December 18, 2025

ผลจากการวิจัยครั้งยิ่งใหญ่ระดับโลก* เกี่ยวกับช่องว่างในการออกกำลังกายระหว่างชายและหญิง เผยให้เห็นว่า :

• ยิ่งผู้หญิงออกกำลังกายมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกดีขึ้นเท่านั้น จากรายงานพบว่าผู้หญิงที่ออกกำลังกายเป็นประจำรู้สึกมีความสุขมากขึ้น 52% รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น 50% รู้สึกมั่นใจมากขึ้น 48% เครียดน้อยลง 67% และรู้สึกหงุดหงิดน้อยลง 80%

• แต่ผู้หญิงมากกว่าครึ่ง ไม่ได้ออกกำลังกายมากเท่าที่พวกเธอต้องการ และพลาดโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการออกกำลังกายที่มีต่อทั้งร่างกายและจิตใจ

• ผู้หญิงทุกคนกำลังเผชิญกับความท้าทายและอุปสรรคมากมายในการออกกำลังกายตลอดทั้งช่วงชีวิตของพวกเธอ

• แต่การรับรู้ของผู้ชายเกี่ยวกับอุปสรรคเหล่านี้แตกต่างไปจากความเป็นจริงที่ผู้หญิงต้องเผชิญ

• นับเป็นสัญญาณที่ดี ที่ผู้คนทั่วโลกกำลังตั้งใจก้าวข้ามอุปสรรคในการเล่นกีฬาของผู้หญิง โดย ASICS มีส่วนในการเผยแพร่และทำให้เรื่องราวของทุกคนเป็นที่สนใจ พร้อมทั้งให้คำมั่นสัญญาที่จะช่วยให้พวกเธอได้ Move Her Mind

 NAGINO Collection เสื้อผ้าออกกำลังกาย สวมใส่สบาย เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระที่ ASICS ตั้งใจออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายสำหรับผู้หญิงได้ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป

 

เนื่องในวันสตรีสากล ASICS ได้เผยถึงผลการวิจัยระดับโลกเกี่ยวกับช่องว่างในการออกกำลังกายระหว่างชายและหญิง เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างระดับการออกกำลังกายของผู้หญิงกับสุขภาวะทางจิตของพวกเธอ จากรายงานพบว่าผู้หญิงมีความสุขมากขึ้น 52% รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น 50% รู้สึกมั่นใจมากขึ้น 48% เครียดน้อยลง 67% และรู้สึกหงุดหงิดน้อยลง 80% เมื่อออกกำลังกายเป็นประจำ**

อย่างไรก็ตาม การวิจัยในคนจำนวน 24,959 คน ซึ่งจัดทำโดย ASICS และนำการค้นคว้าโดยนักวิชาการที่มีชื่อเสียงอย่างดร.ดี ดลูกอนสกี (Dr. Dee Dlugonski) และผู้ช่วยศาสตราจารย์

เบรนดอน สตับส์ (Assoc. Prof. Brendon Stubbs) กลับพบผลที่น่าตกใจว่าผู้หญิงมากกว่าครึ่งจากทั่วโลกกำลังห่างหายและเลิกออกกำลังกายมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของพวกเธอ และเพื่อสนองต่อผลการวิจัยเหล่านั้น ASICS ต้องการที่จะเปิดโอกาสและช่วยขยายผลเชิงบวกให้กับบุคคลและองค์กรระดับท้องถิ่นที่กำลังตั้งใจลดอุปสรรคในการเล่นกีฬาและออกกำลังกายของผู้หญิง เพื่อช่วยซัพพอร์ต ผลักดัน และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงเหล่านั้นหันมาออกกำลังกายมากยิ่งขึ้น

ผลการวิจัยระดับโลกเผยให้เห็นว่าผู้หญิงมากกว่าครึ่งไม่พึงพอใจกับระดับการออกกำลังกายของตนเอง โดยผู้หญิงทุกคนกำลังเผชิญกับอุปสรรคในการออกกำลังกายตลอดทั้งช่วงชีวิตของพวกเธอ ตั้งแต่ความกดดันด้านเวลา (74%) ความไม่มั่นใจในตนเอง (35%) ไปจนถึงสภาพแวดล้อมที่ทำให้รู้สึกว่าถูกคุมคาม (44%) หรือรู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะกับการเล่นกีฬา (42%)

 

ยิ่งไปกว่านั้น เกือบ 2 ใน 3 (61%) ของเหล่าคุณแม่ระบุว่าความเป็นแม่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พวกเธอห่างหายจากการออกกำลังกายประจำ แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูลูกที่มีต่อระดับการทำกิจกรรมของผู้หญิง ผู้เข้าร่วมการสนทนากลุ่ม (Focus Group) กล่าวถึงความคาดหวังของสังคมที่มีต่อบทบาททางเพศ รวมถึงความคิดที่ว่าผู้หญิงควรมีหน้าที่หลักในการดูแลคนในครอบครัว และรับผิดชอบหน้าที่ต่าง ๆ ในครัวเรือน ซึ่งล้วนเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกเธอเลิกออกกำลังกาย

ในทางกลับกัน การรับรู้ของผู้ชายเกี่ยวกับความท้าทายที่ผู้หญิงต้องเผชิญนั้นแตกต่างไปจากความเป็นจริง มีผู้ชายเพียง 34% เท่านั้นที่ยอมรับว่าการไม่มีเวลาเป็นอุปสรรคในการออกกำลังกายสำหรับผู้หญิง แม้ว่าผู้หญิงจำนวน 3 ใน 4 (74%) จะพูดถึงปัญหานี้ก็ตาม แต่ผู้ชายกลับคิดว่าความไม่มั่นใจในร่างกายเป็นปัญหาสำคัญ โดยผู้ชาย 58% บอกว่าสิ่งนี้เป็นอุปสรรคหลักเทียบกับจำนวนผู้หญิง 36% ความจริงแล้วอุปสรรคห้าอันดับแรกของการออกกำลังกายที่ผู้ชายรับรู้ มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น คือ ปัจจัยเรื่องค่าใช้จ่าย ที่ปรากฏอยู่ในลิสต์อุปสรรคที่พบบ่อยที่สุดซึ่งตอบโดยผู้หญิง ยิ่งเน้นให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการรับรู้ของผู้ชายกับความเป็นจริงในแต่ละวันที่ผู้หญิงทั่วโลกรู้สึก

อย่างไรก็ตาม จากงานวิจัยพบว่าผู้หญิงกว่า 1 ใน 3 กล่าวว่าเพื่อนของพวกเธอคือผู้ที่มีอิทธิพลที่สำคัญที่สุดในการออกกำลังกาย พวกเธอมีแรงจูงใจที่จะออกกำลังกายโดยผู้หญิงแบบเดียวกับตนเองมากกว่าคนที่มีชื่อเสียง อีกทั้งพ่อแม่และคนรักก็ถือเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลเช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ว่าเพศหญิงหรือชายก็สามารถส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในการออกกำลังกายได้ เมื่อถามว่าทำไมพวกเธอถึงออกกำลังกาย โดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงกล่าวว่าเพื่อสุขภาพจิต (92%) และสุขภาพกาย (96%) มากกว่าการมีรูปร่างที่สวยงาม

ดร. ดี ดลูกอนสกี ผู้นำการวิจัยและผู้ช่วยศาสตราจารย์จากสถาบันวิจัยเวชศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเคนทักกี กล่าวว่า “งานวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่าช่องว่างการออกกำลังกายระหว่างชายและหญิงเป็นความท้าทายที่ซับซ้อนซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน และเพราะไม่ได้เกิดขึ้นจากเพียงสาเหตุเดียว จึงไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีเดียว แต่ถ้าถามว่าอะไรสามารถช่วยได้ ผู้หญิงตั้งข้อสังเกตว่าการทำให้การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้มากขึ้น ทำให้พวกเธอรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งและถูกยอมรับในทุกรูปแบบกิจกรรม ในขณะที่ท้าทายความคาดหวังของ

สังคมที่มีต่อบทบาทของผู้หญิงไปด้วยเป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันให้พวกเธอออกกำลังกายได้มากกว่าเดิม

 

รวมถึงกิจกรรมการออกกำลังกายที่เน้นไปยังตัวของผู้หญิงและตอบโจทย์ความต้องการของพวกเธอ เช่น มีการช่วยดูแลเด็ก (Childcare) และการจัดเลี้ยงรื่นเริงต่าง ๆ กิจกรรมที่มีความเหมาะสมกับงานที่พวกเธอทำ มีความสนุกสนานสามารถเข้าถึงได้ ให้ความรู้สึกปลอดภัยโดยไม่มีอคติต่อกัน วิธีการทั้งหมดนี้แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่สามารถเกิดผลสะท้อนได้อย่างเด่นชัด และจากการศึกษานี้เราจึงได้พบว่ามีผู้คนและองค์กรอีกหลายพันรายทั่วโลกที่กำลังขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้”

