December 18, 2025

“เคทีซี” จับมือกับ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ “DOHOME” มอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี เมื่อช้อปสินค้าที่ ดูโฮม ศูนย์ค้าปลีก-ค้าส่ง วัสดุก่อสร้าง ซ่อมแซมและตกแต่งบ้าน และใช้คะแนน KTC FOREVER สามารถแลกรับส่วนลดสูงสุด 20% ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 - 30 เมษายน 2567

 

นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เคทีซีมุ่งมั่นนำเสนอความคุ้มค่า ที่พร้อมตอบโจทย์การให้บริการทางการเงินในทุกไลฟ์สไตล์ของสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีทุกกลุ่ม ที่อยู่ในกรุงเทพและปริมณฑล รวมถึงต่างจังหวัด ให้สามารถใช้จ่ายได้อย่างคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น อีกทั้งในช่วงเทศกาลต่างๆ น่าจะเป็นโอกาสที่ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายเพื่อครอบครัว และคนใกล้ชิด อาทิเช่น ช่วงเทศกาลตรุษจีนและวาเลนไทน์ที่กำลังจะมาถึง ตลอดจนยังมีโครงการ “อีซี่ อี-รีซีท” (Easy E-Receipt) ของภาครัฐที่เข้ามามีส่วนร่วมในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพื่อเป็นการสร้างความคุ้มค่าให้แก่สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีและลูกค้าของดูโฮมอย่างต่อเนื่อง เราจึงจัดแคมเปญมอบส่วนลดเพิ่มสูงสุด 20% เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีตามเงื่อนไขที่กำหนด ที่ดูโฮมทุกสาขาที่ร่วมรายการ และใช้คะแนน KTC FOREVER ตั้งแต่ 2,000 คะแนนขึ้นไป โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ktc.promo/dohome”

 

ด้าน นางสาวอริยา ตั้งมิตรประชา กรรมการบริหาร บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME เสริมว่า “กว่า 40 ปี ที่ดูโฮม มีนโยบายหลักในการตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการสินค้าเพื่อบ้าน ภายใต้คอนเซ็ปต์ ครบ ถูก ดี ที่ดูโฮม ทั้งสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มซ่อมแซมและกลุ่มตกแต่งบ้าน อาทิ กระเบื้องและสุขภัณฑ์ เครื่องครัว-โคมไฟ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือช่าง สีเคมีภัณฑ์ รวมถึงอุปกรณ์สำนักงาน และสินค้าอุปโภคบริโภค และเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพและเพิ่มความสะดวกในการชำระค่าสินค้าให้แก่ลูกค้าดูโฮม จึงได้ร่วมกับ บัตรเครดิตเคทีซี มอบสิทธิพิเศษที่หลากหลายให้กับลูกค้า อาทิ ผ่อนชำระ 0% ทุกชิ้นทั้งร้าน และโปรโมชันพิเศษต่างๆ กรณีลูกค้าชำระสินค้าแบบเต็มจำนวน และแลกคะแนนผ่านบัตรเครดิตเคทีซี และพร้อมต่อยอดความร่วมมือเพื่อตอบโจทย์ความคุ้มค่าให้กับลูกค้า”

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC 02 123 5000 หรือติดตามโปรโมชันของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th หรือ www.DOHOME.co.th หรือ Line official : @Dohome หรือ Facebook fan page : Dohomeonline หรือ สายด่วน 1746 สำหรับผู้สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซี ทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

นายวราธร เจนจรัสสกุล (คนกลาง) ผู้อำนวยการสายงานการตลาด บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ นางสาวพรรณวิภา บูรณดิลก (ที่สองจากขวา) ผู้อำนวยการสายงานการตลาด บริษัท แบงคอก เมโทร เน็ทเวิร์คส์ จำกัด จับมือร่วมกันในการสนับสนุนการแข่งขันบาสเกตบอลสามคนรายการใหญ่ระดับโลก “3x3.EXE Super Premier Round.2 Bangkok Presented by TOA” โดยมี นายทศวรรษ เตลาน (ที่สองจากซ้าย) ประธานการแข่งขันรายการ “3x3.EXE Super Premier Round.2 Bangkok Presented by TOA” พร้อมด้วย นายพงษ์พันธ์ เพชรบัณฑูร นักแสดง (ที่หนึ่งจากขวา) และตัวแทนนักกีฬา นายปวรศักดิ์ รัมณียานนท์ (ที่หนึ่งจากซ้าย) ให้การต้อนรับและขอบคุณผู้ร่วมสนับสนุนการแข่งขันฯ ในครั้งนี้

การแข่งขันบาสเกตบอลสามคน “3x3.EXE Super Premier Round.2 Bangkok Presented by TOA” มีกำหนดจัดการแข่งขันในวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ลานอเนกประสงค์ สามย่านมิตรทาวน์ ผู้สนใจ สามารถเดินทางมาได้โดย MRT เข้าชมฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ติดตามรายละเอียดและผลการแข่งขันได้ที่ Facebook 3x3.EXE Premier Thailand

นายแดนนี่ หม่า ผู้จัดการประจำประเทศไทย (ที่สองจากซ้าย) และนายประภัทร์ ศรีธนานุรักษ์ รองผู้จัดการประจำประเทศไทย (กลาง) บริษัท เฟโล ซีลวาเนีย (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วย นายลีโอ ลี่ ที่ปรึกษา (คนแรกจากซ้าย) นายไมเคิล เหมิง ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน (คนแรกจากขวา) และ นางสาวรีเบคก้า ลี่ รองประธาน (ที่สองจากขวา) บริษัท เฟโล ซีลวาเนีย เอเชีย แปซิฟิก จำกัด ร่วมกันจัดงานฉลองครบรอบ 30 ปี แบรนด์ ซีลวาเนีย ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย พร้อมเลี้ยงขอบคุณกระชับความสัมพันธ์คู่ค้าและร้านค้าทั่วประเทศ รวมถึงประกาศแผนการเดินหน้ารุกตลาดครั้งใหม่ในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ เมื่อเร็วๆ นี้ สำหรับผู้สนใจข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ซีลวาเนียสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.sylvania-lighting.com

