From FAM to FAMOUS

March 13, 2019

“We develop people, people develop country.” ดร.สุดาพร สาวม่วง คณบดี คณะการบริหารและจัดการ (FAM) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง (สจล.) กล่าวภายหลังได้รับ รางวัล Thailand Leadership Award 2019 ซึ่งจัดขึ้นโดย World Federal Education

ประโยคนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการ บริหารจัดการการศึกษาเพื่อสร้างคน เพื่อเป็นพลังในการพัฒนาชาติต่อไปของ คณบดีคนใหม่ของ FAM ที่มีผลงานเป็น ที่ประจักษ์ด้านการศึกษาจนได้รับรางวัล ดังกล่าวเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ดร.สุดาพรเปิดเผยแนวนโยบายในการบริหารสถาบันในช่วงที่รับตำแหน่งว่า  มีนโยบายที่ทำให้จำกันง่ายๆ คือ ‘FAM to FAMOUS’ จากชื่อคณะในภาษาอังกฤษ  Faculty of Administration and Management (FAM) ก็จะต่อยอดให้ไปสู่คำว่า Famous ที่แปลว่ามีชื่อเสียง โดยเป็นตัวย่อของนโยบายที่ตั้งเป้าไว้คือ

Family คณะจะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมนำพา สจล. สู่มหาวิทยาลัย ที่ได้รับการจัดอันดับในระดับอาเซียนและภูมิภาค

Ability การผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถ มีทักษะฝีมือ ประกอบด้วยนวัตกรรม

Management โดยคณะจะจัดการเรียนการสอนแบบมืออาชีพ เน้นการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยและตรงกับ ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเป็นนวัตกรรมในการบริหารจัดการการเรียนการสอน การบริหารงาน การตัดสินใจดำเนินงานอย่างสร้างสรรค์ มีคุณภาพและประสิทธิภาพ

Outstanding คือจะเป็นคณะการบริหารที่ได้รับการจัดอันดับ เป็นลำดับต้นๆ ของประเทศ ของอาเซียน และของโลก

Universal คือการก้าวสู่ความเป็นสากล มีความเป็นนานาชาติ (International Outlook) ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นอาคารสถานที่ หลักสูตร อาจารย์ บุคลากร สิ่งแวดล้อมต่างๆ

หลักสูตรสายพันธุ์ใหม่

การจะทำให้แนวนโยบายให้บรรลุผลสำเร็จได้ ดร.สุดาพร เตรียมใช้ประสบการณ์ ที่เคยทำงานในภาคเอกชนมาก่อนเข้ามาทำงานด้านการศึกษาเพื่อผสมผสานจุดเด่น ของ FAM เพื่อสร้างผลลัพธ์ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้

คณบดี FAM มองว่า การบริหารงานในยุคปัจจุบันต้องเน้นเรื่อง Disruption  เพราะการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นนั้นเป็นไปอย่างก้าวกระโดด เช่นเดียวกันกับ ทางสถาบันก็ที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสอดรับกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่  โดยคำนึงถึงคุณภาพของนักศึกษาเป็นหลัก

หากมองการบริหารการศึกษาในแง่ มุมของการตลาด ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญของ สถาบันการศึกษานั่นก็คือหลักสูตร งานวิจัย  สิทธิบัตรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา ใน ส่วนของหลักสูตรซึ่งเรียกว่า หลักสูตร สยพันธุ์ใหม่’ แบ่งเป็น 5 สายพันธุ์ ประกอบด้วย

Entrepreneurial & Science-based Degree เป็นการผสมผสาน ความโดดเด่นของ สจล. ในด้าน วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีกับการบริหาร ด้วยหลักสูตรที่เปิดช่องให้นักศึกษา สามารถเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ แล้วมาเรียนต่อ ในคณะบริหารธุรกิจ หรือหลักสูตร 4+1 เพื่อช่วยให้บัณฑิตที่จบไปมีความรู้ทั้ง ด้านการบริหารจัดการและวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี โดยจะเป็นหลักสูตรนานาชาติ ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์เป็น อันดับแรก และมีโครงการขยายไปยัง คณะอื่นๆ ต่อไป

Corporate-based Degree เป็นหลักสูตรที่เชื่อมโยงกับภาค อุตสาหกรรม เช่น การจัดหลักสูตรร่วมกับ ผู้ประกอบการเครือเบทาโกร และไทยเบฟ  เพื่อให้บัณฑิตที่จบออกไปสามารถทำงานได้ทันที มีความรู้ความสามารถ ตรงตามความต้องการของภาค อุตสาหกรรม

Area-based Degree จะเป็นการจัดการศึกษาโดย คำนึงถึงพื้นที่ของผู้เรียน ทั้งในชุมชนท้องถิ่นและพื้นที่ที่คณะจะ ขยายตัวไป เช่น กลุ่มประเทศอาเซียน จีน รวมถึงการมีห้องเรียน ที่เชื่อมโยงกับศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ  ผ่านโครงการห้องเรียน 108 โลกจริง 108 อรหันต์ ที่จะให้ศิษย์เก่า มาเป็นวิทยากรถ่ายทอดเรื่องราวการทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ ให้กับนักศึกษารุ่นน้อง

Global-based Sandwich Degree จะเป็นการ ทำหลักสูตรร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำในต่างประเทศ เช่น MIT, Oxford, King College และ LSE ผ่านรูปแบบการเรียนที่ ประเทศไทยส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ในต่างประเทศ

