December 13, 2025

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics เผยการขยายตัวของรายได้ท่องเที่ยวกระจายไม่ทั่วภูธร เหตุจากรายได้ก้อนใหญ่คือฝรั่งเที่ยวไทยกระจุกใน 4 เมืองซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเดิมที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ยึดหัวหาดธุรกิจเกี่ยวเนื่องไปแล้วเกือบทั้งหมด

ภาคการท่องเที่ยวถือเป็นสาขาเศรษฐกิจสำคัญของเอกชนที่ยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาถือเป็นหัวใจหลัก พยุงให้เศรษฐกิจไทยเติบโต ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากกิจกรรมการท่องเที่ยวสร้างรายได้สู่เศรษฐกิจผ่านห่วงโซ่อุปทานหลายธุรกิจ อาทิ ภาคโรงแรมร้านอาหาร ภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้าส่ง/ค้าปลีก และภาคขนส่ง ซึ่งนับเป็นประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อมในภูธร มองว่าแรงส่งภาคการท่องเที่ยวกลับอ่อนแรงและไปไม่ถึง SME สะท้อนจากยอดขายที่เติบโตน้อยและเร่งไม่ขึ้น แม้ตัวเลขภาคการท่องเที่ยวจะขยายตัวดีก็ตาม

เมื่อนำโครงสร้างรายได้ปี 2559 มาศึกษา ศูนย์วิเคราะห์ฯ พบว่า กว่าร้อยละ 80 ของเม็ดเงินจากภาคท่องเที่ยวจำนวน 2.52 ล้านล้านบาท กระจุกอยู่ใน 17 จังหวัด โดยแหล่งรายได้ 2 ใน 3 เกิดจากค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นตลาดจีนกว่าร้อยละ 30

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวิเคราะห์ด้านการกระจายตัวของรายได้ กลับกระจุกในพื้นที่เพียง 4 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต ชลบุรี และสุราษฏร์ธานี เท่านั้น

ขณะที่รายได้จากคนไทยเที่ยวไทยกลับกระจายตัวมากกว่า โดยครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯและหัวเมืองหลักของแต่ละภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ (เชียงใหม่ เชียงราย) ภาคตะวันออก (ชลบุรี ตราด) ภาคใต้ (ภูเก็ต กระบี่ สงขลา ระนอง สุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราช) ภาคกลาง (ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี เพชรบุรี อยุธยา) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (นครราชสีมา ขอนแก่น) ตามลำดับ

จึงไม่น่าแปลกใจที่ชาวภูธรยังรู้สึกว่าการขยายตัวของภาคท่องเที่ยวมีบทบาทต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาคเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะเม็ดเงินสะพัดกระจุกอยู่เฉพาะเมืองเศรษฐกิจไม่กี่เมืองและธุรกิจในหัวเมืองที่สามารถดึงดูดค่าใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวได้นั้น มักเป็นกิจการของกลุ่มทุนขนาดใหญ่เป็นหลัก

ขณะที่ภาคบริการของ SME ไทย เช่น โรงแรมขนาดเล็ก เกสเฮ้าส์ ร้านอาหารพื้นบ้าน ร้านนวดสปาประจำถิ่น จะมีกลุ่มลูกค้าหลักคือคนไทยเที่ยวไทยซึ่งแม้จะเที่ยวกระจายพื้นที่มากกว่าแต่ส่วนใหญ่ก็มิได้เตรียมงบประมาณเพื่อจับจ่ายในกิจกรรมสันทนาการนักเพราะเหตุผลหลักในการเดินทาง คือ กลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัว ญาติ หรือเพื่อน

มาตรการ “ลดหย่อนภาษีเที่ยว 3 โซน” ที่คาดว่าจะออกในปีหน้า อาจช่วยกระตุ้นให้คนไทยท่องเที่ยวหลากหลายพื้นที่มากขึ้น แต่เราต้องไม่ลืมว่ารายได้หลักยังคงมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กระจุกตัวในจังหวัดท่องเที่ยวหลักเท่านั้น  จึงทำให้เศรษฐกิจภูมิภาคและ SME ยังไม่ได้ประโยชน์อย่างทั่วถึง ทั้งที่ความจริงแล้วในจังหวัดอื่นๆยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมาก หากนำมาพัฒนาและประชาสัมพันธ์ให้มีจุดขายและมีเรื่องราวน่าสนใจเป็นจุดที่ต้องแวะชม จะช่วยสร้างเม็ดเงินก้อนใหม่ซึ่งเป็นก้อนใหญ่ให้กับเศรษฐกิจภูมิภาคโดยใช้เวลาไม่นาน

ดังนั้น รัฐต้องเร่งพัฒนาและประชาสัมพันธ์เมืองท่องเที่ยวใหม่ให้ต่างชาติได้รับรู้ โดยอาจเริ่มจากการพัฒนาเมืองท่องเที่ยวใหม่ที่สามารถเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวเดิมที่ต่างชาตินิยม พร้อมกับเป็นผู้นำเพื่อให้เกิดการบริหารจัดการให้เป็นระบบ มีมาตรฐานด้านความปลอดภัย มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีสาธารณูปโภคครบครัน และเข้าถึงได้ง่าย ผู้ประกอบการ SME เองต้องปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ Life Style นักท่องเที่ยวพร้อมโปรโมทธุรกิจผ่าน Social network มากขึ้น น่าจะลดการเที่ยวกระจุกของต่างชาติและหนุนรายได้ให้กระจายสู่ภูมิภาค เพื่อให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยได้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

 

 

 

ในโลกของการแข่งขันปัจจุบัน หลายองค์กรพยายามเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในยุคที่เต็มไปด้วยข้อมูล

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุรพงษ์ เลิศสิทธิชัย ผู้อำนวยการ   ศูนย์เศรษฐกิจสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผย

หลายคนคงไม่คาดคิดว่า App MEB  สำหรับอ่านอีบุ้ค ที่รู้จักกันดีในตลาดหนังสือออนไลน์นั้น มีจุดเริ่มต้นจากกลุ่มคนทีมีใจรักการอ่าน  พร้อมด้วยวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกลว่า วงการหนังสือไทย ต้องเตรียมรับมือกับการเข้ามาของดิจิทัล เช่นเดียวกับหลายอุตสาหกรรม ที่พยายามทางออกกับการเปลี่ยนแปลงนี้

ซึ่งดูเหมือนว่าตั้งแต่จุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง ที่มีเส้นทางจากบริษัท IT start up กระทั่งปัจจุบันที่ได้การตอบรับจากนักอ่านเป็นอย่างดี จนผลงานเข้าตาร้านขายหนังสือและเครื่องเขียน B2S ของกลุ่มเซ็นทรัล ส่งผลทำให้ บ.เมพคอร์ปอเรชั่น  ได้พันธมิตรที่สำคัญเข้าร่วมลงทุนเข้าซื้อหุ้น MEB ถึงจำนวน 75%

ผู้บริหารบริษัท เมพ คอร์ปอเรชั่น รวิวร มะหะสิทธิ์”  เปิดใจกับนิตยสาร MBA ว่า MEB เริ่มมาจาก Engineer  ซึ่งตนเป็น Engineer ที่รักในหนังสือ และการเป็นคนในวงการไอที ที่เรียนจบมาทางอิเล็คทรอนิคส์ รวมทั้งมีช่วงหนึ่งได้เป็นเบื้องหลังของการพัฒนาระบบนั้น ส่วนหนึ่งจึงเป็นความได้เปรียบที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี

อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่สุด คือต้องอาศัยความสนใจส่วนตัว เพราะไม่ได้หมายความว่าคนที่จบ Engineer ทุกคนจะมาทำอีบุ้คได้  ถ้าไม่มีความเข้าใจในธุรกิจหนังสือ แต่เป็นความลงตัวของ Engineer ที่รักหนังสือ จึงทำสิ่งนี้ออกมาได้ และเมื่อมาถึงปัจจุบัน MEB ก็เข้าสู่ปีที่ 6 แล้ว 

 

 

ช่วงหนึ่งในชีวิต เราเคยมีโอกาสทำสำนักพิมพ์มาด้วยซ้ำ เป็นสำนักพิมพ์เล็กๆ ในเวลานั้น เราได้เห็นข้อจำกัดของคนที่พิมพ์หนังสือหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของร้านหนังสือ การจัดส่งหนังสือ สายส่ง กระบวนการทั้งหมดนี้ ทำให้เราเห็นปัญหาได้ชัดเจนมากขึ้น เมื่อมาถึงจุดที่คิดจะทำร้านอีบุ้คของตัวเองขึ้นมา จึงต้องคิดถึงปัญหาต่างๆที่เคยเจอ

ซึ่งปัญหาทั้งหลายที่กล่าวมานั้น เมื่อเป็นร้านอีบุ้คจะสามารถตัดปัญหาทั้งหมดที่ร้านหนังสือมี นับตั้งแต่ไม่มีต้นทุนค่าวางจำหน่าย นักเขียน ได้รับส่วนแบ่งรายได้ที่เหมาะสม ไม่มีการรับหนังสือที่กว้าง ไม่จำกัดแนว  

นอกจากนี้ ในอดีตที่ขายหนังสือ จะมีปัญหาเรื่องการรู้ยอดขายช้า บางครั้งใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะรู้ว่าขายได้จำนวนกี่เล่ม ซึ่ง เป็นข้อจำกัดทำให้การวางแผนธุรกิจทำได้ยาก ในขณะที่ระบบของอีบุ้ค จะทำให้เจ้าของผลงานสามารถเช็คยอดขายได้ทันทีที่หนังสือวางขาย หรือในมิติของการเงิน ก็จะมีอัตราการรีเทิร์นกลับมาที่เร็วมาก เพราะในอัตราขั้นต่ำเพียง 100 บาทก็มีการจ่ายค่าเรื่องให้นักเขียนแล้ว

นั่นหมายความว่า เป็นการเปิดช่องให้นักเขียนรายย่อย มีผลงานสามารถทำเงินสร้างรายได้ ไม่ต้องระดับเงินหมื่นเงินแสนถึงจะวางบิล เงินจะโอนเข้าบัญชีให้โดยอัตโนมัติ

“สิ่งเหล่านี้  คือการตอบโจทย์ธุรกิจ ตอบโจทย์คนทำหนังสือโดยตรง”  และไม่เพียง MEB เท่านั้นที่โต ยังทำให้ตลาดอีบุ้คเติบโตไปด้วย เพราะเป็นคนที่ทำหนังสือมาก่อน ทุกอย่างทำไปบนพื้นฐานของความเข้าใจ คนที่เข้ามาร่วมงานด้วยรู้ว่า เราเข้ามาในธุรกิจนี้เพราะเรารักหนังสือ และอยากให้คนที่ทำหนังสือมีโอกาส มีทางออก รุ่งเรืองขึ้น ดีขึ้น”

 

Pixipe ครีเอทีฟมาร์เก็ต เพลส ออนด์ดีมานด์

รวิวร เล่าต่อว่า  ทุกวันนี้ MEB เป็นอีบุ้คมาร์เก็ต เพลส ที่ได้รับการตอบรับเป็นผู้นำอันดับต้นๆของตลาด e-book reader  เป็นที่มาของการขยายมาสู่การสร้างมาร์เก็ตเพลส ในหลักการของการนำ Content อีกแบบหนึ่ง  ซึ่งอยู่บนพื้นฐานและแนวคิดที่ว่า จะสามารถสร้างมาร์เก็ตเพลส จาก Content อื่นได้หรือไม่ และรูปแบบไหนที่ยังไม่มีใครเข้ามา แต่มีตลาดรองรับอยู่ เช่น “เพลง” ที่ไม่ทำเพราะมีผู้เล่นรายอื่นทำแล้ว และตลาดมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง หรือ “หนัง” มีแต่จะล้มหายตายจาก ไม่ค่อยมีตลาด ”

