

เดลล์ เทคโนโลยีส์ เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์คอมเมอร์เชียล AI แล็ปท็อป และโมบาย เวิร์กสเตชัน เพื่อการใช้งานในองค์กรธุรกิจ ได้รับการออกแบบมาเพื่อนำพาทั้งองค์กรและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานก้าวเข้าสู่ยุค AI
"เน็กซ์เจนพีซีเกิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญนี้ ด้วยการปรับปรุงครั้งใหม่และความสามารถใหม่ของพีซีที่จะสร้างแรงกระเพื่อมที่กำลังจะมาถึง" แพทริค มัวร์เฮด ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Moor Insights & Strategy กล่าว "คอมเมอร์เชียล AI พีซีและเวิร์กสเตชันของเดลล์ มาพร้อมกับระบบนิเวศของทั้งอุปกรณ์เสริม ซอฟต์แวร์ และบริการของตัวเอง เพื่อให้การใช้งาน AI ที่ต่อเนื่องที่ได้รับออกแบบมาเพื่อเสริมประสิทธิภาพสูงสุดให้กับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ และสร้างรากฐานการนำองค์กรธุรกิจไปสู่ความสําเร็จในอนาคต"
“ทุกบริษัทที่ต้องการคงไว้ซึ่งความสามารถในการแข่งขัน ต่างพิจารณาที่จะนำ AI มาใช้งาน และ AI พีซี จะกลายเป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวนี้” แซม เบิร์ด ประธานกลุ่ม Client Solutions Group เดลล์ เทคโนโลยีส์ กล่าว "เริ่มตั้งแต่เวิร์กโหลด AI ที่ซับซ้อนบนเวิร์กสเตชัน ไปจนถึงการใช้แอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วยพลัง AI ที่ใช้เป็นประจำบนแล็ปท็อป AI PC จึงถือเป็นการลงทุนที่สําคัญที่ให้ผลตอบแทนทั้งในด้านประสิทธิภาพการทำงาน และการปูทางไปสู่อนาคตที่ชาญฉลาดกว่าเดิม ข้อได้เปรียบของเดลล์เริ่มต้นด้วยการนำเสนอ AI PC ที่ครบถ้วนทั่วทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์คอมเมอร์เชียลตั้งแต่วันแรก ช่วยให้ลูกค้ามีความสามารถในการเตรียมความพร้อมสําหรับ AI สำหรับอนาคตได้ในทันที"
AI PCs เพื่อการทำงานแบบไฮบริด
หน่วยประมวลผล Neural Processing Unit (NPU) ที่ติดตั้งอยู่ใน AI PC จะมีการเติบโตจากจำนวนประมาณ 50 ล้านยูนิตในปี 2024 เป็นจำนวนที่มากกว่า 167 ล้านยูนิตในปี 2027 คิดเป็น 60% ของปริมาณการจัดส่ง (Shipments) พีซีทั่วโลก ทั้งนี้ NPU เสริม AI acceleration engine เพื่อตอบโจทย์การทำงานของ AI ที่มีความจำเพาะมากขึ้นได้ ช่วยลดปริมาณงานให้ CPU
และ GPU สามารถทำงานในส่วนอื่นได้ ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ตอบสนองมากขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย อายุการใช้งานแบตเตอรี่ และผลิตภาพเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ สายผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Latitude และ Precision โมบาย เวิร์กสเตชันของเดลล์ นำเสนอตัวเลือกคอมเมอร์เชียล AI PC ที่กว้างขวาง เพื่อการใช้งานเชิงธุรกิจให้กับลูกค้า โดยเริ่มตั้งแต่แล็ปท็อปและเวิร์กสเตชันในระดับเอนทรี ไปจนถึงระดับอัลตร้า-พรีเมียม ด้วยสายผลิตภัณฑ์ Latitude แล็ปท็อป และ Precision โมบาย เวิร์กสเตชันใหม่ ด้วยพลังของ Intel Core Ultra processors with Intel vPro® เดลล์คอมเมอร์เชียลพีซีเหมาะสมสำหรับการขับเคลื่อน AI เวิร์กโหลด และปลดล็อกการสร้างผลิตภาพและประสิทธิภาพในระดับใหม่ ยกตัวอย่าง คนทำงานสามารถที่จะ
· ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการผสานประโยชน์ของ NPU เพื่อปลดปล่อยขีดความสามารถในการ การกำหนดกรอบอัตโนมัติ (Auto-framing) การทำให้พื้นหลังเบลอ ตลอดจนการติดตามสายตา (Eye-tracking) พร้อมพลังการทำงานอันเปี่ยมประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ Intel Core Ultra ที่มอบพลังงานแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นถึง 38% ให้กับพนักงาน รวมถึงเวลาทำงานที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละวันที่เต็มไปด้วยการประชุมผ่าน Zoom
· สร้างสรรค์คอนเทนต์ได้เร็วยิ่งขึ้น โดยการแจกจ่ายการประมวลผล AI ไปยัง CPU GPU และทั้ง NPU โดยถ้วนทั่ว ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์ภาพ AI ได้เร็วขึ้นถึง 5 เท่าด้วย Stable Diffusion โมเดลแปลงข้อความเป็นภาพ (Text-to-Image)
· ทำงานด้วยความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้นในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริด ผู้จําหน่ายซอฟต์แวร์อิสระจำนวนมากขึ้นจะหันมาสร้างแอปพลิเคชันสำหรับ AI PC ยกตัวอย่าง เดลล์กำลังทำงานร่วมกับ CrowdStrike และ Intel เพื่อโอนย้ายฟังก์ชันด้านความปลอดภัยไปประมวลผลบนอุปกรณ์ผ่าน NPU ซึ่งให้การตรวจจับภัยคุกคามที่ครอบคลุมมากขึ้น ช่วยให้ลูกค้าตรวจพบเว็บไซต์และช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่มีความร้ายแรงได้อย่างรวดเร็ว ให้ความล่าช้าที่ลดลงเมื่อเทียบกับโซลูชันบนคลาวด์
· รักษาการทำงานให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้มาพร้อมฟีเจอร์ Windows 11 และปุ่ม Copilot เพื่อทําให้การทำงานเป็นไปง่ายขึ้นและจดจ่ออยู่กับงานได้ ด้วยการกดปุ่ม ผู้ใช้สามารถเข้าถึง AI เป็นผู้ช่วยในชีวิตประจำวันได้เร็วยิ่งขึ้น
บริการอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI
ต่อยอดบนความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมอันยาวนานด้านการทำงานเชิงรุกและคาดการณ์ล่วงหน้าโดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งคำชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญ ความสามารถใหม่ของบริการ Dell Services ช่วยให้ลูกค้า
· เพิ่ม PC Uptime สูงสุด พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานด้วยความสามารถใหม่ในการซ่อมแซมตัวเอง (Self-healing) ผ่าน ProSupport Suite for PC โดยลูกค้าที่เชื่อมต่อกับเทคโนโลยี SupportAssist ของเดลล์สามารถยกระดับการรวบรวมข้อมูลและ AI เพื่อแก้ไขปัญหาพีซีได้ไม่ต้องใช้การสนับสนุนจากมนุษย์ ซึ่งทำให้ IT สามารถเปิดใช้สคริปต์ที่เดลล์สร้างขึ้นเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดจอฟ้า (Blue Screen Errors) โดยอัตโนมัติ รวมไปถึงปัญหาระบบความร้อน และอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของพีซี
· ใช้งาน และเพิ่มมูลค่าสูงสุดให้กับการลงทุน GenAI ด้วย Digital Employee Experience Services for Gen AI โดยบริการเหล่านี้ให้ทั้งเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ปรับแต่งอย่างเหมาะสมกับหลากรูปแบบการทำงานของพนักงาน
ไฮไลต์ผลิตภัณฑ์
· กลุ่มผลิตภัณฑ์ Latitude ใหม่ของ Dell รวมถึง Latitude 7350 Detachable มอบอิสระให้กับมืออาชีพเพื่อการทำงานด้วยการเชื่อมต่ออุปกรณ์พร้อมใช้งานที่โต๊ะทำงานอย่างเต็มรูปแบบ หรือการใช้งานขณะเดินทางด้วยแท็บเล็ตหรือแล็ปท็อป มาพร้อมกล้อง 8MP HDR เพื่อภาพถ่ายคุณภาพสูงในสภาพแสงที่ท้าทาย กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่ทั้งหมดนี้มาพร้อมการอัพเดทในรุ่น 5000 ซีรีส์ 7000 ซีรีส์ และ 9000 ซีรีส์ รวมถึง Latitude 7350/7450 Ultralights
· Precision เวิร์กสเตชันทั้งแบบโมบายและตั้งโต๊ะใหม่ของเดลล์ ตอบโจทย์ความต้องการด้านประสิทธิภาพของผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ นักพัฒนา และอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ ด้วยฐานะของความเป็นผู้นำเวิร์กสเตชันระดับโลก Precision มอบพลังการประมวลผลสำหรับ AI เวิร์กโหลดที่ซับซ้อนที่ให้ทั้งความปลอดภัยและความประหยัดบนพีซี นอกจากนี้ การบูรณาการ NVIDIA RTX™ 500 และ 1000 Ada Generation Laptop GPUs เข้ากับ Precision mobile workstations ช่วยส่งมอบความสามารถ AI และความน่าเชื่อถือในระดับองค์กรเพื่อการทำงานได้ในจากทุกที่ ในขณะที่ Precision 3280 Compact Form Factor (CFF) คือฟอร์มแฟคเตอร์เพื่อการประหยัดพื้นที่ใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่อสำหรับการพัฒนา AI และแอปพลิเคชันสร้างสรรค์แบบเบาๆ
· ชุดหูฟัง 5 รุ่นใหม่จากเดลล์ โดย Dell Premier Wireless ANC Headset (WL7024) มาพร้อมไมโครโฟนปิดเสียงรบกวนอัตโนมัติด้วย AI ซึ่งจำแนกสัญญาณเสียงพูดของมนุษย์ออกจากเสียงรบกวนพื้นหลังทั้งของผู้ใช้และผู้ฟัง และปรับระดับการปิดเสียงรบกวนตามสภาพแวดล้อม ระบบแอดวานซ์เซ็นเซอร์ทำงานในแบบอัจฉริยะ เช่น ปิด/เปิดไมค์ ทำงาน/หยุดทำงาน ตราบเท่าที่หูฟังข้างหนึ่งถูกยกขึ้น พร้อมทั้งการควบคุมด้วยการสัมผัสที่สามารถปรับปรุงประสบการณ์เสียงที่เหมาะกับผู้ใช้ได้