Training Online Degree ที่มีการวางเป้าหมายไว้ 3 กลุ่ม  คือผู้เรียนในหลักสูตรปกติ ที่จะมีการใช้รูปแบบการเรียนการสอน ออนไลน์ผสมผสานกับการเรียนในห้องเรียน กลุ่มที่สองคือ  ผู้ที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมหรือภาคธุรกิจที่ต้องการเรียน วิชาต่างๆ และหากต้องการวุฒิก็สามารถนำเครดิตที่ได้มา ลงเทียบกับคณะได้ในอนาคต และกลุ่มที่สามคือกลุ่มที่ต้องการ มา Upskill และ Reskill (เพิ่มและปรับเปลี่ยนทักษะ) ที่จะเปิดเป็น คอร์สให้กับผู้สนใจทั้งศิษย์เก่าและผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมต่างๆ มาเรียนคอร์สตามที่สนใจ ซึ่งเมื่อเรียนแล้วก็สามารถเทียบโอน รายวิชาได้หากต้องการจะได้วุฒิเพิ่มเติมเช่นกัน

FAM Impact

ดร.สุดาพรระบุว่าภายใต้แผนบริหารงานที่วางไว ต้องการให้ส่งผลกระทบใน 4 ด้านประกอบด้วย

  1. Academic คือเรื่องวิชาการวิจัย ที่อาจารย์และบุคลากรจะต้องมีการวิจัยเพื่อตอบโจทย์แก้ปัญหา สังคม มีผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ได้รับการ ยอมรับ รวมถึงการจดสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตร เพื่อใช้ก่อประโยชน์ได้จริง
  2. Educational คือมีการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ มีหลักสูตรที่มีคุณภาพ สามารถสรรหา อาจารย์ที่มีคุณภาพ มีห้องเรียน อาคารสถานที่รวม ถึงเครื่องไม้เครื่องมือในการเรียนการสอนที่ทันสมัย
  3. Social ทางด้านสังคม โดยคณะจะคิดจะทำกิจกรรมใดเพื่อสังคมจะต้องสร้างผลกระทบในเชิงบวก ต่อสังคมและชุมชน เช่นงานวิจัยที่ทำขึ้นมาจะต้องมี ส่วนช่วยทำให้สังคมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น คนในชุมชน มีรายได้เพิ่มขึ้น มีความสุขมากขึ้น
  4. Industry ภาคอุตสาหกรรมหรือภาคเอกชน ซึ่งจะต้องได้ผลผลิตที่ดีของคณะไปใช้งาน หมายถึง บัณฑิตผู้มีคุณภาพ สามารถเข้าไปทำงานได้ทันที เป็นคนดีคนเก่งขององค์กรบริษัท และสามารถตอบ โจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจได้

พัฒนาสู่ความเป็นนานาชาติ

แผนงานบริหารจัดการของ ดร.สุดาพร ที่ใช้แนวทาง การตลาดมาปรับใช้กับการบริหารจัดการสถาบันการศึกษา ยังมี ปัจจัยอื่นๆ ที่จะมาช่วยกันเสริมสร้างให้ FAM to FAMOUS โดย ปัจจัยต่อมาคือสถานที่ Place ที่ไม่ได้จำกัดแค่ตัวอาคารแต่ยัง รวมถึงโลกออนไลน์ที่ต้องมีแพลตฟอร์มที่ทันสมัยสามารถนำส่ง ความรู้ให้กับนักศึกษาได้ ขณะเดียวกันก็ทุ่มงบประมาณกว่า  100 ล้านบาทปรับปรุงอาคาร 5 ชั้น เพื่อจัดทำห้องเรียนที่ ทันสมัย มีพื้นที่ Co Working Space และสิ่งอำนวยความสะดวก ต่างๆ รองรับการเรียนการสอนรูปแบบใหม่

เรื่องต่อมา คือการทำโปรโมชันเพื่อรองรับการแข่งขันใน ระดับโลกของสถาบันการศึกษา ดังนั้นจะเน้นการประชาสัมพันธ์ ในส่วนของนานาชาติเพิ่มขึ้น เพื่อสื่อสารไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย ทั้งที่อยู่ในและต่างประเทศ ผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ การทำ โรดโชว์ จัดทำเว็บไซต์ภาษาอังกฤษที่ทันสมัย รวมถึงการมี ช่องทางในต่างประเทศเพื่อสื่อสารข้อมูลของคณะ

ทางด้านบุคลากร คณาจารย์คือผู้ที่มีความสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ ให้กับผู้เรียน ดังนั้น FAM จะเน้นการเฟ้นหาอาจารย์ที่มีศักยภาพ มีแนวคิดเข้าใจในเรื่อง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีรูปแบบการสอนที่ทันสมัยเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันจะขยาย จำนวนอาจารย์ต่างชาติ เพื่อมาถ่ายทอดให้กับนักศึกษาในหลักสูตรนานาชาติโดย ตั้งเป้าจะให้อาจารย์ต่างชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักสอนในหลักสูตร 90-100 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี พ.ศ. 2562 นี้

ในส่วนของบุคลากรที่ให้การสนับสนุนก็มีการพัฒนาด้านภาษาอังกฤษ โดย จัดหลักสูตรฝึกอบรมให้ทุกสัปดาห์และหากบุคลากรคนใดสามารถสอบผ่าน IELTS หรือ TOEFL ได้ก็จะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น เป็นการเตรียมบุคลากรรองรับคณาจารย์และ นักศึกษาจากต่างประเทศที่จะมีจำนวนมากขึ้นตามแผนงานที่วางไว้

