December 18, 2025

บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR โดย นายฐิติเดช ศรีมารยาท ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ เป็นตัวแทนรับรางวัลสาขา Most Innovative Brand (รางวัลองค์กรที่เป็นที่สุดด้านนวัตกรรม) จากเวที The Future Trends Awards 2024 ซึ่งรางวัลดังกล่าวเป็นผลจากความสำเร็จของการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินธุรกิจทั้งสินเชื่อทะเบียนรถ และธุรกิจนายหน้าประกันภัย

นายฐิติเดช กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจของ บมจ.เงินติดล้อ อยู่ภายใต้เจตนาในการสร้างโอกาสทางการเงินที่เป็นธรรม โปร่งใส ให้กับกลุ่มลูกค้ารายย่อย และผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) และยังมุ่งส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงประกันภัยได้เพิ่มขึ้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางการเงิน ควบคู่ไปกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ที่อาจไม่สามารถเข้าถึงบริการจากสถาบันการเงินทั่วไปได้ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของ บมจ.เงินติดล้อ ไปพร้อมกับการยกระดับมาตรฐานการให้บริการเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ด้วยการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทั้งด้านสินเชื่อทะเบียนรถ และประกันภัย ดังนี้

1. “บัตรติดล้อ” บัตรกดเงินสดหมุนเวียนตามวงเงินสินเชื่อทะเบียนรถ ซึ่งเปรียบเหมือนกระเป๋าเงินที่ลูกค้าสามารถพกติดตัวไว้เพื่อใช้แก้ปัญหายามเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยลูกค้าสามารถกดเงินสดได้สะดวกจากตู้เอทีเอ็มธนาคารพาณิชย์ชั้นนำทั่วประเทศกว่า 50,000 แห่ง ตลอด 24 ชม.

2. แอปพลิเคชันเงินติดล้อ กับบริการด้านสินเชื่อ “โอนเงินสินเชื่อเข้าบัญชี” ช่วยให้ลูกค้าสามารถโอนเงินตามวงเงินคงเหลือที่ยังไม่ได้ใช้ในบัตรติดล้อไปยังบัญชีธนาคารพาณิชย์ หรือบัญชีพร้อมเพย์ของลูกค้าที่ลงทะเบียน

ไว้ได้สะดวก ทุกที่ ทุกวัน ระหว่างเวลา 06.00 น. – 22.45 น. โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม เพื่อช่วยให้ลูกค้ารู้สึกอุ่นใจ คลายกังวล ฉุกเฉินเมื่อไหร่ก็โอนเงินสินเชื่อเข้าบัญชีได้ นอกจากนี้ บริการด้านนายหน้าประกันภัย แอปเงินติดล้อยังช่วยทำให้เรื่องประกันง่ายขึ้น โดยลูกค้าสามารถต่ออายุประกันภัยพร้อมแบ่งจ่ายเบี้ยประกันเงินสดได้ด้วยตัวเอง และยังต่อ พ.ร.บ. ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา รวมถึงยังช่วยให้เช็คข้อมูลกรมธรรม์ แจ้งเตือนต่ออายุประกันภัย ช่วยค้นหาอู่ และช่วยให้ค้นหาเบอร์ติดต่อบริษัทประกันภัยได้สะดวก อีกด้วย

3. นอกจากนี้ ยังมี heygoody แบรนด์นายหน้าประกันภัยออนไลน์น้องใหม่ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มนายหน้าประกันภัยออนไลน์ชั้นนำ ที่สร้างขึ้นเพื่อกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเลือกซื้อประกันภัยจากบริษัทประกันภัยพันธมิตรชั้นนำด้วยตัวเอง ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ประกันภัยครอบคลุม ทั้งประกันรถยนต์ ประกันการเดินทาง สุขภาพ อุบัติเหตุ เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ ถือเป็นเครื่องยืนยันความตั้งใจในการใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยี เพื่อยกระดับบริการด้านการเงินและประกันภัยให้กับลูกค้า

สำหรับ งานประกาศรางวัล ‘Future Trends Awards 2024’ จัดขึ้นเพื่อมอบแด่สุดยอดผู้นำแห่งโลกธุรกิจและบุคคลที่เป็น Trends Setter รวม 95 รางวัล จาก 13 สาขา เป็นส่วนหนึ่งของงาน ‘Future Trends Ahead & Awards 2024’ สุดยอดงานสัมมนาและประกาศรางวัลแห่งปี ให้คุณรู้เทรนด์อนาคตเพื่อเป็นผู้ชนะของวันพรุ่งนี้ จาก Future Trends ซึ่งจัดขึ้น ณ ภิรัชฮอลล์ 2-3 ไบเทคบางนา (Bhiraj Hall 2-3, Bitec Bangna) เมื่อเร็วๆ นี้

บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL สานต่อโครงการ “ITEL I GIVE ส่งต่อคอมพิวเตอร์เพื่อน้องในพื้นที่ห่างไกล” บุกตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ส่งต่อคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค ให้แก่คณะครูและนักเรียนโรงเรียนบ้านห้วยไผ่ และ โรงเรียนบ้านด่านโง พร้อมสอนวิธีการใช้งานเบื้องต้น รวมถึงโปรแกรมสำคัญที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ เพื่อให้นักเรียนได้นำไปใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาหาความรู้ต่อไป

บริษัทฯ ไม่เพียงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจและสร้างสรรค์บริการที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่เรายังรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และเชื่อมั่นว่าการส่งต่อคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คให้เด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการเรียนรู้ และพัฒนาความเป็นอยู่ของเยาวชนไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในภายภาคหน้า

