สมาคมส่งเสริมนวัตกรรมเทคโนโลยีไซเบอร์ หรือ CIPAT (Cyber Innovation Promotion Association of Thailand) ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) ร่วมกับ ฟอร์ติเน็ต ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบอัตโนมัติและครบวงจร เพื่อความร่วมมือด้านการฝึกอบรมทักษะไซเบอร์ซีเคียวริตี้แก่หน่วยงานและองค์กรต่างๆ ของภาครัฐ ด้วยวัตถุประสงค์ในการผลิตและเพิ่มจำนวนบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีความรู้ด้านการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ในระดับมืออาชีพ ด้วยหลักสูตรการอบรมระดับนานาชาติอันเข้มข้นของฟอร์ติเน็ต
อดิศร นิลวิสุทธิ์ นายกสมาคมส่งเสริมนวัตกรรมเทคโนโลยีไซเบอร์ หรือ CIPAT (Cyber Innovation Promotion Association of Thailand) กล่าวว่า ในความร่วมมือกับฟอร์ติเน็ต ทาง CIPAT มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและให้การสนับสนุนการพัฒนากำลังคนทางด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ และสร้างความตระหนักรู้ให้กับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อทั้งองค์กรและบุคลากรได้รู้เท่าทันทั้งในด้านเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านการป้องกันการโจมตีบนไซเบอร์ร่วมกับฟอร์ติเน็ต ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าด้านการป้องกันการโจมตีบนไซเบอร์ และมีสถาบันการการฝึกอบรมด้านการป้องกันในระดับโลก
“ในการฝึกอบรม เราวางแผนที่จะมีทั้งการฝึกอบรมทั้งในแบบหลักสูตรพื้นฐานทั่วไปและแบบเจาะลึก ซึ่งในส่วนของการเจาะลึก เราอาจจะมีการทำหลักสูตรในการผลิตกำลังคนทางไซเบอร์ร่วมมือกับทางฟอร์ติเน็ต อีกทั้งอาจเป็นการร่วมภาคี
เครือข่ายกับภาครัฐ และกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในอนาคต ในการทำงาน CIPAT ยังมองถึงความร่วมมือกับหน่วยงานหรือกระทรวงที่มีหน้าที่ในการพัฒนาคนของประเทศเป็นหลัก เช่น กระทรวงแรงงาน หรือภาคมหาวิทยาลัยที่มีการเปิดหลักสูตรด้านไซเบอร์ เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างบุคลากรด้านการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนการทำงานในประเทศ” อดิศร กล่าว
ทั้งนี้ สมาคมส่งเสริมนวัตกรรมเทคโนโลยีไซเบอร์ หรือ CIPAT จัดตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ในการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบกิจการและกลุ่มนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ อีกทั้งยังสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการฝึกอบรม ค้นคว้าแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ เพื่อก่อให้เกิดความร่วมมือด้านการใช้งานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยบนไซเบอร์ รวมถึงใช้ไอซีทีเสริมภาพลักษณ์ประเทศที่เป็นมาตรฐานระดับสากล
ภัคธภา ฉัตรโกเมศ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฟอร์ติเน็ต กล่าวว่า ฟอร์ติเน็ตตระหนักถึงทั้งปัญหาภัยคุกคามที่เพิ่มมากขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาอย่างรวดเร็วด้านเทคโนโลยี และปัญหาปริมาณความต้องการบุคลากรที่มีพื้นฐานความรู้ความสามารถด้านการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ที่เพิ่มมากขึ้น ฟอร์ติเน็ตจึงร่วมมือกับสมาคมส่งเสริมนวัตกรรมเทคโนโลยีไซเบอร์ (CIPAT) เพื่อร่วมกันให้การฝึกอบรมเพื่อสร้างจำนวนคนที่มีความรู้ ความสามารถด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นแรงสนับสนุนและแนวป้องกันความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพให้กับการทำงานและการดำเนินธุรกิจของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนถึงภาคอุตสาหกรรมให้สามารถดำเนินงานได้อย่างปลอดภัย