การเร่งเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ให้เร็วขึ้น
ในฐานะผู้นำด้านการออกแบบแบบหมุนเวียน (Circular Design) เดลล์จัดการแบบครบวงจร ตั้งแต่เพิ่มการใช้วัสดุและแร่ธาตุที่รีไซเคิลในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อทำให้อุปกรณ์ง่ายต่อการซ่อมบำรุง และนำกลับมาใช้ใหม่ด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
· อุปกรณ์ Latitude ใหม่ นำเอาโคบอลที่มีการรีไซเคิลมาใช้ในแบตเตอรี่ · ด้วยแรงบันดาลใจจาก Concept Luna เครื่อง Latitude 7350 Detachable มาพร้อมหน้าจอที่สามารถซ่อมบำรุงได้ ซึ่งทำให้ง่ายต่อการซ่อมและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ได้นานขึ้น · ในขณะที่องค์กรอัพเกรดอุปกรณ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) บริการกู้คืนและรีไซเคิลของ เดลล์ช่วยให้ลูกค้าเกษียณอุปกรณ์ไอทีได้อย่างถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงการส่งขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปยังบ่อขยะ ด้วยการทำให้ผลิตภัณฑ์และวัสดุอยู่ในการหมุนเวียนนานขึ้น
ความพร้อมในการวางตลาด
· Latitude 7350 Detachable พร้อมวางจำหน่ายในไตรมาสที่ 2
· Precision 3280 CFF (Compact Form Factor) จะวางจำหน่ายช่วงปลายเดือนมีนาคม
· Precision โมบาย เวิร์กสเตชัน พร้อมวางจำหน่ายช่วงเดือนมีนาคม
· Dell Premier Wireless ANC Headset (WL7024) จะวางจำหน่ายในเดือนเมษายน
· ProSupport Suite สําหรับ PC ที่มีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเอง จะวางจำหน่ายทั่วโลกภายในสิ้นเดือนเมษายน
· Digital Employee Experience Services สําหรับ GenAI มีให้บริการแล้วทั่วโลก
สแกนเนีย เดินเกมบุกตลาดรถยูโร 5 ยกแรก ส่งรถบัสโดยสาร สแกนเนีย นิว บัส เจเนอเรชั่น ยูโร 5 พร้อมแชสซีส์ใหม่ทั้งคันสู้ศึก หวังสร้างมาตรฐานใหม่ที่มากกว่าเครื่องยนต์ยูโร 5 ด้วยจุดเด่นด้านระบบความปลอดภัยสูงสุด การประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การันตีความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วยการเป็นหนึ่งในผู้นำด้วยยอดใช้งานจริงจำนวนมากในยุโรปและอเมริกาใต้ตลอด 15 ปี คาดตลาดรถบัสปีนี้เป็นใจ ท่องเที่ยวฟื้น ความต้องการรถบัสบริการนักท่องเที่ยวพุ่ง ด้านผู้ประกอบการเร่งหารถเพิ่มเสริมทัพขยายธุรกิจ

นางสาวดวงใจ พงศ์ประเทืองสุข ผู้อำนวยการฝ่ายงานขาย และกลยุทธ์ประจำประเทศไทย บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด กล่าวถึงการบุกตลาดและการเปิดตัวรถโดยสารยูโร 5 ใหม่เป็นเจ้าแรกของไทยว่า การมาถึงของ สแกนเนีย นิว บัส เจเนอเรชั่น ยูโร 5 (Scania New Bus Generation EURO 5) พร้อมแชสซีส์ใหม่ จะเป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งให้กับวงการรถโดยสารของไทย ซึ่งสแกนเนียมีเทคโนโลยีเครื่องยนต์ยูโร 5 ที่ใช้ในงานขนส่งจริงมามากกว่า 15 ปี โดยมีการพัฒนาประสิทธิภาพเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่องจนได้รับการยอมรับเป็นอันดับต้นทั่วโลก ทั้งในยุโรป อเมริกาใต้ ตะวันออกกลาง เอเชีย โอเชียเนีย และยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นในทั่วทุกภูมิภาคของโลก
สำหรับหัวใจที่ทำให้ สแกนเนีย ครองความเป็นอันดับหนึ่งรถบัสโดยสารพรีเมียมนั้น มาจากการผลิตที่คำนึงถึงทุกส่วนสำคัญของผู้ประกอบการ คือ ความคุ้มค่าตลอดอายุการใช้งาน ทั้งประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และความคงทนของแชสซีส์ ความคุ้มค่าด้านต้นทุนจากการประหยัดน้ำมัน ความแข็งแรง เป็นผู้นำเรื่องระบบความปลอดภัยสูงสุด ช่วยลดการศูนย์เสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนน มีช่วงล่างที่ผู้โดยสารประทับใจในความนุ่มนวลมั่นคง ไม่เวียนหัวแม้จะนั่งแถวหลังสุดของรถโดยสาร นอกจากนั้นยังมีงานบริการดูแลรักษาที่มีคุณภาพครบวงจร ส่วนในด้านของความยั่งยืนก็ไม่ได้เป็นแค่การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแค่การปล่อยไอเสียที่น้อยลงด้วยเครื่องยนต์ยูโร 5 ที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ความยั่งยืนที่สแกนเนียทำเป็นความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งลูกค้า คู่ค้า พันธมิตร สังคม และสิ่งแวดล้อม
ส่วนแนวโน้มของตลาดรถบัสโดยสารของไทยปีนี้ คาดว่าจะเป็นปีของการฟื้นตัวอย่างชัดเจน จากสัญญาณที่แสดงให้เห็นตั้งแต่ปลายปี 2566 ที่มีการเดินทางของนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยะ จนผู้ประกอบการรถบัสโดยสารด้านการท่องเที่ยว มีการติดต่อสอบถามเข้ามาเพื่อถามหาและจองรถบัสของสแกนเนียเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3ของปี 2566 และในปีนี้ภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ ทั้งการฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนและคาซักสถานที่เริ่มเห็นผลอย่างชัดเจน จนประเมินว่าปีนี้อาจมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยสูงถึง 40 ล้านคน ถือเป็นปัจจัยบวกอย่างมากต่อตลาดรถบัสโดยสารและเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการที่ต้องการรถใหม่ เนื่องจาก สแกนเนีย นิว บัส เจเนอเรชั่น ยูโร 5 เป็นรถเทคโนโลยีล่าสุด ที่มีความคุ้มค่าสูง และจะสร้างแต้มต่อทางธุรกิจให้กับกลุ่มผู้ให้บริการรถโดยสารด้านการท่องเที่ยวอย่างแน่นอน

ด้านนายณรงค์ฤทธิ์ อิทธิสารรณชัย ผู้อำนวยการสนับสนุนการขายและโลจิสติกส์ บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด กล่าวถึงประสิทธิภาพของ สแกนเนีย นิว บัส เจเนอเรชั่น ยูโร 5 ที่มาพร้อมแชสซีส์ใหม่ว่า เป็นรถบัสโดยสารที่มีนวัตกรรมและคุณสมบัติเด่นล่าสุดของตระกูลรถยูโร 5 ด้วยเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูงช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 8% เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ยูโร 3 ของสแกนเนีย มีระบบเทคโนโลยีบำบัดมลพิษในไอเสียที่เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงภายในเครื่องยนต์ (Selective Catalytic Reduction : SCR) โดยเติมแอดบลู (AdBlue) หรือ สารยูเรียที่ไม่เป็นอันตรายในการบำบัดไอเสียให้แปรสภาพจากไนโตรเจนออกไซด์ที่เป็นก๊าซพิษเป็นไนโตเจนกับน้ำก่อนปล่อยออก ทำให้ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมน้อยลง ลด PM2.5 ได้มากถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับรถยูโร 3 และระบบเกียร์ใหม่ที่มีเกียร์เดินหน้าถึง 12 เกียร์ (จากเดิม 8 เกียร์เดินหน้า) ช่วยให้การขับขี่ราบรื่นนิ่มนวลจนผู้โดยสารไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงขณะเปลี่ยนเกียร์
อีกสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับรถ สแกนเนีย คือ ระบบความปลอดภัยที่ดีที่สุดในตลาดประเทศไทย ใหม่ล่าสุดกับ ADAS (Advanced Driver Assistance Systems) เต็มระบบ มาตรฐานเดียวกับรถโดยสารที่ใช้ในยุโรป เช่น ระบบป้องกันรถออกนอกเลน (LDW) ระบบเตือนจุดอับสายตา(Blind spot warning) ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ(AEB) ที่เบรคจนถึงจุดหยุดนิ่ง ทำงานร่วมกับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) ที่ปรับความเร็วรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้าจนถึงจุดหยุดนิ่งโดยอัตโนมัติ และยังออกตัวเองเมื่อจอดไม่เกิน 3 วินาที รวมถึงยังมีระบบความปลอดภัยเดิมที่ยังมีอยู่ครบและยังทำงานได้ดีขึ้น เช่น เบรกABS และ EBS เบรกไอเสียและเบรกเสริมรีทาร์เดอร์ ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ (ESP) ระบบกันลื่นไถล (Traction Control) ฯลฯ ด้วยคุณสมบัติเด่นดังกล่าวทำให้ทั้งผู้โดยสารและผู้ขับขี่รถบัสโดยสารระดับพรีเมี่ยมยกให้รถบัสสแกเนียเป็นแบรนด์ยุโรปอันดับหนึ่งในตลาดประเทศไทย
สแกนเนีย นิว บัส เจเนอเรชั่น ยูโร 5 และแชสซีส์ใหม่ เปิดตัวพร้อมกัน ทั้ง รถ 6 ล้อ (4x2) ความยาว 12 เมตร 320 แรงม้า และ รถ 8ล้อ (6x2*4) ความยาว 13.50 เมตร 410 แรงม้า) และ รถ 8ล้อ(6x2*4) ความยาว 15 เมตร 410 แรงม้า นอกจากนี้สแกนเนียยังมีความพร้อมด้านผู้เชี่ยวชาญการต่อตัวถังคอยดูแลให้รถได้มาตรฐาน และเป็นไปตามความต้องการของลูกค้า มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย

ด้านแผนการตลาดนั้น นายพรต โชตินันทน์ ผู้จัดการฝ่ายขายรถโดยสารสแกนเนีย บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด กล่าวว่า ลูกค้ากลุ่มรถบัสโดยสารของ สแกนเนีย แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มรถประจำทาง กลุ่มรถท่องเที่ยว กลุ่มรถโรงงาน และกลุ่มรถที่มาจากการประมูลงานราชการหรือกลุ่มที่นำรถไปใช้ส่วนตัว ซึ่งสิ่งสำคัญของผู้ประกอบการรถโดยสาร คือ ความต้องการรถประสิทธิภาพสูงที่พร้อมทำงานได้ตลอดเวลา มีความปลอดภัยที่ได้รับความไว้วางใจจากนักขับและผู้โดยสาร และความคุ้มค่าในการดำเนินงาน เช่น การประหยัดน้ำมัน ซึ่ง สแกนเนีย มีความพร้อมตอบโจทย์งานขนส่งผู้โดยสารครบทุกมิติ จึงไม่แปลกที่จะเป็นตัวเลือกลำดับต้นของผู้ประกอบการ ซึ่งในช่วงแรกที่ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการก็ได้รับความสนใจและมีความต้องการจากตลาดจองรถกันเข้ามาแล้ว
ส่วนงานบริการและอะไหล่นั้น สแกนเนีย ประเทศไทย พร้อม 100% เพราะ นิว บัส เจเนอเรชั่น ยูโร 5 มีการใช้งานแพร่หลายอยู่แล้ว ผนวกกับศูนย์บริการมาตรฐาน 11 สาขาทั่วประเทศบนเส้นทางขนส่งหลักและทีมช่างที่ได้รับการอบรมตามมาตรฐานการดูแลรักษารถอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานสูงสุดเสมอ รวมถึงมีสต๊อกอะไหล่อย่างเพียงพอต่อความต้องการ

สำหรับการเปิดตัว สแกนเนีย นิว บัส เจเนอเรชั่น ยูโร 5 สู่ตลาดนั้น จะมีการจัดกิจกรรมแนะนำ นิทรรศการ และสัมผัสรถตัวจริงตั้งแต่วันที่ 4-15 มีนาคม 2567 ที่ศูนย์บริการ สแกนเนีย บางนา และจะมีการขยายกิจกรรมแนะนำรถไปยังส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ โดยในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมีนาคม ที่ศูนย์หาดใหญ่ สัปดาห์ที่ 4 ที่ศูนย์เชียงใหม่ สำหรับราคาขายนั้น รุ่น 6 ล้อ เริ่มต้นที่ 3.9 ล้านบาท ซึ่งสแกนเนีย มีหน่วยงานบริการด้านการเงิน (ไฟแนนซ์) ของตัวเอง ที่เข้าใจธุรกิจขนส่งและพร้อมมอบความยืดหยุ่น เงื่อนไขสุดพิเศษให้กับลูกค้าที่สนใจทุกท่าน
ผู้สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมรถบัสโดยสาร สแกนเนีย นิว บัส เจเนอเรชั่น ยูโร 5 สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณพรต โชตินันทน์ หรือค้นหาข้อมูลได้ที่ LINE OA: Scania TH Group.
ซัมซุงคว้ารางวัลชนะเลิศ จาก Thailand Social Awards ครั้งที่ 12 ในกลุ่มรางวัล Best Brand Performance on Social Media หรือ แบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย สาขากลุ่มธุรกิจ Mobile ได้รางวัลติดต่อกันมา 5 ปีซ้อน โดยการได้รับรางวัลนี้เป็นหลักฐานยืนยันถึงความมุ่งมั่นและความสำเร็จของซัมซุงในการใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์รวมถึงโซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์และมีประโยชน์
มากไปกว่านั้นซัมซุงยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของโซเชียลมีเดียที่เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และจะยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์การสื่อสารที่เป็นประโยชน์รวมถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภคเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำทางด้านสื่อโซเชียลมีเดีย โดยซัมซุงไม่เพียงแต่เป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นแบรนด์ที่เข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลได้อย่างแท้จริง
ธนชาตประกันภัย เติบโตแข็งแกร่งเบี้ยประกันภัยรับรวม 11,550 ล้านบาท กำไรสุทธิ 697 ล้านบาท รั้งอันดับ 5 ประกันภัยรถยนต์ยอดนิยม ตั้งเป้าปี 2567 โตขึ้นอีก 10% ด้วยการขับเคลื่อนธุรกิจผ่านกลยุทธ์สร้างการเติบโตตอบรับทุกโอกาสทางธุรกิจ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าผ่านสินค้าและบริการ เร่งเครื่องขยับขึ้นเป็นท็อป 3 ในตลาดประกันภัยรถยนต์ ภายในปี 2570 พร้อมขับเคลื่อนองค์กรสู่ตำแหน่งผู้นำธุรกิจประกันวินาศภัยภายใต้กรอบการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน
นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ธนชาตประกันภัย เปิดเผยความสำเร็จการดำเนินงานของปี 2566 ธนชาตประกันภัยมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 11,550 ล้านบาท เติบโต 12% มีกำไรสุทธิ 697 ล้านบาท โดยเบี้ยประกันภัยรถยนต์เติบโตสูงเป็นอันดับ 2 ของตลาด อีกทั้งยังคงฐานะความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของเงินกองทุนที่ 537.9% มีสินทรัพย์รวม 18,774 ล้านบาท และประสบความสำเร็จอย่างมากกับการให้บริการผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มของบริษัทฯ โดยล่าสุดมีลูกค้าใช้บริการกว่า 7 แสนคน และยังคงมาตรฐานการให้บริการโดยได้รับความพึงพอใจจากลูกค้า(Net Promoter Score-NPS) ที่ 65.27% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานในอุตสาหกรรมประกันภัยระดับสากล
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจ ปี 2567 ธนชาตประกันภัย ตั้งเป้าหมายเติบโตเบี้ยประกันภัยรับรวม 10% หรือประมาณ 12,700 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมตามที่สมาคมประกันวินาศภัยได้ประมาณการไว้ที่ 5% โดยมีเป้าหมายเติบโตขึ้นเป็นบริษัทประกันภัย 1 ใน 3 ของตลาดประกันภัยรถยนต์ภายในปี 2570 มุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก คือ การเสาะหาและตอบรับกับโอกาสทางธุรกิจอย่างไร้ขีดจำกัด การส่งมอบความคุ้มครองที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า คู่ค้า ในบริบทที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วอันเป็นผลจากการเติบโตด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการส่งมอบประสบการณ์งานบริการตามมาตรฐานของธนชาตประกันภัยอย่างต่อเนื่อง
![]()
การเสาะหาและตอบรับกับโอกาสทางธุรกิจอย่างไร้ขีดจำกัด โดยเร่งขยายการเติบโตในทุกช่องทางขาย ทั้ง โบรกเกอร์ ดีลเลอร์ ลิสซิ่ง ธนาคาร และช่องทางขายตรงของบริษัท รวมถึงสร้างพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ๆ ต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับพฤติกรรมลูกค้าทั้งในพื้นที่กรุงเทพและภูมิภาค พร้อมพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ รองรับการเติบโตของบริษัท
การส่งมอบความคุ้มครองที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า คู่ค้า ปีนี้ธนชาตประกันภัยมุ่งเน้นใน 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจ และสามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ของบริษัท ได้แก่ กลุ่มตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งยอดขายยังคงเติบโตต่อเนื่องด้วยแรงสนับสนุนของภาครัฐ และความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น นอกจากธนชาตประกันภัยได้ส่งมอบความคุ้มครองที่ครอบคลุมแล้วยังได้ร่วมกับพันธมิตรพัฒนา Ecosystem ให้ครบวงจรด้วยงานบริการและสิทธิพิเศษที่ดีที่สุด ในส่วนของกลุ่มตลาดรถบรรทุก บริษัทฯ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในปีที่ผ่านมา จึงตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่องด้วยการขยายงานรับประกันภัยให้ครอบคลุมประเภทรถบรรทุกมากขึ้น พร้อมทั้งขยายช่องทางจัดจำหน่ายเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าอีกด้วย และอีกหนึ่งตลาดที่เติบโตอย่างมากคือตลาดการท่องเที่ยว ปีนี้กลับมาคึกคัก ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง ธนชาตประกันภัยวางแผนรุกตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ประกันภัยเดินทางต่างประเทศ ที่เน้นมอบความคุ้มครองให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายของนักเดินทางแต่ละประเภท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเล็งเห็นโอกาสในตลาดประกันภัยบ้านและอัคคีภัย ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้าที่เป็นเจ้าของบ้านให้ได้อุ่นใจกับความคุ้มครอง ตั้งแต่โครงสร้างของบ้าน รวมไปถึงทรัพย์สินภายในบ้านหากเกิดภัยต่างๆ อย่างครบครัน