นับถอยหลังมาตรการ “อีซี่ อี - รีซีท” อาทิตย์สุดท้าย เคทีซีชวนสมาชิกใช้สิทธิ์ ณ ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ พร้อมมอบสิทธิพิเศษสำหรับนักอ่านทุกวัยด้วยส่วนลดสูงสุด 20% และใช้คะแนน KTC FOREVER แลกรับเครดิตเงินคืนเพิ่มอีก 18% หลังยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ร้านหนังสือโต 3% สวนกระแสพฤติกรรมสมาชิกนิยมอ่านหนังสือผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น

นายธีรพจน์ โชคอนันตัง ผู้อำนวยการ การตลาดบัตรเครดิต "เคทีซี" หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เคทีซีในฐานะองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ (Learning Organization) พร้อมสนับสนุนคนไทยรักการอ่านจึงได้ร่วมกับพันธมิตรจากร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศประกอบด้วย เอเชียบุ๊คส / ศูนย์หนังสือจุฬา / บีทูเอส / นายอินทร์ / ซีเอ็ดบุ๊ค / บุ๊คกาซีน และ สุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์ มอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีดังนี้ 1) ส่วนลดสูงสุด 20% หรือ สูงสุด 450 บาท 2) แลกรับเครดิตเงินคืน 18% เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีทุก 500 บาท และใช้คะแนน KTC FOREVER ทุก 500 คะแนน สามารถลงทะเบียนได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ พิมพ์ R24 เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตรฯ 16 หลัก และส่งมาที่เบอร์โทรศัพท์ 06 1384 5000 / เว็ปไซต์ : ktc.promo/r24 และ KTC PHONE 02 123 5000

นอกจากนี้ สมาชิกยังได้รับสิทธิพิเศษ ผ่อน 0.69% ต่อเดือน นานสูงสุด 10 เดือน เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป (รวมรายการที่มียอดซื้อตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป) ขอรับบริการได้ที่ KTC PHONE 02 123 5000 ในวันที่ซื้อสินค้าเท่านั้น ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.ktc.co.th/promotion/book-hobby-entertainment/book-and-publishing/read-n-greet-2024

“ถึงแม้ว่าปัจจุบันคนส่วนใหญ่จะหันไปอ่านหนังสือผ่านช่องทางอื่นๆ อาทิ ออนไลน์ โซเชียลมีเดียมากขึ้น แต่การซื้อหนังสือเล่มในปี 2566 ที่ผ่านมายอดการใช้จ่ายในหมวดหนังสือยังคงสามารถเติบโตสวนกระแสได้ถึง

3% และต้องบอกว่าการซื้อหนังสือในช่วงนี้ สมาชิกยังได้รับสิทธิ์ตามมาตรการของภาครัฐ “อีซี่ อี – รีซีท” (Easy E-Receipt) ที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้อีกไม่เกิน 50,000 บาทอีกด้วย อย่างไรก็ดี สิทธิพิเศษที่เคทีซีมอบให้สมาชิกสามารถใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2567 ” นายธีรพจน์ กล่าวทิ้งท้าย

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ 

หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ยสูงสุด 16% ต่อปี

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย, วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 – การแสดงความรักกำลังเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลเมื่อเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ของคนไทยวางแผนที่จะซื้อของขวัญทางออนไลน์เพื่อมอบให้คนรักในช่วงวาเลนไทน์ อ้างอิงจากผลการศึกษาฉบับล่าสุดที่จัดทำโดย YouGov ในนามของวีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก โดยการศึกษาฉบับนี้1 มีจุดมุ่งหมายเพื่อวัดพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคก่อนวันวาเลนไทน์ รวมถึงปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ และการกระทำเช่นใดที่ทำให้คนรักใจละลายได้

หนึ่งในสิ่งที่ท้าทายที่สุดคือการอ่านใจว่าคนรักของคุณต้องการอะไร อ้างอิงจากผลการศึกษาฉบับนี้พบว่า เกือบหนึ่งในสาม (59%) ที่เลือกบอกคนรักไปเลยตรงๆ ว่าอยากได้อะไร โดยวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองคือการใช้เอไอ หรือ ปัญญาประดิษฐ์เป็นตัวช่วย ซึ่ง 27 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ตอบแบบสอบถามวางแผนที่จะบอกสิ่งที่ตนปรารถนาโดยการกระซิบใส่สมาร์ตโฟนของคู่รัก และอีก 22 เปอร์เซ็นต์ เลือกที่จะบอกใบ้คนรักและหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจสิ่งที่อยากสื่อไปในที่สุด

เมื่อต้องตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อของขวัญแทนใจสำหรับวันวาเลนไทน์จากที่ไหน เกินกว่าครึ่งของของผู้ตอบแบบสอบถาม (57%) วางแผนที่จะซื้อของจากร้านค้าออนไลน์และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ขณะที่เกือบหนึ่งในห้า (20%) ตั้งใจจะซื้อโดยตรงจากร้านค้าบนสื่อโซเชียลอย่าง อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก ติ๊กต็อก และไลน์

ความรักปี 2567 มาพร้อมสนนราคา จากการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ราคาและส่วนลด (58%) คือปัจจัยสำคัญให้คนเลือกว่าจะซื้อของขวัญวาเลนไทน์จากที่ใด ตามด้วยความหลากหลายและคุณภาพสินค้า (50%) นอกจากนี้ยังเลือกพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาของโปรโมชันหรือแพ็กเกจ (30%) การมีประสบการณ์ที่ดีในการซื้อครั้งก่อนกับร้านค้า (27%) และชื่อเสียงของแบรนด์ (21%)

นอกจากนี้ การศึกษายังพบอีกว่า เกือบเจ็ดในสิบของผู้ตอบแบบสอบถาม (68%) วางแผนที่จะใช้จ่ายไม่เกิน 1,000 บาท ในขณะที่ 29 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าตั้งใจที่จะใช้จ่ายระหว่าง 1,001 ถึง 10,000 บาท และอีก 3 เปอร์เซ็นต์วางแผนที่จะใช้เงิน 10,000 บาทขึ้นไปกับของขวัญและการฉลองวาเลนไทน์ในปีนี้

