December 18, 2025

 บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมลงนามความร่วมมือภายใต้โครงการ “Collaboration towards excellence in lung cancer

นำร่องที่โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ มุ่งใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) มาเสริมการปิดช่องว่างในการวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งปอด รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้แก่ภาคประชาชนในการประเมินความเสี่ยงและเข้ารับการตรวจคัดกรอง วินิจฉัย และรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อร่วมรณรงค์ไปกับแคมเปญ Close the care gap ขององค์การอนามัยโลก (WHO) วันมะเร็งโลก สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ ในฐานะโรงพยาบาลเอกชนเฉพาะทางด้านโรคมะเร็ง ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยแบบครบองค์รวมในทุกขั้นตอนการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม และการตรวจหาสารพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งในร่างกาย เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว ชูความเป็นศูนย์แห่งความเป็นเลิศด้านโรคมะเร็งแห่งเอเชียแปซิฟิก (Center of Excellence - Cancer)

นอกจากด้านการตรวจวินิจฉัยและรักษาของโรงพยาบาลที่ครบครัน แอสตร้าเซนเนก้า เป็นหนึ่งในสมาชิกของ The Lung Ambition Alliance (LAA) เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาคีพันธมิตรระดับนานาชาติ 4 องค์กรที่มีการดำเนินกิจกรรมใน 50 ประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย เพื่อร่วมกันสานต่อเป้าหมายในการเพิ่ม ‘อัตราการรอดชีวิต 5 ปี’ ของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดให้เป็น 2 เท่า ภายใน พ.ศ. 2568 พร้อมศึกษาทำความเข้าใจถึงวิวัฒนาการของโรค พัฒนาเทคนิคระดับก้าวหน้าเพื่อการดูแลรักษาโรคมะเร็งปอด ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้น

 

ศ.พิเศษ นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพวัฒโนสถ กล่าวว่า “งานแถลงข่าวในครั้งนี้เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนการรณรงค์วันมะเร็งโลกหรือ World Cancer Day ซึ่งในปีนี้องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ให้ความสำคัญกับการ “Close the care gap” หรือการปิดช่องว่างในการดูแลรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งทางโรงพยาบาลเน้นในเรื่องของมะเร็งปอด เนื่องจากปัจจุบันเราพบผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดสูงขึ้นเป็นอย่างมากในคนที่ไม่สูบบุหรี่ และมีภัยคุกคามต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งปอดในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ เช่น ฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะในผู้ที่มียีนกลายพันธุ์ EGFR หรือ KRAS และในปัจจุบันยังไม่มีแนวทางการตรวจคัดกรองในมะเร็งปอดในกลุ่มที่ไม่เคยสูบบุหรี่ ดังนั้น การที่จะปิดช่องว่างหรือ Close the care gap ในเรื่องนี้ จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเสริม เช่น การนำปัญญาประดิษฐ์หรือ A.I. มาช่วยในการวินิจฉัยภาพเอกซเรย์รังสีทรวงอกในผู้ที่เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี และโรงพยาบาลนำชุดตรวจหาสารพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งในร่างกายจากเลือด (Circulating Tumor DNA : ctDNA) โดยใช้เทคโนโลยี Next-Generation Sequencing ที่สามารถตรวจหามะเร็งหลายชนิดพร้อมกัน เพื่อค้นหาโรคมะเร็งตั้งแต่ก่อนเป็นจนถึงระยะเริ่มต้น ซึ่งช่วยเสริมการตรวจคัดกรองประเมินความเสี่ยงโรคมะเร็งเฉพาะบุคคล พร้อมทั้งช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

 

นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “โรคมะเร็ง หากรู้เร็ว สามารถรักษาได้ โรคมะเร็งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคที่แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทยให้ความสำคัญมาตลอดระยะเวลา 40 ปี เราพร้อมเดินหน้าประสานความร่วมมือกับหน่วยงานด้านสาธารณสุข องค์กรพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมคนไทยหันมาตรวจคัดกรองโรคมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้นมากขึ้น ทั้งนี้ ในฐานะบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก เรามุ่งมั่นในการนำวิทยาศาสตร์มาต่อยอดและพัฒนาการดูแลสุขภาพของประชาชนมาโดยตลอด ล่าสุดกับการนำเสนอการใช้เทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ร่วมกับเครื่องเอกซเรย์ปอด เพื่อช่วยให้แพทย์สามารถตรวจพบเงาของก้อนเนื้อในปอดซึ่งอาจเป็นตัวบ่งชี้มะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นที่อาจมีขนาดเล็กหรือมองเห็นได้ยากภายในระยะเวลา 3 นาที ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและสามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ลดอัตราการเสียชีวิต เพิ่มอัตราการรอดชีวิต 5 ปีของผู้ป่วยมะเร็งปอดได้มากยิ่งขึ้น”

 

พญ.เมธินี ไหมแพง ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่ม 1 และผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กว่า 10 ปีของโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ ภายใต้การบริหารงานของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่มีเครือข่ายกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เรามุ่งมั่นให้การบริการทางด้านสุขภาพและศูนย์แห่งความเป็นเลิศในโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง รองรับผู้ป่วยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งการร่วมมือกับแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทยในครั้งนี้ ถือเป็นการช่วยส่งเสริมศักยภาพของโรงพยาบาล ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวิชาการทางคลินิกวิทยาศาสตร์ ร่วมกับสถาบันมะเร็งระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลก รวมถึงการถ่ายทอดนวัตกรรม และความเชี่ยวชาญขั้นสูงให้แก่ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการและทีมสหสาขาวิชาชีพ (Multi-disciplinary team – MDT) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกับแนวทางการวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ส่งเสริมให้โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ เป็นศูนย์แห่งความเป็นเลิศด้านโรคมะเร็งแห่งเอเชียแปซิฟิกในอนาคต

ความร่วมมือของทั้งสององค์กรในครั้งนี้ จะช่วยปิดช่องว่างการตรวจวินิจฉัย และดูแลเติมเต็มทุกการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง Close the Care Gap ให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชนคนไทยและทุกเชื้อชาติ ห่างไกลจากโรคมะเร็ง และข้ามผ่านการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

แม้ว่าพนักงานในไทยส่วนใหญ่ยินดีที่จะกลับเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศอย่างน้อยสองสามครั้งต่อสัปดาห์ แต่ผลการศึกษาล่าสุดของซิสโก้ชี้ว่าพนักงานมากกว่าครึ่งหนึ่งเชื่อว่าออฟฟิศไม่ตอบโจทย์การใช้งานตามวัตถุประสงค์ของตนเองอีกต่อไป

จากรายงานการศึกษาดังกล่าวซึ่งตรวจสอบทัศนคติของพนักงานและนายจ้างเกี่ยวกับพื้นที่ทำงานหรือเวิร์กสเปซในปัจจุบัน พบว่าการออกแบบพื้นที่ทำงาน การจัดวางเลย์เอาต์ และเทคโนโลยีไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของพนักงานที่เปลี่ยนแปลงไป

รายงานผลการศึกษาที่มีชื่อว่า “From Mandate to Magnet: The Race to Reimagine Workplaces and Workspaces for a Hybrid Future” (จากการบังคับสู่ความเต็มใจ: ความพยายามในการพลิกโฉมสถานที่ทำงานและเวิร์กสเปซเพื่อรองรับการทำงานแบบไฮบริดในอนาคต) ระบุว่า 66% ของบริษัทในไทยบังคับให้พนักงานกลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศทั้งหมดหรือบางส่วน โดยปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญเป็นเรื่องของประสิทธิภาพการทำงาน การติดต่อสื่อสารภายในทีมงาน และแรงกดดันจากผู้บริหาร

