December 18, 2025

เคทีซีร่วมส่งเสริมคนไทยใส่ใจสุขภาพจับมือพันธมิตรชั้นนำร้านเสื้อผ้าและอุปกรณ์ออกกำลังกายมอบส่วนลดสูงสุด 15% และลดเพิ่มอีก 15% เมื่อใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่ายต่อเซลส์สลิป พร้อมใช้สิทธิ์ “อีซี่ อี - รีซีท” ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดอีก 50,000 บาท

นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยให้ความสำคัญและใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ส่งผลต่อยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายทั้งหมด ปี 2566 เติบโต 20% และจากการที่รัฐบาลได้ออกมาตรการ “อีซี่ อี – รีซีท” (Easy E-Receipt) โดยให้สิทธิ์กับผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ยกเว้นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการมาหักลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาท เคทีซีจึงได้ร่วมกับพันธมิตรชั้นนำที่ร่วมรายการที่สามารถออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์มอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 – 15 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อเป็นการสนับสนุนมาตรการของภาครัฐและกระตุ้นให้เกิดการบริโภคในประเทศ โดยมีรายละเอียดดังนี้

ร้านเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาชั้นนำในเครือ ซูเปอร์สปอร์ต (Supersports) และรันแม็กซ์ (RunmaxX) สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภทรับสิทธิพิเศษดังนี้ 1) ใช้คะแนน KTC FOREVER 1 คะแนน แลกรับ e-Coupon ส่วนลดสูงสุด 400 บาท ผ่านแอป KTC Mobile เพื่อใช้เป็นส่วนลดสินค้าราคาปกติที่ร่วมรายการตามเงื่อนไข 2) แลกรับส่วนลดเพิ่ม 13% เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี และใช้คะแนน KTC FOREVER จำนวนเท่ายอดการใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ต่อเซลส์สลิปตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 – วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.ktc.co.th/promotion/sports/sports-apparel-accessories/supersports

สำหรับร้านเสื้อผ้าและอุปกรณ์ชั้นนำในเครือเรฟ กรุ๊ป (REV GROUP) ประกอบด้วย แชมป์เปี้ยน (Champion) / โฮก้า (HOKA) / เรฟ รันเนอร์ (REV RUNNR) / ซอคคือนี่ ( saucony) / สแลมเมอร์ส (SLAMMERS) / เทวา (TEVA) / โอ๊คลี่ย์ (Oakley ) / กู้ดเดอร์ ซันกลาสซิส (goodr sunglasses)

สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี - เรฟ วีซ่า แพลทินัม และเคทีซี - เรฟ แพลทินัม มาสเตอร์การ์ด ได้รับสิทธิพิเศษดังนี้ 1) รับส่วนลด 15% เฉพาะสินค้าที่ร่วมรายการ และ 2) แลกรับส่วนลดเพิ่ม 15% เมื่อใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตต่อเซลส์สลิป (เฉพาะชำระเต็มจำนวน) สำหรับบัตรเครดิตเคทีซีประเภทอื่นๆ รับสิทธิพิเศษดังนี้ 1) รับส่วนลด 10% เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิป เฉพาะสินค้าราคาปกติที่ร่วมรายการ 2) แลกรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 15% เมื่อมียอดใช้จ่ายต่อเซลส์สลิป 4,000 บาทขึ้นไปและใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้ต่อเซลส์สลิป หรือแลกรับส่วนลดเพิ่ม 13 % เมื่อมียอดใช้จ่ายต่อเซลส์สลิป 1 – 3,999 บาทและใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่ายต่อเซลส์สลิป ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 – วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://www.ktc.co.th/promotion/sports/sports-apparel-accessories/ktc-rev-group

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000  สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ 

LINE TODAY เปิดอินไซต์พฤติกรรมบริโภคคอนเทนต์ - ข่าวสารของคนไทยบนแพลตฟอร์มในรอบปีที่ผ่านมา พบ “การเมือง – ดวง – บันเทิง” ครองหมวดเนื้อหามาแรงที่สุด พร้อมเผยความชอบตามช่วงวัย พบผู้อ่านวัยต่ำกว่า 30 ปีสนใจชอบ “บันเทิงเอเชีย” ขณะที่ก็ตื่นตัวเรื่องการเมืองไม่แพ้กัน

 

เผยท็อป 3 หมวดคอนเทนต์คนไทยนิยมเสพในรอบปี

1) การเมือง การเลือกตั้งในปีที่ผ่านมาถือเป็นวาระสำคัญของประเทศที่ทำให้เรื่องการเมืองอยู่ในความสนใจของคนทุกช่วงวัย ตามด้วยเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องเกิดขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าร้อนระอุแบบไม่แผ่ว ส่งให้คอนเทนต์การเมืองถูกอ่านรวมกว่า 514 ล้านวิว นอกจากนั้น ยอดวิวการเข้าชมไลฟ์นับผลคะแนนเลือกตั้งยังพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์กว่า 5.4 ล้านวิว โดยบุคคลและคำสำคัญที่ถูกคลิกอ่านมากที่สุด ได้แก่ “ก้าวไกล - พิธา – ทักษิณกลับไทย - ดิจิทัลวอลเล็ต และ สมรสเท่าเทียม”

2) ดวงชะตาราศี เป็นหมวดที่ไม่เคยหลุดออกจากความสนใจคนไทยไม่ว่าจะปีไหน โดยผู้ใช้งานนิยมติดตามคอนเทนต์ดวงประจำวัน สีมงคล เสี่ยงเซียมซี และตรวจดวงชะตาจากคำทำนายจากหมอดูชื่อดัง รวมมียอดวิวมากถึง 473 ล้านครั้ง โดยหมอดูที่ผู้อ่านโหวตชื่นชอบที่สุดได้แก่ “หมอไก่ พ.พาทินี”

3) บันเทิง หมวดเนื้อหาที่มาพร้อมกับความสนุกในทุกแง่มุมของวงการบันเทิง จึงไม่แปลกใจที่จะอยู่ในความสนใจคนทุกช่วงวัย ซึ่งเฉพาะบันเทิงไทยหมวดเดียวก็มียอดวิวรวมกว่า 316 ล้านวิว นอกจากนี้