“หลักสูตรการฝึกอบรมของฟอร์ติเน็ตมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มทักษะและความสามารถในด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ทั้งเพื่อเป็นการ Upskills ให้กับผู้เข้าอบรม และเพื่อเป็นการลดช่องว่างด้านทักษะ (Skill Gap) ด้านการรักษาความปลอดภัยให้น้อยลง ซึ่งการฝึกอบรมสามารถเป็นไปในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการเรียนกับผู้ให้การอบรม การฝึกอบรมผ่านเวอร์ชวล รวมถึงการเรียนผ่านห้องปฏิบัติการ (Labs) ด้านต่างๆ อีกด้วย” ภัคธภา กล่าว จากรายงานผลการวิจัย 2023 Global Cybersecurity Skills Gap Report ของฟอร์ติเน็ต พบว่า ผลของการขาดผู้ดูแลตำแหน่งงานไอทีเนื่องมาจากการขาดแคลนทักษะด้านไซเบอร์ ทำให้องค์กรกว่า 68% ทั่วโลก ต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ณ สำนักงานใหญ่ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด กรุงเทพฯ นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ “เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาบุคลากรและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับระบบการขนส่งทางราง” ระหว่าง สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) และบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในช่วงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทางรางครั้งใหญ่ในรอบหลายทศวรรษ เช่น การขยายเส้นทางโครงข่ายรถไฟทางคู่ การพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูง ตลอดจนการปรับปรุงระบบอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางราง ซึ่งล้วนแต่เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศในอนาคต ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองในด้านเทคโนโลยีระบบราง จึงมีความจำเป็นในการพัฒนาองค์ประกอบสำคัญในระบบนิเวศของอุตสาหกรรมระบบราง ทั้งในด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยี ด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ด้านระบบมาตรฐานและการทดสอบ และด้านพัฒนากำลังคนเฉพาะทางที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม จากเป้าหมายดังกล่าว รัฐบาลจึงได้จัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) หรือ สทร. ภายใต้กระทรวงคมนาคม เพื่อเป็นสถาบันหลักด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง บูรณาการความเชี่ยวชาญและทรัพยากรจากทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและสร้างอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ และมีพันธกิจที่สำคัญหลายประการ เช่น การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาบุคลากร และเป็นศูนย์กลางในการรับแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบรางของประเทศและภูมิภาค
เขายังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “หัวเว่ยเป็นบริษัทที่มีศักยภาพอันโดดเด่นที่สามารถเข้ามาช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทย โดยหัวเว่ยจะเข้ามาช่วยด้านการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะวิชาชีพ การพัฒนาเทคโนโลยี พร้อมทั้งมีการยกระดับองค์ความรู้ ประสบการณ์ และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทย การลงนามในบันทึกความเข้าใจในวันนี้ถือเป็นอีกก้าวย่างสำคัญของ 'การพัฒนาวิชาชีพสำหรับผู้ที่มีทักษะสูง' และ 'การถ่ายทอดเทคโนโลยี' ในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารขั้นสูงสำหรับอุตสาหกรรมระบบรางของไทย ความร่วมมือครั้งนี้ยังจะช่วยกระตุ้นการวิจัยและพัฒนา เร่งการสร้างนวัตกรรม และส่งเสริมการนำปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ในโครงสร้างพื้นฐานระบบราง และการจัดการการขนส่งเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายและโทรคมนาคม และผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology: ICT) และอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก ทั้งนี้ ด้วยองค์ความรู้ ประสบการณ์ โครงสร้างพื้นฐานที่มีในปัจจุบัน รากฐานของธุรกิจ ICT รวมถึงความตั้งมั่นในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมด้วยการพัฒนาบุคลากรและการฝึกอบรม หัวเว่ยจึงเป็นหน่วยงานที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทยผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) และการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยี ICT สำหรับอุตสาหกรรมระบบรางโดยการจัดฝึกอบรมหลักสูตรเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ให้กับผู้ที่ทำงานในระบราง (Reskill Training) และหลักสูตรเทคโนโลยี ICT ขั้นสูงสำหรับผู้ที่จะเข้าสู่การประกอบอาชีพในระบบรางในอนาคต (Advanced Technical Training) รวมถึงการร่วมวิจัยและพัฒนาระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (Automation and Robotics) เพื่อการขนถ่ายและกระจายสินค้าในระบบราง