เมื่อมาดูในส่วนของประเภทของขวัญที่เลือกซื้อสำหรับวันวาเลนไทน์ พบว่า เกือบหนึ่งในสาม (30%) บอกว่าเครื่องแต่งกาย กระเป๋าถือ และเครื่องประดับแฟชั่นคือตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับหวานใจของพวกเขา ตามด้วยของขวัญแนวสื่อแทนใจอย่างช็อกโกแลต (25%) และดอกไม้ (12%)

สำหรับหลาย ๆ คน วิธีสื่อความในใจไม่ได้จำกัดเพียงแค่ของขวัญเท่านั้น และความโรแมนติกของจริงยังมีอยู่เมื่อการกระทำที่ชวนให้ใจละลายมากที่สุดคือการได้ใช้เวลาอันมีค่าร่วมกัน (41%) แต่ก็ยังมีอีกหลาย ๆ คู่ที่เลือกซื้อของแทนใจเพื่อแสดงความรักระหว่างกัน โดยของขวัญวาเลนไทน์หรือโปรโมชันที่ได้รับความนิยมที่สุดคือ เซ็ตของขวัญคู่รัก (27%) ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง (22%) ตามมาด้วยบริการแกะสลักชื่อบนสินค้าฟรี (15%) และบัตรกำนัลสปาที่โรงแรม (12%)

นางสาวชนิดาภา สุริยา (กลางซ้าย) ผู้บริหารสูงสุด สายงานบริการลูกค้าและสนับสนุนธุรกิจ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนผู้บริหารและพนักงานเคทีซี มอบเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค สภาพดีพร้อมใช้งาน จำนวน 145 เครื่อง ให้แก่โรงเรียนในชนบท โดยมีนายพิเชษฐ เขาแก้ว (กลางขวา) ผู้อำนวยการ โรงเรียนบ้านคลองบอน จังหวัดนครสวรรค์ ตัวแทนคณะครูอาจารย์รับมอบ ภายใต้กิจกรรม “เคทีซีส่งต่อคอมฯ จากพี่สู่น้อง” โดยในปี 2566 เคทีซีได้มอบคอมพิวเตอร์ รวมจำนวน 184 เครื่อง ให้กับ 6 โรงเรียน เพื่อจัดส่งคอมพิวเตอร์ให้กับอาจารย์และนักเรียนได้ใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนต่อไป ณ เคทีซี ทัช อาคารสมัชชาวาณิช 2 สุขุมวิท 33 เมื่อเร็วๆ นี้

ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ “ดร.เอ้” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว “เอ้ สุชัชวีร์” โดยระบุว่า น้ำทะเลทะลัก ที่บางขุนเทียน ถึงสมุทรเจดีย์ "กรุงเทพ กำลังจมทะเล" ปัญหาใหญ่ที่สุด ที่ถูกละเลย ท่านคิดว่าไง เมื่อน้ำทะเลสูงขึ้นทุกปี เมื่อกรุงเทพทรุดลงทุกวัน เราจะทำอย่างไร เพื่อรักษาเมืองนี้ไว้ เพราะกรุงเทพ เป็นอีกเมือง ที่นักวิชาการทุกสำนักทั่วโลก พยากรณ์ไว้ว่า ไม่น่ารอด จากการจมทะเล "หากไม่ทำการป้องกัน"

ดร.เอ้ ได้ออกมากล่าวย้ำถึงปัญหาน้ำทะเลหนุนท่วมพื้นที่กรุงเทพอีกครั้ง หลังวานนี้ (11-12 ก.พ.67) ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงขึ้นจนเข้าท่วมถนนในพื้นที่บางขุนเทียนถึงพระสมุทรเจดีย์ทำให้การจราจรเกิดปัญหา บ้านเรือนและชุมชนได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วม โดยมีความห่วงใยคนกรุงเทพอย่างมากและมั่นใจว่า เทคโนโลยีด้านวิศวกรรมยุคนี้ ช่วยชีวิตคนกรุงเทพได้ เหมือนหลายเมืองที่เคยเจอปัญหาเดียวกัน

โดย ดร.เอ้ ได้ถอดบทเรียนน้ำทะเลหนุน จากเวนิส สู่ ประเทศไทย “เวนิส”จากเมืองจมน้ำ วันนี้เเก้ปัญหาน้ำท่วมได้อย่างไร ด้วยหลักวิศวกรรม โดยเวนิสได้มีการสร้าง MOSE System เป็นประตูจมน้ำลึกลงไป 30 เมตร ซึ่งในเวลาปกติจะนอนสงบนิ่ง แต่พอน้ำทะเลหนุนจะปั๊มอากาศไล่น้ำออกไป ทำให้ยกตัวสูงขึ้นกลายเป็นกำแพงกั้นน้ำในทันที เป็นระบบที่ใช้ในการป้องกันน้ำหนุนไม่ให้ท่วมเวนิส

