September 19, 2024

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ เจริญไพฑูรย์ รองอธิบดีกรมการปกครอง ฝ่ายความมั่นคง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้รับมอบหมายจากอธิบดีกรมการปกครอง ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ว่าด้วยการบูรณาการส่งเสริมความรู้การประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ระหว่างกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) โดยมีคณะผู้บริหารของทั้งสองหน่วยงานและสื่อมวลชน ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุมสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง ชั้น 2 สำนักงาน คปภ. ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ

เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่างสำนักงาน คปภ. และกรมการปกครอง ในครั้งนี้ มีความประสงค์หลัก ๆ คือ การประสานความร่วมมือเพื่อรณรงค์และให้การสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ในการส่งเสริมการจัดทำประกันภัย และการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการประกันภัย พ.ร.บ. และการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูล และแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน โดยใช้กลไกของหน่วยงานระดับพื้นที่ในส่วนภูมิภาค ร่วมกันขับเคลื่อนและรณรงค์ให้ประชาชนเจ้าของรถตระหนักถึงความสำคัญในการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. และรับรู้ถึงหน้าที่และสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย พ.ร.บ. อย่างทั่วถึงและมีการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการนำระบบประกันภัยเข้าไปเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ จากการรวบรวมสถิติข้อมูลรถจดทะเบียนสะสมของกรมการขนส่งทางบก และข้อมูลการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. ที่มีผลใช้บังคับ ในปี 2565 พบว่า การจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. สำหรับรถยนต์ มีสัดส่วนร้อยละ 90 ส่วนการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. สำหรับรถจักรยานยนต์ มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 64 ซึ่งถือเป็นอัตราส่วนที่ต่ำ ดังนั้นเมื่อมีประชาชนไม่จัดทำประกันภัย พ.ร.บ. เป็นจำนวนมาก ย่อมส่งผลให้ประชาชนเสียสิทธิประโยชน์ในการได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย พ.ร.บ. ด้วยเช่นกัน โดยผู้ประสบภัยจากรถที่ไม่ได้ทำประกันภัย พ.ร.บ. ก็จะมาขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน คปภ. ที่มีภารกิจในการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยจากรถที่ไม่ได้รับความคุ้มครองจากการประกันภัย พ.ร.บ. ซึ่งปัจจุบันกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยมีแนวโน้มการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2565 กองทุนทดแทนผู้ประสบภัยได้จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยจากรถเป็นจำนวน 8,024 ราย รวมเป็นจำนวนเงินกว่า 157 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นของกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย พบว่า จะมีการเรียกร้องจากกรณีรถไม่ทำประกันภัย พ.ร.บ. กว่าร้อยละ 80 ดังนั้น จึงเป็นที่มาของการบูรณาการร่วมกับกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ในครั้งนี้  ซึ่งกรมการปกครองมีบุคลากรเป็นจำนวนมากที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศ รวมถึงให้การสนับสนุน ส่งเสริม อำนวยความสะดวก และอบรมชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบและเข้าใจถึงสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานที่มีส่วนช่วยให้การใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนได้รับความคุ้มครองและมีความปลอดภัย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับภารกิจของสำนักงาน คปภ. โดยเฉพาะการดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านประกันภัย พ.ร.บ. ให้แก่ประชาชนอย่างถูกต้อง ครบถ้วนและทั่วถึง