การลงนามความร่วมมือระหว่าง สทร. และ หัวเว่ย ในครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการเตรียมความพร้อมและสร้างบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารขั้นสูงสำหรับอุตสาหกรรมระบบราง รวมถึงส่งเสริมให้เกิดการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรมและระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะต่าง ๆ เพื่อนำมาปรับใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และบริหารจัดการด้านคมนาคมขนส่งทางรางให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ผลักดันประเทศไปสู่การบรรลุเป้าหมายตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580)
บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ร่วมกับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด มหาชน ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โดยมีเป้าหมายร่วมกันที่จะศึกษาและพัฒนา Guideline โครงการ Pathway to NET ZERO Building ผ่านโครงการต้นแบบและขยายผลการดำเนินการ โดยการใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงานและมาตรฐานอาคารเขียว (Green Building) ภายใต้เงื่อนไขความร่วมมือซึ่งกันและกัน และเผยแพร่ผลสัมฤทธิ์สู่สาธารณชน โดยจะได้นำผลของการดำเนินการต่อยอดสู่การพัฒนาโครงการเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gases : GHG) ทั้งในอาคารเก่าและอาคารใหม่ในอนาคต
นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Smart System Solution Business บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด กล่าวว่า “สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเอสซีจี โดย เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในฐานะผู้นำด้านสินค้า บริการ รวมถึงโซลูชันด้านสินค้าวัสดุก่อสร้าง ที่ได้ให้ความสำคัญในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในอาคารมาโดยตลอด ในครั้งนี้ เอสซีจี โดยบริษัท SCG Building and Living Care Consulting ซึ่งเป็นธุรกิจที่ก่อตั้งขึ้นจากการนำองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการก่อสร้างของเอสซีจี ผนึกเข้ากับแนวทาง “ESG” ที่เอสซีจีนำมาใช้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้สอดคล้องกับหลักพัฒนาคุณภาพทางสังคมแบบยั่งยืน ต่อยอดสู่ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาด้านสิ่งปลูกสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ โดยมีเป้าหมายหลักในการสร้างมาตรฐานคุณภาพการใช้ชีวิตภายในอาคารให้ดีขึ้น จาก 3 บริการหลัก คือ Sustainability and Wellbeing Building Certification, Building Services Engineering, Healthcare and Wellness Building Design ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาและออกแบบอาคารเพื่อความยั่งยืนและเพื่อสุขภาวะที่ดี ผ่านการให้คำปรึกษาเพื่อออกแบบกรอบแนวทางดำเนินการ วิเคราะห์ องค์กร อาคารและผลิตภัณฑ์ คำนวณความคุ้มค่าและผลตอบแทน พร้อมนำเสนอ Solutions ให้เหมาะสมกับเป้าหมายและงบประมาณของแต่ละองค์กร และธุรกิจ SCG Smart Building Solution ซึ่งให้บริการโซลูชันด้านพลังงานในอาคาร และการบริหารจัดการอาคารด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน รวมถึงบริษัทต่างๆ ในเครือ บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีความยินดีที่จะนำองค์ความรู้มาต่อยอด เพื่อวางแนวทางโครงการ Pathway to NET ZERO Building โดยได้ร่วมกับทางเซ็นทรัลพัฒนา ในการจัดทำแผนแม่บทเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อมุ่งสู่ NET ZERO ในปี 2050 โดยมีโครงการนำร่องได้แก่ เซ็นทรัล เวสต์วิลล์, แจ้งวัฒนะ, พัทยา, อยุธยา, นครปฐม, และนครสวรรค์”
“การลงนามในวันนี้เป็นอีกหนึ่งในจุดเริ่มต้นของ เอสซีจี และ เซ็นทรัลพัฒนา ในการใช้จุดแข็งของ ทั้ง 2 ธุรกิจมาพัฒนาต่อยอดสู่เป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นพันธกิจของสังคมโลก ซึ่งหวังว่ากลยุทธ์สำคัญที่ได้จากโครงการนี้จะมีส่วนสำคัญในการสร้างองค์ความรู้และเผยแพร่สู่สาธารณะ เพื่อประโยชน์ในการผลักดันให้เกิดนโยบายหรือแผนงานเพื่อมุ่งสู่ความเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญเพื่อโลกที่ยั่งยืนให้กับหลายๆ หน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ต่อไปในอนาคต” นายวชิระชัย กล่าวทิ้งท้าย
นายชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล Chief Development and Commercial Officer บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เซ็นทรัลพัฒนา มีวิสัยทัศน์ที่สำคัญคือ ‘Imagining better futures for all’ เราจึงตั้งเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนอย่างจริงจัง คือการเป็นองคก์ร NET Zero ภายในปี 2050 ด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และมลพิษจากธุรกิจสุทธิเป็นศูนย์ ทั้งนี้ เราตั้งใจพัฒนา พื้นที่ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต รวมถึงดูแลชุมชนและสังคม โดยการพัฒนาธุรกิจหลักของเรา ทั้งศูนย์การค้า, ที่อยู่อาศัย, โรงแรม และอาคารสำนักงาน จะเป็นการเชื่อมโยงเข้าหากันทั้งระบบ เพื่อสร้าง ‘The Ecosystem for All’ ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน รวมไปถึงเรายังได้ขยายความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรในด้านต่างๆ ที่จะแบ่งปันและส่งเสริมความเชี่ยวชาญระหว่างกันอีกด้วย ดังเช่นการริเริ่มโครงการ “Green Partnership” หรือพันธมิตรสีเขียว โดยเริ่มต้นที่ โครงการต้นแบบ Framework Pathway to Net Zero Building Guideline ร่วมกับ บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจให้กับบุคลากรของทั้งสองบริษัท ในด้านกระบวนการทำงานสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนต่อไป”
มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับกรมประมง บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการว่าด้วย การพัฒนาวิชาการด้านการเรียนการสอน การวิจัยและการบริการวิชาการ โดยลงนามระหว่าง รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น และ นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง ทั้งนี้มี ผู้บริหาร ทั้งสองหน่วยงานร่วมงานจำนวนมาก ณ ห้องประชุมสารสิน อาคารสิริคุณากร มหาวิทยาลัยขอนแก่น
รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้มีโอกาสสร้างความร่วมมือทางวิชาการ การพัฒนาวิชาการด้านการเรียนการสอน การวิจัยและการบริการวิชาการ ภายใต้ขอบเขตและแนวทางที่จะดำเนินการขับเคลื่อนร่วมกัน ซึ่งการบันทึกความเข้าใจครั้งนี้ ได้กำหนดให้มีระยะเวลาในการดำเนินการร่วมกัน 4 ปี นับจากวันลงนาม เพื่อพัฒนาทางวิชาการร่วมกันด้านวิชาการประมง เป็นประโยชน์ด้านวิชาการ การวิจัย การศึกษา และการพัฒนาบุคลากร ผนึกกำลังในการสร้างความเข้มแข็งเพื่อพัฒนาและเพิ่มศักยภาพภาคประมงให้มีความเข้มแข็งและสร้างประโยชน์สู่เกษตรกรของประเทศ
“ในนามของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ขอขอบคุณ กรมประมง ที่ให้เกียรติมาร่วมสร้างความร่วมมือนี้กับ และหวังว่าผลงานจากการขับเคลื่อนภายใต้บันทึกความร่วมมือฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับบุคลากรทั้งสองฝ่าย โดยแบ่งปันทรัพยากรทางด้านการเรียนการสอน การวิจัย บุคลากร นักศึกษา นักวิจัย นักวิชาการ วัสดุอุปกรณ์ และข้อมูลด้านการประมงซึ่งกันและกัน นอกจากนั้นองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะถูกนำไปถ่ายทอดสู่เกษตรกร และเป็นโอกาสอันดีที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นทำหน้าที่รับใช้สังคม ซึ่งเป็นไปตามปณิธานของมหาวิทยาลัย ในการเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการอุทิศเพื่อสังคม”
นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า กรมประมงในฐานะหน่วยงานของรัฐ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ทำการศึกษา ค้นคว้า สำรวจ วิจัย วิเคราะห์ ทดลอง ด้านวิชาการทุกสาขาวิชาการของประมง ตลอดจนทำการส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาอาชีพที่เกี่ยวกับการประมงของประเทศให้เจริญก้าวหน้า การสร้างความร่วมมือกับวิจัยวิชาการกับหน่วยงานทางการศึกษาที่จะสามารถเพิ่มพูนองค์ความรู้ รวมถึงเป็นแหล่งบริการวิชาการที่มีส่วนร่วมแก้ปัญหาสังคมให้ภาคอีสาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการเกษตร นอกจากนี้ยังสามารถขยายความร่วมมือในภูมิภาคอื่น ๆ จนทั่วทั้งประเทศได้อีกกรมประมงก็ยินดีอย่างยิ่ง เพื่อหาแนวทางพัฒนาการประมง การวิจัย วิชาการ และการพัฒนาบุคลากรทั้งสองฝ่าย ยกระดับการประมงไทยให้แข่งขันได้ โดยใช้ทรัพยากรอย่างสมดุล พร้อมผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมที่สร้างความมั่งคั่งแก่เกษตรกร ผนึกกำลังในการสร้างความเข้มแข็งเพิ่มศักยภาพภาคประมงของประเทศไทยต่อไป