December 13, 2025

ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ประกาศขยายระยะเวลาการเปิดให้บริการของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ไปตลอดปี 2561 โดยจะให้บริการวันสุดท้ายในวันเสาร์ที่ 5 มกราคม 2562 เวลา 14.00 น. เลื่อนจากกำหนดเดิมวันที่ 16 เมษายน 2561 ระบุเพื่อให้บริษัทฯ สามารถให้เวลากับการลงรายละเอียดของการออกแบบและพัฒนาโครงการ Mixed-Use หรืออสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสมได้อย่างเต็มที่ 

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DTC เปิดเผยว่า ตามที่ ดุสิตธานี อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ประกาศยุติการให้บริการโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ในช่วงเดือนเมษายน ปี 2561 เพื่อพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสม หรือมิกซ์-ยู  (Mixed-Use Development) นั้น

หลังจากได้พิจารณาปัจจัยแวดล้อม และพิจารณาถึงความสำคัญในการให้เวลากับการลงรายละเอียดทั้งการออกแบบและการพัฒนาโครงการดังกล่าวแล้ว บริษัทฯ จึงตัดสินใจเลื่อนการปิดให้บริการโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ออกไปจากกำหนดเดิม เป็นให้บริการวันสุดท้ายในวันเสาร์ที่ 5 มกราคม 2562 เวลา 14.00 น.

ดังนั้น ในปี 2561 นี้ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ จะยังคงเปิดให้บริการอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี 

สำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสมโครงการนี้ เป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และบริษัท เซ็นทรัล พัฒนา จำกัด (มหาชน)  มูลค่า 3.67 หมื่นล้านบาท

นับว่าเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดของกลุ่มดุสิตธานี ที่ต้องการจะพัฒนาและยกระดับพื้นที่ย่านธุรกิจสำคัญใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ให้กลายเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมที่ประกอบไปด้วย โรงแรม อาคารที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน และห้างสรรพสินค้า  โดยในส่วนของโรงแรม คือ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ แห่งใหม่นั่นเอง

ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล วางแผนที่จะสร้างโครงการนี้ ให้มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร เพื่อให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ เหมือนดังเช่นที่โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ เคยสร้างประวัติศาสตร์ไว้เมื่อ 48 ปีที่แล้ว ด้วยการยกระดับโครงสร้างของโครงการให้สามารถอำนวยความสะดวกและบรรเทาการจราจรบริเวณนี้

รวมถึงสร้างโอกาสและความเชื่อมโยงทางธุรกิจมาสู่ชุมชน เพื่อให้โครงการนี้ เป็นตัวแทนของกลุ่มธุรกิจไทยที่จะเผยแพร่ชื่อเสียงและวัฒนธรรมไทย และยกระดับแบรนด์ไทยไปสู่ตลาดโลก

 “ตั้งแต่ที่เราประกาศการเรื่องโครงการนี้ไปเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว เราก็ได้รับเสียงตอบรับและความคิดเห็นที่เป็นบวกมากมายจากลูกค้า ในขณะเดียวกัน ลูกค้าเองก็แสดงออกถึงความเสียดายและยังสอบถามมาว่า เรามีแผนการที่จะนำเอกลักษณ์และความโดดเด่นของโรงแรมในปัจจุบันไปสู่โรงแรมแห่งใหม่ได้อย่างไร

จุดนี้เองที่เราทำให้ตัดสินใจให้เวลากับการออกแบบโครงการให้มากขึ้น เนื่องจากเราต้องทำด้วยความรอบคอบ ใส่ใจ และพิถีพิถันในรายละเอียดทุกขั้นตอน เพื่อให้การออกแบบโครงการนี้ตอบโจทย์ความต้องการทั้งด้านงานอนุรักษ์และการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำพื้นที่สีเขียวรอบโครงการเพื่อเชื่อมต่อพื้นที่สีเขียวของสวนลุมพินี  การเชื่อมจราจรทุกระนาบไม่ว่าจะเป็นใต้ดิน บนดิน หรือลอยฟ้า เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรหนาแน่นในย่านนี้” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเชื่อด้วยว่า การขยายระยะเวลาออกไปยังเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้มีโอกาสมาสัมผัสกับกิจกรรมสุดพิเศษมากมายที่โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ได้เตรียมไว้ต้อนรับลูกค้าและแขกผู้เข้าพักตลอดทั้งปี เพื่อเป็นการส่งท้ายโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ก่อนจะเข้าสู่การเตรียมความพร้อมสำหรับการสร้างโรงแรมดุสิตธานีโฉมใหม่อีกด้วย

 

 

 

 

 

 

 

วิธีคิดที่ไม่ตกเทรนด์ของนักธุรกิจรุ่นใหญ่ อภิชาติ ชโยภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัทท่าเรือราชาเฟอร์รี่ จำกัด (มหาชน) ที่เดินหน้าปรับเปลี่ยนธุรกิจ ให้ทันกับโลกในยุคดิจิทัล โดยใช้แนวคิดบริหารงานมาช่วยขับเคลื่อน และสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างฉับไวและรวดเร็ว 

จากที่ธุรกิจของราชาเฟอร์รี่มี Product หลัก คือ การให้บริการเรือเฟอรี่ข้ามฟาก 14  ลำ สำหรับผู้เดินทางและเรือขนส่งสินค้า รวมถึงท่าเทียบเรือรายใหญ่ระหว่างสุราษฎร์ธานีไปเกาะสมุยและเกาะพะงัน ซึ่งไม่ใช่ธุรกิจที่มีตัวอย่างให้เห็นเช่นอุตสาหกรรมอื่น ดังนั้นการตีโจทย์เพื่อขยายธุรกิจจึงอาจทำได้ไม่ง่ายนัก และไม่มีกรณีศึกษา หรือตำราที่จะเดินตามได้อย่างทั่วไป

“ความท้าทายของเรา คือ ลูกค้าที่มาใช้บริการในปัจจุบัน ซึ่งถ้าเราไม่มีการพัฒนา ทุกอย่างจะเท่าเดิม ทางออก คือ ขยายฐานออกไปนอกกลุ่ม ดังนั้นปีหน้าจึงเป็นปีที่เราจะรุกหนักแบบเต็มพิกัด ทั้งแนวดิ่ง (Vertical) คือสิ่งที่ดำเนินการอยู่ และแนวราบ (horizontal)  คือความคิดไม่มีจน และสิ่งที่เราทำต้องตอบโจทย์ลูกค้าจริง”

 

 อภิชาติ ชโยภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัทท่าเรือราชาเฟอร์รี่ จำกัด (มหาชน) 

 

วิธีคิดสำหรับการขยายธุรกิจ คือต้องดูว่ากลุ่มเป้าหมายในปัจจุบันที่ต้องการขยายไป มีปริมาณมากหรือน้อยอย่างไรบ้าง รวมถึงความต้องการของลูกค้านั้น เราได้ตอบสนองหรือยัง ซึ่งข้อมูลจะได้จากการวิจัย การทำแบบสอบถาม (Questionnaire) และติดตามหาข้อมูลจากโซเชียลมีเดียด้วยอีกทางหนึ่ง รวมถึงศึกษาคู่แข่งว่าไปในทิศทางไหน และมีอะไรที่เป็นความสำเร็จและความล้มเหลว

ตัวอย่างในอดีต เราไม่มีระบบ E-Ticket หรือการจองผ่านระบบ Online (เว็บไซต์ , โมบาย แอพพลิเคชั่น) กระทั่งเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เห็นคู่แข่งขายตั๋วผ่านออนไลน์ ได้ผลดี ถือเป็นเรื่องที่ดี และไม่ต้องอาย ทำให้เราต้องปรับมาทำด้วยแต่มีราคาถูกกว่า หากทำแล้วเวิร์คก็ต้องทำต่อ แต่ถ้าไม่ก็เลิกทำ ขณะเดียวกันต้องศึกษาสิ่งในตัวของธุรกิจนั้นว่าจะสามารถพัฒนาอะไรต่อไปได้อีกบ้าง และอีกสิ่งที่สำคัญคือ ต้องไม่ลืมเรื่องการสื่อสารไปถึงกลุ่มพนักงานภายใน ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองของเรา หากการสื่อสารไปไม่ถึง  จะกลายเป็นข้อเสียอย่างยิ่งของธุรกิจบริการ

นอกจากนี้ยังต้องให้ความสำคัญกับข้อมูล โดนส่วนตัวนั้น ผมให้ความสำคัญมาก เพราะในยุคปัจจุบัน การอาศัยสัญชาติญาณ หรือข้อมูลจากที่ปรึกษาอย่างเดียวนั้นไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้สัมผัสธุรกิจทุกวันเท่ากับเรา กระทั่งข้อมูลการต่อว่าจากลูกค้า การ Complain ความไม่พอใจทั้งหลาย เมื่อผ่านการประมวลผลแล้วจะเกิดเป็นวิธีการแก้ปัญหาในที่สุด

ตลอดจนการประมวลผลจาก Big Data เช่น ใน 1 วัน มีคนเดินทางข้ามเกาะมากที่สุดในเวลาไหน เราสามารถเพิ่มเรือไปรอรับผู้โดยสารได้เลย แต่ปัญหาคือ การเพิ่มทุกวันจะเป็นผลขาดทุนกับธุรกิจ  เพราะจำนวนคนเดินทางไม่สม่ำเสมอทุกวัน เราจะนำข้อมูลมาใช้อย่างไรจึงไม่ใช่เรื่องง่าย หรือแม้จะเพิ่มเรืออีกฝั่งแล้วก็ตาม ถ้าอีกฝั่งไม่มีรถ ก็เกิดความไม่สมดุลย์กันดังนั้นจึงต้องนำข้อมูลมา Sourcing  วิธีการที่ดีสุด คือ ในเชิงปริมาณหรือคุณภาพ และที่สำคัญมากคือต้องให้น้ำหนักกับคนที่ทำงานรายวันด้วย นั่นคือพนักงานที่ยู่หน้างาน เพราะมีข้อมูลที่เชื่อมต่อกับลูกค้าโดยตรง จะรู้ Insight Customer  มากกว่าเรา

อภิชาติ กล่าวกับ MBA Magazine พร้อมเล่าต่อ ถึงการปรับตัวในช่วงเวลาที่ผ่านมาว่า มีการลงทุนวางระบบด้านไอที ในการขายมูลค่าถึง 10 ล้านบาท นั่นเพราะเล็งเห็นถึงอนาคตที่บริษัทสามารถขยายการบริการให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกมากที่สุด และจะทำให้มีฐานลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น โดยมองจาก Tool ของคนในแต่ละรุ่นที่ต่างกัน