ซึ่งรวมถึงคาเรน กัตต์ริดจ์ (Karen Guttridge) ในฐานะผู้หญิงสูงอายุที่รู้สึกว่าตนเองไม่มีโอกาสออกกำลังกายในชุมชนที่อาศัยอยู่ เธอจึงตั้งกลุ่มวิ่งเพื่อให้ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปีได้มาทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งในตอนแรกเธอคาดว่าจะมีผู้หญิงเข้าร่วมกิจกรรมประมาณห้าคน แต่กลับมีผู้คนให้ความสนใจและเข้าร่วมกลุ่มวิ่งของเธอมากกว่า 70 คน โดยกิจกรรมภายในกลุ่มมีโปรแกรมการวิ่งสำหรับทุกระดับการออกกำลังกาย เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าร่วม เป็นพื้นที่ปลอดภัยและไม่มีการตัดสินกันเพื่อผู้หญิงได้ทำความรู้จักกัน ถือได้ว่ากลุ่มวิ่งนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากและมีการสนับสนุนให้ผู้หญิงออกกำลังกายได้อย่างมั่นใจ

ASICS พร้อมสนับสนุนและร่วมเฉลิมฉลองกับผลลัพธ์ที่น่าประทับใจเช่นเดียวกันกับเรื่องราวของคาเรนที่เกิดขึ้นในชุมชนต่าง ๆ ทั่วโลก และมอบพื้นที่ให้กับบุคคลและองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการก้าวข้ามอุปสรรคในการออกกำลังกายและเล่นกีฬาของผู้หญิงให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

ในปัจจุบันมีผู้คนและองค์กรอีกมากมายที่กำลังสร้างความแตกต่างไปในทิศทางที่ดีขึ้นอยู่ทั่วโลก และในวันสตรีสากลนี้กลุ่มคนเหล่านั้นกำลังเชิญชวนให้ผู้คนส่งเรื่องราวและบอกเล่าประสบการณ์ของตนเอง เพื่อให้ผู้หญิงรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง ได้รับการสนับสนุนและได้รับแรงบันดาลใจ

อีกทั้ง ASICS ก่อตั้งขึ้นจากความเชื่อที่ว่ากีฬาและการออกกำลังกายมีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ จึงเป็นที่มาของ ASICS : 'Anima Sana in Corpore Sano' หมายถึง 'การมีจิตใจที่แจ่มใส ในร่างกายที่สมบูรณ์' แม้ว่างานวิจัยของเราจะพบว่าผู้หญิงจำนวนมากไม่พอใจกับระดับการ

ออกกำลังกายของตน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเผยให้เห็นถึงการที่บุคคลและองค์กรระดับท้องถิ่นมีส่วนในการช่วยให้ผู้หญิงออกกำลังกายได้มากยิ่งขึ้น

 

Move Her Mind เริ่มต้นขึ้นด้วยความหวังที่จะเป็นพื้นที่ให้กับนักสร้างแรงบันดาลใจเหล่านี้ ได้เชื่อมโยงและจุดประกายให้กับผู้คนทั่วโลก เพื่อให้ทุกคนสามารถมีจิตใจที่แจ่มใส ในร่างกายที่สมบูรณ์ได้ ถึงเวลาแล้วที่ผู้หญิงทุกคนจะได้สัมผัสกับประโยชน์จากการออกกำลังกายที่มีต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ถึงเวลาของการเปลี่ยนแปลง ถึงเวลาของการ Move Her Mind

เตรียมพบกับ NAGINO Collection เสื้อผ้าออกกำลังกาย สวมใส่สบาย เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ออกแบบมาสำหรับผู้หญิงได้ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2567 เป็นต้นไปที่ ASICS Store และทางออนไลน์ที่ ASICS.COM

บนความสำเร็จ “ฮาตาริ” แบรนด์ที่เกิดจากความตั้งใจและแรงบันดาลใจของจุน-คุณสุนทรี วนวิทย์ จากจุดเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ ที่ถึงทุกวันนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ฮาตาริ คือ ผู้ผลิตพัดลมชั้นนำของคนไทยอย่างแท้จริง และอยู่คู่สังคมไทยมายาวนานกว่า 30 ปี วางรากฐานธุรกิจอย่างมั่นคง ควบคู่กับการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ คืนสู่สังคมไปพร้อมกัน

คุณวิทยา พานิชตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮาตาริ อิเลคทริค จำกัด เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนแบรนด์ “ฮาตาริ” ก้าวสู่สหัศวรรษใหม่ในยุคตลาดแข่งขันสูงและมีความท้าทายในทุกมิติ แต่สิ่งที่เรายึดมั่นในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด คือ 1) ความไม่หยุดนิ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพที่เข้าใจในทุกไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค และ 2) ความเป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม พร้อมใส่ใจต่อชุมชนโดยรอบ ภายใต้จุดมุ่งหมายให้ แบรนด์ ฮาตาริ ก้าวสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมผู้ผลิตพัดลมไฟฟ้าระดับสากลที่คนไทยภาคภูมิใจ

ครองใจคนไทย เจาะตลาดส่งออกเพิ่ม

“นโยบายดำเนินธุรกิจในปี 2567 ฮาตาริยังคงให้ความสำคัญต่อการเติบโตทางธุรกิจตลาดภายในประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็มีความพร้อมที่จะขยายสัดส่วนตลาดส่งออกไปยังต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ซึ่งมีสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นเช่นเดียวกันกับประเทศไทย ประกอบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น และภาวะตลาดมีโอกาสเติบโตสูงจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ

ซึ่งแน่นอนว่าปีนี้ยังเป็นอีกปีที่ฮาตาริมุ่งเน้นพัฒนาภาคการผลิตและการออกแบบผลิตภัณฑ์ ด้วยดีไซน์ใหม่ที่ทันสมัย ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ตรงใจผู้บริโภคในทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน ควบคู่กับการทำงานร่วมกันกับพันธมิตรใหม่ๆ อาทิ การจับมือกับ Habits Design Studio สตูดิโอออกแบบจากอิตาลีที่เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและมีประสบการณ์ออกแบบให้กับแบรนด์ชั้นนำระดับโลกมาแล้วมากมาย เพื่อเพิ่มความน่าตื่นตาตื่นใจ และทำให้แบรนด์ได้ใกล้ชิดและอยู่เป็นส่วนหนึ่งในทุกช่วงชีวิตผู้คนมากยิ่งขึ้น” คุณชัญญา พานิชตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กล่าวเสริม

สานต่อ DNA สร้างสรรค์คุณค่าธุรกิจ คืนประโยชน์สู่สังคม

ปณิธานอันแน่วแน่ที่ คุณจุน-คุณสุนทรี วนวิทย์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ฮาตาริ มุ่งหวังที่จะทำให้ประเทศไทยเติบโตอย่างมั่นคงไปพร้อมกับแบรนด์ฮาตาริ ได้รับการสานต่อและต่อยอดอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้การดำเนินงานของ “กองทุนฮาตาริเพื่อการศึกษา โดย คุณจุน – คุณสุนทรี วนวิทย์” เป็นปีที่สอง ตลอดจนโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับการให้โอกาสด้านการศึกษาแก่วงการแพทย์และพยาบาล ที่ปัจจุบันประสบปัญหาขาดแคลนกำลังคนที่จะดูแลรักษาชีวิตประชาชน ซึ่งในวันนี้ (14 กุมภาพันธ์) ฮาตาริ โดย คุณสุนทรี วนวิทย์ ประธานกรรมการบริหาร เป็นผู้แทนในการส่งต่อความตั้งใจจริงนี้ โดยมอบทุนการศึกษาเป็นจำนวนเงิน 20 ล้านบาท แก่นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อเป็นการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่ออกสู่สังคม ซึ่งโอกาสนี้ได้รับเกียรติจาก ผศ. ร.ท.ทพ. ชัชชัย คุณาวิศรุต รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ และ รองศาสตราจารย์ ดร.เอมพร รตินธร คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ ให้การต้อนรับ

 

รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ และ คณบดีคณะ

พยาบาลศาสตร์ มอบของที่ระลึกแด่ผู้บริหารกองทุนฮาตาริฯ ผู้บริหารกองทุนฮาตาริฯ เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ทางการพยาบาล ศาลายา (ห้อง LRC)

 