ส่วน Rising Star คือ ทุกวันนี้ที่เราเล่นโซเชียลฯ กัน จะเห็นว่ามี Creator หน้าใหม่เกิดขึ้นในวงการอย่างมากมาย ทั้งคนที่วาดรูป คนสร้างสรรค์ต่างๆ จะเห็นว่ามี Content ดีๆจำนวนมหาศาล จึงเป็นที่มาของการนำ Content ของ Creator มาทำ Pixipe ซึ่งเป็นมาร์เก็ตเพลส และที่สำคัญคือไม่ใช่เป็นเพียงแค่ ครีเอทีฟมาร์เก็ตเพลสทั่วไป แต่เป็นครีเอทีฟมาร์เก็ตเพลส ออนด์ดีมานด์

โดยปกติแล้ว รูปแบบของรีเทล จะต้องมีการผลิตสินค้า รวมถึงมีสต็อคสินค้ามารอไว้ ทำให้สินค้าที่วางขายไม่มีความหลากหลาย เพราะติดเรื่องของการสต็อค

แต่หากเป็น Pixipe  เราผลิตสินค้าให้ลูกค้าตามออร์เดอร์ ทำให้มีคอลเลคชั่นเป็นตัวเลือกให้กับลูกค้ามาก ไม่ได้มีเฉพาะของที่ขายได้  แต่มีทั้งของที่ขายได้ ของที่ได้รับความสนใจ ของที่มาเป็นกระแส ของที่มีการเคลื่อนไหว สิ่งเหล่านี้จะมีพื้นที่บน Pixipe ทุกวัน

 

 

มองโอกาสใหม่ที่มากับดิจิทัลในอนาคต

ธุรกิจในวันนี้ยังคงโฟกัสที่ MEB และโฟกัสไปที่ Pixipe เพราะเป็นมาร์เก็ตเพลสเปิดใหม่ของเรา ที่เชื่อมั่นว่ามีศักยภาพเต็มเปี่ยม เพราะถ้าจะเปรียบเทียบจากมูลค่าตลาดหนังสือที่ประมาณ  1 – 1.2 พันล้านบาท แต่ธุรกิจแฟชั่นรีเทลนั้นมีมูลค่าตลาดสูงถึงหลักแสนล้านบาท  นั่นหมายถึงเรากำลังรุกคืบไปสู่ตลาดซึ่งแชร์มากกว่า และมีมาร์เก็ตไซด์ที่ใหญ่กว่า

MEB เป็น Cash Cow ที่มั่นคงและเรายังไม่เปิดมุมใหม่ในวันนี้ ถึงแม้ว่าบางคนอาจนิยามว่า เราไม่ใช่สตาร์ทอัพ เพราะเรารุ่งไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงเราไม่ได้ยึดติดว่าจะไม่ทำอะไรอื่นต่อไปอีก เราเลือกที่จะถอยกลับมาเป็นสตาร์ทอัพเพื่อที่จะแข่งขัน การนับหนึ่งใหม่ในโปรเจค Pixipe ถือว่ามีความท้าทายใหม่ โอกาสใหม่ มีความยากแบบใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราไม่กลัว ตรงนี้เองที่จะนิยามได้อย่างชัดเจนว่าเป็นสตาร์ทอัพตัวจริง

จุดแข็งและความแตกต่างของ MBA  ที่ RMUTT ซึ่งถือเป็น Key Success  ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียน คือ 8 สาขาวิชาที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน และตอบโจทย์อาชีพในอนาคต โดยเฉพาะลักษณะของ Class ที่แยกสาขาตามวิชาเอก (Major) โฟกัสไปที่ความชำนาญเฉพาะด้าน  ในสาขาบัญชี การเงิน การตลาด การจัดการทั่วไป การจัดการวิศวกรรมทางธุรกิจ ไปจนถึงการบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ  สารสนเทศ และการจัดการโลจิสติกส์ 

นิตยสาร MBA ได้สัมภาษณ์ ผศ.ดร.นาถรพี ชัยมงคล คณบดี คณะบริหารธุรกิจ ( MBA ) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ( RMUTT) ถึงข้อดีของการแบ่งตามเมเจอร์นี้  คือ ทำให้ผู้เรียนได้เรียนในสิ่งที่ตนเองสนใจ แตกต่างจากที่อื่นที่แบ่งเป็นภาพรวม เรียนรวมกันหมด

ยกตัวอย่างคนที่สนใจเรื่องบัญชีและการเงิน จะมีโอกาสได้เรียนเฉพาะในด้านที่ต้องการ เข้ามาเรียนแล้วได้ตรงสายงานและสาขาวิชาชีพ เพราะนักศึกษาส่วนใหญ่โฟกัสที่การต่อยอดความชำนาญเฉพาะด้าน ไม่ใช่การเรียน MBA แบบภาพรวม ลักษณะการเรียนจึงต้องตอบสนอง โดยแบ่งเป็น Class ขนาดเล็ก คือประมาณ 15 คน ทำให้นักศึกษาและอาจารย์ได้ใกล้ชิดกัน มีโอกาสได้ซักถาม หารือร่วมกัน  

 

 ผศ.ดร.นาถรพี ชัยมงคล คณบดี คณะบริหารธุรกิจ ( MBA ) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ( RMUTT)

 

อีกตัวอย่างคือ สาขาการจัดการวิศวกรรมทางธุรกิจ คนที่เข้ามาศึกษาที่สถาบันฯ ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้บริหารทางวิศวกรที่เป็นวิชาชีพ แต่เมื่อทำงานมาได้ระยะหนึ่ง ถึงจุดเปลี่ยนที่ต้องพัฒนาตนเองมาเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้น จึงต้องเพิ่มทักษะทางด้านการบริหารในด้านต่างๆ เช่น การบริหารบุคคล การเงิน การจัดการ

ดังนั้นสาขาวิศวกรรมทางธุรกิจ จึงนับได้เป็นอีกเมเจอร์ ซึ่งได้รับแนวคิดมาจากประเทศเยอรมันนี ถือเป็นจุดเด่นและแตกต่างจาก MBA อื่น ทำให้คนจากสายงานวิศวกรรม สนใจ และเลือกมาเรียนต่อที่ RMUTT เพื่อยกระดับความรู้

สำหรับเมเจอร์อื่นๆ เช่นการบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ สารสนเทศ การจัดการโลจิสติกส์ การตลาด ทุกสาขาวิชาล้วนแต่มีจุดเด่นในลักษณะนี้ทั้งหมด ทั้งนี้ความชำนาญเฉพาะด้านจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อได้ต่อยอดในสิ่งที่โฟกัส ถ้าเป็นผู้บริหารก็จะได้ศึกษาในขั้นสูงหรือระดับที่ Advance มากยิ่งขึ้น หรือในภาคของผู้ประกอบการ และเจ้าของธุรกิจ ก็จะได้เรียนรู้ทั้งวิชาการ และเทคนิคใหม่ๆ เพื่อนำไปพัฒนาและต่อยอดธุรกิจของตนได้อย่างดี

 

 

 

ตอบโจทย์อาชีพในอนาคต

ไม่เพียงเท่านั้น สาขาทั้ง 8 ยังเป็นสาขาวิชาที่ตอบโจทย์อาชีพในอนาคต เช่น การจัดการโลจิสติกส์ ซึ่งวันนี้เมื่อกล่าวถึง Thailand 4.0  ที่เป็นนโยบายหลักของรัฐบาล สาขานี้ก็เป็นหนึ่งใน New S-Curve  สะท้อนให้เห็นว่าเป็นสาขาที่ต้องการบุคลากรมากขึ้น RMUTT จึงมีกลุ่มวิชานี้เพื่อตอบโจทย์ให้นักศึกษาที่ต้องการจะเรียนในด้านโลจิสติกส์ด้วยเช่นกัน

โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งในเรื่องของ Internet, Blockchain, E-commerce, Technology Digital, Internet of Things (IoT) ต่างทำให้เห็นว่า สายบริหารธุรกิจได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างแน่นอน

 




ผศ.ดร.นาถรพี กล่าวว่า ตรงนี้ทำให้เกิดคำถามต่อมาว่า มหาบัณฑิตของ RMUTT จะรับมืออย่างไร การเตรียมความพร้อมคือ นักศึกษาของเราต้องรู้วัฒนธรรมข้ามชาติ เพราะการสื่อสารอินเทอร์เน็ตส่งผลกระทบให้โลกทั้งใบแคบลง การที่ธุรกิจจะเกิดขึ้นได้ นักศึกษาของเราต้องเรียนรู้วัฒนธรรมที่หลากหลาย เพื่อการทำธุรกิจทั่วโลกแบบไร้พรหมแดน ซึ่งเราได้บรรจุไว้ในหลักสูตรด้วยเช่นกัน รวมไปถึงเรื่องของเทคโนโลยีที่ต้องให้ความสำคัญในการเรียนรู้ควบคู่ไปกับเรื่องของวัฒนธรรมข้ามชาติ

“เรามีการเสริมหลักสูตรต่างๆที่จำเป็น ทั้งการอบรม (Training) การใช้ระบบ SAP และ E-Commerce, Inter, E-payment ทำให้ผู้เรียนต้องมีการปรับเปลี่ยนตัวเองด้วย ตลอดจนมีห้อง SAP ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์หุ้น และห้องปฏิบัติการโลจิสติกส์ ซึ่งในวันนี้สายบริหาร เมื่อสำเร็จการศึกษาจากที่นี่ไปจะมีความรู้ความชำนาญด้านซอฟท์แวร์ พร้อมที่จะขึ้นสู่ระดับผู้บริหารที่มีความสามารถวางแผนและวิเคราะห์ได้ ตรงนี้คือสิ่งที่เสริมให้กับนักศึกษา"

 

 

 

 

ภาษาอีก Key Success สู่โลกธุรกิจ

นอกจากเรื่องของหลักสูตรและสาขาวิชาที่สอดคล้องกับยุคสมัย ในเรื่องของภาษาก็ถือว่าเป็นอีกวิชาที่สำคัญ สำหรับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของของคณะบริหารธุรกิจ RMUTT นั้น ที่ผ่านมาสถาบันมีความร่วมมือกับ Auckland University of Technology (AUT) ซึ่งมีแผนจะมาเปิดศูนย์สอนภาษา เมื่อจบการอบรม นักศึกษาจะได้รับ Certificate ซึ่งคณะบริหารธุรกิจเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด การอบรมนั้นสามารถเลือกเรียนในไทย หรือที่ประเทศนิวซีแลนด์

ทั้งนี้คุณภาพของหลักสูตรไม่มีความแตกต่าง นอกจากการเดินทางไปต่างประเทศอาจจะได้ในส่วนของบรรยากาศและมีโอกาสในการฝึกภาษาในส่วนของคณะบริหารธุรกิจ ได้ช่วยผลักดันนักศึกษาปริญญาตรี ไปสู่หลักสูตรนานาชาติเช่นกัน ทั้งการส่งนักศึกษาไปต่างประเทศในเทอมก่อนจบการศึกษา หรือในส่วนของนักศึกษาแลกเปลี่ยน รวมไปถึงโครงการฝึกงาน (Internship) ในต่างประเทศ ซึ่งทางคณะมีทุนสนับสนุนทั้งในหลักสูตรไทยและหลักสูตรอินเตอร์