“ลิซ่า แบล็กพิงค์” และ “แอฟ ทักษอร” ยังรั้งตำแหน่งคนบันเทิงที่มีเรื่องราวถูกติดตามอ่านมากที่สุด ขณะที่คอนเทนต์เกี่ยวกับภาพยนตร์ที่ถูกอ่านมากที่สุด ได้แก่ “สัปเหร่อ” และละครไทย ได้แก่ “พรหมลิขิต” ที่มีประเด็นร้อนหลายแง่ตั้งแต่ต้นจนจบ ด้าน “พีพี กฤษฏ์ – บิวกิ้น พุฒิพงศ์” ครองโหวตศิลปินแห่งปี และฝั่ง “นางงาม” หัวข้อที่คึกคักไม่แพ้กัน เพราะมีการเข้าชมไลฟ์ Miss Universe Thailand 2023 รวมกว่า 1.5 ล้านวิว โดย “แอนโทเนีย โพซิ้ว” ซิวมง “ข่าวบันเทิงแห่งปี” และ “อิงฟ้า วราหะ” คว้าตำแหน่ง “แฮชแท็กแห่งปี” จากคะแนนโหวต

นอกจากนี้ ยังพบว่าคอนเทนต์หมวด “สุขภาพ” มีการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยผู้ใช้งานติดตามบทความเกี่ยวกับสุขภาพจิตและการดูแลตนเอง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับฝุ่น PM2.5 ที่อยู่ในความกังวลคนไทยอย่างต่อเนื่อง มียอดอ่านมากถึง 187 ล้านวิว จากเฉพาะเรื่องฝุ่น

 

เผยพฤติกรรมผู้อ่านจากระบบ AI ช่วงวัยไหน ชอบอ่านอะไร

· กลุ่มผู้อ่านอายุต่ำกว่า 20 ปี สนใจเนื้อหาบันเทิง และ ข่าวทั่วไป เป็นสัดส่วนถึง 80% ของเนื้อหาที่คนกลุ่มนี้บริโภค

· กลุ่มผู้อ่านอายุ 20 – 30 ปี สนใจเนื้อหาบันเทิงมากที่สุด โดยเฉพาะ “บันเทิงเอเชีย” แต่ก็ตื่นตัวติดตามเรื่องการเมืองเพิ่มขึ้นถึง 67% ในเวลาเดียวกัน

· กลุ่มผู้อ่านอายุ 30 – 40 ปีขึ้นไป สนใจคอนเทนต์ดวงชะตาราศี ลอตเตอรี ไลฟ์สไตล์-กินเที่ยว

· กลุ่มผู้อ่านวัย 50 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มวัยที่มีความสนใจโดยเฉลี่ยหลากหลายที่สุด ตั้งแต่เศรษฐกิจ กีฬา สังคม การเมือง ต่างประเทศ และบันเทิง

ชมวิดีโอ A Year in Review คนไทยชอบคอนเทนต์ข่าวสารอะไรในปีที่ผ่านมา โดย LINE TODAY ได้ที่: https://lin.ee/aWaox3l/wcvn

ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ในฐานะประธานศูนย์ยุทธศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการสื่อสาร (DeSTIC) พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์จะยกระดับงานด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการเข้าถึงปัญหาของประชาชนและการสนับสนุนการทำงานของทีมงานในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ โดยขณะนี้จะเพิ่มช่องทาง LINE Official เป็นอีกหนึ่งช่องทางหลักในการติดต่อสื่อสารกับพี่น้องประชาชน โดยคาดว่าภายในเดือนมีนาคม 2567 นี้จะมีผู้สนใจขอเป็น FRIEND กับ LINE Official Account พรรคประชาธิปัตย์เพิ่มขึ้นมากกว่า 1 หมื่นคน

“LINE Official Account พรรคประชาธิปัตย์ จะเป็น One Stop Services ถือเป็นช่องทางหลักในการติดต่อออนไลน์ระหว่างสมาชิกหรือบุคคลทั่วไปกับพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากได้รับข่าวสารและความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ใครมีอะไรที่อยากแสดงความคิดเห็น อยากขอความช่วยเหลือ แจ้งปัญหา หรือเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ ก็สามารถติดต่อผ่านช่องทาง LINE ได้เลย” ศ. ดร.สุชัชวีร์ กล่าว

ศ. ดร.สุชัชวีร์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องการยกระดับการสื่อสารให้เข้าถึงประชาชน โดยใช้เทคโนโลยีที่ประชาชนคุ้นเคย พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมกับเครือข่ายต่าง ๆ ทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน หรือเครือข่ายภาคประชาชน และแฟนคลับประชาธิปัตย์ ขอเป็น FRIEND อีกครั้งกับ LINE Official Account พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อมาร่วมกิจกรรมและเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศไทย

นอกจากนี้ศูนย์ DeSTIC กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมพัฒนาแอปพลิเคชั่นของพรรคเพื่อให้สมาชิกพรรคสามารถติดต่อสื่อสารกับพรรคได้มากขึ้นและรวดเร็วขึ้น รวมไปถึงการปรับปรุงเว็บไซต์ โดยจะมีการเพิ่มเนื้อหาข้อมูลประวัติศาสตร์ของพรรค รวมไปถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น ความรู้ด้านกฎหมาย และจะมีระบบการแจ้งเตือนที่จะส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน เช่น ระบบการแจ้งเตือนเรื่องอากาศ หรือฝุ่นพิษ เป็นต้น

ทั้งนี้พี่น้องประชาชนสามารถขอเป็น FRIEND อีกครั้ง กับ LINE Official Account พรรคประชาธิปัตย์ ที่จะเป็นช่องทางหลักในการติดต่อออนไลน์ โดยสามารถติดต่อสอบถามเรื่องต่าง ๆ เช่น การสมัครเป็นสมาชิกพรรค เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้รับข่าวสารและความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ ในการทำงานด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องในอนาคต เพิ่มเป็นเพื่อนได้ที่ LINE OA ID: @democratpartyth

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในปี 2569 การโจมตีแบบ Deepfakes ที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์กับเทคโนโลยีระบุตัวตนบนใบหน้าหรือ Face Biometrics เป็นเหตุให้องค์กรประมาณ 30% มองว่าโซลูชันการยืนยันและพิสูจน์ตัวตนจะไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไปหากนำมาใช้แบบเอกเทศ