“เวนิสอยู่ที่ประเทศอิตาลี เป็นเกาะอยู่ในทะเลเอเดรียติก ซึ่งเชื่อมต่อกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เกือบร้อยปีที่แล้วตั้งแต่ ค.ศ. 1930 น้ำทะเลหนุนสูง ท่วมพื้นที่ทั้งหมด โดยที่หนักก็คือปี ค.ศ. 1966 วันนั้นน้ำขึ้นสูงเกือบ 2 เมตร ได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะเวนิสเป็นแหล่งทำมาหากิน เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวหลักของอิตาลี ประชาชนเดือดร้อน ประเทศสูญเสีย เนื่องจากเป็นมรดกโลก เขาจึงสร้าง MOSE System เป็นระบบที่ใช้ในการป้องกันน้ำหนุนไม่ให้ท่วมเวนิส ประเทศไทยต้องเริ่มได้แล้วครับ”ดร.เอ้ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ดร.เอ้ กล่าวว่า MOSE System ของเวนิสใช้เวลาก่อสร้างกว่า 10 ปี โดยมีความคิดที่จะทำตั้งแต่ปี 2003 กว่าจะมาเริ่มทำก็อีก 10 ปี คือ ค.ศ. 2013 เนื่องจากปัญหาการเมือง ดังนั้นการก่อสร้างประตูกั้นน้ำ ขนาดประเทศยุโรป ซึ่งถือเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ยังใช้เวลามากกว่า 10 ปี ประเทศไทยก็ทำได้ไม่เหนือความสามารถของวิศวกรไทย ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะไม่ใช่ปัญหาเฉพาะทางด้านวิศวกรรม มันเป็นปัญหาหลายอย่าง แต่สุดท้ายแล้วอยู่ที่เราจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง ประเทศไทยทำได้แน่นอน คนไทยเก่งมีฝีมือ และห้ามหมดสิ้นกำลังใจความหวังกับประเทศไทย ห้ามหมดสิ้นความหวังกับตัวเรา ต้องเชื่อว่ามันจะต้องดีขึ้น คนไทยเก่งไม่แพ้ใครในโลก

ทั้งนี้ที่ผ่านมา ดร.เอ้ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม และเป็นอดีตนายกสภาวิศวกร ได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงถึงสถานการณ์น้ำท่วมกรุงเทพและวิธีการแก้ปัญหาโดยเสนอนโยบาย “Delta Works Thailand กรุงเทพต้องไม่จมน้ำ” ซึ่งประยุกต์มาจากโครงการ Delta Works ของเนเธอร์แลนด์ ที่ประสบความสำเร็จ มาประยุกต์ให้เข้ากับบริบทในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด 3 อย่าง คือ 1.แนวคิดทางด้านกฎหมาย สนับสนุนให้มีการออกกฎหมายและมาตรการระยะยาว เพื่อช่วยให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน มีการกำหนดพื้นที่ในการป้องกันน้ำท่วมจากปัญหาน้ำทะเลหนุนในกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียงให้มีความชัดเจน และมีการปรับปรุงกฎหมาย ทั้งเมือง เพื่อความเป็นธรรม แก่ประชาชน

2.ด้านกายภาพ ออกแบบและดำเนินการก่อสร้างโครงสร้างระบบป้องกันน้ำทะเลหนุนในพื้นที่ที่กำหนด ด้วยโครงการต่าง ๆ ตามแผนการ เช่น คันกั้นน้ำ เขื่อน พนังกั้นน้ำ ในจุดต่าง ๆ และประตูกั้นขนาดใหญ่บริเวณปากแม่น้ำ เพื่อป้องกันน้ำทะเลหนุนเข้ามาในพื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ และ3.ด้านเทคโนโลยี มีการนำเทคโนโลยีระบบควบคุมอัจฉริยะโดยสอดประสาน (Synchronized) กับระบบประมวลผลพยากรณ์สภาพอากาศด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence : AI) ที่มีความแม่นยำสูงมาใช้กับโครงการ ในการควบคุมระบบประตูกั้นน้ำและระบบสูบน้ำเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมและทะเลหนุนที่เกิดขึ้นอย่างรัดกุม ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ อย่างยั่งยืน Delta Works Thailand จะช่วยป้องกันพื้นที่กรุงเทพมหานครจากปัญหาน้ำท่วมที่เป็นวิกฤตของกรุงเทพในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างแน่นอน สนใจดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่พรรคประชาธิปัตย์ democrat.or.th

บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โบรกเกอร์สัญชาติไทยแห่งแรกที่ออก HSI DW หรือ DW อ้างอิงดัชนีฮั่งเส็ง จัดงานสัมมนาหัวข้อ “เปิดโลกการลงทุนในตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงกับ HSI DW06” ให้กับนักลงทุนที่สนใจ โดยมีนายพงศธร ลีลาประชากุล นักวิเคราะห์การลงทุนตราสารทุนต่างประเทศ ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน วิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจจีนและฮ่องกง ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้น กลยุทธ์การลงทุน และโอกาสในการลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆ และนายปวริศวร์ ภูริเวทย์คุณากร ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ ฝ่ายค้าหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า แนะนำการเริ่มต้นลงทุนใน HSI DW06 อาทิ กลไกการทำงาน ความเสี่ยง วิธีการซื้อขาย และกลยุทธ์การลงทุน นอกจากนั้นยังมี Boy DW Trader หรือนายธนภัทร ดวงจิตร จากเพจ DW Trader หุ้นใหญ่ กราฟสวย กูรูด้านการลงทุน DW มาร่วมให้มุมมองเกี่ยวกับเทคนิคการวิเคราะห์ กลยุทธ์การเข้าซื้อ-ขาย และการบริหารความเสี่ยง ณ หอประชุมศุกรีย์ แก้วเจริญ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา

บริษัทสตาร์ทอัพมักเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์นวัตกรรมมาโดยตลอด โดยเฉพาะในยุคของ Generative AI บริษัทเหล่านี้มีความพร้อมในการปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าและการทำงานของเราอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ข้อมูลจาก PitchBook data เผยว่านักลงทุนทั่วโลกที่มองเห็นคุณค่าและศักยภาพของสตาร์ทอัพในด้าน Generative AI ได้ลงทุนไปแล้วกว่า 21.4 พันล้านเหรียญสหรัฐตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2566 ไปจนถึง 30 กันยายน 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2565 เป็นจำนวน 5.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปัจจุบันมีสตาร์ทอัพด้าน Generative AI มากกว่า 5,000 รายที่กำลังสร้างโซลูชันบน AWS สตาร์ทอัพรายย่อยเหล่านี้มีความคล่องตัวสูงและมีศักยภาพที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมด้วยแนวคิดใหม่ ๆ บวกกับการพัฒนาโซลูชันที่เหมาะสมกับแต่ละประเทศ และการนำเสนอวิธีการใหม่ ๆ โดยนำ AI มาใช้งาน ความสำเร็จของสตาร์ทอัพเหล่านี้เป็นที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงความท้าทายในการเป็นผู้บุกเบิกของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 AI ที่เข้าใจบริบททางวัฒนธรรม

