December 16, 2025

 “ซีพี แอ็กซ์ตร้า” ผู้นำในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ประกาศอัตราดอกเบี้ยสุดท้ายของหุ้นกู้ 4 รุ่น อายุ 1 ปี 6 เดือนถึง 7 ปี อยู่ที่ 3.04 - 3.80% ต่อปี พร้อมเสนอขายเป็นครั้งแรกให้กับประชาชนเป็นการทั่วไปในระหว่างวันที่ 8 และ 11-12 กันยายน 2566 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 8 แห่ง และช่องทางทรูมันนี่ วอลเล็ต

ย้ำเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าถึงหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “บวก” (Positive) จัดอันดับโดยทริสเรทติ้ง มั่นใจตอบโจทย์ผู้ลงทุนทั้งความหลากหลายของอายุหุ้นกู้ ผลตอบแทนที่เหมาะสม ภายใต้ความเสี่ยงของหุ้นกู้เพียงระดับ 3 ขณะที่ธุรกิจมีโอกาสเติบโตและขยายสู่การเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคเอเชีย โดยมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งรองรับ ด้านผู้จัดการการจัดจำหน่ายมั่นใจการท่องเที่ยวฟื้นตัว การอุปโภคบริโภคภายในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง เป็นปัจจัยสนับสนุน มั่นใจกระแสตอบรับหุ้นกู้คึกคัก

บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจค้าส่งภายใต้ชื่อ “แม็คโคร” (Makro) และธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าภายใต้ชื่อ “โลตัส” (Lotus’s) ประกาศอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้รุ่นอายุ 1 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย 3.04% ต่อปี รุ่นอายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.20% ต่อปี รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.55% ต่อปี และรุ่นอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.80% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน โดยจะเสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 8 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารยูโอบี และ บล.เกียรตินาคินภัทร รวมถึงเสนอขายผ่านช่องทาง ทรูมันนี่ วอลเล็ต ในระหว่างวันที่ 8 และ 11-12 กันยายน 2566

นางเสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจค้าส่งแม็คโครและประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจสายงานบัญชีและการเงิน บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า เปิดเผยว่า บริษัทฯ มั่นใจว่า การเสนอขายหุ้นกู้ “ซีพี แอ็กซ์ตร้า” ในครั้งนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุน เพราะนอกจากจะเป็นการเสนอขายแก่ประชาชนเป็นการทั่วไปเป็นครั้งแรกของ ‘ซีพี แอ็กซ์ตร้า’ แล้ว ยังเป็นโอกาสที่ดีที่ประชาชนทั่วไปจะได้เข้าถึงหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “บวก” (Positive) โดยเฉพาะในภาวะที่ผู้ลงทุนมองหาหุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูง และมีความเสี่ยงจากการลงทุนอยู่เพียงระดับ 3 (ต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 1 สูงสุดระดับ 8) ขณะที่ผลตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ รวมถึงอายุหุ้นกู้ที่มีความหลากหลาย ซึ่งจะเป็นทางเลือกสำหรับการตัดสินใจที่ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ทั้งระยะสั้นและระยะปานกลาง

ทั้งนี้ หุ้นกู้ “ซีพี แอ็กซ์ตร้า” ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” เช่นเดียวกับอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” (Positive) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 สะท้อนสถานะของบริษัทฯ ในการเป็นบริษัทย่อยหลัก (Core Subsidiary) ของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL) และการเป็นผู้นำในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ด้วยความแข็งแกร่งของผลการดำเนินงานทั้งฐานรายได้และกำไรที่เติบโต ภายใต้หลักการบริหารงานอย่างมีธรรมาภิบาล และมีเป้าหมายสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

“เรามั่นใจว่า หุ้นกู้ ‘ซีพี แอ็กซ์ตร้า’ จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับประชาชนทั่วไป เพราะนอกจากอายุหุ้นกู้ ผลตอบแทน ความเสี่ยง และแนวโน้มธุรกิจ จะตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนแล้ว ผู้ลงทุนยังสามารถเข้าถึงการจองซื้อได้หลายช่องทางจากสถาบันการเงินทั้ง 8 แห่งที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ และเพิ่มเติมด้วยช่องทางจำหน่ายผ่านทรูมันนี่ วอลเล็ต ซึ่งลูกค้ามีความคุ้นเคยและมีประสบการณ์การใช้จ่ายผ่านช่องทางนี้ได้อย่างสะดวกอยู่แล้วเช่นกัน” ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจค้าส่งแม็คโครและประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจสายงานบัญชีและการเงิน บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า กล่าว

ด้านสถาบันการเงินในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ “ซีพี แอ็กซ์ตร้า” กล่าวเสริมว่า ‘ซีพี แอ็กซ์ตร้า’ มีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง หลังจากครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 241,834 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,746 ล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากธุรกิจค้าส่งแม็คโคร 130,875 ล้านบาท และธุรกิจค้าปลีกโลตัส 110,959 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 3,682 ล้านบาท ขณะที่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทฯ ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากทิศทางการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและชัดเจน รวมถึงแนวโน้มการอุปโภคบริโภคภายในประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื่อว่า หุ้นกู้ “ซีพี แอ็กซ์ตร้า” จะได้รับการตอบรับที่ดีอย่างแน่นอน

สำหรับธุรกิจของ บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า ในปัจจุบัน แบ่งเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจค้าส่ง ภายใต้ชื่อ “แม็คโคร” (Makro) ในประเทศไทยและอีกหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ลูกค้าผู้ประกอบการมืออาชีพ ธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจให้เช่าพื้นที่ศูนย์การค้าภายใต้ชื่อ “โลตัส” (Lotus’s) ในประเทศไทยและมาเลเซีย โดยบริษัทฯ มุ่งที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภคในระดับภูมิภาคในเอเชีย และขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจให้สามารถแข่งขันได้ ด้วยช่องทางการจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายทั้งในช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ (Omni channel) นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพของร้านค้า ต่อยอดธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และการปรับโฉมร้านค้าแบบไฮบริดซึ่งดึงจุดเด่นของ 2 กลุ่มธุรกิจค้าส่งค้าปลีกแบบไร้รอยต่อ เพื่อตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้รับคัดเลือกให้ติดอันดับบริษัทด้านความยั่งยืน โดยเข้าเป็นสมาชิกของดัชนี S&P Global The Sustainability Yearbook 2023 ในกลุ่ม Food & Staples Retailing ซึ่งเป็นดัชนีชั้นนำของโลกที่ใช้วัดผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอกย้ำการเป็นบริษัทที่มุ่งสร้างการเติบโตไปพร้อมกับคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงยังได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการจากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัท (IOD) ในระดับ 5 ดาวหรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Score) ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 อีกด้วย

สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ซีพี แอ็กซ์ตร้า กำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Bualuang mBanking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

 

ธนาคารกรุงไทย เปิดเกมรุกตลาดสินเชื่อดิจิทัล เพิ่มช่องทางเข้าถึงสินเชื่อ “กรุงไทยใจป้ำ” ผ่านแอปฯ เป๋าตัง ช่วยคนไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้สะดวก รวดเร็ว

ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ โดยมุ่งมั่นขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกมิติ ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจ และสร้างโอกาสให้กับคนไทยทุกกลุ่มให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง

ธนาคารกรุงไทย มีนโยบายรุกตลาดสินเชื่อดิจิทัล (Digital Lending) อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับชีวิตยุคใหม่ที่ต้องการความเร็ว สะดวก และไม่ต้องเดินทางได้เป็นอย่างดี ซึ่งในปี 2565 ธนาคารให้บริการสินเชื่อกรุงไทยใจป้ำ ผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT โมบายแบงกิ้งที่ให้บริการแบบครบวงจร และสามารถขยายบริการของธนาคารในรูปแบบดิจิทัลได้อย่างก้าวกระโดด โดยได้รับการตอบรับดีจากกลุ่มผู้มีรายได้ประจำ และผู้ประกอบการรายย่อย โดยปี 2566 ตั้งเป้าสินเชื่อดิจิทัล ประมาณ 10,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้สะดวกยิ่งขึ้น ธนาคารจึงเพิ่มช่องทางการสมัครสินเชื่อกรุงไทยใจป้ำ ผ่านแอปฯ เป๋าตัง ซึ่งเป็น Thailand Open Digital Platform ที่คนไทยคุ้นเคย เข้าถึงได้ง่าย ตอบโจทย์ผู้ใช้งานกว่า 40 ล้านคน ด้วยการออกแบบขั้นตอนในแอปฯให้ใช้งานง่าย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล และช่วยลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงบริการทางการเงิน ได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เป็นการตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Goals) ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ได้แก่ เป้าหมายส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน การจ้างงานเต็มที่ มีผลิตภาพ และการมีงานที่เหมาะสมสำหรับทุกคน (Decent Work and Economic Growth) และเป้าหมายลดความไม่เสมอภาคภายในประเทศและระหว่างประเทศ (Reduced Inequalities)

สำหรับจุดเด่นของสินเชื่อกรุงไทยใจป้ำ คือ กู้ง่าย ไม่มีบัญชีเงินเดือนกับกรุงไทยก็กู้ได้ เพียงเปิดบัญชีออมทรัพย์ “เป๋ามีตัง” ผ่านแอปฯ เป๋าตัง โดยไม่มีกำหนดเงินฝากขั้นต่ำ อนุมัติไว ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน กรณีได้รับอนุมัติสินเชื่อ และกดยอมรับสินเชื่อในเวลาทำการของธนาคาร จะได้รับเงินโอนเข้าบัญชีทันที ได้เงินก้อน วงเงินสูงสุด 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน และผ่อนสบาย เฉลี่ยหมื่นละ 10 บาทต่อวัน นานสูงสุด 60 เดือน สำหรับอัตราดอกเบี้ย บุคคลทั่วไปที่มีรายได้ประจำ อัตราดอกเบี้ย 20% ต่อปี ผู้ประกอบการรายย่อยทั่วไป อัตราดอกเบี้ย 22% ต่อปี ผู้สนใจสมัครสินเชื่อได้ที่ https://paotang.onelink.me/UDQF/cnpvp5sw หรือ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://krungthai.com/link/jaipump-pr

รายงาน Gartner’s Hype Cycle for Emerging Technologies 2023 ระบุว่า Generative Artificial Intelligence (เอไอแบบรู้สร้าง) ถูกจัดให้อยู่บนตำแหน่งสูงสุดของความคาดหวังที่จะโตขึ้นอีกมากในวงจรเทคโนโลยีเกิดใหม่ ซึ่งคาดว่าจะถึงจุดที่สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ภายใน 2 ถึง 5 ปี โดย Generative AI ถูกรวมอยู่ในธีมที่กว้างกว่าของ Emergent AI ซึ่งเป็นเทรนด์หลักของวงจรฯ นี้ ที่สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับนวัตกรรม

อรุณ จันทรเศกการัน รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ความนิยมของเทคนิค AI ใหม่จำนวนมากจะส่งผลกระทบสำคัญต่อธุรกิจและสังคม ซึ่งการฝึกใช้ AI และการสเกลโมเดลพื้นฐานของ AI ขนานใหญ่ รวมถึงการใช้เอเจนท์การสนทนาแบบไวรัล (Conversational Agents) และการเพิ่มจำนวนของแอปพลิเคชั่น Generative AI กำลังเผยให้เห็นคลื่นใหม่ ๆ ของการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของพนักงานและไอเดียสร้างสรรค์สำหรับเครื่องจักร”

รายงานวงจรเทคโนโลยีเกิดใหม่ (The Hype Cycle for Emerging Technologies) เป็นรายงานด้านวงจรต่าง ๆ ของการ์ทเนอร์ที่มีความเฉพาะเจาะจง เกิดจากการกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึกของเทคโนโลยีและกรอบการทำงาน (Frameworks) หลัก ๆ มากกว่า 2,000 รายการ ให้ผู้บริหารสามารถนำไปใช้ได้ รายงานนี้จัดทำขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยการ์ทเนอร์ รวบรวมเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่มีความน่าสนใจที่ผู้บริหารและอุตสาหกรรม “ต้องรู้” ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนมอบประโยชน์ด้านการเปลี่ยนแปลงในอีก 2-10 ปีข้างหน้านี้ (ดูรูปที่ 1)