กว่า 30 ปีที่ผ่านมา ฮาตาริ ไม่เคยหยุดพัฒนาแบรนด์สัญชาติไทยออกไปสร้างชื่อเสียงและแสดงศักยภาพขีดความสามารถของคนไทยที่ทัดเทียมเวทีโลก ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ฮาตาริ พร้อมก้าวไปข้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ทำให้คุณภาพชีวิตของทุกคนและดีขึ้น สร้างช่วงเวลาแห่งความสุขและตอบโจทย์ความ

ต้องการของผู้ใช้งานในทุกมิติด้วยราคาที่สมเหตุสมผล มุ่งสู่การเป็นแบรนด์ของคนไทยที่เติบโตเคียงข้างสังคมไทยอย่างยั่งยืน

เมื่อตอนที่ฉันเป็นนักเรียนในปี 1988 ฉันเขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ และฉันแย้งว่า AI สามารถตรวจจับรูปแบบได้ดีกว่าการตรวจด้วยตา

ในช่วง 30 ปีต่อจากนั้น หัวข้อนี้แทบจะไม่ได้รับความสนใจจากคนทั่วไป ยกเว้นในโลกของวิศวกรด้านซอฟต์แวร์ จนเมื่อปีกว่ามานี่เอง ที่ AI ปรากฏตัวบนเวทีสาธารณะ และมาพร้อมกับเครื่องมือ AI เจนเนอเรชั่นใหม่ ที่สามารถใช้สร้างเนื้อหาที่เป็นลายลักษณ์อักษร ภาพ และเนื้อหาอื่นๆ ได้อย่างฉลาด

ที่จริงแล้ว AI อยู่รอบๆ เรามาระยะหนึ่งแล้ว การค้นหาเว็บแบบง่ายๆ ก็มีความเกี่ยวข้องกับ AI หรือการใช้แชทบอท นั่นก็คือ AI แต่เราจะเห็นการเติบโตแบบทวีคูณ ก็ต่อเมื่อมีการนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้น และการใช้งานเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณจะกำหนดรูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตที่เป็นพื้นฐานของเรา นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบมากกับความท้าทายใหญ่ที่สุดที่มนุษยชาติต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิธีที่เราผลิตและใช้พลังงาน

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ไม่ได้ รอ AI ถ้าจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือ แม้ในปีที่ผ่านมาจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับ AI อยู่มากมายก็ตาม แต่ AI ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง และก็ไม่ใช่ตัวช่วยที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างฉับพลันกับการจำกัดภาวะโลกร้อนให้หยุดอยู่ที่ไม่เกิน 1.5°C เหมือนช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม

ดังนั้น การเกิดขึ้นของ AI จะต้องไม่เบี่ยงเบนความสนใจของเราจากการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ เช่น พลังงานทดแทน ยานพาหนะไฟฟ้าและปั๊มความร้อน ตลอดจนซอฟต์แวร์ระบบอัตโนมัติและการจัดการอาคารที่ช่วยปรับปรุงกระบวนการและการใช้พลังงานในอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐานให้ใช้งานได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หากมองถึงอาคารและอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ซึ่งคิดเป็นประมาณ 37% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตและพลังงานทั่วโลก

ตามรายงานล่าสุดจากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ อาคารใหม่ทุกหลังที่สร้างขึ้นในปัจจุบันสามารถเป็น Net Zero ได้จริง โดยใช้การผสมผสานพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่น (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา) รวมถึงเซ็นเซอร์และซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกิจกรรมการใช้พลังงานได้สูงสุด นี่ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ที่ต้องพึ่งพาการพัฒนา AI ในอนาคต แต่เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ที่เรานำมาใช้ในอาคาร IntenCity ของเราในเมืองเกรอน็อบล์ ประเทศฝรั่งเศส และเรายังช่วยให้อีกหลายๆ อาคารนำแนวทางนี้มาปรับใช้ด้วยเช่นกัน

ในทำนองเดียวกัน เราจำเป็นต้องเร่งนำเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและให้คาร์บอนต่ำ มาปรับใช้กับบรรดาอาคารที่มีอยู่ในการติดตั้งเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดทั้งต้นทุน รวมถึงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากและเร็วกว่าที่หลายคนเคยรับรู้ โดยไม่จำเป็นต้องรอเครื่องมือ AI ใหม่ เพราะเรื่องเหล่านี้สามารถทำได้ทันที

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ AI ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนด้วยพลังเทอร์โบ

ความตื่นเต้นมากมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ AI เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เนื่องจากเมื่อจับคู่เทคโนโลยีดังกล่าว เข้ากับ AR (augmented reality) VR (virtual reality) รวมถึง digital twins และ IoT จะยิ่งทำให้ AI ช่วยให้เราเข้าถึงประสิทธิภาพได้มากขึ้น รวดเร็วยิ่งขึ้น และเมื่อเป็นเรื่องของพลังงาน การที่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นย่อมหมายถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ลดลง ตัวอย่างเช่น ไมโครกริดเป็นเครือข่ายไฟฟ้าแบบครบวงจรที่จ่ายไฟให้กับบ้าน ธุรกิจ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ โดยใช้เครื่องกำเนิดพลังงานส่วนตัว (ตามหลักการเป็นพลังงานหมุนเวียน) และการกักเก็บพลังงานในรูปของแบตเตอรี่ โดยซอฟต์แวร์อัจฉริยะสามารถเชื่อมต่อองค์ประกอบต่างๆ เข้ากับระบบสายส่ง (Utility grids) ได้ ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและต้นทุนของพลังงาน อีกทั้งช่วยคาดการณ์ เพื่อให้สามารถใช้พลังงานอย่างเหมาะสมได้แบบอัตโนมัติ ทั้งเรื่องการผลิต การกักเก็บและนำมาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่าย ถึงเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย รวมถึงจำนวนไฟฟ้าที่ผลิตได้ ตลอดจนการปล่อย CO2

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กับ AI และศูนย์ข้อมูล เราจำเป็นต้องมองเพื่อให้เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI และศูนย์ข้อมูลที่เป็นขุมพลังนั้น จำเป็นต้องอาศัยน้ำและพลังงาน รวมถึงมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างไรบ้าง เราคาดการณ์ว่าในขณะที่โลกเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นประมาณสองเท่าภายในปี 2571 และสัดส่วนในการใช้งานที่มาจาก AI จะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดในเวลานั้น โดยเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์

สิ่งสำคัญก็คือ การใช้ AI จะต้องไม่นำไปสู่ปัญหาด้านพลังงานหรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพซอฟต์แวร์การประมวลผลอย่างต่อเนื่อง จะช่วยจัดการกับความท้าทายนี้ โดยการปรับเปลี่ยนการออกแบบและการบริหารจัดการศูนย์ข้อมูล เช่น การเปลี่ยนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบเครื่องยนต์ดีเซลให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำความสะอาดสตอเรจ และใช้การระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษ เป็นต้น

เร่งดำเนินการด้านสภาพอากาศด้วย AI (และที่ไม่ใช้ AI)

บางคนชอบ AI ในขณะที่บางคนกลัว AI แต่ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม พลังการเปลี่ยนแปลงของ AI นั้นยิ่งใหญ่กว่าการถือกำเนิดของอินเทอร์เน็ตในทศวรรษ 1990 เสียอีก และ AI ก็เหมือนกับอินเทอร์เน็ต นั่นคือ จะทำงานได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อถูกนำมาใช้งานอย่างมีจรรยาบรรณและรับผิดชอบ โดยให้ขุมพลังที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และถูกใช้เป็นเครื่องมือที่ให้ความคล่องตัวในการทำงาน มากกว่าที่จะเป็นเป้าหมายปลายทางของผลลัพธ์ เป็นตัวช่วยมากกว่าการนำมาทดแทนผลลัพธ์จากมนุษย์ที่จำเป็นจะต้องผ่านการรับรองคุณภาพสูงสุด

นอกจากนี้ ยังไม่ควรให้ AI มาเบี่ยงเบนเราจากการใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วในตอนนี้ เพราะไม่ว่าจะมีหรือไม่มี AI ก็ตาม เราก็ยังสามารถติดตั้งฟาร์มกังหันลมและสถานีชาร์จ EV ได้มากขึ้น และใช้เครื่องมือดิจิทัลที่มีอยู่ปรับปรุงวิธีการออกแบบ สร้างและดำเนินการด้านอาคารและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ มากมาย รวมถึงการบำรุงรักษา

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม AI จะเป็นตัวเร่งที่จำเป็นและให้ขุมพลังแก่เทคโนโลยีที่มีอยู่ ช่วยเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ ช่วยสนับสนุนความมุ่งมั่นพยายามของเราในการควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

