบประสบการณ์ใหม่ที่ “สะดวก ง่าย รวดเร็ว เดินเข้าโรงได้ทันที” เข้าถึงลูกค้าครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานยุคดิจิทัล และตอกย้ำความเป็นผู้นำดิจิทัล ไลฟ์สไตล์ แบงก์กิ้ง และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการใช้งาน โดยโปรโมชั่น เริ่มตั้งแต่วันนี้ – 31 กรกฎาคมนี้ พร้อมตั้งเป้ายอดผู้ใช้งาน SCB EASY เพิ่มจาก 6 ล้านรายในปัจจุบัน เป็น 10 ล้านรายภายในสิ้นปี”

 “DITP” ไทย ร่วมกับ “กรมส่งเสริมการค้าลาว” เตรียมจัดงานครั้งใหญ่ “Top Thai Brands 2018” งานแสดงสุดยอดแบรนด์ไทย สุดยอดเครือข่ายไทย-ลาว เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในด้านการค้าระหว่างกัน  โดยมีผู้ประกอบการไทย- ลาว กว่า 200 บูทชั้นนำ ร่วมกันสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับเศรษฐกิจภูมิภาค AEC ระหว่างวันที่ 7-11 มีนาคม 2561 ณ LAO ITECC นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว

ยานี  ศรีมีชัย อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายพาณิชย์) สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เวียงจันทน์ สถานเอกอัครราชทูตแห่งราชอาณาจักรไทย เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ แห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งมีหน้าที่ในการแสดงศักยภาพสินค้าส่งออกชั้นนำของไทยให้แก่ผู้ประกอบการในภูมิภาคได้รู้จัก  ได้ร่วมมือกับกรมส่งเสริมการค้า กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า สปป.ลาว กำหนดจัดงานแสดงสินค้า Top Thai Brands 2018 สุดยอด แบรนด์ไทย สุดยอดเครือข่าย ไทย-ลาว ภายใต้ธีมงาน Modern SMEs Networking ระหว่างวันที่ 7-11 มีนาคม 2561 ณ Lao ITECC (ตึกเก่า) นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว

ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้า บริการแบรนด์ไทยให้เป็นที่รู้จัก และเชื่อมั่น ตลอดจนสร้างความต้องการในตลาด สปป.ลาว และสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดพลังความร่วมมือกันสูงสุดของผู้ประกอบการไทย และสปป.ลาว

ภายในงานเป็นการนำเสนอสินค้าไทย และการบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ส่งต่อสู่ ประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงนวัตกรรมสินค้า และการบริการรูปแบบใหม่ๆ ที่เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าไทยให้กับกลุ่มเพื่อนบ้าน และ กระตุ้นและเสริมสร้างโอกาสให้นักธุรกิจทั้งสองประเทศ เกิดความร่วมมือเพื่อก้าวสู่ตลาดสากลไปพร้อมๆ กัน ผู้เข้าชมจะได้พบกับการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า การเจรจาธุรกิจ และสัมมนา จำนวนคูหากว่า 200 คูหา (ผู้ผลิตจากไทยประมาณ 180 คูหา จากสปป.ลาว 20 คูหา) รวมทั้งสินค้าประเภท วัสดุก่อสร้าง ของใช้ภายในบ้าน ธุรกิจบริการ แฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารและเครื่องดื่ม สุขภาพและความงาม และพบกับกิจกรรมพิเศษร่วมสนทนากับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ รวมถึงเหล่าเซเล็บริตี้ชื่อดังมากมายมาร่วมในงานด้วย

 

ยานี  ศรีมีชัย อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายพาณิชย์) สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เวียงจันทน์ สถานเอกอัครราชทูตแห่งราชอาณาจักรไทย 

 

คาดการณ์ว่าการจัดงานในครั้งนี้จะมี นักธุรกิจที่เข้าร่วมงาน ผู้เข้าชมงานทั่วไปประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนทั่วไป กว่า 50,000 คน และจะมีเงินสะพัดภายในกว่า 200 ล้านบาท

