December 18, 2025

กุมภาพันธ์ 2567– ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิ ก (APAC) ยังคงแสดงถึง การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและการค้าที่เจริญรุ่งเรือง แอร์บัสได้คาดการณ์ว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า ตลาดจะมีความต้องการเครื่องบินขนส่งสินค้าล าตัวกว้างประมาณ 400 ล าในภูมิภาคนี้ ซึ่งรวมถึงเครื่องบิน ที่ผลิตขึ้นใหม่และที่เข้าโครงการปรับปรุงเครื่องบิน ซึ่งจ านวนนี้คิดเป็นมากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ของความ ต้องการทั่วโลกที่มีต่อเครื่องบินขนส่งสินค้าล าตัวกว้างรวมจ านวน 1,490 ล า ในกลุ่มเครื่องบินที่มีน ้าหนัก มากกว่า 40 ตัน คุณครอว์ฟอร์ด แฮมิลตัน (Crawford Hamilton) หัวหน้าฝ่ายการตลาดการขนส่งสินค้าของแอร์บัส กล่าวที่ งานสิงคโปร์แอร์โชว์ ว่าบริษัทสามารถตอบสนองความต้องการดังกล่าวของตลาดการขนส่งสินค้าทาง อากาศด้วยเครื่องบิน เอ350เอฟ (A350F) ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด “ในฐานะที่เป็นเครื่องบินขนส่งสินค้ารุ่นออกแบบใหม่ทั้งหมดเพียงล าเดียวของโลก เครื่องบิน A350F เป็น การเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดด้านประสิทธิภาพ ในตลาดการขนส่งสินค้าที่มีการแข่งขันสูง” เขากล่าว เสริมอีกด้วยว่า “มันจะช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 40 เปอร์เซ็นต์เมื่อ เทียบกับเครื่องบิน 747เอฟ (747F) รุ่นก่อนหน้า และ A350F เป็นเครื่องบินขนส่งสินค้าล าแรกในตลาดที่ ปฏิบัติตามมาตรฐานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2 ) ที่เพิ่มขึ้นขององค์การการบินพลเรือน ระหว่างประเทศ (ICAO) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี2570” เครื่องบิน A350F สามารถบินได้ไกลถึง 4,700 ไมล์ทะเล (หรือ 8,700 กิโลเมตร) ในขณะที่ยังคงรักษา ต้นทุนการด าเนินงานที่ต ่ากว่าเครื่องบินขนส่งสินค้าอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบันอย่างมาก ท าให้สามารถ รองรับการให้บริการแก่ตลาดการขนส่งสินค้าหลักๆ ทั้งหมดได้ รวมถึงเส้นทางการขนส่งสินค้าที่ใหญ่ที่สุด ในโลกระหว่างฮ่องกงและแองเคอเรจ เครื่องบิน A350F สามารถรองรับน ้าหนักบรรทุกได้มากถึง 111 ตัน และมีประตูส าหรับห้องบรรทุกสินค้า หลักที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมการบิน ด้วยประตูห้องบรรทุกสินค้าหลักที่กว้างขึ้นถึง 15 เปอร์เซ็นต์เมื่อ เทียบกับเครื่องบินของคู่แข่ง ท าให้เครื่องบิน A350F สามารถขนส่งเครื่องยนต์ขนาดใหญ่แบบใหม่ทั้งหมด ได้โครงเครื่องบินท าจากวัสดุขั้นสูงมากกว่า 70เปอร์เซ็นต์ซึ่งส่งผลให้น ้าหนักขณะบินขึ้นเบากว่าเครื่องบิน ที่พัฒนาโดยคู่แข่งถึง 46 ตัน คุณครอว์ฟอร์ด แฮมิลตัน กล่าวว่า “เนื่องจากเอเชียแปซิฟิ กจะกลายเป็นภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดส าหรับการค้า ระหว่างประเทศในอีก 20 ปีข้างหน้า เครื่องบิน A350Fซึ่งได้เพิ่มระดับการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพ และ ความสามารถในการบรรทุกที่สอดคล้องกับตลาด รวมถึงพิสัยการบิน ท าให้ได้รับการปรับแต่งมาอย่าง สมบูรณ์แบบต่อการพัฒนาการปฏิบัติงานของสายการบินต่าง ๆ ด้วยการตอบโจทย์ความต้องการด้านการ บรรทุกสินค้าที่หลากหลาย ในขณะที่เป็นผู้น าสู่อนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้นในการขนส่งสินค้าทางอากาศ” A350F มีก าหนดเข้าประจ าการในปี 2569 โดยการประกอบชิ้นส่วนล าตัวเครื่องบิน A350F ล าแรกจะเริ่ม ด าเนินการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ซึ่งสอดคล้องกับกรอบเวลาของแผนการผลิตเครื่องบิน ข้อมูล ณ สิ้นเดือน มกราคม 2567เครื่องบินตระกูล เอ350 (A350) รุ่นล่าสุด ได้รับค าสั่งซื้อมากกว่า 1,200 รายการจากลูกค้า 57 รายทั่วโลก ซึ่งรวมถึงค าสั่งซื้อ 50 รายการส าหรับเครื่องบินรุ่น A350F จากสายการ บินขนส่งสินค้าชั้นน า 9 ราย ส าหรับในประเภทเครื่องบินขนาดกลาง ตระกูล เอ330 นีโอ (A330neo) ยังคง ได้รับความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยมีค าสั่งซื้อเกือบร่วม 300 รายการจากลูกค้า 28 ราย

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนปี 2567 สร้างรายได้ 3.22 แสนล้านบาท บนความท้าทายที่เริ่มเผชิญกับข้อจำกัดจากแนวโน้มประชากรที่ลดลง และแนวคิดในการใช้บริการที่เปลี่ยนแปลงไปจากการรักษาขยับขึ้นเป็นการป้องกัน เพื่อลดความเสี่ยงในการเข้ารับบริการในโรงพยาบาล ส่งผลให้รูปแบบการดำเนินธุรกิจของโรงพยาบาลเอกชนต่างไปจากเดิม

 ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมาจากโครงสร้างประชากรและอัตราการเจ็บป่วยที่เพิ่มขึ้น รวมถึงข้อบังคับทางกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องขึ้นทะเบียนลูกจ้างเป็นผู้ประกันตน ส่งผลให้โรงพยาบาลมีรายได้เพิ่มจากระบบประกันสังคมโดยผู้ประกันตนที่มีสิทธิในการรักษาพยาบาลสูงถึง 13.7 ล้านคน รวมถึงสวัสดิการประกันกลุ่มที่บริษัทเอกชนมอบให้แก่พนักงานจำนวนกว่า 2.6 ล้านกรมธรรม์ นอกจากในมิติของจำนวนอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจโรงพยาบาลเป็นกลุ่มธุรกิจบริการที่ไม่อ่อนไหวต่อราคาและรายได้ จากการที่เป็นธุรกิจบริการที่จำเป็นและทดแทนไม่ได้ในมิติของคุณภาพและระยะเวลาการเข้ารักษา ส่งผลให้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนมีอำนาจในการส่งผ่านราคาค่าบริการได้ง่าย เป็นผลให้ค่าบริการของโรงพยาบาลเอกชนมีทิศทางปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้มูลค่าตลาดของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนสามารถขยายได้ต่อเนื่อง โดย ttb analytics ประเมินปี 2567 ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนมีรายได้รวมสูงแตะ 3.22 แสนล้านบาท ขยายตัว 4% จากปี 2566 ที่มีรายได้รวม 3.14 แสนล้านบาท

 อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาตั้งแต่ปี 2565 ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนฟื้นตัวและได้รับผลบวกจากวิกฤตโควิด-19 มีรายได้เติบโตถึง 29% โดยในปี 2566 ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนเริ่มเห็นสัญญาณการเติบโตที่มีข้อจำกัดมากขึ้นกว่าในอดีต ส่วนหนึ่งมาจากลักษณะเฉพาะตัวของอุปสงค์กลุ่มผู้ใช้บริการในโรงพยาบาลเอกชนที่มีลักษณะคาดการณ์ไม่ได้ (Unpredictable Demand) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จะมีการใช้บริการเมื่อมีการเจ็บป่วย ส่งผลให้ต้องอาศัยอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรจำนวนมากจึงจะสามารถสร้างจำนวนผู้ป่วยในอัตราที่พึงประสงค์บนเงื่อนไขที่อัตราการเข้าโรงพยาบาลคงที่ ดังนั้น ในช่วงปี 2566 ที่จำนวนประชากรเริ่มลดลงกอปรกับกระแสการตื่นตัวในการดูแลสุขภาพที่สูงขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วยจากการที่ตระหนักถึงค่ารักษาพยาบาลที่สูงเมื่อเทียบกับรายได้ ที่แม้จะมีสิทธิ์ค่ารักษาพยาบาลจากประกันสุขภาพแต่ก็ยังพบว่า หลายครั้งผู้ใช้บริการยังต้องชำระเงินส่วนเกินของค่ารักษา ทำให้อัตราการเข้าโรงพยาบาลในอนาคตอาจมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในภาพรวมเริ่มประสบความท้าทาย โดยการเติบโตของโรงพยาบาลเอกชนจะมีลักษณะเป็น K-Shape โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มดังนี้

  กลุ่มที่ยังรักษาอัตราการเติบโตได้ดี คือ โรงพยาบาลเอกชนที่เน้นลูกค้าต่างชาติที่รายได้ในปี 2566 ยังขยายตัวได้ราว 15.3% จากความสามารถในการขยายตลาดเพื่อเพิ่มจำนวนผู้เข้ารับบริการจากคุณภาพการรักษาพยาบาลที่สูงบนราคาที่เข้าถึงได้ (High Quality Medical Service at an Affordable Price) ประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มตะวันออกกลางที่ไทยได้เปรียบเรื่องราคาที่ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบในคุณภาพเดียวกันหรือสูงกว่า รวมถึงกลุ่มอุปสงค์ที่มีรายได้สูงในภูมิภาคอาเซียน เช่น กัมพูชา เมียนมาร์ ลาว ที่ไทยมีข้อได้เปรียบเรื่องคุณภาพของระบบสาธารณสุขที่มีมาตรฐานที่สูงกว่า

· กลุ่มที่เริ่มเผชิญข้อจำกัดในการขยายตัว คือ กลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่เน้นลูกค้าชาวไทย ที่รายได้รวมลดลง 18.3% ในปี 2566 เริ่มเผชิญข้อจำกัดจากจำนวนผู้ป่วยนอกที่ลดลงจากรายงานการสำรวจการเข้าโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนในปี 2565 มีจำนวนผู้ป่วยนอก 58.5 ล้านราย เทียบกับ 58.8 ล้านรายในปี 2560 กอปรกับเมื่อพิจารณาบนบริบทที่ประชากรไทยกำลังเข้าสู่ช่วงลดลง ส่งผลให้ปริมาณอุปสงค์ของผู้ใช้บริการเริ่มมีข้อจำกัดในการขยายตัว รวมถึงในช่วงเวลาที่ผ่านมาค่ารักษาพยาบาลมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้ กดดันให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่าง ๆ ในระยะยาว

 ดังนั้น บนสถานการณ์ปริมาณอุปสงค์ของผู้ใช้บริการในประเทศที่เข้ารักษาพยาบาลมีแนวโน้มลดลง รวมถึงในกลุ่มตลาดผู้ใช้บริการชาวต่างชาติที่แม้ยังมีพื้นที่ในการขยายตัวไม่ว่าจะมาจากจำนวนผู้ใช้บริการและราคาที่ยังปรับเพิ่มจากราคาเปรียบเทียบที่ยังต่ำกว่าประเทศต้นทางในบางประเทศ แต่ในระยะยาวการเติบโตบนบริบทที่ตลาดต่างชาติเริ่มเข้าสู่ภาวะอิ่มตัว การรักษาพยาบาลแบบดั้งเดิมอาจเริ่มเผชิญกับข้อจำกัด ซึ่ง ttb analytics มีความเห็นว่านับจากปี 2567 จะเป็นจุดเริ่มต้นของรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนไปของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนในรูปแบบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