ภาพที่ 1 วงจรเทคโนโลยีเกิดใหม่ ปี 2566 (Hype Cycle for Emerging Technologies, 2023)

 

ที่มา: การ์ทเนอร์ (สิงหาคม 2566)

เมลิซซ่า เดวิส รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ขณะที่ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ AI ผู้บริหาร CIO และ CTO ยังต้องหันความสนใจไปยังเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่มีศักยภาพในการสร้างความเปลี่ยนแปลงอีกด้วย รวมถึงเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ของนักพัฒนา ขับเคลื่อนนวัตกรรมผ่านระบบคลาวด์ที่แพร่หลาย และส่งมอบความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง”

“เนื่องจากเทคโนโลยีในวงจรเทคโนโลยีเกิดใหม่ (Hype Cycle) ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น ความไม่แน่นอนต่าง ๆ จึงอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในขั้นของการพัฒนา ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีเอ็มบริโอนิก (Embryonic Technologies) ที่มีความเสี่ยงมากในการนำมาปรับใช้ แต่อาจมีประโยชน์มากกว่าสำหรับ Early Adopters” เดวิสกล่าวเสริม

4 ธีมหลักของเทคโนโลยีเกิดใหม่ ได้แก่

Emergent AI: นอกเหนือจาก Generative AI แล้ว ยังมีเทคนิค AI ที่เกิดขึ้นใหม่อีกหลายตัวที่นำเสนอศักยภาพอย่างสูงในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าดิจิทัล การตัดสินใจทางธุรกิจได้ดีขึ้น และสร้างความต่างในการแข่งขันที่ยั่งยืน เทคโนโลยีเหล่านี้ประกอบด้วย AI Simulation, Causal AI, Federated Machine Learning, Graph Data Science, Neuro-symbolic AI และ Reinforcement Learning

Developer Experience (DevX): DevX หมายถึงทุกแง่มุมของการโต้ตอบระหว่างนักพัฒนากับเครื่องมือ แพลตฟอร์ม กระบวนการและผู้คนที่พวกเขาทำงานด้วยเพื่อพัฒนาและส่งมอบผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์และบริการ ซึ่งการเพิ่มประสิทธิภาพด้านประสบการณ์ของนักพัฒนา หรือ DevX มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของไอเดียริเริ่มด้านดิจิทัลขององค์กรส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อการดึงดูดและรักษาผู้มีทักษะความสามารถด้านวิศวกรรมระดับสูง รวมถึงรักษาขวัญและกำลังใจของทีมให้อยู่ในระดับสูง และทำให้มั่นใจว่างานนั้นสร้างแรงจูงใจและมีรางวัลตอบแทน

เทคโนโลยีหลักที่ DevX ช่วยพัฒนาและปรับปรุง ได้แก่ AI-Augmented Software Engineering, API-Centric SaaS, GitOps, Internal Developer Portals, Open-Source Program Office และ Value Stream Management Platforms

Pervasive Cloud: ในอีก 10 ปีข้างหน้า คลาวด์คอมพิวติ้งจะพัฒนาจากแพลตฟอร์มนวัตกรรมเทคโนโลยีไปสู่คลาวด์ที่แพร่หลายไปทั่วและยังเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของนวัตกรรมทางธุรกิจ เพื่อรองรับการใช้งานที่แพร่หลายนี้ ซึ่งคลาวด์คอมพิวติ้งจะมีรูปแบบการกระจายมากขึ้นและจะมุ่งไปที่อุตสาหกรรมแนวดิ่ง และการเพิ่มมูลค่าจากการลงทุนบนระบบคลาวด์สูงสุดจะต้องมีการปรับขนาดการดำเนินงานโดยอัตโนมัติ การเข้าถึงเครื่องมือแพลตฟอร์มแบบคลาวด์เนทีฟ และการกำกับดูแลที่เพียงพอ

เทคโนโลยีหลักที่เปิดใช้งาน Pervasive Cloud ได้แก่ Augmented FinOps, Cloud Development Environments, Cloud sustainability, Cloud-Native, Cloud-Out To Edge, Industry Cloud Platforms และ WebAssembly (Wasm)

Human-Centric Security And Privacy: มนุษย์ยังเป็นต้นเหตุหลักของเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยและการละเมิดข้อมูล องค์กรสามารถใช้โปรแกรมความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางเพื่อสร้างความยืดหยุ่นได้ ผสานกับโครงสร้างการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเข้ากับการออกแบบดิจิทัลขององค์กร เทคโนโลยีเกิดขึ้นใหม่จำนวนมากช่วยให้องค์กรสามารถสร้างวัฒนธรรมแห่งความไว้วางใจซึ่งกันและกัน พร้อมตระหนักถึงความเสี่ยงร่วมกันในการตัดสินใจระหว่างหลายทีม

เทคโนโลยีหลักที่สนับสนุนการขยายการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ได้แก่ AI TRISM, Cybersecurity Mesh Architecture, Generative Cybersecurity AI, Homomorphic Encryption และ Postquantum Cryptography

 Binance ผู้นำบล็อกเชนอีโคซิสเต็ม (Blockchain Ecosystem) และแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศแต่งตั้ง นางสาว คริสเทน เฮกท์ (Kristen Hecht) อดีตประธานฝ่ายกำกับดูแลองค์กรระดับโลก ขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติงานและประธานเจ้าหน้าที่การรายงานการฟอกเงินระดับโลกของ Binance

ทั้งนี้ ก่อนร่วมงานกับ Binance คริสเทน ได้สั่งสมประสบการณ์การทำงานมานานกว่า 17 ปี ทั้งการเป็นที่ปรึกษาอาวุโสด้านนโยบายให้กับสำนักงานต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการตรวจจับการทุจริตของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กว่าทศวรรษ ตามด้วยการดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายกำกับดูแลอาชญากรรมทางการเงินของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ (HSBC) ประจำประเทศจีน โดยมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติตามกฎระเบียบช่วงการผัดผ่อนการฟ้องคดีอาญาของบริษัท รวมถึงดูแลและควบคุมการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร เพื่อสร้างการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน หลังจากนั้น คริสเทน ได้เข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการสื่อสารของบริษัท Novi Financial เพื่อดูแลโครงการนำร่องกระเป๋าเงินคริปโตดิจิตอลแห่งแรกของ Meta อีกด้วย

ในฐานะรองประธานเจ้าหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติงานของ Binance คริสเทนจะทำงานขึ้นตรงกับ โนอาห์ เพิร์ลแมน (Noah Perlman) ประธานเจ้าหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติงาน เพื่อสานต่อการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาการ

ปฏิบัติตามกฎระเบียบในอุตสาหกรรม รวมถึงการรักษานโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และในฐานะประธานเจ้าหน้าที่การรายงานการฟอกเงินระดับโลกของ Binance คริสเทน จะกำกับดูแลเจ้าหน้าที่รายงานการฟอกเงินทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค พร้อมสนับสนุนเครื่องมือที่จำเป็นในการจัดการความเสี่ยง และส่งเสริมการปฏิบัติตามข้อกำหนดของเขตอำนาจศาลและแนวทางปฏิบัติสากล เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอาชญากรรมทางการเงินต่อไป

นอกจากนี้ คริสเทน ยังได้ตั้งเป้าหมายที่จะเร่งทำงานเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแล องค์กรระหว่างรัฐบาล และหน่วยงานในอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาแนวทางการกำกับดูแลการปฏิบัติงานที่ดีที่สุด พร้อมร่วมมือกับเหล่าทีมผู้บริหารของ Binance เพื่อดำเนินการปกป้องผู้ใช้และปฏิบัติตามข้อกำกับอย่างเคร่งครัด รวมถึงการเดินหน้าพิชิตเป้าหมายระยะยาวในการควบคุมอาชญากรรมทางการเงินผ่านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดยร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลในอุตสาหกรรมและพันธมิตรทางธุรกิจที่เชื่อถือได้

นางสาว คริสเทน เฮกท์ (Kristen Hecht) กล่าวว่า "ก่อนที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมนี้ ฉันได้เห็นถึงการปฏิวัติของบล็อกเชนที่เข้ามาเปลี่ยนวิธีการถ่ายโอนสินทรัพย์ไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งในด้านความเปิดกว้างและความโปร่งใสที่มากขึ้น ความสะดวกในการเข้าถึงบุคคลและธุรกิจ ซึ่งฉันเข้าใจดีว่าสินทรัพย์ดิจิทัลต้องเผชิญความเสี่ยงจากการโจรกรรมบ่อยครั้งเช่นเดียวกับอุตสาหกรรมใหม่อื่นๆ ดังนั้น ฉันจึงพร้อมที่จะนำความสามารถที่มีมาใช้เพื่อพัฒนาการกำกับดูแลการปฏิบัติงานตามข้อกำหนด พร้อมปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมาย โดยฉันหวังว่าจะสามารถสร้างความตระหนักรู้ด้านกฎระเบียบแก่พันธมิตรและผู้เล่นในอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความไว้วางใจ และส่งเสริมการทำงานร่วมกันในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วนี้”

นาย โนอาห์ เพิร์ลแมน (Noah Perlman) ประธานเจ้าหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติงานของ Binance กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับคริสเทนสู่บทบาทใหม่ เพื่อร่วมส่งเสริมแนวทางการกำกับดูแลการปฏิบัติงานทั่วโลกของ Binance พร้อมพัฒนาแนวทางเพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนากฎระเบียบและความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยการที่คริสเทนเข้าใจถึงความสำคัญของการทำงานกับรัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศจะทำให้เกิดความก้าวหน้าของอุตสาหกรรม รวมถึงการต่อสู้กับอาชญากรรมทางการเงินในระบบนิเวศอย่างยั่งยืน”

นางสาวพิชามน จิตรเป็นธรรม ผู้บริหารสูงสุด – สายงานสินเชื่อบุคคล “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ทำการมอบรางวัลเคลียร์หนี้ให้กับสมาชิกสินเชื่อบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” สำหรับ 6 เดือนแรก จากจำนวนรางวัลทั้งสิ้น 600 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 7,080,000 บาท (จับรางวัลทั้งปี 12 รอบ)

โดยส่วนหนึ่งของผู้โชคดีที่เดินทางมารับรางวัลด้วยตนเอง และร่วมแสดงทัศนะเพื่อเป็นแนวทางในการจัดโครงการฯ ในอนาคต ได้แก่ นายเอกพันธ์ ช่างเอกวงศ์ และนายนที พึ่งวรอาสน์ ผู้โชคดีได้รับรางวัลที่ 2 บัตรกำนัลส่วนลดค่าใช้จ่ายเพื่อลดหนี้ โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ เคทีซี อาคารสมัชชา-วาณิช 2 ซอยสุขุมวิท 33

พิชามน กล่าวถึงความมุ่งหมายในการจัดโครงการเคลียร์หนี้ “เราได้ทำการสอบถามความต้องการลูกค้าว่าอะไรคือ สิ่งที่สมาชิก “เคทีซี พราว” ต้องการมากที่สุด คำตอบคือการปลดหนี้ ไม่ใช่ของรางวัลหรือแคชแบ็ค โครงการเคลียร์หนี้จึงเกิดขึ้นจากความต้องการช่วยลูกค้าลดภาระค่าใช้จ่าย และเพื่อส่งเสริมให้ลูกค้ามีวินัยในการชำระที่ดีขึ้น โดยเคทีซีจะให้สิทธิ์ลุ้นเคลียร์หนี้เป็นรางวัลกับกลุ่มลูกค้าที่จ่ายตรงวันครบกำหนด ซึ่งที่ผ่านมาหลังจากลูกค้าได้รับการปลดหนี้แล้ว ยังสามารถนำเงินที่เหลือไปใช้ลงทุน จ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ทำให้ลูกค้าบริหารจัดการการเงินได้ดีขึ้น การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ขอให้มีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะจ่ายชำระคืน ส่งผลให้ได้รับการตอบแทนดีๆเช่นการเคลียร์หนี้แบบนี้”