เทคโนโลยี Generative AI ได้ดึงดูดความสนใจผู้คนมาแล้วทั่วโลก ด้วยความสามารถในการเรียนรู้และนำไปใช้จากโมเดลพื้นฐาน (Foundation Models: FMs) ซึ่งได้ถูกเทรนล่วงหน้าด้วยข้อมูลปริมาณมหาศาล อย่างไรก็ตาม คุณภาพของโมเดลขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้ถูกนำมาใช้เทรน ตัวอย่างเช่น เมื่อโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models: LLMs) ที่ได้ถูกเทรนล่วงหน้าด้วยข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษ หากถูกนำมาใช้งานเพื่อตอบคำถามในภาษาอื่น ๆ อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดหรือการตีความที่ผิดได้

สิ่งต่างๆนี้เป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีประชากรที่พูดภาษาต่าง ๆ กว่า 2,300 ภาษา เพื่อที่จะรองรับวิธีการทำงาน วัฒนธรรม และภาษาที่หลากหลายของภูมิภาคนี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการเทรน LLM ด้วยข้อมูลที่มีความหลายหลายทางวัฒนธรรม เพื่อให้ AI เข้าใจแง่มุมที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับประสบการณ์ของมนุษย์ และสามารถเข้าใจความซับซ้อนทางสังคมได้ การสร้าง AI ที่สามารถรับรู้วัฒนธรรมของมนุษย์ในแต่ละท้องถิ่นมากขึ้นนั้น จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อประเทศ ชุมชน และประชากรรุ่นต่อ ๆ ไปอีกด้วย

สตาร์ทอัพเป็นผู้นำในการเทรนโมเดลด้วยข้อมูลที่มีความเจาะจงในแต่ละท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลในรูปแบบข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอ และอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น Botnoi Voice ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพสัญชาติไทยที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานของ AWS ในการสร้าง AI Bot ที่สามารถอ่านออกเสียงข้อความภาษาไทยด้วยเสียงสังเคราะห์ใหม่ ๆ ที่หลากหลาย ได้อย่างชัดเจนและเป็นธรรมชาติ แบรนด์ต่าง ๆ สามารถใช้ประโยชน์จากบริการของ

Botnoi Voice ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ไปยังเว็บไซต์ของ Botnoi Voice และอัปโหลดข้อความต้นฉบับ ก็จะสามารถดาวน์โหลดไฟล์เสียงที่มีความเป็นธรรมชาติ ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องสมัครสมาชิก สิ่งนี้จะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษาไปจนถึงสื่อ (media) เพื่อให้แบรนด์ต่าง ๆ สามารถนำเสนอประสบการณ์ที่เหนือชั้นให้แก่ลูกค้าของตนได้

การสร้างนวัตกรรมในหลากหลายอุตสาหกรรม

สตาร์ทอัพมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้าน Generative AI ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางเฟรมเวิร์คพื้นฐานด้วย (Foundation Model: FM) ไปจนถึงการพัฒนาการใช้งานจริง ปัจจุบันสตาร์ทอัพที่ใช้ Generative AI ในพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่น อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ บริการทางการเงิน สื่อและความบันเทิง การศึกษา และเกม Generative AI ยังคงปฏิวัติวิธีการดำเนินงานของธุรกิจและองค์กรทุกขนาดต่อไปเรื่อย ๆ โดยการพัฒนาระบบทำงานอัตโนมัติ ปรับปรุงกระบวนการวางแผนทางธุรกิจ และดัดแปลงประสบการณ์ผู้ใช้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล

ในแวดวงการแพทย์ เครื่องมือการฝึกอบรมที่ได้รับความช่วยเหลือจาก AI สามารถสร้างรูปแบบการฝึกอบรมให้แก่บุคลากรทางการแพทย์เฉพาะบุคคลและเป็น real time เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีอยู่ในปัจจุบัน SimConverse สตาร์ทอัพจากออสเตรเลียใช้ Generative AI เพื่อจำลองสถานการณ์จริง ในการฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์กว่า 300,000 คน จากองค์กรกว่า 150 แห่งในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ บริษัท SimConverse ใช้บริการประมวลผลของ Amazon เพื่อเทรนโมเดล AI ของตนในสถานการณ์จำลองกว่า 1,000 รูปแบบ ตั้งแต่การสื่อสารเบื้องต้น เช่น การกรอกประวัติทางการแพทย์ ไปจนถึงสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนทางภาษา เช่น การพูดเพื่อลดความรุนแรงของสถานการณ์ และการแจ้งข่าวร้ายให้แก่ญาติครอบครัว

อีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเทคโนโลยี AI คือธุรกิจสื่อและความบันเทิง ซึ่งบริษัทต่าง ๆ ได้นำ Generative AI มาช่วยในด้านการผลิตเนื้อหาใหม่ ๆ แบบอัตโนมัติ ลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิต Toonsquare สตาร์ทอัพจากเกาหลีใต้ ได้บุกเบิกนวัตกรรมในวงการเว็บตูนด้วยเครื่องมือสร้างเว็บตูนสุดล้ำสมัยที่ขับเคลื่อนด้วย AI ชื่อว่า Tooning ซึ่งอยู่บน AWS เครื่องมือ Tooning ช่วยให้งานที่ก่อนหน้านี้ใช้เวลาถึง 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สามารถเสร็จสิ้นได้ภายในเวลาเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น