ตรงกันข้ามกับความเชื่อโดยทั่วไปที่ว่าพนักงานส่วนใหญ่ลังเลที่จะกลับเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศ ผลการศึกษานี้พบว่าพนักงานในไทย 8 ใน 10 คน (84%) ตอบสนองเชิงบวกต่อคำสั่งขององค์กรที่ระบุให้กลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศ และ 94% ของผู้ตอบแบบสอบถามแสดงความต้องการที่จะกลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศอย่างน้อยสองสามครั้งต่อสัปดาห์

 

ซานดีฟ เมห์รา กรรมการผู้จัดการฝ่ายขายด้านโซลูชั่นการทำงานร่วมกันของซิสโก้ เอเชีย-แปซิฟิก ญี่ปุ่น และจีน กล่าวว่า “ผลการศึกษาของเราเผยให้เห็นว่าพนักงานในภูมิภาคนี้เปิดรับการทำงานในรูปแบบไฮบริดและเต็มใจที่จะกลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศบ่อยขึ้น แต่มีข้อแม้ว่าพื้นที่ทำงานจะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับความต้องการและความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปของพนักงาน ในยุคของการทำงานแบบไฮบริด เราต้องให้ความสำคัญกับวิวัฒนาการของพื้นที่สำนักงานและเทคโนโลยี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของพนักงาน เทคโนโลยีคือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้เราตอบสนองความคาดหวังที่ว่านี้ พร้อมทั้งส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าพนักงานจะอยู่ที่ใดก็ตาม”

แม้ว่าจะมีการตอบรับที่ดีเกี่ยวกับการกลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศ แต่แรงจูงใจของพนักงานในการทำงานที่ออฟฟิศก็มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเหตุผลหลักที่พวกเขากลับเข้าออฟฟิศไม่ใช่เพื่อการทำงานส่วนตัว แต่เป็นเรื่องของการทำงานร่วมกันเป็นทีม (82%) การระดมความคิดและคิดค้นไอเดียกับเพื่อนร่วมงาน (70%) และการส่งเสริมความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร (52%) การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้บ่งบอกว่าพนักงานมีความคาดหวังและความต้องการที่เปลี่ยนไปเกี่ยวกับพื้นที่ทำงานของพวกเขา

 

พื้นที่ทำงานไม่ตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานที่เปลี่ยนแปลงไป

พนักงานในไทย 48% เชื่อว่าออฟฟิศของพวกเขาไม่ตอบโจทย์การใช้งานและไม่ได้ช่วยให้พวกเขาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ที่จริงแล้ว เมื่อพูดถึงเรื่องเลย์เอาต์ของออฟฟิศและการจัดที่นั่ง พนักงาน 82% รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เอื้อต่อการทำงานร่วมกันและการระดมความคิด ขณะที่มีการให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันมากขึ้น แต่ 87% ของนายจ้างที่ตอบแบบสอบถามยังคงจัดสรรพื้นที่ออฟฟิศอย่างน้อยครึ่งหนึ่งให้เป็นพื้นที่ทำงานส่วนตัวของพนักงานแต่ละคน

รายงานการศึกษานี้ยังเน้นย้ำอีกว่าพื้นที่ทำงานในปัจจุบันยังไม่พร้อมสำหรับการทำงานรูปแบบใหม่นี้ โดยพนักงานรู้สึกว่าเวิร์กสเตชั่นส่วนบุคคล (54%) ห้องประชุมขนาดใหญ่ (56%) และห้องประชุมขนาดเล็ก (70%) ไม่ได้ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานในออฟฟิศ หรืออย่างมากก็ช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีและการบูรณาการก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่ากังวลเช่นกัน

กล่าวคือ ในบรรดาองค์กรที่พบว่าห้องประชุมไม่ได้ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานในออฟฟิศ สาเหตุหลักคือมีอุปกรณ์ด้านระบบเสียงและวิดีโอไม่เพียงพอ (75%) ประสบการณ์ด้านภาพและเสียงมีคุณภาพต่ำ (42%) ไม่มีอุปกรณ์ด้านระบบเสียงและวิดีโอที่รองรับการใช้งานสำหรับทุกคน (33%) และความไม่สอดคล้องกันของประสบการณ์สำหรับผู้เข้าร่วมประชุมระยะไกลและผู้เข้าร่วมประชุมในออฟฟิศควรอยู่ที่ 8% โดยเฉลี่ยแล้ว มากกว่าครึ่งหนึ่ง (อยู่ระหว่างดำเนินการเก็บสถิติ) ของห้องประชุมในองค์กรต่างๆ ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ด้านวิดีโอและเสียง

อย่างไรก็ตามเมื่อมองในแง่บวก ผลสำรวจพบว่าองค์กรต่างๆ มีความคืบหน้าในการปรับเปลี่ยนพื้นที่สำนักงานของตน โดยนายจ้าง 9 ใน 10 ราย ได้ทำการเปลี่ยนแปลงแล้วหลังการแพร่ระบาด และ 90% มีแผนที่จะดำเนินการดังกล่าวในสองปีข้างหน้า ปัจจัยขับเคลื่อนหลักสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ได้แก่ การปรับตัวเพื่อให้ก้าวทันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (67%) การตอบสนองต่อความคาดหวังของพนักงานที่เปลี่ยนแปลงไปเกี่ยวกับพื้นที่ทำงาน (70%) และการรองรับการทำงานแบบไฮบริดที่ดียิ่งขึ้น (51%)

 

เมห์รา กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความก้าวหน้าของนายจ้างในการปรับใช้เทคโนโลยีสำหรับการทำงานร่วมกันเพื่อรองรับการทำงานแบบไฮบริดนับเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แต่การจัดหาเครื่องมือเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ พนักงานส่วนใหญ่รู้สึกว่าตนเองไม่มีความพร้อมที่จะใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น มีพนักงานเพียง 38% เท่านั้นที่รู้สึกว่าตนเองมีความพร้อมที่จะใช้วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ และเพียง 26% รู้สึกว่าตนเองมีความพร้อมที่จะใช้เครื่องมือที่ก้าวล้ำ เช่น ระบบตรวจสอบฟุตพรินต์ หรือโปรแกรมผู้ช่วยอัจฉริยะสำหรับห้องประชุม เราจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การบูรณาการเครื่องมือเหล่านี้เข้ากับสถานที่ทำงาน เพื่อเพิ่มความสะดวกในการปรับเปลี่ยนไปสู่การทำงานรูปแบบใหม่อย่างราบรื่น และเพื่อให้แน่ใจว่าเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้และเป็นมิตรกับผู้ใช้งานทุกคน"

รายงานการศึกษานี้อ้างอิงการสำรวจความคิดเห็นแบบปกปิดสองทางของพนักงานประจำ 9,200 คน และนายจ้าง 1,650 คน โดยทำการสำรวจในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 ผู้ตอบแบบสอบถามอยู่ใน 7 ประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก ได้แก่ ไทย ออสเตรเลีย ฮ่องกง อินเดีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และเกาหลีใต้

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด (บลจ.เกียรตินาคินภัทร) เล็งเห็นโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ เปิดเสนอขาย 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเคเคพี EMERGING MARKETS EX CHINA – UNHEDGED (KKP EMXCN-UH) และกองทุนเปิดเคเคพี EMERGING MARKETS EX CHINA – HEDGED (KKP EMXCN-H) โดยมีกลยุทธ์การบริหารการลงทุนแบบเชิงรับ (Passive Management) มุ่งหวังให้ผลตอบแทนเป็นไปตามดัชนี MSCI Emerging Markets ex China Index ที่ครอบคลุมการลงทุนในหุ้นของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ทั้งหมด ยกเว้นประเทศจีน รวม 23 ประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุน และหาโอกาสการเติบโตจากหุ้นในประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยมีทั้งประเภทไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (UNHEDGED) และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด (HEDGED) กำหนดการเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 2 – 8 กุมภาพันธ์ 2567 ด้วยมูลค่าขั้นต่ำในการซื้อเพียง 1,000 บาท

นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.เกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า ปีนี้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ หรือ Emerging Markets (EM) มีความน่าสนใจในการลงทุนเนื่องจากการสิ้นสุดวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นและจะเริ่มกลับเป็นขาลงทำให้มีโอกาสที่กระแสเงินทุนจะไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets: EM) ที่มีประมาณการกำไรสุทธิในปีนี้เติบโต 16% สูงกว่าตลาดหุ้นโลกที่มีอัตราการเติบโตประมาณ 7% โดยเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวันและเกาหลี ประกอบกับระดับมูลค่า P/E ของตลาด EM ที่ระดับ 11.1 เท่ายังคงถูกกว่าตลาดหุ้นโลกและถูกกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ทั้งนี้ บลจ.เกียรตินาคินภัทรมองว่า การลงทุนในตลาด EM ที่ไม่รวมจีน มีความน่าสนใจมากกว่าตลาด EM โดยรวม เนื่องจากปัจจัยกดดันการเติบโตเศรษฐกิจของจีนยังต้องใช้เวลาในการแก้ไขและผู้ลงทุนมีทางเลือกการลงทุนในหุ้นจีนโดยตรงมาก่อนนี้แล้ว จึงเห็นว่าการนำเสนอทางเลือกการลงทุนในตลาด EM ที่ไม่รวมจีนจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนไทยได้

สำหรับ กองทุน KKP EMXCN-UH และ KKP EMXCN-H ระดับความเสี่ยง 6 เป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนประเภท Feeder Fund มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก iShares MSCI Emerging Markets ex China ETF โดยกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานจากการลงทุนของดัชนี MSCI Emerging Markets ex China Index ที่ประกอบด้วยหุ้นของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ไม่รวมประเทศจีน กองทุน KKP EMXCN-UH จะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่ง

สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อลดความเสี่ยง (Hedging) ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ส่วนกองทุน KKP EMXCN-H จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อลดความเสี่ยง (Hedging) ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ไม่น้อยกว่า 90% ของเงินลงทุนในต่างประเทศ

สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 305 9559 หรือ ธนาคารเกียรตินาคินภัทรทุกสาขา หรือ https://am.kkpfg.com หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง

ข้อมูลกองทุน KKP EMXCN-UH และ KKP EMXCN-H :

· เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 2 – 8 กุมภาพันธ์ 2567

· มูลค่าขั้นต่ำในการซื้อครั้งแรก 1,000 บาท ครั้งถัดไป 1,000 บาท

 

คนไทยนอกจากจะต้องรับมือกับอากาศร้อนชื้น ยังต้องเจอกับกับแมลงต่าง ๆ ที่เข้ามาในบ้านของเราโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะ 'ยุงลาย' ซึ่งเติบโตในเมืองร้อนอย่างประเทศไทยได้ดี และมักจะสร้างความรำคาญให้แก่เราด้วยการกัดตามร่างกาย ทำให้เกิดตุ่มแดงคัน อาการแพ้ หรือแผลเป็น แถมยังทำให้เรามีโอกาสเป็น 'โรคไข้เลือดออก' ซึ่งทำให้เรามีไข้สูง และอาจมีอาการรุนแรงจนอันตรายถึงชีวิต โดยกรมควบคุมโรคเผย ปี 2566 มีตัวเลขผู้ติดเชื้อไข้เลือดออกสูงถึง 156,079 ราย และเสียชีวิต 175 ราย ! วันนี้ นพ.บารมี พงษ์ลิขิตมงคล แพทย์ผู้ชำนาญการเวชศาสตร์ครอบครัว (Family Medicine) ศูนย์อายุรกรรม รพ.วิมุต จะมาเล่าถึงความอันตรายของโรคไข้เลือดออก พร้อมแนะนำวิธีป้องกันและรักษา เพื่อจะได้รับมือกับโรคนี้ได้อย่างถูกวิธี

‘ไข้เลือดออก’ ขั้นรุนแรงอาจอันตรายถึงชีวิต!

โรคไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (dengue virus) ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 สายพันธุ์ คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 DENV-4 โดยโรคนี้ไม่ได้ติดจากคนสู่คนโดยตรง แต่ติดต่อผ่านทางยุงลายที่เป็นพาหะนำโรค ไปกัดคนที่ติดเชื้อไวรัสมาก่อนแล้วมากัดอีกคนหนึ่งในภายหลัง "ปกติหากเราติดโรคไข้เลือดออกครั้งแรกอาจจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่หากติดเชื้อซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งจะเป็นเชื้อต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก คนไข้มีโอกาสที่จะมีอาการรุนแรงได้ เช่น มีไข้สูง คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง บางรายมีการรั่วไหลของน้ำออกจากหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะช็อก ขาดน้ำ บางรายมีเลือดออกรุนแรงจนอาจทำให้เสียชีวิตได้" นพ.บารมี พงษ์ลิขิตมงคล อธิบาย

โรคไข้เลือดออก สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะแรกคือ ระยะไข้สูง (Febrile phase) ซึ่งผู้ป่วยจะมีไข้สูงเฉียบพลัน มากกว่า 38.5 องศาเซลเซียส โดยไม่มีอาการของระบบทางเดินหายใจ แต่จะมีอาการร่วมอื่นๆที่พบได้ เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดกระดูก คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง และไข้มักจะลดลงในระยะเวลาประมาณ 3-7 วัน ส่วนระยะที่สองคือ ระยะวิกฤต (Critical phase) หลังจากระยะไข้ ผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีส่วนใหญ่จะเข้าสู่ระยะวิกฤตในวันที่ 5-7 ของไข้ ซึ่งเป็นระยะที่มีการรั่วไหลของน้ำออกจากหลอดเลือด ในบางครั้งอาจมีความรุนแรงมากจนทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะเดงกีช็อก และมีโอกาสเสียชีวิตได้ ระยะสุดท้ายคือ ระยะฟื้นฟู (Recovery phase) หลังจากผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีอยู่ในระยะวิกฤตนานประมาณ 24-48 ชั่วโมง ก็จะเริ่มเข้าสู่ระยะฟื้นตัว โดยเป็นช่วงที่ร่างกายค่อย ๆ ฟื้นตัวจนอาการต่าง ๆ ดีขึ้นอย่างรวดเร็วตามลำดับ

แพทย์แนะ ฉีดวัคซีน 'ไข้เลือดออก' กันติดเชื้อได้ 80%

โรคไข้เลือดออกนั้นสามารถเป็นได้ทุกคนเมื่อโดนยุงลายที่มีเชื้อกัด โดยเฉพาะในเด็ก ๆ ช่วงอายุ 5-14 ปี ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่พบอัตราการป่วยมากที่สุด โดยทุกคนสามารถป้องกันตัวเองได้หลายวิธี เช่น ทายากันยุง ใส่เสื้อให้มิดชิด และดีที่สุดควรเลี่ยงการโดนยุงกัด แต่อาจจะเลี่ยงไม่ได้ตลอด ดังนั้นจึงควรฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน นพ.บารมี พงษ์ลิขิตมงคล เล่าถึงการฉีดวัคซีนว่า "ปัจจุบันวัคซีนไข้เลือดออกครอบคลุมทั้ง 4 สายพันธุ์ แนะนำให้ฉีดวัคซีนคิวเดงกา (Qdenga) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่ทำให้ฤทธิ์อ่อนลงทั้ง 4 สายพันธุ์ ฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกันเข็มละ 3 เดือน สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 80% อีกทั้งยังป้องกันภาวะแทรกซ้อน ลดความรุนแรง ลดโอกาสช็อกได้ถึง 90% ซึ่งตัววัคซีนสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 – 60 ปี ทั้งผู้ที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน แต่จะมีข้อห้ามสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยHIV เป็นต้น รวมถึงหญิงที่ตั้งครรภ์ และให้นมบุตร"