CR: ปีเตอร์ เฮอเว็ด  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท ชไนเดอร์ อิเล็กทริก

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เผยว่าตลาดการเงินเดือนที่ผ่านมาผันผวนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาผิดจากที่ตลาดคาด โดยเศรษฐกิจโลกขยายตัวแข็งแกร่งกว่าคาด และเงินเฟ้อลดลงช้า ทำให้ตลาดปรับมุมมองการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลัก (ทั้ง Fed และ ECB) ในปีนี้ลง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จึงเพิ่มขึ้นเร็วกว่าคาด ด้านเศรษฐกิจไทย ตัวเลขออกมาอ่อนแอกว่าที่คาดต่อเนื่อง ทำให้โอกาสที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยในปีนี้ตามที่ตลาดคาดที่ 2 ครั้ง มีมากขึ้น ทั้งนี้ จังหวะและความต่อเนื่องในการลดยังมีความไม่แน่นอน ทำให้อัตราดอกเบี้ย THOR OIS ในตลาดเงินจะผันผวนและมีโอกาสสูงขึ้นเล็กน้อย สำหรับค่าเงินบาท พบว่าที่ผ่านมาอ่อนค่าเร็ว ซึ่งในระยะสั้นนี้คาดว่าแรงกดดันด้านอ่อนค่าจะยังอยู่จากปัจจัยต่างประเทศที่ทำให้เงินดอลาร์สหรัฐจะยังแข็งค่า และปัจจัยในประเทศที่อ่อนแอกดดันให้บาทอ่อน มองกรอบค่าเงินบาท 36.00-36.50 ภายใน 1 เดือนนี้

นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดการเงินโลกเดือนที่ผ่านมาผันผวนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาผิดจากที่ตลาดคาด โดยเศรษฐกิจโลกขยายตัวแข็งแกร่งกว่าคาด นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ตัวเลขในตลาดแรงงานและการบริโภคเอกขนขยายตัวแข็งแกร่งต่อเนื่อง และเงินเฟ้อลดลงช้ากว่าคาด ด้านเศรษฐกิจยุโรปก็ฟื้นตัวดีกว่าคาด นำโดยเศรษฐกิจฝรั่งเศสที่ฟื้นตัวดีกว่าคาดทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ สำหรับเศรษฐกิจจีน แม้จะยังอ่อนแอแต่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการสนับสนุนที่มีออกมาต่อเนื่องและคาดว่าจะมีออกมาเพิ่ม จึงทำให้ความเชื่อมั่นในตลาดทุนปรับเพิ่มขึ้นในเดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ หากดูที่ตัวเลขเศรษฐกิจไทย พบว่าออกมาอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาด โดย GDP Q4 ปีที่แล้ว อยู่ที่ 1.7%YOY ต่ำกว่าตลาดคาด จากการลงทุนและบริโภคภาครัฐที่หดตัวตามความล่าช้าของการประกาศ พ.ร.บ. งบประมาณปี 67 อีกทั้ง การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นมากนัก และภาคการก่อสร้างยังหดตัวสูง ในระยะต่อไปคาดว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 จะขยายตัวดีขึ้น แต่ปัจจัยโครงสร้างที่อ่อนแอจะยังเป็นแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีนี้

สำหรับตลาดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury yields) Yields ในเดือนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเร็ว หลังตลาดปรับมุมมองการลดดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้ลงจาก 6 ครั้ง เหลือเพียง 3 ครั้ง ซึ่งในระยะสั้นมองว่าแรงกดดันด้านสูงต่อ Yields จะยังมีอยู่ โดยคาดว่าเงินเฟ้อ PCE ที่จะออกในช่วงปลายเดือนนี้ มีโอกาสออกมาสูงตามราคาสินค้ากลุ่มบริการ Supercore สะท้อนจากดัชนี PPI ซึ่งถูกใช้คำนวณในดัชนี PCE ออกมาสูงกว่าคาด จึงทำให้มองว่า 2-year yield อาจสูงขึ้นไปที่ราว 4.60-4.80% ส่วน 10-year yield อาจขึ้นไปที่ราว 4.20-4.40% ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ อย่างไรก็ดี ในระยะกลางถึงยาว มองว่า Yields จะสามารถปรับลดลงได้ เพราะเงินเฟ้อ PCE ยังมีแนวโน้มลดลงจากราคาที่อยู่อาศัย (Shelter price) และราคา

สินค้าในกลุ่ม Core goods ส่วนปัจจัยฤดูกาลที่เกิดจากการปรับขึ้นราคาในช่วงต้นปี ก็มีแนวโน้มลดลงในระยะต่อไป นอกจากนี้ คาดว่าอุปทานพันธบัตรรัฐบาลจะไม่เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่อุปสงค์จะดีต่อเนื่อง

สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยไทย กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยในปีนี้มากขึ้น โดยขณะนี้ตลาดมองว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายถึง 2 ครั้ง สะท้อนจากตลาด Swap บนอัตราดอกเบี้ย THOR ระยะสั้นของไทยอยู่ต่ำกว่า Policy rate ซึ่งมองว่า เหตุผลที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยมาจาก 1) ตัวเลขเศรษฐกิจไทยอ่อนแอกว่าคาด สะท้อนจากเลข GDP ไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ที่หดตัวเทียบไตรมาสก่อน เงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่อง และดุลการค้าที่ขาดดุลมากกว่าคาด 2) การสื่อสารของ กนง. ที่ให้น้ำหนักต่อปัจจัยเชิงโครงสร้างที่อ่อนแอขึ้นกว่าคาด และ 3) ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยมีมากขึ้น ทั้งเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญ เช่น จีน รวมถึงความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก ทั้งนี้ การลดดอกเบี้ยครั้งแรกยังไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด ทำให้อัตราดอกเบี้ย THOR OIS ในตลาดเงินจะผันผวนและมีโอกาสสูงขึ้นเล็กน้อย ซึ่งมองว่าจะเป็นโอกาสให้ Receive fixed rate ได้ โดยแนะนำ Receive THOR OIS ระยะกลาง (5 ปี)

ด้านค่าเงินบาทที่ผ่านมาอ่อนค่าเร็ว ซึ่งในระยะสั้นนี้คาดว่าแรงกดดันด้านอ่อนค่าจะยังอยู่ โดยคาดว่าดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าตามแนวโน้ม Treasury yields ที่อาจจะยังสูงในระยะอันใกล้นี้ ทำให้เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอาจอ่อนค่าได้อีกเล็กน้อย โดยในเดือนมีนาคมอาจอยู่ในกรอบ 36.00-36.50 อย่างไรก็ดี ในระยะยาว ยังมองว่าเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าต่อได้ เนื่องจาก 1) เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลง ในเวลาที่ Fed เริ่มลดดอกเบี้ย ซึ่งจะลดได้จากเงินเฟ้อที่น่าจะลดลงชัดเจนขึ้นในไตรมาสที่สอง 2) เงินยูโรมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ค่าดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงด้วย และ 3) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในระยะต่อไป โดยล่าสุดความเชื่อมั่นปรับสูงขึ้นในเดือน ม.ค. และเลขส่งออกขยายตัวสูงขึ้น จึงคาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าไปที่ราว 33.50-34.50 ณ สิ้นปีนี้

โฉมหน้าระบบนิเวศการชำระของเอเชียแปซิฟิกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลในตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีใหม่ ๆ ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเปลี่ยนวิธีการชำระด้วยเงินสดเป็นระบบดิจิทัล และเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ และความสามารถของผู้บริโภคในการจ่ายและรับเงินไปอย่างสิ้นเชิง

ความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นตัวเร่งให้วิธีการชำระเงินแบบดิจิทัลมีความหลากหลายและยืดหยุ่นมากขึ้น อาทิ แพลตฟอร์มการสมัครสมาชิก การค้าออนไลน์และโซเชียลคอมเมิร์ซ และบริการด้านการเงินแบบ on-demand

ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ในปี 2567 นี้ จังหวะของการเปลี่ยนแปลงยังจะดำเนินอย่างต่อเนื่อง และขับเคลื่อนวิวัฒนาการของการชำระเงินในระบบดิจิทัลต่อไปเพราะทั้งผู้บริโภค และภาคธุรกิจต่างมองหาวิธีการชำระและรับชำระที่รวดเร็วกว่า ปลอดภัยกว่า และไร้รอยต่อ ในขณะที่โครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยียังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องเราคาดหวังว่าโซลูชันใหม่ ๆ จะถือกำเนิดขึ้นเพื่อตอบสนองความคาดหวังของผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น”