ผศ.ดร.นาถรพี  ทิ้งท้ายถึงความคาดหวังในของผู้จบการศึกษา ซึ่งในส่วนของนักศึกษาระดับปริญญาโท RMUTT ส่วนใหญ่มีธุรกิจส่วนตัวมาเรียนเพื่อเตรียมขยายธุรกิจไปต่างประเทศ หรือมีงานทำแล้วมาศึกษาเพื่อต่อยอดหาความรู้เพิ่มเติม และเมื่อจบการศึกษาออกไป หลายคนได้ปรับวุฒิ ปรับตำแหน่ง บางส่วนได้ทุนมาเรียนจากบริษัทต้นสังกัด สำหรับบางส่วนก็จะเป็นการเตรียมบุคลากร เพื่อรองรับธุรกิจที่กำลังเติบโต และมีแนวโน้มความต้องการในตลาดเช่น สาขาวิศวกรรมธุรกิจ สาขาโลจิสติคส์ และส่วนที่เหลือจะเป็นเป็นกลุ่มที่ต้องการเพิ่มทักษะพัฒนาตนเอง เพิ่มศักยภาพเพื่อความก้าวหน้า และโอกาสในหน้าที่การงานมากยิ่งขึ้น

ทีเอ็มบี เดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่องตามแผนกลยุทธ์ 5 ปี มุ่งตอบสนองความต้องการที่ตรงใจลูกค้า (Need-based) ง่ายและสะดวก (Simple & Easy) เพื่อให้ลูกค้าใช้ชีวิตได้เต็มที่ในแบบที่ต้องการ ปฏิรูปองค์กรไม่หยุดยั้งให้มีความคล่องตัว และเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลได้อย่างฉับไว พร้อมกำหนดเป้าหมายเป็นธนาคารที่ลูกค้าชื่นชอบและแนะนำมากที่สุดในประเทศไทย ภายในปี 2565

บุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบี เปิดเผยถึงความสำเร็จในการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ของทีเอ็มบี ภายใต้แนวคิด Make THE Difference เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ว่า ทีเอ็มบีได้ประสบความสำเร็จตามแผนกลยุทธ์ที่ตั้งไว้เพื่อประโยชน์ของลูกค้า ตลอดระยะ 3 เฟสของแผนกลยุทธ์ ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา

เริ่มต้นด้วยเฟสแรกซึ่งมุ่งเปลี่ยนและสร้างรากฐานใหม่ให้กับธนาคารด้วยการเสริมสร้างฐานะการเงินให้แข็งแกร่ง ปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร ปรับโครงสร้างการบริหารทรัพยากรบุคคล และการปรับโครงสร้างสาขา การดำเนินกลยุทธ์ใช้เงินฝากเป็นตัวนำโดยการส่งมอบบัญชีเงินฝากเพื่อการทำธุรกรรมและบัญชีเงินฝากเพื่อการออมที่ดีที่สุดในตลาด โดยทีเอ็มบีเป็นธนาคารแรกที่ยกเลิกการกรอกเอกสารฝากถอนเงิน เป็นธนาคารแรกที่นำเสนอการธนาคารดิจิทัลภายใต้แบรนด์ ME by TMB และพัฒนา TMB TOUCH โมบายล์แบงก์กิ้งแอปพลิเคชัน เพื่อให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมได้ง่ายและสะดวกทุกที่ทุกเวลา เป็นต้น และเฟสล่าสุดในด้านการเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงด้วยการพัฒนาให้การทำธุรกรรมทางการเงินให้ดียิ่งขึ้นเพื่อลูกค้า เช่น ส่งมอบบัญชี TMB All Free ไม่มีดอกจัน บัญชี SME One Bank เป็นธนาคารแรกที่พัฒนา TMB Business TOUCH โมบายล์แอปพลิเคชันเพื่อลูกค้าเอสเอ็มอี มอบสิทธิประโยชน์ให้ลูกค้าที่ใช้ทีเอ็มบีเป็นธนาคารหลัก และส่งมอบประสบการณ์ที่ราบรื่นไม่สะดุดในทุกช่องทางการบริการลูกค้า

 

“การบรรลุเป้าหมายทั้ง 3 เฟสนี้ ทำให้ทีเอ็มบีเป็นธนาคารที่มีความแข็งแกร่งในทุกด้านและมีศักยภาพสูงในการตอบโจทย์ความต้องการที่ตรงใจลูกค้า (Need-based) ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ใช้งานสะดวกและง่าย (Simple & Easy) เน้นที่การสร้างประสบการณ์การธนาคารที่ใช้งานได้จริงเพื่อประโยชน์ของลูกค้า ทีเอ็มบีจึงมีกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นจาก 147 ล้านบาทในปี 2551 มาอยู่ที่ 8,226 ล้านบาทในปี 2559 คิดเป็น 56 เท่า และทีเอ็มบีจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงตามแผนกลยุทธ์ที่ต่อเนื่องสำหรับการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ

ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน ทีเอ็มบี ซึ่งจะรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป กล่าวว่า “ทีเอ็มบีมุ่งมั่นที่จะเป็นธนาคารที่ลูกค้าชื่นชอบและแนะนำบอกต่อให้คนรอบข้างมาใช้งานมากที่สุดในประเทศไทยภายในปี 2565 และจะขยายฐานลูกค้าเอสเอ็มอีขนาดเล็ก 4 เท่า เพิ่มอัตราการเติบโตของจำนวนลูกค้าที่ทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลเป็นประจำอีก 2 เท่า สร้างรายได้ให้เติบโตอีก 1 เท่า และลดอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ลงให้เหลือ 40%”

“ทีเอ็มบีจะดำเนินการพัฒนาด้านดิจิทัลแบงก์กิ้ง และลบล้างความเชื่อเดิมๆ ว่า ดิจิทัลแบงก์กิ้ง หมายถึงแค่การออกแอปพลิเคชันให้ลูกค้าใช้ แต่สำหรับทีเอ็มบีนั้น ดิจิทัล เป็นเครื่องมือที่เสริมศักยภาพในการส่งมอบบริการคุณภาพเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงใจ (Need-based) ใช้งานง่ายและสะดวก (Simple & Easy) โดยทีเอ็มบีจะลงทุนเพิ่มเติมในระบบงานเพื่อรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ปฏิรูประบบเอกสารให้อยู่ในระบบอิเล็กทรอนิกส์มากที่สุดเพื่อความสะดวกของลูกค้าในการรับบริการ พัฒนาช่องทางการบริการทุกช่องทางให้เชื่อมโยงกันแบบไม่สะดุดทำให้ลูกค้าทำธุรกรรมได้ง่าย ใช้งานได้จริง (Seamless Omni-channels) ดำเนินงานด้านการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า (Data Analytics) อย่างมืออาชีพ เพื่อให้มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

 

 

สำหรับลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบีจะนำเสนอบริการและผลิตภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องการในแต่ละช่วงชีวิตของลูกค้า นำเสนอแผนการออมและการลงทุนที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า มีผลิตภัณฑ์ที่มอบสิทธิประโยชน์ที่ปรับเปลี่ยนตามบุคคล และโปรโมชันที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ และในส่วนของลูกค้าเอสเอ็มอีขนาดเล็ก ทีเอ็มบีจะส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่เหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจ มีผลิตภัณฑ์ที่ให้สิทธิประโยชน์เหมาะสม และพัฒนาบริการสินเชื่อที่อนุมัติให้ลูกค้าใช้ได้อย่างรวดเร็ว”

 

 

 

“เพื่อให้ธนาคารบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทีเอ็มบีได้ปฏิรูปองค์กรให้มีความฉับไว สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและรองรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในยุคดิจิทัลได้ โดยเราจะลดขั้นของตำแหน่งงานให้เหลือเพียง 5 ขั้นภายใน 5 ปีข้างหน้า มุ่งเป็นองค์กรที่กระชับไม่ซับซ้อน ทำให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เรายังได้ริเริ่มการทำงานแบบ Agile เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานที่สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่รวดเร็ว และดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพของธนาคารโดยรวมเพื่อทำให้การพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ทันต่อความต้องการของลูกค้า และสำหรับด้านทรัพยากรบุคคลซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า เรามุ่งสนับสนุนให้พนักงานทีเอ็มบีกล้าเปลี่ยนและใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ในการทำสิ่งที่แตกต่างและมีความหมายต่อชีวิตของลูกค้าอย่างยั่งยืนต่อไป”

ดีแทค มุ่งเฟ้นหาและพัฒนา “คนดิจิทัล” ผ่าน 4 กลยุทธ์  ปรับโครงสร้าง-วัฒนธรรม-ทักษะ-เส้นทางดิจิทัล พุ่งเป้าสู่ผู้นำองค์กรดิจิทัลในประเทศไทย ปี 2020

การปรับองค์กรสอดคล้องกับ ข้อมูล ต่างๆที่ ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น โดยในประเทศพัฒนาแล้ว ตำแหน่งงานในตลาดจะสูญหายไปถึง 47% ภายใน 25 ปีข้างหน้า จากการแทนที่ของเทคโนโลยีและหุ่นยนต์

อีกทั้งจากการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และจากการสำรวจความคิดเห็นโดย ลิงค์อินด์ โซเชียลมีเดียสำหรับธุรกิจ ระบุว่า 55% ของบริษัททั่วโลก ความเหลื่อมล้ำทางทักษะดิจิทัลของพนักงานในองค์กร และมีแนวโน้มจะกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามการศึกษาจากบริษัทวิจัย Gartner เปิดเผยว่า งานด้านเทคโนโลยียังคงเป็นที่ต้องการทั่วโลก และคาดว่าตลาดจะเผชิญภาวะขาดแคลนแรงงานด้านเทคโนโลยีถึง 30% ในปี 2563 เมื่อเทียบกับจำนวนการผลิตของมหาวิทยาลัย

จากผลการศึกษาข้างต้น สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดแรงงานทั่วโลกและไทยจากผลกระทบของเทคโนโลยีที่ทำให้ตลาดแรงงาน ตลอดจนบริษัทและองค์กรต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคและการขับเคลื่อนองค์กรทั้งองคาพยพ ซึ่งจะส่งกระทบลูกโซ่ต่อสังคมและนโยบายประเทศไทย 4.0

นาฏฤดี อาจหาญวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานบริหารทรัพยากรบุคคล บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า การจ้างงานในปัจจุบันมีความท้าทายมากขึ้นและแตกต่างจากแนวคิดการจ้างงานแบบดั้งเดิม
คนดิจิทัลมีความคาดหวังในวัฒนธรรมการทำงานที่เน้นการสร้างผลงานเป็นสำคัญ (project-driven culture) มากกว่าพิจารณาจากชื่อเสียงองค์กร ซึ่งถือเป็นหนึ่ง  และเพื่อตอบสนองการขับเคลื่อนองค์กรสู่ดิจิทัล กลุ่มงานบริหารทรัพยากรบุคคล ได้วางกลยุทธ์ผ่าน 4 เสาหลัก ดังนี้

 

  1. โครงสร้างองค์กร (Organization)

ปรับรูปแบบโครงสร้างให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ลดขั้นตอนและลำดับชั้น เพื่อให้มีการตัดสินใจได้รวดเร็วมากขึ้น สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและการปรับตัวทางธุรกิจ นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้เกิดการโอนย้ายกับทำงานระหว่างหน่วยธุรกิจภายใต้เทเลนอร์ เพื่อเพิ่มศักยภาพและการเรียนรู้การทำงานในระดับสากล

 

  1. วัฒนธรรมองค์กร (Culture)

การขับเคลื่อนสู่องค์กรดิจิทัลนั้น ไม่ใช่แค่การดึงดูดคนดิจิทัลเข้ามาในบริษัทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรักษาบุคลากรเหล่านี้ไว้ผ่าน “วัฒนธรรมองค์กร” ซึ่งที่ดีแทคมีลักษณะการทำงานที่เน้นการสร้างผลงานเป็นสำคัญ (project-driven culture) มากกว่าการทำงานแบบกิจวัตร ทำให้งานประสบความสำเร็จตามเป้าหมายได้รวดเร็ว ปราศจากความล่าช้าของระบบที่มีขั้นตอนหลายระดับ (Bureaucracy)

“ที่ดีแทค ซีอีโอไม่มีห้องทำงานแบบที่อื่น ใช้พื้นที่ทำงานเดียวกันกับพนักงานธรรมดา สะท้อนถึงแนวคิดความเสมอภาคของพนักงานในองค์กร ทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็นไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดก็ตาม ซึ่งถือเป็นดีเอ็นเอของบริษัทที่ว่า คิดต่าง (Think different) ทำเร็ว (Act fast) กล้าทำ (To be daring) และมุ่งมั่นที่จะชนะ (Passion to win)” นางสาวนาฏฤดี กล่าว

 

  1. ทักษะและความคิด (Skill & Capability)

ส่งเสริมให้มีทักษะที่เหมาะสมกับการทำงานยุคดิจิทัล ทั้งทักษะความรู้ (Hard skill) และทักษะเชิงอารมณ์ (Soft kill) โดยทักษะด้านความรู้ที่จำเป็นต่อยุคดิจิทัล เช่น การเขียนโค้ด (Coding) การวิเคราะห์บิ๊กดาต้า (Big data analytics) การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ (New product launch) อย่างไรก็ตาม ทักษะเชิงอารมณ์ที่สำคัญต่อยุคดิจิทัลได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงวิพากษ์และการทำงานเป็นทีม

 

  1. เส้นทางพนักงานดิจิทัล (Digital journey)

นอกจากนี้ ยังเสริมสร้างประสบการณ์ดิจิทัลแก่พนักงาน เพื่อสร้างค่านิยมและความคิดต่อการขับเคลื่อนสู่ดิจิทัล โดยกระตุ้นให้พนักงานทำเรื่องดำเนินการต่างๆ ผ่านช่องทางดิจิทัล รวมถึงโปรแกรมหลักสูตรออนไลน์ เพื่อให้พนักงานได้เรียนรู้ด้วยตนเองผ่านแพลตฟอร์ม dtac academy โดยนำเสนอเทรนนิ่งโปรแกรมและคอร์สอบรมออนไลน์ 24 ชั่วโมง โดยได้มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกอย่าง INSEAD และ LBS มาออกแบบหลักสูตร ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลไปจนถึงการทำนายพฤติกรรมผู้บริโภค

 

“ช่องทางดิจิทัลต่างๆ ไม่ว่าจะเพื่อการดำเนินงานด้านธุรกิจหรือการพัฒนาความรู้และทักษะ ล้วนเป็นแนวคิดเพื่อกระตุ้นให้พนักงานมี digital mindset ดิจิทัลเป็นโลกไร้พรมแดน เปรียบเสมือนการเปิดบ่อน้ำให้คนได้ตกปลากิน มากกว่าการที่เราเอาปลาไปให้ ซึ่งทำให้การพัฒนาทั้ง hard skill และ soft skill เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน” นางสาวนาฏฤดี กล่าว

ซึ่งจากกลยุทธ์และกิจกรรมต่างๆ ก่อให้เกิดผลลัพธ์ การปรับปรุงงานด้านบริการดูแลลูกค้าและการทำการตลาดออนไลน์ โดยใช้นวัตกรรม AI และเทคโนโลยีด้านบิ๊กดาต้า

 

นอกจากนี้ กว่า 70% ของสตาร์ตอัพในโครงการ dtac accelerate สามารถระดมทุนจากนักลงทุนสตาร์ตอัพได้อย่างต่อเนื่อง (Secured Follow on funding) ขณะที่ค่าเฉลี่ยความสำเร็จในการระดมลงทุนของโครงการบ่มเพาะสตาร์ตอัพอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ 20% เท่านั้น

นอกจากนี้ ดีแทคยังให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรผ่านโครงการ dtac academy โดยนำเสนอเทรนนิ่งโปรแกรมและคอร์สอบรมออนไลน์ 24 ชั่วโมง โดยได้มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกอย่าง INSEAD และ LBS มาออกแบบหลักสูตร ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลไปจนถึงการทำนายพฤติกรรมผู้บริโภค

“...การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างและพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติ และคุณธรรมของบุคคล หากสังคมและบ้านเมืองใดให้การศึกษาที่ดีแก่เยาวชนได้อย่างครบถ้วนในทุกๆ ด้านแล้ว สังคมและบ้านเมืองนั้นก็จะมีพลเมืองที่มีคุณภาพ สามารถดำรงรักษาความเจริญมั่นคงของประเทศชาติไว้ และพัฒนาก้าวหน้าต่อไปโดยตลอด...”

 

(พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะครูและนักเรียนที่ได้รับพระราชทานรางวัลฯ ณ ศาลาดุสิดาลัย วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2524)

 

จากพระบรมราโชวาทข้างต้น ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 แสดงให้เห็นถึงสายพระเนตรอันกว้างไกล ที่ทรงตระหนักว่าการพัฒนาด้านการศึกษาให้คนในประเทศชาติโดยเฉพาะเยาวชนนั้น เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ ดังนั้น พระองค์จึงทรงริเริ่มทั้งโครงการในพระราชดำริด้านการพัฒนาการศึกษาอันหลากหลาย และยังทรงเป็นแรงผลักดัน แรงบันดาลใจ ให้ผู้คนแสวงหาการศึกษา ไม่หยุดเรียนรู้ตลอดชีวิตอีกด้วย

 

 

 

ทุนการศึกษาพระราชทาน สร้างโอกาสทางการศึกษา

 

พระองค์ทรงตระหนักดีว่า อุปสรรคในการพัฒนาการศึกษาไทย ไม่ได้อยู่ที่สติปัญญาของเด็กไทย หากแต่อยู่ที่พวกเขาด้อยโอกาสและขาดแคลนทุนทรัพย์ ทำให้เด็กหลายคนต้องพลาดโอกาสในการศึกษาหาความรู้ไปอย่างน่าเสียดาย เป็นที่มาให้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราช-ทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อก่อตั้งทุนการศึกษาหลายทุน ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ไม่ว่าจะเป็น ทุนเล่าเรียนหลวง ทุนอานันทมหิดล ทุนการศึกษาสงเคราะห์ในมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ทุนมูลนิธิราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์และมูลนิธิโรงเรียนราชประชาสมาสัย

 

ในส่วนของ ทุนเล่าเรียนหลวง หรือ King’s Scholarship เริ่มมีขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.2440 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ซึ่งพระราชทานเพื่อเป็นเครื่องจูงใจให้นักเรียน ตั้งใจเล่าเรียนและเพื่อเป็นการให้รางวัล โดยได้พระราชทานทุนนี้ จนถึงปี พ.ศ. 2475 และหยุดไประยะหนึ่ง จนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงกลับมาพระราชทานทุนนี้ใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ. 2508 ให้ผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการและได้คะแนนดีเยี่ยม ให้มีโอกาสไปศึกษาต่อต่างประเทศ ปีละ 9 ทุน คือแผนกศิลปะ 3 ทุน แผนกวิทยาศาสตร์ 3 ทุน และแผนกทั่วไป 3 ทุน โดยทุนเล่าเรียนหลวงนี้ ไม่มีข้อผูกมัดผู้รับทุนว่าต้องกลับมาชดใช้ทุนด้วยการกลับมารับราชการเหมือนทุนการศึกษารัฐบาลอื่นๆ เพราะทุนเล่าเรียนหลวงเป็นทุนพระราชทานแก่นักเรียนที่สอบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายให้ไปศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในต่างประเทศ เพราะมีพระราชประสงค์ให้ผู้รับทุนได้ศึกษาวิชาการ และได้รับการอบรมให้รู้และเข้าใจขนบประเพณีของชาวตะวันตกไปด้วย เพราะอายุยังอยู่ในวัยที่สามารถช่วยตัวเองและปรับตัวให้เข้ากับสังคมตะวันตกได้

 

 

 

ขณะที่ ทุนอานันทมหิดล เกิดขึ้นเพราะพระราชดำริของพระองค์ ที่ทรงตระหนักว่าประเทศไทยต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในวิชาเทคนิคชั้นสูง เพื่อมาช่วยพัฒนาประเทศมากขึ้น จึงควรส่งเสริมนิสิตนักศึกษาที่มีความสามารถอย่างยอดเยี่ยมให้มีโอกาสไปศึกษาต่อในวิชาชั้นสูงบางวิชา ณ ต่างประเทศ เมื่อสำเร็จแล้วจะได้ทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เรียนมาต่อไป จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทาน “ทุนอานันทมหิดล”

 

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ในขั้นแรกพระราชทานทุนนี้ให้แก่นักศึกษาในสาขาวิชาแพทยศาสตร์ก่อน จนกระทั่งปัจจุบันทุนมูลนิธิ “อานันทมหิดล” ได้ขยายขอบเขตการพระราชทานทุนแก่นักศึกษาเป็นแผนกอื่นๆ คือ แผนกแพทยศาสตร์ แผนกวิทยาศาสตร์ แผนกวิศวกรรมศาสตร์ แผนกเกษตรศาสตร์ แผนกธรรมศาสตร์ แผนกอักษรศาสตร์ แผนกทันตแพทย-ศาสตร์ แผนกสัตวแพทยศาสตร์

 

 

 

ทุนอานันทมหิดลไม่ได้กำหนดระยะเวลาเรียน ผู้ได้รับทุนสามารถเรียนถึงขั้นสูงสุดตามความสามารถ และไม่มีสัญญาผูกมัดว่าผู้ได้รับพระราชทานทุนจะต้องกลับมาปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่งตามเวลาที่กำหนดเช่นทุนอื่นๆ เพราะมีพระราชประสงค์จะให้ผู้รับทุนได้เกิดความสำนึกรับผิดชอบเอง โดยพระองค์เคยตรัสไว้ว่า

 

“ถ้าพวกเขาไปศึกษา จนจบมา แล้วกลับมาเป็นอาจารย์ ข้าราชการจะดีที่สุด แต่ถ้ากลับมา แล้วไปทำงานในหน่วยงานเอกชน ก็ถือว่าได้ช่วยคนไทย สังคมไทย แต่ถ้าไปแล้วไม่กลับมาเลย ก็ถือว่ามีวิชาชีพเลี้ยงตนในฐานะคนไทยคนหนึ่ง”

 

นับเป็นพระราชดำรัสที่แสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ และประสงค์ที่จะหยิบยื่นและนำพาโอกาสอันดีทางการศึกษาและอนาคตให้แก่เยาวชนและสังคมไทยโดยจิตพิสุทธิ์

 

ทรงริเริ่มก่อตั้ง โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ มหาวิทยาลัย สถาบันเพื่อการศึกษา

 