 ขยายการเข้าถึง AI

สตาร์ทอัพมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิวัติเทคโนโลยี AI อย่างปฏิเสธไม่ได้ตั้งแต่เริ่มแรกไปจนถึงการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในขณะที่สตาร์ทอัพยังคงขับเคลื่อนนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง พวกเขายังเผชิญกับ

อุปสรรคสำคัญซึ่งรวมถึงข้อจำกัดด้านทรัพยากร ความซับซ้อนด้านจริยธรรมและกฎระเบียบ อุปสรรคในการนำมาปรับใช้งาน รวมไปถึงการขาดผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคนิค

ในการเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ สตาร์ทอัพจำเป็นต้องมีเครื่องมือและสามารถเข้าถึงทรัพยากรระบบคลาวด์ที่จะทำให้พวกเขามีข้อได้เปรียบในการแข่งขันได้ เมื่อเร็ว ๆ นี้ AWS ได้เปิดตัวเทคโนโลยีในทุกเลเยอร์ของ “สแต็ก” Generative AI เพื่อให้สามารถสร้าง เทรน และขยาย Generative AI ของตนได้ง่ายยิ่งขึ้น ถูกลง และสะดวกเร็วขึ้น ในเลเยอร์ล่างสุดของโครงสร้างพื้นฐาน (bottom layer) เรามีการผลักดันประสิทธิภาพต่อราคาของ MLChips รุ่นใหม่ที่ออกแบบโดย AWS เช่น Trainium2 ซึ่งมีความสามารถเพิ่มความเร็วในการเทรนโมเดลบน Amazon SageMaker

สำหรับสตาร์ทอัพที่สนใจทดลองใช้โมเดลที่มีอยู่ ในส่วนของเลเยอร์ระดับกลาง (middle layer) ซึ่งเป็นเลเยอร์เครื่องมือ โดยการเรียกใช้ Amazon Bedrock ต่อกับโมเดลชั้นนำต่าง ๆ หลากหลายรูปแบบ และสามารถปรับแต่งได้ มีเอเจนต์ให้ใช้งาน และมีความปลอดภัยกับความเป็นส่วนตัว ใช้งานในระดับองค์กรใหญ่ได้ ทั้งหมดนี้ผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์ที่มีการจัดการอย่างเต็มรูปแบบ (Fully managed) ในเลเยอร์บนสุด (top layer) ซึ่งเป็นเลเยอร์แอปพลิเคชัน สตาร์ทอัพสามารถใช้แอปพลิเคชันอย่างเช่น Amazon Q ซึ่งทำหน้าที่เสมือนผู้ช่วยรูปแบบใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Generative AI ออกแบบมาสำหรับการทำงานโดยเฉพาะและสามารถปรับให้เข้ากับธุรกิจของลูกค้าได้ อีกหนึ่งแอปพลิเคชันคือ Amazon CodeWhisperer ซึ่งเป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วย AI เหมาะสำหรับการเขียนโปรแกรมแบบรวม (Integrated Development Environment: IDE) และ command line นอกจากนี้ AWS ยังช่วยอุดช่องว่างในด้านทักษะ AI สำหรับสตาร์ทอัพด้วยการจัดโปรแกรมการฝึกอบรมฟรีด้าน AI ทั่วทุกภูมิภาคอีกด้วย

ความยืดหยุ่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรม

แม้ว่าการสร้างสรรค์ Generative AI จะเป็นก้าวแรกของการปฏิวัติ แต่การก้าวไปสู่ระดับโลกก็มีความสำคัญไม่แพ้กันในการผลักดันให้เกิดการยอมรับอย่างกว้างขวาง และการนำ Generative AI ที่ขับเคลื่อนโดยสตาร์ทอัพมาใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ Yellow. AI เป็นสตาร์ทอัพในอินเดียซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชันชั้นนำด้าน AI ในการสนทนา และวางขาย Generative AI Solution อยู่บน AWS Marketplace ที่เป็นแค็ตตาล็อกดิจิทัลที่มีลูกค้าสมัครใช้งานกว่า 330,000 ราย ปัจจุบัน Yellow.AI ซึ่งตั้งอยู่ที่ประเทศอินเดียจัดการการสนทนามากกว่า 12 พันล้านบทสนทนาในกว่า 85 ประเทศต่อปี

ในขณะที่สตาร์ทอัพทั่วเอเชียแปซิฟิกยังคงผลักดันขีดจำกัดในการสร้างสรรค์ ดัดแปลง และปรับขนาด FM และแอปพลิเคชัน Generative AI ของตนเอง พวกเขาจำเป็นต้องเข้าถึงเครื่องมือในการทำ ML การสนับสนุน โครงสร้างพื้นฐาน และโปรแกรมต่าง ๆ ที่คุ้มราคาและคุ้มค่าที่สุด เช่น AWS Activate เพื่อสร้าง AI ที่เข้าใจ

บริบททางวัฒนธรรมของมนุษย์ได้ เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพเหล่านี้ เพื่อช่วยเร่งการพัฒนาและการนำเทคโนโลยี Generative AI มาประยุกต์ใช้ สำหรับโลกในอนาคตที่มี AI เป็นเครื่องมือ เพื่อสร้างมุมมองใหม่ ๆ และโซลูชันอันสร้างสรรค์ที่จะขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้กับพวกเราทุกคน

 ในปี 2566 ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน โดยระบุว่า หนี้ครัวเรือนไทยเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในปัจจุบันสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะเริ่มทยอยปรับลดลงตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และสินเชื่อที่ขยายตัวอาจมีการชะลอตัวลงหลังมาตรการช่วยเหลือในช่วงโควิด 19 สิ้นสุดลง แต่ยังพบว่าสัดส่วนดังกล่าวยังอยู่ในระดับสูง ธปท. จึงเน้นย้ำให้มี มาตรการยกระดับการบริหารจัดการด้านการให้สินเชื่อที่มีความรับผิดชอบและเป็นธรรมอย่างเร่งด่วน รวมถึงได้ขอความร่วมมือในการช่วยกันส่งเสริมให้ลูกหนี้มีวินัย และมีทักษะการบริหารจัดการด้านการเงินที่ดีขึ้นร่วมกัน