และปัจจัยที่สำคัญอีกด้าน คือการสร้างเครือข่าย ทั้งภายในสถาบันที่มีทั้งหมด 16 คณะ  ซึ่งจะต้องผสมผสานศาสตร์ด้านต่างๆ ผ่านการทำหลักสูตรร่วมกัน ขณะเดียวกันก็ต้อง มีความสัมพันธ์กับภาคธุรกิจอุตสาหกรรมและภาคสังคม ตามพันธกิจของมหาวิทยาลัย โดยจะเชื่อมโยงกับทั้งชุมชน อุตสาหกรรมทุกขนาด ผ่านการบริการทางวิชาการ และ การช่วยเหลือในด้านต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนและอุตสาหกรรม

FAM กับการช่วยเหลือชุมชน

ตัวอย่างหนึ่งของการสร้าง เครือข่ายให้ความช่วยเหลือชุมชน ของ FAM ที่ทำโดย ดร.สุดาพร คือ ชุมชนชาวนาที่ จ.สระบุรี ซึ่งมี ความต้องการจะกลับมาปลูกข้าวพันธุ์ เจ๊กเชย” ซึ่งเป็นข้าวของ จังหวัดสระบุรีที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือมีไฟเบอร์สูงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการบริโภคแป้ง จำนวนมาก

“ก็ไปรณรงค์ให้มีเมล็ดพันธุ์ข้าว พันธุ์เจ๊กเชยเกิดขึ้น แล้วก็ให้ความรู้ ในเรื่องของเมล็ดพันธุ์ข้าว เรื่อง การปลูกข้าว เมื่อได้ผลผลิตออกมา  ชาวนาก็บอกว่าจะทำอย่างไรที่จะ แบ่งข้าวไว้ที่บ้านบางส่วนแล้วสีข้าว กินเอง หรือสีขายเชิงพาณิชย์ได้ อาจารย์ช่วยทำเครื่องสีให้หน่อย ได้ไหม ก็จัดงบประมาณโครงการ บริการวิชาการเพื่อสังคมออกมา ส่วนหนึ่งและพัฒนาออกแบบ สรรหาวิศวกรมาประจำโครงการ ทำตามการออกแบบของอาจารย์ และชาวนาที่ต้องการใช้ คือ ต้องการเครื่องสีขนาดเล็ก เคลื่อนที่ที่สามารถทำงานได้คนเดียว  เคลื่อนย้ายได้สะดวก เครื่องสีนี้ สามารถแยกได้เป็น 4 ช่อง มีแกลบ ข้าว รำ และมีข้าวท่อน เราพัฒนา จนได้ตามความต้องการของ ชาวนา เป็นต้นแบบและใช้งานได้จริง และเราก็ยื่นขอจดอนุสิทธิบัตรก็เป็น งานวิจัยที่สามารถต่อยอดจด อนุสิทธิบัตรได้ ผลิตขึ้นมาใช้งาน ได้จริงและสามารถต่อยอดขาย เชิงพาณิชย์ได้”

เมื่อได้ผลผลิตออกมา ทางด้านการตลาด เนื่องจากเป็นข้าว ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพจึงมีตลาดที่รองรับอย่างเช่นโรงพยาบาล ในจังหวัดสระบุรี และกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานในพื้นที่ที่มาหาซื้อ ข้าวชนิดนี้ไปบริโภค

โครงการนี้เป็นตัวอย่างการจัดการทั้งห่วงโซ่อุปทานที่ FAM เข้าไปมีส่วนร่วมกับชุมชนพัฒนาในเรื่องที่ชุมชนสนใจ และสร้าง มูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้นทั้งแก่ชุมชนและสถาบันต่อมา

FAM for the next generation to ASEAN and to the world

คณะการบริหารและจัดการเพื่อคนรุ่นใหม่ก้าวไกล สู่อาเซียนและโลก’ คือวิสัยทัศน์ของ ดร.สุดาพร โดยมีเป้าหมาย ในการผลิตบัณฑิตผู้มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นคือ การมีมุมมอง ความเข้าใจในเรื่องธุรกิจที่ผสมผสานกับเรื่องวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย

เพระใครก็รู้ว่พระจอมเกล้ดกระบังเป็นผู้นำ ด้นเทคโนโลยี ท่นอธิกรก็ให้นำมผสมผสนกับบริหร จึงต้องผลักดันให้มีหลักสูตร 4+1 กับคณะวิศวกรรมศสตร์ วิศวะต้องมี Mindset เรื่องบริหรธุรกิจเทคโนโลยี

ตัวอย่างที่ ดร.สุดาพร ยกขึ้นมา คือเรื่องปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่เป็นข่าวทางสื่อต่างๆ ว่าจะมาแย่งงานของมนุษย์ แต่ สำหรับนักศึกษาของ FAM แล้ว เรสร้งคนให้ประดิษฐ์ AI เรสร้งคนให้ทำงนร่วมกับ AI นี่คืออัตลักษณ์ของ สจล. เพระฉะนั้นสิ่งนี้ คือสิ่งที่ สจล. ทำอยู่แล้ว วิธีกรประเมินผล และวัดผลในรยวิชออนไลน์ อรย์ก็บอกว่ใช้ระบบ Computer Base AI Base สิ่งเหล่?นี้ก็ต้องคิดมกคน  คนของเรจะมีควมรู้ในกรจัดกร AI และยิ่งถ้เขา จบปริญญตรีสใดก็ได้มเรียนต่อยอดบริหรปริญญโท  ปริญญเอก ก็จะได้อัตลักษณ์นี้ออกไป เพระรยวิชต่งๆ ในหลักสูตรจะสะท้อนให้เรเกิดสติปัญญที่จะสั่งสม เรื่องเหล่นี้ไปควบคู่กับกรบริหร”

การสร้างคนรุ่นใหม่ให้กับโลกของ FAM จึงต้องเตรียมความ พร้อมในด้านต่างๆ ตามที่คณบดีได้อธิบายมาข้างต้น ขณะเดียวกัน ก็เพิ่มเติมด้วยการสร้างสมความเป็นนานาชาติให้กับสถาบัน เพิ่มขึ้นด้วยการเตรียมการจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติปี และ 2-3 ครั้ง โดยตั้งใจจะเชิญนักวิชาการจากทั่วโลกมาเพื่อ ยกระดับมาตรฐานความเป็นนานาชาติของคณะ พร้อมกันก็มี แผนจะพัฒนาวารสารวิชาการภาษาอังกฤษขึ้นมาอีกหนึ่งฉบับ

เพื่อยกระดับมาตรฐานงานวิชาการของ คณะ ให้สามารถถูกบรรจุเข้าไปอยู่ใน ฐานข้อมูลทางวิชาการที่ได้รับการยอมรับ ในระดับโลกได้ ซึ่งจะเป็นเครื่องยืนยัน คุณภาพมาตรฐานของบัณฑิต มหาบัณฑิต  และคณาจารย์ของคณะ

แผนงานทั้งหมดจะผลักดันโดย โครงสร้างการบริหารจัดการที่ใช้รูปแบบ เดียวกันกับที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก คือ แบ่งการบริหารจัดการเป็น 2 สาย สายหนึ่งคือ สายวิชาการ และอีกทางคือ สายบริหารจัดการ ที่ดูแลเรื่องแผนงาน อาคารสถานที่ อุปกรณ์ต่างๆ

จะต้องเริ่มจกตรงนี้ก่อน แล้ว ข้อมูลก็จะไปในทิศทงเดียวกัน” ดร.สุดาพรกล่าวและอธิบายต่อว่า เรต้องจัดกองทัพเรให้ดี อรย์ก็ จะคุยแค่สองคนให้นโยบยไป ต่งประเทศเขทำแบบนี้ถึงไม่มีภพงน ช้า ไม่มีควมขัดแย้ง และข้อมูลอยู่ เป็นกลุ่มเป็นก้อนกระชับ ก่อนจะทำ แบบนี้ได้ ควมคิดอรย์ต้องเปลี่ยน แต่ก่อนผู้บริหรอยู่ลอยๆ ทำตมที่ คณบดีบอก แต่ตอนนี้ ท่นต้องทำตัว เหมือนเป็นคณบดีอีกคน เหมือนเรมี คณบดี 3 คน อรย์ก็ทำงนในเชิง พัฒนได้มกขึ้น ไม่ต้องมนั่งคิดเรื่อง ยิบย่อยเป็นลักษณะงนที่มหวิทยลัย ชั้นนำเขทำ คนทำงนมกขึ้นและ ทำงนเป็นทีม ทีมเวิร์กสำคัญมก  ทุกคนคือทีม ไม่ได้เก่งคนเดียว” ซึ่งทั้งหมดนั้นก็เพื่อเป้าหมายดังที่ ดร.สุดาพร กล่าวในงานรับรางวัล Thailand Leadership Award 2019 ว่า

We develop people, people develop country


เรื่อง : กองบรรณาธิการ

ภาพ : ฐิติชญาน์ แปลงกูล

ในแวดวงภาคการศึกษาเรามักจะเห็นสถาบันต่างๆ มีการพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนมาอย่างต่อเนื่องให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น หลายแห่งมีความมุ่งมั่นที่จะเปิดประตูสู่ระดับสากลเพื่อต้องการก้าวขึ้นไปมีบทบาทบนเวทีระดับโลก

Do or Die, Now or Never

February 15, 2019

การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีช่วงปีที่ผ่านมามีความรุนแรงและก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมอย่างเป็นวงกว้าง เรากำลังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่ต้องเรียนรู้และพัฒนากันทุกวินาที ไม่เว้นแม้แต่ภาคการศึกษาก็ได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน ทำให้กระแสการเรียนรู้เปลี่ยนไปจากในอดีต วันนี้ทุกคนสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ได้ง่ายขึ้น มีแนวคิดและตัวเลือกในการเรียนรู้ที่มากขึ้น

ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เล็งเห็นถึงสถานการณ์ในปีที่ผ่านมาว่าเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภัยธรรมชาติต่างๆ ที่มีความรุนแรงและเกิดถี่ขึ้นทุกวัน เป็นมุมสะท้อนให้ต้องตระหนักว่าสิ่งแวดล้อมเองก็ยังกำลังบีบคั้นให้มนุษย์ต้องพัฒนาตัวเองเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงให้ได้ รวมถึงกระแสเรื่องออนไลน์ที่เริ่มเข้าถึงทุกคนทุกที่ทุกเวลา เพราะปัจจุบันคนไทยมีเบอร์โทรศัพท์มือถือมากกว่าจำนวนประชากร ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียได้มากขึ้น สิ่งนี้คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและเห็นชัดมากในปีที่ผ่านมา ขณะที่ด้านการศึกษาเริ่มเห็นได้ชัดเจนอีกประเด็นว่าจำนวนเด็กที่สมัครลงทะเบียน TCAS ในปี 2562 มีน้อยกว่า 3 แสนคน เทียบกับเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มีคนสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยผ่านระบบกลางเกือบหนึ่งล้านคน มหาวิทยาลัยมีคนเรียนน้อยลง ต้องเจอความต้องการที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม อธิการบดีของสจล. ยังได้เผยต่อว่า แม้จำนวนผู้เรียนในปัจจุบันจะลดลงอย่างมีนัยก็ตาม แต่ความต้องการในการเรียนรู้กลับไม่ได้ลดตาม เพราะทุกวันนี้เราสามารถหาความรู้ได้ด้วยตัวเองผ่านอินเทอร์เน็ต อย่างเช่น เว็บไซต์ Master Class ที่มีหลักสูตรซึ่งเอาคนมีชื่อเสียงและมีความสามารถระดับโลกมาสอน คุณจ่ายเงินเพียงครั้งเดียวเรียนได้ทุกคลาส หรือบางคนอาจจะเข้าไปเรียนรู้จากองค์กรบริษัทต่างๆ เพื่อให้ได้ประสบการณ์จากการทำงานโดยตรง ไม่จำเป็นต้องเรียนจนจบปริญญาก็สามารถประกอบอาชีพและประสบความสำเร็จได้ เหมือนคนดังระดับโลกที่มีให้เห็นอยู่มากมายเพราะฉะนั้น คู่แข่งของมหาวิทยาลัยเดี๋ยวนี้เป็นใครก็ได้มหาวิทยาลัยจึงต้องเร่งการปรับตัวเพื่อตอบโจทย์และเดินตามเกมที่เปลี่ยนไปเหล่านี้ให้เท่าทัน

ศ.ดร. สุชัชวีร์ ได้แสดงแนวคิดและความเห็นถึงแนวทางการปรับตัวเข้าสู่อนาคตของสถาบันการศึกษาว่า ในปี พ.ศ. 2562 เราควรมีการปฏิรูปการศึกษาทุกระดับในทันที มหาวิทยาลัยต้องยอมรับการปรับเปลี่ยนแบบหักศอกเพื่อก้าวให้ทันโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงรุนแรงแบบปีต่อปี

อันดับแรก เราต้องทลายกำแพงระหว่างคณะ สาขา จากประสบการณ์การเป็นกรรมการรายการธุรกิจเพื่อสังคม Win Win War ช่องอมรินทร์ทีวี ผมเห็นวิศวกรออกมาปลูกผัก ทำโปรแกรมขายผักประสบความสำเร็จ แล้วแบบนี้คนเรียนเกษตรจะทำอย่างไรแสดงว่าวันนี้ไม่ใช่เรียนสาขาเดียวเป็น Background แล้วจะสามารถแข่งขันในโลกยุคนี้ได้ คนสนใจเรียนมากกว่าหนึ่งปริญญา ถ้าคนน้อย เลือกปริญญาเดียว มหาวิทยาลัยก็จะมีที่ว่างเหลือเยอะ ดังนั้น ต้องมีการบูรณาการระหว่างสาขาวิชา จากคนจำนวนแสนกว่าคนสามารถ Multiply เป็นล้านได้ จบเกษตรอย่างเดียวไม่รอดแล้ว ต้องเรียนวิศวกรรมเกษตร วิศวกรรมไอทีการออกแบบผลิตภัณฑ์ควบคู่ด้วย เด็กที่เข้ามหาวิทยาลัยในยุคนี้อาจจะได้มากถึงห้าปริญญาอย่างเด็ก Stamford, MIT และ Harvard มีห้าปริญญาแล้วเด็กไทยเรามีแค่ปริญญาเดียวจะสู้เขาได้อย่างไร

ประการที่สอง บทบาทของมหาวิทยาลัยในยุค disruption ต้องกล้าออกไปสู้กับในระดับโลก วัฒนธรรมที่กลับมาเก่งในบ้านอย่างเดียวไม่รอดแล้ว ยึดคติพจน์ที่ว่า เป้าหมายต้องชัด วิสัยทัศน์ต้องเว่อร์ แต่ถ้ายังไม่กล้าออกไปถึงอเมริกา ไปถึงญี่ปุ่น ก็ไปมาเลเซีย อินโดนีเซียก็ได้ ไม่ต้องนึกถึงเพียง CLMV เราต้องข้ามช็อต ทำให้เขารู้ว่ามหาวิทยาลัยไทยมีหลักสูตรนี้ ยกตัวอย่างเช่น สถาปัตยกรรมไทย สถาปัตยกรรมเขตร้อน ประเทศไทยสู้ได้ หรือแพทย์ทางด้านโรคเวชศาสตร์เขตร้อนก็สามารถไปปักธงได้ทั่วโลก

ประการที่สาม คือ คนที่จบออกไปแล้วสามารถกลับมาเรียนปริญญาตรีแบบปีครึ่งได้ เพื่อเติมทักษะ (Reskill) หรือ เพิ่มทักษะ (Up Skill) มีหลักสูตรปริญญาตรีหรือหลักสูตรที่มีใบรับรองที่ดีๆ

ประการที่สี่ หลักสูตรต้องมีความท้าทาย ปรับเปลี่ยนได้ เน้นผู้เรียนเป็นหลัก มหาวิทยาลัยต้องไปดูว่าตอนนี้สังคมกำลังมีกระแสอะไร อะไรเป็นที่ต้องการ ซึ่งตรงนี้มหาวิทยาลัยยังอ่อนอยู่เพราะคิดว่าที่ทำอยู่นั้นนี้ดีแล้วแต่ไม่รู้ว่าผู้เรียนชอบหรือเปล่า  ตรงกับความต้องการหรือไม่

สำหรับประการสุดท้าย หรือข้อที่ห้า  ทุกสาขาวิชาไม่ว่าสาขาไหนก็ตามต้องลดวิชาบังคับ เพราะบังคับไปก็ล้าหลัง ไม่มีประโยชน์ถ้าไม่เรียนรู้ต่อเนื่อง คนเรียนจบไปแล้วอาจจะไปทำงานประกอบอาชีพที่ไม่ตรงสาขา วิศวฯไปทำเกษตร สถาปัตย์ฯไปทำร้านกาแฟ เปิดร้านขนม เรียนจบบัญชีไปทำเสื้อผ้าก็ได้  เพราะฉะนั้น ต้องมีวิชาเลือกให้เยอะๆ วิชาบังคับลดลงให้ได้น้อยที่สุด เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสสำหรับทางเลือกมากขึ้น”

โดยส่วนของ สจล. นั้น ศ.ดร.สุชัชวีร์  กล่าวว่าได้มีเริ่มมีการปรับเพิ่มวิชาเลือกใหม่ๆ ที่เข้ามาในหลักสูตร ที่แตกต่างไปจากในอดีต อาทิ วิชาโหราศาสตร์,  วิชา AI ในชีวิตประจำวัน  หรือศาสตร์การสร้างเสน่ห์ Charming School  เป็นต้น  แน่นอนว่าวิชาเลือกใหม่เหล่านี้ก่อนจะตกผลึกและเปิดสอน  ล้วนมีการสำรวจความสนใจและเป็นที่ต้องการของผู้เรียนมาก่อนหน้า  อย่างกรณี ศาสตร์การสร้างเสน่ห์  ที่ได้รับความสนใจจากไม่เพียงนักศึกษาภายในแต่ยังได้รับความสนใจจากบุคคลภายนอก  เพราะนอกจากความรู้ที่เรียนทันกันได้ แต่เสน่ห์ต้องมีการฝึกฝนและยังถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของผู้นำ เพราะต่อให้ผู้นำเก่งแค่ไหนถ้าขาดเสน่ห์  หรือสื่อสารไม่เป็นทำให้ถ่ายทอดวิสัยทัศน์ให้คนทั่วไปเข้าถึงและเข้าใจไม่ได้ ก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจของคนได้ ทำให้การสร้างความสำเร็จยากขึ้น

Today Leader to Tomorrow

ต่อมุมมองเรื่อง ผู้นำ ซึ่ง ศ.ดร. สุชัชวีร์ จะเน้นความสำคัญของเรื่องมาโดยตลอด  ยิ่งในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ต้องตลอดเวลาอย่างในทุกวันนี้   ศ.ดร. สุชัชวีร์  กล่าวถึงคุณสมบัติที่ผู้นำวันนี้พึงต้องมี  โดยสิ่งแรกเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากคือ ความรู้อย่างลึกซึ้งในสาขาใดสาขาหนึ่ง บางคนอาจจะมองว่ารู้ลึกเรื่องเดียวแล้วโง่กว้าง แต่จริงๆ คนที่รู้อะไรลึกซึ้งจะมี Format หรือ Logic ในการเรียนรู้ เพราะการที่จะไปถึงแก่นแท้ของสาขานั้นๆ ต้องมีกระบวนการเรียนรู้ ต้องเป็นนักอ่านและรู้จักค้นคว้าหาคำตอบในสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน  หากต้องทำความเข้าใจเรื่องใหม่ๆ เขาจะนำเอา Format ในการเรียนรู้แบบนี้ไปใช้ และเมื่อรู้ลึกแล้วก็ต้องมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง คิดแบบ System Dynamics ยิ่งในยุค Disruption ถ้าคิดว่าตัวเองถูก ไม่อ่านหนังสือไม่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ก็จะนำพาองค์กรไปในทางที่ผิด นอกจากนี้ ผู้นำที่ดีต้องเป็นนักเปลี่ยนแปลงโดยมีองค์ประกอบสำคัญ คือ ความกล้า เพราะการอยู่อย่างเดิมนั้นไม่เหนื่อย ทำให้ไม่ค่อยมีใครอยากเปลี่ยนแปลง ผู้นำจึงต้องกล้าและใช้พลังทางกายมหาศาล ลงพื้นที่จริงสำรวจปัญหาแล้วผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง รวมไปถึงเรื่องการสื่อสารกับคนในองค์กรก็สำคัญ และท้ายที่สุด คือ ต้องมีความเป็นสากล เพราะเราต้องทำมาหากินค้าขายกับคนอื่น ต้องกล้าออกไปเก่งนอกบ้าน สร้างความศรัทธาให้ต่างประเทศได้ สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานของผู้นำยุคใหม่