 1. การชำระไม่ใช่แค่เรื่องของวิธีการ แต่สำคัญที่เมื่อไร

เมื่อผู้บริโภคมีความคุ้นเคยกับการชำระแบบดิจิทัล ความสำเร็จจึงไม่ใช่เพียงแค่หาโซลูชันที่ตรงตามที่ผู้บริโภคต้องการ แต่สำคัญที่การนำเสนอโซลูชันนั้น ๆ ให้กับลูกค้าต้องเกิดขึ้นในเวลาที่ใช่

สิ่งนี้เป็นเสน่ห์ของการเงินแบบฝังตัว (embedded finance) คือการผสานบริการด้านการเงินเข้ากับแพลตฟอร์มที่ไม่ใช่สถาบันการเงินแบบดั้งเดิม ปัจจุบันแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสามารถเสนอขายประกันแก่ผู้ซื้อที่จุดชำระเงิน ขณะที่บริการ “ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง” ยังช่วยให้ลูกค้าสามารถแบ่งการชำระเป็นงวดได้โดยไม่ต้องออกจากหน้าเว็บ หรือแอปชอปปิง

คล้ายคลึงกับเรื่องราวของดิจิทัลวอลเล็ตที่ทำให้ชีวิตของผู้ถือบัตรชำระเงินต่าง ๆ ง่ายดายขึ้นผ่านการชำระแบบดิจิทัล และโซลูชัน Mobile-as-a-Service (MaaS) ที่ผนวกการชำระเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถวางแผน จองตั๋ว และจ่ายค่าโดยสารการเดินทางได้ในที่เดียว

โอกาสในลักษณะนี้ยังปรากฏให้เห็นในการชำระแบบ B2B โดยวีซ่าและบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจอย่าง BCG พบว่า ภายในปี 2568 การเงินแบบฝังตัวจะสร้างโอกาสทางการตลาดได้มากกว่า 242 พันล้านเหรียญสหรัฐแก่ผู้ให้บริการด้านการเงินทั่วทั้งเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMB)

 

2. โฉมหน้าการชำระเงินแบบ B2B จะถูกปรับให้เข้ากับผู้บริโภคยิ่งขึ้น

อีกไม่นานจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่พลิกโฉมโลกธุรกิจเมื่อคลื่นลูกใหม่ของผู้นำเจน Z และมิลเลนเนียลก้าวขึ้นมามีบทบาท พวกเขาเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการชำระเงินแบบดิจิทัลที่ใช้งานง่าย และความคาดหวังของพวกเขานั่นเองที่ช่วยผลักดันผลิตภัณฑ์และบริการการชำระเงิน B2B ให้มีโฉมหน้าและฟังก์ชั่นการใช้งานให้ง่ายต่อการใช้งานของผู้บริโภคยิ่งขึ้น ตรงกันข้ามกับก่อนหน้านี้ที่ออกแบบมาสำหรับองค์กรธุรกิจเท่านั่น

มีสองพลังสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ อย่างแรกคือการทำงานร่วมกัน ระบบที่ต่างกันจะสามารถทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อได้มากน้อยเพียงใด มันจำเป็นต้องมีนักพัฒนา ธุรกิจ และภาครัฐ มาร่วมมือกันและใช้งานการเชื่อมต่อโปรแกรมประยุกต์ APIs แบบเปิดที่สามารถรองรับวิธีการชำระแบบต่าง ๆ ได้ในแพลตฟอร์มเดียว เช่นเดียวกับองค์กรในเอเชียแปซิฟิกที่อีกไม่นานจะสามารถชำระเงินอย่างไร้รอยต่อบนแพลตฟอร์ม SAP ด้วยบัตรวีซ่าเพื่อธุรกิจ โดยไม่ต้องยุ่งยากกับวิธีการชำระเงินหรือออกจากระบบอีกต่อไป

พลังอย่างที่สอง คือ ความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นต่อโซลูชันการชำระเงินแบบ B2B ที่สามารถทำได้หลายอย่างในแพลตฟอร์มเดียว แพลตฟอร์มเหล่านี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กเพราะ รวบรวมบริการต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน อาทิ การชำระเงิน การกู้ยืม และการจัดการใบแจ้งหนี้ เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการงานด้านการเงินที่สำคัญให้จบได้ในอินเตอร์เฟซเดียว

 3. ความเสี่ยงมีให้เห็นบ่อยขึ้น แต่จับพิรุธได้ยากขึ้น

การชำระเงินแบบดิจิทัลที่เติบโตขึ้นในเอเชียแปซิฟิกส่งผลให้อาชญากรรมทางไซเบอร์มีเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ระบบ Generative AI ที่สร้างขึ้นบนโมเดลภาษาขนาดใหญ่เริ่มเลียนแบบการตอบสนองที่เหมือนมนุษย์ได้เนียนขึ้น และมิจฉาชีพสามารถใช้ความสามารถของมันไปสร้างอีเมลหลอกลวง และข้อความหลอกลวงแบบฟิชชิ่งโดยการใช้ภาษาที่ดีขึ้น ทำให้ผู้บริโภคจับพิรุธได้ยากขึ้นกว่าเดิม

นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของการฉ้อโกงระบุตัวตน การยึดครองบัญชี และรูปแบบการโกงแบบ “ได้คืบจะเอาศอก” ที่นักต้มตุ๋นมักใช้ล่อเหยื่อด้วยการจ่ายเงินจำนวนไม่มากนักเพื่อซื้อใจเหยื่อ นอกจากนี้ธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกมีความเชื่อมต่อกันมากขึ้น ความสุ่มเสี่ยงต่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย

ปัจจุบันวิธีการฉ้อโกงใหม่ ๆ มีหลายร้อยเล่มเกวียน ทำให้วิธีการเดิม ๆ ในการตรวจจับและป้องกันนั้นไม่เพียงพอ ข่าวดีก็คือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็เร่งเครื่องเพื่อตามกลโกงเหล่านี้ให้ทัน เทคโนโลยี Machine learning (ML) และ โซลูชัน AI อย่าง Visa’s Advanced Authorisation (ViAA) ของวีซ่า สามารถขจัดความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้นก่อนการทำธุรกรรมได้โดยการตรวจจับความผิดปกติและภัยคุกคามอย่างรวดเร็วแบบเรียลไทม์ นับว่าเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจที่ไม่มีทรัพยากรในการจัดการเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง

ข่าวดีอีกเรื่องคือการยอมรับการชำระด้วยบัตรเวอร์ชวล (virtual card) ซึ่งเป็นบัตรที่ใช้งานได้เหมือนบัตรพลาสติกเพื่อการชำระเงินทั่ว ๆ ไปในกระเป๋าสตางค์ของคุณ แต่ใช้หมายเลขบัตรแบบใช้ครั้งเดียวและจํากัดเวลาในการชำระเงินแต่ละครั้ง ซึ่งสิ่งที่ทำให้บัตรเวอร์ชวลแตกต่างจากบัตรทั่วไปคือมันมาพร้อมกับ Dynamic CVV2 (dCVV2)

บนบัตรพลาสติกเพื่อการชำระแบบมาตรฐานทั่วไปจะมีตัวเลข CVV2 จำนวน 3 หลักพิมพ์ลงบนด้านหลังของบัตร หากตัวเลขดังกล่าวถูกมิจฉาชีพล่วงรู้ ก็จะสามารถใช้บัตรและนำเลขกลับมาใช้ใหม่เพื่อทำธุรกรรมที่ฉ้อโกงได้ แต่ด้วย Dynamic CVV2 ค่าตัวเลขจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด โดยระหว่างการชำระเงินออนไลน์ผู้ถือบัตรจะกรอกเลข Dynamic CVV2 (dCVV2) ปัจจุบัน แล้วหลังจากนั้นระบบ VisaNet จะทำการตรวจสอบรหัสด้วยฟังก์ชันการตรวจสอบสิทธิ์ dCVV2 Authenticate เพื่อยืนยันตัวตน โดยเทคโนโลยี dCVV2 นอกจากจะช่วยป้องกันการใช้ซ้ำของบัตรที่ถูกมิจฉาชีพล้วงข้อมูลแล้ว ยังสามารถช่วยป้องกันการโจรกรรมและลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องก้บการฉ้อโกงต่าง ๆ ได้อีกด้วย

 

4. ธุรกิจ SMB มองไปยังอนาคต แต่ต้องการตัวช่วยสู่ความสำเร็จ

ในปี 2567 และปีต่อ ๆ ไป ภาคธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMB) ในเอเชียแปซิฟิกจะยังประสบกับความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ การเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลได้สร้างการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจแบบเท่าเทียม ที่เจ้าของธุรกิจรายย่อยก็สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลกได้