ซีลวาเนีย ถือฤกษ์ดีครบรอบ 30 ปี ประกาศเดินหน้าชิงตลาดหลอดไฟและอุปกรณ์แสงสว่าง 2 หมื่นล้าน รอบใหม่ หลังปรับโครงสร้างองค์กรลงตัว ล่าสุดเปิดแผนการตลาดแนวรุกทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์และช่องทางการจำหน่าย พร้อมสร้างทีมขายเจาะร้านค้าปลีกทั่วไทย เพื่อเข้าถึงผู้ใช้งานทุกพื้นที่ เผยผลงานปี 66 โตก้าวกระโดด 20% คาดปี 67 โตเพิ่มได้อีกกว่า 20%

นายประภัทร์ ศรีธนานุรักษ์ รองผู้จัดการประจำประเทศ บริษัท เฟโล ซีลวาเนีย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึง ความพร้อมในการกลับมารุกตลาดหลอดไฟและอุปกรณ์แสงสว่างรอบใหม่ว่า ที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ ซีลวาเนีย มีการเคลื่อนไหวด้านการตลาดไม่มากนัก เนื่องจากบริษัทฯ มีการปรับโครงสร้างองค์กร ประกอบกับสถานการณ์โควิดทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดเป็นไปอย่างมีข้อจำกัด โดยในปีที่ผ่านมา 2566 มูลค่าตลาดรวมผลิตภัณฑ์หลอดไฟและอุปกรณ์แสงสว่างของไทยอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 3-5% ซึ่งในปีนี้ 2567 นับเป็นปีพิเศษที่ ซีลวาเนีย ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยครบรอบ 30 ปี จึงถือโอกาสประกาศความพร้อมในการกลับเข้ามาชิงแชร์ตลาดอย่างเต็มตัวในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์และทุกช่องทางการจัดจำหน่าย

โดยการบุกตลาดรอบใหม่นี้ จะชูจุดแข็งที่ทำให้ ซีลวาเนีย ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นความน่าเชื่อถือและมาตรฐานของแบรนด์ที่ยาวนานกว่า 120 ปี การปรับตัวและพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งจนทำให้ ซีลวาเนีย มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ครบและเหมาะสมกับทุกประเภทของการใช้งาน จากโรงงานผลิตของเราเองทั้งในประเทศจีนและยุโรป การมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่คอยให้คำแนะนำปรึกษา ทั้งในเรื่องผลิตภัณฑ์ การวางระบบและการแก้ปัญหา รวมถึงผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นยังได้รับการพัฒนาด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเฉพาะจาก ซีลวาเนีย ที่ให้ทั้งคุณสมบัติพื้นฐาน ปริมาณแสงส่องสว่าง การประหยัดพลังงาน อายุการใช้งานนาน และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานด้วยเทคโนโลยีช่วยให้สะดวกและใช้งานได้หลากหลายขึ้นในรูปแบบของอุปกรณ์ไฟอัจฉริยะ (Smart Lighting)

ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักของ ซีลวาเนีย แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับอาคารและที่พักอาศัย กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับงานโครงการและงานตกแต่งภายใน-ภายนอก และกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับงานเฉพาะ อาทิ ไฟสำหรับใช้งาน

ในพิพิธภัณฑ์ ไฟที่ใช้ในโชว์รูม เสาไฟฟ้าพร้อมผลิตภัณฑ์ไฟส่องสว่างอัจฉริยะ (Smart Pole) นอกจากนั้นยังเพิ่มเติมในกลุ่มอุปกรณ์ประกอบเกี่ยวเนื่องอย่าง สวิตซ์ ปลั๊ก ตู้ไฟ ฯลฯ สำหรับปี 2566 ผลิตภัณฑ์กลุ่มใหญ่ที่มีสัดส่วนยอดขายมากสุดยังคงเป็นกลุ่มงานโครงการ.

ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายเป็นอีกส่วนสำคัญที่ทางบริษัทฯ มีการพัฒนาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในทุกช่องทาง ทั้งโมเดิร์นเทรด กลุ่มงานโครงการ และช่องทางออนไลน์ แต่ช่องทางที่เป็นอาวุธลับสำคัญในวันนี้ คือ ร้านค้าและร้านจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าที่กระจายอยู่ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ร้านค้าเหล่านี้มีความพิเศษในด้านความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้าผู้ใช้งาน สามารถแนะนำและผลักดันการตัดสินใจเลือกใช้สินค้าได้เป็นอย่างดี ทำให้ปีที่ผ่านมา 2566 ซีลวาเนีย เริ่มมีการจัดตั้งทีมขายเพื่อเจาะเข้าช่องทางร้านค้าและร้านจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าขึ้นในทุกภูมิภาค สิ่งที่ได้รับนอกจากความสัมพันธ์ที่ดีกับทางร้านค้าและการเข้าถึงผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ในวงกว้างแล้ว ยังได้รับข้อมูลเชิงลึกของทั้งร้านค้า ผู้ใช้งาน คู่แข่ง ข้อมูลตลาดและการตลาดของคู่แข่ง โดยเรามีการนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์และพัฒนาสร้างแผนการตลาดเชิงรุกให้แก่ ซีลวาเนีย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งให้ยอดขายรวมทั้งปีที่ผ่านมาเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 20%

ดังนั้น แผนการตลาดในปี 2567 ของ ซีลวาเนีย จะมีการรุกในช่องทางร้านค้าและร้านจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้ามากขึ้น เบื้องต้นทางบริษัทฯ มีการจัดตั้งทีมขายทั่วประเทศขึ้น 12 ทีม เพื่อทำงานร่วมกับ 300 ร้านค้าที่มีอยู่ในมือ โดยพร้อมที่จะขยายเพิ่มเติมในการรองรับการเติบโตและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในแต่ละพื้นที่ โดยทีมขายจะต้องทำงานร่วมกับร้านค้าอย่างใกล้ชิด ทั้งรับฟังความคิดเห็น เลือกผลิตภัณฑ์ในการทำตลาดให้เหมาะสมกับลูกค้าในพื้นที่ การจัดพื้นที่โชว์สินค้าในร้าน การทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย ฯลฯ ซึ่งแผนการรุกตลาดและการร่วมมือกับพันธมิตรร้านค้าในการทำตลาดอย่างใกล้ชิดทำให้คาดว่าปี 2567 จะสามารถสร้างการเติบโตของยอดขายรวมได้เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 20%

ส่วนกิจกรรมพิเศษในโอกาสครบรอบ 30 ปีนั้น นอกจากจะมีการจัดเลี้ยงขอบคุณคู่ค้า ตัวแทนจำหน่ายและร้านค้าแล้ว ยังมีการเพิ่มกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่อีกหลายกลุ่ม อาทิ สวิตซ์ ปลั๊ก ตู้ไฟ และ กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับงานภายในอาคาร (Indoor Lighting) เช่น โรงแรม ร้านอาหาร อาคารที่พักอาศัย ห้างสรรพสินค้า กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับตกแต่งร้าน (Shop Lighting) ตกแต่งสวน (Landscape Lighting) ผลิตภัณฑ์กลุ่มนวัตกรรม (Special Project) เช่น ไฟสนามกีฬา ไฟถนน ฯลฯ รวมถึงยังมีการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมกับทั้งโรงเรียน วัด และชุมชนอีกด้วย

สำหรับผู้สนใจข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ซีลวาเนียสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.sylvania-lighting.com.

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทย ณ สิ้นปี 2567 จะอยู่ที่ 91.4% หรือราว 16.9 ล้านล้านบาท โดยสถานการณ์หนี้ครัวเรือนยังคงน่าเป็นห่วงทั้งในมิติของปริมาณการก่อหนี้ที่ไม่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นเร็วและคุณภาพหนี้มีแนวโน้มด้อยลง ส่วนหนึ่งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเชื่องช้า ส่งผลให้ระดับรายได้ของครัวเรือนฟื้นตัวได้อย่างจำกัด ขณะที่ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้และคุณภาพของหนี้ อีกทั้งอุปสรรคจากการไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบของลูกหนี้บางส่วน ทำให้ต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบและเผชิญกับปัญหาวังวนหนี้ไม่รู้จบ

หากกล่าวถึงปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทย แน่นอนว่าประเด็นหนี้ครัวเรือนสูงเรื้อรังมักถูกพูดถึงมาโดยตลอด โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ ทำให้หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ในระดับสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศที่มีรายได้ต่อหัวเฉลี่ยใกล้เคียงกัน ทั้งยังสูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศที่มีรายได้และความมั่งคั่งสูงกว่า ล่าสุด ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทย ณ ไตรมาส 3 ของปี 2566 อยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) คิดเป็น 90.9% ต่อจีดีพี ซึ่งมีทิศทางชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากผู้ให้กู้หลักอย่างธนาคารพาณิชย์เพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ สวนทางกับตัวเลขหนี้ที่มาจากกลุ่มบริษัทบัตรเครดิต ลิสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคลที่เติบโตในอัตราเร่งสูงสุดในรอบทศวรรษ

นอกจากนี้ คุณภาพหนี้ครัวเรือนก็มีแนวโน้มด้อยลง จากสัดส่วนหนี้เสีย (NPLs) ในระบบธนาคารพาณิชย์ที่สูงถึง 2.79% หรือเกือบ 1.52 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 3.6% ขณะที่สัดส่วนหนี้ค้างชำระระหว่าง 1-3 เดือน หรือ Stage 2 อยู่ที่ 6.66% หรือ 3.62 แสนล้านบาท ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่ง หรือราว 1.7 แสนล้านบาทมาจากสินเชื่อเช่าซื้อรถที่เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ และยังไม่นับรวมหนี้จากผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) อีกกว่า 35% ของทั้งระบบ\

ttb analytics ประเมินว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเป็น 91.4% ต่อจีดีพี หรือราว 16.9 ล้านล้านบาท ซึ่งแม้ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทยจะขยายตัวชะลอลงในระยะหลัง แต่เป็นการลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว อีกทั้งอัตราการขยายตัวของหนี้ครัวเรือนในระดับ 3-4 สูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวช้าลงทุกปี ทำให้ประเด็นหนี้ครัวเรือนไทยในระยะต่อไปยังมีความเปราะบางสูงจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

ปัจจัยแรก : เศรษฐกิจและระดับรายได้ฟื้นช้า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะมีทิศทางดีขึ้นจากปีก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออกที่กลับมาขยายตัว แต่ด้วยรายได้จากการส่งออกกว่า 90% กระจุกตัวอยู่ในธุรกิจขนาดใหญ่ ทั้งยังมีการกระจุกตัวในมิติของจำนวนแรงงานที่ค่อนข้างสูง ขณะเดียวกันภาคการท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่ขับเคลื่อนจากธุรกิจขนาดเล็กกลับมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้ากว่า ทำให้ฐานะทางการเงินของผู้ประกอบการขนาดเล็กส่วนใหญ่ยังมีความเปราะบาง ซึ่งอาจกระทบต่อแรงงานที่มีมากถึง 71% ของแรงงานทั่วประเทศ ส่งผลให้ครัวเรือนบางส่วนอาจต้องกู้ยืมเพิ่มเติมเพื่อทดแทนสภาพคล่องที่หายไป

ปัจจัยที่สอง : ต้นทุนทางการเงินสูงกว่าในอดีต โดยในช่วงวิกฤตโควิด-19 เป็นจังหวะที่นโยบายทางการเงินผ่อนคลายและอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้การประเมินฐานะทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งเมื่อต้นทุนการกู้ยืมปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2566 โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อยที่มีความอ่อนไหวต่อการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ จึงส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้ลูกหนี้มีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้ในอัตราเร่งชัดเจนขึ้น นอกจากนั้น ภาระหนี้ที่ถูกพักหรือเลื่อนออกไปก่อนหน้าจากผลของมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยในช่วงที่เกิดวิกฤตจะถูกนำมาคิดทบต้น และมีส่วนทำให้ระดับหนี้ครัวเรือนในภาพรวมมีแนวโน้มปรับลดลงช้ากว่าปกติ

 

ปัจจัยที่สาม : พฤติกรรมการก่อหนี้โดยขาดวินัยทางการเงินที่ดี แม้การเพิ่มขึ้นของระดับหนี้ครัวเรือนจะสามารถกระตุ้นการบริโภคได้ในระยะสั้น แต่หนี้ที่สูงเกินระดับ 80% ต่อจีดีพี ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการบริโภคแล้ว แต่จะส่งผลเชิงลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยเกิน 80% ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 และเกือบ 1 ใน 3 เป็นการก่อหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิต หรือเรียกได้ว่าเป็นหนี้ที่ไม่สร้างรายได้ (Non-Productive Loan) ซึ่งค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียงอย่างมาเลเซียและจีนที่ 14% และ 13% ตามลำดับ โดยเฉพาะในระยะหลัง การขยายตัวของสินเชื่อที่ไม่สร้างรายได้ รวมถึงความต้องการหนี้นอกระบบเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัย สะท้อนการสร้างหนี้อย่างผิดวัตถุประสงค์ และพฤติกรรมการก่อหนี้โดยขาดวินัยทางการเงินที่ดี ซึ่งหนี้ประเภทดังกล่าวจะต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยกู้ที่สูงกว่ามาก และเสี่ยงก่อให้เกิดเป็นกับดักหนี้ไม่สิ้นสุด ทำให้การลดลงของหนี้ครัวเรือนเป็นเรื่องค่อนข้างยาก

โดยสรุป ตราบใดที่เศรษฐกิจฐานรากยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึงและแข็งแกร่ง ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ก็อาจจะยังไม่กลับมาเป็นปกติ และคาดว่าภาระหนี้ที่สูงจะยังคงเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจต่อไป ฉะนั้นแล้ว การดำเนินการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนและเป็นระบบมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการยกระดับมาตรฐานกระบวนการให้สินเชื่อและการปฏิบัติกับลูกหนี้อย่างเป็นธรรม (Responsible Lending) ครอบคลุมตลอดวงจรหนี้ของลูกหนี้ ควบคู่ไปกับมาตรการสนับสนุนให้มีการคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามความเสี่ยง (Risk-Based Pricing) เพื่อกระตุ้นการปรับวินัยทางการเงินของ

ครัวเรือนให้ดีขึ้น เพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยบรรเทาปัญหาหนี้สินของครัวเรือนไทยได้ในระยะยาว

นางสาวกชสร โตเจริญธนาผล รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน ProPak Asia 2024 ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 12 – 15 มิถุนายน 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา จากแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทย และข้อมูลประเมิณตัวเลขการส่งออกที่เป็นบวกต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2566 เฉพาะในเดือนตุลาคมมีการขยายตัวถึง 8% สูงสุดในรอบ 13 เดือน จะเป็นแรงส่งให้การส่งออกปี 2567 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 2% โดยกลุ่มอาหารยังคงเป็นกลุ่มสำคัญ ซึ่งในปี 2566 ไทยก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับ 12 ของโลก และสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ประมาณการดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) GDP ภาคอุตสาหกรรมปี 2567 จะมีขยายตัวอยู่ที่ 2.0-3.0%

โดยกลุ่มสินค้าอาหารที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดี อาทิ กลุ่มผลไม้แช่เย็น-แช่แข็ง กลุ่มอาหารทะเล ทูน่ากระป๋อง กุ้งสดแช่แข็ง และสินค้าที่มีแนวโน้มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เช่น อาหารและเครื่องดื่มสุขภาพ อาหารเฉพาะทาง อาหาร ฮาลาล และ อาหารแปรรูปคุณภาพสูง ทำให้อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ก็เติบโตขึ้นเช่นกัน โดยปี 2566 มีมูลค่ารวม 1.10 ล้านล้านดอลลาร์ และจะเพิ่มเป็น 1.33 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2571 จากการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม การออกแบบและการเลือกใช้วัตถุดิบที่ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายง่าย การเปลี่ยนไปใช้บรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว สัญญาณดังกล่าวส่งผลดีต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิตไทยทั้งระบบ โดยงาน ProPak Asia ยังคงเป็นงานสำคัญที่ช่วยสร้างและเติมเต็มระบบนิเวศทางธุรกิจและอุตสาหกรรมระดับภูมิภาคให้เกิดการเติบโต ซึ่งงาน ProPak Asia 2023 นับว่าเป็นปีที่พลิกฟื้นจากสถานการณ์โควิดได้อย่างรวดเร็ว มีผู้ร่วมจัดแสดงงานถึง 1,800 รายจาก 45 ประเทศ และมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 58,555 คน จาก 75 ประเทศทั่วโลก

ส่วนงาน ProPak Asia 2024 ยังคงความเป็นงานแสดงเทคโนโลยีด้านกระบวนการผลิต การแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ชั้นนำระดับเอเชีย เป็นงานที่จะตอบโจทย์ครบทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และห่วยโซ่อุปทาน (Supply Chain)ของเทคโนโลยีกระบวนการแปรรูปอาหาร บรรจุภัณฑ์ การจัดเก็บ และ การขนส่ง เรียกได้ว่าครบตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ สำหรับผู้ประกอบการทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็น Start Up, SME, ธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถเข้ามาชมนวัตกรรม เทคโนโลยี อัพเดทเทรนด์ และ ความรู้ใหม่ เพื่อนำไปต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า

สำหรับแนวคิดของการจัดงาน ProPak Asia 2024 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ยกระดับความสำเร็จในกระบวนการผลิตและบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน ด้วยแนวคิด นวัตกรรม และ การลงทุน” (Sustainably Empowering Processing & Packaging Success with Ideation, Innovation and Investment) เพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงบัลดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการจะได้พบนวัตกรรมต่างๆ เทคโนโลยีการผลิต การแปรรูปเพื่อไปถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) การเลือกใช้วัสดุ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ และอื่นๆ ไปต่อยอดลงทุนให้ธุรกิจประสบ

ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน ส่วนกลุ่มผู้เข้าร่วมงานหลักของ ProPak Asia มาจากกลุ่มผู้ประกอบการอาหาร เครื่องดื่ม ยา เครื่องสำอาง สินค้าอุปโภค บริโภค ที่สนใจเข้ามาชมงานเป็นทางลัดแก่ผู้สนใจไม่ต้องเดินทางไปดูงานถึงยุโรป หรือ อเมริกา แต่สามารถอัพเดทเทรนด์เทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์จากตัวจริงในอุตสาหกรรม พบปะคู่ค้า สร้างโอกาสและร่วมสร้างเครือข่ายธุรกิจระดับนานาชาติได้ นอกจาก ProPak Asia จะเป็นงานที่จัดขึ้นต่อเนื่องทุกปีแล้ว ProPak Asia 2024 ครั้งนี้เป็นการจัดงานครั้งที่ 31 เป็นจุดหมายปลายทางของผู้ประกอบการที่ต้องเข้าร่วมงานในทุกครั้งของการจัดงานและเป็นงานใหญ่สำคัญของอุตสาหกรรมการผลิตโลก ด้วยการเป็นเวทีเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจและอุตสาหกรรมทั้งระบบ

งาน ProPak Asia 2024 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 มิถุนายน 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ

สำหรับงานในครั้งนี้ แบ่งพื้นที่จัดแสดงงานเป็น 8 โซน ประกอบด้วย

1) ProcessingTechAsia เทคโนโลยีเพื่อการแปรรูปอาหารปรุงสุก

2) PackagingTechAsia เทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์ และ กระบวนการบรรจุภัณฑ์

3) DrinkTechAsia เทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม

4) PharmaTechAsia เทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมยา

5) Lab&TestAsia เทคโนโลยีการตรวจสอบ และ ควบคุมมาตรฐานการผลิต ผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์

6) PackagingSolutionAsia เทคโนโลยีการผลิตบรรจุภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์สำเร็จรูป

7) Coding,Marking&LabellingAsia เทคโนโลยีเพื่อการเขียนรหัส, ติดป้าย, และปักหมายเลขบนสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ต่างๆ

8) Coldchain,Logistics,Warehousing&FactoryAsia เทคโนโลยีเพื่อการขนส่ง จัดเก็บสินค้า และ เทคโนโลยีที่สนับสนุนกระบวนการผลิต

โดยใช้พื้นที่จัดงานฯ เต็มพื้นที่ของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ภายในงานมีการจัดแสดงพาวิลเลียนนานาชาติถึง 14 กลุ่มประเทศ อาทิ ออสเตรีย บาวาเรีย ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ อเมริกาเหนือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย สิงคโปร์ และ ไต้หวัน โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของแต่ละประเทศในการเข้าร่วมงานฯ เพื่อนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาจัดแสดง นอกจากนั้นยังมีบริษัทชั้นนำของโลกยืนยันเข้าร่วมจัดแสดงงานแล้วกว่า 2,000 แบรนด์ จาก 45 ประเทศ ทำให้คาดว่าในปีนี้จะมีผู้เข้าร่วมชมงานไม่ต่ำกว่า 60,000 คน จึงอยากเชิญชวนให้ผู้ประกอบการและผู้สนใจในอุตสาหกรรมการผลิต แปรรูป และบรรจุภัณฑ์ ไม่พลาดที่จะเข้าร่วมงาน ProPak Asia 2024 ในครั้งนี้

ผู้สนใจรายละเอียดการจัดงานและต้องการลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อเข้าชมงาน ProPak Asia 2024 สามารถลงทะเบียนได้ที่ www.propakasia.com

กรุงเทพฯ 17 มกราคม 2567 – โรงพยาบาลวิมุต โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำใจกลางกรุงเทพฯ เปิดศักราชใหม่ปี 2567 ประกาศเดินหน้ายกระดับการดูแลรักษาสุขภาพแบบองค์รวมเพื่อช่วยแก้ปัญหาด้านสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ และครอบคลุม ภายใต้กลยุทธ์ “Outside In” มุ่งเน้นการขับเคลื่อนธุรกิจเฮลท์แคร์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้ใช้บริการยิ่งขึ้น ตลอดจนเทรนด์สุขภาพยุคใหม่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ “แอมิลิ (AMILI)” บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพด้านจุลชีพในลำไส้ จากความร่วมมือครั้งนี้ รพ.วิมุต พร้อมนำนวัตกรรมในการตรวจ “ไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหาร” มาใช้ในโรงพยาบาล ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีการดูแลเชิงป้องกันที่กำลังมาแรงและเป็นความหวังใหม่ในการป้องกันโรคร้ายในอนาคต นอกจากนี้ รพ. วิมุต ยังเผยตัวเลขการเติบโตของตลาดไมโครไบโอม มั่นใจนวัตกรรมใหม่ช่วยยกระดับบริการทางการแพทย์ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น พร้อมร่วมเป็นหนึ่งกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพของไทย คาดรายได้ปี 2567 ของศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลวิมุตจะเติบโตกว่า 30% จากการเดินหน้าพัฒนาธุรกิจให้บริการสุขภาพแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งการป้องกัน รักษา และฟื้นฟู

ไมโครไบโอม (Microbiome) คือชื่อเรียกระบบนิเวศของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นแหล่งรวม โพรไบโอติกทั้งตัวดีและไม่ดีที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย โดยหากไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหาร (Gut Microbiome) มีความสมดุล กล่าวคือ มีจุลินทรีย์ดีหลากหลายสายพันธุ์ในจำนวนมากพอ ก็จะช่วยทำหน้าที่ย่อยอาหาร เสริมการเผาผลาญ ดูแลระบบภูมิคุ้มกัน สังเคราะห์วิตามิน และช่วยปรับสมดุลให้ร่างกาย สมอง และอารมณ์ได้ โดยไมโครไบโอมได้รับการศึกษาวิจัยมาอย่างต่อเนื่องและพบว่าการรักษาสมดุลของไมโครไบโอมในลำไส้ เป็นวิธีที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโดยรวมเพื่อป้องกันโรคร้ายและสร้างสุขภาพกายและใจที่ดีในระยะยาว ปัจจุบัน วงการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และความงามทั่วโลกให้ความสนใจการดูแลสุขภาพด้วยการปรับสมดุลจุลินทรีย์ให้ร่างกายทั้งภายในและภายนอก

 

นายแพทย์พิชิต กังวลกิจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต จำกัด กล่าวว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รพ. วิมุต เล็งเห็นถึงการตื่นตัวของคนไทยและทั่วโลกในเรื่องการดูแลสุขภาพก่อนล้มป่วย ปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยวิเคราะห์ไมโครไบโอมในลำไส้กำลังเป็นเทรนด์สุขภาพมาแรง โดย Research Reports World (RRW) เผยว่าตลาดไมโครไบโอมทั่วโลกมีมูลค่าถึง 743.21 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 และจะแตะ 3,523.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2571 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตแบบทบต้น (CAGR) ที่ 29.61%

“รพ. วิมุต มุ่งเสาะหานวัตกรรมใหม่ ๆ มาเสริมทัพบริการด้านสุขภาพให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดภายใต้กลยุทธ์ Outside-In เดินหน้าพัฒนาธุรกิจจากมุมมองของผู้ใช้บริการ เราได้ลงนามร่วมทุนกับแอมิลิ (AMILI) บริษัทเฮลท์เทคชั้นนำจากสิงคโปร์ที่พัฒนาเทคโนโลยีด้านจุลชีพในลำไส้ เพื่อเปิดตัว Gut Microbiome Test โปรแกรมตรวจสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้เฉพาะบุคคลที่โรงพยาบาล พร้อมมุ่งช่วยให้คนไทยเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยและการรักษาอย่างตรงจุด ช่วยให้แพทย์สามารถแนะนำการปรับสมดุลจุลินทรีย์ให้เหมาะกับแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในอนาคต รพ. วิมุต มีแผนจัดตั้งห้องปฏิบัติการวิจัย

ด้านไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหารแห่งแรกในไทยร่วมกับ AMILI ช่วยยกระดับการศึกษาไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหารจากกลุ่มตัวอย่างคนไทยเพื่อนำข้อมูลไปใช้พัฒนาการรักษาโรคและผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับคนไทยโดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาอาหารเสริมโพรไบโอติกส์เพื่อเสริมการรักษาโรคทางเดินอาหาร ลำไส้แปรปรวน และโรคอ้วน” นายแพทย์พิชิต กังวลกิจ กล่าวเสริม

 

นายแพทย์เจเรมี ลิมป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง AMILI กล่าวว่า “AMILI มีฐานข้อมูลและตัวอย่างไมโคร ไบโอมจากคนหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งยังเป็นธนาคารไมโครไบโอมแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราได้พัฒนา "AMILI PRIME" เครื่องมือวิเคราะห์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท ที่ทำการทดสอบ วินิจฉัย ทำนายอัลกอริธึม และปรับเปลี่ยนไมโครไบโอมได้อย่างแม่นยำ ความร่วมมือครั้งนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของ รพ.วิมุตในการยกระดับบริการสุขภาพขึ้นไป อีกขั้นผ่านนวัตกรรมการตรวจไมโครไบโอม เราจะร่วมกันนำเสนอการตรวจสอบสุขภาพลำไส้และการนำวิธีปลูกถ่ายเชื้อจุลินทรีย์ในอุจจาระ (Fecal Microbiota Transplantation: FMT) เข้าสู่ตลาดประเทศไทย AMILI พร้อมทำงานร่วมกับโรงพยาบาลเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง ตามความตั้งใจของ รพ. วิมุตในการดูแลให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน”

 

นายแพทย์กุลเทพ รัตนโกวิท แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหารและตับระบบประสาทและการเคลื่อนไหวทางเดินอาหาร หัวหน้าศูนย์ทางเดินอาหารและตับ กล่าวว่า “หลายคนอาจไม่ทราบว่าการดูแลสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการทำงานที่เป็นปกติของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย หากจุลินทรีย์ในลำไส้เกิดภาวะไม่สมดุล เราอาจเผชิญกับอาการเจ็บป่วยต่างๆ อาทิ ลำไส้แปรปรวน ท้องผูก ท้องเสียเป็นประจำ ระบบการเผาผลาญไม่ดี อาจทำให้เสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ง่าย ๆหรือมีปัญหาเรื่องระบบภูมิคุ้มกันโดยไม่ทราบสาเหตุ Gut Microbiome Test ที่ รพ.วิมุต ช่วยตรวจจุลินทรีย์ในลำไส้ผ่านการตรวจอุจจาระ เพื่อให้แพทย์สามารถวิเคราะห์ความสมดุล (Balance) และความหลากหลาย (Diversity) ของจุลินทรีย์ในลำไส้ และวางแผนการปรับสมดุลในลำไส้ ซึ่งรวมถึงการปรับการรับประทานอาหารและปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้คนไข้แต่ละคนได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ อาจแนะนำให้รับประทานโพรไบโอติกส์ที่มีสูตรและสายพันธุ์จุลินทรีย์ที่เหมาะกับสุขภาพลำไส้ตามผลการตรวจจุลินทรีย์เฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากโพรไบโอติกส์”

สำหรับผู้ที่สนใจโปรแกรม Gut Microbiome Test ตรวจสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ สามารถติดต่อศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ชั้น 5 โรงพยาบาลวิมุต ถนนพหลโยธิน พร้อมพบกับโปรโมชันพิเศษช่วงเปิดตัวโปรแกรม ในราคาเริ่มต้น 18,000 บาท สามารถโทรนัดหมาย 02-079-0034 เวลา 07.00-17.00 น. หรือใช้บริการ Telemedicine ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ผ่าน ViMUT App คลิก https://bit.ly/372qexX

“กรุงศรี ฟินโนเวต” เผยผลการดำเนินงานตลอด 12 เดือนของปี 2023 ที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จสามารถ deploy capital ได้มากถึง 75% จากแผนงานเป้าการลงทุนตามที่ได้ตั้งเป้าไว้ และปี 2024 พร้อมทะยานอย่างต่อเนื่อง วางกลยุทธ์เสริมแกร่งครบ 360 องศา เพื่อที่จะนำพาสตาร์ทอัพไทยให้เติบโตมากที่สุดอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน

“คุณแซม ตันสกุล” MD, Krungsri Finnovate ที่มีประสบการณ์ ในแวดวงธนาคารมานานกว่า 20 ปี เผยว่า “ปี 2023 นั้น Krungsri Finnovate ได้ลงทุนในสตาร์ทอัพเรื่อยมา พร้อมกับเปิด Finnoventure Fund กองทุนสตาร์ทอัพของไทยที่เปิดให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาร่วมลงทุนได้ บนความตั้งใจที่ต้องการสร้างไทยสตาร์ทอัพให้เป็น “ยูนิคอร์น” เพราะหมายความว่าเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดันเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้น ถึงแม้ว่าในปี 2023 กลุ่มสตาร์ทอัพ ในไทยอาจดูเงียบเหงา เนื่องจากเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงขาลง แต่ “Krungsri Finnovate” ก็ไม่ได้หยุดการลงทุน โดยปีที่ผ่านมา (รวมทั้งปี2022 และ 2023) เราได้ลงทุนไปแล้วประมาณ 1,200 ล้านบาท ใน 14 กิจการสตาร์ทอัพจากกองทุนที่ชื่อว่า “Finnoventure Private Equity Trust 1” นอกจากนี้ต้นปีที่ผ่านมาได้เปิด Accelerator ที่ชื่อว่า Krungsri Upcelerator ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยรับสตาร์ทอัพจากภาคเหนือเข้ามาร่วมบ่มเพาะด้วยกัน”

“เช่นเดียวกัน ปี 2023 “Krungsri Finnovate” ก็ถือว่าเป็นหน่วยงาน CVC ที่ได้รับความน่าเชื่อถือ จนหลายองค์กรต่างมอบรางวัลให้กับเรา ผมขอเป็นตัวแทน ขอขอบคุณมากๆ ที่เห็นความตั้งใจของทีมงาน ไม่ว่าจะเป็นรางวัลจาก Digital Banking, หรือว่า Innovation Awards ได้โอกาสพูดบนเวทีของสื่อระดับประเทศอย่าง The People เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ภายใต้บริบทของ “Game Changer” ภูมิใจมากที่เราได้รับโอกาสเป็นองค์กร Game Changer ของประเทศไทย ที่จะสร้าง Startup ของประเทศไทย ให้เป็น Unicorn แล้วก็เข้าสู่ IPO และล่าสุดกับการได้รับการคัดเลือกส่งท้ายปีของ Chosen by The People 2023 หมวดเทคโนโลยี ถือเป็นกำลังใจให้พวกเราตั้งใจมากยิ่งขึ้นไปครับ”

นอกจากนี้ “คุณแซม ตันสกุล” MD, Krungsri Finnovate ยังได้เผยถึงแผนงานปี 2024 ว่า “ปี 2024 เรายังคงให้ความสำคัญกับ IMPACT และ Digital Transformation เพื่อลงทุนในสตาร์ทอัพตัวเล็กๆ ที่จะทำร่วมกับ "คุณป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ" เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพเติบโตและประสบความสำเร็จด้วยการสร้างความยั่งยืน พัฒนาเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดยเตรียมเปิดกองทุนใหม่ที่ชื่อว่า “Finno Efra Fund” เพื่อระดมทุน ระดมเงินเข้ามา เพื่อที่จะลงทุนในกิจการสตาร์ทอัพที่อยู่ใน Early Stage ตั้งแต่ Seed จนถึง Pre-Series A โดยโฟกัสไปที่กิจการในไทยก่อนเป็นหลัก และอาจรวมถึงเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้นด้วย นอกจากนี้ “Krungsri Finnovate” ยังมี FINNOVERSE & FUTURISTIC FUND ที่จะลงทุนสูงสุด 6 รายการ ในที่นี้เป็น 3 การลงทุนใหม่ สร้าง ESG ที่เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน ซึ่งมาจาก Environment, Social, และ Governance และสตาร์ทอัพในกลุ่มเทคโนโลยีรักษ์โลกที่น่าจับตามองที่สุดในตอนนี้ ในเชิงกลยุทธ์ไปสู่ AI และความปลอดภัยทางไซเบอร์”