การส่งมอบประสบการณ์งานบริการในมาตรฐานของธนชาตประกันภัยอย่างต่อเนื่อง ผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งมอบความสะดวก ง่าย และรวดเร็ว ให้แก่ลูกค้า โดยในปี 2567 ลูกค้าจะได้รับรายงานสถานะการซ่อมรถยนต์ผ่านทาง Line Official Account “ธนชาตประกันภัย” เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการส่งรถเข้าซ่อมจนถึงตรวจสอบคุณภาพงานซ่อมก่อนส่งมอบรถคืนให้กับลูกค้า นับเป็นการเพิ่มศักยภาพงานบริการดิจิทัลให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ดาวน์โหลดกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ การเรียกพนักงานสำรวจเมื่อเกิดอุบัติเหตุ การแลกสิทธิพิเศษต่างๆ รวมไปถึงการต่ออายุ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้พัฒนารูปแบบการเคลมผ่าน Video Streaming ให้ลูกค้าสามารถจัดการงานเคลมได้ด้วยตนเองในเวลาที่ลูกค้าสะดวก โดยมีเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือผ่านการพูดคุยแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะตอบโจทย์คนยุคใหม่เป็นอย่างยิ่ง
“เพราะเราเชื่อว่างานบริการคือหัวใจสำคัญ ธนชาตประกันภัยจึงมุ่งมั่นที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในงานบริการให้ดียิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้าไว้วางใจและความพึงพอใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเชื่อมั่นในแบรนด์ธนชาตประกันภัย จะเป็นแรงผลักดันให้บรรลุเป้าหมายการขึ้นเป็นท็อป 3 ของตลาดประกันภัยรถยนต์ ภายในปี 2570 พร้อมขับเคลื่อนองค์กรสู่ตำแหน่งผู้นำธุรกิจประกันภัย เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย” นายพีระพัฒน์ กล่าว
แนวโน้มและการพัฒนาของอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหารของไทยว่า อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร (Food for the Future) เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่อยู่ใน First S-Curve หรือ 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพและมีความสำคัญกับประเทศไทย เพราะเชื่อมโยงกับหลายภาคส่วน ซึ่งล่าสุดประเทศไทยได้ก้าวขึ้นมาอยู่อันดับที่ 12 ของผู้ส่งออกอาหารของโลก
ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป รายงานว่า ปี 2566 ให้ข้อมูลว่า 10 เดือนแรกปี 2566 ไทยมีการส่งออกสินค้าอาหารมูลค่า 1.31 ล้านล้านบาท เติบโต 3.2% ในจำนวนนี้เป็นการส่งออกสินค้าเกษตรอาหาร 6.6 แสนล้านบาท เติบโต 9.5% ส่วนของสถานการณ์การส่งออกของอาหารอนาคตใน Future Food มีมูลค่าราว 1 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.2% ของอาหารทั้งหมด นางสาวกชสร โตเจริญธนาผล รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทสไทย ผู้จัดงาน ProPak Asia 2024 เผย
![]()
ส่วนปี 2567 น่าจะยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ส.อ.ท.,หอการค้าไทย และสถาบันอาหาร คาดจะส่งออกได้ 1.65 ล้านล้านบาท สำหรับกลุ่มสินค้าอาหารที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดี ได้แก่ กลุ่มผลไม้แช่เย็น-แช่แข็ง กลุ่มไก่สดแช่เย็น-แช่แข็ง กลุ่มอาหารทะเล ทูน่ากระป๋อง กุ้งสดแช่แข็งและสินค้าที่มีแนวโน้มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เช่น อาหารและเครื่องดื่มสุขภาพ อาหารเฉพาะทาง อาหารฮาลาล และอาหารแปรรูปคุณภาพสูง โดยปัจจัยสำคัญมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากประเทศคู่ค้าหลักที่ทยอยฟื้นตัว ประเทศเศรษฐกิจหลักมีแนวโน้มชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย การท่องเที่ยวในประเทศขยายตัวได้ดี การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องและนโยบายของรัฐที่ออกมาตรการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
นอกจากปัจจัยหนุนดังกล่าว ผู้ประกอบการไทยยังได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถในการผลิตสูงและมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้สินค้าอาหารของไทยมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ ผนวกกับความได้เปรียบด้านการมีแหล่งวัตถุดิบที่หลากหลายต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีรสชาติดีถูกปากคนทั่วโลกง่าย โดยหากมองจากการเติบโตของงาน ProPak Asia ที่เป็นงานแสดงเทคโนโลยีด้านกระบวนการผลิต การแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ชั้นนำระดับเอเชีย ซึ่งในการจัดงาน ProPak Asia 2024 ปีนี้ คาดว่าจะมีมูลค่าการค้าและเจรจาธุรกิจในงาน 4 วัน สูงถึง 4,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 12% ส่วนผู้เข้าร่วมงานเป็นนักธุรกิจและผู้ประกอบการไทย 80% และต่างประเทศ 20% ดังนั้นการเติบโตของงานฯ เป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งชี้ว่าผู้ประกอบการอาหารของไทยมีการตื่นตัว พัฒนาและลงทุนด้านกระบวนการผลิตตลอดเวลา ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปอาหารของไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
ส่วนแนวโน้มและทิศทางของอุตสาหกรรมนั้น ยังมุ่งเน้นการสร้างสมดุลของเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับความยั่งยืน (Sustainability) เพื่อเป็นแนวทางให้การพัฒนาของทุกภาคส่วนเดินไปในทิศทางเดียวกัน อาทิ ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี การพัฒนาสู่ยุคการผลิตดิจิตอลและปัญญาประดิษฐ์ (Digitalization and AI) การเชื่อมต่อและการทำงานร่วมกัน (Interconnectivity and Collaboration) ที่ช่วยให้เกิดการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ทั้งการอนุรักษ์พลังงาน การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การบริหารจัดการ การประมวลผลข้อมูล เพื่อเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ สามารถวิเคราะห์และปรับปรุงกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเชื่อมโยงระบบการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้ธุรกิจปรับตัวได้ดี ในช่วงที่ระบบการผลิตกำลังเปลี่ยนแปลง สร้างผลเชิงบวกต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่ทุกขั้นตอนตั้งแต่การผลิต แปรรูป บรรจุภัณฑ์ ต้องมีการออกแบบและการเลือกใช้วัตถุดิบที่ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายง่าย การเลือกใช้วัสดุ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยีการผลิต การแปรรูป เพื่อไปถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon)
นอกจากการพัฒนาที่เน้นความยั่งยืนจะส่งผลดีต่อการผลิตแล้ว ยังช่วยสร้างแต้มต่อด้านการค้าในสนามนานาชาติมากขึ้นด้วย เนื่องจากปัจจุบันอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น อาทิ มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรปที่เป็นเงื่อนไขให้ผู้ผลิตสินค้าของไทย หันมาลดการปล่อยคาร์บอนลง หรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) นโยบายสร้างความมั่นคงด้านอาหารของจีน (Food security policy) ลดการนำเข้าและพึ่งพาการผลิตภายในประเทศมากขึ้น หรือแม้แต่ ESG เช่น เรื่องการทำประมงอย่างยั่งยืน (Sustainable fishing) และการปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรม (Fair labor practices) อีกด้วย
![]()
ดังนั้นหัวใจของงาน ProPak Asia 2024 นอกจากจะเป็นงานแสดงของเทคโนโลยีกระบวนการแปรรูปอาหาร บรรจุภัณฑ์ การจัดเก็บ และการขนส่ง ครบตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำระดับเอเชีย ที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม ยา เครื่องสำอาง สินค้าอุปโภคบริโภคแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการทุกระดับ ทุกขนาด ยังจัดขึ้นภายใต้แนวคิด การยกระดับความสำเร็จในกระบวนการผลิตและบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนด้วย แนวคิด นวัตกรรม และการลงทุน (Sustainably Empowering Processing & Packaging Success with Ideation, Innovation and Investment) เพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการจะได้พบนวัตกรรมต่างๆ เทคโนโลยีการผลิต แปรรูปเพื่อไปถึง Net Zero Carbon การเลือกใช้วัสดุออกแบบบรรจุภัณฑ์และอื่นๆ ไปต่อยอดลงทุนให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน
ภายในงานมีการจัดแสดงแบ่งเป็น 8 โซนหลัก ได้แก่ 1) Processing Tech Asia เทคโนโลยีเพื่อการแปรรูปอาหาร และวัตถุดิบ 2) PackagingTech Asia เทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์ และกระบวนการบรรจุภัณฑ์ 3) DrinkTech Asia เทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม 4) PharmaTech Asia เทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมยา 5) Lab&Test Asia เทคโนโลยีการตรวจสอบและควบคุมมาตรฐานของอาหาร และบรรจุภัณฑ์ 6) Packaging Solution Asia เทคโนโลยีเพื่อการผลิตบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์สำเร็จรูป 7) Coding, Marking & Labelling Asia เทคโนโลยีเพื่อการเขียนรหัส, ติดป้าย, และปักหมายเลขบนสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ต่างๆ 8) Coldchain, Logistics, Warehousing & Factory Asia เทคโนโลยีเพื่อการขนส่ง จัดเก็บสินค้า และเทคโนโลยีที่สนับสนุนกระบวนการผลิต มีผู้เข้าร่วมจัดแสดงกว่า 2,000 แบรนด์ จาก 45 ประเทศทั่วโลก และมีพาวิเลี่ยนจาก 14 กลุ่มประเทศประกอบด้วย ออสเตเรีย บาวาเรีย ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ อเมริกาเหนือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย สิงคโปร์ และไต้หวัน ซึ่งเป็นประเทศผู้นำเทคโนโลยี และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลประเทศนั้นๆ ในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่มาร่วมจัดแสดงในงานฯ ส่วนไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้ในปีนี้คือ
ด้วยเหตุนี้งาน ProPak Asia 2024 จึงเป็นงานแสดงสินค้าสำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาการผลิตและแปรรูปอาหาร และบรรจุภัณฑ์ ซึ่งสร้างรายได้และมูลค้าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ พร้อมช่วยส่งเสริมการเดินทางของนักธุรกิจและผู้ประกอบการจากต่างประเทศในการเข้ามาท่องเที่ยวเชิงธุรกิจซึ่งมีมูลค่าสูงแก่ประเทศไทยด้วย
ผู้สนใจรายละเอียดการจัดงานและต้องการลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อเข้าชมงาน ProPak Asia 2024 สามารถลงทะเบียนได้ที่ www.propakasia.com
ดีลอยท์เผยรายงาน Asia Pacific Centre for Regulatory Strategy (ACRS), ‘Generative AI: Application and Regulation in Asia Pacific' ซึ่งเป็นผลสำรวจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการใช้ Generative AI ในภาคบริการทางการเงิน (Financial Services) ทิศทางของกฎระเบียบในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และให้คำแนะนำกับ บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน ในการเตรียมตัวเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับในเรื่องนี้ ที่เป็นประเด็นที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ACRS ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญจากดีลอยท์ทั้งหมด 12 คน ที่มีความเชี่ยวชาญทั้งทางด้านเทคโนโลยีและกฎหมายทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (AP) เพื่อทำความเข้าใจว่าเมื่อเทคโนโลยี Generative AI ("GenAI") ได้รับการพัฒนาก้าวหน้ายิ่งขึ้น หน่วยงานที่กำหนดนโยบายและกำกับดูแลจะทบทวนกรอบการใช้งานของ AI ในปัจจุบัน เพื่อลดความเสี่ยงทางเทคโนโลยีใหม่ที่อาจเกิดขึ้นจาก GenAI และสร้างความเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีดังกล่าวยังคงมีความเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของกลุ่มภาคบริการทางการเงินอยู่
จากความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เช่นการนำเทคโนโลยี GenAI มาใช้อย่างแพร่หลายผ่านเครื่องมือต่าง ๆ เช่น Chat GPT ของ OpenAI และ Bard AI ของ Google ส่งผลให้ความเสี่ยงที่หน่วยงานที่กำกับดูแลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกระบุในหลักการกำกับดูแลทางกฎหมาย AI มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าความโปร่งใส ความรับผิดชอบ ความยุติธรรม ความแข็งแกร่ง ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลยังเป็นเรื่องที่ต้องมีการพิจารณา แต่ข้อกังวลเกี่ยวกับอคติและทรัพย์สินทางปัญญาส่งผลให้หน่วยงานที่กำกับดูแลจำเป็นต้องสร้างความสมดุลระหว่างประโยชน์ของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีกับการรักษาความปลอดภัยของผู้บริโภค
อุตสาหกรรมการบริการทางการเงินกำลังเผชิญช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงและดิสรัปชั่นครั้งใหญ่ GenAI เข้ามาเปลี่ยนแปลงแนวทางในการบริการ แต่เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ความสนใจและการตรวจสอบของหน่วยงานกำกับดูแลในเรื่อง AI ก็จะมีเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินต่างเผชิญกับความเสี่ยงใหม่ๆ ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น เช่น อคติ การกำกับดูแล ความรับผิดชอบ และการปกป้องข้อมูลตลอดวงจรชีวิตของ AI รวมถึงความเสี่ยงทางกฎระเบียบและ ความเสี่ยงทางกลยุทธ์อีกด้วย รายงานล่าสุดของดีลอยท์ จึงมีข้อแนะนำให้บริษัทผู้ให้บริการทางการเงินเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับอนาคตและสร้างกรอบการกำกับดูแล AI เพื่อ ระบุ และจัดการกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ AI อย่างเหมาะสมและรวดเร็ว
รายงานฉบับนี้นำเสนอประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้
อากิฮิโระ มัตสึยามะ Risk Advisory Leader ดีลอยท์ เอเชียแปซิฟิก แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายงานดังกล่าวว่า "แม้ว่ากฎระเบียบและกฎหมายด้าน AI จะยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นของการพัฒนาหรือการนำไปใช้ในเขตอำนาจในการตัดสินคดีส่วนใหญ่ แต่บริษัทผู้ให้บริการทางการเงินก็จำเป็นต้องใช้แนวทางที่วัดผลโดย สร้างกรอบการกำกับดูแล AI ของตนเองโดยเร็วที่สุดและดำเนินการเพื่อทำความเข้าใจ ระบุ และจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ AI ภาคเอกชนจะต้องร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลและผู้ออกกฎหมายเพื่อแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการกระบวนการสร้างกณเกณฑ์และผลักดันฉันทามติเกี่ยวกับเส้นทางอนาคตของ AI”
Mr Wong Nai Seng Regulatory Strategy Leader ดีลอยท์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวเสริมว่า “เทคโนโลยี AI เช่น GenAI มีศักยภาพที่สำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลภายในกลุ่มผู้ให้บริการทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวควรเป็นสิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึง เนื่องจากภูมิทัศน์ด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับโลกและภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทที่ให้บริการทางการเงินจึงควรระมัดระวังในการพิจารณานำเทคโนโลยี AI มาใช้ เพื่อพิจารณาว่าความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ AI เหมาะสมกับความเสี่ยงที่มีอยู่และกรอบการบริหารความเสี่ยงโดยรวมอย่างไร ”
7 มีนาคม 2567
Spacely AI สตาร์ทอัพแพลตฟอร์มที่นำ Generative AI มาช่วยในการออกแบบสถาปัตยกรรมภายในที่ได้รับการลงทุนระดับ Pre-Seed จาก SCB 10X บริษัทภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ซึ่งเป็นการสนับสนุนเป้าหมายของ Spacely AI ที่ต้องการสร้างโอกาสในการออกแบบให้กับทุกคน และมุ่งหวังเป็นแพลตฟอร์มหลักในอุตสาหกรรมการออกแบบเชิงพื้นที่ สอดรับกับยุทธศาสตร์ของกลุ่ม SCBX ในการมุ่งมั่นสนับสนุนการพัฒนาด้านเทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
นางมุขยา (ใต้) พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และ Chief Venture and Investment Officer บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) กล่าวว่า "SCB 10X มีความภูมิใจที่ได้สนับสนุน Spacely AI เพื่อปลดล็อกความสามารถในการออกแบบด้วยความก้าวหน้าของ visual-based generative AI และเพื่อต่อยอดความคิดสร้างสรรค์แก่นักออกแบบให้ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาของเทคโนโลยีนี้ โดย SCB 10X ร่วมสนับสนุน Spacely AI ทั้งด้านกลยุทธ์และการพัฒนาให้แก่แพลตฟอร์ม รวมถึงความพยายามในการผลักดัน Spacely AI ไปสู่วงการการออกแบบทั่วโลก"
นายพารวย อันอดิเรกกุล Chief Executive Officer Spacely AI กล่าวว่า "การสนับสนุนจาก SCB 10X ไม่ได้เป็นเพียงแค่การลงทุนทางธุรกิจ แต่เป็นความร่วมมือที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราในการพัฒนาวงการการออกแบบเชิงพื้นที่ และยังเน้นย้ำถึงความเชื่อร่วมกันในศักยภาพของ Generative AI ในการเปลี่ยนแแปลงมาตรฐานของการออกแบบระดับโลก"