นายเอกพันธ์กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้รับรางวัลเคลียร์หนี้ “ขอบคุณเคทีซีที่กล้าจัดโครงการเคลียร์หนี้แบบนี้ รางวัลที่ได้จากโครงการฯ จะช่วยลูกค้าให้มีกำลังใจสู้ต่อ อยากให้มีแคมเปญดีๆ แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ สำหรับคนที่มีภาระอยู่ ท่านต้องเตือนสติตัวเอง ทุกครั้งที่ใช้จ่ายท่านต้องมีจุดมุ่งหมายและต้องมีวินัย ถ้าไม่อยากพันตัวเองจนแก้ไม่ออก ก็ต้องพยายามค่อยๆ ทยอยปลดให้ได้ ขั้นต่ำก็ยังดี ต้องไปได้ ต้องไปให้ได้ เป็นกำลังใจให้ทุกคน”

นายนทีกล่าวถึงการมีวินัยทางการเงินว่า “การจะได้รับรางวัลเคลียร์หนี้ ต้องเป็นคนที่มีวินัยทางการเงิน ถ้ามีหนี้ก็ต้องจ่าย ถ้าไม่จ่าย สุดท้ายโดยระบบก็ตัองบังคับให้จ่ายอยู่ดี และถ้ายิ่งปล่อยไว้นานก็จะเสียเครดิตไปเลย แล้วยิ่งปัจจุบันสภาวะหนี้ครัวเรือนค่อนข้างสูง เพราะว่าคนมีวินัยทางการเงินต่ำ จะกลายเป็นผลเสียต่อระบบการเงินทั้งหมดโดยภาพรวม อยากให้ทุกคนมีวินัยทางการเงิน เพื่อภาพรวมของประเทศชาติด้วย”

เคทีซีจัดโครงการ “เคลียร์หนี้” ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 14 เพื่อตอบแทนความมีวินัยรวมถึงการใช้จ่ายผ่านบัตรของสมาชิกบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” และสมาชิก “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน สำหรับมอเตอร์ไซค์”

ที่จ่ายตรงและจ่ายดี ความพิเศษของโครงการฯ ในปี 2566 สมาชิกฯ จะได้รับสิทธิ์ร่วมลุ้นรางวัลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 - 31 ธันวาคม 2566 โดย รางวัลที่ 1 จะได้รับบัตรกำนัลส่วนลดค่าใช้จ่ายเพื่อเคลียร์หนี้ จำนวน 12 รางวัล (จับรางวัล 12 รอบๆ ละ 1 รางวัล) รางวัลที่ 2 จะได้รับบัตรกำนัลส่วนลดค่าใช้จ่าย เพื่อลดหนี้ จำนวน 588 รางวัล (จับรางวัล 12 รอบๆ ละ 49 รางวัล) สมาชิก “เคทีซี พราว” สามารถรับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเคลียร์หนี้ได้ โดยลงทะเบียนเพียงครั้งเดียว ก็สามารถลุ้นรับรางวัลได้ตลอดปี 2566 ผ่านเว็บไซต์ www.ktc.co.th/cleardebt66 หรือช่องทาง SMS พิมพ์ OK66 เว้นวรรคตามด้วยหมายเลขบัตรฯ 16 หลัก ส่งไปที่ 061-384-5000 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE 02 123 5000 กด 0 กด 2 สมัคร “เคทีซี พราว” คลิก https://ktc.today/KTC-PROUD สมัคร “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” คลิก https://ktc.today/PBerm-Apply

นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย และ นายสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด (CPP) พร้อมด้วยผู้แทนจากองค์กรพันธมิตร ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลง “โครงการร่วมศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดการก๊าซเรือนกระจก ในรูปแบบแพลตฟอร์มจัดการก๊าซเรือนกระจกครบวงจรเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ที่บริษัท ข้าว ซี.พี. จำกัด (โรงงานข้าวนครหลวง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566

ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินเพื่อตอบโจทย์คนไทยทุกกลุ่ม และสนับสนุนการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ เพื่อมุ่งสู่แนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน โดยแพลตฟอร์มจัดการก๊าซเรือนกระจกนี้ ธนาคารคาดหวังว่าจะเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถตอบโจทย์ธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ มีต้นทุนที่เหมาะสม และมีกระบวนการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ โดยธนาคารและพันธมิตรจะร่วมกันศึกษาและพัฒนา แนวทางการดำเนินธุรกิจในด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมการดำเนินโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในองค์กรอย่างครบวงจร เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยและสามารถนำมาใช้ได้จริง

นอกจากนี้ มีการเชื่อมโยงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านมาตรฐานการวัดค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการรับรองกิจกรรม ภายใต้การดำเนินการโครงการความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อให้เกิดกลไกการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) ที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศและสากล ตลอดจนศึกษาความเป็นไปได้ในการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตของแต่ละองค์กร เพื่อนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ภายใต้มาตรฐานโครงการการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายหรือนโยบายที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนให้เป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN) ในเป้าหมายที่ 13 (Climate Action) เรื่องการปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่เกิดขึ้น

SCB CIO คาดเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงแบบSoft landing จากเงินเฟ้อที่ชะลอลงต่อเนื่อง แม้อีก 1-2 ปีถึงจะเข้าสู่เป้าหมายที่ 2%มองในปี 2567–2568 เฟดจะลดดอกเบี้ย 100 และ 120 bps. มาอยู่ที่ 3.4% พร้อมแนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นกู้High Yield โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์จีนจากภาวะหนี้สินสูงและการฟื้นตัวช้า ปรับมุมมองหุ้นญี่ปุ่นและเวียดนามเป็น Neutral และยังคงแนะนำทยอยสะสมหุ้นจีน A-share แนวโน้มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเฉพาะเจาะจงในช่วงครึ่งหลังของปี และหุ้นไทยหลังความชัดเจนทางการเมืองมีมากขึ้น