ทั้งนี้กิจกรรมภายในงานได้มีส่วนไฮไลท์ความน่าสนใจที่พิเศษสุดด้วยกิจกรรม Business Matching ในวันที่ 7-8 มีนาคม 61 เวลา 10.00 –17.00 น. ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของการจัด Business Matching คือนักธุรกิจไทย-ลาว ที่ดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม สถานบันเทิง ธุรกิจ Wholesale ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจอาหาร เข้าร่วมจับคู่เจรจาธุรกิจระหว่างกัน 

ที่น่าสนใจยังมีโซนก้าวล้ำของความคิด EXHIBITION SHOW CASE จัดแสดงนิทรรศการ ความก้าวล้ำของความคิด และแรงบัลดาลใจ ของผู้ประกอบการ TOP THAI BRANDS เพื่อเป็นการต่อยอดและเผยแพร่แก่ผู้ที่สนใจภายในงาน โดยในโซนนี้ จะจัดเป็น โซนแบบสบายๆ แบบ loft ที่วางแสดงทุกอย่าง เช่น โครงการในพระราชดาริ, โชว์ปลาสวยงาม และ แฟรน์ไชส์เป็นต้น พร้อมกับมีมุมสำหรับแขก VIP พร้อมโซนอาหารว่าง

ในส่วนของกิจกรรมสัมมนานั้น มีหัวข้อและวิทยากรที่น่าสนใจมากมายอาทิ หัวข้อ พฤติกรรมลูกค้ากับการตลาดยุคดิจิตอล โดย อาจารย์วีระยุทธ เชื้อไทย , หัวข้อ Nero Marketing กลยุทธ์การตลาด โดย สุภกฤษ กุลชาติวิจิตร, หัวข้อ เพิ่มลูกค้าใหม่ไร้พรมแดนด้วยตลาดออนไลน์ โดย กิตติกร อนุเธียร ผอ.ตลาดดิจิทัลเมืองไทยประกันภัย , หัวข้อ Branding & Packagingดึงดูดใจลูกค้า โดย ดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย และ หัวข้อ Facebook Marketing ตลาดไร้พรมแดน โดย อาจารย์วีระยุทธ เชื้อไทย ผู้เชี่ยวชาญการตลาด SMEs

ที่สำคัญในปีนี้นอกจากผู้เข้าร่วมงานจะได้ตื่นตาตื่นไปกับ สุดยอดสินค้าคุณภาพไทย-ลาว กิจกรรมสัมมนา กิจกรรมบันเทิงต่างๆ แล้ว ผู้จัดงานยังได้จัดกิจกรรมพิเศษ ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมสนุกไปกับกิจกรรมส่งเสริมการขาย ด้วยกติกาง่ายๆ เพียงรับคูปองลงทะเบียนด้านหน้างาน กรอกชื่อ-ที่อยู่ รายละเอียดให้ครบถ้วน จากนั้นนำคูปองไปลุ้นรับของรางวัลมากมาย และลุ้นรางวัลใหญ่ตั๋วเครื่องบินจากการบินไทย ไป-กลับ นครเวียงจันทน์ สปป.ลาว-กรุงเทพฯ  จำนวน 2 ที่นั่ง ซึ่งจะมีการจับรางวัลในทุกๆวัน

นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมความบันเทิงมากมายมอบให้กับผู้เข้าชมงาน อาทิ Mini Concert จากศิลปินที่มีชื่อเสียงมากมาย และโปรโมชั่นรับฟรีคูปองเงินสด พร้อมลุ้นรับของรางวัลภายในงาน เพียงแค่ลงทะเบียนในงานอีกด้วย ทั้งนี้สามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร และรับทราบรายละเอียดการจัดงานเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ http://www.ditp.go.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Hotline 1169

 

 

เมื่อเอ่ยชื่อ มือหนึ่งในงานด้านบริหารองค์กรต่างชาติให้เติบโตในไทย อริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้จัดการ LINE ประเทศไทย ติดอันดับของนักบริหาร ที่สามารถปักธงสร้างธุรกิจให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เพราะด้วยจำนวนผู้ใช้งาน LINE ในประเทศไทยที่สูงถึง 94% ของจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือ และด้วยจำนวนฐานผู้ใช้งานมากกว่า 41 ล้านคนนั้น วันนี้จึงมีความพร้อมที่จะพลิกมาเป็นอีกมิติของธุรกิจ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีแบบเต็มตัว และสร้างรายได้อย่างมหาศาล