ด้าน นายสมศักดิ์ เจริญไพฑูรย์ รองอธิบดีกรมการปกครอง ฝ่ายความมั่นคง กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การลงนามในบันทึกความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นนิมิตหมายอันดีในการเริ่มต้นความร่วมมือและการบูรณาการระหว่างกรมการปกครอง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย โดยที่ผ่านมากรมการปกครองตระหนักและให้ความสำคัญกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุจาการใช้รถใช้ถนนของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และสอดรับกับภารกิจของกรมการปกครองในการประสานความร่วมมือกับ สำนักงาน คปภ. เพื่อให้การสนับสนุน อำนวยความสะดวกด้านการเชื่อมโยงข้อมูลงานด้านทะเบียนราษฎร และใช้กลไกหน่วยงานปกครองในระดับพื้นที่ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน เป็นต้น ในการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับการประกันภัย พ.ร.บ. และให้บุคลากรของหน่วยงานปกครองในระดับพื้นที่เข้ารับการอบรมเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการประกันภัย พ.ร.บ. ตลอดจนมีการสำรวจการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. ของรถในพื้นที่ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเจ้าของรถทุกคันตระหนักถึงความสำคัญในการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. และรับรู้ถึงหน้าที่และสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย พ.ร.บ. อย่างทั่วถึง รวมถึงรณรงค์เพื่อให้ประชาชนมีการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อเป็นการบรรเทาความเสียหายเมื่อมีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากรถได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำประกันภัย พ.ร.บ. มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน โดยจะได้รับความคุ้มครองความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย อันเนื่องมาจากการประสบภัยจากรถ โดยผู้ประสบภัยจากรถจะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นเพื่อเยียวยาความเสียหายอย่างทันท่วงทีและไม่ต้องรอการพิสูจน์ความรับผิด รวมถึงค่าสินไหมทดแทนนอกเหนือจากค่าเสียหายเบื้องต้น สำหรับผู้ประสบภัยจากรถที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหาย  โดยความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย พ.ร.บ. จะแบ่งเป็น 2 ส่วน หลัก ๆ คือ ส่วนแรก ค่าเสียหายเบื้องต้น เป็นการจ่ายโดยไม่ต้องพิสูจน์ความรับผิด โดยจ่ายให้กับผู้ประสบภัยจากรถทุกคน ซึ่งจ่ายภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับเอกสารครบถ้วน โดยจ่ายเป็น ค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริง รายละไม่เกิน 30,000 บาท ค่าปลงศพหรือค่าชดเชยกรณีสูญเสียอวัยวะ รายละ 35,000 บาท  รวมทั้ง กรณีที่ได้รับบาดเจ็บและต่อมาเสียชีวิตหรือสูญเสียอวัยวะจะได้รับสูงสุดไม่เกินรายละ 65,000 บาท

ส่วนที่ 2 ค่าสินไหมทดแทน (ค่าเสียหายส่วนเกินค่าเสียหายเบื้องต้น) จ่ายให้ผู้ประสบภัยจากรถที่ไม่ได้เป็นฝ่ายก่อให้เกิดความเสียหาย ซึ่งจะต้องมีการพิสูจน์ความรับผิดแล้ว โดยจ่ายกรณีบาดเจ็บจะได้รับความคุ้มครองสูงสุดตามกรมธรรม์ฯ ไม่เกิน 80,000 บาท (รวมค่าเสียหายเบื้องต้นแล้ว) กรณีสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพอย่างถาวร จะได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย พ.ร.บ. ตั้งแต่ 200,000 – 500,000 บาท แล้วแต่กรณี (รวมค่าเสียหายเบื้องต้นแล้ว) กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จะได้รับความคุ้มครองสูงสุด 500,000 บาท (รวมค่าเสียหายเบื้องต้นแล้ว) และหากเข้ารักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล จะได้รับค่าชดเชยรายวันอีกวันละ 200 บาทไม่เกิน 20 วันอีกด้วย

“การลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่าง สำนักงาน คปภ. กับ กรมการปกครอง ในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญอย่างยิ่งในการบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดในการเสริมสร้างความรู้และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย พ.ร.บ. ของประชาชนเจ้าของรถในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานสักขีพยานและกล่าวแสดงความยินดีในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ แห่งชาติจีน คณะกรรมการเทศบาลเมืองเซินเจิ้น(CCPIT Shenzhen) ร่วมกับนายหวัง ลี่ผิง อัครราชทูต(ที่ปรึกษา) ฝ่ายการพาณิชย์ของจีน ที่ห้องบุรฉัตรไชยากร กระทรวงพาณิชย์

โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า เป็นนโยบายที่ตนมอบให้กับกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตลอดช่วง 4 ปี ที่รัฐบาลนี้มาบริหารแผ่นดิน วันนี้มี FTA ทั้งหมด 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศ และ mini FTA 6 ฉบับ ประกอบด้วย โคฟุ ปูซาน คยองกี เตลังกานา และของจีน 2 ฉบับ คือ ไห่หนานและกานซู่ ที่จะลงนามวันนี้กับเซินเจิ้นเป็นฉบับที่ 7  และถัดจากนี้ยังมีกับยูนนาน และที่กำลังจะประสบความสำเร็จคือ 5 รัฐของอินเดีย รวมกับสหราชอาณาจักรและปากีสถาน ถ้าประสบความสำเร็จจะเข้ามาช่วยเสริม FTA ในเชิงลึก

นโยบายที่ตนมอบให้กระทรวงพาณิชย์คือความร่วมมือเขตเสรีทางการค้าฉบับใหญ่หรือ FTA ไม่พอ เป็นภาพกว้าง ภาพรวม ถึงเวลาที่เราต้องใช้นโยบายเชิงลึก เชิงรุกทำการค้าการลงทุนร่วมกัน ลงลึกรายมณฑล รายรัฐ เพราะบางรัฐบางประเทศใหญ่กว่าประเทศไทยและบางมณฑลของจีนจีดีพีมากกว่าประเทศไทย และเซินเจิ้นมีจีดีพีเกือบเท่าไทย จะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนที่เป็นรูปธรรมที่สุดรูปแบบหนึ่ง ถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งไทยและเซินเจิ้น เซินเจิ้นเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของจีน รองจากเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง เป็นเมืองยุทธศาสตร์เชื่อมมณฑลกวางตุ้ง ฮ่องกงและมาเก๊า เป็นศูนย์รวมเศรษฐกิจด้านตะวันออกเฉียงใต้ของจีน (Greater Bay Area) เป็นที่รวมของธุรกิจใหม่ ที่รวมของนวัตกรรม เทคโนโลยีและเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของจีน จะมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันได้มหาศาลในอนาคต

“ปี 2565 มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเซินเจิ้น มีมูลค่า 868,000 ล้านบาท ตั้งเป้าร่วมกันหลังมี mini FTA ภายใน 2 ปีที่ (2566-2567)จะทำให้มูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5% ตั้งเป้าเพิ่มอีก 43,000 ล้านบาท ในปี 66 และ 130,000 ล้านบาท ในปี 67 จะเป็นกลไกสำคัญเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม ผลักดันเศรษฐกิจของไทยและจีนให้เจริญก้าวหน้าสืบไป” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว

โดยภายในงานเป็นการลงนามระหว่างอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ(นายภูสติ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์) กับประธานสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ แห่งชาติจีน คณะกรรมการเทศบาลเมืองเซินเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน(นายกู้ ตงจง) ซึ่งมีนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ และตัวแทนภาครัฐและเอกชนทั้งไทยและจีนให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

แวนเทจ (หรือ แวนเทจ มาร์เก็ตส์) โบรกเกอร์ซื้อขายสินทรัพย์หลากหลายประเภทสำหรับนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนมืออาชีพ

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ร่วมกับ บริษัท ที.ซี.ซี เทคโนโลยี จำกัด และบริษัทยิบอินซอย จำกัด จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการพัฒนา Center of Digital Learning Hub

โดย รองศาสตราจารย์ประยุกต์ ศรีวิไล อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ลงนามร่วมกับ นายธีรพันธุ์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.ซี.ซี. เทคโนโลยี จำกัด และ นางมรกต ยิบอินซอย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด โดยมี ผู้ช่วยศาสตรจารย์จรวย สาวิถี ผู้อำนวยการ สำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม นายพิพิธ จริยวัฒนวิจิตร Deputy Managing Director - Commercial & Operation บริษัท ที.ซี.ซี. เทคโนโลยี จำกัด และ นายสุขสันต์ มงคลจุฑา Senior AVP-Sales & Marketing บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ร่วมลงนามเป็นพยาน ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 4 อาคารบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และเยี่ยมชมพร้อมแนะนำการใช้งานและการให้บริการของ Digital Learning Hub ณ อาคารสโมสรบุคลากร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (MSU Staff club)