 1) การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าใช้บริการ เนื่องจาก ปัจจุบันโครงสร้างรายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชน ส่วนหนึ่งมาจากระบบประกันสุขภาพ เช่น ประกันกลุ่มที่มีจำนวนกรมธรรม์สูงถึง 2.6 ล้านฉบับ ซึ่งตามสถิติ ผู้มีประกันกลุ่มเข้ารับบริการโรงพยาบาลเฉลี่ย 5.7 ครั้งต่อปี แต่อย่างไรก็ตามการใช้บริการโรงพยาบาลแม้ไม่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลกลับมีต้นทุนแฝงอื่น เช่น ค่าเดินทาง และการลางานที่อาจกระทบต่อผลการประเมินประสิทธิภาพงานในแต่ละปี ส่งผลให้บางครั้งผู้เข้ารับบริการที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Minor Illnesses) อาจเลือกไม่เข้ารับบริการ ถึงแม้ตนมีสิทธิในการเข้ารับการรักษา ส่งผลให้การนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น Telemedicine สามารถเพิ่มความถี่ของการเข้ารับบริการให้เพิ่มสูงขึ้นแม้อาจไม่ได้เพิ่มในจำนวนของผู้รับบริการก็ตาม

2) การเพิ่มความต้องการเฉพาะของบริการทางการแพทย์ เพื่อลดข้อจำกัดเรื่องอุปสงค์ของกลุ่มผู้ใช้บริการที่คาดการณ์ไม่ได้ (Unpredictable Demand) ในการสร้างความจำเป็นพิเศษ (Special Needs) เพื่อรับบริการทางการแพทย์ ตัวอย่างเช่น ในกลุ่มโรงพยาบาลและคลินิกเฉพาะทาง เช่น การบำบัด การเสริมความงาม หรือแม้แต่เทรนด์เพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วยด้วยเวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive Care) ที่รายได้เติบโตด้วยอัตราเร่งที่ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 30.2% โดยรายได้คาดการณ์ปี 2567 อยู่ที่ราว 4.2 หมื่นล้านบาท จากความสามารถในการตอบสนองความต้องการเฉพาะนอกเหนือจากเข้ารับบริการเพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาที่มีความถี่ในการใช้บริการต่ำและมีข้อจำกัดในการทำการตลาดจากการที่ไม่สามารถคาดการณ์การใช้บริการได้

3) การมุ่งเน้นให้เกิดรายได้หมุนเวียน (Recurring Income) เพื่อสร้างฐานรายได้เติบโตได้อย่างสม่ำเสมอจากผู้ใช้บริการที่คาดการณ์ได้ (Predictable Demand) โดยการเพิ่มเติมความจำเป็นพิเศษเพื่อเปลี่ยนมุมมองจากเดิมที่เข้ารับบริการเพื่อการรักษา (Treatment) สู่มุมมองร่วมสมัยที่เข้ารับบริการในรูปแบบเวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive Care) ทำให้เกิดรูปแบบการให้บริการใหม่ที่มีความถี่สูงขึ้น เช่น เวชศาสตร์ฟื้นฟู บริการด้านสุขภาพ หรือกลุ่มอาหารเสริม รวมถึงการขยายรูปแบบบริการในธุรกิจดูแลผู้สูงอายุที่ตอบโจทย์ปัญหาของประเทศไทยที่กำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มขั้น (Super Aged Society) บนบริบทของครอบครัวที่มีขนาดเล็กลงยิ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุมีทิศทางที่สามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง

จากผลวิจัยล่าสุดพบว่า ผู้หญิงข้ามเพศชาวไทย 98% ต้องการผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเธอในช่วงการเปลี่ยนแปลง

3 ใน 4 ของผู้หญิงข้ามเพศในประเทศไทย ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของผิวและความรู้สึกไม่สบายผิว ระดับปานกลางถึงรุนแรง ในช่วงกระบวนการเปลี่ยนแปลง

วาสลีน ประเทศไทย แนะนำครั้งแรก! วาสลีน โปร เดอร์มา ทรานซิชั่น บอดี้ โลชั่น นวัตกรรมที่พัฒนาร่วมกับ ผู้หญิงข้ามเพศ เพื่อผู้หญิงข้ามเพศ ผ่านการทดสอบทางคลินิก

 

กรุงเทพฯ ประเทศไทย (15 กุมภาพันธ์ 2567) – วาสลีน เชื่อว่าผิวที่สวยงาม คือ ผิวสุขภาพดี สำหรับผู้หญิงข้ามเพศที่กำลังอยู่ในช่วงกระบวนเปลี่ยนผ่านสู่การข้ามเพศ ความสวยงามมีบทบาทสำคัญในเส้นทางของพวกเธอ จากผลวิจัยล่าสุด โดย วาสลีน ผู้หญิงข้ามเพศมากกว่า 9 ใน 10 คน เชื่อว่าการมีผิวพรรณที่น่าพึงพอใจส่งผลต่อความรู้สึกเป็นผู้หญิงและความมั่นใจ

ในตัวเองของพวกเธอเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ดี ผู้หญิงข้ามเพศชาวไทย 98% ยังต้องการผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเธอในช่วงการเปลี่ยนแปลง

ในฐานะแบรนด์ที่ยืนหยัดเพื่อสุขภาพผิวที่ดีสำหรับทุกคน วาสลีนมุ่งมั่นที่จะดูแลผิวของทุกคน เพราะผิวของทุกคนสำคัญ (No skin ever goes unseen) ด้วยความมุ่งมั่นดังกล่าวนี้ วาสลีน ประเทศไทย ได้เปิดตัวนวัตกรรมล่าสุด วาสลีน โปร เดอร์มา ทรานซิชั่น บอดี้ โลชั่น (Vaseline Pro Derma Transition Body Lotion) ที่ผ่านการทดสอบทางคลินิก และพัฒนาร่วมกับผู้หญิงข้ามเพศ เพื่อผู้หญิงข้ามเพศ เป็นครั้งแรก วาสลีน โปร เดอร์มา ทรานซิชั่น บอดี้ โลชั่น เริ่มวางจำหน่ายเฉพาะที่ร้าน วัตสันทั่วประเทศไทยและช่องทางออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป

3 ใน 4 ของผู้หญิงข้ามเพศในประเทศไทยต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังและความรู้สึกไม่สบายผิวระดับปานกลางถึงรุนแรงในช่วงระหว่างและหลังกระบวนการข้ามเพศ วาสลีน พัฒนาผลิตภัณฑ์นี้ขึ้นร่วมกับผู้หญิงข้ามเพศ ผ่านการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ในประเทศไทย เพื่อจัดการกับปัญหาผิวที่พบได้บ่อยในช่วงการใช้ฮอร์โมนบำบัด เช่น ผิวไวต่อแสง หมองคล้ำง่าย ผิวระคายเคือง สีผิวไม่สม่ำเสมอ และผิวแพ้ง่าย จากนั้น ผ่านการทดสอบทางคลินิก เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพในการปรับสมดุล เสริมสร้างความแข็งแรง และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว พร้อมทั้งเผยผิวดูกระจ่างใส และสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็น ได้ชัด

“ที่ยูนิลีเวอร์ เรามุ่งสร้างสังคมที่เปิดรับความแตกต่างหลากหลายและเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น ภายใต้วัฒนธรรมที่ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จ ได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพและเท่าเทียม และความแตกต่างนั้นได้รับการยอมรับและชื่นชม เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายดังกล่าว เราได้ใช้ธุรกิจและศักยภาพของเราเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้เกิดขึ้นภายในองค์กรของเรา รวมไปถึงสังคมโดยรวม” นายเจย์ โก Beauty & Wellbeing Thailand Lead, SEA Head of Customer Strategy & Planning บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด กล่าว

 

“วาสลีน เรามุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวสำหรับทุกคน ผู้หญิงข้ามเพศมีความต้องการเฉพาะในเรื่องผิวที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง และเรารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้คิดค้นโลชั่นบำรุงผิวที่ตอบสนองความต้องการเหล่านี้ของผู้หญิงข้ามเพศ ช่วยให้ผิวพรรณของพวกเธอแลดูสุขภาพดีและเสริมความมั่นใจในตัวเองยิ่งขึ้น” นางสาวสถิรวรรณ เอี่ยมอ่อง ผู้นำฝ่ายพัฒนาตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายและผิวหน้า บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด

“ผู้หญิงข้ามเพศต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายด้านในช่วงกระบวนการเปลี่ยนแปลง ผิวพรรณของพวกเธออาจจะแห้งและบอบบางแพ้ง่ายในช่วงเดือนแรกๆ ของการใช้ฮอร์โมนบำบัด อาการเหล่านี้อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อความมั่นใจในสภาพผิวและความรู้สึกมั่นใจในตัวเอง” นพ. วรพล รัตนเลิศ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศัลยแพทย์ตกแต่ง ผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง โรงพยาบาลยันฮี กล่าว

“เรารู้สึกดีใจที่ได้เห็นวาสลีนสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวนี้ขึ้นร่วมกับกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศ เพื่อผู้หญิงข้ามเพศ ปัจจุบัน พบว่าผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของผู้หญิงข้ามเพศยังมีไม่มากนัก จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้เห็นวาสลีนเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงผ่านการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่นี้” ซีซ่า ฤทธิวงศ์ รองผู้อำนวยการสำนักสิทธิมนุษยชน ความยั่งยืน และการระดมทรัพยากร สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย กล่าว

ผลิตภัณฑ์ วาสลีน โปร เดอร์มา ทรานซิชั่น บอดี้ โลชั่น เป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุดภายใต้กลุ่มโลชั่นเวชสำอาง วาสลีน โปร เดอร์มา ซึ่งคิดค้นขึ้นเพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวเฉพาะด้านที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองของผู้หญิงข้ามเพศในประเทศไทย ตัวผลิตภัณฑ์ได้ผ่านการทดสอบทางคลินิกสำหรับผิวบอบบางแพ้ง่าย โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีกลูต้า-เซราไมด์ และสารแอคทีฟที่ช่วยให้ผู้หญิงข้ามเพศมีผิวสุขภาพดีในช่วงกระบวนการข้ามเพศและหลังกระบวนการข้ามเพศ

จากผลวิจัยพบว่า 90% ของผู้หญิงข้ามเพศต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้านในช่วงกระบวนการเปลี่ยนแปลง เพื่อรับมือกับหลากหลายความกังวลที่เกิดขึ้น ผู้หญิงข้ามเพศกว่า 78% จึงทุ่มเทกับความพยายามด้านความงามเพื่อแสดงออกถึงความเป็นผู้หญิง และการมีผิวสุขภาพดีนั้นเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญ

อย่างไรก็ดี ผู้หญิงข้ามเพศบางครั้งรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์ต่างๆ ยังไม่ตอบโจทย์กับทุกความต้องการด้านผิวพรรณของพวกเธอนัก ซึ่งข้อมูลเชิงลึกที่วาสลีนได้รับจากการทำวิจัยร่วมกับผู้หญิงข้ามเพศในประเทศไทยนี้เอง ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ วาสลีน ประเทศไทย ร่วมกับ สุธน เพ็ชรสุวรรณ ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณามือรางวัล ในการสร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณาออนไลน์เปิดตัวผลิตภัณฑ์ โดยตัวภาพยนตร์นั้นถ่ายทอดมุมมองของผู้หญิงข้ามเพศคนหนึ่งซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ไม่มีอะไรพอดีสำหรับเธอ สะท้อนถึงเส้นทางความท้าทายในแต่ละวันที่ผู้หญิงข้ามเพศต้องเผชิญในช่วงกระบวนการเปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ วาสลีนยังได้จับมือกับยูน – ปัณพัท เตชเมธากุล ศิลปินวาดภาพประกอบหญิงข้ามเพศชาวไทย ในการออกแบบขวดผลิตภัณฑ์วาสลีน โปร เดอร์มา ทรานซิชั่น บอดี้ โลชั่น “เรารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่คิดค้นขึ้นเพื่อผู้หญิงข้ามเพศโดยเฉพาะ ลวดลายผีเสื้อบนขวดนั้นสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ที่แสดงออกถึงอิสรภาพและการเฉลิมฉลอง” เธอกล่าว

ที่ผ่านมา วาสลีน เดินหน้ามอบประสบการณ์การดูแลผิวที่เท่าเทียมสำหรับทุกคน ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ Vaseline Healing Project ซึ่งเป็นโครงการระดับโลกที่ช่วยให้ชุมชนที่ขาดโอกาสสามารถเข้าถึงการดูแลด้านผิวหนังขั้นพื้นฐานและมอบความรู้เกี่ยวกับการดูแลผิว รวมถึงในประเทศไทย และวาสลีนยังคงมุ่งมั่นสานต่อพันธกิจในการส่งเสริมให้ผู้คนทั่วโลกมีสุขภาพผิวดีขึ้น

สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ วาสลีน โปร เดอร์มา ทรานซิชั่น บอดี้ โลชั่น สามารถเข้าไปที่ facebook.com/VaselineThailand และรับชมภาพยนตร์โฆษณาได้ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์นี้ ที่ช่องทางยูทูบ VaselineThailand

 อิเกีย ประเทศไทย ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน 50 บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วยมากที่สุดในประเทศไทย จากผลสำรวจของ WorkVenture ที่ปรึกษาและผู้นำด้านการสร้างแบรนด์นายจ้างให้กับบริษัทชั้นนำในไทย ซึ่งมาจากการสำรวจออนไลน์กับคนรุ่นใหม่ที่มีอายุ 20-35 ปี ในกรุงเทพฯ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของ อิเกีย ประเทศไทย ในการพัฒนาการดำเนินงานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นเอกลักษณ์ในการเปิดโอกาสให้พนักงานที่มีความหลากหลายได้แลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นและแสดงศักยภาพในการทำงานได้อย่างเต็มที่ และให้ความสำคัญกับการเติบโตของพนักงานควบคู่ไปกับการเติบโตของธุรกิจ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้า

ด้วยวิสัยทัศน์ในการสรรสร้างชีวิตที่ดีกว่าให้คนทั่วไปในทุกๆ วัน’’ (to create a better everyday life for the many people) นอกจากอิเกียจะให้ความสำคัญกับสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมแก่ลูกค้าแล้ว บริษัทยังมุ่งมั่นพัฒนาประสบการณ์ที่ดีแก่พนักงานผ่านการสร้างวัฒนธรรมองค์กรและค่านิยมหลักที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของอิเกีย โดยมี 3 แนวทางการดำเนินงานหลักที่มุ่งตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานทุกคน ซึ่งรวมถึงพนักงานที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ได้แก่ การเอาใจใส่ต่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนที่สะท้อนผ่านการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องด้านความยั่งยืน การสนับสนุนโอกาสการเติบโตในหน้าที่การงานและการสร้างเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพตามความต้องการของพนักงานแต่ละคน และการส่งเสริมความยุติธรรมและการมีส่วนร่วม

จากความมุ่งมั่นในการเป็นบริษัทที่สนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัวพนักงาน พร้อมส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ อิเกียยังได้มอบสวัสดิการในการให้สิทธิลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร (Parental leave) โดยได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าข้อกำหนดพื้นฐานตามกฎหมาย โดยเป็นสิทธิที่มอบให้ทั้งพนักงานที่เป็นพ่อและแม่ และยังครอบคลุมถึงการรับอุปการะเด็กมาเลี้ยง (Adoption leave) นอกจากนี้ เพื่อสนับสนุนการดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัวพนักงานในสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่นและส่งเสริมการยอมรับความแตกต่างและการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียมมากขึ้น บริษัทยังให้การสิทธิในการลาแบบได้รับค่าจ้างเต็มจำนวนเพิ่มเติมแก่พนักงานที่มีความจำเป็นในการดูแลสมาชิกในครอบครัว

สำหรับผู้ที่สนใจร่วมงานกับ อิเกีย ประเทศไทย สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ IKEA.co.th/work-with-ikea

 กุมภาพันธ์ 2567 - บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC รายงานผลการดำเนินธุรกิจประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2566 มีรายได้จากยอดขายรวมที่ 4,748 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19 เปอร์เซ็นต์ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 767 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า อีกทั้งยังเติบโตเพิ่มขึ้น 13 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 ผลจากปริมาณการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำที่เพิ่มขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลก ทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากยอดขายรวมตลอดทั้งปี 2566 อยู่ที่ 15,577 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,281 ล้านบาท โดยเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวจากภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังอยู่ที่ 0.35 บาทต่อหุ้น ทำให้เงินปันผลตลอดปีอยู่ที่ 0.60 บาทต่อหุ้น และเสนอจ่ายอัตราเงินปันผลตอบแทนในระดับดีต่อเนื่องอยู่ที่อัตรา 2.8 เปอร์เซ็นต์

นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ตลอดทั้งปี 2566 ธุรกิจการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทาย ซึ่งเป็นผลจากแรงกดดันจากภาคอุตสาหกรรมและการระบายสินค้าคงคลังจากกลุ่มแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำระดับโลก ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้การดำเนินธุรกิจของไอ-เทลมีปริมาณคำสั่งซื้อจากลูกค้าลดลงตลอดช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม เรามองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวจากปริมาณการสั่งซื้อจากลูกค้าที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ทำให้บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี แต่ยังคงต่ำกว่ายอดขายรวมของปี 2565 ที่สูงกว่าระดับปกติ โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง”

“แม้ว่าต้องเผชิญกับอุปสรรคและช่วงเวลาที่ท้าทายในปี 2566 สำหรับไอ-เทล ปัจจัยดังกล่าวที่เข้ามากระทบการดำเนินธุรกิจ ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้เราได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ในการปรับตัวได้ดีมากยิ่งขึ้น ด้วยการเร่งสร้างการเปลี่ยนแปลง

เชิงบวก ปรับกระบวนการทำงานและการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาสินค้าและบริการของเราให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วโลกและรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบ พรีเมี่ยมและรูปแบบ Humanization ในหลายภูมิภาคทั่วโลก อีกทั้ง บริษัทฯ ยังเดินหน้าศึกษาและพัฒนาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์กลุ่มเสริมอาหาร (Supplement) สำหรับสัตว์เลี้ยง โดยวางเป้าหมายการเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดภายในปี 2568”

ในปี 2566 ที่ผ่านมา ไอ-เทลได้ก่อตั้งบริษัทในเครือภายใต้ชื่อ i-Tail Europe B.V. (ITE) ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ i-Tail Pet Food (Shanghai) Limited Co. (ITS) ที่ประเทศจีน เพื่อเดินหน้ากลยุทธ์ขยายการดำเนินธุรกิจและเร่งสร้างการเติบโตสู่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในทวีปยุโรปและประเทศจีน อีกทั้ง บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จในการเซ็นสัญญาทางธุรกิจร่วมกับลูกค้ารายใหม่ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 31 ราย ซึ่งรวมถึงลูกค้าแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ในสหรัฐฯ อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯ ยังขยายการดำเนินธุรกิจสินค้า Private Label กับบริษัทผู้ค้าปลีกรายใหญ่ในฝรั่งเศส และมีรายได้จากคำสั่งซื้อสินค้า Private Label จากหนึ่งในบริษัทผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ในปี 2566

นอกจากนี้ ไอ-เทลยังยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจไปอีกขั้นด้วยการเปิดตัวศูนย์วิจัยอาหารแมว (i-Cattery) ตั้งอยู่ ณ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขต ศาลายา ในช่วงกลางปี 2566 ด้วยความตั้งใจในการเป็นศูนย์กลางสำหรับความร่วมมือด้านการวิจัยร่วมกับภาคการศึกษา ลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และภาคส่วนต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและสร้างการยอมรับในเวทีระดับโลกถึงผลิตภัณฑ์อาหารแมวของไอ-เทลที่มีคุณภาพ ปลอดภัย รับรองด้วยมาตรฐานการวิจัยระดับสากล อีกทั้ง บริษัทฯ เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้วยการสร้างโรงงานแห่งใหม่ในจังหวัดสมุทรสาครตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 ด้วยเป้าหมายการขยายกำลังการผลิตสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและขนมทานเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยงแบบเปียกเพิ่มขึ้นอีก 18.7 เปอร์เซ็นต์ ด้วยระบบการผลิตแบบอัตโนมัติ (Automation) ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มต้นการผลิตภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้

ทั้งนี้ ยอดขายของไอ-เทลในปี 2566 มีสัดส่วนของยอดขายตามภูมิภาคดังนี้ สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 50 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่เอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 37 เปอร์เซ็นต์และยุโรปอยู่ที่ 13 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้ง สามารถแบ่งสัดส่วนของยอดขายตามประเภทของสินค้าหลัก 3 ประเภท ได้แก่ อาหารแมว 70 เปอร์เซ็นต์ อาหารสุนัข 15 เปอร์เซ็นต์ ขนมทานเล่นของสัตว์เลี้ยง 12 เปอร์เซ็นต์ และธุรกิจอื่นๆ อีก 3 เปอร์เซ็นต์ และได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่และสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูงออกสู่ตลาดมากกว่า 1,300 รายการ

ท้ายที่สุดนี้ ไอ-เทล ยังคงมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาความยั่งยืนที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ SeaChange® 2030 โดยภายในปี 2573 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการจัดซื้อวัตถุดิบในกลุ่มของเนื้อไก่ทั้งหมดจากแหล่งผลิตที่มีความรับผิดชอบ รวมถึงวัตถุดิบในกลุ่มถั่วเหลืองและน้ำมันถั่วเหลืองทั้งหมดต้องมาจากกระบวนการผลิตที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายป่าไม้อีกด้วย

“ในปี 2566 แม้ว่าไอ-เทลจะสามารถก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้ แต่เรายังคงไม่หยุดยั้งการพัฒนาความสามารถและความเชี่ยวชาญของเราในการเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำระดับโลก และยังคงดำเนินธุรกิจตามเป้าหมายการรักษาอัตราการเติบโตเฉลี่ยของยอดขายรวมที่ 15 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ระหว่างปี 2566 ถึง 2568 รวมถึงการเป็นกำลังสำคัญเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต” นายพิชิตชัยกล่าวทิ้งท้าย

 การ์ทเนอร์คาดการณ์ยอดส่งมอบ AI PC และ GenAI Smartphone ทั่วโลกในปี 2567 รวมทั้งหมดประมาณ 295 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจาก 29 ล้านเครื่องในปี 2566

การ์ทเนอร์ให้นิยาม AI PC ว่าคือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ติดตั้งหน่วยประมวลผลที่เป็นตัวเร่งความเร็วหรือแกนประมวลผล AI ไว้โดยเฉพาะ ได้แก่ หน่วยประมวลผล Neural Processing Unit (NPU), หน่วยประมวลผล Accelerated Processing Unit (APU) หรือหน่วยประมวลด้าน AI เฉพาะ อย่าง Tensor Processing Units (TPU) ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเร่งการทำงานของปัญญาประดิษฐ์บนอุปกรณ์ เพื่อมอบประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีขึ้นในการจัดการปริมาณงานของ AI และ GenAI โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ภายนอกหรือบริการคลาวด์ต่าง ๆ

GenAI Smartphone ออกแบบมาพร้อมความสามารถด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้สามารถผสมผสานการทำงานได้อย่างราบรื่นและใช้งานฟีเจอร์รวมถึงแอปพลิเคชั่นที่ขับเคลื่อนด้วย GenAI บนสมาร์ทโฟนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสมาร์ทโฟนในกลุ่มนี้สามารถใช้งานโมเดลพื้นฐานหรือโมเดล AI เวอร์ชั่นใหม่ ที่ได้รับการปรับแต่งให้เข้ากับท้องถิ่น สำหรับสร้างเนื้อหา กำหนดกลยุทธ์ แนวทางการออกแบบและวิธีการต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น Gemini Nano จาก Google, ERNIE จาก Baidu และ GPT-4 ของ OpenAI

นายรันจิต อัตวัล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยอาวุโสของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การนำโปรเซสเซอร์ AI และความสามารถของ GenAI มาใช้อย่างรวดเร็วบนอุปกรณ์จะกลายเป็นข้อกำหนดมาตรฐานสำหรับผู้ขายเทคโนโลยีในท้ายที่สุด ก่อให้เกิดความท้าทายในการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และทำให้การสร้างจุดขายให้เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงการเพิ่มรายได้ยากขึ้น”

การ์ทเนอร์คาดว่าภายในสิ้นปี 2567 ยอดจัดส่ง GenAI Smartphone จะอยู่ที่ประมาณ 240 ล้านเครื่อง ขณะที่ AI PC จะมียอดจัดส่งที่ 54.5 ล้านเครื่อง (ดูรูปที่ 1) คิดเป็นสัดส่วน 22% ของ Smartphone ในระดับพื้นฐานและพรีเมียม และ 22% ของ PC ทั้งหมดในปีนี้ ตามลำดับ

ภาพที่ 1. ส่วนแบ่งตลาด AI PC และ GenAI Smartphone ทั่วโลก ระหว่างปี 2566-2568

 

ที่มา: การ์ทเนอร์ (กุมภาพันธ์ 2567)

การรวม AI เข้ากับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือพีซีจะยังไม่ใช่ปัจจัยหนุนปริมาณการใช้จ่ายของผู้ใช้ทั่วไปเกินกว่าการคาดการณ์ด้านราคาที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ผู้ซื้อในกลุ่มธุรกิจต้องการเหตุผลที่น่าสนใจหรือดึงดูดกว่านี้เพื่อลงทุน อย่างไรก็ตามผู้ให้บริการซอฟต์แวร์จะต้องใช้เวลาควบคุมประสิทธิภาพของ On-Device AI และแสดงให้เห็นประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ตลาดพีซีกลับมาเติบโตอีกครั้งในไตรมาสสี่ของปีที่แล้ว หลังจากลดลงแปดไตรมาสติดต่อกัน การ์ทเนอร์คาดการณ์ยอดส่งมอบพีซีโดยรวมในปี 2567 อยู่ที่ 250.4 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้น 3.5% จากปี 2566 โดย On-Device AI จะทำให้กิจกรรมการตลาดของพีซีกลับมาคึกคักอีกครั้งตลอดทั้งปี 2567 และรักษาวงจรการเปลี่ยนเครื่องทดแทนตามที่คาดการณ์ไว้ในปัจจุบัน พร้อมกำจัดผลกระทบเชิงลบบางอย่างจากการดิสรัปของสิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจสังคม

ตลาดสมาร์ทโฟนกลับมาเติบโตในปีนี้

เช่นเดียวกับ AI PC ที่ GenAI Smartphone จะไม่ช่วยกระตุ้นความต้องการสมาร์ทโฟนจนกว่าจะถึงปี 2570 “การเพิ่มประสิทธิภาพสมาร์ทโฟนรุ่นต่าง ๆ จะเพิ่มประสบการณ์การใช้งานปัจจุบันด้วยการผสมผสานกล้องและเสียงไว้ด้วยกัน ซึ่งผู้ใช้มีความคาดหวังกับความสามารถเหล่านี้ มากกว่าฟังก์ชันการทำงานที่แปลกใหม่ โดยผู้ใช้มีความคาดหวังแบบเดียวกันต่อการทำงานของ GenAI บนสมาร์ทโฟนของพวกเขา ซึ่งผู้บริโภคไม่

มีแนวโน้มที่จะจ่ายเงินเพิ่มสำหรับมือถือสมาร์ทโฟน GenAI เนื่องจากยังไม่มีแอปพลิเคชั่นแปลกใหม่ ที่ทำให้พวกเขาได้รับประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น”

ปัจจัยเร่งการเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของผู้ใช้ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าของโมเดลดีปเลิร์นนิ่งภาษาขนาดใหญ่หรือ Large Language Model (LLM) ในเวอร์ชันที่เล็กกว่าและปรับแต่งมาเฉพาะสำหรับสมาร์ทโฟน โดยวิวัฒนาการนี้จะเปลี่ยนโฉมสมาร์ทโฟนให้กลายเป็นเพื่อนคู่คิดที่ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น สามารถเข้าใจและตอบสนองต่อภาษาและภาพที่มนุษย์ใช้สื่อสาร ซึ่งยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ในภาพรวมไปอีกขั้น

ตลาดสมาร์ทโฟนบันทึกการเติบโตไตรมาสแรกไว้ในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว หลังจากลดลงมาเก้าไตรมาสต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2567 ยอดส่งมอบสมาร์ทโฟนทั่วโลกจะเติบโตประมาณ 4.2% หรือคิดเป็นจำนวนประมาณ 1.2 พันล้านเครื่อง เมื่อเทียบเป็นรายปี “เราไม่ควรตีความการเติบโตของยอดขายสมาร์ทโฟนว่าเป็นการฟื้นตัวเต็มรูปแบบ มันจะชัดเจนกว่าหากมองว่ามันเป็นความคงที่ของตลาดในระดับที่ต่ำกว่า ซึ่งต่ำกว่าปี 2565 เกือบ 60 ล้านเครื่อง”

กรุงเทพฯ 15 กุมภาพันธ์ 2567 - บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ช่วยสนับสนุนสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกหอมแดงด้วยการเพิ่มช่องทางการกระจายสินค้า รับซื้อหอมแดงจากเกษตรกรผู้ปลูกหอมแดงในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาสมนาคุณลูกค้า โดยสมาชิกบางจากกรีนไมลส์ เติมน้ำมันทุกชนิดตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป รับฟรีหอมแดง 1 มัด ขนาด 250 กรัมมูลค่า 20 บาท ตั้งแต่วันที่ 16 - 18 กุมภาพันธ์ 2567 หรือจนกว่าของจะหมด ที่สถานีบริการน้ำมันบางจากและสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่เดิม ในเขตกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ที่ร่วมรายการ ดูรายละเอียดได้ที่ www.bcpgreenmiles.com

บางจากฯ ได้ร่วมช่วยเหลือชุมชนเกษตรกรมาอย่างต่อเนื่องด้วยการคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากผลผลิตทางการเกษตร เช่น กล้วยหอมทองกวน เผือกอบกรอบ ลูกหยีกวน กล้วยอบกรอบ ลูกไหนอบแห้ง เป็นต้น มาเป็นของสมนาคุณลูกค้า และร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ รับซื้อผลผลิตที่ออกมาพร้อมกันจำนวนมากตามฤดูกาล เช่น ส้ม มะนาว ไข่ไก่ มังคุด สับปะรด ลำไย มะม่วง เป็นต้น ฯลฯ เพื่อร่วมดูดซับผลผลิตและพยุงราคา นำมาเป็นของสมนาคุณลูกค้า ซึ่งนอกจากได้ช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้ชุมชนเกษตรกรแล้ว ยังสามารถช่วยค่าครองชีพให้ผู้บริโภคได้อีกทางหนึ่งด้วย บางจากฯ ดำเนินงานไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม ด้วยแนวคิด Greenovative Destination ของสถานีบริการน้ำมันบางจากที่มีเป้าหมายให้ผู้บริโภคได้ใช้พลังงานคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน เป็นจุดหมายของการแบ่งปันและสร้างสรรค์สังคมไทยที่น่าอยู่

 

The 1 จัดแคมเปญลุ้นโชคกระตุ้นยอดขายต้นปี 2567 ชวนนักช้อปสมัครสมาชิก The 1 รับสิทธิ์ลุ้นรางวัลใหญ่ รวมมูลค่ากว่า 2 แสนบาท! เพียงดาวน์โหลดและสมัครสมาชิกใหม่ผ่าน The 1 APP รับทันที 1 สิทธิ์ พิเศษอีกขั้น! ซื้อสินค้าในเครือเซ็นทรัล รีเทล ครบ 500 บาท รับเพิ่มอีก 1 สิทธ์ต่อใบเสร็จ ไม่จำกัดจำนวนสิทธิ์! สำหรับสมาชิกใหม่ที่สมัครและช้อประหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 - 30 มิถุนายน 2567 เท่านั้น

ห้ามพลาด! เพียงสมัครสมาชิกใหม่ ดาวน์โหลด The 1 APP และช้อปในเครือเซ็นทรัล รีเทล เพื่อลุ้นโชคฉ่ำๆ กับรางวัลกว่า 200 รายการ รวมมูลค่ากว่า 200,000 บาท อาทิ สร้อยคอทองคำ หนัก 50 สตางค์ มูลค่ารางวัลละ 17,579 บาท จำนวน 3 รางวัล โทรศัพท์มือถือ iPhone รุ่น 15 Pro Max ขนาด 256GB มูลค่ารางวัลละ 48,900 บาท จำนวน 1 รางวัล เครื่องเป่าผม Dyson Supersonic มูลค่ารางวัลละ 15,215 บาท จำนวน 2 รางวัล Starbucks e-Coupon มูลค่ารางวัลละ 200 บาท จำนวน 200 รางวัล รวมมูลค่า 20,000 บาท โดยจะจับรางวัลครั้งที่ 1 วันที่ 10 เม.ย. ประกาศผลวันที่ 15 เม.ย. และจับรางวัลครั้งที่ 2 วันที่ 10 ส.ค. ประกาศผลวันที่ 15 ก.ค. สามารถศึกษาและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับของรางวัลในรอบที่ 1 และรอบที่ 2 ได้ที่ The 1 APP เว็บไซต์ https://www.the1.co.th/ และ โทร. 0 2660 1000 ศูนย์บริการสมาชิก The 1

ไม่เพียงเท่านั้น ตลอดทั้งปี 2567 The 1 ยังมอบสิทธิประโยชน์สำหรับสมาชิกที่ดาวน์โหลดและลงชื่อเข้าใช้ The 1 APP ครั้งแรก โดยจะได้รับคูปองส่วนลดรวม 2,000 บาทจากกว่า 20 ร้านค้าในเครือเซ็นทรัล รีเทล ไม่ว่าจะเป็น เซ็นทรัล ดีพาร์ทเมนต์ สโตร์, โรบินสัน, เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป, เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป, ไทวัสดุ, บีเอ็นบี, โก! ว้าว, บีทูเอส, ท็อปส์, โก! ว้าว, เพาเวอร์บาย, โก เพาเวอร์, ซูเปอร์สปอร์ต, ออโต้วัน, โก โฮลเซลล์, ท็อปส์ วีต้า, ท็อปส์แคร์, เพ็ทแอนด์มี, ท็อปส์ เดลี่ และออฟฟิศเมท

Wacoal Mood Buddy Bra บราคู่ใจ พกได้ทุกที่ บราสำหรับคนอินเทรนด์ จับกลุ่มลูกค้าอายุระหว่าง 16-22 ปี วัยนักเรียน นักศึกษา โดยดึง เก๋ไก๋ สไลเดอร์ หรือ ณัฐธิชา นามวงษ์ มาร่วมงานกันครั้งแรก ในฐานะตัวแทนคนรุ่นใหม่ สดใส..เก๋ไก๋ ไม่ซ้ำใคร!! แถมยังพ่วงตำแหน่ง No.1 ทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ มาแจกความสดใสให้ชาวเน็ตได้ว้าวุ่น กับ Wacoal Mood Buddy Bra ในคอนเซ็ปต์ “ใส่ง่าย พับง่าย พกง่าย”

 

Wacoal Mood Buddy Bra บรหลากหลายโทนสี แตกต่างอย่างโดดเด่น ด้วยการออกแบบนวัตกรรมใหม่ ช่วยให้บราพับได้ โดยไม่บิดเบี้ยว ผิดรูป คืนตัวสวยพร้อมเนื้อผ้าจากเส้นใย จากเส้นใยที่ใส่สบายสุดๆ แบบที่ไม่ซ้ำใคร ให้คุณใช้ชีวิตง่ายขึ้น ด้วย Easy to Carry ง่าย พกพาไปไหนก็ได้ ประหยัดพื้นที่ และเก๋ไก๋ไปกับบราที่ตอบโจทย์ ทั้งความสบาย ความสดใส เติมเต็มอิสระของสาวยุคใหม่ที่ใส่ง่าย พับง่าย พกง่าย ใดๆ คือคอลเลกชันนี้พลาดไม่ได้ค่ะ Sisss...

ติดตามชมหนังโฆษณา WACOAL MOOD BUDDY BRA x KAYKAI คลิก https://1th.me/RPyHj และอย่าลืมมาเป็นบัดดี้กับเก๋ไก๋ ด้วยการช้อป WACOAL MOOD BUDDY BRA บราคู่ใจ พกได้ทุกที่ ได้ที่วาโก้ช็อปและเคาน์เตอร์วาโก้ที่ร่วมรายการ พร้อมช่องทางออนไลน์ www.wacoal.co.th, Shopee, Lazada, Central Online หรือ Facebook | IG | Youtube: Wacoal Thailand, Wacoal Mood, X: @Wacoalth, Tiktok: @Wacoalthailand, Line: @Wacoal.th เพื่อรับข่าวสารและสอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์

พญ.พิมพ์สิริ เทียมศักดิ์ (ขวา) กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ไทยประเสริฐโฆษณา จำกัด หรือ ไทยประเสริฐ กรุ๊ป หนึ่งในผู้นำธุรกิจป้ายโฆษณาแบบครบวงจร รวมทั้ง ดำเนินธุรกิจรับเหมาตกแต่งภายใน และรับเหมาก่อสร้าง ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 55 ปี ร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับ นายรองเพชร บุญช่วยดี (ซ้าย) รองผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ในโอกาสเข้าร่วมโครงการทดสอบแพลตฟอร์มคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร เพื่อมุ่งสู่ Net Zoro ณ ห้องราชพฤกษ์บอลรูม สโมสรราชพฤกษ์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยบริษัทฯ เล็งเห็นความสำคัญของสภาวะโลกร้อนและมีการจัดทำ Carbon footprint ที่ได้รับการรับรองการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก TGO ตั้งแต่ปี 2564 ครั้งนี้บริษัทฯ ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 45 องค์กรนำร่องที่ใช้ Carbon footprint platform นำมาประยุกต์ใช้กับภาคอุตสาหกรรม เพื่อตั้งเป้าหมาย Net zero

 

X

Right Click

No right click