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB CIO ได้ปรับมุมมองที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยคาดว่า จะชะลอตัวลงแบบจัดการได้ (Soft landing) จากเดิมที่มองว่าอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยแบบไม่รุนแรง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง แม้จะยังต้องใช้เวลาอีก 1-2 ปีกว่าที่จะเข้าสู่อัตราเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) โดยคาดว่าเงินเฟ้อจะเข้าสู่เป้าหมายในช่วงปี 2568 แต่ด้วยตลาดแรงงานโดยเฉพาะในภาคบริการที่ยังแข็งแกร่ง ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงปี 2566-2567 มีการชะลอตัวแบบจัดการได้ โดยจากประมาณการล่าสุดของ Fed (มิ.ย. 2566) คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2566-2568 จะเติบโต 1.0% , 1.1% และ 1.8% ตามลำดับ เทียบกับอัตราการเติบโตในระยะยาวเฉลี่ยที่ 1.8%

ทั้งนี้ SCB CIO มองว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจแบบ Soft landing บวกกับอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับลดลงช้า ทำให้การลดดอกเบี้ยของ Fed ในรอบนี้จะมีลักษณะค่อยๆ ลดลง (small and slow rate cuts) และน้อยกว่าการลดดอกเบี้ยในครั้งก่อนๆ โดย Fed คาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ย 100 และ 120 bps. ในปี 2567-2568 ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้ปลายปี 2568 อัตราดอกเบี้ยนโยบาย Fed ยังอยู่ในระดับสูงถึง 3.4% ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับนี้ในช่วงการลดดอกเบี้ยของFedครั้งสุดท้ายเกิดขี้นในปี2551 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) โดยเฉพาะประเทศที่เศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อชะลอมากกว่าคาด น่าจะเริ่มเห็นการลดดอกเบี้ย เช่น จีนและเวียดนามหรือการหยุดขึ้นดอกเบี้ย เช่น ไทย ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่กว้างระหว่างสหรัฐฯ และประเทศ Emerging ยังคงอยู่ในระยะ 6 เดือนข้างหน้า

จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ยังค้างอยู่ในระดับสูง ในขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ประเทศที่มีบริษัทและครัวเรือนที่มีการก่อหนี้สูงจำนวนมาก มีความเสี่ยงภาวะ Balance sheet recession คือภาวะภาคธุรกิจและครัวเรือนกังวลกับหนี้สินที่อยู่ในระดับสูง ราคาสินทรัพย์ที่ฟื้นตัวช้าหรือปรับลดลงบวกกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้รายได้ส่วนใหญ่ไม่ถูกนำมาใช้จ่ายบริโภคและลงทุนรวมถึงไม่กู้ยืมเพิ่มเติม แต่เน้นการจ่ายคืนหนี้เพื่อลดภาระทางการเงิน ซึ่งเคยเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงปี 2533 และล่าสุดจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่ตลาดเริ่มมีความกังวลในประเด็นนี้ อย่างไรก็ตาม

เมื่อเทียบกับญี่ปุ่นในช่วงปี 2533 ภาคการธนาคารของจีนในปัจจุบันยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแรงกว่า รวมถึง ราคาสินทรัพย์ของจีนโดยเฉพาะราคาบ้านแม้ฟื้นตัวช้าแต่ไม่ได้ประสบปัญหาราคาร่วงลงรุนแรงเท่ากับที่เคยเกิดขึ้นในญี่ปุ่น

ดร.กำพล กล่าวว่า จากมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเป็นภาวะ Soft landing ทำให้เราปรับมุมมองหุ้นกู้ Investment Grade กลับขึ้นมาเป็น Slightly Positive หรือทยอยสะสมได้ แต่ยังคงแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูง (High Yield หรือ HY) โดยเฉพาะในตลาดหุ้นกู้จีน เนื่องจาก เราเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอลงบวกกับท่าทีของ Fed ในการหยุดขึ้นดอกเบี้ยและแนวโน้มลดดอกเบี้ยในช่วงกลางปี 2567 จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั้งระยะสั้นและยาว ทยอยลดลงในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยที่ค้างในระดับสูงในช่วงที่เหลือของปี มีแนวโน้มทำให้ความเสี่ยงด้านเครดิตของหุ้นกู้กลุ่ม HY ยังมีโอกาสขยับสูงขึ้นอีก โดยเฉพาะหุ้นกู้ในกลุ่มธุรกิจที่มีการก่อหนี้สูง เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในจีน

สำหรับมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก จากการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2566 ส่วนใหญ่ดีกว่าที่คาด โดยยอดขายสินค้าและบริการของบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ชะลอตัวลง แต่มีผลประกอบการและกำไรที่ดีกว่าคาดหรือลดลงน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ เป็นหุ้นของกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ ในNasdaq 100 ตามมาด้วย S&P500 โดยรวมจะดีกว่าหุ้นกลุ่มบริษัทขนาดกลางและเล็ก ใน Russell 2000 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยอดขายสินค้าและบริการชะลอลงเล็กน้อย แต่ผลกำไรยังเติบโตตามอานิสงส์จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ การท่องเที่ยวและค่าเงินเยนอ่อนค่า นอกจากจะเติบโตได้มากแล้ว ยังทำได้ดีกว่าคาดอีกด้วย ในขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป EuroStoxx600 มียอดขายและกำไรหดตัว ตลาดหุ้นเวียดนาม กำไรจากยอดขายสินค้าและบริการของบริษัทยังคงฟื้นตัวช้า แต่แย่น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และตลาดหุ้นไทย ยอดขายและผลประกอบการหดตัวและต่ำกว่าคาด แรงฉุดหลักมาจากกลุ่มพลังงาน สินค้าบริโภค และอสังหาริมทรัพย์

SCB CIO มองว่า ความตึงตัวของ Valuation ของตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว เริ่มปรับลดลงโดยเฉพาะหุ้นสหรัฐฯกลุ่มTech ซึ่งเราแนะนำสับเปลี่ยนเข้าลงทุนในกลุ่มหุ้นทนทานความผันผวน (Defensive) ไปก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันเราได้ปรับมุมมองหุ้นญี่ปุ่นเป็น Neutral (หยุดขายหรือถือไว้) หลังตลาดรับรู้การเปลี่ยนกรอบนโยบายการควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี (Yield Curve Control) ไปพอสมควรแล้ว ขณะที่ในระยะถัดไปยังได้แรงหนุนจากความคืบหน้าการปฏิรูปตลาดหุ้นญี่ปุ่นเน้นเรื่องธรรมาภิบาลมากขึ้นและแนวโน้มการฟื้นตัวของผลประกอบการบริษัท