อริยะ ฉายภาพถึงการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจกับนิตยสาร MBA ว่า จากที่ไลน์เน้นเพียงเรื่องแชท หรือสติ๊กเกอร์ ปัจจุบันเป็นการขยายรูปแบบบริการ LINE ในไทยเป็น “ระบบนิเวศน์” ตั้งแต่เกม,  ออนไลน์วิดีโอ,  บริการข่าว, สติ๊กเกอร์,  อีคอมเมิร์ซ หรือ Line@ สำหรับผู้ค้า ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก และยังมี LINE MAN และยังจะเห็นจำนวนบริการที่ขยายอีกมากมาย  ซึ่งวิธีการคิดทุกงานบริการที่เกิดขึ้น จะเห็นเป็นวงจร 3 สเต็ป คือ   

  1. การคิดบริการใดขึ้นมา จุดเริ่มต้นต้องคิดว่าผู้บริโภค หรือผู้ใช้ต้องประทับใจ ต้องรู้สึกว่า “โดน” และ “ใช่” ตัวอย่างที่ดีก็คือ LINE MAN ที่ทำขึ้นมา ซึ่งวันนี้พิสูจน์ได้จากผู้บริโภคที่ยังพูดว่า คิดได้อย่างไร และทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นมาก ดังนั้นในวันที่ Launch LINE MAN ก็เห็นได้ว่าเราได้บริการที่ตอบโจทย์ และโดนใจผู้บริโภคคนไทย
  2. เมื่อรู้ว่าบริการไปได้ดี ขั้นตอนที่สองจะต้องขยายฐานลูกค้าไปให้ใหญ่ที่สุด เห็นได้จาก LINE TV, LINE Today เมื่อเราขยายฐานลูกค้าได้จำนวนมหาศาลแล้ว สิ่งที่ตามมาคือสเต็ปที่ 3
  3. เริ่มสร้างรายได้ (Monetize ) เพราะวันที่บริการมีฐานลูกค้าเพียงพอแล้ว แบรนด์และธุรกิจต่างๆจะเริ่มเข้ามาหาเพราะอยากจะลงโฆษณาและสื่อสารกับลูกค้าของ LINE จังหวะนี้จึงเหมาะในการสร้างรายได้

เมื่อถามถึงคีย์สำคัญของการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสำหรับ LINE แล้วนั้น อริยะ กล่าวว่ามี 3 ประการ ที่เชื่อมั่นว่า คีย์ต่างๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราทำได้ดีมาโดยตลอด ประการแรก คือ ความเข้าใจผู้บริโภค ถึงแม้จะฟังเหมือนเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้จริง เนื่องจากไปเน้นแต่ที่โพรดักส์ของตนเอง สำหรับ LINE ไม่เน้นโพรดักส์ และไม่ได้ทำตัวเหมือนเป็นเซอร์วิสจากญี่ปุ่นที่นำมาใช้ต่อ แต่เราสร้างบริการใหม่ๆขึ้นมา ให้ตอบโจทย์ความต้องการของคน บนความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค ทุกบริการที่มี เราไม่ใช่คนแรกที่ทำ ถามว่าทำไมประสบความสำเร็จ เป็นเพราะความเข้าใจในผู้บริโภค ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่สำคัญของการเป็นผู้นำในวงการเทคโนโลยี

ประการที่สอง คือ การเข้าใจตลาด ที่ไม่จำกัดเฉพาะผู้บริโภค แต่ต้องเข้าใจทั้งวงการ ยิ่งมีบริการที่หลากหลาย ต้องมีความสามารถในการเข้าใจตลาดที่แตกต่าง เข้าใจในวงการที่เราอยู่ซึ่งหมายถึงวงการเทคโนยีอย่างถ่องแท้  และประการที่สาม คือ Speed, Scale และต้องกล้าคิด กล้าทำ การอยู่ในธุรกิจเทคโนโลยีที่เคลื่อนไหวเร็ว แน่นอนว่าต้องมีความเร็ว และที่มาเสริมคือการกล้าคิด กล้าทำ และทำให้ดีที่สุด เราอาจจะเริ่มสเกลที่เล็กแต่เราต้องมุ่งมั่นว่าเราไปใหญ่อย่างแน่นอน

ที่สำคัญและคนอื่นอาจมองข้ามคือ LINE มีความได้เปรียบอีกด้าน นั่นคือคาแรคเตอร์เฉพาะของเรา หมายถึง บราวน์  โคนี่ ฯลฯ  ซึ่งเป็นอีกส่วนที่เสริมในการเข้าใจผู้บริโภค สร้างความผูกพัน มีความเฟรนด์ลี่ เป็นกันเองกับผู้บริโภค ไม่ทำให้เทคโนโลยีดูหนัก เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้



 

CHANGE เป็นเรื่องธรรมดาแต่ประมาทไม่ได้

อริยะ กล่าวว่า วันนี้เราอยู่ในยุคที่ถ้าอยู่นิ่ง เราจะตายทันที จะเห็นได้ว่าบางอุตสาหกรรมไม่ได้ไปต่อ  แต่ถึงแม้การอยู่ในวงการเทคโนโลยีที่ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็อยู่ในความประมาทไม่ได้ ยิ่งอุตสาหกรรมที่อยู่นอกวงการเทคโนโลยีนั้น การเปลี่ยนแปลงยิ่งเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะธุรกิจที่อยู่มาเป็นเวลานาน ตั้งแต่ 30-80 ปี การบอกให้เปลี่ยน เพราะก้าวเข้าสู่ยุค 4.0  นั้นเข้าใจได้ แต่การเคลื่อนขององค์กรเป็นไปอย่างยากลำบาก เปรียบได้กับการเลี้ยวเรือไททานิค โดยเฉพาะการเปลี่ยนความคิดของคนเป็นสิ่งที่ยากที่สุด และจากประสบการณ์การพูดคุยกับลูกค้าและพันธมิตร สามารถสรุปได้ว่า ทุกคนรู้ว่าความเปลี่ยนแปลงกำลังมา อยู่ที่ว่าจะปรับตัวได้เร็วหรือไม่

การรับมือต่อความท้าทายต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์ ซึ่งถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ผู้บริหารทุกคนต้องมี  แต่บางครั้งก็เป็นเรื่องยาก  วิสัยทัศน์สำคัญมาก เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริหารรู้ว่าถึงเวลาที่องค์กรต้องปรับตัว ถ้าผู้บริหารระดับสูงไม่เปลี่ยน อย่างไรองค์กรก็ไม่เปลี่ยน เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งที่จะเกิดขึ้น การเปลี่ยนต้องเริ่มตั้งแต่ความคิด ไปสู่วัฒนธรรมขององค์กรด้วย

การที่วันนี้รายได้และกำไรยังดี อาจไม่สะท้อนถึงความยั่งยืนของธุรกิจ การมีวิสัยทัศน์จะเห็นว่าต้องเตรียมตัวรับความเปลี่ยนแปลง และจะมองเห็นถึงคู่แข่งที่กำลังเข้ามา คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุด คือคู่แข่งที่เราคุ้นเคยน้อยที่สุด  คู่แข่งที่ใช้เทคโนโลยี Disrupt  เราได้ในทันที สร้างความเปลี่ยนแปลงจนเราหายไปได้เลย  และต้องเข้าใจว่า Disruption ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของการสร้างบิสิเนสโมเดลใหม่

อริยะกล่าวว่า ความได้เปรียบของเขาสำหรับ LINE นั้น ส่วนหนึ่งคือ พนักงานในองค์กรส่วนใหญ่อยู่ใน Millennials Generation ที่มีอายุเฉลี่ยในองค์กรอยู่ที่ประมาณ 30 แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามีแต่คนที่อายุน้อย วันนี้ LINE ประเทศไทยมาถึงจุดที่มีทีมงานอยู่ 300 คน ซึ่งเป็นการผสมผสานและสมดุลย์ระหว่างคนรุ่นใหม่ กับคนที่มีประสบการณ์และชั่วโมงบิน  เมื่อมาเจอกัน เชื่อว่าจะสร้างทีมและวัฒนธรรมองค์กรที่น่าสนใจ

“เพราะเราให้ความเคารพซึ่งกันและกัน และเราต่างมีจุดแข็งและจุดเด่นที่ต่างกัน จึงเกิดไอเดียใหม่ คนรุ่นใหม่จะไม่มีคำว่าทำไม่ได้ ถ้าเราบอกว่าทำไม่ได้ เขาจะขอเหตุผลว่าทำไม ในเวลาเดียวกัน คนที่มีชั่วโมงบินจะคุ้นเคยกับการคุยกับพาร์ทเนอร์หรือผู้บริหารระดับสูง เมื่อต้องมีการทำงานร่วมกัน จึงเป็นจุดแข็งที่แตกต่างกัน การทำให้สองเจนเนอเรชั่นอยู่ด้วยกันได้ ถือเป็นจุดที่ลงตัวที่สุด”

จากการแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้บริหารในองค์กรใหญ่ๆ  มักจะมีความเห็นว่า วันนี้ความท้าทายในหลายองค์กรของไทยคือ ช่องว่างระหว่างวัย หรือ Generation gap” เพราะผู้บริหารในระดับสูงจะมีอายุอยู่ที่ประมาณ 50 – 60 ปี รองลงมาอยู่ที่ 40 ปี และที่เหลือจะเป็น 30 ปีบวกลบ  จะเห็นว่ามี Gap ที่หายไป เมื่อผู้บริหารระดับสูงเกษียณ จึงขาดคนมาทดแทน อย่างไรก็ตาม อริยะกล่าวถึงแนวคิดนี้ว่าเป็นลักษณะแบบ Traditional ที่ปฏิบัติตามกันมา แต่ถ้าคิดแบบคนยุคใหม่ต้องคิดข้ามไป ให้ Fast track ให้คนเหล่านั้นกลายเป็นผู้บริหาร ไม่ควรต้องคอยให้อายุถึง  40 – 50 ปี แต่ต้องสร้างให้พร้อมตั้งแต่วันนี้ และอย่ามองว่ามี Generation Gap

การตัดสินใจของอริยะที่ก้าวมาร่วมกับ LINE ตั้งแต่วันแรกนั้น  “เพราะที่นี่มีอะไรให้สร้างเยอะมาก ใครที่เป็นนักสร้างจะเอ็นจอยที่นี่ บังเอิญผมเป็นคนที่ชอบสร้าง ความสนุกมันจึงอยู่ตรงนี้ เราปั้นบริการใหม่ขึ้นมา โดยที่ไม่ต้องไปขออนุญาตสำนักงานใหญ่ มีเพียง CEO ที่ถามเพียงแต่ว่าเมื่อไรจะสำเร็จ เราสร้างได้ เราลงทุนได้ ความยืดหยุ่นคือสิ่งที่ทำให้อยู่ตรงนี้แล้วเอ็นจอย ส่วนที่สองคือการที่เราเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของ LINE ทำให้เราได้รับการซัพพอร์ตมาก เพราะเราเป็นประเทศที่โดดเด่น จึงเป็นหน้าที่ต้องทำให้โดดเด่นมากขึ้น  เราเป็นประเทศอันดับต้นขององค์กรอินเตอร์ จึงเป็นมิติที่ต่างกัน”

 

 

คีย์สำคัญของความสำเร็จ

ในด้านคีย์ของความสำเร็จ ที่อริยะเห็นว่าสำคัญที่สุด คือ “ทีมงาน”  ถึงแม้เราจะอยู่ในวงการเทคโนโลยี แต่เทคโนโลยีก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เกิดได้ก็คือ “คน”  ก็คือ “ทีม”

“ความสำเร็จวันนี้ พูดได้ว่าผมมีทีมงานที่เก่ง ที่พึ่งพาและไว้ใจได้ วันที่เข้ามาเราเป็นองค์กรที่เด็ก จนถึงวันนี้เราสร้างทีมขึ้นมาด้วยกัน ด้วยขนาดและจำนวนธุรกิจของ LINE ให้คิดและทำคนเดียวเป็นไปไม่ได้ หน้าที่หนึ่งของผมคือการสร้างทีมที่เก่ง และทำได้โดยที่ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง ตรงไหนที่ทำได้เราปล่อยได้ เราต้องสร้างทีมที่แข็งแกร่งและมีความเป็นเจ้าของร่วมกัน มีความคิดของตนเอง ถ้ามีความเห็นไม่ตรงกันก็หารือกันได้ นี่คือความสนุกของการทำงานกับ Millennials เราสั่งเขาไม่ได้ ต้องเข้าใจว่าเขาอยากได้อะไร ทำงานแบบไหน ซึ่งเหมาะกับสิ่งที่ LINE ต้องการด้วย”