Spacely AI กำลังขยายฐานผู้ใช้อย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้กว่า 170 ประเทศทั่วโลก และยังได้รับการยอมรับจากสตาร์ทอัพคอมมูนิตี้ระดับสากล จากการชนะรางวัลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จากรายการ “LabLab Stable Diffusion Hackathon 2023” ซึ่งมีผู้เข้าแข่งขันกว่า 2,600+ ทีมทั่วโลก และได้รางวัลรองอันดับ 2 จากรายการ “Tech in Asia 2023 Regional Startup Competition” ซึ่งมีผู้เข้าแข่งขันกว่า 200 ทีม
Spacely AI ได้สร้างผลงานด้วยระบบ AI ไปแล้วมากกว่า 1,000,000 รูป มีผู้ใช้กว่า 120,000 คนทั่วโลก และยังมีการพัฒนาฟีเจอร์การใช้งานอย่างต่อเนื่องกว่า 12 รายการ มีธีมห้องให้ผู้ใช้เลือกใช้กว่า 100 สไตล์ พร้อมรูปแบบห้องและพื้นที่มากกว่า 100 ประเภท ตั้งแต่ภายในไปจนถึงภายนอกอาคาร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านการออกแบบเชิงพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน Spacely AI มีการร่วมมือกับบริษัทชั้นนำที่มีชื่อเสียงด้านการตกแต่งบ้านและอสังหาริมทรัพย์อย่าง Index Living Mall และ Proud Real Estate ซึ่งเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของ Spacely AI
![]()
ด้าน นายเอกลักษณ์ ปัทมสัตยาสนธิ Senior Vice President Business Development YOUNIQUE & The Walk Line ผู้ค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เปิดเผยว่า "ในการเลือกใช้เทคโนโลยีของ Spacely AI ทาง Index Living Mall มุ่งหวังที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ เพิ่มความสามารถในการทำงานให้แก่นักออกแบบ และยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดีมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ Spacely AI สามารถลดเวลาในกระบวนการออกแบบและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของดีไซน์เนอร์ นี่จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในความมุ่งมั่นของเราที่จะเป็นเลิศในด้านการบริการและการเติบโตทางธุรกิจ"
“ความร่วมมือระหว่าง Spacely AI ถือเป็นส่วนช่วยในการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ พร้อมสะท้อนความพิเศษที่มากกว่าของแบรนด์และโครงการของพราวได้เป็นอย่างดี โดยตลอด Customer Journey ลูกค้าจะสามารถต่อยอดไอเดียการออกแบบบนพื้นที่ภายในโครงการให้เป็นพื้นที่เสมือนจริงของตัวเองได้ด้วย AI” กล่าวโดย นายพสุ ลิปตพัลลภ Director Proud Real Estate ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศไทย
Spacely AI เปิดตัว Enterprise API ตัวใหม่สำหรับองค์กรและ SME ในอุตสาหกรรมการออกแบบ และที่อยู่อาศัย:
Enterprise API ช่วยส่งเสริมประสบการณ์การขาย และสร้างผลตอบรับให้กับองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพใน 4 ด้าน:
นายพารวย อันอดิเรกกุล Chief Executive Officer Spacely AI กล่าวเพิ่มเติมว่า “การเปิดตัว Enterprise API เป็นก้าวที่สำคัญสู่อุตสาหกรรมการออกแบบและเฟอร์นิเจอร์ แต่สิ่งนี้เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น Spacely AI มุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสามารถของ Generative AI เพื่อให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ทุกปัญหาของการออกแบบเชิงพื้นที่ พร้อมทั้งผลักดันขอบเขตของความคิดสร้างสรรค์ในโลกแห่งการออกแบบต่อไป”
มาเป็นส่วนหนึ่งกับ Spacely AI ในการยกระดับอุตสาหกรรมการออกแบบและค้นพบศักยภาพสูงสุดของ Generative AI ในการเปลี่ยนแปลงโลก และยกระดับมาตรฐานของการออกแบบ เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดแก่องค์กรและเสริมความเป็นผู้นำในวงการธุรกิจของคุณ สามารถใช้ Spacely AI ได้แล้ววันนี้ที่ www.spacely.ai
Economist Impact เปิดตัว 3rd annual Sustainability Week Asia สุดยอดงานสัมมนาเพื่อเผยแพร่แนวคิดด้านความยั่งยืน พร้อมสนับสนุนการยกระดับธุรกิจเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง ได้ประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมสัมมนาซึ่งเป็นตัวแทนจากหลากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน โดยงานนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 11-13 มีนาคม 2567 ณ ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล กรุงเทพฯ
โดยตลอดการสัมมนากว่า 2 วันครึ่งนี้ ผู้เข้าฟังจะได้รับข้อมูลเชิงลึกพร้อมแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ใช้ได้จริง เพื่อเป็นแนวทางให้ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างผลลัพธ์เชิงบวกด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมต่อไปได้ ควบคู่ไปกับการสร้างผลตอบแทนทางการเงิน และสร้างโมเดลใหม่สำหรับการระดมทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศและการส่งต่อเทคโนโลยีโดยประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจ
มร.จอร์ช ลี นักลงทุนร่วมจาก VNTR Capital กล่าวว่า “โลกของเรากำลังจะแตกสลาย และจะไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้ หากปราศจากการร่วมมือกัน ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับเหล่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
จากหลายภาคส่วนในงาน Sustainability Week Asia ครั้งนี้ เพื่อช่วยผลักดันให้เกิดความร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและร่วมกันสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง”
กิจกรรมภายในงานสัมมนาครั้งนี้ประกอบด้วย การประชุมร่วมกัน, การสัมภาษณ์ในประเด็นสำคัญ รวมถึงการนำเสนอกรณีศึกษา ที่จะสร้างการมีส่วนร่วมจากผู้นำด้านความยั่งยืนกว่า 800 รายภายในงาน และจากช่องทางออนไลน์อีกกว่า 2,000 ราย เพื่อร่วมกันหาคำตอบว่าสังคมจะสามารถบรรลุเป้าหมายด้านการแก้ไขสภาพภูมิอากาศให้เร็วขึ้นได้อย่างไรบ้าง โดยผู้เข้าร่วมสัมมนาในงานครั้งนี้ มีทั้งเหล่าผู้นำทางธุรกิจ, ผู้กำหนดนโยบาย, ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์, ตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศ และ NGOs
รายชื่อของผู้เข้าร่วมสัมมนา
● มร.แกรม เบียร์ดเซลล์ ประธานกรรมการบริหาร ฟูจิตสึ เอเชียแปซิฟิก
● นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ธนาคารกรุงเทพ
● Dr. Bicky Bhangu ประธานบริษัทโรลส์-รอยซ์ ประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แปซิฟิก และประเทศเกาหลีใต้
● Charlotte Wolff-Bye, chief sustainability officer, PETRONAS
● Arun Biswas, managing partner, strategic sales and sustainability consulting, IBM, Asia-Pacific
● Sumit Gupta, Managing director and senior partner, leader of climate and sustainability Asia-Pacific, BCG
● นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี
● มร. อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน นิสสัน ประเทศไทย และ นิสสัน อาเซียน
● Prasanna Ganesh, executive vice-president, People and Business Transformation Group, Toyota Daihatsu Engineering & Manufacturing
● นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
● มร. ดาเนียล รอสส์ ผู้อำนวยการใหญ่สายการลงทุน หัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ และหัวหน้าฝ่ายพัฒนาเพื่อความยั่งยืน บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
● Jeffery Smith, vice-president, sustainability, Six Senses Hotels, Thailand
● นายปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แบรนดิ แอนด์ คอมพานีส์ จำกัด
● นายพนากร เดชธำรงวัฒน์ head of investment promotion, Invest Hong Kong and Hong Kong economic and trade office in Bangkok
● นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)
● Iris Lam, director of sustainability, global development, Mandarin Oriental
● Sarah Tiffin, UK Ambassador to Association of South-East Asian Nations (ASEAN)
● ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และหัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โดยรายชื่อผู้เข้าร่วมสัมมนาทั้งหมดสามารถดูเพิ่มเติมได้ ที่นี่.