เพื่อตอบข้อคำถามและความคิดเห็น  ศ.ดร.สุชัชวีร์   ได้แสดงทรรศนะต่อมุมมองของการเป็นผู้นำในระดับประเทศว่า “การพัฒนาประเทศจะหวังให้ผู้นำเพียงคนเดียวขับเคลื่อนคนทั้งประเทศไปข้างหน้านั่นเป็นไม่ได้  หากยกตัวอย่างในต่างประเทศ  ผู้บริหารประเทศที่ก้าวหน้ามักจะมี Science Advisor ซึ่งเป็น Professor เก่งๆ คอยให้คำแนะนำและบอกทิศทางความต้องการและข้อมูลเพื่อสนับสนุนการทำงานของผู้นำในด้านต่างๆ  เป็น Think Tank ของผู้นำให้สามารถพิจารณา และตัดสินใจในเรื่องต่างๆ  ได้อย่างมีตรรกะและสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่พึงจะเป็น หรือตรงใจกับความคาดหวังของสังคม  กล่าวอีกนัยคือการบริหารแบบ Bottom Up นั่นเอง

เมื่อกล่าวถึงบทบาทการเป็น ‘ผู้นำ’ ของสถาบันการศึกษา  ซึ่งสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาและสร้างความเปลี่ยนแปลงได้นั้น  ศ.ดร.สุชัชวีร์ ได้เผยว่า “ตั้งเป็นโจทย์และตั้งในใจอย่างมุ่งมั่นเพียงหนึ่งเดียวเลย คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้คนไทยพึ่งพาตัวเองอย่างยั่งยืนในทุกรูปแบบ คนไทยมีความสามารถและทักษะไม่แพ้ชาติอื่น แต่สิ่งที่เรายังขาดไปคือ โฟกัสและความมุ่งมั่น”  

ต่อพันธะกิจของอธิการบดี ที่ สจล. ศ.ดร. สุชัชวีร์  กล่าวถึงหลักการทำงานตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาและเป้าหมายในอนาคตที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นว่า “ตั้งแต่ผมเป็นผู้นำ ผมจะบอกเสมอเลยว่า Do or Die, Now or Never ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนแปลง กำหนดเป้าหมาย เล็งเป้าหมายคู่แข่งขัน ตั้งให้ใหญ่ แล้ววิ่งไปให้ถึง  ผมเองก็เริ่มจากจุดเล็กๆ นำพามหาลัยมาจนถึงวินาทีนี้ ผ่านมา 3 ปี เป็นเหมือนหนังคนละม้วน ผลงานล่าสุดวันนี้ เราสามารถนำ Carnegie Mellon University ที่ Pittsburgh ประเทศสหรัฐอเมริกามาเป็นพาร์ทเนอร์ได้  หรือโดยส่วนตัวเอง ก็เพิ่งได้รับตำแหน่งเป็นประธานสมาคมสถาบันการศึกษาขั้นอุดมศึกษาแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (The Association of Southeast Asian Institutions of Higher Learning: ASAIHL)  เราต้องเอาชนะใจต่างชาติ เพิ่มคุณค่าในระดับสากล เก่งในระดับโลกทำให้เขาเชื่อมั่น เหล่านี้คือสิ่งที่ผมพยายามพัฒนาให้เกิดขึ้น อาจมีถูกบ้างผิดบ้าง แต่ทุกอย่างคือการเรียนรู้

สำหรับเป้าหมายในระยะยาวของอธิการบดีท่านนี้คือ  การสร้างและเตรียมผู้นำในรุ่นต่อไป  เพราะงานบริหารมหาวิทยาลัยในอนาคตไม่ใช่เรื่องง่าย  การต้องแบกรับทั้งมหาวิทยาลัยไว้ให้ได้  ผู้ที่จะก้าวขึ้นมาต้องมีความพร้อม ซึ่งต้องมีการเตรียมตัวและเตรียมการ  เพราะบทบาทนี้ไม่ใช่เพียงการวิ่งไปข้างหน้าแต่อย่างเดียว  บทบาทผู้นำยังต้องมีการ Facilitate, Coaching และ Dialogue  เพราะต้องอาศัยพลังของภาคส่วนต่างๆ มารวมกัน  ตอนนี้จะเห็นได้ว่าผู้บริหารหลายท่านของ สจล.เริ่มมีความฮึกเหิมและก็เริ่มกระจายพลังและการทำงานลงไปยังภาคส่วนต่างๆ มากขึ้น อาจจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงทันทีทันใด  แต่ค่อยๆ ซึมลงไป  ในฐานะผู้นำต้องแข็งแรงและใจสู้ไปตลอด คงเส้นคงวา เพราะเรามีหน้าที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลง สร้างสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น  และที่สำคัญเราก็ต้องมีความต่อเนื่อง


เรื่อง : ณัฐพัชธ์ สุมา
ภาพ : ยุทธจักร

 

 

 

 

ดร.สุดาพร สาวม่วง  คณบดีคณะการบริหารและจัดการ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง (สจล.) เปิดเผยว่า คณะการบริหารและจัดการมีแผนการดำเนินงานเพื่อนำคณะก้าวไปสู่อันดับต้นๆของอาเซียนและโลก โดยยึดหลัก 5 P กับ 1 N  คือ Product-หลักสูตรสายพันธ์ใหม่  Place –สถานที่ใหม่ทันสมัย และเรียนแบบ Online/City Campus Promotion - Agent ในต่างประเทศ  ,People –เพิ่มสัดส่วนอาจารย์ชาวต่างชาติ 100 %  Process -Profit Center  และ Net Working-15 คณะ + MIT Sloan & Oxford โดยมีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การเพิ่มขึ้น ทั้งจำนวนหลักสูตร  จำนวนอาจารย์  Rank จำนวนงานวิจัย จำนวนนักศึกษา และรายได้ที่เพิ่มขึ้นในที่สุด

ดร.สุดาพร  สาวม่วง คณบดีคณะการบริหารและการจัดการ สจล.