ในหลวงไม่เพียงแค่พระราชทานทุนการศึกษาหลากหลายรูปแบบเท่านั้น หากยังทรงมอบโอกาสทางการศึกษาด้วยการก่อตั้งโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์มากมาย กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ โดยพระองค์มิเพียงดำริการก่อตั้ง แต่ยังพระราชทานพระราชทรัพย์ช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ รวมทั้งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมและพระราชทานพระบรมราโชวาทเพื่อสนับสนุนและเป็นกำลังใจแก่ครูและนักเรียนของโรงเรียนแต่ละแห่ง ที่เห็นเป็นแบบอย่างชัดเจน คือ การก่อตั้ง มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ เป็นองค์กรการกุศลที่พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2506 หลังเกิดวาตภัยที่แหลมตะลุมพุก จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมูลนิธินี้มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้ง โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ซึ่งในปัจจุบันมีโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ เป็นจำนวนถึง 58 แห่งในหลายพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อจัดการการศึกษาสงเคราะห์แก่นักเรียนกำพร้าที่ครอบครัวประสบภัยและนักเรียนจากครอบครัวที่ยากจน ซึ่งถ้ามีผลการเรียนดี ก็จะได้รับการศึกษาต่อเนื่องถึงขั้นสูงสุดที่อยากจะเรียนด้วย

 

เช่นเดียวกันกับ โรงเรียนพระดาบส ที่เป็นโครงการในพระราชดำริของพระองค์ ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา ขาดแคลนทุนทรัพย์และความรู้วิชาชีพ ให้ได้รับการอบรมให้มีทักษะ ความรู้ คุณธรรมและศีลธรรม เพื่อพร้อมไปประกอบสัมมาอาชีพ ดูแลตนเองและครอบครัว โดยดำเนินการในรูปแบบการศึกษานอกระบบ ไม่เป็นเชิงพาณิชย์ ผู้เข้าอบรมไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่มีหน้าที่ปรนนิบัติครูอาจารย์ที่ประสิทธิประสาทความรู้ให้ เสมือนพระดาบสที่อบรมถ่ายทอดความรู้ให้ลูกศิษย์สมดังนามโรงเรียนที่ได้พระราชทานไว้

 

 

 

นอกจากนั้น พระองค์ยังมีพระราช-ดำริให้จัดตั้ง สถาบันการศึกษา รวมทั้งพระราชทานนามของสถาบันการศึกษาหลายแห่ง ที่ไม่เพียงมีความหมายอันเป็นสิริมงคลเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงแนวทาง ปรัชญา ที่ควรยึดถือปฏิบัติเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของการผลิตบุคลากรอันนับเป็นทรัพยากรสำคัญเพื่อการพัฒนาประเทศชาติ

 

ดั่งกรณีของ สถาบันบัณฑิตพัฒน-บริหารศาสตร์ หรือ ที่รู้จักกันโดยทั่วไปในนามว่า นิด้า เป็นอีกสถาบันการศึกษาที่ถือกำเนิดขึ้นด้วยพระราชดำริของพระองค์ ที่ทรงสนพระราชหฤทัยในเรื่องการพัฒนาเป็นพิเศษ เมื่อราว พ.ศ. 2503 ทรงมีพระราชปรารภกับ นายเดวิด ร็อกกีเฟลเลอร์ ถึงเรื่องที่ประสงค์ให้มีการปรับปรุงการสถิติของชาติว่า ประเทศไทยขาดข้อมูลอันเป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนและการพัฒนา ดังนั้นจึงประสงค์ให้มีการจัดตั้งสถาบันเพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้มีความรู้และความสามารถด้านสถิติ และผู้เชี่ยวชาญในสาขาอื่นๆ ต่อมาเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศต่อไป จนในที่สุดได้มีการจัดทำโครงการเสนอรัฐบาล และก่อตั้ง Graduate Institute of Development Administration (GIDA) ขึ้น และต่อมา รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาจัดตั้งสถาบันสอนวิชาการบริหารเกี่ยว กับการพัฒนาประเทศ โดยได้นำโครงการ GIDA ของดอกเตอร์ สเตซี เมย์ มาศึกษา และได้เสนอมติของที่ประชุมคณะกรรมการต่อคณะรัฐมนตรีว่าควรจะตั้ง สถาบันพัฒนาการบริหาร (Institute of Development Administration) โดยดำเนินการสอนในขั้นปริญญาโทและเอก การศึกษาฝึกอบรม และการวิจัย ซึ่งต่อมาจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) โดยนามของสถาบันแห่งนี้ก็ได้รับพระราชทานจากพระองค์ เพื่อสื่อถึงปรัชญาของการเรียนการสอนของนิด้า ที่มุ่งเน้นผลิตบัณฑิตระดับบัณฑิตศึกษาที่มีภาวะผู้นำ พัฒนาองค์ความรู้ งานวิจัย และให้บริการวิชาการ ด้านการบริหารการพัฒนา เพื่อพัฒนาประเทศชาตินั่นเอง

 

 

 ขณะที่อีกหนึ่งตัวอย่าง ของสถาบันอุดมศึกษาที่ได้รับพระราชทานนามอันเป็นมงคลจากพระองค์ นั่นคือ มหา-วิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ซึ่งมีประวัติความเป็นมาจาก การเป็น วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา โดยในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2531 พระบาทสมเด็จ-พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อใหม่ให้แก่ วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาว่า สถาบันเทคโนโลยีราช-มงคล ซึ่งหมายความว่า สถาบันเทคโนโลยีอันเป็นมิ่งมงคลแห่งพระราชา ศ.สวาสดิ์ ไชยคุณา อธิการบดีท่านแรก ผู้บุกเบิกสถาบันอันทรงเกียรติแห่งนี้ ได้กล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จ-พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ไว้ตอนหนึ่งว่า

 

“ล้นเกล้าฯ พระปิยมหาราชปลดปล่อยทาสให้เป็นไทยฉันใด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงปลดปล่อยนักเรียนอาชีวฯ ชั้นสองให้เป็นไทฉันนั้น... เนื่องด้วยในปี 2524 บัณฑิตอาชีวศึกษาซึ่งพัฒนามาจากนักเรียนชั้นสองของสังคม มีโอกาสรับพระราชทานปริญญาบัตรกับพระหัตถ์พระองค์เอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จฯ มาพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกของบัณฑิตวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร และทรงพระกรุณาพระราชทานชื่อสถาบันให้ใหม่ว่า สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล และนับแต่ในปีพุทธศักราช 2534 เป็นต้นมาก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา- สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์มาพระราชทานปริญญาบัตรแด่บัณฑิตตั้งแต่ครั้งนั้นจนถึงปัจจุบันเป็นประจำทุกปี”

 

 

 

 

การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม จุดประกายความรู้สู่ทุกแห่งหน

 

เพื่อเป็นทางออกหนึ่งของปัญหาการขาดแคลนครูในท้องที่ชนบทห่างไกล และสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาแก่เยาวชนและประชาชนทั่วประเทศ พระองค์จึงทรงพระราชทานพระราชดำริในการจัดตั้งโครงการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมขึ้น โดยกรมสามัญศึกษา โดยเริ่มดำเนินการให้โรงเรียนวังไกลกังวลเป็นแม่ข่ายถ่ายทอดการจัดการศึกษาสายสามัญตั้งแต่ชั้นมัธยม-ศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ไปสู่โรงเรียนทั่วประเทศ ด้วยระบบทางไกลผ่านดาวเทียม ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 จนถึงปัจจุบัน

 

ทรงมีพระราชดำริให้รูปแบบการเรียนการสอนของโครงการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมจะต้อง “สอนง่าย ฟังง่าย เขียนง่าย เข้าใจง่าย” เน้นการเลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อน ประหยัด ได้ผลดี และครูทุกคนต้องมีจิตวิญญาณความเป็นครู มีความรักและเมตตา ประสงค์ให้ลูกศิษย์ทุกคนได้รับความรู้ ในฐานะที่เป็น “ครูตู้” ครูพระราชทาน นั่นเอง

 

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา โครงการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม มีบทบาทอย่างยิ่งในการลดช่องว่าง และสร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงการศึกษาของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศ ที่ประสบปัญหาครูไม่พอ ครูไม่ครบชั้น และครูสอนไม่ตรงกับวิชาเอก ซึ่งมีอยู่กว่า 15,000 โรงเรียน ทั่วประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

 

 สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน สรรพวิชาการเพื่อเยาวชนจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

 

“เราต้องให้ความรู้แก่เด็กและคนรุ่นต่อไปอย่างที่เราจะสามารถทำได้จึงพูดถึง สารานุกรม นี้จะทำให้เราแก้ปัญหาของเราได้ส่วนหนึ่ง ที่จริงมีวิธีแก้ปัญหาอย่างอื่นด้วย แต่ว่า เราต้องเลือกทำ ขอเลือกทำสารานุกรม สารานุกรมไม่ใช่ครู แต่ว่าจะช่วยให้คนอื่นที่ไม่ได้เป็นครู เป็นครูได้ เช่น พ่อ แม่ ถ้าลูกถามปัญหาต่างๆ ก็อาศัยสารานุกรมนี้มาตอบได้คนที่อ่านรู้เรื่องมากกว่าจะสอนน้องได้ แล้วการที่ดูสารานุกรมด้วยกันในครอบครัวจะช่วยให้เกิดความใกล้ชิดในครอบครัว จะช่วยให้ลูกไว้ใจพ่อแม่ ซึ่งจะเป็นผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ระหว่างเด็กด้วยกันหรือคนที่อ่านสารานุกรมด้วยกัน ก็จะคุยกันในวิชาการได้ จะเกิดความรู้และจะเกิดความสามารถที่จะแลกเปลี่ยนความคิดกันการแลกเปลี่ยนความคิดและแลกเปลี่ยนทัศนะกันนี้เป็นทางที่จะทำให้มีความรู้ความกว้างขวางและจะทำให้อยากที่จะรู้มากขึ้น ซึ่งเป็นจุดประสงค์ของการศึกษา...”

 

ด้วยพระราชดำรินี้ พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนขึ้น ตั้งแต่ พ.ศ. 2511 โดยได้มีการจัดแบ่งวิทยาการของสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนออกเป็น 4 สาขา คือ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ พร้อมกับกำหนดหัวข้อเรื่อง และวิทยากรผู้เขียนเรื่องต่างๆ ของแต่ละสาขาวิชา และปัจจุบันจัดพิมพ์สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนแล้ว รวม 26 เล่ม นับเป็นมรดกการพัฒนาวิชาการที่สำคัญยิ่งในวงการศึกษาไทย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมอบไว้ให้แก่ปวงชนชาวไทย

 

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของพระราชกรณียกิจของพระองค์ ที่ทรงสร้างและวางระบบการพัฒนาการศึกษาของไทย เพื่อให้เยาวชนและประชาชนทุกคนได้เข้าถึงระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นและความโชคดีของปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้

 

 

 

“พัฒนมหาราชา” มหาราชาผู้พัฒนา ที่มาของพระราชสมัญญานามนี้ มาจากพระราชกรณียกิจมากมายที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงริเริ่ม ล้วนมีเป้าประสงค์หลักเพื่อการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของพสกนิกรชาวไทยให้ดีขึ้น

 

 

 

 

ก่อกำเนิดเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริน้อยใหญ่ มากกว่า 4,350 โครงการ ที่พระองค์ทรงเริ่มต้นดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 จวบจนปัจจุบัน ครอบคลุมอยู่ทุกพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ที่พระบาทสมเด็จ-พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินไป โดยทุกโครงการล้วนนำมาซึ่งความมั่นคง ความเข้มแข็งของชุมชน สภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนอย่างยั่งยืน

 

 

โครงการในพระราชดำริหลากหลาย พัฒนาคุณภาพชีวิตชาวไทย

 

นับตั้งแต่ พ.ศ. 2495 ปีที่ 6 แห่งรัชกาลที่ 9 หลังจากที่พระองค์เสด็จนิวัติประเทศไทยแล้ว หลากหลายโครงการในพระราชดำริได้เริ่มก่อกำเนิดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงแรก ตั้งแต่ปีพ.ศ.2493-2505 พระบาทสมเด็จพระปรมินทร-มหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านงานพัฒนาสังคม ในรูปแบบของงานด้านสังคมสงเคราะห์หรือประชาสงเคราะห์ อาทิ กิจกรรมการรณรงค์หาทุนเพื่อก่อสร้างอาคารพยาบาลตามสถานพยาบาลหลายแห่ง การหาทุนดำเนินการในลักษณะของโครงการ จัดทำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ เป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์เพื่อต่อสู้โรคเรื้อนของสถาบันราชประชาสมาสัย กิจกรรมเกี่ยวกับ การป้องกันรักษาโรคโปลิโอ อหิวาตกโรค ไปจนถึงโครงการจัดตั้งโรงเรียนสงเคราะห์เด็กยากจน

 

 

 

 

ต่อมา พระองค์ทรงริเริ่มโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะมีอยู่หลายประเภท โดยมีหลักในการดำเนินงานแตกต่างกัน ดังนี้

 

หากเป็น โครงการตามพระราชประสงค์ คือ โครงการซึ่งทรงศึกษาและทดลองปฏิบัติ ทรงพัฒนาและส่งเสริม แก้ไขดัดแปลงวิธีการเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อดูแลผลผลิตทั้งในเขตพระราชฐานและเขตนอกพระราชฐาน โดยทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ในการดำเนินงานทดลองจนกว่าจะเกิดผลดี เมื่อไว้วางพระราชหฤทัยว่าโครงการนั้นๆ จะได้ผลดี เป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริงแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้รัฐบาลเข้ามาร่วมสนับสนุนงานในภายหลัง

 

ขณะที่ โครงการหลวง เป็นโครงการที่ทรงเจาะจงดำเนินการและพัฒนาบำรุงรักษาต้นน้ำลำธารในบริเวณป่าเขาทางภาคเหนือ เพื่อบรรเทาอุทกภัยในที่ลุ่ม ทั้งภาคเหนือตอนใต้และภาคกลางเพื่อถนอมน้ำไว้เลี้ยงแม่น้ำลำธารของที่ลุ่มในฤดูแล้ง และด้วยพื้นที่เหล่านี้เป็นที่อยู่ของชาวเขาเผ่าต่างๆ พระองค์จึงทรงพัฒนาให้ชาวเขาชาวดอยอยู่ดีกินดี ให้เลิกการปลูกฝิ่น เลิกการตัดไม้ทำลายป่า ทำไร่เลื่อนลอย และเลิกการค้าของเถื่อนผิดกฎหมาย ทรงพัฒนาช่วยเหลือให้ปลูกพืชหมุนเวียนที่มีคุณค่าสูง ปลูกข้าวไร่และเลี้ยงสัตว์ เพื่อบริโภค รวมคุณค่าแล้วให้ได้คุ้มค่าแทนการปลูกฝิ่น เพราะฉะนั้น โครงการหลวงก็คือ โครงการตามพระ-ราชดำริที่ร่วมปฏิบัติผสมผสาน กับหน่วยงานของรัฐบาลในบริเวณดอยต่างๆ ในภาคเหนือเพื่อพัฒนาอาชีพและความเป็นอยู่ของชาวเขา ชาวดอย นั่นเอง

 

 

 

 

ส่วน โครงการตามพระราชดำริ เป็นโครงการที่ทรงวางแผนการพัฒนา ทรงเสนอแนะให้รัฐบาลร่วมดำเนินการตามพระราชดำริ หน่วยงานร่วมของรัฐบาลนั้นมีทั้งฝ่ายพลเรือนเฉพาะ ทั้งฝ่ายทหารเฉพาะ กระทั่งฝ่ายทหารและพลเรือนร่วมกันก็มี โครงการ ประเภทนี้ ในปัจจุบันมีอยู่ทั่วทุกภาคในประเทศ แต่ถ้าเป็นโครงการในพระบรมราชานุเคราะห์ พระองค์จะพระราชทานข้อแนะนำและแนวพระราชดำริให้เอกชนรับไปดำเนินการด้วยกำลังเงิน กำลังปัญญา และกำลังแรงงาน พร้อมทั้งติดตามผลงานต่อเนื่องโดยภาคเอกชนเอง

 

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมีจำนวนมากถึง 2,700 โครงการ ซึ่งประกอบด้วยโครงการหลายประเภทด้วยกัน อาทิ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้านการเกษตร สิ่งแวดล้อม พัฒนาแหล่งน้ำ การคมนาคม สื่อสาร การส่งเสริมอาชีพ สวัสดิการ และการสาธารณสุข โดยเฉพาะโครงการอันเนื่องมาจากพระ-ราชดำริ ในด้านการสาธารณสุข จากการเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทรงพบว่า ราษฎรจำนวนไม่น้อย ไม่สามารถเข้าถึงการแพทย์ และขาดความรู้ในการดูแลสุขอนามัยอย่างถูกวิธี เป็นที่มาของโครงการแพทย์พระราชทาน

 

ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2510 ซึ่งนับแต่นั้น เมื่อมีการเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับแรมเพื่อทรงเยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นต่างๆ ก็จะมีคณะแพทย์พระราชทานเดินทางติดตามพระองค์ไปด้วย เพื่อให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชน

 

นอกจากนั้นพระองค์ยังสนพระราช-หฤทัยในการจัดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วไทยมากที่สุด ดังพระราชดำรัสที่ว่า “...ต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำสำหรับทำการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น...เมื่อมีน้ำเสียอย่าง ราษฎรก็จะไม่ละทิ้งถิ่นที่อยู่...”

 

 

 

 

 “ศูนย์ศึกษาการพัฒนา” บูรณาการการพัฒนาสู่ทุกท้องถิ่นแดนไทย

 

สำหรับแนวพระราชดำริในการสร้าง “ศูนย์ศึกษาการพัฒนา” เริ่มต้นขึ้นเป็นแห่งแรก ณ ศูนย์ศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2522 เมื่อครั้งที่ พระองค์เสด็จฯ ไปทรงเป็นประธานในงานเปิดศาลบวรราชานุสาวรีย์ ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา และราษฎรได้น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินหมู่ที่ 2 ตำบลเขาหินซ้อน เนื้อที่ 264 ไร่ จึงมีพระราชดำริที่จะใช้ผืนดินนี้เพื่อก่อประโยชน์ต่อการพัฒนาการเกษตรต่อไป โดยให้ส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมชลประทาน กรมพัฒนา ที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกันพัฒนาพื้นที่นี้โดยจัดทำเป็นศูนย์การศึกษาด้านเกษตรกรรมและงานศิลปาชีพ

 

ในเวลาต่อมา ได้เกิดศูนย์ศึกษาการพัฒนาขึ้นอีกหลายแห่ง โดยแต่ละแห่งล้วนมีจุดประสงค์ในการก่อตั้งเพื่อพัฒนาท้องถิ่นแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ โดยพระองค์พระราชทานแนวทางในการจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนา แต่ละแห่ง ว่า

 

“...เป็นการสาธิตการพัฒนาเบ็ดเสร็จ หมายถึง ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกด้านของชีวิตประชาชนที่จะหาเลี้ยงชีพในท้องที่จะทำ อย่างไร และได้เห็นวิทยาการแผนใหม่ จะสามารถที่จะหาดูวิธีการจะทำมาหากินให้มีประสิทธิภาพ...”

 

“...ด้านหนึ่งก็เป็นจุดประสงค์ของศูนย์ศึกษาฯ ก็เป็นสถานที่สำหรับค้นคว้าวิจัยในท้องที่ เพราะว่าแต่ละท้องที่สภาพฝนฟ้า อากาศ และประชาชนในท้องที่ต่างๆ กันก็มีลักษณะแตกต่างกันมากเหมือนกัน…”

 

ยกตัวอย่าง ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระ-ราชดำริ ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากพระองค์เสด็จฯ ไปทรงเป็นประธานในงานพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้า-ตากสินมหาราช ที่จังหวัดจันทบุรี ในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2524 และทรงเล็งเห็นว่า อ่าวคุ้งกระเบนเป็นแหล่งการประมงแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งของ จังหวัดจันทบุรี บริเวณชายฝั่งก็เป็นเขตสงวนของ ป่าไม้ชายเลนที่สำคัญ แต่ทรัพยากรเหล่านี้ได้เสื่อมโทรมลงทุกด้าน ปริมาณสัตว์น้ำในธรรมชาติลดลงและป่าชายเลนถูกบุกรุกทำลาย พระองค์มีพระราชดำริแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีในขณะนั้น ให้พิจารณาหาพื้นที่ที่เหมาะสมจัดทำโครงการพัฒนาด้านอาชีพการประมงและการเกษตรในเขตพื้นที่ ชายฝั่งตะวันออกของจังหวัดจันทบุรี เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนา เป็นหน่วยงานที่ดำเนินการศึกษาสาธิต และการพัฒนาในเขตที่ดินชายทะเล ซึ่ง ณ ตอนนี้ ศูนย์ศึกษาพัฒนาแห่งนี้ เป็นแม่แบบให้กับศูนย์ศึกษาพัฒนาชายฝั่งทะเลอีกหลายแห่งทั่วประเทศ

 

 

 

 

 

 

โครงการพัฒนากรุงเทพฯ ตามแนวพระราชดำริ

 

ไม่ใช่แค่พระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในชนบทเท่านั้น หากแต่ทุกข์คนเมืองจากการจราจรอันติดขัดและน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ พระองค์ก็ทรงเล็งเห็นถึงความทุกข์ยากของประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร จึงทรงคิดหาวิถีทางในการบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดและป้องกันน้ำท่วม เป็นที่มาของหลากหลายโครงการในพระราชดำริ

 

เริ่มจากความเดือดร้อนเมื่อปี พ.ศ. 2523 และปี พ.ศ. 2525 ที่ได้เกิดภาวะน้ำท่วม บริเวณพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานครอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และครั้งนั้น พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานกระแสพระราชดำริแก้ไขสถานการณ์อันมีผลให้เกิดการเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเล โดยผ่านแนวคลองต่างๆ ฝั่งตะวันออก ต่อมาในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2526 เกิดน้ำท่วมขังยาวนานถึง 5 เดือน พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงตรวจพื้นที่ด้วยพระองค์เองหลายครั้ง เพื่อพระราชทานคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนัก ยังทรงเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ต่อจนดึกดื่น เพื่อกำหนดมาตรการดำเนินงานแก้ไขความทุกข์ยากของราษฎรให้พ้นไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย พระองค์พระราชทานพระราชดำริเพื่อป้องกันน้ำท่วม อย่าง มาตรการป้องกันการขยายตัวของเมืองอย่างไร้ทิศทาง สร้างระบบป้องกันน้ำในเขตชุมชน ปรับปรุงบึงขนาดใหญ่เป็นที่กักน้ำ และขยายทางน้ำในจุดที่ผ่านทางหลวงหรือทางรถไฟ เป็นต้น

 

 

 

 

ส่วนโครงการในพระราชดำริเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรของกรุงเทพ-มหานคร ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ได้เคยบอกเล่าไว้ว่า

 

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีพระวิสัยทัศน์กว้างไกลมาก ทรงเคยเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติจะมาถวายของขวัญเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระองค์ทรงขอให้ถวายถนนวงแหวน (Ring Road) ซึ่งก็ได้มาเพียงเส้นทางเดียว คือ ถนนวงแหวนรัชดาภิเษก เพราะพระองค์ทรงคาดเดาได้ว่าจะมีปัญหาจราจรเกิดขึ้นแน่นอน หากมีถนนวงแหวนจะช่วยระบายรถได้มาก ทั้งๆ ที่ในช่วงเวลานั้นยังมีรถไม่มาก ยังไม่จำเป็นต้องมีถนนวงแหวน”