 


 

ท่าเรือบริการระบบดิจิทัลครบวงจร

สำหรับรุ่นผม Tool  คือ เดสก์ทอปคอมพิวเตอร์ แต่ Tool ของคนรุ่นใหม่ คือ Smart Phone  ซึ่งเป็นที่มาของการเปิดตัว Mobile Application ระบบจองตั๋วเรือโดยสารผ่านโทรศัพท์มือถือ  "RAJA FERRY Mobile Application"และ " RP Market Place" เพื่อบริการจองตั๋วออนไลน์ครบวงจร ตั้งแต่การจองตั๋วเรือเฟอร์รี่ รถโดยสาร เครื่องบิน การขนส่ง โรงแรมที่พัก และโปรแกรมท่องเที่ยว

รวมถึงมีความร่วมมือกับโลคัลแอร์ไลน์ ต่อยอดฐานธุรกิจเดิม ที่มีรถตู้จากสนามบินของจังหวัดสุราษฏร์ธานีและนครศรีธรรมราชเข้ามายังท่าเรือ มีรถตู้วิ่งบริการส่งถึงโรงแรมทั้งในเกาะสมุย เกาะพะงัน มีเรือเฟอรี่ที่บริการตลอดเวลา มีเครือข่ายโรงแรมที่บุ๊คกิ้งได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่าง Set up ระบบ เหล่านี้ถือเป็นจุดเด่นของการบริการแบบ One Stop ครบวงจร มีแพ็กเก็จที่ต่อเนื่องโดยที่ลูกค้าไม่ต้องกังวล 

อีกส่วนที่ให้ความสำคัญ คือ การแบรนดิ้งผ่านสื่อโฆษณาออนไลน์  ซึ่งเป็นปีแรกที่ทำ โดยใช้งบไป 2-3 ล้านบาท สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ต้องมองว่า กระแสความนิยมของผู้บริโภคส่วนใหญ่จะซื้อการบริการผ่านทางออนไลน์มากขึ้น และจะเห็นว่าลูกค้าแต่ละกลุ่มนั้นก็เลือกโฮสติ้งต่างกัน เช่น อโกด้า ทราโวก้า และอื่นๆ ซึ่งธุรกิจของเราต้องไปผูกมิตรด้วย เพื่อทำให้การบริการมีความเชื่อมโยงแบบครบวงจร

ซึ่งการสร้างระบบจองแบบออนไลน์  ที่ให้บริการแบบครบวงจรนั้น จะทำได้อย่างรวดเร็ว สามารถวางแผนล่วงหน้าและกำหนดวันเวลาที่แน่นอนได้ ที่สำคัญยังเป็นการลดข้อจำกัดทางธุรกิจ และสอดคล้องกับพฤติกรรมในยุคนี้

“ต่อไปเรือออกทุก15 นาทีไม่ต้องรอ คนรุ่นใหมไม่มีใครอยากรอ ถ้าเสียแพงกว่านิดหน่อย เพราะความสุขคนในปัจจุบัน คือ ไม่รอ”

นอกจากนี้เรากำลังพัฒนาระบบการเชื่อมต่อไวไฟฟรี ในท่าเรือทั้ง 3 แห่ง ซึ่งตรงนี้จะเข้ามาสนับสนุนการใช้ภาษาที่แตกต่างของนักท่องเที่ยว โดยระบบแชทบ็อกซ์ ที่สามารถสื่อสารกันได้ในภาษาที่ต่างกัน คาดว่าอีก 2  ปีจะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่สูงมาก แต่สามารถลดขั้นตอนของ CALL CENTER  ทั้งหมดได้ คำถามที่เกิดขึ้นทุกวันจะสามารถตอบได้หมด แต่หากเป็นเรื่องเร่งด่วน  ก็ยังมีพนักงานให้บริการอยู่เช่นกัน”

 



“เราก้าวมาจาก ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจโลจิสติกส์ มีเรือข้ามฟากบริการ และในระยะต่อขยายกลุ่มลูกค้าด้วยการให้บริการที่มากขึ้น
 โดยอาศัยช่องทางเทคโนโลยีตั้งขึ้นเป็นศูนย์รวมของจุดให้บริการ ที่เป็นเกตเวย์เข้าเกาะ ออกเกาะครบวงจร ลูกค้ามาที่เดียวสามารถตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการ ทั้งคน ท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง และเอนเทอร์เทนเมนต์ เรียกได้ว่า นี่เป็นการปรับตัวของธุรกิจบริการ หาโอกาสในการสร้างความสำเร็จมากขึ้น”

ความคิดนี้นำร่องมาตั้งแต่ปี 2559 และจะเริ่มเห็นผลในไตรมาส 2  ของปี 2561 เพราะระบบจะติดตั้งเต็มร้อย อีกทั้งในส่วนของการเทรนนิ่งบุคลากรเองก็ต้องใช้เวลา จากเดิมที่มีความคิดว่า ให้บริการเพียงแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอนั้นไม่ได้ เพราะหากบริษัทจะเติบโตต้องมีการนำเสนอการให้บริการสินค้าใหม่ ลูกค้าใหม่ ไม่ใช่กลุ่มเดิมแล้ว จากการเป็นธุรกิจทรานสปอร์ตโลจิสติกส์ ที่มีฐานลูกค้าเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ ปัจจุบันเราไม่จำกัดพื้นที่ แต่ให้ความสำคัญกับการขยายมาในพื้นที่อื่นๆ ที่มีอนาคตและมีโอกาส

อภิชาติ กล่าวถึง การขยายโมเดลธุรกิจใหม่ ที่เพิ่มรายได้จากการเดินรถและเรือ มาสู่การจองตั๋วเครื่องบิน และรถรับส่งถึงที่พักทั้งไปและกลับ การบุ้คกิ้งโรงแรม การนำเที่ยว  มาจนถึงการนำเทคโนโลยีมาอำนวยความสะดวกในการใช้จ่ายทุกประเภทให้แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวไทยผ่านระบบ WeChat Pay  หรือการใช้อาลีเปย์  (Alipay Wallet)  เป็นระบบการรับชำระเงินที่เพิ่มความสะดวกสบายให้แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนในการซื้อสินค้าและบริการโดยไม่ต้องจ่ายเงินด้วยเงินสด

ตัวอย่างเหล่านี้ ถือเป็นการใช้เทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ที่ใช้สื่อดิจิทัลในชีวิตประจำวัน ซึ่งต้องคิดแบบโลกแห่งความเป็นจริง ที่ว่าสื่อดิจิทัล ไม่ได้ทำให้เราขายได้ทั่วโลก แต่สินค้าบริการก็ต้องตอบโจทย์ด้วย คนที่ใช้บริการเรือเฟอรี่ข้ามเกาะไม่ได้มีเงินจำนวนมาก ยังต้องการความประหยัดและความคุ้มค่าที่เราเสนอให้ อาทิหากมีเงินในกระเป๋า 3 หมื่นบาท จะอยู่บนเกาะสมุย 3-4 วันอย่างไร เราตั้งคำถามนี้แล้ว Offer ราคาทำให้การขายง่ายขึ้น  ซึ่งเราขยายฐานไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวคนจีนและในอาเซียนเป็นหลัก สำหรับกลุ่มยุโรปนั้นเป็นกลุ่มที่ผ่านระบบนี้อยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติมมากนัก

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลก หากไม่มีการปรับเปลี่ยนโมเดลบิสิเนสใหม่ สิ่งที่จะเผชิญอย่างแน่นอน คือ รายได้จะเติบโตช้ามาก อีกประการ คือ ธุรกิจเราเป็นธุรกิจเป้าหมายหลักของประเทศ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว หากเราไม่เข้าไปก่อนแน่นอนว่าคนอื่นก็จะเข้ามาทำแทนเรา และในที่สุด เราจะกลายเป็นคนที่กินเฉพาะค่าแรงอย่างเดียว ขณะที่คนที่มีวิธีคิดใหม่ๆ เช่น เวบไซด์ตัวกลางการจองโรงแรม จะมีรายได้ต่อการจองถึง 20 % โดยที่ไม่ต้องลงทุนเองเลย

ดังนั้นหากว่ามี Target ลูกค้าชัดเจน ราคาเหมาะสมกับทุกอย่าง โอกาสในการเติบโตก็มีมาก นี่คือสูตรสำเร็จของการไปสู่เป้าหมาย

Cool Working Space เป็น Concept Store ในรูปแบบ Experience Showroom ของโมเดอร์นฟอร์ม เพื่อตอบสนองเทรนด์การใช้พื้นที่ทำงาน Co working คนรุ่นใหม่ในแบบ Mixed use ที่มีขั้นตอนเพียงแค่ลงทะเบียนเท่านั้น ก็มาใช้บริการพื้นที่สำหรับการเรียนรู้ แบ่งปัน สามารถสัมมนากลุ่มย่อย และยังเปิดโอกาศให้กับสถาบันการศึกษามาจัดกิจกรรมหรืองานประชุมได้อีกด้วย 

ทุกวันนี้ เทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาททำให้ไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยนแปลงไป การทำงานไม่ใช่ในออฟฟิศเท่านั้น แต่ทำได้ทุกแห่งไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนแค่มี WiFi หรือมี internet ก็สามารถทำงานให้สำเร็จได้ กิติพัฒก์ เนื่องจำนงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เล่าถึงแนวคิดว่า โมเดอร์นฟอร์มอยู่ในธุรกิจนี้มาอย่างยาวนาน และถือได้ว่าเป็นผู้นำในตลาดออฟฟิศเฟอร์นิเจอร์ ด้วยเทรนด์ในการทำงานเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนสามารถทำงานได้โดยไม่จำเป็นต้องมีออฟฟิศ เพียงแค่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รองรับ จนทำให้เราเห็น Co Working Space เกิดขึ้น เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่

 

 

สำหรับโชว์รูมเพลินจิต อาคารคิวเฮาส์นี้ เป็นคอนเซ็ปต์สโตร์ในรูปแบบ Experience Showroom เพื่อให้ได้สัมผัส ถึงการใช้งานเฟอร์นิเจอร์ที่รองรับสรีระในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการนั่งทำงานหรือประชุม ซึ่งการเลือกทำเลที่ตรงนี้เป็นโชว์รูมแห่งใหม่ เพราะเป็นสถานที่ที่อยู่ใจกลาง CBD (Central Business District) เป็นแหล่งธุรกิจ การเดินทางสะดวก เป็นเส้นทางผ่านรถไฟฟ้าเหมาะกับคนรุ่นใหม่