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจใหม่ และธุรกิจ SMB เหล่านี้ในภาคอื่น ๆ อาจต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ ด้วยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องรับเอาเทคโนโลยีที่ฉลาดและคุ้มค่าต่อการลงทุนมากขึ้นมาใช้งานด้วยเช่นกัน

หมายความว่า SMB จะช่างเลือกมากขึ้นในการยอมรับโซลูชันการชำระเงินในปี 2567 นี้ พวกเขาต้องการการชำระเงินแบบดิจิทัลที่สะดวก เชื่อถือได้ และไร้รอยต่อ ควบคู่ไปกับการขยายการทำธุรกิจไปต่างประเทศเติบโตขึ้น ส่งผลให้ SMB จะให้ความสำคัญกับโซลูชันที่ช่วยให้พวกเขาสามารถเข้าถึงลูกค้าทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้นเป็นอันดับแรก

“โซลูชันการชำระเงินที่ใช้งานได้จริงและเหมาะกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ ธุรกิจ SME ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ คือ บัตรเวอร์ชวล ซึ่งบัตรเวอร์ชวลเพื่อธุรกิจไม่จำเป็นต้องผลิต ถือเป็นความคุ้มทุนเพราะผู้ประกอบการสามารถขอบัตรเวอร์ชวลได้มากตามที่ต้องการ และลูกจ้างไม่จำเป็นต้องรอให้บัตรพลาสติกจัดส่งมาให้ บัตรเวอร์ชวลยังสามารถตั้งค่าได้อย่างรวดเร็วและกำหนดวงเงินได้ตามต้องการ ซึ่งมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับธุรกิจ SME เพราะการชำระเงินไม่

จำเป็นต้องรวมที่ศูนย์กลางและลูกจ้างสามารถทำการชำระได้อย่างอิสระ ขณะที่บริษัทยังคงควบคุมกระแสเงินสดได้อย่างครบถ้วนอีกด้วย” ปุณณมาศ กล่าวเสริม

นอกจากนี้เรายังจะเห็นธุรกิจ SMB หันไปหาแหล่งเงินทุนที่คล่องตัวและยืดหยุ่นกันมากขึ้น เช่น บัตรที่เหมาะกับความต้องการของธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อที่มีความยืดหยุ่น

เมื่อนวัตกรรมและการพัฒนาการชำระเงินยังคงขับเคลื่อนต่อไปในเอเชียแปซิฟิก สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือระบบนิเวศการชำระจะต้องอยู่ต้นแถว เพราะความรวดเร็ว สะดวกสบาย และปลอดภัย ถือเป็นเรื่องสำคัญ เราหวังจะได้ทำงานร่วมกันทั่วทั้งระบบนิเวศทางการเงินเพื่อสร้างโซลูชันใหม่ ๆ ที่จะช่วยพัฒนาภูมิทัศน์ของเอเชียแปซิฟิกไปด้วยกัน

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 นายสุรเดช ตัณฑ์ไพบูลย์ (ที่ 4 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASIMAR ได้รับความไว้วางใจจากกองทัพเรือ นำโดย พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้บัญชาการทหารเรือให้เกียรติเป็นประธานในพิธีวางกระดูกงูเรือปฏิบัติการอุทกศาสตร์ มูลค่า 885 ล้านบาท ความยาวตลอดลำ 60 เมตร และความกว้าง 13.30 เมตร โดยวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนเรือหลวงสุริยะ มุ่งเน้นสนับสนุนการสำรวจและรวบรวมข้อมูลทางด้านอุทกศาสตร์ และสมุทรศาสตร์ สนับสนุนผู้ประสบภัยทางทะเล พร้อมสนับสนุนกิจอื่นๆตามที่ได้รับมอบหมาย งานดังกล่าวจัดขึ้น ณ อู่ต่อเรือ บริษัท เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน)

โดยกองทัพเรือได้พิจารณาคัดเลือกอู่เรือชั้นนำในประเทศไทยโดยการพิจารณาอย่างรอบด้าน สนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเรือในประเทศ ให้มีความเข้มแข็ง ลดการพึ่งพาต่างประเทศ ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งนี้ ASIMAR ได้รับความไว้วางใจต่อเรือเป็นลำที่ 2 ให้กับกองทัพเรือ

ASIMAR หรือ เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน) เป็นอู่เรือที่มีมาตรฐานและคุณภาพเทียบชั้นระดับสากล มุ่งมั่นนำเทคโนโลยีพัฒนากระบวนการผลิตให้ได้คุณภาพ ส่งมอบตรงเวลา เพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า

 ลอรีอัล กรุ๊ป ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำด้านความโปร่งใสในการปฏิบัติงานและความยั่งยืนของภาคองค์กรธุรกิจจาก CDP เป็นเวลา 8 ปีติดต่อกัน โดยครองตำแหน่ง ‘A List’ ทั้งด้านการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การปกป้องป่าไม้ และการรักษาความมั่นคงของแหล่งน้ำ

ลอรีอัล กรุ๊ป ยืนหยัดเป็นบริษัทเพียงหนึ่งเดียวที่ได้คะแนน A ด้านสิ่งแวดล้อมทั้งสามด้านเป็นปีที่ 8 ติดต่อกันจาก CDP และเป็นหนึ่งในบริษัทเพียง 10 แห่งที่ได้คะแนน AAA ในปี 2566 จากทั้งหมด 21,000 บริษัทที่ได้รับการประเมิน

การเปิดเผยข้อมูลและกระบวนการให้คะแนนด้านสิ่งแวดล้อมประจำปีของ CDP นั้น ได้รับการยอมรับในวงกว้างว่าเป็นมาตรฐานสูงสุดสำหรับการวัดความโปร่งใสด้านสิ่งแวดล้อมในภาคองค์กรธุรกิจ

นิโคลา ฮิโรนิมุส ซีอีโอ ลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวว่า “สำหรับลอรีอัลนั้น เรารู้สึกภูมิใจยิ่งที่สามารถรักษาระดับคะแนน ‘AAA’ เอาไว้ได้เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน ความสำเร็จนี้เป็นกำลังใจให้เรายึดมั่นในความพยายามที่เราได้เริ่มไว้ในฐานะผู้นำด้านความงามระดับโลก เมื่อเราได้ตัดสินใจครั้งสำคัญเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงธุรกิจของเราให้สอดคล้องกับปัญหาของสภาพภูมิอากาศ เรามุ่งมั่นว่าจะต้องดำเนินการเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้สำเร็จในปี 2573 เมื่อพิจารณาถึงความยิ่งใหญ่ของปัญหาทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่รอเราอยู่เบื้องหน้าแล้ว หนทางเดียวที่จะสามารถรับมือได้ก็คือการร่วมมือกัน และเราก็มุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่”

 

ความสำเร็จในครั้งนี้ตอกย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน และเป้าหมายปี 2573 ในโครงการ L’Oréal for the Future ของลอรีอัล กรุ๊ป ซึ่งครอบคลุมแกนการดำเนินงานในสามส่วน ได้แก่ การปฏิรูปตนเอง เสริมสร้างพลังให้กับระบบนิเวศทางธุรกิจ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาความท้าทายที่โลกต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน การเคารพในความหลากหลายทางชีวภาพ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

CDP ได้ประเมินบริษัทต่าง ๆ ด้วยวิธีการที่ละเอียดและเป็นอิสระ โดยให้คะแนน A ถึง D- ที่ครอบคลุมเรื่องการเปิดเผยข้อมูล การสร้างความตระหนัก และการจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในด้านความเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การกำหนดเป้าหมายที่มุ่งมั่นและมีความหมาย ขณะที่บริษัทที่ไม่เปิดเผยข้อมูลหรือให้ข้อมูลไม่เพียงพอต่อการประเมินจะได้รับคะแนน F ในปีที่แล้ว มีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มขึ้น 24% ซึ่งเป็นแนวโน้มที่น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ การวางรากฐานเรื่องการเปิดเผยข้อมูลให้เป็นไปในแนวทางเดียว จะเป็นการดำเนินการที่แสดงให้เห็นว่า บริษัทนั้น ๆ มีความตั้งใจอย่างจริงจังที่จะรับบทบาทสำคัญในการร่วมสร้างอนาคตที่คาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์และผลลัพธ์ที่เป็นบวกต่อธรรมชาติ

สามารถดูรายชื่อบริษัททั้งหมดที่อยู่ใน A List ของ CDP ในปี 2566 ได้ที่ https://www.cdp.net/en/companies/companies-scores