นายสารัชต์ รัตนาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาร์ด เอกซ์ จำกัด (CardX) กล่าวว่า “บริษัท พร้อมขานรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนตามแนวนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย และได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวทางเร่งด่วนเกี่ยวกับเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) โดยเห็นว่าการให้ความรู้ด้านการเงิน การวางแผนและการสร้างความเข้าใจเรื่องการเป็นหนี้ คือหน้าที่ของเราที่เลี่ยงไม่ได้ โดยได้เริ่มให้ความสำคัญกับกระบวนการขาย ที่เน้นการให้ข้อมูลครบถ้วน ไม่เกินจริง ไม่บิดเบือน และเพิ่มเติมการสร้างคอนเทนต์ที่ให้ความรู้ด้านการเงิน รวมถึงการปรับการสื่อโฆษณาต่างๆ ด้วยการแสดงคำเตือนและกระตุ้นเพื่อเน้นย้ำวินัยทางการเงิน ส่งเสริมการกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหวในชิ้นงานโฆษณาต่างๆ พร้อมสร้างกลไกให้คำปรึกษากับลูกค้าตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย

ส่วนภาพรวมบริษัทในปีที่ผ่านมาจากผลการดำเนินงานของคาร์ดเอกซ์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 บริษัทมียอดสินเชื่อรวมกว่า 115,500 ล้านบาท มีฐานสมาชิกรวมราว 3.06 ล้านบัญชี พอร์ตสินเชื่อรวมมีมูลค่าประมาณ 115,500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นพอร์ตสมาชิกบัตรเครดิตประมาณ 2,140,000 บัตร คิดเป็นมูลค่าเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิต ราว 58,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนของพอร์ตสมาชิกบัตรเครดิตและสมาชิกสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 50:50 โดยหมวดธุรกิจที่มียอดการใช้จ่ายสูงสุด ได้แก่ หมวดไฮเปอร์มาร์เก็ต, ประกัน และสถานีบริการน้ำมัน และหมวดธุรกิจที่มีจำนวนรายการการใช้จ่ายสูงสุดได้แก่ หมวดร้านอาหาร หมวดชอปปิง และหมวดท่องเที่ยว

ในปี 2567 มีแผนที่จะมุ่งผลักดันเพื่อตอบแทนและช่วยแบ่งเบาภาระผู้บริโภค ผ่านแคมเปญที่คัดสรรมาอย่างดีตลอดปี 2567 อาทิ การสานต่อแคมเปญ ‘เบาได้อีกเยอะ’ แบ่งชำระ 0% 4 เดือน ง่ายๆ ด้วยตัวเอง เมื่อใช้จ่าย ตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไป ต่อเซลล์สลิป ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า อีกทั้งยังมีมาตรการและแคมเปญต่างๆ ที่ร่วมกับพันธมิตรห้างร้าน รวมกึงร้านค้าต่างๆ ตลอดปี ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้บริโภคจับจ่ายได้เบาและสบายมากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะมีการเติบโตจากยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในปี 2567 ที่ 15%

บริษัทยังคงตั้งเป้าหมายผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการดูแลพอร์ตลูกหนี้รวมให้ขยายตัวมากขึ้น ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้อย่างเหมาะสม ร่วมกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับประสบการณ์ และการให้บริการด้านสินเชื่อบุคคล การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจโดยเน้นการสื่อสารและการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายกับลูกค้า ผ่านช่องทางออนไลน์ให้ตรงใจและสอดคล้องกับความต้องการเฉพาะบุคคล ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจของเราให้เติบโตอย่างยั่งยืน สามารถสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่งได้ตามเป้าหมายที่วางไว้" นายสารัชต์กล่าวสรุป

ต้อนรับเดือนกุมภาพันธ์ LINE SHOPPING ผู้ให้บริการโซเชียลคอมเมิร์ซของไทย ปลุกกำลังซื้อรับเทศกาลตรุษจีนและวาเลนไทน์ ยกขบวนสินค้านานาชนิดเสิร์ฟให้นักช้อปได้เลือกซื้อแบบสุดคุ้ม ตั้งแต่ ไอเทมมงคลเสริมดวง สินค้าแฟชั่นเมคอัพปรับลุคเสริมโหงวเฮ้ง ไปจนถึงอาหารและผลไม้มงคลไหว้เจ้า พร้อมเซอร์ไพรส์ช้อปมันส์รับพอยท์คืนแจก LINE POINTS สูงสุด 2,900 พอยท์ต่อเดือน (ต่อหนึ่งผู้ใช้) เพียงช้อปครบ 600 บาท หรือ 1,500 บาทต่อหนึ่งคำสั่งซื้อ จากร้านค้าโซเชียลบน LINE SHOPPING แล้วจ่ายผ่าน LINE Pay หรือบัตรเดบิตและบัตรเครดิตเท่านั้น รับเลย LINE POINTS ช้อปต่อฟิน ๆ พิเศษแจกอีกต่อเนื่อง! รับคูปองลดราคาสูงสุด 70% ตั้งแต่วันนี้ – 29 กุมภาพันธ์ 2567

อัปเดตเทรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นเครื่องประดับเสริมดวงปัง