ที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ ซึ่งลูกค้าสามารถให้ฟีดแบคกับเราได้อย่างใกล้ชิด ทำให้เราเข้าใจลูกค้าเพิ่มมากขึ้น เรายังมีบริการที่ช่วยจัดทำแปลน ลงเฟอร์นิเจอร์ และมีทีมงานที่สามารถแนะนำเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะสมกับแต่ละฟังก์ชั่นการใช้งานได้เป็นอย่างดี”

 

พร้อมกันนี้ กิตติพงษ์ วนภิญโญศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ บอกเล่าถึงไอเดียการออกแบบและการตกแต่งว่า ไม่ได้มองโชว์รูมเป็นเพียงที่โชว์สินค้า แต่เป็นบิลบอร์ด เป็นสถานที่ที่นำเสนอเรื่องราว ที่ตอบสนองกับธุรกิจในวงการเฟอร์นิเจอร์

เพราะการทำงานนั้นมีความเกี่ยวข้องกันระหว่างคน เฟอร์นิเจอร์และกิจกรรมที่ส่งผลต่อการออกแบบ                                                     

  • คน มีการผสมผสานของคนต่าง Generation
  • อุปกรณ์ อุปกรณ์ที่คนทำงานใช้เปลี่ยนไปตามยุคสมัย วิธีคิด วิธีมอง การให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ต่างกัน โมเดอร์นฟอร์มมีเฟอร์นิเจอร์ที่ตอบสนองอย่างครบครัน
  • พื้นที่ในการทำงาน มีหลากหลายขนาดตั้งแต่ 10 ตารางเมตร 4 ตารางเมตร หรือไม่ถึง 1 ตารางเมตร
  • กิจกรรม (Activity) กิจกรรมที่เกิดขึ้นในสถานที่ทำงาน นอกเหนือจากการทำงานยังมีอีกหลายกิจกรรม ได้แก่ Work Eat Live Learn

ซึ่ง Work คือการทำงาน ขณะทำงานก็มีการรับประทานและดื่มไปด้วย คือ Eat จึงต้องคิดถึง Live บรรยากาศในสถานที่ทำงานให้มีการผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อให้เกิด Learn หรือมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ มีการฝึกอบรม

แนวคิดดังกล่าวเป็นที่มาของ Cool Working Space คือ Concept Store ของโมเดอร์นฟอร์มที่ตั้งใจให้เป็น Experience Showroom เพื่อให้ลูกค้าได้ทดลองใช้เฟอร์นิเจอร์จริงๆ

โดย Cool Working Space = Space ที่ Cool ซึ่งCool ในความหมายของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่ไม่ว่าความหมายของลูกค้าจะเป็นอย่างไร จะได้ความ Cool ผ่านทางสินค้าและบริการของโมเดอร์นฟอร์ม

นอกเหนือจากการโชว์ โดยมีโซน Co-Working Space ซึ่งลูกค้าสามารถเข้ามาใช้งานได้จริง และ Real Life Showroom จำลองออฟฟิศขนาดย่อม โดยพนักงานขาย ใช้พื้นที่ในโชว์รูมทำงานได้จริง รวมถึงสินค้าหลากหลายรูปแบบ ซึ่งบริการ Cool Working Space ในรูปแบบ Concept Store นั้น สามารถเข้าทดลองสัมผัสได้ที่สาขาอาคารคิวเฮาส์ ชั้น 1 เพลินจิต ติดสถานี BTS, สาขาศรีนครินทร์ และสาขา CDC

 

 

 

ความสำเร็จจากการเปิดร้านกาแฟ มาจนถึงการขยายความถนัดมาเป็นที่ปรึกษาให้กับร้านอาหารมีชื่อหลายแห่ง ที่ไว้วางใจให้ดูแลบริหารจัดการ ในทุกกระบวนการตั้งแต่การตกแต่งร้าน เมนู การให้บริการของพนักงาน จนถึงกิจกรรมโปรโมชั่นที่ช่วยกระตุ้นให้มีนักชิม ทั้งแฟนพันธุ์แท้และลูกค้าหน้าใหม่แวะเวียนมาใช้บริการอย่างไม่ขาดสาย

จุดเริ่มต้นของการเข้าสู่วงการรับจ้างบริหารร้านอาหารนั้น  มาจากรสนิยมความชอบในการสะสมเครื่องเสียงของตนเอง วิทย์ สุวรรณนภาศรี เล่าถึงที่มาของการเปิดร้าน CoffeeModel  ซอยประดิพัทธ์  ซึ่งถือเป็นตัวตนของเขามากที่สุด ร้านมี WiFi ให้บริการฟรี มีเพลงเพราะๆ และเครื่องเสียง มีวิวดีๆ เหมาะแก่การถ่ายรูปและจากที่รักงานบริการ พอเริ่มมีความสุขกับมันมากขึ้น 

 

 CoffeeModel  ซอยประดิพัทธ์ 18 

 

จึงเป็นที่มาให้เขาเข้าสู่วงการรับจ้างบริหารร้านอาหาร รวมทั้งจากรูปแบบของร้านเล็กที่ดูแล  ขนาดของร้านก็เริ่มใหญ่ขึ้น  ตัวอย่างที่เดิ่นชัดคือร้านอาหารริมน้ำ ริเวอร์ไรน์ จรัญสนิทวงศ์ 92  ที่รับบริหารร้าน ตั้งแต่การปรับชื่อ โดยวิทย์เล่าว่า แต่เดิมร้านถือตำราเล่มใหญ่ เอาวิธีของสาขาปากเกร็ดมาใช้กับสาขานี้  โดยหวังว่าจะเกิดและประสบความสำเร็จ

แต่ปรากฏว่า ตำราเดิมนำมาใช้กับที่นี่ไม่ได้ เขาจึงมีหน้าที่มานั่งดู และวิเคราะห์ว่า จะทำอย่างไร จากการวิเคราะห์เบื้องต้น จึงเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ร้านไม่มีถนนซัพพอร์ต ถือเป็นปัญหาที่หนักมากที่สุด พอไม่มีเครือข่ายซัพพอร์ต คนจึงไม่มา และยิ่งกว่านั้น ความรู้สึกของคนที่มาเส้นจรัลสนิทวงศ์ต่าง รู้กันดีว่าการจราจรเป็นปัญหามาก ก็ยิ่งจะไม่มา เพราะฉะนั้น ที่นี่จึงต้องมีลูกค้าของตัวเอง  

“เราโฟกัสไปที่สะพานพระราม 7 ใครที่ใช้เส้นทางนี้คือ ลูกค้าเป้าหมายของเรา เรามองแค่นั้นจริงๆ คือ อย่ามองให้ไกลกว่านั้น ถามว่าการเดินทางจากถนนราชดำเนินมาที่นี่ก็ไม่ไกล เช่นเดียวกันเส้นสะพานซังฮี้ก็ไม่ไกล แต่รถติด  ตรงนี้ทำให้เราเชื่อในสะพานพระราม 7 ปรากฏว่าที่เราโฟกัสลูกค้าเป้าหมายไปนั้น อยู่ในย่านถนนประชาชื่น ปากเกร็ด บางกรวย อะไรที่สัมผัสถนนจรัลสนิทวงศ์นั้นไม่มาแน่  เพราะฉะนั้น “ใกล้ง่าย สะดวก” น่าจะเป็นคอนเซปต์ที่ดี  เราจับคอนเซปต์นี้ได้จากการที่ถนนไม่มีเครือข่ายรองรับ เราก็ต้องโฟกัสไปชัดเจนเลยว่า ลูกค้าอยู่ที่ไหน นี่คือที่มา ของการคิดงาน”

หลังจากนั้นจึงมาในส่วนของการสร้างสรรค์ ตั้งแต่การตกแต่งร้านให้ตรงคอนเซปต์ รวมถึงการคิดเมนูอาหารที่มีครัวไทย และครัวยุโรป การลงลึกในรายละเอียด เช่น พิซซ่าที่ทำออกมาก็ต้องเป็นแบบ 1 ถาดเลือกได้ 2 หน้า หรือการสื่อสารผ่านไลน์บอกอาหารเมนูพิเศษต่างๆ เช่น วันนี้มีเนื้อวากิว ให้ลูกค้าต้องนัดกันมารับประทาน สูตรสำเร็จของการขายอาหาร จะใช้วิธีการเสนอไปที่ลูกค้าคนพิเศษ 1 จาน จากราคา 2  พันบาท ถ้ามาวันนี้เหลือ 1,200 แต่ต้องเป็นการจองล่วงหน้า และเป็นการนัดลูกค้ามาในวันที่มีเมนูพิเศษ ถือเป็นการสร้างเมนูพิเศษ เพื่อคนพิเศษเข้ามา วิทย์เรียกมันว่า “ซีอาร์เอ็มแบบบ้านๆ”  โดยเชื่อมโยงกับความรู้สึกของคนเป็นหลัก

 

 

กลุ่มเป้าหมายหลักของร้าน คือกลุ่มแฟมิลี่  ลงตัวกับบรรยากาศของร้าน คือการนั่งชิลล์ มองวิวแบบพาโนรามา ซึ่งร้านนั้นขายตัวเองอยู่แล้วในแง่มุมนี้ การเข้าไปบริหารจัดการคือการเพิ่มความสะดวกสบาย ทั้งที่นั่ง และบรรยากาศโดยรวม รองลงมาจะเป็นเรื่องของกิจกรรมที่มาจัด เช่น งานเลี้ยง งานแต่งงาน งานบายเนียร์ หรือกิจกรรมเปิดตัวสินค้า ที่มีมาเป็นระยะ เช่น งานเปิดตัวคอนโดมิเนียมที่เพิ่งจัดไปเมื่อไม่นานนี้

สำหรับงานจัดเลี้ยงนั้น วิทย์ให้ข้อมูลว่า ในย่านฝั่งธนนั้นมีตัวเลือกที่จำกัด ที่จะมีห้องกว้างขวางรองรับคนจำนวนมากได้ และยังต้องมีความสะดวกด้านที่จอดรถเป็นร้อยคัน นอกจากโรงแรมแล้ว ที่ริเวอร์ไรน์ถือว่าสามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี  รองรับกับองค์กรในละแวกใกล้เคียง ที่ต้องการสถานที่สำหรับคนจำนวนมากได้ เข่น การไฟฟ้าบางกรวย ซึ่งมีพนักงานกว่า 2 หมื่นคน