มร. อากิฟ ข่าน รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีจุดเปลี่ยนสำคัญด้าน AI เกิดขึ้นหลายประการ นั่นทำให้เกิดการสร้างภาพสังเคราะห์ขึ้นได้ โดยภาพใบหน้าคนจริง ๆ ที่สร้างขึ้นปลอม ๆ เหล่านี้ หรือที่เรียกว่า Deepfakes นั้น เปิดโอกาสให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถนำมาใช้เพื่อทำลายระบบการพิสูจน์ทราบตัวตนด้วยไบโอเมตริกซ์หรือทำให้ระบบใช้การได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ผลที่ตามมาก็คือ องค์กรต่าง ๆ อาจเริ่มตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของโซลูชันการยืนยันและพิสูจน์ตัวตน เนื่องจากไม่สามารถบอกได้ว่าใบหน้าบุคคลที่ได้รับการยืนยันนั้นเป็นบุคคลที่มีชีวิตจริงหรือเป็นของปลอมกันแน่”

กระบวนการยืนยันและพิสูจน์ตัวตนโดยใช้เทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์บนใบหน้าในวันนี้อาศัยการตรวจจับการโจมตีหลอก หรือ Presentation Attack Detection (PAD) เพื่อประเมินการมีชีวิตอยู่จริงของผู้ใช้ “มาตรฐานและกระบวนการทดสอบในปัจจุบันเพื่อกำหนดและประเมินกลไกของการตรวจจับการโจมตีหลอกนั้นไม่ครอบคลุมการโจมตีผ่านดิจิทัลหรือ Digital Injection Attacks ที่มาจาก Deepfakes ที่สร้างโดย AI ที่สามารถพัฒนาขึ้นได้แล้ววันนี้” มร. ข่าน กล่าวเพิ่มเติม

ผลการวิจัยการ์ทเนอร์ชี้ว่าการโจมตีแบบ Presentation Attack ที่เป็นการปลอมแปลงข้อมูลอัตลักษณ์ทางกายภาพของบุคคลเป็นการโจมตีที่พบบ่อยที่สุด ทว่าการโจมตีแบบ Injection Attack ที่เป็นการแทรกโค้ดลงในโปรแกรมหรือแบบสอบถาม หรือมัลแวร์ในคอมพิวเตอร์เพื่อควบคุมคำสั่งผ่านระยะไกล ในปี 2566 มีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 200% ดังนั้นเพื่อป้องกันการโจมตีดังกล่าวองค์กรจะต้องใช้การตรวจจับการโจมตีแบบ Injection Attack Detection (IAD) และการตรวจสอบภาพ หรือ Image Inspection ร่วมด้วย

ใช้การตรวจจับแบบ IAD และเครื่องมือตรวจสอบรูปภาพร่วมกันเพื่อลดภัยคุกคามจาก Deepfake

เพื่อช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถปกป้องตนเองจากภัยคุกคาม Deepfakes ที่พัฒนาขึ้นโดย AI และมีความสามารถเหนือกว่าเทคโนโลยีที่ใช้ในการระบุตัวตนบนใบหน้า ผู้บริหาร CISO และผู้นำจัดการความเสี่ยงต้องเลือกผู้ขายที่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่าพวกเขามีความสามารถ มีแผนการจัดการที่เหนือกว่าคุณภาพมาตรฐาน รวมถึงมีระบบมอนิเตอร์ จัดหมวด และกำหนดปริมาณของภัยคุกคามเกิดใหม่นี้

“องค์กรควรเริ่มกำหนดบรรทัดฐานการควบคุมขั้นต่ำด้วยการทำงานร่วมกับผู้ขายที่มีการลงทุนโดยเฉพาะในด้านการลดผลกระทบจากภัยคุกคาม Deepfake ล่าสุด โดยใช้การตรวจจับการโจมตีแบบ Injection Attack Detection (IAD) ควบคู่ไปกับระบบการตรวจสอบภาพ Image Inspection” มร. ข่าน กล่าวเพิ่มเติม

เมื่อกำหนดกลยุทธ์และบรรทัดฐานการควบคุมพื้นฐานแล้ว ผู้บริหาร CISO และผู้นำทีมการจัดการความเสี่ยงจะต้องรวบรวมความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นเพิ่มเติมและตระหนักถึงสัญญาณที่เป็นภัย อาทิ การระบุการใช้งานอุปกรณ์และการวิเคราะห์พฤติกรรม เพื่อเพิ่มโอกาสการตรวจจับการโจมตีในกระบวนการยืนยันตัวตน

นอกจากนี้ ผู้นำด้านความปลอดภัยและการบริหารความเสี่ยงยังมีบทบาทรับผิดชอบในด้านข้อมูลส่วนบุคคลและการจัดการการเข้าถึงควรมีขั้นตอนดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงการโจมตีแบบ Deepfake ที่ขับเคลื่อนจาก AI โดยเลือกเทคโนโลยีที่สามารถพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงได้หรือนำมาตรการเพิ่มเติมมาใช้เพื่อป้องกันการเข้ายึดบัญชีใช้งาน

บริษัท ฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเอกสาร ประกาศเปิดตัว FUJIFILM IWpro โซลูชันธุรกิจใหม่แบบครบวงจรที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลสู่คนในการจัดการเอกสารได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วยการเป็นพื้นที่ส่วนกลางสำหรับทำงานร่วมกัน เพื่อให้การจัดลำดับการทำงานและเอกสารเป็นไปอย่างฉับไวและมีประสิทธิภาพ ก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านระบบการทำงานแบบเดิมสู่แบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมตั้งเป้าดันธุรกิจของบริษัทฯ ให้โตมากกว่า 100% ภายในปี 2567 ชูเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจ

FUJIFILM IWpro เป็น All-in-One คลาวด์โซลูชันแบบครบวงจรที่มีความปลอดภัยทางข้อมูลสูง ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานรูปแบบดั้งเดิมให้เป็นรูปแบบดิจิทัล ผลิตภัณฑ์โซลูชันธุรกิจใหม่นี้จะมอบพื้นที่การทำงานแบบดิจิทัลร่วมกัน ตลอดจนให้ความสามารถในการพิมพ์งานและจัดการอุปกรณ์การพิมพ์ผ่านคลาวด์ที่หลากหลายแทนการใช้เซิร์ฟเวอร์ เพื่อส่งมอบความสะดวกสบาย และเพิ่มศักยภาพให้กับการจัดการกระบวนการทำงาน เอกสาร และข้อมูล ต่าง ๆ รวมทั้งปรับปรุงรูปแบบการทำงานในระหว่างบุคคลและทีมให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ธุรกิจขนาดย่อมและกลางได้อย่างลงตัว

 

มร. มาซาอากิ ยานากิย่า ประธาน บริษัท ฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ท่ามกลาง ยุคสมัยที่แปรเปลี่ยนไป นวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ ล้วนมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน วิถีการดำเนินธุรกิจ รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่เราต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงจากดิจิทัล (Digital Disruption) และโรคระบาด COVID-19 ธุรกิจและผู้คนต่างต้องพึ่งพานวัตกรรม เทคโนโลยี และซอฟต์แวร์ที่ชาญฉลาด รวดเร็ว และสะดวกสบาย เพื่อให้สามารถแข่งขันหรือทำงานในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที ฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น มองเห็นโอกาสท่ามกลางสถานการณ์เหล่านั้น และพร้อมอำนวยความสะดวกให้กับการทำงานของผู้คนและธุรกิจให้เป็นไปได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเราไม่เพียงแต่เป็น ผู้ให้บริการเครื่องพิมพ์หรืออุปกรณ์สำนักงาน แต่เรายังให้บริการในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเอกสารด้วยโซลูชันซอฟต์แวร์ที่ ถูกพัฒนาขึ้นจากความรู้ความเข้าใจด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีของเรา เพื่อช่วยให้ลูกค้าหรือธุรกิจสามารถจัดการกระบวนการทำงาน รับมือกับความท้าทายต่าง ๆ รวมทั้งแก้ไขปัญหาในการทำงานที่อาจเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง ฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น จึงได้นำเสนอโซลูชันธุรกิจใหม่อย่าง FUJIFILM IWpro ที่จะเข้ามาช่วยบูรณาการและปฏิรูประบบการทำงานในยุคดิจิทัลนี้ ด้วยพื้นที่ทำงานร่วมกันที่รวบรวมทุกฟังก์ชันจำเป็นสำหรับจัดการการทำงานอย่างครบวงจรให้กับ ทุกคน”

FUJIFILM IWpro จะเข้ามาพลิกโฉมรูปแบบการทำงานธุรกิจด้วยการทุกสิ่งและทุกคนให้มารวมตัวกันอยู่ในจุดเดียวกัน ซึ่งสามารถทำงานร่วมกันได้ทั้งภายในและภายนอก เพื่อให้ทุกการขับเคลื่อนธุรกิจเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยโซลูชันธุรกิจใหม่นี้จะมอบประโยชน์หลากหลายด้านให้กับการดำเนินธุรกิจขององค์กร ได้แก่

People – ประโยชน์ต่อพนักงาน

FUJIFILM IWpro มีพื้นที่การทำงานแบบดิจิทัลที่ช่วยให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น โดยผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง แบ่งปัน แสดงความเห็น หรือแก้ไขเอกสารต่าง ๆ ในพื้นที่ส่วนกลางนี้ได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสามารถแบ่งปันสถานะการทำงานให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หรือพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งความสามารถทั้งหมดนี้ช่วยให้พนักงานทำงานคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และยังสามารถทำงานได้จากทุกที่ทุกเวลาด้วยคลาวด์โซลูชัน

Process – ประโยชน์ต่อกระบวนการทำงาน

FUJIFILM IWpro ช่วยลดความซับซ้อนของงานจากเดิมที่ต้องใช้พนักงานหลายคนและใช้เวลานานในการทำงานด้วยฟังก์ชันที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น Capture Solution ที่ใช้เทคโนโลยีการรู้จำอักขระด้วยแสง หรือ OCR (Optical Character Recognition) เข้ามาช่วยดึงข้อมูลที่อยู่บนเอกสารแล้วแปลงให้เป็นข้อมูลอภิพันธุ์ (Meta Data) เพื่อให้ข้อมูลดังกล่าวมีความพร้อมในการนำไปใช้ต่อในระบบต่าง ๆ ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้การอ่านเอกสารและคีย์ข้อมูลเหมือนแต่ก่อน นอกจากนี้ FUJIFILM IWpro ยังสามารถเชื่อมต่อกับโซลูชันอื่น ๆ ได้ อาทิ ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature), ระบบวางแผนทรัพยากรขององค์กร หรือ ERP (Enterprise Resource Planning), และซอฟต์แวร์หุ่นยนต์ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานขั้นตอนถัดไปได้อย่างอัตโนมัติ ทำให้งานเสร็จได้เร็วขึ้น และลดข้อผิดพลาดในกระบวนการทำงาน

Information – ประโยชน์ด้านการจัดการข้อมูล

FUJIFILM IWpro ช่วยในจัดการเอกสารและข้อมูลทั้งหมดในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้อยู่ในที่เดียวกัน โดยผู้ใช้งานสามารถใช้ระบบการจัดการเอกสารที่มีมาให้ หรือเชื่อมต่อไปยังระบบจัดการเอกสารที่องค์กรใช้อยู่เบื้องต้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการจัดเก็บ แบ่งปัน สืบค้น และจัดการเอกสารหรือข้อมูลที่สำคัญ

 

คุณทิพย์อาภา ลชิตาวงศ์ ผู้จัดการการตลาดด้านผลิตภัณฑ์โซลูชัน บริษัท ฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดเผยว่า ฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการหลากหลายประเภทเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คน และส่งเสริมธุรกิจหรือองค์กรให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกสบายในการทำงานให้กับพนักงานของตนเอง โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์โซลูชันที่หลากหลาย อาทิ โซลูชันบริหารจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (Document Management System), โซลูชันจัดการกระบวนการทำงานทางธุรกิจ (Business Process Management), โซลูชันระบบอัตโนมัติทางธุรกิจ (Business Process Automation) ที่ใช้หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) เข้ามาช่วยในการทำงาน, โซลูชันจัดการการพิมพ์และอุปกรณ์ที่สามารถควบคุมจัดการบริหารการพิมพ์งานในสำนักงานได้อย่างคุ้มค่า และใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) รวมถึงการให้บริการด้านการสแกนเอกสาร ซึ่งผลิตภัณฑ์

เหล่านี้ล้วนได้กระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าหลากหลายกลุ่มตั้งแต่ย่านสำนักงานธุรกิจ หรือ CBD (Central Business District) จนถึงย่านนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะหลังวิกฤติ COVID-19

“ฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น ได้พัฒนาโซลูชันที่นำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วยในกระบวนการทำงานมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เราสามารถขยายจากการขายสินค้าในกลุ่มเครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสารสำนักงาน (Multifunction Printers) ไปยังการขายโซลูชันต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุม การเปิดตัว FUJIFILM IWpro นี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวแห่งความสำเร็จของเราในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์การทำงานในทุกมิติด้วยโซลูชันเดียว โดย IWpro นั้นย่อมาจาก Integrated Work Process หรือ กระบวนการทำงานแบบผสมผสาน ผลิตภัณฑ์โซลูชันธุรกิจใหม่นี้จึงถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะนำมาใช้ในกระบวนการทำงานของธุรกิจในยุคดิจิทัล เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการนำ FUJIFILM IWpro มาใช้ จะช่วยให้การดำเนินงานธุรกิจมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น นำมาซึ่งการเติบโตทางธุรกิจและความสุขในการทำงานของพนักงานของลูกค้าของเรา” คุณทิพย์อาภา กล่าว

ทั้งนี้ ภายในปี 2567 บริษัท ฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด มีเป้าหมายในการผลักดันให้ธุรกิจเติบโตขึ้นให้ได้มากกว่า 100% ผ่านผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายทั้งกลุ่มเครื่องพิมพ์ อุปกรณ์สำนักงาน บริการ และโซลูชันต่าง ๆ โดยช่วงที่ผ่านมา ทิศทางการเติบโตของกลุ่มธุรกิจโซลูชันของบริษัทฯ ได้พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการ Work from Home และการล็อกดาวน์ การเติบโตดังกล่าวยังสอดคล้องกับการประเมินการเติบโตของรายงานจากฝ่ายวิจัยธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่คาดว่าอุตสาหกรรมบริการดิจิทัลและซอฟต์แวร์โดยรวมจะขยายตัวขึ้นถึง 19 – 20% ในช่วงปี 2566 – 2568 สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับและปรับตัวเข้าสู่สังคมดิจิทัลของคนไทยในปัจจุบัน

ฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น จะยังคงมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการทำงานในองค์กรภาคธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนมูลค่าเพิ่มขององค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมล้ำสมัย ตามปรัชญาและวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่ว่าด้วย “Value from Innovation” หรือ “คุณค่าจากนวัตกรรม”

 จากผลการจัดอันดับความยั่งยืนของบริษัทชั้นนำทั่วโลกประจำปี 2566 ของ S&P Global ในดัชนี DJSI (Dow Jones Sustainability Indices) หรือดัชนีชี้วัดความยั่งยืนของดาวโจนส์นั้น บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่ 1 ด้านความยั่งยืนของโลก (DJSI WORLD) และกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (DJSI Emerging Markets) และยังได้คะแนนสูงสุดด้านมิติสังคมในกลุ่มการบริการทางการแพทย์

ดัชนี DJSI นี้ เน้นการประเมินความยั่งยืนของธุรกิจใน 3 ด้าน ได้แก่ การรักษาสิ่งแวดล้อม การดูแลสังคม และการกำกับดูแลบนหลักธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นหลักดำเนินธุรกิจที่ BDMS ให้ความสำคัญมาโดยตลอด เพื่อส่งมอบบริการทางการแพทย์ตามมาตรฐานสากล ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงการรักษาโดยไม่เลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบ ตามกลยุทธ์ขององค์กรที่สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ได้แก่ การสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง (BDMS Innovative Healthcare) การบริการแพทย์ทางไกล เพื่อสุขภาพใจ (BeDee Tele Mental Health) และการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม (BDMS Green Healthcare) เป็นต้น

กลยุทธ์ BDMS Innovative Healthcare ที่นับเป็นความสำเร็จด้านนวัตกรรมที่น่าภาคภูมิใจนั้น ได้แก่ การสนับสนุนงานวิจัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม ด้วยเทคนิคใหม่ที่ไม่ตัดกล้ามเนื้อ หรือ Direct Anterior Approach Hip Replacement (DAA) วิธีใหม่นี้ช่วยลดระยะเวลาฟื้นตัวของผู้ป่วยได้มากกว่าร้อยละ 50 ทำให้ยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้เข้ารับการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงอายุ

นอกจากนี้ เพื่อต่อยอดความสำเร็จดังกล่าว BDMS ยังจัดตั้งโครงการอบรมเทคนิคนวัตกรรมการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก ด้วยเทคนิคใหม่ที่ไม่ตัดกล้ามเนื้อ โดยร่วมกับ มหาวิทยาลัยการแพทย์ โรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีแพทย์ที่ผ่านการอบรมแล้วกว่า 180 ราย ใน 170 โรงพยาบาล พร้อมทั้งสนับสนุนการเผยแพร่องค์ความรู้นี้ไปสู่เวทีวิชาการในระดับนานาชาติ ทั้งในรูปแบบของบทความวิชาการ การอบรมแพทย์เฉพาะทาง ตลอดจนถ่ายทอดสดการผ่าตัด (Live surgery) ร่วมกับโรงพยาบาลชั้นนำในต่างประเทศ เพื่อตอกย้ำถึงความสามารถในการรักษาพยาบาลของประเทศไทย อันสอดคล้องกับนโยบาย ของชาติในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลาง การรักษาพยาบาลของโลก ปัจจุบันมีผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดจนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติแล้วมากกว่า 750 ราย

สำหรับนวัตกรรมการบริการการแพทย์ทางไกล BDMS ได้พัฒนา BeDee Tele Mental Health เพื่อดูแลสุขภาพใจ โดยร่วมกับมูลนิธิเวชดุสิต ฯ ขยายโอกาสในการดูแลสุขภาพให้กับพนักงานในเครือ ฯ และ นักศึกษาหลักสูตรวิทยาการสุขภาพ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในอุตสาหกรรมบริการการแพทย์ในอนาคต โดยมุ่งหวังสร้างบุคลากรที่มีพลังกาย และพลังใจที่เข้มแข็ง เพื่อสามารถส่งมอบบริการทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตแก่ผู้รับบริการได้อย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมการแพทย์เพื่อสังคม

และในส่วนของ BDMS Green Healthcare นั้น เป็นการตระหนักถึงความสำคัญในการบริหารจัดการ ด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการดําเนินงานสุทธิให้เป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2050 หรือ พ.ศ. 2593 (BDMS Net Zero 2050) นอกจากนี้ โครงการ BDMS Green Healthcare ยังเน้นการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งของโรงพยาบาล และธุรกิจในเครือ ฯ ทั้งการจัดการขยะครบวงจรทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นขยะทั่วไป ขยะติดเชื้อ รวมถึงขยะที่ถูกนำไปรีไซเคิล การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และบำบัดน้ำเสียอย่างเหมาะสม พร้อมทำงานร่วมกับชุมชน และประชาคมรอบข้างด้วยความรับผิดชอบ ปัจจุบัน มีโรงพยาบาล และธุรกิจในเครือ ฯ ที่ผ่านการประเมินเกณฑ์ BDMS Green Healthcare แล้วกว่า 20 หน่วยงาน

ในปัจจุบัน กว่าร้อยละ 50 ของโรงพยาบาล และธุรกิจในเครือ ฯ สามารถลดการปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 10,000 ตันต่อปี หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 50,000 ต้น จากความสำเร็จนี้ BDMS จึงตั้งเป้าหมายการประเมิน BDMS Green healthcare และขับเคลื่อนการประยุกต์ใช้พลังงาน ทางเลือกในพื้นที่โรงพยาบาล และธุรกิจในเครือ ฯ ให้ครบ 100% พร้อมตั้งเป้าหมายเพิ่มปริมาณขยะทั่วไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลให้มากกว่าร้อยละ 26 ภายในปี 2026

ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนเป็นผลมาจากความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วนที่พร้อมขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายเดียวกัน BDMS มีพันธกิจสำคัญคือ “ผู้นำบริการด้านสุขภาพที่ยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีบนวิถีแห่งความยั่งยืน” ซึ่งสอดคล้องกับหลักการดำเนินธุรกิจยั่งยืนตามแนวทาง ESG ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล อีกทั้งมุ่งเน้นสร้างประสบการณ์อย่างมีคุณค่าแก่ผู้ใช้บริการด้วยความเป็นเลิศด้านนวัตกรรม โดยลดความเลื่อมล้ำการเข้าถึงการให้บริการด้านสุขภาพได้ด้วยมาตรฐานที่ทัดเทียมระดับสากลตามเจตนารมย์

ศ. ดร. สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. เดินสายสถานศึกษา ประเดิม ม.เกษมบัณฑิต ร่มเกล้า ขอปลุกไฟไอเดียเด็กไทย ประชันปรับโฉมยูนิฟอร์ม ปชป.ยุคใหม่ ผ่านกิจกรรม “ประชาธิปัตย์ FASHION CONTEST” พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมส่งผลงานตั้งแต่วันนี้ - 29 กุมภาพันธ์ 2567 และประกาศผลรางวัลในวันที่ 9 มีนาคม 2567

ศ. ดร. สุชัชวีร์ กล่าวว่า กิจกรรมประกวดออกแบบยูนิฟอร์มพรรค “ประชาธิปัตย์ FASHION CONTEST” ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษาซึ่งเป็นกลุ่มที่มีไอเดีย มีพลังความคิดสร้างสรรค์ จึงอยากเชิญชวนเยาวชนที่กำลังศึกษาในทุกระดับชั้นมาร่วมสนุก ร่วมประชันไอเดียกัน และวันนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักศึกษา หลักสูตรศิลปบัณฑิต สาขาวิชาการออกแบบนิเทศศิลป์ ม.เกษมบัณฑิต ร่มเกล้า ที่สนใจจะส่งผลงานเข้าร่วมประกวดในครั้งนี้

“วันนี้เราเดินสายมาสถานศึกษาที่ม.เกษมบัณฑิต ร่มเกล้า เป็นที่แรก มาเชิญชวนน้อง ๆ มาแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ และขอขอบคุณดร.วัลลภ สุวรรณดี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ด้วยที่สนับสนุนกิจกรรมนี้ รวมไปถึงมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่แสดงความสนใจ และตอบรับอย่างกว้างขวาง จนเป็น Talk Of The Town กิจกรรมนี้นอกจากจะปลุกพลังความคิดสร้างสรรค์ของน้อง ๆ แล้ว ยังถือเป็นสีสันของพรรคประชาธิปัตย์ยุคใหม่ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงด้วย” ศ. ดร. สุชัชวีร์ กล่าว

สำหรับกิจกรรมในวันนี้ ศ. ดร. สุชัชวีร์ กล่าวว่า รู้สึกตื่นเต้น และประทับใจที่ได้เห็นถึงความตั้งใจของน้องๆ แผนก Fashion Desigh ซึ่งเป็นแผนกที่ทำการสอนมากว่า 20 ปีแล้ว น้องๆ หลายคนเริ่มออกแบบงานสำหรับประกวดไปบ้างแล้ว ทุกคนล้วนมีไอเดียที่น่าสนใจ มีการนำนวัตกรรมผสมผสานกับเอกลักษณ์ มีการเลือกใช้สีและชนิดของเนื้อผ้า ไปจนถึงการผสมผสานวัสดุรักษ์โลกมาอยู่ในชิ้นงานจริง กิจกรรมนี้จึงเป็นโอกาสที่ท้าทายและได้ทดลองสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่ควรพลาด

อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตุว่า การลงพื้นที่ที่มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตในครั้งนี้ของ ศ. ดร. สุชัชวีร์ ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากบรรดานักศึกษา โดยได้เข้ามาห้อมล้อมพูดคุยกันแบบใกล้ชิดเป็นกันเองและขอถ่ายรูปด้วยเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะรับผลงานไอเดียของทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไป ไม่จำกัดเพศและวัย โดยขั้นตอนการสมัครและรายละเอียดเต็มรูปแบบสามารถติดตามและส่งผลงานได้ที่ democrat.or.th/fashioncontest โดยเพียงแค่กรอกรายละเอียดส่วนตัว เบอร์ติดต่อ พร้อมอัปโหลดไฟล์ผลงาน รวมถึงอธิบายความหมาย รายละเอียด ที่ปรากฏในผลงาน ระยะเวลาการส่งผลงานตั้งแต่วันนี้ - 29 กุมภาพันธ์ 2567และประกาศผลรางวัลในวันที่ 9 มีนาคม 2567

ตั้งเป้าดันรายได้แตะ 2,500 ล้านบาทในปี 2570 พร้อมร่วมงานแฟร์ใหญ่ THAIFEX-HOREC Asia เดือนมีนาคม

 กลุ่มดุสิตธานี เดินหน้าขยายธุรกิจอาหารอย่างต่อเนื่อง หลังจาก “ดุสิต ฟู้ดส์” ที่กลุ่มดุสิตธานีถือหุ้น 75% ประสบความสำเร็จกับการลงทุนในธุรกิจอาหารที่หลากหลาย และสร้างการเติบโตได้อย่างมีศักยภาพ เผยแผนปี 2567 เร่งเพิ่มฐานลูกค้าและช่องทางการจำหน่าย ด้วยการผลักดัน “ดุสิต กาสโทร” บริษัทย่อยที่ดุสิต ฟู้ดส์ ถือหุ้น 100% เป็นศูนย์กลางจัดหาวัตถุดิบให้กับลูกค้า ทั้งที่เป็นบริษัทในเครือและลูกค้าทั่วไป มั่นใจตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่และแคเทอริ่ง (Hotel Restaurant Café and Catering : HoReCa) พร้อมนำทัพสินค้าและบริการร่วมงานแฟร์ใหญ่ THAIFEX-HOREC Asia ระหว่างวันที่ 6-8 มีนาคมนี้ ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี หวังดันรายได้แตะ 2,500 ล้านภายในปี 2570

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากกลุ่มดุสิตธานีขยายการลงทุนในธุรกิจอาหาร ด้วยการจัดตั้งบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีถือหุ้นใน “ดุสิต ฟู้ดส์” ในสัดส่วน 75% ขณะที่บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ ถือหุ้นในสัดส่วน 25% จนถึงขณะนี้ธุรกิจอาหารภายใต้การบริหารของ “ดุสิต ฟู้ดส์” สามารถเติบโตได้อย่างน่าพอใจ โดยในรอบ 9 เดือนของปี 2566 ที่ผ่านมา ธุรกิจอาหารมีรายได้ในสัดส่วน 19.5% ของรายได้รวมของกลุ่มดุสิตธานี สูงกว่าเป้าหมายที่กลุ่มดุสิตธานีวางไว้ว่า จะกระจายรายได้ไปในธุรกิจอื่นๆ นอกจากธุรกิจโรงแรมและการศึกษาในสัดส่วน 10%

“ธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่เติบโตดีและมีศักยภาพ ขณะที่กลยุทธ์ที่เราวางไว้เพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจอาหารก็เป็นไปตามแผน จากจุดเริ่มต้นที่เราเน้นการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจรับจัดเลี้ยงหรือแคเทอริ่ง ด้วยการถือหุ้น 70% ในเอ็บเพอคิวร์ กรุ๊ป ที่ปัจจุบันให้การบริการรับจัดอาหารให้กับโรงเรียนนานาชาติ ทั้งในไทย เวียดนาม และกัมพูชา การลงทุนในธุรกิจเบเกอรี่ ด้วยการถือหุ้นในบองชู กรุ๊ป ในสัดส่วน 55% ทำให้เรามีโรงงานผลิตเบเกอรี่ คือ พอร์ต รอยัล เข้ามาในพอร์ตลงทุนของเรา รวมถึงการถือหุ้นใน Savor Eats ในสัดส่วน 51% ที่จะเห็นรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ และในปีนี้เช่นเดียวกันที่ ‘ดุสิต ฟู้ดส์’ จะสร้างการเติบโตจากภายในผ่านบริษัท ดุสิต กาสโทร จำกัด ที่ ‘ดุสิต ฟู้ดส์’ ถือหุ้นในสัดส่วน 100% โดยทั้งหมดนี้ เป็นพัฒนาการของธุรกิจอาหารที่จะกลายเป็นกำลังสำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับกลุ่มดุสิตธานีในอนาคตอย่างแน่นอน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี กล่าว

ด้าน นางสาวมณิศา มิตรไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจไว้ที่เฉลี่ยปีละ 15-18% โดยวางเป้าหมายว่าจะสามารถสร้างรายได้แตะระดับ 2,500 ล้านบาทภายในปี 2570 ทั้งนี้ ในรอบปีที่ผ่านมา (9 เดือน) บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้ถึง 878 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 19.5% ของรายได้โดยรวมของกลุ่มดุสิตธานีที่ 4,512 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ที่สำคัญมาจาก 2 ธุรกิจที่เข้าไปลงทุนไว้ก่อนหน้า คือ เอ็บเพอคิวร์ กรุ๊ป และบองชู กรุ๊ป โดยในปีนี้ทั้งเอ็บเพอคิวร์ ซึ่งปัจจุบันดำเนินธุรกิจรับจัดอาหาร (แคเทอริ่ง) ให้กับโรงเรียนนานาชาติ ทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา มีแผนจะขยายลูกค้าไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง รวมถึงประเทศต่างๆ ทั่วโลก พร้อมๆ กับขยายการให้บริการที่นอกเหนือไปจากกลุ่มโรงเรียนนานาชาติ เช่นเดียวกับบองชู กรุ๊ป ที่มีแผนขยายฐานลูกค้าไปยังจีน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งจะตอบโจทย์พันธกิจหลักของ “ดุสิต ฟู้ดส์” ที่จะนำอาหารเอเชียออกไปสู่ตลาดโลก

พัฒนาการที่สำคัญของ ‘ดุสิต ฟู้ดส์’ ในปีนี้ คือ การทำให้ภาพการเป็นบริษัทที่ลงทุนด้านอาหารในรูปโฮลดิ้งส์ชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่ผ่านมาเรามองหาโอกาสลงทุนในพันธมิตรจากภายนอกที่แข็งแกร่ง ทำให้เราเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ในปีนี้เราจะรุกการเป็น Food Solutions ที่จะขับเคลื่อนจากภายใน ผ่านบริษัท ดุสิต กาสโทร จำกัด ที่ ‘ดุสิต ฟู้ดส์’ ถือหุ้น 100% โดย “ดุสิต กาสโทร” จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดหาวัตถุดิบคุณภาพ (Food Sourcing Hub) ตั้งแต่ข้าวออร์แกนิค ที่กลุ่มดุสิตธานีทำสัญญากับเกษตรกรโดยตรง รวมถึงเครื่องปรุงชนิดต่างๆ เพื่อส่งต่อให้กับลูกค้าทั้งในเครือและนอกเครือ ตลอดจนสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหาร (Innovation) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของ “ดุสิต กาสโทร” ที่สามารถรับคำสั่งในการรังสรรค์เมนูอาหาร รวมถึงขนมอบต่างๆ ให้กับลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจง ตั้งแต่วัตถุดิบ ขนาด รสชาติ และงบประมาณ ซึ่งจะทำให้ “ดุสิต กาสโทร” เป็นจุดเชื่อมทุกธุรกิจของกลุ่มดุสิตธานีไปสู่ฐานลูกค้าใหม่ๆ ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะการให้บริการในกลุ่มเท่านั้น โดยขณะนี้ ‘ดุสิต กาสโทร’ ได้เริ่มเจาะกลุ่มลูกค้าในธุรกิจค้าปลีก โรงแรม ร้านกาแฟในสถานีบริการน้ำมัน ที่มีสาขาทั่วประเทศ รวมถึงศูนย์แสดงสินค้าขนาดใหญ่” กรรมการผู้จัดการ ดุสิต ฟู้ดส์ กล่าว