วิธีการรักษา 'โรคไข้เลือดออก'

ปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสเดงกีโดยเฉพาะ การรักษาโรคจึงเน้นรักษาตามอาการ และระยะของโรค เช่น การรับประทานยาแก้ปวดลดไข้พาราเซตามอล เช็ดตัวลดไข้ ดื่มน้ำเกลือแร่ แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง หรือเริ่มเข้าสู่ระยะวิกฤต ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะผู้ป่วยอาจมีภาวะสารน้ำรั่วไหลออกจากหลอดเลือด เลือดออกอย่างรุนแรง จนนำไปสู่ภาวะช็อก หรือเสียชีวิตได้ จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

"ทุกวันนี้อุณหภูมิของโลกค่อย ๆ สูงขึ้น ส่งผลให้ยุงลายแพร่พันธุ์ได้เร็วขึ้น โอกาสที่เราจะป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกจึงเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทางที่ดีเราจึงต้องป้องกันตัวเอง โดยการเลี่ยงการโดนยุงกัด ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายรอบ ๆ บ้าน พร้อมทั้งฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะไข้เลือดออกนั้นสามารถเป็นซ้ำได้ตลอดชีวิต เวลาติดเชื้อขึ้นมาจะได้ป้องกันอาการรุนแรง และสามารถฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงได้ไวขึ้น" นพ.บารมี พงษ์ลิขิตมงคล กล่าวทิ้งท้าย

ผู้ที่สนใจต้องการปรึกษาแพทย์โรงพยาบาลวิมุต สามารถติดต่อได้ที่ ชั้น 3 ศูนย์อายุรกรรม หรือโทรศัพท์นัดหมาย 02-079-0030 เวลา 07.00-20.00 น. หรือสามารถเรียกรถฉุกเฉินได้ที่ เบอร์โทร 02-079-0191

“ธนาคารไทยเครดิต” ปิดจองซื้อหุ้นไอพีโอ “CREDIT” ปลื้มกระแสตอบรับดี จากนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศแสดงความสนใจและจองซื้อเข้ามาสัดส่วนสูงถึง 87% ของจำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขาย และเตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก วันที่ 9 กุมภาพันธ์ นี้

นายวิญญู ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) (“ธนาคารฯ” หรือ “ธนาคารไทยเครดิต”) กล่าวว่า หลังจากปิดการจองซื้อหุ้นของนักลงทุนสถาบันระหว่างวันที่ 31 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ธนาคารไทยเครดิตขอขอบคุณนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันที่เชื่อมั่น ทำให้การเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ของไทยเครดิตประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม สะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีความสามารถในการสร้างผลการดำเนินงานที่มั่นคง และเติบโตสูงเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ในอุตสาหกรรม และศักยภาพการขยายพอร์ตสินเชื่อที่ก้าวกระโดด ภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม สะท้อนมาที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม แม้ในภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์การลงทุนที่มีความผันผวน ธนาคารไทยเครดิต ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนสถาบันจองซื้อหุ้น IPO ในสัดส่วนประมาณ 87% และจัดสรรให้นักลงทุนรายย่อยประมาณ 13% คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวมประมาณ 7,369.60 ล้านบาท ที่ราคาเสนอขายหุ้นที่ 29.00 บาทต่อหุ้น นับเป็น IPO กลุ่มธนาคารพาณิชย์ในรอบ 10 ปีที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

อีกหนึ่งในความสำเร็จ คือความเชื่อมั่นจากผู้ลงทุนสถาบันที่เป็น Cornerstone Investors ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมจำนวน 6 ราย อาทิ บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation (IFC)) เป็นสมาชิกของกลุ่มธนาคารโลก (“The World Bank Group” หรือ “WBG”) รวมทั้ง ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) และ E.SUN Commercial Bank, Ltd. เป็นหนึ่งในธนาคารภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดที่มีสำนักงานใหญ่ในไต้หวัน ซึ่งกลุ่มสถาบันระดับโลกเหล่านี้เล็งเห็นวิสัยทัศน์และแนวทางการดำเนินธุรกิจของธนาคารไทยเครดิตที่มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนสู่สังคม ได้ตกลงที่จะซื้อหุ้นสามัญของธนาคารฯ และผู้ถือหุ้นเดิมที่เสนอขายเป็นจำนวนรวมประมาณไม่เกิน 140,352,490 หุ้น คิดเป็นประมาณ 55% ของจำนวนหุ้น IPO ทั้งหมด  โดย ธนาคารไทยเครดิต เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายโดยธนาคารฯ และหุ้นสามัญที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม จำนวน 254,124,200 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 5.00 บาท/หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 20.7% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของธนาคารฯ ภายหลังการทำ IPO

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน ธนาคารไทยเครดิตจะนำไปใช้ขยายพอร์ตสินเชื่อ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ตอกย้ำโมเดลทางธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นธนาคารพาณิชย์แห่งเดียวในประเทศไทยที่มุ่งเน้นการให้บริการสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้ประกอบการที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ (Underserved) เป็นธนาคารที่พึ่งของชุมชนและการเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Banking) ทั้งนี้ คาดว่าหุ้น CREDIT จะสามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567

*การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และโปรดอ่านหนังสือชี้ชวน หรือข้อมูลที่มีสาระตรงตามข้อมูลสรุปสาระสำคัญของหลักทรัพย์ (Executive Summary) อย่างรอบคอบ

การศึกษาล่าสุดโดยบริษัท ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง จำกัด (ดีลอยท์) ชี้ถึงโอกาสในการแก้ปัญหาหนี้เสียอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นชูมาตรการด้านภาษี และผ่อนปรนข้อจำกัดในการลงทุนเพื่อให้นักลงทุนสถาบันในกลุ่มใหม่ เช่น บริษัทประกันภัย และกองทุนประกันสังคม รวมถึงบริษัทบริหารกองทุน เช่น Private Equity Firms และ Hedge Funds เข้ามามีส่วมร่วมในการจัดการหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น

จากการศึกษา พบว่าประเทศไทยได้มีการพัฒนากลยุทธ์และแนวทางการบริหารหนี้เสียอย่างเคร่งครัด ในช่วง ปี พ.ศ. 2540 เพื่อรับมือกับเหตุการณ์วิกฤตการณ์ทางการเงิน อย่างไรก็ดี กลยุทธ์และความสามารถใหม่ ๆ ในการจัดการหนี้เสียไม่ได้มีการพัฒนาอย่างมีนัยสําคัญในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา และวันนี้ประเทศไทยกําลังเผชิญกับปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นอีกครั้ง

 

ดร.เมธินี จงสฤษดิ์หวัง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวว่า “แนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาหนี้เสียในประเทศไทย จากการวิเคราะห์กรณีศึกษาในต่างประเทศ ชี้ถึงการมีแนวทางการกำกับดูแลที่ชัดเจน และมีมาตรการทางธุรกิจที่จูงใจ อาทิ มาตรการทางภาษี เพื่อดึงดูดกลุ่มนักลงทุนสถาบันหรือผู้จัดการหนี้เสียที่มีความหลากหลายและในวงกว้างขึ้น เช่น บริษัทผู้บริหารกองทุน Private Equity, กองทุนรวมเพื่อความเสี่ยง (Hedge Funds), และ ผู้จัดการกองทุนประเภท General Partners (GPs) เป็นต้น กลุ่มนักลงทุนเหล่านี้สามารถนําความรู้และความสามารถในการปรับโครงสร้างหนี้และการฟื้นฟูกิจการสู่ตลาดทุนประเทศไทย เพื่อช่วยให้บริษัทที่มีภาวะตึงเครียดทางการเงินมีทางเลือกในการจัดการหนี้แบบครบวงจร เช่น โอกาสในการร่วมงานกับนักลงทุนสถาบันหรือผู้จัดการหนี้เสียเพื่อฟื้นฟูกิจการจากการล้มละลาย อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดให้แก่บุคลากรท้องถิ่น