โดยทางร้านมีแผนการตลาดสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้เช่นกัน ตั้งแต่การทำคูปองส่วนลด ที่ลิงค์ไปตามไลน์ของคนในองค์กร ในพื้นที่ให้มาใช้บริการ ไปจนถึงการใช้ Word of Mouth จากคนในที่เคยมาใช้บริการ ซึ่งง่ายกว่าการเข้าไปในองค์กร และมีประสิทธิผล เพราะการเดินทางจากการไฟฟ้ามาที่ร้านใช้เวลาเพียง 10  นาที ตามกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้ของเส้นทางในย่านสะพานพระราม 7  จากแผนการตลาดลักษณะนี้ วิทย์ให้ความเห็นว่า วิธีการนี้ถือว่าเป็นการสื่อที่แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและได้ผลมาก และที่นี่มีลักษณะพิเศษ ที่เรามองว่าวิธีการที่ทำให้คนรู้จักร้านอาหารริเวอร์ไรน์ นั้น การบอกต่อกันปากต่อปาก เป็นกลยุทธ์ที่รวดเร็วยิ่งกว่าทุกสื่อ

สิ่งที่ต้องระมัดระวังในทุกๆปีคือ จะมีการขาดทุนสะสม แต่ช่วงไฮซีซันก็จะได้คืนมา ซึ่งเมื่อเข้ามาบริหาร เขาจึงต้องดูทุกเรื่องทั้งการเพิ่มยอดขาย และการลดค่าใช้จ่าย เช่น วงดนตรี ไม่ได้ตัดลงใดลงหนึ่งออกไป เพียงแต่มีการลดชั่วโมงการเล่น เพื่อให้สามารถอยู่ได้ และลูกค้าก็ยังได้เสพความสุนทรีย์อยู่

และในส่วนนี้ยังมีการเพิ่มจุดเด่นโดยหาคนมาเล่าเรื่องแม่น้ำ เช่น ประวัติความเป็นมาของแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามเป็นรัฐสภา เชิญคนมาร้องเพลง River of No Return เพลงที่มีการพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับแม่น้ำ ให้วงดนตรีมีส่วนช่วยในการสร้างสตอรี่ในธีมที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำ สัมผัสกับลูกค้าโดยการเล่าเรื่อง ซึ่งถือว่าทำได้ดี เข้าชื่อกับร้าน และบรรยากาศ เป็นการสร้างความจดจำกับลูกค้า

 

 

สำหรับเรื่องอื่นๆ ก็มีการเข้ามาเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ตั้งแต่การตบแต่งหน้าตาอาหาร ครัวมีการปรับปรุงหน้าตาอาหารใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ถ่ายรูปได้ดี  พนักงานต้องทราบว่าอาหาร 7 อย่างที่ต้องแนะนำ และถ่ายรูปมีอะไร และที่รสชาติดีเข้ากันคืออะไร  ตัวพนักงานเองก็ได้เรียนรู้เรื่องทั้งหมด ยังไม่รวมถึงตัวแปรที่เข้ามากระทบ เช่น ซีซันซึ่งเป็นตัวกำหนด ถ้าเจอฝน เป็นอุปสรรค จะต้องใช้อีเวนต์ ใช้กิจกรรมต่างๆมากระตุ้น สร้างทราฟฟิก เพื่อดึงคนให้เข้าร้าน

วิทย์กล่าวในตอนท้ายว่า เรื่องค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะต้องลดลง จึงต้องตั้งโจทย์ว่า ต้องใช้เงินเท่าไร และควรหาให้ได้เท่าไร แล้วประหยัดอย่างไร จึงจะอยู่ได้ในสถานการณ์นั้นๆ เช่น เดือนหนึ่งขายได้  1.7 ล้าน ต้องตั้งเป้าให้ไปถึงตรงนั้น แล้วคิดว่าจะต้องบริหารจัดการอย่างไร อาจจะเป็นเป้าที่เล็ก แต่ถ้าเป็นช่วงโลว์ซีซันจะถือว่าเป็นเป้าที่ใหญ่ ซึ่งเป็นอุปสรรค จึงต้องดูให้ลึกไปถึงว่า ลูกค้าเข้ามาเวลาประมาณหกโมง หรือหนึ่งทุ่ม  และจากไปตอนสามทุ่ม สี่ทุ่ม หรือห้าทุ่ม  ดังนั้น 1 โต๊ะจะได้เพียงแค่  1 ครั้ง นั่นคือจึงต้องมองว่ายอดขายในแต่ละโต๊ะจะต้องมียอดที่มากพอสมควร

 

ซึ่งธรรมชาติของร้านอาหารเปิดใหม่ จะเป็นขาขึ้นในช่วงแรกๆ และสักระยะคนจะลดลงไป ดังนั้นหากไม่ผูกพันธ์ก็จะไม่สะสม

“มีคำพูดบางคำที่บอกว่า “เคยมีร้านอาหารร้านไหนที่อยู่ได้ถึง 20 ปีบ้าง” ตรงนี้ต้องมีความผูกพันธ์ระหว่างเรากับลูกค้า เคยเห็นร้านที่พ่อแม่พาลูกมากินตั้งแต่เด็ก และเราไปบอกลูกต่อ ว่าปู่ย่าพามากินร้านนี้ จะเห็นได้ว่านี่คือ ความผูกพันธ์  ในขณะที่เราไม่แฟชั่น เราเป็นโอลด์แฟชั่นที่ต้องอาศัยความผูกพันธ์ระหว่างตัวเราเจ้าของร้าน ตัวร้านเอง พนักงานของร้านจะต้องผูกพันธ์กับลูกค้า และค่อยๆสะสม ซึ่งการสะสมลูกค้าเป็นเรื่องที่ยากที่สุด ทำให้ร้านอาหารบางแห่งมาเร็วไปเร็ว มีลูกค้ามากในช่วงแรก ตูมเดียวก็หายไป แต่ร้านอาหารลูกค้าต้องกินข้าวทุกวัน ถ้ามีความผูกพันธ์ก็จะมากัน หรือใครจัดงานแล้วมักจะกลับมาจัดที่นี่อีก”

อินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล กรุ๊ป (InterContentinental Hotels Group หรือไอเอชจี) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ใหญ่ในระดับโลกและมีสาขาทั่วโลก เซนต์สัญญากับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เพื่อนำแบรนด์สเตย์บริดจ์สวีท ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรมในคอนเซ็ปต์ห้องพักแบบสวีททุกห้อง เหมาะสำหรับผู้เข้าพักระยะยาว เข้าสู่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค 2 แห่ง ภายใต้ชื่อ สเตย์บริดจ์สวีท แบงค๊อค ทองหล่อ และอีกแห่งหนึ่งที่ศรีราชา คือ สเตย์บริดจ์สวีท ชลบุรี ศรีราชา โดยการร่วมมือกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์

จากความร่วมมือของ 3 ยักษ์ใหญ่ในครั้งนี้ มีแผนจะเปิดให้บริการสเตย์บริดจ์สวีท แบงค๊อค ทองหล่อ ในปี 2562 และถัดไปในปี 2563 กำหนดเปิดให้บริการสเตย์บริดจ์สวีท ชลบุรี ศรีราชา  ซึ่งโรงแรมทั้ง 2 แห่งจะเข้าร่วมในกลุ่มของโรงแรมที่มีอยู่ 250 แห่งทั่วโลก และจะให้บริการตามมาตรฐานของสเตย์บริดจ์สวีท คือ ที่พักที่ให้ความรู้สึกเสมือนอยู่บ้าน เหมาะสำหรับแขกที่เข้าพักระยะยาว และมีจุดเด่นที่ห้องพักทุกห้องเป็นสวีท เหมาะสำหรับกลุ่มนักธุรกิจหรือผู้ที่ต้องการที่พักเพื่อการพักผ่อนที่ให้ความสะดวกสบายเสมือนอยู่บ้าน

ราจิต สุขุมารัน (Rajit Sukumaran) ประธานกรรมการบริหารธุรกิจ ประจำภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง และอาฟริกา ของไอเอชจี กล่าวว่า “ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมงานกับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) อีกครั้ง ในการขยายฐานธุรกิจของเราด้วยการนำแบรนด์โรงแรมใหม่ ๆ มาสู่ภูมิภาค และด้วยความต้องการที่พักแบบระยะยาวที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และศรีราชา จึงถือเป็นโอกาสที่ดียิ่งสำหรับสเตย์บริดจ์สวีท และเราเห็นโอกาสในการเพิ่มจำนวนสเตย์บริดจ์สวีทให้มากขึ้นในเอเชียแปซิฟิคในภายภาคหน้า ซึ่งเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น”

 

 

ด้าน พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เจ้าของโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง ที่จะเปิดทำการในปี 2563 กล่าวว่า “มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับไอเอชจี ในโปรเจคการนำสเตย์บริดจ์สวีท มายังเอเชียแปซิฟิค และไม่ใช่แค่แห่งเดียว แต่มีถึงสองแห่ง ถือเป็นโปรเจคที่น่าตื่นเต้น ไอเอชจี มีชื่อเสียงที่ดีเลิศมายาวนานในด้านบริหารแบรนด์โรงแรมชั้นนำมากมาย รวมถึงสเตย์บริดจ์สวีทด้วยเช่นกัน เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์ ประกอบกับสถานที่ตั้งที่ดีเลิศของทั้งสองโรงแรม จะทำให้ได้การตอบรับที่ดีจากนักเดินทางเมื่อเราเปิดให้บริการในปี 2563”

 

 

นับว่าความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการเคลื่อนไหวของ 2 ผู้นำธุรกิจโรงแรม โดยปัจจุบันมีโรงแรมภายใต้การบริหารของอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล กรุ๊ป ในประเทศไทยถึง 22 โรงแรม ใน 5 แบรนด์ คือ อินเตอร์คอนติเนนตัล (InterContinental), คราวน์ พลาซ่า (Crowne Plaza), ฮอลิเดย์ อินน์ (Holiday Inn), ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส (Holiday Inn Express) และ โฮเท็ล อินดิโก้ (Hotel Indigo) และมีอีก 14 โรงแรม อยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ขณะที่โรงแรมภายใต้ชื่อสเตย์บริดจ์สวีท มี 250 แห่งทั่วโลก และอีก 151 โรงแรมที่มีกำหนดการจะเปิดภายในระยะเวลา 5 ปี

เทรนด์อนาคตของที่อยู่อาศัยทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม  ในยุคอนาคตแบบ The Connected Home ที่สื่อสารกันได้โดยการผ่านสมาร์ตโฟน และ Internet of Things (IoT)

สกุลรัตน์ ตันยงศิริ หัวหน้าธุรกิจ LINE@ บริษัท Line ประเทศไทย ร่วมแชร์ประสบการณ์ ในงาน Thailand MBA Forum  “ Future SME ” ช่วง Biz Talk เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมฉายภาพของการเปลี่ยนแปลงในปี 2018 ว่า สิ่งที่เป็นไฮไลท์ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อผู้ประกอบการ SME คือ แนวโน้มการแข่งขันจะสูงมากขึ้น และผู้ประกอบการ SME 2.8 ล้านรายนั้น จะมีสัดส่วนในจีดีพีถึง 39% และในอีก 5 ปีข้างหน้ากลุ่มนี้จะมีอัตราการเติบโตถึง 50% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นการแข่งขันจะสูงมากขึ้น ผู้ประกอบการต้องเร็วมากขึ้น

อีกปรากฏการณ์ คือ ธุรกิจจะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะคนเริ่มมีทางเลือกในการเพิ่มรายได้ให้กับตัวเราเอง ผู้ประกอบการรายเล็ก มีโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีมากขึ้น ตัวอย่างของคุณแม่ที่เลี้ยงดูบุตรอยู่บ้านนั้นก็มีโอกาสในการขาย จากการใช้โซเชียลมีเดียมาเป็นเครื่องมือในการขายและเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และสามารถทำธุรกิจได้โดยไม่ต้องมีทีม ไม่ต้องมีหน้าร้าน เรียกได้ว่า เป็นรายย่อย Social Commerce คือ ผู้ประกอบการ SMEs 1 คนก็สามารถทำธุรกิจได้ ตลอดจนนักศึกษาเองก็เริ่มมีธุรกิจเพิ่มเติมเข้ามาเป็นงานอดิเรกมากขึ้น หรือแม้แต่มนุษย์เงินเดือนก็สามารถหารายได้พิเศษได้ด้วยเช่นกัน

 

สกุลรัตน์ ตันยงศิริ หัวหน้าธุรกิจ LINE@ บริษัท Line ประเทศไทย

 

สิ่งสำคัญที่อยากจะแนะนำผู้ประกอบการ คือ ในโลกออนไลน์นั้นห้ามช้า และต้องกล้าที่จะแข่งขัน อย่างไรก็ตามในสถานการณ์โลกในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลง ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลง ผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลง

ดังนั้นผู้ประกอบการต้องมองให้ครอบคลุมในองค์ประกอบ 4 ข้อดังต่อไปนี้ คือ

  • Visibility การเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายมากขึ้น
  • Communication สื่อสารอย่างไรให้กระชับได้ใจความลูกค้าเข้าใจได้เร็วที่สุด
  • Promotion เปรียบเสมือนการทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้เร็วยิ่งขึ้น และทำได้หลากหลายรูปแบบมากมาย
  • Personalization การเข้าใจลูกค้า ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

 

 

เช่นเดียวกันไลน์แอปพลิเคชันแชท มีการพัฒนา Service บริการที่หลากหลายเพื่อช่วยผู้ประกอบการหรือผู้บริโภค เช่น ไลน์แมน ไลน์แอด ไลน์เพลย์ ที่ช่วยตอบโจทย์ในยุคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวมถึง Tool ที่มีการแบ่งบัญชีออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.Official Account เหมาะกับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ที่ต้องการคนฟอลโลว์หรือผู้ติดตามมากถึงเป็นหลักล้านคน 2.บัญชีไลน์แอด Approve Account หรือบัญชีที่ได้รับการรับรอง จากทีมงานไลน์ว่าเป็นบัญชีที่น่าเชื่อถือและ 3. บัญชีไลน์แอด Standard Account คือ บัญชีทั่วไป

อย่างไรก็ตามจากสถิติมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือจำนวน 44 ล้านคน และมีสัดส่วนของคนที่ใช้ไลน์ถึง 90% ของสัดส่วนผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือ ในขณะเดียวกันระยะเวลาที่มีผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือเฉลี่ยที่ 4 ชั่วโมงต่อวัน และใน 4 ชั่วโมงนี้มีการใช้ไลน์สูงถึง 1 ส่วน 3 เลยทีเดียว ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้เป็น Tool ที่ Power Full ในการทำธุรกิจ ที่สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงผู้บริโภค 41 ล้านคนทั่วประเทศได้ง่ายขึ้น

จากแรงบันดาลใจของ รวิวร มะหะสิทธิ์ ในการสร้าง MEB ที่โดยแบคกราวน์แล้วเป็นคนในสายวิศวกร จบการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ด้วยความที่เป็นวิศวกรที่รักหนังสือมาก และในช่วงหนึ่งเคยเปิดสำนักพิมพ์ขึ้นมา ทำให้เห็นปัญหาและข้อจำกัดของวงการหนังสือ และรูปแบบการขายในขณะนั้น เมื่อถึงจังหวะที่ลงตัวของเทคโนโลยีและธุรกิจในปี 2554 จึงได้เปิดตัว MEB eBook Market Place ที่ติดอันดับ 1 ในใจของนักอ่านเมืองไทยมาจนถึงวันนี้

รวิวร เล่าถึงสถานการณ์ ในช่วงแรก ต้องถือว่า eBook ยังเป็นสิ่งที่ใหม่มาก และคนไทยยังติดกับการอ่านหนังสือในกระดาษ ยังมีคำถามว่าเราจะอ่านหนังสือจากหน้าจอได้อย่างไร การเริ่มต้นจึงมีการผลักดันค่อนข้างมาก ทั้งในส่วนของนักอ่านที่ต้องสร้างความเข้าใจถึงความสะดวกในการอ่าน รวมทั้งในด้านนักเขียนว่าจะมีคนซื้ออ่านหรือเปล่า อย่างที่กล่าวว่า ก่อนที่จะมี eBook ผลงานเล่มหนึ่งของนักเขียน จะไปสู่มือนักอ่านตามแผงหนังสือได้นั้น มีกระบวนการที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การพิจารณาจากกองบก. ของสำนักพิมพ์ การจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม ส่งผ่านสายส่ง ไปยังร้านหนังสือ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ นักเขียนไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ถือเป็นห่วงโซ่ที่ยาว เมื่อมาเป็น eBook แล้ว เจ้าของผลงานสามารถส่งหนังสือขึ้นมาในระบบของ MEB ไปถึงมือนักอ่านที่สามารถ Load ซื้ออ่านได้ทันที

วาทกรรมนักเขียนไส้แห้ง ใช้ไม่ได้แล้วในวันนี้ วันที่เครื่องมือและเทคโนโลยีเข้าถึง มีรูปแบบและอุปกรณ์ให้อ่าน มีร้าน eBook ผู้ที่ใช้เครื่องมือเป็นและถูกวิธีสามารถทำประโยชน์จากสิ่งนี้ได้ ในอดีตต้องมีการตีพิมพ์เป็นเล่ม การแบ่งรายได้จึงเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง แต่เมื่อเป็น eBook นักเขียนหรือสำนักพิมพ์สามารถต่อตรงกับนักอ่านได้ และไม่มีต้นทุนของค่าการจัดพิมพ์ และค่าสายส่ง เจ้าของผลงานจะมีรายได้ประมาณ 70-80% ของราคาขายเลยทีเดียว นักเขียนที่ทำการตลาดถูกต้อง สื่อสารกับนักอ่านได้ดี มีผลงานอย่างต่อเนื่อง จึงเรียกว่าอยู่ได้อย่างสบายๆ

 

 รวิวร มะหะสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมพ คอร์ปอเรชั่น จำกัด

 

ปัจจุบันนักเขียนใน MEB มีอยู่ถึง 4-5 พันราย และมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะนักอยากเขียนก็สามารถเขียนได้และ ถ้าไม่หยุดเขียน วันหนึ่งเขาก็สามารถกลายเป็นนักเขียนตัวจริง ใน MEB วันนี้เราไม่ได้จำกัดรูปแบบแต่การขายเฉพาะเป็นรูปเล่ม เราพัฒนาระบบเพื่อให้นักเขียนขายเป็นรายตอนได้ นักเขียนจึงสามารถทำรายได้จากงานที่กำลังเขียนอยู่ และเรื่องราคาเป็นการตั้งราคาจากคุณค่าที่นักเขียนคิดกับราคาที่นักอ่านตอบรับ ขณะเดียวกันจำนวนหนังสือที่มีจำหน่าย เรามีหนังสือประมาณกว่า 60,000 เล่มและมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่จำนวนนักอ่านจะถึงประมาณ 12 ล้านรายภายในปีหน้า

สำหรับคนที่สนใจเข้ามาเยี่ยมชม MEB และยังไม่รู้จักเรามีหนังสือฟรีให้อ่านถึงกว่า 5,000 เล่ม หรือแม้แต่หนังสือขาย ทุกเล่มก็มีตัวอย่างให้ทดลองอ่าน หลายเล่มให้ทดลองอ่านถึงกว่า 60% -70% ของทั้งหมด สามารถตัดสินใจซื้อเพื่ออ่านตอนคลายปมก็ยังได้ หนังสือที่จำหน่ายใน eBook จะมีทั้งหนังสือประเภทเดียวกันกับร้านหนังสือ และบางส่วนที่มากกว่าในร้าน สำหรับธุรกิจหนังสือระยะนี้จะเห็นว่า ในหมวดข่าว และ non-Fiction จะได้รับความนิยมน้อยลง เนื่องจากหาอ่านได้จากโซเชียลมีเดียต่างๆ แต่ส่วนที่เป็น Fiction ยังคงได้รับสนใจจากนักอ่าน ทำรายได้เป็นอย่างดี และหนังสือที่เป็น eBook มีแนวโน้มราคาที่ถูกกว่าหนังสือที่เป็นเล่มประมาณ 15% ขึ้นไป เพราะการเป็น eBook ไม่มีค่าจัดจำหน่าย เจ้าของผลงานจึงสามารถนำมาเป็นส่วนลดให้ผู้บริโภคได้

อยากจะเสริมว่า เราจะไม่พูดว่าหนังสือเล่มหรือ eBook ดีกว่ากัน แต่เราจะพูดว่า eBook มีคุณค่าในรูปแบบของมัน ซึ่งแตกต่างจากหนังสือเล่มที่มีคุณค่าในอีกแง่มุมหนึ่ง ในมิติของ eBook คุณสามารถนำติดตัวไปได้ทุกที่ที่มีอุปกรณ์ และในอุปกรณ์เครื่องหนึ่งสามารถจุหนังสือได้เป็นพันเล่ม eBook สามารถปรับขนาดตัวหนังสือในระดับที่สบายตา ไม่เปลืองพื้นที่จัดเก็บในบ้าน นักอ่านในต่างประเทศสามารถซื้อได้ในราคาเดียวกัน และได้รับในเวลาเดียวกันอีกด้วย