ล่าสุด “ดุสิต ฟู้ดส์” ยังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าในกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่และแคทอริ่ง (HoReCa : Hotel Restaurant Café and Catering) ด้วยการนำ “ดุสิต กาสโทร” ร่วมเปิดตัวในงาน “ไทยเฟ็กซ์-โฮเรค เอเชีย” (THAIFEX-HOREC Asia) ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าที่เน้นธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและการจัดเลี้ยง (HoReCa) และนับเป็นงานแสดงสินค้าครั้งสำคัญโดยความร่วมมือของพันธมิตร ที่ล้วนเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมอาหารทั้งในประเทศและภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ โดยงานดังกล่าวจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-8 มีนาคม 2567 ณ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี (Hall 10 - K14)

เรามั่นใจว่า ‘ดุสิต กาสโทร’ จะตอบโจทย์ที่เป็น pain point หรือปัญหาสำคัญของผู้ประกอบการกิจการอาหาร ที่ต้องเผชิญภาวะการขาดแรงงาน ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น มาตรฐานของวัตถุดิบและการผลิตที่ไม่สามารถควบคุมให้สม่ำเสมอได้ ปัญหาขยะอาหารเหลือทิ้ง (Food Waste) และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งรับมือได้ยาก ดังนั้น บริการของ “ดุสิต กาสโทร” ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางในการรับคำสั่งจากลูกค้า เชื่อมต่อระหว่างลูกค้ากับธุรกิจอื่นๆ ในกลุ่ม “ดุสิต ฟู้ดส์” และพันธมิตรด้านอาหารของเรา จะตอบโจทย์และลดปัญหาที่ลูกค้าในกลุ่ม HoReCa ต้องเผชิญมาโดยตลอด” นางสาวมณิศากล่าว

BAM จับมือ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย จัดโครงการสินเชื่อสำหรับลูกค้าซื้อทรัพย์สินรอการขายของ BAM ตอบโจทย์ผู้ที่อยากมีที่อยู่อาศัยและทรัพย์เพื่อการลงทุนด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยสุดพิเศษ ปีแรก 2.49% เท่านั้น

นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า ปัจจุบัน BAM มีทรัพย์สินรอการขายอยู่ในความดูแลกว่า 23,000 รายการ ครอบคลุมทั้งบ้าน ห้องชุด อาคารพาณิชย์ ที่ดินเปล่า รวมทั้งทรัพย์เพื่อการลงทุน จึงถือเป็นโอกาสดีที่ได้รับความร่วมมือจากธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ที่ให้การสนับสนุนสินเชื่อพร้อมอัตราดอกเบี้ยพิเศษผ่อนต่องวดเบาๆ เพื่อให้ผู้สนใจซื้อทรัพย์มือสองเข้าถึงแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำได้สะดวกขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น

“ความร่วมมือระหว่าง BAM และธนาคารยูโอบีในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าและผู้สนใจซื้อทรัพย์ของ BAM และเป็นโอกาสดีของผู้ที่ต้องการซื้อทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยหรือลงทุน ซึ่ง BAM มีทรัพย์สินรอการขายทั้งแบบตามสภาพหรือปรับปรุงพร้อมอยู่พร้อมใช้ไว้รองรับหลายโครงการ มีจุดเด่นเรื่องทำเลและราคา ที่ปัจจุบันไม่สามารถหาซื้อทรัพย์มือหนึ่งได้ คาดว่าจะได้ผลตอบรับที่ดีจากผู้สนใจ โดยแคมเปญแรกของปี 2567 ธนาคารจะเสนอสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษสุดสำหรับลูกค้าที่ซื้อทรัพย์ BAM คืองานบ้าน BAM ครบจบทุก Lifestyle ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 นี้ ” นายบัณฑิต กล่าว

นายยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย หรือ UOB เปิดเผยว่า “ธนาคารยูโอบีมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อบ้านที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ความร่วมมือใน “โครงการสินเชื่อเพื่อซื้อทรัพย์ BAM” กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) นี้จะทำให้ลูกค้าของธนาคารสามารถซื้อทรัพย์มือสองคุณภาพดีจาก BAM พร้อมกับสินเชื่อที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นในอัตราพิเศษ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ธนาคารสนับสนุนให้คนไทยเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้ง่ายขึ้น”

สำหรับแคมเปญแรกของปี 2567 ธนาคารยูโอบี มอบข้อเสนอสินเชื่อ ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษปีแรก เริ่มต้นเพียง 2.49 % ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุด 3.80% ต่อปี (กรณีทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ) วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 100% ของมูลค่าหลักประกัน สำหรับผู้สนใจซื้อทรัพย์ของ BAM พร้อมสินเชื่อจากธนาคารยูโอบี โดยลูกค้าสามารถยื่นข้อเสนอได้ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 มีนาคม 2567 ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนดเพื่อร่วมฉลองครบรอบ 25 ปี BAM ลูกค้าที่สนใจสามารถลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่สาขาธนาคารยูโอบีทั่วประเทศ หรือ Call Center โทร 0-2285-1555 และ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM 

นายรังสรรค์ เพ็งพันธ์ (ที่ 3 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานธรณีศาสตร์และการสำรวจ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. และ ผศ.ดร.ธัชวีร์ ลีละวัฒน์ (ที่ 4 จากซ้าย) รองอธิการบดีฝ่ายสารสนเทศและวิทยาเขตกาญจนบุรี มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ภายใต้โครงการ PTTEP Subsurface University Energy Connect เพื่อพัฒนางานวิจัยทางวิชาการด้านธรณีศาสตร์ วิศวกรรมปิโตรเลียม สร้างบุคลากรด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รวมถึงการหาแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน หรือ CCS (Carbon Capture and Storage) เพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศไทย สู่เป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำ พิธีลงนามจัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี

ภายใต้โครงการ PTTEP Subsurface University Energy Connect ปตท.สผ. ได้ลงนามความร่วมมือกับหลายสถาบันการศึกษา เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมีเป้าหมายจะขยายความร่วมมือดังกล่าวไปยังมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ต่อไป

X

Right Click

No right click