 

โดยทั้ง 3 ฝ่าย มีจุดมุ่งหมายที่จะร่วมกันพัฒนามหาวิทยาลัยมหาสารคามให้เป็น Center of Digital Learning Hub (Learning Center) พัฒนาศักยภาพทางการเรียนรู้ ทักษะและความสามารถของผู้ที่เข้าร่วมโครงการ Center of Educational Technology (Learning Center) ให้มีความรู้ ความสามารถในสายงานด้านเทคโนโลยี เช่น สายงาน Web/Mobile สายงานกลุ่ม Data สายงานกลุ่ม IoT สายงานกลุ่ม Automate สายงาน Infrastructure และ Hardware และสายงานธุรกิจ ตลอดจนพัฒนาระบบ Digital Learning Platform เพื่อรองรับการเข้าใช้งานของ บุคลากรและ นิสิตภายในมหาวิทยาลัย

รองศาสตราจารย์ประยุกต์ ศรีวิไล อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ ของการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้สนับสนุนพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัยในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการจัดการเรียนการสอน การวิจัย การบริการวิชาการ การทำนุบำรุงศิลปะวัฒนธรรม การบริหารจัดการ และการบริการต่าง ๆ ภายในมหาวิทยาลัย รวมถึงการพัฒนาด้านทรัพยากรบุคคล ทั้งนิสิตและบุคลากร เพื่อเตรียมพร้อมกับการแข่งขัน ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในปัจจุบัน และวันนี้มหาวิทยาลัยมหาสารคามมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ทำข้อตกลงความร่วมมือกับ บริษัท ที.ซี.ซี เทคโนโลยี จำกัด และ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ที่ให้การสนับสนุนด้านระบบ Smart Classroom ให้แก่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอน จัดกิจกรรมสำหรับนิสิต พร้อมร่วมผลักดันมหาวิทยาลัยเพื่อก้าวสู่การเป็น Smart University”

นายธีรพันธุ์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.ซี.ซี. เทคโนโลยี จำกัด (ทีซีซีเทค) กล่าวว่า “การสร้างระบบเครือข่ายการศึกษาให้สอดคล้องกับโลกดิจิทัลในยุคปัจจุบันนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทีซีซีเทคได้ตระหนักถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดแก่ภาคการศึกษา โดยในครั้งนี้ ทีซีซีเทคได้จับมือร่วมกับยิบอินซอยในการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน และระบบการจัดการการเรียนการสอน Digital Learning Management Platform (DLMP) เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาคณาจารย์สามารถผลิตและใช้สื่อการเรียนการสอนดิจิทัลได้ โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว อีกทั้งยังสนับสนุนการยกระดับทักษะ Reskill/ Upskill เพื่อช่วยขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยมหาสารคามในการเตรียมความพร้อมสู่การเป็น Digital Learning Hub”

นางมรกต ยิบอินซอย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศอย่างครบวงจร มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็นส่วนสำคัญ ในการสนับสนุน และร่วมกันพัฒนา Education Learning Technology อย่างสร้างสรรค์ และใช้ได้จริง เพื่อรองรับและเป็นการก้าวเข้าสู่ยุค Digital Transformation รวมถึงการเพิ่มโอกาสให้ทางมหาวิทยาลัยมหาสารคามในการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นแรงผลักดันสู่ความเป็น Digital Learning Hub พัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่าย และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อรองรับการเป็น Learning Center ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อาทิ การจัดทำ System Integration เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่ายต่าง ๆ เป็นต้น”

airasia Super App ร่วมกับคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ลงนามความร่วมมือทางวิชาการ (MOU)

X

Right Click

No right click