APCO เผยผลประกอบการปี 2566 รายได้รวม 309.54 ล้านบาท กำไรสุทธิ 108.74 ล้านบาท โต 33.92% เตรียมจ่ายปันผล 0.18 บาท/หุ้น คิดเป็น 100% 13 ปีซ้อน งานวิจัยล่าสุด ย้อนวัย ชะลอวัย สร้างภูมิคุ้มกันป้องกันมะเร็ง และ HIV/AIDS พร้อมตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ Food Science & Nutrition ตอกย้ำความเชื่อมั่นผู้บริโภค สร้างการเติบโตตามเป้า 10-15% รักษาอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 80%

 

ศ. ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO เจ้าของธุรกิจนวัตกรรมธรรมชาติเพื่อสุขภาพและความงามด้วยการวิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายครบวงจร เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 309.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 264.87 ล้านบาท จำนวน 44.67 หรือเพิ่มขึ้น 16.87% และ มีกำไรสุทธิ 108.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 81.20 ล้านบาท จำนวน 27.54 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33.92%

 

โดยผลประกอบการของบริษัทเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ส่งผลให้ยอดจำหน่ายทุกผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์นวัตกรรมวัฒนาชีวา ย้อนวัย ชะลอวัย นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง และ นวัตกรรม ByeByeHIV ทำให้ยอดขายเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติจ่ายปันผลผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท หรือคิดเป็น 100% ของกำไรสุทธิ ถือเป็นปีที่ 13 ที่บริษัทจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นในอัตรา 100% อย่างต่อเนื่อง โดยจะจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดทั้งสิ้น 108.00 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 30 เม.ย. 2567 และจ่ายปันผลในวันที่ 13 พ.ค. 2567 โดยมติดังกล่าวเตรียมนำเสนอเพื่อขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 วันที่ 22 เม.ย. 2567 เพื่อพิจารณาต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบรายงานการพิมพ์เผยแพร่งานวิจัยในวารสารนานาชาติ Food Science & Nutrition เรื่องนวัตกรรมวัฒนชีวา ที่เพิ่มความยาวเทโลเมียร์ ซึ่งทำให้เกิดการย้อนวัย และเพิ่มภูมิคุ้มกันป้องกันมะเร็ง และนวัตกรรม ByeByeHIV ช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตเหมือนคนปกติแล้ว 50 ราย และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับเป็นความสำเร็จก่อนทุกประเทศทั่วโลก ผลงานที่พิมพ์เผยแพร่ในวารสารนานาชาติทั้ง 2 เรื่องนี้ จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ APCO และสร้างการยอมรับจากผู้บริโภค ส่งผลต่อ

ยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตปีนี้ 10-15% และรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 80%

SCB CIO ประเมินมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุน หลังผลเลือกตั้งอินโดนีเซีย ที่นายปราโบโว ซูเบียนโต ได้รับคะแนนเสียงสูงสุด เตรียมเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ในวันที่ 20 ต.ค. นี้ เดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม พร้อมสานต่อนโยบายรัฐบาลชุดเดิม สร้างเศรษฐกิจให้เติบโตด้วยกลไกตลาดเสรี ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ และเน้นการพึ่งพาตัวเองมากขึ้น ทั้ง ด้านพลังงาน อาหาร และน้ำ รวมทั้ง ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ตั้งเป้าเศรษฐกิจอินโดนีเซียเติบโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปี SCB CIO ยังคงมุมมอง Neutral แม้หุ้นกลุ่มธนาคารเติบโตดี Valuationของตลาดหุ้น อยู่ในระดับต่ำ และรายได้ (Earning) ของบริษัทจดทะเบียน คาดว่ามีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปีนี้ที่กว่า 12% และปี 2568 กว่า 9% แต่ยังมีปัจจัยกังวลในเรื่องภาคการส่งออกที่หดตัวอย่างต่อเนื่อง การปรับลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และความเสี่ยงที่รัฐบาล อาจปรับเพิ่มเพดานขาดดุลการคลังต่อ GDP จาก 3% เป็น 6% ที่อาจจะกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังระยะกลางถึงยาวได้

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2567 ผลการนับคะแนนแบบไม่เป็นทางการ (Quick Count) ที่มีความแม่นยำค่อนข้างสูง ชี้ว่า นายปราโบโว ซูเบียนโต (Prabowo Subianto)ได้คะแนนเฉลี่ย 58% ของคะแนนเสียงทั้งหมด ทำให้ นายปราโบโว คว้าชัยชนะจากการเลือกตั้งประธานาธิบดี และเตรียมรอเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ต.ค.นี้ โดยไม่น่าจะต้องมีการเลือกตั้งรอบสอง เนื่องจากเป็นไปตามกฎการเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซียที่ระบุว่า กรณีผู้สมัครชนะการเลือกตั้ง ต้องได้คะแนนมากกว่า 50% และ ได้คะแนนอย่างน้อย 20% ในจังหวัดต่างๆ มากกว่าครึ่งหนึ่งของจังหวัดทั้งประเทศ หากไม่มีผู้สมัครคนใดได้คะแนนเสียงถึงเกณฑ์ที่กำหนด จึงจะจัดเลือกตั้งรอบสอง ให้ผู้สมัครที่มีคะแนนเสียงอันดับ 1 และ 2 ชิงชัยชนะกัน

เมื่อวิเคราะห์นโยบายหาเสียงของนายปราโบโว พบว่า โดยภาพรวมเน้นไปที่การกระตุ้นเศรษฐกิจ และด้านสวัสดิการสังคม นโยบายหลักๆ ได้แก่ ด้านสุขภาพ อสังหาริมทรัพย์ แรงงาน การคลัง และ สวัสดิการสังคม โดยตัวอย่างนโยบายเด่นๆ เช่น จัดตรวจสุขภาพฟรีให้ประชาชนทุกคนปีละ 1 ครั้ง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของหมู่บ้านและตำบลอย่างต่อเนื่อง เพิ่มเงินเดือนข้าราชการ จัดตั้งสำนักงานสรรพากรของรัฐ แยกออกมาจากกระทรวงการคลัง เพื่อเพิ่มอัตราส่วนรายได้ภาครัฐต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และเพิ่มโปรแกรมบัตรสวัสดิการสังคม เพื่อขจัดความยากจนอย่างแท้จริง เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังพร้อมสานต่อนโยบายรัฐบาลของนายโจโก วีโดโด (Joko Widodo) ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เช่น นโยบายโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะโครงการสร้าง "นูซันตารา" เมืองหลวงแห่งใหม่ ทั้งยังต้องการมุ่งเน้นให้เศรษฐกิจเติบโตด้วยกลไกตลาดเสรี ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ และเน้นการพึ่งพาตัวเองมากขึ้นด้านพลังงาน อาหาร และน้ำ รวมทั้ง ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศด้วย

สำหรับช่วง 5 ปีต่อจากนี้ที่ นายปราโบโว จะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้ตั้งเป้าหมายเศรษฐกิจอินโดนีเซียเติบโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่ IMF คาดอยู่ที่ 5% ระหว่างปี 2024-2025 นอกจากนี้ ยังต้องการลดจำนวนคนว่างงานลงประมาณ 2 ล้านคน ภายใน 5 ปี ผ่านการสืบสานและต่อยอดนโยบายประธานาธิบดี โจโก ซีโดโด โดยเราคาดว่า จะช่วยสนับสนุนภาคการลงทุน จากการที่ภาคเอกชนมีความมั่นใจมากขึ้น และการเพิ่มการใช้จ่ายงบลงทุน (CAPEX) ส่วนการบริโภค คาดว่าจะได้รับผลบวกจากการใช้จ่ายภาครัฐฯ ในด้านสังคม ที่มีแนวโน้มดำเนินต่อไป ตามที่ได้ผ่านงบประมาณรายจ่ายไว้แล้ว ขณะเดียวกัน นายปราโบโว ประกาศไว้ว่าจะเริ่มต้นเดินหน้านโยบายที่หาเสียงไว้หลายประการทันทีที่เข้ามาบริหารประเทศเต็มตัว จึงเป็นแรงกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะต่อไป

ทั้งนี้ SCB CIO มีมุมมองเชิงบวกเพิ่มขึ้นต่อตลาดหุ้นอินโดนีเซีย โดยมองว่าตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนระยะสั้น จากปัจจัยดังนี้ 1) การเลือกตั้งที่มีแนวโน้มสำเร็จในรอบแรก ส่งผลบวกต่อ sentiment บนตลาดหุ้นอินโดนีเซีย 2) ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารยังมีแนวโน้มเติบโตดี 3) Valuation ของตลาดหุ้นอินโดนีเซีย อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยเทรดอยู่บน ราคาต่อกำไรต่อหุ้นในระยะข้างหน้า (forward PE) ที่ 13.7x หรือยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ประมาณ -1 s.d. และ 4) Earnings ของบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปี 2567 ที่ประมาณ +12.2% และในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ +9.4%

อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมอง Neutral (ถือ) บนตลาดหุ้นอินโดนีเซียอยู่ เนื่องจากประเด็นความกังวลที่มีอยู่ ได้แก่ 1) ภาคการส่งออกที่หดตัวอย่างต่อเนื่อง 2) การปรับลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออก ดุลบัญชีเดินสะพัด และรายได้ภาครัฐฯ ของอินโดนีเซีย 3) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับลดลง อาจส่งผลกดดันต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลให้ปรับลดลง และ 4) ความเสี่ยงที่รัฐบาลภายใต้การนำของ นายปราโบโว อาจปรับเพิ่มเพดานขาดดุลการคลังต่อ GDP จากปัจจุบันที่ 3% เป็น 6% ซึ่งหากเกิดขึ้น จะกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังระยะกลางถึงยาว และส่งผลลบต่อค่าเงินรูเปี๊ยะให้อ่อนค่าลง และ Bond Yield อินโดนีเซีย อาจกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้

งานเทคโนโลยีชั้นนำในยุโรป ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีจากทั่วโลกมากกว่า 14,000 คนเข้าร่วมงาน ซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) ได้ประกาศความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งหมด

มีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำเพียงไม่กี่อย่างที่ก่อให้เกิดความสนใจอย่างกว้างขวางแบบ AI รวมไปถึงเทคโนโลยีล่าสุดอย่าง Generative AI (GenAI) องค์กรต่างๆ ทั่วโลกกำลังค้นหาวิธีการใหม่ๆ ที่น่าสนใจเพื่อรองรับการทำงานร่วมกัน จัดการแอปพลิเคชั่นต่างๆ ปรับปรุงความปลอดภัยด้านดิจิทัล และพลิกโฉมประสบการณ์ของลูกค้า อย่างไรก็ตาม แต่ละแง่มุมเหล่านี้ก่อให้เกิดความกังวลใจมากขึ้นเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายและการเข้าถึงข้อมูล ความถูกต้องแม่นยำ ความเป็นส่วนตัว และการใช้ AI อย่างมีจริยธรรมและมีความรับผิดชอบ

เป็นที่คาดการณ์ว่า GenAI จะช่วยเพิ่มจีดีพีทั่วโลกได้ราว 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายมากมายที่จะทำให้บริษัทต่างๆ ไปถึงจุดนั้นได้ รายงาน Cisco AI Readiness Index ฉบับล่าสุด ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารฝ่ายธุรกิจและฝ่ายไอทีในภาคเอกชนมากกว่า 8,000 คนใน 30 ประเทศ พบว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามมีกลยุทธ์ด้าน AI อยู่แล้วหรืออยู่ระหว่างการพัฒนา แต่มีเพียง 14 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีความพร้อมที่จะบูรณาการ AI เข้ากับธุรกิจของตน

“โอกาสในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าจะไม่มีมากไปกว่านี้อีกแล้ว ในโลกที่ไม่อาจคาดเดาได้ เทคโนโลยีถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาท้าทายต่างๆ ที่เราอาจเผชิญ เทคโนโลยี AI ทำให้เรามองเห็นความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุด รวมถึงอนาคตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น สร้างสรรค์มากขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อทุกคน ที่ซิสโก้ เรารู้สึกตื่นเต้นกับบทบาทการทำงานของเรา เรามีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการขับเคลื่อน AI รวมไปถึงผลิตภัณฑ์และบริการที่ได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ระบบการตรวจสอบและเครื่องมือต่างๆ ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด และความเชี่ยวชาญที่จะช่วยให้ลูกค้าของเราได้รับผลลัพธ์ที่ต้องการ ในรูปแบบที่ไม่มีใครสามารถทำได้” — โอลิเวอร์ ทัสซิก รองประธานอาวุโสและประธานประจำภาคพื้นยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาของซิสโก้

 

ปัจจุบัน ซิสโก้นำเสนอฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ และการบริการลูกค้า และเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสำหรับโครงสร้างพื้นฐานแบบ AI-ready ที่งาน Cisco Live Amsterdam ซิสโก้ได้ประกาศกลยุทธ์ในการปรับใช้และบูรณาการ AI ที่จะเป็นประโยชน์แก่ลูกค้าดังนี้:

· ซิสโก้และเอ็นวิเดีย (NVIDIA) ช่วยให้องค์กรต่างๆ ปรับใช้และจัดการโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ปลอดภัยได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย บริษัททั้งสองได้ประกาศแผนการส่งมอบโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐาน AI สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งสามารถติดตั้งใช้งานและจัดการได้อย่างง่ายดาย รองรับพลังประมวลผลจำนวนมหาศาลที่จะช่วยให้องค์กรต่างๆ ประสบความสำเร็จในยุค AI

· Cisco Identity Intelligence ป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใน Cisco Security Cloud มีการนำเสนอนวัตกรรม AI อย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบแพลตฟอร์มการรักษาความปลอดภัยที่ขับเคลื่อนด้วย AI แบบ cross-domain ที่ครบวงจรนวัตกรรมที่ว่านี้ได้แก่ ระบบวิเคราะห์แบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI สำหรับ Cisco Identity Intelligence รวมไปถึง Cisco AI Assistant for Security ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด เพิ่มขีดความสามารถของเครื่องมือ และปรับเปลี่ยนการทำงานที่ซับซ้อนให้เป็นแบบอัตโนมัติ

· ซิสโก้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่บน Cisco Observability Platform เพื่อเสริมศักยภาพให้แก่ลูกค้าด้วยประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความสามารถในการตรวจสอบ ข้อมูลเชิงลึก และการดำเนินการที่ดีขึ้น ตอนนี้ Cisco Observability Platform นำเสนออินเทอร์เฟซภาษาธรรมชาติเพื่อเพิ่มความสะดวกในการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ แอปพลิเคชั่นใหม่ Cisco AIOps ยังช่วยลดความยุ่งยากในการตรวจสอบสถานะทางธุรกิจแบบเรียลไทม์ ช่วยปรับเปลี่ยนกระบวนการด้านไอทีให้เป็นแบบอัตโนมัติ และช่วยให้ทีมงานฝ่ายปฏิบัติการสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองได้อย่างฉับไว

· ซิสโก้เผยโฉมผลิตภัณฑ์ SaaS ตัวแรกที่รองรับการปรับใช้ GenAI ที่น่าเชื่อถือภายในองค์กร Motific ซึ่งเปิดตัวในวันนี้ ให้มุมมองจากส่วนกลางที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนการใช้งาน GenAI เพิ่มขีดความสามารถของทีมงานฝ่ายไอทีและฝ่ายรักษาความปลอดภัยส่วนกลาง เพื่อส่งมอบความสามารถด้าน GenAI ที่น่าเชื่อถืออย่างรวดเร็ว ครอบคลุมทั่วทั้งองค์กรด้วยการควบคุมด้านค่าใช้จ่าย ข้อมูลที่ละเอียดอ่อน และความปลอดภัย

· ซิสโก้ช่วยให้ลูกค้าปรับใช้ AI ได้เร็วยิ่งขึ้น ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมกับรูปแบบการใช้งาน ซิสโก้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจพัฒนาและปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ AI รวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ Cisco X-Series Direct ซึ่งออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับสภาพแวดล้อมที่ลูกค้าต้องการการเชื่อมต่อและพลังประมวลผลที่ส่วนขอบของเครือข่าย (Edge) เพื่อรองรับแอปพลิเคชั่นที่เพิ่มมากขึ้นโดยใช้โครงสร้างพื้นฐานน้อยลง และยังมีบริการเพิ่มเติมในส่วนของการออกแบบระบบ Converged และ Hyperconverged ที่ผ่านการรับรอง ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก Cisco Validated Solutions ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเร็วๆ นี้ รวมถึงพิมพ์เขียว AI/ML สำหรับเครือข่ายดาต้าเซ็นเตอร์

· Webex by Cisco ประกาศความพร้อมใช้งานของฟีเจอร์ AI ตามที่คาดการณ์ไว้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของ Webex by Cisco ในการนำเสนอความสามารถที่แข็งแกร่งเพื่อให้แก่บุคลากรทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยซิสโก้ได้ประกาศความพร้อมใช้งานทั่วไป รวมถึงการทดลองใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ของ Cisco AI Assistant บน Webex Suite และ Contact Center เช่น ฟีเจอร์การประชุมและสรุป Vidcast เปลี่ยนโทนเสียงข้อความ การแปลข้อความ การตรวจจับความเหนื่อยล้าของเจ้าหน้าที่ และสรุปการสนทนา

X

Right Click

No right click