หัวข้อการสัมมนาภายในงาน มีดังนี้
· รับฟังสัมภาษณ์พิเศษกับ Charlotte Wolff-Bye, chief sustainability officer, PETRONAS
· รับฟังสัมภาษณ์พิเศษกับนายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ธนาคารกรุงเทพ
· รายงานความก้าวหน้า: การส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์วิกฤติ
· การบรรลุเป้าหมาย Net Zero: จับคู่แผนการทำงานและเป้าหมาย
· การผลักดันตลาดคาร์บอนในเอเชีย
· กรณีศึกษาจากชั่วโมงการปฏิบัติงาน, การสร้างแรงจูงใจในการเปลี่ยนผ่านจากสตาร์ทอัพและองค์กร ไปสู่ระดับประเทศ: ตัวอย่างเชิงปฏิบัติความก้าวหน้าในการส่งเสริมความยั่งยืน
· มาตรการด้านพลาสติก: วัฏจักรชีวิตและการลดมลพิษจากพลาสติก
· กิจกรรมกลุ่ม ทักษะใหม่เพื่อสร้างเศรษฐกิจสีเขียว
· การสร้างสภาพแวดล้อมที่อำนวยต่อนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านสภาพอากาศ
· ความยุติธรรมและความเท่าเทียมทางสังคม: “S” ใน ESG เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยุติธรรม
· การขนส่งอย่างยั่งยืนและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า
ผู้สนใจสามารถดูหัวข้อการสัมมนาทั้งหมดได้ ที่นี่
มร. เซนธิล นาธาน ประธานกรรมการบริหารแฟร์เทรดในออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ กล่าวว่า “ความท้าทายในการสร้างความยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียจำเป็นต้องอาศัยการขบคิดกันใหม่อย่างเร่งด่วน ด้วยแนวทางแบบไซโลดั้งเดิม (Traditional siloed) ที่อิงตามขอบเขตของแต่ละภาคส่วนนั้นไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพได้อีกต่อไป ดังนั้นการทำงานร่วมกันและความร่วมมือในระหว่างประเทศจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ”
สำหรับรายละเอียดของงาน, หัวข้อการสัมมนา และลิงก์สำหรับการลงทะเบียน สามารถคลิกดูข้อมูลได้ที่ เว็บไซต์
![]()
รายชื่อผู้สนับสนุนและสปอนเซอร์ของงานในครั้งนี้ Bangkok Bank (ธนาคารกรุงเทพ), PETRONAS (ปิโตรนาส), Boston Consulting Group (บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป), BRANDi and Companies (แบรนดิ แอนด์ คอมพานีส์), Fujitsu (ฟูจิตสึ), Invest Hong Kong, Ecolab (อีโคแล็บ) , EY (อีวาย), IBM (ไอบีเอ็ม), Manulife Investment Management, Musim Mas (มูซิม มาส), สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB), REDEX, เอสซีจี, Signify (ซิกนิฟาย), Sime Darby Plantation (ไซม์ ดาร์บี้ แพลนเทชั่น), Singapore Management University (มหาวิทยาลัยการจัดการแห่งสิงคโปร์), ข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (UN Global Compact) และ CDD India
มารีน่า เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands) เนรมิตสถานที่ต้อนรับเหล่าสวิฟตี้ที่มาร่วมคอนเสิร์ต Taylor Swift The | The Eras Tour ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึง 13 มีนาคม โดยกิจกรรมต่าง ๆ จะถูกจัดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบโดยเฉพาะบริเวณ The Shoppes ที่มารีน่า เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands) และ Sands Expo & Convention Center เพื่อเฉลิมฉลองเรื่องราวอันเป็นตำนานของนักร้องและนักแต่งเพลงที่ในเวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จักอย่าง Taylor Swift กิจกรรมมีตั้งแต่การตกแต่งพื้นที่สำหรับถ่ายภาพไปจนถึงการแสดงโชว์แสงสีและเสียงในบทเพลงที่สวิฟตี้ชื่นชอบ แฟน ๆ จะได้ร่วมกันสร้างช่วงเวลาอันน่าจดจำในขณะที่ดื่มด่ำไปกับความมหัศจรรย์ของไอคอนระดับโลกในระหว่างสองสัปดาห์ที่แสนพิเศษนี้
Irene Lin รองประธานอาวุโสและประธาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของมารีน่า เบย์ แซนด์ส (Senior Vice President and Chief Marketing Officer) กล่าวว่า “พวกเรายินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของคอนเสิร์ต Taylor Swift | The Eras Tour ในสิงคโปร์ โดย Taylor Swift ถือเป็นหนึ่งในศิลปินผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกตลอดกาล ซึ่งมารีน่า เบย์ แซนด์ส ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้เหมาะสมกับศิลปินคนนี้ เราสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความตื่นเต้น และสิ้นสุดเวลารอคอยกับคอนเสิร์ตที่กำลังเกิดขึ้นในสิงคโปร์ เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีส่วนร่วมในช่วงเวลาแห่งความมหัศจรรย์นี้”
ดื่มด่ำไปกับเรื่องราวของศิลปินระดับโลกผ่าน Taylor Swift | The Eras Tour Trail
![]()
(เส้นทาง Taylor Swift | The Eras Tour Trail จะจัดขึ้นทั่วมารีน่า เบย์ แซนด์ส)
ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พื้นที่บางส่วนของ The Shoppes และ Sands Expo & Convention Centre จะกลายเป็นสวรรค์สำหรับหล่าสวิฟตี้ เพราะสถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นแผนที่จำลองการเดินทางสู่ชีวิตของศิลปินคนดังอย่าง Taylor Swift เจ้าของรางวัลอันมากมาย ในกิจกรรม Taylor Swift | The Eras Tour Trail โดยผู้เข้าชมสามารถสัมผัสประสบการณ์ 10 ยุค อันเป็น
เอกลักษณ์ของ Taylor Swift ผ่านการจัดแสดงใน 7 รูปแบบ ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องด้วยภาพเกี่ยวกับการเดินทางของ Taylor Swift โดยแต่ละโซนจะนำเสนอมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับวิวัฒนาการทางดนตรีของ Taylor Swift ซึ่งเป็นการระลึกถึงยุคที่เป็นหัวใจสำคัญอย่าง ยุค “Lover” และพาแฟน ๆ ย้อนกลับไปยังยุค “1989” ที่หวนคิดถึง กิจกรรมมีถึงวันที่ 13 มีนาคม เวลา 10.30 – 22.00 น.
รับชมการแสดงแสง สี เสียง Taylor Swift | The Eras Tour Light & Water Show
![]()
(บุคคลทั่วไปสามารถรับชม Taylor Swift | The Eras Tour Light & Water Show ได้ตามจุดชมการแสดงต่าง ๆ)
ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึง 7 มีนาคม แฟน ๆ จะได้มีโอกาสรับชมการแสดงแสง สี เสียง Taylor Swift | The Eras Tour Light & Water Show สุดพิเศษ ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวัน เวลา 20.00 น. และ 21.00 น. และรอบการแสดงเพิ่มเติมในวันที่ 1 และ 2 มีนาคมเวลา 22.00 น. การแสดงพิเศษความยาว 14 นาทีนี้เป็นการพลิกโฉม Spectra – A Light & Water Show การแสดงแสง สี เสียง ของมารีน่า เบย์ แซนด์ส โดยประสานเข้ากับเพลงฮิตติดชาร์ต 4 เพลง ซึ่งครอบคลุมยุคสมัยทางดนตรีอันหลากหลายของนักร้องป๊อปสตาร์ Taylor Swift อย่าง 'You Belong With Me' (Taylor’s version), 'Cruel Summer', 'Style' (Taylor’s version) และ 'Shake It Off' (Taylor’s version) นอกจากนี้การแสดงยังประกอบด้วยการออกแบบลวดลายของสายน้ำที่น่าตื่นตาตื่นใจซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากคอนเสิร์ต Taylor Swift | The Eras Tour พร้อมด้วยระบำน้ำพุ การฉายภาพประกอบ การฉายแสงเลเซอร์ และเอฟเฟกต์ลาวา
การแสดงแสง สี เสียง Taylor Swift | The Eras Tour Light & Water Show จะเปิดให้เข้าชมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ต้องลงทะเบียนล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ทางการของมารีน่า เบย์ แซนด์ส เนื่องจากข้อจำกัดด้านความจุจำนวนผู้เข้าชม ซึ่งได้เปิดให้ลงทะเบียนล่วงหน้าในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เวลา 12.00 น. โดยบัตรจะมีจำนวนจำกัดและสามารถแลกตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ได้สูงสุด 6 ใบต่อคน ประตูของแต่ละการแสดงจะเปิดให้เข้าครึ่งชั่วโมงก่อนการแสดงเริ่ม
ด้านหน้าของรีสอร์ทแบบครบวงจรจะสว่างไสวด้วยสีสันอันเป็นเอกลักษณ์ของธีมคอนเสิร์ต Taylor Swift ในยามค่ำคืนรีสอร์ทแบบครบวงจรอย่าง มารีน่า เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands) จะถูกย้อมไปด้วยสีสันพาสเทลที่น่าหลงใหลที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธีมคอนเสิร์ต Taylor Swift | The Eras Tour โดยการโชว์ไฟตกแต่งบนตัวอาคารจะเริ่มตั้งแต่เวลา 19.00 ไปจนถึง 23.00 น. การจัดแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้ไม่เพียงแต่จะทำผู้พบเห็นตราตรึงใจ แต่ยังเปลี่ยนด้านหน้าอาคารที่เป็นเอกลักษณ์และริมฝั่งแม่น้ำให้กลายเป็นผืนผ้าใบที่บันทึกช่วงเวลาแห่งความมหัศจรรย์และสวยงาม
ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก Taylor Swift | The Eras Tour Retail Pop-up
ร้านจำหน่ายของที่ระลึกสุดพิเศษของคอนเสิร์ต Taylor Swift | The Eras Tour จะตั้งอยู่ที่ Sands Expo & Convention Centre ห้องจัดแสดง C ตั้งแต่วันที่ 29 กุมภาพันธ์ ทั้งนี้ บุคคลทั่วไปจำเป็นต้องลงทะเบียนจองช่วงเวลาที่ต้องการล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ทางการของมารีน่า เบย์ แซนด์ส โดยสามารถลงทะเบียนได้เพียงหนึ่งครั้ง และเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี จำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของผู้ใหญ่
หากมีการเปลี่ยนแปลง จะมีการแจ้งให้ทราบบนเว็บไซต์ทางการของมารีน่า เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands) www.marinabaysands.com/theErasTour.