พบกับขบวนสินค้าไอเทมมงคลที่ LINE SHOPPING คัดสรรมาให้เลือกช้อป ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าคอลเลคชันสีแดง จาก Beming Collection, ชุดกี่เพ้า จาก Carisa, ชุดธีมตรุษจีนเข้าเซ็ตสำหรับทุกคนในครอบครัวจาก Baby Lovett หรือ เครื่องประดับเสริมดวง อาทิ กำไลปี่เซียะเรียกทรัพย์จาก AURORA หรือ สร้อยคอพร้อมจี้ทรงน้ำเต้าเรียกทรัพย์จากร้าน Is Ther นอกจากจะสวยอินเทรนด์แล้ว ยังช่วยเสริมดวงให้ปังตลอดปี

เสริมลุคพร้อมรับทรัพย์กับทัพสกินแคร์

นอกจากเสื้อผ้าแล้ว ต้องไม่ลืมดูแลผิวหน้า เสริมลุคเพิ่มโหงวเฮ้งพร้อมรับอั่งเปา ไม่ว่าจะเป็นลุคธรรมชาติผู้ใหญ่เอ็นดู หรือลุคแซ่บซ่อนหวาน ก็ต้องไม่ลืมสีปากฉ่ำแดงระเรื่อให้เข้ากับเทศกาลตรุษจีน หรือจะสวยหวานรับวาเลนไทน์ ซึ่งไม่ว่าจะลุคไหนหรือเทศกาลไหน ที่ LINE SHOPPING ก็มีบิวตี้ไอเทมช่วยสร้างสรรค์ลุคเหล่านี้ให้ครบจบ

ยืนหนึ่งในการเป็นแหล่งรวมร้านค้าสายบิวตี้ โดดเด่นด้วยสินค้ามีสไตล์ อย่าง ลิปบาล์มบำรุงฝีปากจากแบรนด์ Moleculogy รวมถึงร้าน The Cosmetics กับสินค้าเครื่องสำอางและสกินแคร์น่าตำ จะแต่งหนักแค่ไหนก็เอาอยู่

อาหารและผลไม้มงคล ยิ่งกินยิ่งเฮงรับความปังปีมังกร

อาหารและผลไม้ ถือเป็นเช็คลิสต์สำคัญประจำเทศกาลตรุษจีน โดยเฉพาะอาหารมงคลที่เป็นที่นิยมและมาพร้อมกับความหมายดี ๆ ได้แก่ ปลา หมายถึง ‘ความเหลือเฟือ’, เกี๊ยว ด้วยรูปทรงที่คล้ายกับเงินของจีนในสมัยโบราณ จึงเชื่อว่าจะช่วยให้มีเงินเหลือใช้มากมาย, ปูและกุ้ง หมายถึง ความรุ่งเรืองเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน, ก๋วยเตี๋ยวเส้นยาว หมายถึง อายุยืน, ซาลาเปา หมายถึง การห่อโชคลาภ ซึ่งอาหารมงคลทั้งหมดนี้ไม่ว่าจะของสด หรือ แบบพร้อมทาน ก็สั่งได้สะดวกง่าย ๆ บน LINE SHOPPING เหมาะสำหรับคนทำงานที่ไม่มีเวลาไปซื้อด้วยตัวเอง เพียงแค่ลองเสิร์ชหาร้าน Surapon Foods หรือ Ooga Booga Farm แล้วสั่งได้เลย

เติมความหวานให้วาเลนไทน์นี้ ด้วยของขวัญสุดพิเศษ

หากอาหารและผลไม้เป็นเช็คลิสต์ตรุษจีนแล้ว ดอกไม้และช็อกโกแลตก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในวันวาเลนไทน์เช่นกัน ไม่ว่าจะเติมความหวานให้กันด้วยช็อกโกแลต หรือจะกระชับความสัมพันธ์ให้ใกล้กันยิ่งขึ้นผ่านช่อดอกไม้และเครื่องประดับสวย ๆ LINE SHOPPING ก็สามารถช่วยคุณส่งมอบความรักให้กับคนพิเศษได้ง่ายขึ้น หรือจะทำเซอร์ไพรส์ส่งการ์ดความรักพร้อมของขวัญผ่านฟีเจอร์ SEND GIFT ก็จะช่วยสร้างโมเมนต์สุดพิเศษยิ่งขึ้นไปอีก พิเศษสุดช่วงวันวาเลนไทน์ส่งของขวัญผ่านฟีเจอร์ผู้รับจะได้การ์ดดีไซน์พิเศษเข้ากับช่วงเทศกาลแห่งความรักอีกด้วย

และเพื่อต้อนรับเดือนกุมภาพันธ์นี้ ทุกการช้อปสินค้าบน LINE SHOPPING พิเศษสุด ๆ รับ LINE POINTS ใช้เป็นส่วนลดสำหรับสั่งสินค้าครั้งถัดไปสูงสุด 2,900 พอยท์ต่อเดือน (ต่อหนึ่งผู้ใช้) เพียงช้อปครบ 600 บาท หรือ 1,500 บาทต่อหนึ่งคำสั่งซื้อ จากร้านบน LINE SHOPPING แล้วจ่ายผ่าน LINE Pay หรือบัตรเดบิตและบัตรเครดิตเท่านั้น พิเศษแจกต่อเนื่องรับคูปองลดราคาสูงสุด 70% ตั้งแต่วันนี้ – 29 กุมภาพันธ์ 2567

นอกจากนี้สำหรับลูกค้าที่ต้องการขอใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ในโครงการ Easy E-Receipt เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุด 50,000 บาท สามารถทำได้โดยเป็นสินค้าที่ซื้อผ่านทางแพลตฟอร์ม LINE SHOPPING ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 เท่านั้น อย่าลืม! ทักแชทหาร้านค้าก่อนทำการสั่งซื้อ เพื่อสอบถามร้านค้าเกี่ยวกับประเภทและรายละเอียดการออกใบกํากับภาษีอิเล็กทรอนิกส์/ใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://lin.ee/bm0Dtoi/thhp

X

Right Click

No right click