ทั้งนี้  5 พันธกิจหลักในการดำเนินงาน ประกอบด้วย 1.พัฒนากระบวนการผลิตบัณฑิตให้มีคุณภาพ มีคุณธรรมกำกับความรู้ และมีความโดดเด่นเป็นที่ยอมรับและตรงความต้องการของสังคมและตลาดแรงงาน  2.พัฒนาและส่งเสริมความเข้มแข็งทางวิชาการและวิจัยในแนวทางที่ยั่งยืน 3.พัฒนาและส่งเสริมบุคลากรในทุกด้าน เน้นการเพิ่มศักยภาพสวัสดิการ ความมั่นคง และความก้าวหน้าในวิชาชีพ ด้วยระบบคุณธรรมและยุติธรรม 4.พัฒนาระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ และมีความพร้อมที่จะเผชิญกับสภาวะเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม 5.ประสานความร่วมมือทั้งภายในและภายนอกสถาบันให้มีความเป็น นานาชาติ (International Outlook)  อันจะนำไปสู่เป้าหมายของการเป็น   “คณะการบริหารและจัดการ เพื่อคนรุ่นใหม่ก้าวไกลสู่อาเซียนและโลก”

ผศ.ดร.สุทธิ สูอำพัน รองคณบดีคณะการบริหารและการจัดการ สจล.

ดร.สุดาพร กล่าวด้วยว่า ภายในระยะเวลา 4 ปี ของการบริหารงาน ตั้งเป้าให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีใน 4 มิติ ทั้ง เรื่องของงานวิชาการและงานวิจัยของอาจารย์ บุคลากร ตอบโจทย์แก้ปัญหาสังคม ผลงานวิจัยได้รับการตีพิมพ์ มีสิทธิบัตร เพื่อที่จะใช้ในเชิงที่จะก่อประโยชน์จริง (Academic  Impact) หรือการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรที่มีคุณภาพ  สรรหาอาจารย์คุณภาพเข้ามาสู่ขบวนการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน  เครื่องมือมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย  

ผศ.ดร.สิงหะ ฉวีสุข  รองคณบดีคณะการบริหารและการจัดการ สจล.

สจล.จะเป็นเจ้าแรกที่ทำหลักสูตรการเรียนการสอนออนไลน์ (Education Impact) รวมทั้ง ผลต่อภาคอุตสาหกรรม  ซึ่งจะได้ผลผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพเข้าสู่ระบบ โดยนายจ้างจะต้องได้บัณฑิตที่มีคุณภาพเรียนจบแล้วสามารถทำงานได้เลย เป็นคนเก่งและดีของบริษัทและสังคม (Industrial Impact) และสุดท้ายผลลัพธ์ทีดีต่อสังคม โดยงานวิจัยที่ออกมาจะต้องนำพาสังคมให้ดีขึ้น มีรายได้มีชีวิตที่ดีขึ้นมีความสุขมากขึ้น (Social Impact)

ดร.ทัศไนย ปราณี  รองคณบดีคณะการบริหารและการจัดการ สจล.

“การดำเนินงานทั้งหมดอยู่ภายใต้นโยบาย FAM to FAMOUS  อันหมายถึง คณะการบริหารและจัดการ เป็นส่วนหนึ่งที่จะร่วมมือกันนำพา สจล.สู่ Top 10 ในอาเซียนและระดับโลก(Family)  คณะการบริหารและจัดการ ผลิตบัณฑิตที่มีความสามารถ มีฝีมือ มีทักษะ มีสมรรถภาพ มีนวัตกรรม ( Ability)  และการจัดการเรียนการสอนแบบมืออาชีพจะเน้นการ ใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย (Management) การพัฒนาไปถึงการติดอันดับต้นๆ ของประเทศ  ของอาเซียนรวมทั้งระดับโลก ( Outstanding) เข้าสู่ความเป็นนานาชาติในทุกด้าน( Universal) และ รูปแบบการบริหารและการจัดการเรียน การสอนที่มีคุณภาพ ตามหลักการประกันคุณภาพการศึกษาในระดับสากล (Standardize)” ดร.สุดาพรกล่าวในตอนท้าย

ผศ.ดร.ปรเมศร์ อัศวเรืองพิภพ รองคณบดีคณะการบริหารและการจัดการ สจล.

 


 

 

 

ดร.สุดาพร สาวม่วง คณบดี คณะการบริหารและจัดการ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (Faculty of Administration and Management) เข้ารับรางวัล Education Thailand Leaderships Awards 2019 จาก World Federation of Academic and Education Institue เมื่อเร็วๆนี้ ที่ โรงแรมแอททินี สุขุมวิท


ในงานมอบรางวัลครั้งนี้มีมหาวิทยาลัยไทยได้รับรางวัล 2 แห่ง คือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และ มหาวิทยาลัยมหิดล

X

Right Click

No right click