แน่นอนว่ากิจกรรมเหล่านี้จะช่วยเติมเต็มประสบการณ์รับชมคอนเสิร์ต Taylor Swift | The Eras Tour ในสิงคโปร์ได้อย่างงดงาม ทำให้ความฝันของคุณกลายเป็น ‘Wildest Dream’ ในแบบที่ลืมไม่ลง และนอกเหนือไปจากประสบการณ์ด้านคอนเสิร์ตและความบันเทิงแล้ว สิงคโปร์ยังมีกิจกรรมอีกมากมายที่รอคุณไปค้นหา โดยสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ VisitSingapore.com
นักลงทุนรุ่นใหม่เผยความคิดเห็นว่าบิทคอยน์มีโอกาสจะเข้าสู่ภาวะ Supply Shock และการเกิด Bitcoin Halving เป็นแรงผลักดันราคาบิทคอยน์ ขณะที่ทองคำสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้ทั้งที่ค่าเงินดอลลาร์ยังไม่อ่อนค่ามากนัก ทำให้สองสินทรัพย์นี้ยังมีความน่าสนใจแม้ราคาจะขึ้นมาสร้างจุดสูงสุดใหม่ ขณะที่ตลาดหุ้นจีนเริ่มกลับตัวเป็นขาขึ้นสามารถทยอยลงทุนได้
![]()
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ทั้งทองคำและบิทคอยน์ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณลักษณะใกล้เคียงกัน และยังสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ของราคาได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน ถือว่ามีความน่าสนใจในการลงทุนแม้ราคาในช่วงนี้จะขึ้นมาสูงก็ตาม โดยปัจจัยหนุนราคาบิทคอยน์ คือการที่นักลงทุนรายใหญ่ระดับสถาบันเข้ามาลงทุนในบิทคอยน์ด้วยการไล่ซื้อในตลาด Spot ผ่านกองทุน Bitcoin ETF มากขึ้น จากความคาดหวังว่าหลังการเกิด Bitcoin Halving ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่สามของเดือนเมษายน ราคาจะปรับตัวเป็นขาขึ้นเต็มตัวตามสถิติเดิมที่เกิดขึ้นในอดีต
ทั้งยังมีสถิติด้วยว่าตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้ากองทุน Bitcoin ETF ได้เข้าซื้อบิทคอยน์กว่า 10,000BTC ขณะที่มีจำนวนบิทคอยน์ที่ออกมาสู่ตลาดในหนึ่งวันเพียง 900BTC ซึ่งหลัง Bitcoin Halving จำนวนบิทคอยน์ที่ออกสู่ตลาดจะลดลงครึ่งหนึ่ง อาจเป็นเหตุผลให้นักลงทุนรายใหญ่รีบเข้ามาเก็บบิทคอยน์ก่อนที่จะไม่สามารถหาซื้อในตลาดรองได้อีก
“ความกังวลว่าจะเกิดภาวะ Supply Shock ของบิทคอยน์น่าจะเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนรายใหญ่เร่งสะสมบิทคอยน์ก่อนที่จะเกิด Bitcoin Halving ซึ่งต้นทุนของนักลงทุนรายใหญ่เหล่านี้จะอยู่ตั้งแต่ระดับ 45,000 – 50,000 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับราคาในปัจจุบันที่ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดเดิมที่ระดับ 69,000 ดอลลาร์ แม้จะมีกำไรแล้วแต่อัพไซด์ในอนาคตหลัง Bitcoin Halving มีโอกาสที่จะขึ้นสู่ระดับแสนดอลลาร์ขึ้นไปทำให้แนวโน้มราคาบิทคอยน์ยังสามารถที่จะปรับตัวขึ้นต่อได้”
ทั้งนี้การที่ราคาปรับฐานลงมาประมาณ 15% หลังขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเป็นสัญญาณเตือนว่าแม้ตลาดจะเป็นขาขึ้น บิทคอยน์ยังมีโอกาสที่จะปรับฐานลงมาได้ตลอดเวลา นักลงทุนจึงยังจำเป็นต้องบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดยรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมากกว่าไปรีบไล่ราคา
ขณะที่เหรียญทางเลือก หรือ Altcoin ที่น่าสนใจในการลงทุนคือ Ethereum ซึ่งกำลังมีสตอรี่ของการตัดสินใจของ ก.ล.ต.สหรัฐอเมริกา ว่าจะอนุมัติกองทุน Ethereum ETF แบบเดียวกับบิทคอยน์หรือไม่ ประกอบกับการอัพเกรดใหม่ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบล็อกเชนให้ดีขึ้น จึงสามารถทยอยสะสมลงทุนได้
ขณะที่ทองคำสามารถที่จะขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ระดับ 2,140 ดอลลาร์ ได้สำเร็จ ทั้งที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ไม่ได้แข็งค่าขึ้นเท่าที่ควร ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอที่จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องรีบปรับลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าหากคณะกรรมการนโยบายการเงินมีการลดดอกเบี้ยน่าจะยิ่งเป็นแรงผลักดันให้กับราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้
ด้านสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น หุ้นเทคโนโลยี อาจจะเริ่มมีอัพไซด์ที่จำกัด แม้ว่าผลประกอบการของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเอไอจะยังเติบโตได้อย่างดี แต่การที่ราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากอาจทำให้นักลงทุนบางส่วนอาจย้ายเงินลงทุนไปยังกลุ่มอื่น ถ้าจะลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ต้องรอให้ราคาย่อตัวและจับจังหวะซื้อขายเก็งกำไรไปก่อน ส่วนหุ้นเทคโนโลยีกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้ายังประสบปัญหาการแข่งขันตัดราคาจึงยังไม่น่าสนใจลงทุนตอนนี้
สำหรับสินทรัพย์ที่น่าสนใจในเดือนมีนาคมนี้ คือตลาดหุ้นจีน ทั้งตลาดในแผ่นดินใหญ่และตลาดฮ่องกงที่สัญญาณทางเทคนิคเริ่มเห็นภาพการกลับตัวเป็นขาขึ้นหลังจากที่แนวโน้มเป็นขาลงมาหลายปี สำหรับผู้ที่ยังไม่มีพอร์ตหุ้นจีนสามารถที่จะเริ่มต้นสะสมได้ ส่วนผู้ที่ลงทุนมาแล้วก่อนหน้านี้และยังมีเงินสดสามารถที่จะเข้าซื้อเพื่อถัวราคาได้แล้ว
ปัจจัยอื่นที่ต้องจับตา คือความเคลื่อนไหวของการคัดเลือกผู้รับสมัครตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เริ่มต้นขึ้น โดยมุมมองของผู้รับสมัครที่มีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และนโยบายการเมืองระหว่างประเทศจะส่งผลต่อภาวะตลาดได้เช่นกัน โดยอาจจะมีความผันผวนมากขึ้นถ้าหากได้ตัวผู้สมัครที่ชัดเจนและเริ่มมีการประกาศนโยบายของตัวเองออกมา อย่างไรก็ตามยังไม่เห็นปัจจัยลบอื่นที่จะเกิดขึ้นในช่วงหลังจากนี้ จึงยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในเดือนมีนาคมที่น่าจะยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี