December 13, 2025

สังคมไร้เงินสด หรือ Cashless Societyใกล้สู่ความเป็นจริง ล่าสุดแบงค์ชาติ เดินหน้า จับมือกับสถาบันทางการเงินรายใหญ่หลายราย เตรียมพร้อม เปิด“QR Code มิติใหม่ของการชำระเงิน”  อีกรูปแบบของการสานต่อแนวทางการพัฒนาระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ e-Payment คาดจะเริ่มนำมาใช้ได้ทั่วไปภายในไตรมาส 4 นี้

จากรายงานของสมาคมมีเดียเอเจนซี่ และธุรกิจสื่อประเทศไทย ถึงสถานการณ์การใช้สื่อในครึ่งปีแรก และแนวโน้มภาพรวมอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาในช่วงครึ่งปีหลังตั้งแต่เดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2560 คาดว่าจะลดลงกว่า 11% เมื่อเทียบกับปี 2559 ส่งผลต่อภาพรวมการใช้สื่อในปีนี้ยังคงติดลบ 5%  โดยทั้งหมดนี้มีผลจากภาวะการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

การคิดค้นนวัตกรรม “จรวดนำวิถี”  Made in Thailand งานวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) " สทป."หรือ “DTI” ที่เริ่มแนวคิดจากการเป็นอาวุธ

MOC Biz Shop ร้านค้าต้นแบบผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ที่กระทรวงพาณิชย์ เตรียมเปิดร้านค้าขึ้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานรากอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเชื่อมโยงสินค้าเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นข้ามจังหวัด ข้ามภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อสร้างความหลากหลายของสินค้า และการสร้างอัตลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ดึงดูดลูกค้าและนักท่องเที่ยว ซึ่งการผลักดันให้เป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าท้องถิ่นประจำภูมิภาคและจังหวัด ในเฟสแรกจะมีการเปิดร้านค้าต้นแบบได้ไม่น้อยกว่า 10 จังหวัดทั่วประเทศ

ครั้งแรกของวงการค้าปลีก ในการเผยเคล็ดลับ และเปิดพื้นที่ขายให้ SMEs รุ่นใหม่ ต่อยอดแบรนด์ ทดลองตลาดให้เติบโตได้จริง นำมาสู่ 3 SMEs สุดเจ๋ง - ซาลาเปาโฮลวีทแบรนด์ BUN101, แฟชั่นมัลติแบรนด์ CAMP, คอนเซ็ปต์สโตร์ชุดเครื่องนอนและของแต่งบ้านแบรนด์ VINTEL ได้รับรางวัล SMEs ดีเด่น 3 อันดับแรกที่มีไอเดียปั้นธุรกิจได้โดดเด่นที่สุด

ปัจจุบันการวิ่ง นับว่าเป็นกีฬาอีก 1 ชนิดที่สังคมไทยนิยมกันมากขึ้น จึงทำให้หลายคนหันมาออกกำลังกายด้วยการวิ่งหรือเข้าร่วมในการวิ่งมาราธอน

จากความลงตัวของ 2 ปัจจัยหลัก คือ น้ำผลไม้ 100% เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงด้วยสัดส่วน 1 ใน 3 ของตลาดน้ำผลไม้มูลค่า 14,000 ล้านบาท (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2560) อีกทั้งน้ำผลไม้ เซกเมนท์นี้ยังเป็นผลิตภัณฑ์ฮีโร่ที่ขายดีที่สุดของมาลี โดยมียอดขายมากกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 50% ของยอดขายในประเทศ

มาสู่ความเคลื่อนไหวล่าสุด ของมาลี กรุ๊ป เพื่อต่อยอดไปสู่จุดมุ่งหมายการเป็น “ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลก” โดยใช้งบกว่า 60 ล้านบาท รุกตลาดน้ำผลไม้ 100% มูลค่า 5,000 ล้านบาท ภายใต้ 3 กลยุทธ์

กลยุทธ์ที่ 1) เปิดตัวบรรจุภัณฑ์โฉมใหม่ นับเป็นการปรับโฉมครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เป็นสากล และยังเป็นผลิตภัณฑ์โดนใจผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเสริมแกร่งธุรกิจอินเตอร์เนชั่นแนลของมาลีในระดับนานาชาติ ด้วยการจับมือกับเวิลด์คลาส ดีไซเนอร์ ทำการวิจัยและพัฒนาดีไซน์บรรจุภัณฑ์โฉมใหม่ภายใต้แนวคิด “Grown With Love” ที่สะท้อนความมุ่งมั่นของมาลีในการผลิตน้ำผลไม้ ตั้งแต่การรอเวลาที่เหมาะสม การเก็บอย่างพิถีพิถัน และการดูแลด้วยใจ มาลีจึง ‘ให้ทุกคนได้คุณค่ามากกว่าน้ำผลไม้ 100%’

ทั้งนี้ มาลียังถือเป็นน้ำผลไม้รายแรกในประเทศไทยที่ใช้นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์กล่อง UHT ขนาด 200 มล. ที่มีแถบดีไซน์รูปทรง “ใบไม้” ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคจับถนัดมือมากขึ้นและยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะกล่องเครื่องดื่มรุ่นใหม่ทุกกล่องของมาลีนั้นได้รับการรับรองจากองค์การจัดการด้านป่าไม้ระดับสากล Forest Stewardship Council™ และติดฉลาก FSC™ ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคได้ว่ากระดาษที่ใช้ทำกล่องนั้นมาจากป่าปลูกเชิงพาณิชย์ ที่ผ่านการจัดการอย่างมีความรับผิดชอบ หลังจากดื่มหมดแล้วยังสามารถนำกล่องไปรีไซเคิลได้อย่างครบวงจร เป็นการช่วยลดปริมาณขยะและลดภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย

 กลยุทธ์ที่ 2) การกระชับพอร์ตผลิตภัณฑ์ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการผลิต การเก็บรักษา การทำตลาด และการจัดจำหน่าย โดยได้ปรับลด SKU ที่ได้รับความนิยมน้อยลง 20% ที่ช่วยทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ตรงตามความต้องการได้ง่ายขึ้น

 กลยุทธ์ที่ 3) โปรแกรมสื่อสารทางการตลาดรอบด้าน ที่เข้าถึงผู้บริโภคด้วยช่องทางการสื่อสารแบบครบวงจร 360 องศา ประกอบด้วย ภาพยนตร์โฆษณาที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของมาลีในการผลิตน้ำผลไม้ที่ “ให้คุณค่ามากกว่าน้ำผลไม้ 100%” ซึ่งจะออกอากาศพร้อมกันทั่วประเทศในวันนี้ (21 สิงหาคม) เป็นต้นไป โดยประเดิมในช่วงละครหลังข่าว สื่อออนไลน์ ทั้งในเฟสบุ๊คของผลิตภัณฑ์มาลี ยูทูป ไลน์ทีวี พร้อมทั้งสื่อสารผ่านกลุ่ม Online Influencer ให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพ กิจกรรมโรดโชว์และแจกสินค้าตัวอย่างให้ชิมในซูปเปอร์มาร์เก็ต โมเดิร์นเทรด ร้านค้าหลักในต่างจังหวัดครอบคลุมทุกช่องการจำหน่ายทั่วประเทศเพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์การดื่มมาลี น้ำผลไม้ 100%

 นางสาวรุ่งฉัตร บุญรัตน์ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “การรุกตลาดน้ำผลไม้ 100% ในช่วงครึ่งปีหลัง 2560 ถือเป็นอีกก้าวของมาลีกรุ๊ปในการเดินหน้าสู่จุดมุ่งหมาย “ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลก “เราเชื่อมั่นว่าการรุกเซกเมนท์น้ำผลไม้ 100% ในครั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันการเติบโตให้กับกลุ่มน้ำผลไม้ 100% เพิ่มขึ้น 10% ภายในสิ้นปี 2560 และสร้างยอดจัดจำหน่ายในขนาด 200 มล. ในช่องทางร้านสะดวกซื้อ เพิ่มขึ้น 15% และขยายฐานผู้บริโภคกลุ่มใหม่ ให้หันมาดื่มน้ำผลไม้ 100% รวมทั้งเป็นก้าวสำคัญของมาลีกรุ๊ปเพื่อเดินหน้าสู่จุดมุ่งหมาย “ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลกได้อย่างแน่นอน”

บล็อกเชน (Blockchain) ถือกำเนิดขึ้นเพื่อรับรองความถูกต้องให้กับบิทคอยน์ (Bitcoin) ระบบสกุลเงินที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับอุตสาหกรรมการเงินอย่างมากเมื่อปี 2008 (พ.ศ. 2551) แกนหลักของเทคโนโลยีนี้คือการกำจัดระบบควบคุมแบบเบ็ดเสร็จจากส่วนกลางด้วยการนำเสนอเครือข่ายแบบกระจายที่มีข้อกำหนดและกฎระเบียบในแบบฉบับของตัวเอง

บริษัทนีลเส็น (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและตรวจวัดข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภค เปิดเผยข้อมูลงบโฆษณาประจำเดือนกรกฎาคม 2560 โดยการแบ่งตามประเภทสื่อต่างๆ มูลค่ารวมการใช้งบโฆษณาทั้งสิ้น 8,549 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 14.12%  และสื่อที่ใช้งบโฆษณามากที่สุด 3 อันดับแรก คือ

  1. ทีวีอนาล็อก 3,362 ล้านบาท
  2. ทีวีดิจิทัล 1,953 ล้านบาท
  3. หนังสือพิมพ์ 631 ล้านบาท

สำหรับสื่ออื่นๆ ได้แก่ สื่อเคเบิล 295 ล้านบาท, สื่อวิทยุ 405 ล้านบาท, สื่อแมกกาซีน 134 ล้านบาท, สื่อในโรงภาพยนตร์ 585 ล้านบาท, สื่อนอกบ้าน 533 ล้านบาท, สื่อเคลื่อนที่ 452 ล้านบาท, สื่อ ณ จุดขาย 80 ล้านบาท และสื่ออินเทอร์เน็ต 119 ล้านบาท

 

 ด้านการใช้สื่อในองค์กรพบว่า 10 อันดับที่ใช้งบโฆษณาสูงสุดในเดือนกรกฎาคม 2560 มีดังนี้

  1. บริษัท ยูนิลีเวอร์ (ประเทศไทย) จํากัด: 392,859,000 บาท
  2. บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล หรือ P&G: 171,786,000 บาท
  3. บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน): 141,580,000 บาท
  4. บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด (สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7): 139,435,000 บาท
  5. บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด: 133,051,000 บาท
  6. สำนักนายกรัฐมนตรี: 127,396,000 บาท
  7. บริษัท ตรีเพชร อีซูซุ เซลส์ จำกัด: 110,405,000 บาท
  8. บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จํากัด: 107,588,000 บาท
  9. บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ (พับบลิค) จำกัด: 100,103,000 บาท                                                                                                                                                                                                              
  10. บริษัท โคคา-โคล่า (ไทย) จำกัด: 89,889,000 บาท

 

 ขณะเดียวกัน 10 แบรนด์ที่ใช้งบโฆษณาสูงสุดในเดือนกรกฎาคม 2560 มีดังนี้

  1. สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7: 139,354,000 บาท
  2. ธนาคารออมสิน: 81,721,000 บาท
  3. ไทยประกันชีวิต: 75,952,000 บาท
  4. เครื่องดื่มโค้ก: 71,471,000 บาท
  5. VIVO สมาร์ทโฟน: 59,433,000 บาท
  6. OPPO สมาร์ทโฟน: 57,874,000 บาท
  7. AIS: 48,685,000 บาท
  8. เทสโก้ โลตัส: 47,655,000 บาท
  9. Head & Shoulders: 46,280,000 บาท
  10. Turner Broadcasting System Asia Pacific: 45,069,000 บาท

 

อย่างไรก็ตาม ที่มาของข้อมูลสื่อกลางแจ้ง (outdoor) และสื่อเคลื่อนที่(transit):มีการรวมข้อมูลจาก JCDecaux สำหรับข้อมูลจากสื่อในสนามบินตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2560 และข้อมูลของสื่อ outdorr และ transit จาก JCDecaux ได้ถูกรวมเข้าไว้ในรายงานตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560

นอกจากนี้นีลเส็นได้มีการเพิ่มพื้นที่การเก็บข้อมูลสื่อกลางแจ้ง (outdoor) เช่นสื่อเคลื่อนที่(transit),ป้ายบิลบอร์ด, ป้ายโฆษณาบนทางเท้า, สื่อในสนามบิน และอื่นๆ ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2559 เป็นต้นมา

ส่วนสื่ออินเทอร์เน็ท – ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2559 นีลเส็นได้มีการขยายการเก็บข้อมูลโมษณาผ่านสื่อ อินเทอร์เน็ทโดยครอบคลุม 50 เว็บไซต์ยอดนิยม และ 10 เว็บไซต์ยอดนิยมบนมือถือ

สำหรับภาพรวมการใช้งบโฆษณาผ่านสื่ออินเทอร์เน็ททั้งหมดกรุณาอ้างอิงข้อมูลจาก DAAT

สื่อในห้าง – นีลเส็นได้มีการเพิ่มข้อมูล สื่อวิทยุในห้าง Big C และ 7 Eleven เข้ามาในฐานข้อมูล ตั้งแต่เดือนมกราคม 2559

ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2558 ข้อมูลของสื่อในห้างTesco Lotus และ Big C ไม่ได้รวมอยู่ในฐานข้อมูลของนีลเส็น

ตั้งแต่เดือน มิถุนายน 2559 เป็นต้นมา ได้มีการเพิ่มสื่อที่บริหารจัดการโดยบริษัท Plan B เข้ามาในฐานข้อมูลของสื่อกลางแจ้ง, สื่อเคลื่อนที่, และสื่อในห้าง

 

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) จับมือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โชว์ผลสำเร็จ 6 บทเรียนจากแพลตฟอร์มการเรียนรู้ธุรกิจออนไลน์ www.NEClearning.com อาทิ การสร้างแนวคิดทางธุรกิจ กลยุทธ์ด้าน Digital Marketing ฯลฯ ที่กำลังประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยหลังจากเปิดให้บริการเพียง 90 วัน มีผู้ลงทะเบียนและเข้ามาเรียนรู้ผ่านบทเรียนต่าง ๆ สูงถึง 11,000 คน ทั้งนี้ในอนาคต กสอ. ยังจะพัฒนาบทเรียนให้มีความครอบคลุมและดึงดูดให้ผู้ประกอบการเข้าถึงช่องทางดังกล่าวได้อย่างคล่องตัว โดยคาดว่าระบบดังกล่าวจะมีผู้ประกอบการใช้งานไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นรายต่อปี

อย่างไรก็ดี เมื่อเร็ว ๆ นี้ กสอ. ยังได้ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดพิธีมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้สำเร็จการอบรมเรียนรู้ความเป็นผู้ประกอบการใหม่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ NEClearning.com ณ ห้องชฎาบอลลูม ชั้น 2 โรงแรมสยามเคมปินสกี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ    

ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ด้วยนโยบายการผลักดันผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมให้สอดรับกับเศรษฐกิจดิจิทัล กสอ. ได้มุ่งเน้นพัฒนากระบวนการการทำงานให้เป็นไปอย่างชาญฉลาด (SMART) ด้วยการผสมผสานและบูรณาการองค์ประกอบที่สำคัญให้เกิดพร้อมกันทั้ง 3 ส่วน เริ่มตั้งแต่

  1. การปรับแนวคิดของทรัพยากรมนุษย์ โดยมุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการมีความรู้และทักษะในการคิดค้นหรือพยายามนำสิ่งใหม่ ๆ ที่ทันสมัยมาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงาน
  2. การประยุกต์กระบวนการผลิต โดยสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านเครื่องจักร ระบบอัตโนมัติ ระบบคอนโทรลให้กับผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดมาตรฐานและคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น และ
  3. การเปลี่ยนแปลงสินค้าและผลิตภัณฑ์ โดยมุ่งผลักดันการใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเพื่อให้สินค้าเกิดมูลค่าที่สูงขึ้น พร้อมต่อยอดผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมขั้นสูงให้เข้าสู่การเป็นผลิตภัณฑ์อัจฉริยะเพื่อตอบสนองกระแสการใช้ชีวิตสมัยใหม่ของผู้บริโภค

ดร.พสุ กล่าวต่อว่า กสอ. ได้ร่วมมือกับคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการพัฒนาช่องทางการเรียนรู้ผ่านระบบอีเลิร์นนิ่ง (E-Learning) บนเว็บไซต์ www.NEClearning.com เผยแพร่ในแบบ Edutainment ประกอบด้วย 6 บทเรียน คือ 1. การสร้างแนวคิดทางธุรกิจ 2. Digital Marketing 3. การออกแบบและพัฒนาร้านค้าออนไลน์ 4. การประมาณเงินลงทุนธุรกิจและวางแผนบริหารทางการเงิน 5. การเขียนและจำลองแผนธุรกิจ และ 6.กฎหมายสำหรับผู้ประกอบการให้กับผู้ที่ตั้งใจจะปรับโมเดลและพัฒนาธุรกิจโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งตั้งแต่เริ่มเปิดโครงการเมื่อวันที่ 1 พ.ค. – 31 ก.ค.ที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องจากในระยะเวลาเพียงแค่ 90 วัน มีผู้ลงทะเบียนและเข้ามาเรียนรู้ผ่านบทเรียนต่าง ๆ สูงถึง 11,000 คน เกินกว่าความคาดหมายที่ทางโครงการตั้งเอาไว้อย่างมาก และคาดว่าระบบดังกล่าวจะมีผู้ใช้งานต่อปี ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นรายต่อปี  ซึ่งถือเป็นการพลิกโฉมบริการของ กสอ. ในเรื่องการเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการที่ได้พัฒนาองค์ความรู้ด้วยสื่อความรู้ที่ทันสมัย

อย่างไรก็ดี การนำระบบอีเลิร์นนิ่งเข้ามาให้บริการแก่ผู้ประกอบการในครั้งถัดไป กสอ. จะพัฒนาบทเรียนให้มีความครอบคลุม พร้อมทั้งพัฒนาระบบการจัดการหลักสูตรฝึกอบรมการสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อลดช่องว่างในการเข้าถึงโอกาสการเรียนรู้มากขึ้นและให้ผู้ที่สนใจจะเริ่มต้นธุรกิจทั่วประเทศได้เข้าถึงเว็บไซต์นี้ได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัว นอกจากนี้ยังตั้งเป้าขยายการให้บริการผ่านออนไลน์ในทุกรูปแบบให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการในทุกประเภท ซึ่งเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าบริการที่ดีเหล่านี้จะช่วยดึงดูดผู้ประกอบการให้ตื่นตัวกับการใช้ดิจิทัลในการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น  

นอกจากนี้ กสอ.ยังได้มีบริการออนไลน์ใน 2 รูปแบบ คือ 1.การพัฒนาแอปพลิเคชั่นให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ประกอบการผ่านสมาร์ทโฟนและระบบอินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่ ได้แก่ แอปพลิเคชัน DIP Business Plan Money Flow, Stock Flow, Billing Flow และDIP Business Evaluation มาช่วยลดปัญหาพื้นฐานความยุ่งยากและซับซ้อนด้านระบบการทำบัญชีและการเงินและช่วยให้การดำเนินธุรกิจมีความรวดเร็วมากขึ้น และ 2.การพัฒนาบริการต่างๆผ่านช่องทางเว็บไซต์ www.bsc.dip.go.th, www.e-consult.dip.go.th, www.id-society.com เพื่อให้ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปได้เข้าถึงการขอคำปรึกษา แก้ปัญหา การออกแบบและพัฒนาสินค้า ข้อมูลข่าวสาร การร้องเรียน โครงการ/กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ในระบบออนไลน์ ซึ่งมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการพบที่ปรึกษาหรือการร่วมกิจกรรมต่าง ๆ โดยตรง ดร.พสุ กล่าวปิดท้าย

ด้าน รศ.ดร.ใจทิพย์ ณ สงขลา หัวหน้าภาควิชาเทคโนโลยีการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าการก้าวหน้าของเทคโนโลยีมีส่วนช่วยในการศึกษาให้มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง “อีเลิร์นนิ่ง” คือคำตอบหนึ่งที่ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องมาเรียนอยู่ในห้องเรียนตามปกติไม่จำเป็นต้องเรียนพร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน แต่สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลาที่มีความสะดวก ดังนั้นจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในระบบโรงเรียนหรือการศึกษาปกติ

สำหรับ NEClearning.com ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) พัฒนาขึ้นนี้เชื่อมั่นอย่างมากว่าจะช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับความรู้ได้อย่างรวดเร็ว  เกิดความสะดวกสบายในการเข้าถึงการเรียนรู้ พร้อมทั้งช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะด้านการสร้างนวัตกรรมเพื่อต่อยอดธุรกิจ ต่อเนื่องถึงการเป็นผู้ผลิตที่สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าต่าง ๆ เพื่อตอบสนองนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างดีเยี่ยม

 

X

Right Click

No right click