 

นอกจากนั้น พระองค์ยังมีพระ-ราชดำริในการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดด้วยการพระราชทานแนวทางให้มีการปรับปรุงถนน ตรอก ซอย ก่อสร้างสะพานข้ามทางแยก ทั้งนี้ หลายโครงการได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อดำเนินโครงการจำนวนมาก เช่น โครงการก่อสร้างถนนเลียบทางรถไฟ สายธนบุรี โครงการก่อสร้างถนนเชื่อมถนนเพชรบุรีกับถนนพระรามที่ 9 และโครงการก่อสร้างทางยกระดับถนนปิ่นเกล้า-บรมราชชนนี เป็นต้น

 

 

 

 ทั้งนี้แนวทางที่ได้พระราชทานเพื่อแก้ไขปัญหาในแต่ละจุดนั้นทรงมุ่งเน้นวิถีทางที่ใช้เงินน้อย แต่สามารถแก้ไขได้ในวงกว้าง กระจายไปแต่ละส่วนของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีปัญหาการจราจร จากจุดเล็กๆ หลายจุดที่รัฐบาล กรุงเทพมหานคร กรมตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน้อมนำพระราชดำริไปแก้ไขนั้น ก็สามารถครอบคลุมพื้นที่ของกรุงเทพ-มหานครและปริมณฑลทั้งหมดได้ในที่สุด

 

จากพระราชกรณียกิจที่กล่าวถึงมาทั้งหมดนี้ ย่อมเป็นที่ประจักษ์ในใจของปวงชนชาวไทยทุกคนเป็นแน่แท้แล้วว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มิได้วางพระองค์อยู่ในฐานะพระมหากษัตริย์ และทรงปฏิบัติพระราช-กรณียกิจในฐานะประมุขเท่านั้น ทว่า พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทุกอย่าง เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทยให้ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง ดังพระปฐมบรมราชโองการในวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 มีพระราชดำรัสว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 88 ปีก่อน ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 เวลา 08.45 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ โรงพยาบาลเมานต์ ออร์เบิร์น เมืองเคมบริดจ์ (Cambridge) รัฐแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts) ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือหากนับตามเวลาประเทศไทย คือ 20.45 น. ตรงกับวันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น 12 ค่ำ ปีเถาะ

เป็นช่วงเวลาที่พระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรม-ราชชนนี (สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์) ทรงพระนามว่า พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชสมภพ โดยมีนายแพทย์ดับเบิลยู. สจวร์ต วิตมอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ โดยเหตุที่ทรงประสูติ ณ ที่แห่งนี้ เนื่องจากช่วงนั้น สมเด็จพระบรมราชชนกกำลังทรงศึกษาวิชาการแพทย์ และสมเด็จพระบรมราชชนนีกำลังทรงศึกษาวิชาการพยาบาลและเศรษฐกิจการเรือนอยู่ที่นั่นพอดี

ทั้งนี้ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระเชษฐภคินีและพระบรมเชษฐาธิราช คือ สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิ-วัฒนา และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล

พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพล-อดุลยเดช ทรงพระราชสมภพในราชสกุล “มหิดล” อันเป็นเชื้อพระวงศ์สายหนึ่งในพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยพระบรมราชชนก ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่ 69 จากจำนวน 77 พระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 7 จากจำนวน 8 พระองค์ในสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาพระบรมราชเทวี) โดยเมื่อแรกประสูติได้เฉลิมพระนามตามพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชฯ ทว่า หลังจากพิธีโสกันต์แล้วทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงพระยศเป็น “กรมหลวงสงขลา-นครินทร์” ในที่สุด

ต่อมาในปี พ.ศ. 2471 หลังจากที่สมเด็จพระบรมราชชนกทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการแพทย์จากประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว สมเด็จ-พระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนีได้พาพระราชโอรสและพระราชธิดาเสด็จนิวัตประเทศไทย ทว่า หลังจากนั้นไม่ถึงปี  พลันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด สมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จสวรรคต เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2472 โดยในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระปรมิน- ทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษาเพียง 1 พรรษากับอีก 9 เดือนเท่านั้น

 

 

 

การสวรรคตของพระบรมราชชนก ไม่เพียงแต่ยังความเศร้าโศกเสียใจมาให้ทุกพระองค์เท่านั้น หากแต่สำหรับสมเด็จพระศรีนครินทรา-บรมราชชนนี ยังนำมาซึ่งภาระหน้าที่อันใหญ่ยิ่งในการที่จะทรงอภิบาลหน่อเนื้อกษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์เพียงลำพังโดยในการอภิบาล พระ-ราชโอรสและพระราชธิดาให้ทรงเจริญเติบโต เพียบพร้อมด้วยพระราชจริยาวัตรอันงดงาม สมบูรณ์ด้วยสติปัญญา สมเด็จพระบรมราชชนนี มีพระราชดำริว่า การเลี้ยงดูอบรมบุตรธิดานั้น มีหลักปฏิบัติสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ เด็กต้องมีพลานามัยสมบูรณ์ และต้องอยู่ในระเบียบวินัย ภายใต้การเลี้ยงดูที่ไม่บังคับหรือเข้มงวดจนเกินไป

ต่อมา เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเข้ารับการศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนมาแตร์แดอี กรุงเทพมหานคร ซึ่งในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่แปรเปลี่ยน ทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายขึ้น เพราะมีความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 กับรัฐบาลของนายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ผู้เป็นหัวหน้าคณะราษฎรมากยิ่งขึ้น จนไม่อาจประนีประนอมได้ วิกฤตบ้านเมืองในครั้งนั้น นับว่าส่งผลต่อพระชนม์ชีพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระบรมเชษฐาธิราช และพระเชษฐภคินี ไม่น้อย

ด้วยเหตุนี้ เมื่อราวต้นปี พ.ศ. 2476 สมเด็จพระบรมราชชนนีจึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พาพระราชโอรสและพระราชธิดาเสด็จฯ ไปประทับ ณ เมืองโลซาน (Lausanne) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

เวลาล่วงไปจนกระทั่งในปี พ.ศ.2481 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จนิวัตพระนครเป็นครั้งแรก แม้การเสด็จนิวัตครั้งนั้นจะไม่นานนัก หน่อเนื้อกษัตริย์ทั้ง 2 พระองค์ ทรงมีโอกาสได้ทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของประชาชน ภูมิประเทศ ขนบธรรมเนียมประเพณี และศิลปวัฒนธรรมของชาติไทย เมื่อเสด็จฯ กลับไปศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จึงทรงซึมซับและผูกพันกับเมืองไทยและคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ กอปรกับทางรัฐบาลก็ได้ส่งอาจารย์ชาวไทยไปถวายพระอักษรไทย ศึกษาภาษาไทย และประวัติศาสตร์ไทยด้วย

 

 

ครั้นเสด็จฯ กลับไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพียงไม่นานก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างสงคราม สมเด็จพระบรมราช-ชนนีตัดสินใจที่จะประทับที่เมืองโลซานพร้อมพระราชโอรสและพระราชธิดา ด้วยทรงเล็งเห็นว่า หากอพยพลี้ภัยไปที่อื่นจะส่งผลกระทบต่อการศึกษาเล่าเรียนของทุกพระองค์ โดยในช่วงเวลานั้น สมเด็จพระราชชนนีได้ทรงมอบบทเรียนการดำรงชีวิตอย่างมัธยัสถ์และพอเพียงให้แก่พระราชโอรสและพระราชธิดาทุกพระองค์ เพราะในห้วงเวลานั้น ค่าครองชีพขยับสูงขึ้น เครื่องอุปโภค บริโภค ขาดแคลน พระองค์จึงทรงใช้ชีวิตอย่างประหยัดในทุกทาง

และแล้วสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ยุติลงเมื่อ พ.ศ. 2488 รัฐบาลไทยจึงกราบทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ให้เสด็จ-นิวัตพระนคร เพื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ เนื่องด้วยเห็นว่าพระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว สมเด็จพระบรมราชชนนีได้เสด็จฯ กลับประเทศไทยพร้อมพระราชโอรสและพระราชธิดาทุกพระองค์ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2488 เพียงไม่นานหลังจากที่เสด็จฯ กลับมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช (พระนามรัชกาลที่ 9 ในขณะนั้น) ทรงเริ่มปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎรในเขตพระนครและจังหวัดใกล้เคียงทันที

“ร้อยโทสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช นายทหารพิเศษ” คือพระยศทางทหารที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว-อานันทมหิดลได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งทรงขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489

แต่แล้วความชื่นชมโสมนัสของปวงชนชาวไทยก็ดำรงอยู่ได้เพียงไม่นาน ความทุกข์ระทมแสนสาหัสก็เข้ามาแทนที่อย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อเช้าวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 สี่วันก่อนวันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะเสด็จพระราชดำเนินจากประเทศไทยเพื่อกลับไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลต้องพระแสงปืนและเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งบรมพิมาน พระบรมมหาราชวัง

ท่ามกลางความเศร้าโศกาอาดูรในพระราชหฤทัยอย่างหนักของสมเด็จพระบรมราชชนนี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย-เดช สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา และพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ได้มีมติกราบบังคมทูลอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นครองราชย์สืบพระราชสันตติวงศ์ต่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เป็นกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ลำดับที่ 9 ทรงพระนามว่า 

“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถ-บพิตร”

ซึ่งในเวลานั้น พระองค์มีพระชนมายุ 18 พรรษา จึงยังไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ด้วยพระองค์เอง ทางรัฐสภาจึงแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดินขึ้นเพื่อบริหารราชการแผ่นดินในช่วงนั้น

 

 

หลังจากนั้น ด้วยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชยังคงมีพระราชภารกิจด้านการศึกษา จึงต้องเสด็จฯ กลับไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้งในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2489 โดยพระองค์ทรงตระหนักดีว่าจะต้องกลับไปเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ต้องปกครอง      พสกนิกรชาวไทยให้ร่มเย็นเป็นสุข พระองค์จึงเปลี่ยนแนวทางการศึกษาใหม่ จากที่ได้เลือกศึกษาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ ทรงเปลี่ยนมาศึกษาด้านสังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ เพื่อเตรียมพระองค์ให้พร้อมเป็นกษัตริย์ที่ดี

ระหว่างศึกษาต่อในต่างแดน ยามว่างเว้นจากพระราชกิจในการศึกษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชโปรดการเสด็จประพาสไปยังสถานที่สำคัญตามเมืองในต่างประเทศ เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ และโปรดการเล่นกีฬาเพื่อออกกำลังพระวรกาย เช่นในฤดูหนาว พระองค์จะเสด็จฯ ไปทรงสกีอยู่บ่อยครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังทรงสนพระราชหฤทัยในด้านการช่างและการดนตรีเป็นพิเศษ ในยามว่างจะทรงฝึกหัดเล่นแซกโซโฟน ทรัมเป็ต คลาริเน็ต สลับกับทรงประดิษฐ์แบบเรือจำลอง เครื่องรับวิทยุ อยู่เสมอ

และระหว่างประทับที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์นี้เอง ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์    กิติยากร ธิดาของหม่อมเจ้านักขัตรมงคลและหม่อมหลวงบัว กิติยากร ซึ่งหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์มีความสามารถและรักการเล่นดนตรีเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจึงต้องพระราชอัธยาศัยในหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ จากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร จึงได้เริ่มสานต่อและค่อยๆ พัฒนาเป็นความรักในที่สุด