สำหรับ MEB ตั้งแต่จุดเริ่มที่ไม่ได้มีเงินทุนมหาศาล นั่นเพราะรูปแบบการทำธุรกิจของแต่ละคนจะแตกต่างกันตามสไตล์ของผู้บริหาร ดังนั้นการทำอะไรจึงต้องเริ่มจากพื้นฐาน และรากฐานของธุรกิจหนังสือก็คือผู้สร้างสรรค์ผลงานนั่นเอง การที่เราทำงานร่วมกันกับทั้งสำนักพิมพ์ และนักเขียนให้ดีที่สุดแล้วนั้น สุดท้ายคนเหล่านั้นจะเป็นกระบอกเสียงให้เราสู่นักอ่านเป็นจำนวนล้านคนได้เอง สิ่งนี้ผมมองว่าเป็นหัวใจของการทำธุรกิจอีกแบบหนึ่ง การที่เราเริ่มจากโลว์โพรไฟล์ ไม่มีทุนมาก ไม่ใช่ข้ออ้างที่เราจะทำอะไรไม่ได้ แต่มันกลับบอกว่าคุณไม่สามารถใช้วิธีปกติที่ทุนเยอะๆ ทำได้ คุณต้องกลับไปที่รากฐานของมัน แล้วเดินจากรากฐานไปที่ปลายทาง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นแนวทางที่ MEB เดินมาโดยตลอด และเรายังจับมือกับแอพฯ ของร้านหนังสือต่างๆ ที่มีแฟนคลับของตัวเอง เราเข้าไปช่วยเติมเต็มในส่วนที่ขาดทางด้านเทคโนโลยี เรียกว่าเราเดินทางไกลแบบไม่เดินคนเดียว เราเดินไปกับเพื่อนๆ

การทำ eBook เราทำลายข้อจำกัด เราแก้ไขปัญหาให้หลายคน เราพานักเขียนและสำนักพิมพ์มาพบนักอ่านได้ ทำให้หลายคนสร้างสรรค์ผลงานได้โดยไม่ต้องติดกรอบกับรูปแบบเดิมๆ ในกระแสหลัก สามารถทำงานแนวทดลอง ทำงานให้นักอ่านที่เป็นแฟนประจำ เราภูมิใจที่ตอบสนองเขาได้ ที่สำคัญเรายังได้ตอบแทนสังคม เพราะหนังสือเป็นพื้นฐานของการสร้างชาติ MEB ร่วมมือกับเซ็นทรัลทำโครงการ “The 1 Book E-Library” เป็นแอปพลิเคชันห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ให้นักศึกษา และนักเรียน เข้ามาใช้บริการอ่านหนังสือหลายพันเล่มได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ปัจจุบันนี้มีใช้อยู่หลายพันโรงเรียน และมีการใช้อยู่อย่างต่อเนื่อง

รวิวร ทิ้งท้ายไว้ว่า จินตนาการเป็นสิ่งที่อยู่กับเราทุกคน แต่บางครั้งเราไม่ได้เผยแพร่ออกมา เพราะเรากังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร อันที่จริงเราต้องให้ความสำคัญกับจินตนาการ เพราะมันเป็นรากฐานของจิตใจ รวมทั้งเป็นพื้นฐานในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในอนาคต นักเขียนอาจจะสร้างสรรค์ออกมาเป็นงานเขียน ในฐานะของคนเล่าเรื่อง อาจจะออกมาเป็นนักพูด ในฐานะที่เป็นโปรแกรมเมอร์ วิศวกร อาจจะเผยจินตนาการออกมาเป็นการสร้างสรรค์ชิ้นงานต่างๆ จินตนาการจึงเป็นเหมือนเด็กน้อยในใจที่เราต้องให้เวลาฟูมฟักให้มันเติบโต อย่าปล่อยให้มันตายจากเราไป

MEB มาถึงจุดนี้ เราเป็นสตาร์ตอัพที่ไม่ค่อยเหมือนใคร เราอยู่กับตัวของเราเอง มีความเชื่อของตัวเองค่อนข้างมาก เราไม่ได้เข้าไปที่เวทีปกติของแนวสตาร์ตอัพ ไม่เคยพิชชิ่ง เราไปในแนวของเราที่เราเชื่อว่าสิ่งนี้ดี และดีกับคนรอบข้าง เราจึงเดินไปตามความเชื่อของเรา ระหว่างที่เราเดินทางไป อาจจะมีคนที่คิดคล้ายเรา แต่สุดท้ายวิธีการเดินก็แตกต่างผลลัพธ์ก็แตกต่างกัน เราหาจุดแข็งของเราให้เจอ แล้วเราเดินไปตามจุดแข็งของเราอย่างแน่วแน่ และระหว่างการเดินมีสิ่งรอบข้างอะไร ก็ให้มันเข้ามากระทบใจเราให้น้อย เราจะเดินไปสู่ความสำเร็จได้ในที่สุด

คุณเสือ สุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)  ให้สัมภาษณ์ MBA Magazine ถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของวงการ SMEs  ในปี 2018  ในอีกไม่กี่วันนี้ว่า “ สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีผลกระทบอย่างสุดสุดต่อวงการ SME คือ เรื่องเทคโนโลยี ซึ่งในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาก SME ส่วนใหญ่จะตามไม่ทัน เข้าไม่ถึง หรือไม่เข้าใจ เพราะโดยส่วนใหญ่จะอาศัยกรอบการทำงานแบบเดิมๆ “

ในขณะที่ในโลกธุรกิจ มีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นแกนกลางสนับสนุนการเข้าถึงลูกค้า การนำข่าวสารมาวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจ รูปแบบการขายและจัดจำหน่ายต่างๆครอบคลุมไปมากกว่าเดิม  ส่งผลทำให้ธุรกิจเกิดการเปลี่ยนแปลงและจะหมุนไปในอัตราที่รวดเร็วมากกว่าเก่ามาก   ดังนั้นเทคโนโลยีจึงมีผลอย่างมาก  ถึงมากที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงบวกและเชิงลบต่อ SMEs  แต่ในระดับที่แตกต่างกัน    ขึ้นอยู่กับการตั้งรับและการเตรียมความพร้อมได้อย่างเพียงพอและเหมาะสมหรือไม่

เทคโนโลยีคือเหรียญ 2 ด้าน

เมื่อถามว่าการที่เทคโนโลยีเข้ามาจะมี “ข้อดี” อย่างไรได้บ้างนั้น   ผอ.สสว.  สุวรรณชัย ให้มุมมองต่อประเด็นนี้ว่า “  นั่นอยู่ที่ว่า “ใครใช้เป็น ใครใช้เร็ว ใครรู้เร็ว ใครรู้ไว ก็ขยายโอกาสได้เร็วกว่า”  ส่วนในด้านลบนั้น   “ มีอย่างแน่นอน และจะเกิดขึ้นกับ “คน” ที่ไม่เข้ามาสัมผัส  ไม่สนใจ  มีความกลัวเทคโนโลยี  จึงไม่หยิบมาใช้ หรือใช้อย่างไม่เป็น ลงทุนไปแล้วไม่ได้นำมาใช้อย่างเต็มที่ นี่คือจุดลบ ที่มีคน 2 กลุ่ม คือ คนที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยี เนื่องจากงบประมาณจำกัด กับคนที่เข้าถึงเทคโนโลยี แต่ใช้อย่างไม่เต็มที่ ตรงนั้นจะเป็นข้อลบด้วยเช่นกัน “

ดังนั้นในสิ่งที่จะต้องรุกหนักในปีหน้า คือ การทำให้ SMEs  ไทยคุ้นเคยกับเทคโนโลยีทั้งใหม่ และที่มีอยู่ในตลาดแล้ว ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ในการสร้าง Economic  System  (ระบบเศรษฐกิจ) และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้ SMEs ที่จะสามารถทำงานได้ง่ายมากขึ้น  โดยที่ผ่านมามีบทพิสูจน์ที่ชี้ชัดกันดีแล้วว่า เทคโนโลยีมีส่วนช่วยธุรกิจ ทำให้ทุกคนประกอบธุรกิจได้ดีขึ้นและเร็วขึ้น

3 คีย์เวิร์ดการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้

สำหรับนโยบายของ สสว. ในด้านการส่งเสริมผู้ประกอบการไทย ในการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับ SMEs ประกอบไปด้วย 3 คีย์เวิร์ดหลัก

ข้อแรก คือ จับมือกับผู้รู้ทั้งไทยและต่างประเทศเป็นหนึ่งในคียเวิร์ดสำคัญในการทำ Transformation  รวมถึงจะมี AI ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาเสริมศักยภาพภายในองค์กรด้วย

ข้อสอง คือ  Business Transformation ผ่านเทคโนโลยี และ Human Resource (ทรัพยากรมนุษย์) โดยทั้ง 2ส่วนนี้จะเป็นเรื่องหลักในการ Transformation

ข้อสาม คือ Internationalization ที่จะเป็นโจทย์หลักในการยกระดับผู้ประกอบการ ขึ้นเป็นผู้ประกอบการแห่งเอเชีย ขยายฐานไปสู่การเจาะตลาด Global  niche market ( ตลาดเฉพาะกลุ่ม ) โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือ เมื่อผลิตสินค้าออกมา แทนที่จะขายสินค้าเฉพาะภายในประเทศ  ต้องขยายไปต่างประเทศด้วย จากที่ทุกคนเกรงว่าจะต้องมีการลงทุนเพิ่มขึ้นนั้น เรามองว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล เพราะมีระบบออนไลน์เข้ามาแล้ว และเรายังมีองค์ความรู้  นอกจากนี้ยังมีการจับมือกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) รวมทั้งสถาบันการเงินอีกหลายแห่ง เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบในการดำเนินธุรกิจ และธุรกรรมกับต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างครบพร้อม

นับว่าทั้ง 3 เรื่องหลักนี้เป็นโปรเจ็กต์ของสสว. ที่ผู้อำนวยการคนใหม่  ได้กล่าวว่า  “เป็นโจทย์ที่เราตั้งใจต่อยอดการทำงานจากสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED )ซึ่งมีหน่วยงานที่พัฒนา SMEs อยู่จำนวนหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันจะมีนักพัฒนา SMEs  ที่จะมีองค์ความรู้ชุดใหม่ เข้ามามีบทบาทในการวิเคราะห์สถานการณ์ไปสู่อนาคตว่า ธุรกิจอะไรกำลังจะเกิดขึ้น และกำลังจะแข็งแรง และจะเป็นส่วนใหญ่ของธุรกิจ SMEs ในอนาคต 

ทั้งนี้จะมีการตั้งทีมวางแผน  ทีมวิจัยใหม่ขึ้นมา  เพื่อพัฒนาสถาบันต่างๆ มีคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมงาน เพราะเด็กรุ่นใหม่มีความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์  ปรับตัวได้เร็ว ทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ ใน กระบวนการทางความคิดใหม่ และบิสิเนสโมเดลใหม่  นำมาสู่กลุ่ม SMEs  พันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้น จากผู้เชี่ยวชาญและนักพัฒนา SMEs รุ่นใหม่ที่เข้ามาเติมในเครือข่ายร่วมกับสสว.