“นอกจากเปิดกองทุนแล้ว ก็จะเปิด Accelerator ที่ชื่อว่า “Finno Efra Accelerator” เพื่อให้สตาร์ทอัพเหล่านี้ มาบ่มเพาะในโปรแกรมของเรา และก็ได้รับเงินทุนเช่นเดียวกัน โดยมีเป้าหมายจะลงทุนทั้งหมดถึง 50 กิจการสตาร์ทอัพ เพื่อให้เติบโต จาก Early Stage เข้าสู่ Series A ถัดไป ซึ่ง Series A จะมีกองทุนแม่ในการรับเข้าไปลงทุนต่อ”

 

“สำหรับ Accelerator ปีหน้า เราจะมีอย่างน้อย 10 สตาร์ทอัพ ที่จะได้เข้าร่วมในกิจกรรม Accelerator ที่ชื่อว่า “Finno Efra Accelerator” และเมื่อผ่านโรงเรียนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ก็มีสิทธิ์มากที่จะได้รับการลงทุนต่อในกองทุนนี้ โดยจะสอนเป็นเวลา 4 เดือน มีเมนเทอร์ โดยเลือกสตาร์ทอัพเข้าทีม และจะเริ่มการสอนตั้งแต่เรื่อง mindset และการจะเป็นผู้ประกอบการต้องทำอย่างไรบ้าง ให้ลงตลาดจริง สอนเรื่องการพัฒนาโปรดักส์ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง

“แน่นอนสำหรับสตาร์ทอัพ ตอนนี้เตรียมตัวได้เลย ถ้าท่านอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า Seed Stage ถึง Pre-Series A ก็คือเริ่มมี Traction แล้ว เริ่มขายของได้แล้ว แล้วก็อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า Digital Transformation หรือกลุ่ม Impact ไม่ว่าจะเป็น Tech อะไรก็แล้วแต่ สามารถเตรียมตัว เตรียมความพร้อมที่จะสมัคร ติดตามพวกเราได้ใน Facebook: Krungsri Finnovate และติดตามเรื่องการสมัครได้ภายในต้นปี โดย “Krungsri Finnovate” หวังว่าจะได้รับการตอบรับอย่างมากมาย และแน่นอนผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่ 10 ทีมสุดท้าย และสามารถจบ Accelerator อย่างสวยงาม ก็จะได้รับเงินลงทุนจากกองทุน Finno Efra Fund เช่นเดียวกัน”

“สุดท้ายแล้ว “Krungsri Finnovate” ยังมีแผนกลยุทธ์ในปี 2024 เกี่ยวกับ ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ และนักลงทุนสัมพันธ์ (Strategic Partnership & Investor Relations) เพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำในภูมิภาค โดยมี

สตาร์ทอัพกว่า 150 โครงการ และสร้าง 1 เมกะโปรเจ็กต์ กิจการร่วมค้า (Joint Venture) และ New Business Model โดยพร้อมเทหมดหน้าตักลงทุนอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท” คุณแซม ตันสกุล ปิดท้าย

วันนี้ (23 มกราคม 2567) นางพิทยา วรปัญญาสกุล (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร "เคทีซี" หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) รับมอบรางวัลมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุด (Thailand’s Top Corporate Brand Value 2023) ในหมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ ประจำปี 2566 ด้วยมูลค่าแบรนด์ 92,899 ล้านบาท จากศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร (ขวา) คณบดีและอาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 5 ที่เคทีซีได้รับรางวัลดังกล่าว ในงาน ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brands 2023 โดยมีศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.กุณฑลี รื่นรมย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกก์ ภทรธนกุล หัวหน้าภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ริเริ่มงานวิจัย “การวัดมูลค่าและจัดอันดับแบรนด์องค์กรในอาเซียนและประเทศไทย” ร่วมแสดงความยินดี ณ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รางวัล ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brand เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย โดยหลักสูตร Master in Branding and Marketing - MBM คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เพื่อพัฒนาการวัดมูลค่าแบรนด์องค์กรอย่างเป็นระบบในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม จากการคำนวณด้วยเครื่องมือวัดค่าแบรนด์องค์กร CBS Valuation (Corporate  Brand Success Valuation) ที่บูรณาการแนวคิดด้านการตลาด การเงินและการบัญชีเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถวัดมูลค่าแบรนด์องค์กรออกมาเป็นตัวเลขทางการเงินได้ เพื่อส่งเสริมให้องค์กรธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างแบรนด์องค์กรให้เข้มแข็งเพื่อความยั่งยืนในภูมิภาค 

ธนาคารกรุงไทย เทศบาลนครระยอง และกองทุนการออมแห่งชาติ ร่วมจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ “การวางแผนทางการเงิน เตรียมความพร้อมสู่วัยเกษียณ” โดยให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชนที่เข้าสู่วัยผู้สูงอายุ (อายุ 45 -59 ปี) ในประเด็นรู้ทันภัยการเงิน ผลิตภัณฑ์ และบริการทางการเงิน เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ สนับสนุนให้ผู้สูงวัยสามารถปรับตัวอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีคุณค่าและมีความสุข ณ ห้องสมุดประชาชน เทศบาลนครระยอง

ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทยได้นำจุดแข็งในด้านความรู้ทางการเงิน ผลิตภัณฑ์ และบริการทางการเงินที่ตอบสนองความต้องการของชุมชน ผ่านการดำเนินงานของสาขาในแต่ละพื้นที่ และการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน โดยส่งมอบองค์ความรู้การเงินขั้นพื้นฐาน แนวทางการจัดการหนี้ การเพิ่มรายได้ให้กับครัวเรือน รายรับรายจ่าย เพื่อปลูกฝังและวางรากฐานความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการเงินและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในการใช้จ่ายและป้องกันปัญหาภัยคุกคามทางการเงิน ตลอดจนส่งเสริมให้คนไทยเห็นความสำคัญเรื่องการออม และมีวินัยทางการเงิน อันจะส่งผลดีต่อภาพรวมในการพัฒนาประเทศ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “กรุงไทยเคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”

 

X

Right Click

No right click