จนกระทั่งในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2491 พสกนิกรชาวไทยก็ได้รับรู้ข่าวร้ายที่สร้างความสะเทือนใจอย่างหนักหนาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระบาท-สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ พระอาการสาหัส เนื่องจากรถยนต์พระที่นั่งได้ชนกับรถบรรทุกคันหนึ่ง บริเวณริมทะเลสาบเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และประทับรักษาพระองค์่ ณ โรงพยาบาล ประมาณ 3 สัปดาห์ โดยพระอาการที่น่าเป็นห่วงที่สุดในตอนนั้นคือ ที่พระเนตรข้างขวา ซึ่งแพทย์ผู้ถวายการรักษาต้องนำเศษแก้วออกจากพระเนตร 2 ชิ้น ในช่วงนั้น คณะแพทย์ขอพระราชทานอนุญาตให้ทรงพักฟื้นพระวรกายเพื่อรอเวลาทรงเข้ารับการผ่าตัดพระเนตรข้างขวาอีกครั้ง จนกระทั่งในวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 แพทย์ถวายการผ่าตัดพระเนตรข้างขวา แม้ว่าผลการผ่าตัดจะเป็นที่น่าพอใจแต่อุบัติเหตุในครั้งนั้นก็ทำให้หมายกำหนดการเสด็จนิวัตประเทศไทยต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด โดยในระหว่างที่พระองค์รักษาพระวรกายอยู่ที่โรงพยาบาล      หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายการพยาบาลอย่างใกล้ชิด

เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2492 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชกระแสรับสั่งเรื่องการขอหมั้นกับหม่อมราชวงศ์  สิริกิติ์ ซึ่งในการนี้ หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร ผู้เป็นบิดาก็เห็นด้วย พระราชพิธีหมั้นอันแสนเรียบง่ายจึงได้จัดขึ้น ณ โรงแรมวินเซอร์ นครโลซาน เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 โดยพระธำมรงค์ที่ทรงใช้ในพระราชพิธีหมั้น เป็นพระธำมรงค์เพชรหนามเตยรูปหัวใจแบบเดียวกับที่สมเด็จพระราชบิดาพระราชทานแด่สมเด็จพระบรมราชชนนีนั่นเอง

 

 

จากนั้น ในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2493 ทางรัฐบาลได้จัดให้มีพิธีสมโภชขึ้น ในโอกาสที่พระองค์เสด็จนิวัตประเทศไทย โดยในโอกาสเดียวกันนี้เองที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระพี่นางเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ให้ขึ้นเป็น

“สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา”

หลังจากช่วงวันที่ 28-30 มีนาคม พ.ศ. 2493 อันเป็นช่วงเวลาแห่งพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  อานันทมหิดล ผ่านไปราว 1 เดือน พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสก็ได้เกิดขึ้นในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 ณ วังสระปทุม ในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เสด็จฯ ขึ้นประทับยังห้องพระราชพิธีบน    พระตำหนัก เพื่อรับพระราชทานน้ำพระพุทธมนต์และทรงเจิมพระนลาฏจากสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ตามพิธีโบราณราชประเพณี

ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จฯ ขึ้นสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี พระองค์ทรงเศวตพัสตร์ประทับผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก สรงพระมูรธาภิเษกเหนือพระอังสา หลังสรงแล้วทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ประทับเหนือพระราชอาสน์บัลลังก์ทอง เฉลิมพระบรมนามาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า

 

 

 

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

ณ เวลานั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะทรงครองราชย์ ปกครองพสกนิกรภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ และพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระองค์พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า

“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

พร้อมกันนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ให้ดำรงราชฐานันดรศักดิ์เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี

หลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระองค์เสด็จฯ กลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้งเพื่อรักษาพระวรกาย อันเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตามคำแนะนำของคณะแพทย์ที่เคยถวายการรักษา และในช่วงที่ประทับรักษาพระวรกายอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระประสูติการ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ที่โรงพยาบาล ณ เมืองโลซานในวันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2494 (ตามเวลาในประเทศไทยเป็นวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2494)

ในเวลาต่อมา เมื่อทั้งสองพระองค์ได้เสด็จฯ กลับมาประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ได้มีพระ-ประสูติการพระราชโอรสและพระราชธิดาอีก 3 พระองค์ คือ

 

 

 

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรง สุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์ สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร โดยต่อมาได้รับการสถาปนาพระราชอิสริยยศเป็น

“สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร”

พระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

 

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธร-เทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ โดยต่อมาได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศเป็น

“สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้าจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี”

พระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

 

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี

พระราชสมภพเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2500 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

 

ในฐานะที่ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระผนวช ณ พระอุโบสถ วัดพระ-ศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม ถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 ซึ่งพระองค์ได้รับการถวายพระ-สมญานามทางธรรมว่า “ภูมิพโลภิกขุ” ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองสมณเพศ พระองค์ประทับ ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร โดยทรงบำเพ็ญวัตรปฏิบัติเช่นพระภิกษุทั้งหลายอย่างเคร่งครัด

 

ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงผนวชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรม-ราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ครั้นเมื่อพระองค์ลาพระผนวชจึงโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระอภิไธยสมเด็จพระบรมราชินี เป็น “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ”

 

 

จากผลการวิจัยภายใต้โครงการ คอนเนคเต็ด ไลฟ์(Connected Life) โดยบริษัท กันตาร์ ทีเอ็นเอส พบว่า ผู้บริโภคออนไลน์ในประเทศไทยให้ความเชื่อถือในคอนเทนต์ที่เห็นจากโซเชียลเน็ตเวิร์กหรือกิจกรรมต่างๆ บนโลกออนไลน์มากกว่าผู้บริโภคจากประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้  และผู้บริโภคไทยมีข้อสงสัยในคอนเทนต์ที่ได้เห็นน้อยกว่าผู้บริโภคในส่วนอื่นๆ ของโลก รวมถึงมีการยอมรับแบรนด์ออนไลน์มากกว่าด้วยเช่นกัน ดังนั้น แบรนด์จึงจำเป็นต้องเดินหน้าสร้างความเชื่อถือด้วยการสร้างความสัมพันธ์ที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นจะเสี่ยงต่อการถูกตั้งข้อกังขาและไม่น่าไว้วางใจจากผู้บริโภค

กันตาร์ ทีเอ็นเอส ได้ทำการสำรวจกับผู้บริโภคกว่า 70,000 คน จาก 56 ประเทศ รวมถึงการสัมภาษณ์เชิงลึกจาก 104 กลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากการศึกษาของโครงการคอนเนคเต็ด ไลฟ์ 2560 การวิจัยดังกล่าวเป็นการศึกษาเรื่องความไว้วางใจของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์จาก 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ เทคโนโลยี คอนเทนต์ ข้อมูล และอีคอมเมิร์ซ

 

 

ผลสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า คนไทยยังคงมีทัศนคติเชิงบวกอย่างมากกับการเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ และยังไม่ตระหนักถึงผลที่ตามมาหรือสิ่งที่ต้องแลกกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองแชร์ออกไปบนโลกออนไลน์

ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เริ่มไม่ไว้วางใจและมีข้อกังขาเกี่ยวกับการใช้งานข้อมูลส่วนตัวของตนโดยบริษัทต่างๆ บ้างแล้ว จากผลสำรวจมีเพียง 20% ของผู้บริโภคไทย ที่กังวลเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวหรือสิ่งที่แชร์ออกไปบนโลกโซเชียลที่แบรนด์ต่างๆได้ไป

ในขณะที่ทั่วโลกแสดงความกังวลถึง 40% โดยมีประเทศออสเตรเลียที่แสดงความกังวลสูงถึง 56%

นอกจากนี้ มีเพียง 22% ของผู้บริโภคไทยที่ต่อต้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มอร์นิเตอร์ (monitor) หรือติดตามกิจกรรมของพวกเขาบนโลกออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย ถ้าสิ่งเหล่านั้นทำให้ชีวิตของพวกเขาสะดวกสบายใจมากขึ้น เทียบกับผู้บริโภคในเกาหลี 56% และในนิวซีแลนด์ 62% ที่ไม่เห็นด้วยกับเครื่องมือติดตามหรืออุปกรณ์ดังกล่าว

 

 

ในยุคของ ‘ข่าวปลอม’ นี้ 40% ของผู้บริโภคในประเทศไทยเชื่อถือข้อมูลที่ได้รับจากช่องทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยจากประเทศอื่นๆ ถึง 35% และสูงกว่าตลาดอื่นๆ ที่มีการสื่อสารผ่านช่องทางดิจิทัลต่างๆ มายาวนานกว่า เช่น มากกว่าญี่ปุ่น 18% และมากกว่าเกาหลี 17%  

สำหรับผู้บริโภคไทย โซเชียลมีเดียยังคงเป็นช่องทางที่น่าเชื่อถือในการรับข้อความจากแบรนด์ โดยทั่วไปยอมรับว่าข้อมูลเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าแบรนด์เหล่านั้นแสดงออกถึงความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของไทยซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นๆ

ทัศนคติของผู้บริโภคที่เห็นด้วยนี้ได้สะท้อนถึงความรู้สึกของคนไทยเกี่ยวกับแบรนด์ จากผลวิจัยนี้ พบว่า ผู้บริโภคจำนวน 39% เชื่อมั่นในแบรนด์ใหญ่ระดับโลก

นอกจากนี้ข้อมูลระหว่างตลาดที่เกิดใหม่และตลาดพัฒนาแล้วในเอเชีย ระดับความเชื่อมั่นในแบรนด์ของกลุ่มนี้มีความแตกต่างเป็นอย่างมาก ในประเทศเวียดนามและเมียนมาร์ ผู้บริโภคเกินครึ่ง (54% ในทั้งสองประเทศ) ให้ความไว้วางใจกับแบรนด์ใหญ่ระดับโลก ในขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงต่ำอย่างเห็นได้ชัดในตลาดพัฒนาแล้ว ซึ่งเห็นได้จากผู้บริโภคออสเตรเลียเพียง 19% และนิวซีแลนด์เพียง 21% ที่ให้ความเชื่อใจกับแบรนด์เหล่านั้น

 

 

ดร. อาภาภัทร บุญรอด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กันตาร์ อินไซท์ ประเทศไทย แสดงความเห็นต่อผลสำรวจว่า

“เมื่อเทียบกับต่างชาติ คนไทยยังคงเปิดรับการส่วนร่วมกับแบรนด์ผ่านช่องทางออนไลน์ ส่วนใหญ่รู้สึกสบายใจที่จะแชร์ข้อมูลส่วนตัวและไม่ได้รู้สึกไม่ดีที่กิจกรรมของตนถูกติดตามโดยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมต่ออยู่  นับเป็นโอกาสอันดีของแบรนด์ที่จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้ในการนำเสนอคอนเทนต์ที่สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลผ่านช่องทางออนไลน์และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อแบรนด์ อย่างไรก็ตาม มีตัวอย่างแบรนด์ที่ทำลายความสัมพันธ์กับผู้บริโภคออนไลน์ด้วยแคมเปญที่ไม่มีประสิทธิภาพหรือล่วงล้ำผู้บริโภค ดังนั้น นักการตลาดจำเป็นต้องเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเหล่านั้นเพื่อที่จะมั่นใจได้ว่าจะไม่ทำให้ผู้บริโภคไทยที่เปิดรับและมีทัศนคติเชิงบวกเช่นนี้รู้สึกไม่ดี”

X

Right Click

No right click