หากเทียบกับตลาดชั้นนำในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา นั้น แนวทางและหลักการเรื่องของการปรับโครงสร้างหนี้และการฟื้นฟูกิจการเป็นรากฐานสำคัญที่ปลูกฝังอยู่ในระบบนิเวศตลาดทุนของเขา บริษัทในสหรัฐฯ มีโอกาสทํางานร่วมกับกลุ่มนักลงทุนเพื่อให้บริษัทของพวกเขามีโอกาสครั้งที่สอง เรามักจะไม่ได้เห็นสถานการณ์ลักษณะนี้กับบริษัทในประเทศไทย เนื่องจากข้อจำกัดในขีดความสามารถในการฟื้นฟูกิจการ

เคนเนท เทย์ หุ้นส่วน บริษัท ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวว่า “การศึกษายังมองถึงแนวทางการเพิ่มสภาพคล่องของตลาด (Market Liquidity) โดยการทบทวนกฎระเบียบและพิจารณาผ่อนปรนข้อจำกัดในการลงทุนสำหรับผู้ลงทุนสถาบันประเภทต่างๆ เช่น บริษัทประกันภัย กองทุนประกันสังคม กองทุนบําเหน็จบํานาญ และ/หรือสํานักงานครอบครัว (Family Offices) เพื่อตอบโจทย์ปัญหาหนีเสียที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ดี ยังคงต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เหมาะสม”

“ตลาดหนี้เสียในประเทศไทยทุกวันนี้มีลักษณะที่เน้น บริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Companies) เป็นศูนย์กลาง ซึ่งในระบบนิเวศที่แข็งแกร่งและยั่งยืนนั้น เราต้องการให้มีผู้เล่นที่หลากหลายเข้ามามีส่วนร่วมในตลาดทุน เพื่อให้เกิดกระบวนการค้นหาราคาที่เหมาะสม (Price discovery) ของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เสริมสร้างความสามารถให้เพียงพอในการจัดการกับหนี้ที่เพิ่มขึ้น และมีนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในการแก้ไขหนี้" นิลภา บูชาสุข ผู้จัดการอาวุโส บริษัท ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าว

"เราทราบดีว่าปริมาณหนี้เสียในประเทศไทยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากเราต้องการจัดการกับหนี้เหล่านี้อย่างเหมาะสม เราจะต้องปรับปรุงระบบนิเวศของเราให้ทันสมัย ดึงดูดเงินลงทุนที่เพียงพอ และดึงดูดบุคลากรผู้มีความสามารถทางการเงินเพื่อสามารถจัดการวิกฤตการณ์ทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ" ดร.เมธินี กล่าว

ไทยพาณิชย์ชี้ผู้ประกอบการไทยบูมการใช้สกุลเงินหยวนเป็นสกุลหลักทำธุรกรรมนำเข้า-ส่งออกระหว่างไทย-จีน หลังทางการผลักดันระบบนิเวศตลาดอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ (New FX ecosystem) เปิดตัว SCB Yuan Pro Rata Forward เครื่องมือการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนและลดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับสกุลเงินหยวน ได้เรทอัตราแลกเปลี่ยนพิเศษทุกรายการ ไม่มีขั้นต่ำ และทำรายการได้ด้วยตัวเอง ผ่าน FX Online เป็นธนาคารแรกและแห่งเดียวในประเทศ มั่นใจ SCB Yuan Pro Rata Forward จะเป็นผู้ช่วยตัวท็อปให้เอสเอ็มอีไทยควบคุมต้นทุนที่แน่นอน หมดความกังวลความผันผวนจากค่าเงิน

นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ประเทศจีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย และมีสัดส่วนการใช้เงินหยวนเพื่อการค้าอยู่ลำดับที่ 4 อย่างไรก็ตาม สกุลเงินหยวนเริ่มมีบทบาทอย่างต่อเนื่องที่ผู้ประกอบการไทยใช้เป็นสกุลหลักในการทำการค้า โดยในปี 2022 สกุลเงินหยวนใช้ในการค้ากับประเทศจีนมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นที่ 6.6% จาก 5.6% ในปี 2021 (ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย) และคาดว่าสัดส่วนดังกล่าวจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสนับสนุนการใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ในการค้าขายระหว่างประเทศ ตามนโยบายการผลักดันระบบนิเวศของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ (New FX ecosystem)

ธนาคารไทยพาณิชย์มีความพร้อมในการสนับสนุนการใช้สกุลเงินหยวนให้แก่ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการได้รับความสะดวกรวดเร็วในการแลกเปลี่ยนเงินตราและลดต้นทุนในการทำธุรกรรมไปพร้อมๆ กัน ธนาคารจึงขยายขอบเขตการทำธุรกรรมด้วยการเพิ่มสกุลเงินหยวนเข้าไปใน SCB Pro Rata Forward ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าแบบส่งมอบภายในระยะเวลาที่ตกลงไว้ ภายใต้ชื่อบริการ SCB Yuan Pro Rata Forward เครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินหยวน เพื่อให้ผู้ประกอบการที่มีความจำเป็นต้องใช้สกุลเงินหยวนในการซื้อหรือขายอัตราแลกเปลี่ยนสามารถจัดการความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนได้เพิ่มขึ้น

“SCB Yuan Pro Rata Forward ช่วยลดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับสกุลเงินหยวน ทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถรู้ราคาที่แน่นอนทุกครั้งและทุกวันที่ต้องการทำรายการ และได้เรทอัตราแลกเปลี่ยนพิเศษทุกรายการ ไม่มีขั้นต่ำ และสามารถทำรายการได้อย่างสะดวกสบาย ผ่านช่องทางการทำรายการออนไลน์ FX Online ของธนาคาร ซึ่งไทยพาณิชย์เป็นธนาคารแรกและแห่งเดียวที่ให้ผู้ประกอบการสามารถทำธุรกรรม Yuan Pro Rata Forward ได้ด้วยตัวเองผ่านระบบออนไลน์ จึงเชื่อมั่นว่าจะตอบโจทย์การทำธุรกรรมในโลกการค้าไร้พรมแดนและสอดคล้องกับกลยุทธ์ของธนาคาร Digital Bank with Human Touch ได้อย่างชัดเจน” นายแพททริก กล่าว

ปัจจุบัน ธนาคารไทยพาณิชย์ให้บริการ SCB Pro Rata Forward ครอบคลุมสกุลเงินหลัก ได้แก่ USD, AUD, CHF, EUR, GBP. JPY และ NZD ผู้ประกอบการที่ใช้บริการ SCB Pro Rata Forward จะได้รับค่าธรรมเนียมพิเศษ ทั้งโอนออกและรับเงินจากต่างประเทศ เมื่อทำรายการผ่าน SCB Business Anywhere ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจใช้บริการ SCB Pro Rata Forward ติดต่อได้ที่ 02-544-5800

“พระราชวังพญาไท” มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษ เคยเป็นที่ประทับสำราญพระราชอิริยาบถของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นโรงนาหลวง เป็นพระตำหนักของสมเด็จ พระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นพระราชวังของพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นโรงแรมชั้นหนึ่ง เป็นสถานีวิทยุกระจายเสียง และเป็นโรงพยาบาล พระมงกุฎเกล้า จวบจนปัจจุบัน พระราชวังพญาไท เป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับประชาชนเข้าชม ทั้งนี้ มูลนิธิอนุรักษ์พระราชวังพญาไท จะจัดงาน “101 ปี พระราชวังพญาไท” THE GLORY OF SIAM ในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน (NIGHT MUSEUM) ระหว่างวันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 จนถึง วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2567 ตั้งแต่เวลา 18.00 - 21.30 น. ณ พระราชวังพญาไท

เมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว ถนนราชวิถีเป็นเพียงถนนสายสั้น ๆ เริ่มต้นจากริมแม่น้ำเจ้าพระยา มาสุดด้านหลังพระราชวังดุสิต ที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามถนนสายนี้ว่า “ถนนซางฮี้” อันเป็นคำมงคลของจีน มีความหมายว่า “ยินดีอย่างยิ่ง” ภายหลังในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานนามใหม่ว่า “ถนนราชวิถี” บริเวณปลายถนนซังฮี้ ตอนตัดใหม่นั้นเป็นสวนผักและไร่นา มีคลองสามเสนไหลผ่าน พื้นที่ยังโล่ง กว้าง อากาศโปร่งสบาย จึงเป็นที่ต้องพระราชหฤทัยของพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอันมาก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซื้อที่ดินประมาณ 100 ไร่ เศษ จากชาวนาชาวสวนบริเวณนั้น เพื่อใช้ทดลองปลูกธัญพืช และเป็นที่ประทับสำราญพระราชอิริยาบถ

ในปี พ.ศ. 2452 ได้เริ่มก่อสร้าง “พระตำหนักพญาไท” ซึ่งชาวบ้านเรียกกันต่อมาว่า “วังพญาไท” โดย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นพระตำหนัก เป็นที่ประทับ รวมถึงพื้นที่บริเวณตรงข้ามกับพระตำหนัก ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพื้นที่สำหรับเสด็จ ฯ ทอดพระเนตรการทำนา ปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ รวมทั้ง โรงนาที่ได้พระราชทานนามว่า “โรงนาหลวงคลองพญาไท” พร้อมกับตั้งการพระราชพิธีเริ่มนาขวัญ “พระตำหนักพญาไท” เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในระยะเวลาเพียงอันสั้น และได้เสด็จสวรรคต ในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453

เมื่อ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงย้ายมาประทับ ณ พระตำหนักแห่งนี้เป็นการถาวร ตราบจน เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2462 หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระตำหนักพญาไท พระราชทานแก่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงกรุงเทพฯ คงไว้เพียง พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ ซึ่งเป็นท้องพระโรง

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกขึ้นเป็น “พระราชวังพญาไท” เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมชนกาธิราช และ สมเด็จพระบรมราชชนนี และให้สร้างพระที่นั่งขึ้นใหม่ หลายองค์ด้วยกัน กระทั่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีเฉลิมพระที่นั่งตามพระราชประเพณี เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2465 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของพระราชวังสำคัญแห่งหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย โดย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ประทับ ณ พระราชวังแห่งนี้ไปโดยตลอดจนปีสุดท้ายแห่งรัชกาล อีกทั้ง พระราชวังพญาไท ยังมีความสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ เป็นที่ตั้งของ “ดุสิตธานี” เมืองจำลองประชาธิปไตย ตามพระราชดำริอีกด้วย

ต่อมารัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ กรมรถไฟหลวง ปรับปรุงพระราชวังพญาไทเป็นโรงแรมชั้นหนึ่งสำหรับให้ชาวต่างชาติ ตามที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์ไว้ สำหรับรองรับพระราชดำริการจัดงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ “โฮเต็ลพญาไท” เริ่มดำเนินกิจการเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468 โดยในระหว่างนั้นได้มีการใช้พระราชวังพญาไทเป็นที่ตั้งของ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งแรกของสยาม ออกอากาศเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 กรมรถไฟได้ดำเนินการ โฮเต็ลพญาไทไปจนถึง เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 และปิดกิจการลง เนื่องจากเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลง การปกครอง ในเวลาต่อมากองทัพบกได้ปรับปรุงพระราชวังพญาไทให้เป็นสถานพยาบาล ได้มีการสร้างโรงพยาบาลทหารบกขึ้น ในบริเวณใกล้เคียงกับพระราชวัง และด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ขนานนามโรงพยาบาลเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติว่า “โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า”

ตราบจนปัจจุบัน พระราชวังพญาไท คงเหลือพระที่นั่งที่สร้างครั้งรัชสมัยรัชกาลที่ 5 เพียงองค์เดียว คือ พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ ส่วนพระที่นั่งองค์อื่น ๆ ล้วนสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยมีนามคล้องจองกัน ได้แก่ ไวกูณฐ เทพยสถาน พิมานจักรี ศรีสุทธนิวาส เทวราชสภารมย์ อุดมวนาภรณ์ ตามลำดับ ลักษณะของสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นของ พระราชวังพญาไท คือ หอคอยสูงและหลังคายอดแหลมของพระที่นั่งพิมานจักรี ภายในมีภาพเขียนแบบปูนเปียกเป็นลวดลายงดงามแบบตะวันตก

มูลนิธิอนุรักษ์พระราชวังพญาไท ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เปลี่ยนแปลงสถานะมาจาก ชมรมคนรักวัง ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2540 รู้สึกสำนึกใน พระมหากรุณาธิคุณและคุณูปการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี) จึงดำริจัดงาน “101 ปี พระราชวังพญาไท” THE GLORY OF SIAM ในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน (NIGHT MUSEUM) เพื่อเฉลิมฉลอง พระราชวังพญาไท ครบรอบ 101 ปี ถือเป็นหมุดหมายสำคัญยิ่ง ที่ศิลปินผู้ออกแบบจะได้แสดงสถานที่อันทรงคุณค่าสู่สายตาประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้เข้ามาชื่นชมความงดงามของ พระราชวังพญาไท

คณะดำเนินงาน ได้ทำการออกแบบสร้างสรรค์ระบบแสงสีเสียงให้กับพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน (NIGHT MUSEUM) อันเป็นเอกลักษณ์ที่รังสรรค์ออกมาเป็นรูปธรรมโดยเฉพาะงาน “101 ปี พระราชวังพญาไท” THE GLORY OF SIAM ที่จะเกิดขึ้นนี้ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่จะได้รับชมความงามของพระราชวังพญาไทในรูปแบบแสงสีเสียงแห่งราตรี พิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน ตื่นตาตื่นใจกับความงามอันทรงพลัง ให้ผู้คนได้ชื่นชมงานศิลปะที่สร้างจากการฉายแสงภาพศิลปะบนอาคารเคลื่อนไหวเสมือนเข้าสู่ภาพศิลปะนั้นไม่ว่าจะเป็น พระที่นั่งพิมานจักรี, พระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถาน, พระที่นั่งเทวราชสภารมย์, ห้องธารกำนัล หรือ ห้องรับแขก, สวนโรมัน และสถานที่สักการะท้าวหิรัญพนาสูร ส่งแสงสีเสียง อันอลังการ อย่างวิจิตร ตราตรึงอยู่ในใจ ด้วยเป้าหมายในการพัฒนางานสมโภชที่ยิ่งใหญ่ของคนไทยให้ทัดเทียม งานสมโภชระดับโลก

การจัดงานครบรอบ “101 ปี พระราชวังพญาไท” THE GLORY OF SIAM ในครั้งนี้ จะมีการจัดงานแสดง แสง สี เสียง สื่อผสม รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ระหว่าง วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 จนถึง วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2567 รวมเป็นเวลา 32 วัน ตั้งแต่เวลา 18.00 - 21.30 น. ณ พระราชวังพญาไท เลขที่ 315 ถนนราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร

มูลนิธิอนุรักษ์พระราชวังพญาไท คณะผู้จัดงาน “101 ปี พระราชวังพญาไท” THE GLORY OF SIAM เริ่มจำหน่ายบัตรเข้าชมงานฯ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ผ่าน 3 ช่องทาง คือ Agoda, KKday, Zipevent

โดยจัดแสดงนิทรรศการในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน (NIGHT MUSEUM) ท่านจะได้พบกับ ...