Global Niche market ขุมทรัพย์ที่มีในทุกมุมโลก

นอกจากนั้นแล้ว ผอ.  สุวรรณชัย  เพิ่มเสริมและเพิ่มเติมให้เห็นเป็นภาพที่ซูมลึกลงไปกว่านั้นว่า   ต้องมีการพัฒนา SMEs ใน เชิงลึกหรือ “SMEs  Focus economy” เนื่องจากเราไม่สามารถแข่งขันกับธุรกิจรายใหญ่ ทั้งในด้านของทุนทรัพย์ และทีมทรัพยากรต่างๆ ฉะนั้นการปรับตัวของ SMEs จะต้องโฟกัสไปที่การทำธุรกิจสินค้าหรือบริการให้ชัดเจน ทั้งพื้นที่และกลุ่มเป้าหมายต้องชัดเจน  และเฝ้าติดตามการเติบโตของกลุ่มเป้าหมาย ในแง่ของตัวคนและการขยายเข้าไปในพื้นที่ต่างๆอย่างเจาะลึกและครอบคลุม  จะเป็นแนวโน้มที่สำคัญในการพลิกเกมกลายเป็นผู้เติบโตได้โดยเป็นนิชมาร์เก็ตในตลาดโลก

“สสว.ในยุคของผมจะให้ความสำคัญในการขับเคลื่อน SMEs  คือ Global Niche market  เป็นเรื่องสำคัญ  ยกตัวอย่างคือ ผมเป็นพ่อลูกสามซึ่งจากไลฟ์สไตล์แล้ว คนที่มีไลฟ์สไตล์อย่างผมน่าจะมีอีกในประเทศสิงคโปร์ เกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง หรือประเทศอื่นๆ ธุรกิจที่จับกลุ่มเป้าหมายแบบเรานั้นมีอะไรบ้าง อาทิ กลุ่มที่เป็นจุดแข็งของไทย อย่างอาหาร  การดูแลสุขภาพ การดูแลครอบครัว ความเป็นอยู่ซึ่งเสริมเข้ามาได้ สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล”

ถ้าจะจับกลุ่มนิชมาร์เก็ตแบบนี้  และคิดว่าเรามีกลุ่มตัวอย่างแบบนี้ คนแบบนี้มีอยู่หลายที่  เราจะเข้าถึงกลุ่มนี้ได้อย่างไร เราต้องไปสร้างคอมมูนิตี้ในที่ต่างๆเพิ่มขึ้น และทำให้เกิดเครือข่าย แทนที่จะเป็นเครือข่ายเฉพาะในประเทศ ต้องเชื่อมโยงไปสู่การเกิดเครือข่ายข้ามประเทศ หรือเครือข่ายต่างประเทศ

 

 

เมื่อเจาะตลาดนี้ได้แล้ว  จะมีกลุ่มคนประเภทเดียวกันกระจัดกระจายอยู่ในหลายๆประเทศ และเชื่อมโยงกันด้วยการค้าออนไลน์เพื่อไปแตะกลุ่ม Global Niche market ในประเทศอื่นให้ได้

หากจะมองอีกด้าน คือ วิธีการประกอบธุรกิจของ SMEs  ยุคใหม่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะคนให้ความสำคัญตั้งแต่การออกแบบ Business Model เห็นหน้ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างชัดเจน  เปลี่ยนจากคนที่เคยทำในสิ่งที่ตัวเองรักตัวเองชอบ กลายมาเป็นการทำในสิ่งที่ลูกค้ารักและลูกค้าชอบ

นี่จะเป็นอีกจุดที่เพิ่มเติมเข้ามาใน SMEs  รุ่นใหม่ที่ สสว. ตั้งใจจะเข้าไปสนับสนุนเพิ่มเติมจากกลุ่มเดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งมีหลายโครงการ ทั้งการสานต่อโครงการดีๆที่มีอยู่ต่อไป  โครงการสตาร์ทอัพต่างๆ  โครงการ Strong & Regular  โครงการปรับแผนธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถ SMEs ( Turnaround ) เพื่อช่วยฟื้นฟูกิจการของ SME ที่มียอดขายตกต่ำเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

สิ่งที่ดีจะนำมาร้อยเรียงปรับมิติเพิ่มเติม เหมือนเราดูแล Business ตาม Cycle ของ SMEs ทั้งคนที่เริ่มต้นใหม่  คนที่ทำธุรกิจมาแล้วจุดหนึ่ง  คนกำลังเติบโตแข็งแรง คนที่กำลังเหน็ดเหนื่อยและเผชิญปัญหา ต้องการปรับเปลี่ยนแผน นี่คือแผนที่มีอยู่แล้ว  แต่เรามาสานต่อไปอีกหนึ่งปี เพราะว่าปีงบประมาณเราเขียนไว้ล่วงหน้า

ด้านนโยบาย Internationalization ที่ต้องการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเพื่อขยายตลาดไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพราะอุตสาหกรรมไทยมีของดีจำนวนมาก  ทั้งโลกรู้จักประเทศไทย เริ่มจากเอเชีย เชื่อมโยงประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และในอีกหลายประเทศที่คาดว่า จะเป็นลูกค้าของเราได้ เพราะมีความต้องการในผลิตภัณฑ์และการบริการของไทย  ซึ่งเราจะเข้าไปทำการตลาดเพื่อให้เป็นลูกค้าเป้าหมาย

นโยบายใหม่ที่เข้ามาเสริมศักยภาพสสว.ในปี 2018

นอกจากงานสานต่อนโยบายแล้ว  ผอ. สุวรรณชัย  ยังเสริมว่า  มีอีก 2 เรื่องสำคัญคือถือเป็นเรื่องใหม่ของสสว. ที่มองว่าคนในองค์กรเป็นคนที่มีคุณภาพและอยู่กันมานานมีประสบการณ์  เห็นกลไกลการพัฒนา SMEs ในแผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2560-2564)  มาอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้นจึงจะร้อยเรียงจากแผนนั้น แล้วมาสร้างบุคลากรภายใน   ดึงศักยภาพที่ทุกคนมีมาขยายผลอยางเต็มที่ เพื่อให้บุคคลากรทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างความเติบโตของ SMEs  โดยใช้คีย์เวิร์ดคำว่า Re - inventing SME Future หมายถึง เราจะสร้างอนาคตให้ SMEs  ผ่านการสร้างบุคคลากรที่มีอนาคต และในส่วนนี้เองเป็นการสร้าง SMEs ต่อเนื่องด้วยความรัก ความเข้าใจ  และการเข้าถึง

โดยมีพื้นฐานและจุดยืนที่มีความรักและความอบอุ่นเป็นกันเอง เป็นแกนกลางในการเชื่อมโยง เราจะเป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นพี่เลี้ยง เป็นผู้ร่วมทาง เป็นคนที่อยากทำงานไปด้วยกัน  เราเรียนรู้ระหว่างกัน และมีเป้าหมายปลายทางร่วมกัน  

การที่เราพูดถึงบุคลากรภายใน เพราะเรากำลังต้องการให้บุคลากรภายในนำศักยภาพออกมาใช้อย่างเต็มที่ ผมมีหน้าที่เสริมทุกคนให้นำจุดแข็งออกมา  ระเบิดจากข้างในแสดงผลงานจากตัวเอง จากกลุ่มและจากทีมงานที่มีอยู่

ในเรื่องเดียวกันนำมาใช้กับ SMEs  เพราะทุกคนมีความเก่ง มีความรอบรู้ในสิ่งที่ตนเองถนัด เราจะระเบิดจากข้างใน จากองค์กรได้อย่างไร   ซึ่งจะต้องมีการสร้างองค์ความรู้ให้กับคนไปพร้อมกัน   เพื่อทำให้องค์กรและเจ้าของกิจการนั้น พร้อมที่จะระเบิดจากข้างใน ตามพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9  ที่ประสงค์ให้คนไทยเก็บความรู้อย่างต่อเนื่อง พัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่อง ปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง สร้างความชำนาญอย่างต่อเนื่อง  จนเป็นความรู้ที่ติดตัวแล้วพร้อมจะระเบิดจากข้างในออกมาสู่ภายนอก   และขยายศักยภาพของระบบทุกอย่างที่เกี่ยวโยงกับเศรษฐกิจ และการเติบโตส่วนบุคคลและองค์กร ทำให้ตนเองประสบความสำเร็จและเจริญเติบโตต่อไป 

ขณะเดียวกันจะใช้กลไกนี้ในการขับเคลื่อน แคมเปญ  “SMEs  วันนี้ดีเร็ว” คือจะพัฒนา SMEs ให้มีสินค้าที่มีคุณภาพดี ผลิตได้อย่างรวดเร็ว บริการดี บริการเร็ว    โดยชวนคนไทย ผ่านโซเชียลมีเดีย ให้ใส่  “แฮชแท็ค # SMEs วันนี้ดีเร็ว”  ทุกวันที่ 1 ถึงวันที่ 5 เดินหน้าเข้าร้าน  SMEs  โดยแคมเปญนี้จะเริ่มลอนช์ชิ่งทั่วประเทศในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 เป็นระยะเวลา  1 ปี

 

SME ONE  โครงการรณรงค์เพื่อ SMEs  ทุกระดับ

ผอ. สุวรรณชัย ยังมีเป้าหมายสำคัญที่มุ่งมั่นที่จะรณรงค์ให้คนไทย หันมาใช้สินค้า ร้านค้า และบริการร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวของSMEs ไทย  โดยจะมีป้ายสัญลักษณ์ SME ONE ไปติดที่ร้านต่างๆ ทั้งสินค้าและบริการ ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกที่อยู่ในเครือข่ายสสว.  ประมาณ 3 แสนราย และจากนี้ไปจะมีการวางแผนผัง แบ่งโซนขยายร้านที่ติดโลโก้ SME ONE เพิ่มขึ้นอีก

แคมเปญนี้คาดหวังเพื่อปรับทัศนคติและจิตสำนึก ในการชวนคนไทยหันมาอุดหนุน SMEs ไทย  เพราะวันนี้หาก SMEs จะดีได้นั้น คนไทยต้องมีส่วนร่วม ที่ผ่านมาจะเห็นว่าภาครัฐให้ความสำคัญกับ SMEs  มาโดยตลอด ซึ่ง SMEs ก็มีการ พัฒนามาตามลำดับ   แน่นอนว่าสินค้ามีทั้งดีและยังที่ปรับพัฒนา   ซึ่งหากคนไทยหันมาใส่ใจในผลิตภัณฑ์ของคนไทยด้วยกันเอง  ก็จะได้รับรู้ว่า สินค้า SMEs ไทยเราดีเพียงใด    เราพิสูจน์ได้ด้วยการหันไปช่วยซื้อ ทุกวันที่ 1 ถึงวันที่ 5 โดยให้เดินหน้าเข้าร้าน SMEs    ซึ่งหากซื้อแล้ว  สินค้ายังไม่ดี SMEs ที่ขายไม่ดีก็ต้องมีการปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นเร็วขึ้น ส่วนที่ขายดีอยู่แล้วก็มีกำลังใจ   ที่ผ่านมา SMEs เหนื่อยมาก ในวันนี้กระเป๋าต้องมีเงิน ขายของก็ขายยาก และยังต้องแข่งขัน การกระตุ้นด้วยแคมเปญนี้ สุดท้ายแล้วทำให้ SMEs  ไทยมีเงินเข้ากระเป๋า โดยผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการช่วยซื้อ

ส่วนแคมเปญช่วยเหลือที่ผ่านมาของภาครัฐนั้น อิงกับห้างสรรพสินค้าหรือว่ากิจกรรมสัญจรจัดบู้ทในงานต่างๆ ส่วนนี้เราคนซื้อต้องตั้งใจไปซื้อ ซึ่งก็ยังไม่ยกเลิก คงทำอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามยังมี SME ที่มีร้านตึกแถวอยู่ริมถนนหลายแห่ง ที่ไม่เคยเข้าถึงงานสัญจรขายสินค้าลักษณะนั้น จะเข้าไปขายในห้างฯก็เข้าไม่ได้

ผอ. สุวรรณชัย   กล่าวถึงการทำแคมเปญนี้ขึ้นมา เพื่อหวังชวนคนไทยไปซื้อของที่ร้านตึกแถวหลายแห่ง ที่ไม่เคยร่วมงานออกบู้ทขายสินค้า ไม่เคยไปสัญจรกับรัฐบาล เข้าห้างฯก็ไม่ได้  เราจะไม่ลืมเค้า เราจึงชวนคนว่า ช่วยเดินเข้ามาหน่อย จะซื้อของอยู่แล้ว ของต้องกินอยู่แล้ว จะซื้อข้าวอยู่แล้ว  มาซื้อกับพี่ๆพวกนี้หน่อย ผมต้องการให้พวกเราช่วยเหลือกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงความช่วยเหลือ เข้าห้างฯไม่ได้ หรือเข้าไปแล้วผลิตภัณฑ์ไม่ถึงเกรด ขายก็ขายไม่ดี ไปงานสัญจร  ไปออกงานแฟร์ก็ลดราคาไม่ได้เพราะไม่เหลือกำไร แต่ร้านเหล่านี้มีสต๊อกเหลืออยู่ พร้อมจะขาย แค่ปรับสำนึกให้คนไทยเดินเข้าไปช่วยเหลือ และนี่คือที่มาของแนวคิดแคมเปญ SME ONE ของ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) คนใหม่ ที่ทิ้งท้ายไว้ว่า “ เพื่อเติมเต็มด้านความช่วยเหลือของภาครัฐที่มีต่อผู้ประกอบการ เพื่อให้ความช่วยเหลือกระจายไปอย่างทั่วถึงใน SME ทุกๆระดับ”

มีเป้าหมายอยู่หนึ่งข้อที่ทุกธุรกิจควรมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ ก่อนช่วงเทศกาลปีใหม่นี้

นักการตลาดควรต้องคิดเช่นเดียวกับลูกค้าและเริ่มต้นวางแผนสำหรับเทศกาลช้อปปิ้งส่งท้ายปีก่อนที่จะสายเกินไป ซึ่งการช้อปปิ้งของคนไทยบน Facebook ในไตรมาสสี่สูงขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาอื่นของปี การดึงดูดความสนใจและการกระตุ้นให้เกิดการซื้อจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าที่ผ่านมา

นี่คือข้อมูลเชิงลึก 5 ข้อเกี่ยวกับพฤติกรรมการช้อปปิ้งในช่วงสิ้นปีที่แล้ว ที่จะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ดียิ่งขึ้นในปีนี้

 

 

  1. โทรศัพท์มือถือคือรถเข็นช้อปปิ้งสำหรับช่วงสิ้นปี

 

เราต่างรู้กันดีว่าโทรศัพท์มือถือได้กลายมาเป็นจอที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทยในปัจจุบัน เมื่อพูดถึงการช้อปปิ้ง โทรศัพท์มือถือก็ยังเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมสูง ซึ่งในระหว่างเดือนตุลาคมจนถึงเดือนธันวาคมของปีที่แล้ว ร้อยละ 72 ของการซื้อสินค้าออนไลน์บน Facebook ทั่วทั้งภูมิภาคโดยเฉลี่ยเกิดขึ้นทางโทรศัพท์มือถือ และนักช้อปอายุน้อยคือกลุ่มที่ซื้อสินค้าสูงสุด โดยร้อยละ 62 จากการซื้อสินค้าออนไลน์บน Facebook ทั้งหมดมาจากกลุ่มมิลเลนเนียล

 

  1. ผู้ที่เตรียมตัวก่อนมักเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ

 

นักช้อปมักจะเริ่มซื้อของเร็ว โดยเริ่มต้นในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การซื้อของออนไลน์บน Facebook ในประเทศไทยสูงขึ้นถึงร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยของทั้งปี และธุรกิจที่ได้สร้างแบรนด์ล่วงหน้าก่อนถึงช่วงเวลาพีคของเทศกาลช้อปปิ้งมักจะกลายเป็นแบรนด์ที่ทำรายได้สูงสุด ลาซาด้า Blibli.com และ เทสโก้ โลตัส ประเทศไทย คือตัวอย่างแบรนด์ที่สร้างผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดีผ่านแคมเปญการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

 

 

 

  1. มีส่วนร่วมในบทสนทนา

 

การช้อปปิ้งมักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพูดคุยระหว่างเพื่อนฝูง การแบ่งปันเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เจ๋งที่สุด หรือแม้กระทั่งการติดต่อกับธุรกิจต่าง ๆ เมื่อปีที่แล้ว คนไทยได้เริ่มลงโพสต์บน Facebook เกี่ยวกับการช้อปปิ้งตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ของวันที่ 13 พฤศจิกายน โดยช่วงเวลาที่มีการลงโพสต์เกี่ยวกับการช้อปปิ้งบน Facebook มากที่สุดคือช่วงสัปดาห์ของวันที่ 25 ธันวาคม¹

 

  1. ความเร่งรีบในช่วงสิ้นปี

 

ธุรกิจต่าง ๆ จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับความรวดเร็วของการซื้อสินค้าบน Facebook ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ซึ่งเป็นเดือนที่มียอดการช้อปปิ้งสูงสุด ในปี 2559 การซื้อของออนไลน์ผ่าน Facebook ในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 51 ในเดือนพฤศจิกายน และร้อยละ 48 ในเดือนธันวาคม เมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยของทั้งปี โดยวันที่ 12 ธันวาคมเป็นวันที่ควรจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ด้วยยอดการซื้อสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นถึง 2.6 เท่าเมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยทั้งปี

 

 

  1. อย่าลืมเดือนมกราคม

 

การช้อปปิ้งออนไลน์ไม่ได้จบลงในเดือนธันวาคม เทศกาลช้อปปิ้งยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปีใหม่ เปิดโอกาสให้ธุรกิจต่าง ๆ ได้เพิ่มยอดขายสินค้าที่ช่วยเติมเต็มสิ่งของที่ผู้คนได้ซื้อไปก่อนหน้านี้ หรือของขวัญที่พวกเขาได้รับไป โดยในเดือนมกราคม 2560 การซื้อสินค้าออนไลน์ผ่าน Facebook เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 36 เมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยของทั้งปี 2559

 

 

 

สิ่งที่ควรทำเพื่อการตลาดที่มีประสิทธิภาพ

 

ลองใช้เคล็ดลับเหล่านี้เพื่อเอาชนะกระแสความรุนแรงของการโฆษณาในช่วงเทศกาลช้อปปิ้ง

               

  1. ใช้ภาษาที่เหมาะกับโทรศัพท์มือถือ ดึงดูดความสนใจด้วยคำสร้างสรรค์ที่สั้นกระชับ น่าดึงดูด และสร้างความเชื่อมั่น

 

  1. เริ่มต้นแคมเปญเพื่อสร้างแบรนด์ของคุณในตอนนี้ ก่อนช่วงพีคของการช้อปปิ้ง พร้อมกระตุ้นยอดขายด้วยการสร้างความน่าเชื่อถือและการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

 

  1. สร้างความสนใจและกระตุ้นความต้องการ เชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายและสร้างการเปลี่ยนแปลงก่อนถึงช่วงเวลาพีคแห่งการช้อปปิ้ง

 

  1. เพิ่มยอดขายทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ แสดงแคตตาล็อกสินค้าของคุณด้วย Dynamic Ads และเลือกใช้ Store Visits เพื่อเชิญชวนผู้คนไปที่หน้าร้านของคุณ

 

  1. คำนึงถึงการขยายธุรกิจในปีใหม่ ขายสินค้าที่มีความเกี่ยวเนื่องกันเพื่อเติมเต็มการซื้อสินค้าในช่วงสิ้นปี กระตุ้นให้คนไปที่หน้าร้านด้วยการมอบข้อเสนอที่ดีที่สุด

 

แหล่งที่มาของข้อมูล:

นอกเหนือจากที่ได้ระบุไว้ข้อมูลทั้งหมดอ้างอิงมาจากข้อมูลภายในองค์กรของ Facebook การวิเคราะห์ข้อมูล conversion pixel และ app events สำหรับโฆษณาที่ถูกแสดงให้กับกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 18-64 ปี บน Facebook ในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2559 จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2560

X

Right Click

No right click