ส่วนที่สองคือลูกค้า ทำอะไรต้องนึกถึงลูกค้า บริการที่สร้างขึ้นมาต้องดีที่สุด ต้องตอบโจทย์ลูกค้าให้มากที่สุด และคีย์สำเร็จเรื่องที่สาม คือ คิดอะไรก็ตาม อย่าคิดเล็ก ต้องคิดใหญ่เสมอ เน้นที่อิมแพค จะทำอะไรใช้วิธีการวัดผลความสำเร็จที่อิมแพค เพื่อเป็นการสรุปว่าที่เราทำนั้น เราทำให้กับผู้บริโภค ซึ่งไม่ใช่จำนวนเพียงแสนคนหรือล้านคน เราทำให้คนตั้งแต่ 10 – 40 ล้านคน จึงเป็นอิมแพคที่เราต้องมองให้มาก เราสามารถสร้างให้คนในระดับประเทศได้ เพราะเราเป็นแพลทฟอร์มที่เข้าถึงจำนวนคนที่มากที่สุดในประเทศไทย จึงเป็นสิ่งที่ต้องคิด เวลาที่คุยกับพาร์ทเนอร์ หรือมองเรื่องบริการใหม่ จะต้องมีคำถามว่า เราจะตอบโจทย์ลูกค้าจำนวนเท่าไร ซึ่งจะเป็นข้อแรกในการพิจารณาว่าจะทำหรือไม่

บทบาทผู้นำต่อสังคม

อริยะ กล่าวว่า ผู้นำต้องเป็นตัวอย่างที่ดีกับสังคม สิ่งที่อยากเห็นคืออยากให้มีผู้บริหารยุคใหม่มากขึ้น  เพราะเราเข้ายุคเทคโนโลยี ผู้บริหารยุคใหม่ต้องมีความเข้าใจในเทคโนโลยี รูปแบบการคิดต้องเป็นรูปแบบที่ใหม่ สามารถสร้างบิสิเนสโมเดล ใหม่ และต้องไม่มีความคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ต้องคิดในเชิงรุก และต้องมองอะไรไกลขึ้น ไม่มองแค่ในประเทศ แต่ต้องมองอย่างน้อยระดับ Regional และไปไกลที่ Global  ในที่สุด เพราะวันนี้เราอยู่ในยุคไร้พรมแดน  คู่แข่งของเราคือประเทศอื่นๆ ถ้าประเทศไทยไม่สร้างความสามารถในการแข่งขัน จะไปต่ออย่างยากลำบาก

วันนี้ประเทศไทยขาดคนที่เข้าใจยุค 4.0 อย่างแท้จริง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยีแต่ต้องเข้าใจว่าเทคโนโลยีมีผลกระทบกับทุกอุตสาหกรรม จึงอยากเห็นผู้บริหารรุ่นใหม่ขึ้นมา เพื่อพาทั้งองค์กรและประเทศไปได้ไกล เพราะเราต้องคิดรูปแบบใหม่ จึงต้องใช้คนรุ่นใหม่ ซึ่งคนเหล่านี้ต้องสร้างขึ้น และเราไม่ได้ขาดเฉพาะผู้บริหาร เรายังขาดอีกหลายส่วน ทั้งความรู้ทางด้านเทคโนโลยี  นักพัฒนา  Data Scientist หรือบุคคลที่ทำหน้าที่ออกแบบวิธีการจัดเก็บ และเรียกใช้งานข้อมูล ซึ่งคนอาชีพใหม่ๆเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เราต้องเตรียมความพร้อมเพื่อการเดินหน้าอย่างเร่งด่วน

Page 1 of 10
X

Right Click

No right click