FREE AREA

โซนที่ 1 ARCHITECTURE LIGHTING & PROJECTION MAPPING : การฉายภาพแสง กับงานออกแบบภาพเคลื่อนไหวภายใต้จุดกำเนิด พระราชวังพญาไท ร่วมกับการแสดงศิลปะสถาปัตยกรรมบนตัวอาคาร พระที่นั่งพิมานจักรี และ พระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถาน

โซนที่ 2 ARCHITECTURE LIGHTING & INTERIOR LIGHTING : นิทรรศการจัดแสดงแสงไฟเพื่อชื่นชมสถาปัตยกรรมภายใน อันงดงาม ณ พระที่นั่งเทวราชสภารมย์

TICKET AREA

LIGHTING INSPIRATIONS พบกับแรงบันดาลใจจากผลงานบทพระราชนิพนธ์ของ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ในการสร้างสรรค์ผลงานไฟที่วิจิตรตระการตา บนพื้นที่ประวัติศาสตร์

โซนที่ 3 PROJECTION MAPPING : โดยได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากบทพระราชนิพนธ์ ของ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ภายใน ห้องธารกำนัล หรือ ห้องรับแขก

โซนที่ 4 PROJECTION MAPPING & LIGHTING INSTALLATION : สัมผัสจินตนาการ งานศิลปะเคลื่อนไหวในโลกของพระราชวังโบราณผสานจินตนาการ ของงานจัดแสดงแสง สี เสียงที่น่าอัศจรรย์ พร้อมนำ บทพระราชนิพนธ์ “มัทนะพาธา” ที่วรรณคดีสโมสรยกย่องให้เป็นยอดแห่งบทละครพูด คำฉันท์ ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ ของ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 มาเป็นตัวดำเนินเรื่อง โดยโซนนี้ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ในการจัดแสดงไฟ โดยจะมีการยิง PROJECTION MAPPING เข้าตัวอาคารพระราชวังด้านหลัง ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง

โซนที่ 5 LIGHTING INSTALLATION & MAPPING ON THE BIG GIANT TREE WITH THE GLASS SCREENS : สัมผัสงานอาร์ตกับการจัดแสดงแสงไฟนับพันดวงที่ประดับประดาบริเวณสนามหญ้า และ ต้นไม้ยักษ์ ตื่นตากับเทคนิค Glass Screens สวยงามมีมิติ

โซนที่ 6 LIGHTING INSTALLATION : เปิดประสบการณ์และดื่มด่ำไปกับความงดงามของดอกบัวนับพันดอก ด้วยเทคนิคไฟย้อมสี ณ เส้นทางเดินไปสักการะ “ท้าวหิรัญพนาสูร”

พร้อมพักผ่อน และ ดื่มด่ำไปกับเครื่องดื่มไทยแท้ที่ร้านกาแฟนรสิงห์ ร้านคาเฟ่ที่ตั้งอยู่ในอาคาร เทียบรถพระที่นั่ง ณ บริเวณด้านหน้าพระที่นั่งพิมานจักรี โดยจะเปิดให้บริการเป็นพิเศษในช่วงเวลา 16.00 - 20.30 น. ตลอดค่ำคืนแห่งการแสดงแสงเสียงของการเฉลิมฉลอง “101 ปี พระราชวังพญาไท” THE GLORY OF SIAM

เนื่องจาก “พระราชวังพญาไท” อยู่ภายในรั้วเดียวกับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ถนนราชวิถี การเดินทางมายังพระราชวังพญาไทจึงสามารถเลือกการเดินทางได้หลายวิธี อาทิ

รถยนต์ส่วนบุคคล : เดินทางโดยรถยนต์ เลี้ยวเข้าถนนราชวิถีและขับตรงไปประมาณ 500 เมตร จะเห็นโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าอยู่ทางขวามือ ให้เลี้ยวขวาเพื่อจอดรถภายในโรงพยาบาล

รถโดยสารประจำทางสาย : เดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะ สาย 8, 12, 14, 18, 28, 92, 97, 108, ปอ.92, 509, 522, 536, ปอ.พ.4

รถไฟฟ้าบีทีเอส : เดินทางโดยรถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิท ลงที่สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ออกทางออกที่ 3 (ลงฝั่งโรงพยาบาลราชวิถี) ข้ามสะพานลอยไปฝั่งตรงข้ามแล้วเดินทางเท้าตรงมาเรื่อยๆ ทางแยกตึกชัย จนถึงโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

ร่วมภาคภูมิใจกับ งาน “101 ปี พระราชวังพญาไท” THE GLORY OF SIAM ด้วยกาลเวลา อันทรงคุณค่า ก้าวสู่เรื่องเล่าบทบาทมิติใหม่ในพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน (NIGHT MUSEUM) กับประวัติศาสตร์ ที่มีชีวิต ได้ตั้งแต่วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 จนถึง วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2567 ตั้งแต่เวลา 18.00 - 21.30 น. ณ พระราชวังพญาไท

อัปเดตงาน “101 ปี พระราชวังพญาไท” THE GLORY OF SIAM เพิ่มเติม ผ่านออฟฟิเชียล เฟซบุ๊กแฟนเพจ และ อินสตาแกรม 101wangphyathai

 

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยนางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต เปิดเผยว่า “เคทีซีเดินหน้าทำการตลาดเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย และเพื่อเอาใจสมาชิกนักสะสมของเล่น และตอบรับกระแสนิยมอาร์ตทอยส์ (Art Toys) จึงได้ร่วมมือกับ “คิง เพาเวอร์ มหานคร” มอบส่วนลดสิทธิพิเศษส่วนลด 10% สำหรับบัตรเข้าชม “AKASHIC RECORDS in Bangkok” นิทรรศการของเล่นจากเมดิคอม ทอย (MEDICOM TOY) ผู้ผลิตของเล่นจากประเทศญี่ปุ่น พบกับผลงานทางศิลปะในโลกแห่งของเล่นของคุณทัตสึฮิโกะ อาคาชิ ประธานบริษัท ผู้ที่มีความหลงใหลในการสะสมของเล่น และผู้คิดค้นฟิกเกอร์ตุ๊กตาตัวหมี BE@RBRICK นอกจากนี้ ภายในงานยังมี BE@RBRICK จากศิลปินและนักออกแบบมากมาย โดยมีไฮไลท์พิเศษเอ็กซ์คลูซีพสำหรับงานที่ประเทศไทยเท่านั้น อาทิ BE@RBRICK FLOR@ Golden Shower Flowers (แบร์บริค ฟลอร่า ดอกราชพฤกษ์) BE@RBRICK MY FIRST B@BY (แบร์บริค มาย เฟิร์ส เบบี้) BE@RBRICK เบญจรงค์ BE@RMUG แก้วมัคเบญจรงค์ และ BE@RBRICK คิง เพาเวอร์ มหานคร สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีรับส่วนลด 10% เมื่อซื้อบัตรเข้าชมงานเวลา 10.00 น. – 15.30 น. จากราคาปกติ 880 บาท และบัตรเข้าชมงานเวลา 16.00 น. – 18.30 น. จากราคาปกติ 1,080 บาท ผู้สนใจสามารถซื้อบัตรเข้าชมงานได้ที่ https://kingpowermahanakhon.co.th โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 – 29 กุมภาพันธ์ 2567 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. – 20.00 น. ณ ชั้น 74 คิง เพาเวอร์ มหานคร”

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123  5000 หรือติดตามโปรโมชันของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ

SCB WEALTH ถอดบทเรียนการลงทุนในปีที่ผ่านมา พบ 3 ประเด็นหลักส่งผลให้นักลงทุนพลาดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี คือ 1 )การจับจังหวะลงทุนและเก็งกำไรตลอดเวลา ไม่ใช่เรื่องที่เหมะสม 2)การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งทื่ดีที่สุดในการลงทุน และ3)ไม่หลีกหนี Stay Invested แนะนักลงทุนแบ่งการลงทุนเป็นCore Portfolio ที่ควร Stay Invested และลงทุนระยะกลางถึงยาวได้ อีกส่วนเป็นOpportunistic เพื่อมองหาโอกาสทำกำไร มั่นใจหากนักลงทุนจัด Asset Allocation แม้ตลาดผันผวนไปในทิศทางใด ก็ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจได้

นายรุ่งโรจน์ เสกสรรค์วิริยะ ผู้อำนวยการอาวุโส Investment Product Selection and Partnership ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า การลงทุนในปี 2566 พบ 3 ประเด็นสำคัญที่สามารถนำมาถอดบทเรียนเพื่อนำมาปรับใช้กับการลงทุนในปี 2567 เพื่อให้พอร์ตการลงทุนมีเสถียรภาพ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้แม้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน ได้แก่ 1) การจับจังหวะลงทุนและเก็งกำไรตลอดเวลา ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม จากการพิจารณาดัชนี S&P500 เทียบกับมูลค่าการซื้อขายในแต่ละวัน พบว่า ในวันที่หุ้นปรับขึ้นมาก มูลค่าการซื้อขายจะสูงขึ้น สะท้อนว่ามีการเข้าไปซื้อขายเพื่อเก็งกำไรสูงขึ้น ซึ่งการจับจังหวะช่วงที่ตลาดขึ้นสูง มีโอกาสเผชิญความผันผวนได้มากกว่าช่วงที่ตลาดย่อตัวลงมา ดังนั้น การลงทุนควรพิจารณาลงทุนในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง ซึ่งมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีได้มากกว่า

2.การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งทื่ดีที่สุดในการลงทุน หากย้อนกลับไปช่วงต้นปี 2566 จะพบว่า ตลาดมีการคาดการณ์แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจและการลงทุน โดยมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับขึ้นดอกเบี้ยแรง และคงอยู่ในระดับสูง จะส่งผลให้เศรษฐกิจมีความผันผวน จากต้นทุนดอกเบี้ยของบริษัทต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท และสะท้อนมาที่ดัชนีในตลาดต่างๆ ของสหรัฐ อาจจะยังไม่น่าสนใจสำหรับการลงทุน แต่ปรากฏว่า ในปลายปี 2566 ดัชนี S&P 500 ปรับเพิ่มขึ้น 24.7% ดัชนี Nasdag เพิ่มขึ้น 44.5% และ ดัชนี Dow Jones Industrial (DJI) เพิ่มขึ้น 13.70% ทางด้านตลาดหุ้นจีนมองว่าจะได้รับผลดีจากการเปิดประเทศ จะส่งผลให้ภาคบริโภคฟื้นตัว แต่ปรากฎว่าดัชนี CSI 300 ผลตอบแทน -11.7% ส่วนเศรษฐกิจไทยคาดการณ์ว่าจะดีจากอานิสงส์ที่จีนเปิดประเทศ และการท่องเที่ยวไทยจะบูม แต่ปรากฏว่าดัชนีหุ้นไทย -15.6% ด้านราคาทองคำคาดว่าดอกเบี้ยที่สูงจะกดดันราคาทองคำให้ลดลง แต่ปรากฏว่าราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น 12% ในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา ทั้งนี้จากสถานการณ์ดังกล่าว นักลงทุนควรยึดมั่นอยู่ในหลักการสำคัญคือ การกระจายความเสี่ยงลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย สำหรับ Core Portfolio เพื่อให้การลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจได้ ไม่ว่าตลาดจะผันผวนไปในทิศทางใดก็ตาม

3.ไม่หลีกหนี Stay Invested หากในปีที่ผ่านมาผู้ลงทุนยังคงเชื่อมั่นศักยภาพ และเศรษฐกิจของสหรัฐการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ไม่ได้มีการปรับพอร์ต หรือลดสัดส่วนลง เชื่อว่าผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่ดี แต่ทั้งนี้จากสถิติในปี 2566 การลงทุนในกองทุนประเภท Money market เพิ่มสูงขึ้น ทำให้สะท้อนว่านักลงทุนส่วนใหญ่เมื่อตลาดหุ้นมี

ความผันผวนก็จะปรับพอร์ตหรือปรับสัดส่วนการลงทุน ( Not stay invested) ทั้งนี้ คาดว่า หากอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางหลายแห่งปรับตัวลดลง นักลงทุนอาจหันกลับเข้ามาทยอยลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ ญี่ปุ่น และยุโรป

ทั้งนี้ หลังจากการถอดบทเรียนในปี 2566 เพื่อนำมาปรับสำหรับจัดพอร์ตในปี 2567 SCB WEALTH มองพอร์ตการลงทุนควรแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1) การสร้างพอร์ตการลงทุนแกนกลาง ( Core portfolio ) ที่ผสมผสานระหว่างสินทรัพย์หลากหลายประเภทเพื่อกระจายความเสี่ยง ทั้งตราสารหนี้ หุ้น และสินทรัพย์ทางเลือก โดยตั้งเป้าหมายการลงทุนระยะกลางถึงยาว (ประมาณ 3-5 ปี) และไม่จับจังหวะเข้าออกมากเกินไป โดยสอนทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนได้แก่ กองทุน SCBGA ที่มีผู้จัดการกองทุนปรับน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ให้อยู่แล้ว ส่วนตราสารหนี้ แนะนำ กองทุน SCBDBOND(A) ซึ่งผู้จัดการกองทุนปรับสัดส่วนและน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ตามภาวะตลาดที่เหมาะสม สำหรับลูกค้ากลุ่มที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (Ultra High Net Worth) อาจแบ่งเงินส่วนหนึ่งใน Core Portfolio ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกนอกตลาด ประเภท Private Asset เช่น BCRED-O เป็นต้น

2 ) Opportunistic การจัดแบ่งเงินลงทุนบางส่วน เพื่อลงทุนตามมุมมองของที่ปรึกษาการลงทุนต่างๆ โดยอาจคัดเลือกกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงมากกว่ากองทุน แกนกลางได้บ้าง เพื่อหวังผลตอบแทนที่ดีในระยะสั้น ทั้งนี้ หากเกิดผลลบต่อการลงทุนและไม่เป็นไปตามคาดหวัง สัดส่วนเงินลงทุนที่น้อยจะไม่กระทบกับความคาดหวังการลงทุนระยะยาวในสินทรัพย์แกนกลาง ในส่วนนี้ SCB WEALTH ขอแนะนำ การลงทุนในกองทุน KT-INDIA ที่มีผลการดำเนินงานค่อนข้างสม่ำเสมอ และมีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นอินเดีย ส่วนการลงทุนในผลิตภัณฑ์ตราสารอนุพันธ์ (Structure product) และDual Currency Note Pricing (DCI) ที่จะให้ผลตอบแทนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนที่ลูกค้าต้องการแลก รวมถึงการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่น่าสนใจ ผู้ลงทุนสามารถติดต่อตัวแทนของธนาคารเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ก่อนตัดสินใจลงทุน

คำเตือน

· การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

· ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

· เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

· การลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อนสูงมีความแตกต่างจากการลงทุนในผลิตภัณฑ์การลงทุนทั่วไป ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนทำการลงทุน

· ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ไทยพาณิชย์ จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม กรุงไทย จำกัด(มหาชน)

· สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777

X

Right Click

No right click