นอกจากนี้ เรายังคงแนะนำทยอยสะสมหุ้นจีน A-share แนวโน้มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเฉพาะเจาะจงในช่วงครึ่งหลังของปี และหุ้นไทย ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายเริ่มลดลง ปรับมุมมองหุ้นเวียดนามเป็น Neutral (หลัง Valuation ปรับความตึงตัวลงและงบออกมาแย่น้อยกว่าคาด) สำหรับหุ้นจีน H-share เรายังคงมุมมองเป็น Neutral แม้ Valuation จะถูกลงค่อนข้างมาก แต่ความกังวลประเด็นหุ้นกลุ่มธนาคาร ( 18% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด) ที่ผลประกอบการอาจถูกกระทบจากการลดอัตราดอกเบี้ยและการเข้าช่วยซื้อพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น รวมถึงหุ้นกลุ่ม Tech (37% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด) จากความเสี่ยงด้าน Tech war ที่ยังคงมีอยู่ค่อนข้างสูง

· องค์กรสามารถกู้คืนระบบจากการโจมตีของแรนซัมแวร์ได้โดยอัตโนมัติ ด้วยความสามารถที่ไม่เหมือนใครใน Cisco Extended Detection and Response (XDR)

· ซิสโก้เพิ่มการกู้คืนระบบในกระบวนการตอบสนอง โดยการขยายบูรณาการของ third-party XDR ให้ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐาน การแบ็คอัพข้อมูลขององค์กร และบริษัทที่ทำการกู้คืนข้อมูล (recovery vendors)

· การบูรณาการเข้ากับ Cohesity ช่วยให้ Cisco XDR สามารถตรวจจับ สร้างสแนปช็อต และกู้คืนข้อมูลสำคัญทางธุรกิจได้โดยอัตโนมัติทันทีที่พบสัญญาณแรกเริ่มของแรนซัมแวร์

 ซิสโก้ ผู้นำด้านระบบเครือข่ายและการรักษาความปลอดภัยระดับองค์กร พัฒนาโซลูชัน Extended Detection and Response (XDR) ในระดับสูงด้วยการเพิ่มการกู้คืนระบบในกระบวนการตอบสนอง Cisco XDR สร้างนิยามใหม่ให้กับสิ่งที่ลูกค้าควรคาดหวังจากผลิตภัณฑ์รักษาความปลอดภัย เทคโนโลยีใหม่ที่เปิดตัวในวันนี้จะรองรับการกู้คืนระบบเกือบเรียลไทม์ (near real-time recovery) ช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องหลังจากที่ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์

ซิสโก้ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีสู่วิสัยทัศน์ของ Cisco Security Cloud ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการรักษาความปลอดภัยระหว่างโดเมนแบบครบวงจรที่ขับเคลื่อนด้วย AI ด้วยการเปิดตัว Cisco XDR ที่การประชุม RSA Conference ในปีนี้ ซิสโก้ได้นำเสนอระบบการวัดและส่งข้อมูลทางไกลเชิงลึก (Deep Telemetry) และระบบตรวจสอบอย่างเหนือชั้น ครอบคลุมทั่วทั้งเครือข่ายและอุปกรณ์ปลายทาง และตอนนี้ ด้วยการลดเวลาของการเริ่มต้นการระบาดของแรนซัมแวร์และข้อมูลที่มีความสำคัญต่อธุรกิจให้อยู่ในระดับ near-zero

นั้น Cisco XDR จะช่วยสนับสนุนแนวทางดังกล่าว และทำให้องค์กรธุรกิจรักษาความต่อเนื่องในการดำเนินงานได้อีกระดับ

นวัตกรรมใหม่นี้นับว่าเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากภัยคุกคามด้านความปลอดภัยยังคงส่งผลกระทบต่อองค์กรธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทยและทั่วโลก จากผลการศึกษาล่าสุด1 พบว่าผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีในไทยเกือบ 9 ใน 10 (89%) คาดว่าเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์จะทำให้ธุรกิจของพวกเขาหยุดชะงักในอีก 12 ถึง 24 เดือนข้างหน้า ซึ่งหากไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือ ก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายและค่าใช้จ่ายที่สูงมาก โดย 2 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่ามีเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์เกิดขึ้นในองค์กรของตนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และครึ่งหนึ่งของผู้ที่ได้รับผลกระทบระบุว่าองค์กรได้รับความเสียหายอย่างน้อย 500,000 ดอลลาร์

จีทู พาเทล รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายรักษาความปลอดภัยและการทำงานร่วมกันของซิสโก้ กล่าวว่า “การเติบโตแบบทวีคูณของแรนซัมแวร์และการขู่กรรโชกทางไซเบอร์ทำให้แนวทางการใช้แพลตฟอร์มมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรับมือการโจมตีอย่างมีประสิทธิภาพ เป้าหมายของเราคือการสร้างแพลตฟอร์มไซเบอร์ซีเคียวริตี้ที่ยืดหยุ่นและเปิดกว้าง สามารถต้านทานการโจมตีของแรนซัมแวร์และกู้คืนข้อมูลโดยส่งผลกระทบน้อยที่สุด ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดชะงัก ในฐานะผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกที่สร้างเครือข่าย ซิสโก้ได้กำหนดนิยามใหม่เกี่ยวกับความสามารถของผลิตภัณฑ์ด้านการรักษาความปลอดภัย นวัตกรรมของเราที่ประกอบด้วยการกู้คืนแบบอัตโนมัติหลังจากที่ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการตรวจจับและตอบสนองด้านข้อมูลแบบครบวงจรอย่างแท้จริง โดยการเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกด้านความปลอดภัยไปสู่การลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม”

วีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยและเมียนมาร์ของซิสโก้ กล่าวว่า “การโจมตีทางไซเบอร์ในปัจจุบันครอบคลุมหลายโดเมน ทำให้เป็นเรื่องท้าทายสำหรับองค์กรต่างๆ ในการปกป้องบุคลากร ข้อมูล และอุปกรณ์ปลายทางทั้งหมด และนี่เองคือจุดที่แพลตฟอร์มแบบครบวงจรอย่าง XDR จะช่วยเชื่อมเครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่แตกต่างกัน และใช้ระบบตรวจสอบเชิงลึกและระบบวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้ทีมงานฝ่ายปฏิบัติการด้านความปลอดภัยสามารถจัดลำดับความสำคัญและจัดการกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2566 ทีมงาน Cisco Talos Incident Response (IR) ได้ตรวจพบและตอบสนองต่อการโจมตีของแรนซัมแวร์จำนวนมากที่สุดในรอบกว่าหนึ่งปี ด้วยความสามารถใหม่ใน Cisco XDR ทีมงานของศูนย์ปฏิบัติการด้านการรักษาความปลอดภัย (Security Operations Center - SOC) จะสามารถตรวจจับ สร้างสแนปช็อต และกู้คืนข้อมูลที่สำคัญทางธุรกิจได้โดยอัตโนมัติทันทีที่ตรวจพบสัญญาณแรกของการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ก่อนที่การโจมตีนั้นจะกระจายผ่านเครือข่ายและเข้าถึงทรัพยากรที่มีมูลค่าสูง

 

ซิสโก้กำลังขยายการบูรณาการของ third-party XDR XDR ให้ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐาน การแบ็คอัพข้อมูล และบริษัทที่ทำการกู้คืนข้อมูล (recovery vendors) และวันนี้ ซิสโก้ได้เปิดตัวการบูรณาการชุดแรกเข้ากับโซลูชัน DataProtect และ DataHawk ของ Cohesity ผลิตภัณฑ์ของ Cohesity มีจุดกู้คืนที่สามารถกำหนดค่าได้ และรองรับการกู้คืนข้อมูลจำนวนมาก โดยฟีเจอร์ใหม่นี้จะช่วยยกระดับการทำงานของฟังก์ชั่นหลักด้วยการเก็บเวอร์ชวลแมชชีนที่อาจติดเชื้อเพื่อทำการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ในภายหลัง และขณะเดียวกันก็ปกป้องข้อมูลและเวิร์กโหลดในส่วนที่เหลือได้

Cisco XDR มีวางจำหน่ายแล้วทั่วโลกเพื่อลดความซับซ้อนของการดำเนินการด้านความปลอดภัยในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดในปัจจุบันที่ประกอบด้วยเทคโนโลยีจากหลายบริษัท และภัยคุกคามหลากหลายรูปแบบ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ cisco.com/go/ xdr

ไฮเนเก้น เอ็กซพีเรียนซ์ ซิลเวอร์ (Heineken Experience Silver) แฟชั่นไลฟ์สไตล์แบรนด์ใหม่แห่งยุค พาร์ทเนอร์กับค่ายเพลง What The Duck ชวนคนรุ่นใหม่มาร่วมเปิดประสบการณ์สุดพิเศษ ปล่อยไหล สมูทกันได้เกินคาด ในงาน “Heineken Experience Silver Presents What The Duck Family & Friends Party” เนื่องในโอกาสครบรอบ 9 ปีของค่ายเพลงคนรุ่นใหม่ เตรียมเซอร์ไพรส์ปล่อย 9 ไลฟ์สไตล์ไอเท็ม สุดลิมิเต็ดอิดิชั่น ที่การันตีความปังด้วยเทสต์การออกแบบโดย 9 ศิลปินระดับแนวหน้าของค่ายเพลง อาทิ The Toys / Marctat / QLER / Whal & Dolph / Landokmai / Purpeech / Musketeers / Morvasu และ Wan Wanwan ให้คนรุ่นใหม่ได้ไปจัดเต็มและช้อปพร้อมกันที่งานในวันเสาร์ที่ 28 ตุลาคมนี้

 

คุณภัททภาณี เอกะหิตานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ทีเอพี เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะแฟชั่นไลฟ์สไตล์แบรนด์สำหรับคนรุ่นใหม่ เรามุ่งเน้นสร้างแรงบันดาลใจผ่านการนำเสนอประสบการณ์ที่แปลกใหม่และไม่เหมือนใคร รวมถึงไลฟ์สไตล์ไอเท็ม เช่น เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และแอคเซสเซอรี่ต่างๆ โดยเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่ด้วยแอดติจูด “ปล่อยไหล สมูทกันได้เกินคาด” ที่สื่อสาร ให้ทุกคนปล่อยไหลไปกับไลฟ์สไตล์ตามแบบฉบับของตัวเองและแสดงตัวตนออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อพบเจอกับผลลัพธ์ที่เกินคาด สำหรับการพาร์ทเนอร์กับ What The Duck ค่ายเพลงที่มาแรงและน่าจับตามอง มากที่สุดแห่งยุคในครั้งนี้ เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมเป็น Title Sponsor ในงาน “Heineken Experience Silver Presents What The Duck Family & Friends Party” และเป็นส่วนหนึ่ง ในโมเมนต์ฉลอง 9 ปีของ What The Duck เราเตรียมจัดเต็มมอบประสบการณ์สุดพิเศษตามแบบฉบับปล่อยไหลสมูทกันได้เกินคาด ที่จะเกิดขึ้นทั้งในส่วนของคอนเสิร์ตและบูธกิจกรรมของแบรนด์ พร้อมด้วยไลฟ์สไตล์ไอเท็มสุดเอ็กซ์คลูซีฟถึง 9 ไอเท็มด้วยกัน ซึ่งความพิเศษคือการที่แบรนด์ Heineken Experience Silver ได้จับมือกับ 9 ศิลปินจากค่าย What The Duck มาร่วมดีไซน์ทั้ง 9 ไอเท็ม และหนึ่งในศิลปินที่มาร่วมออกแบบคอลเลคชั่นสุดพิเศษครั้งนี้ คือ “The Toys” แบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Heineken Experience Silver โดยนอกจากคนรุ่นใหม่ทุกคนที่ไปร่วมงานจะได้เอ็นจอยกับคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่แล้ว ยังได้เปิดประสบการณ์ปล่อยไหลสมูทกันได้เกินคาดและสามารถเป็นเจ้าของคอลเลคชั่นสุดลิมิเต็ดของทางแบรนด์ Heineken Experience Silver แบบครบจัดเต็มอีกด้วย”

 

ห้ามพลาด เตรียมซื้อบัตรพร้อมกันวันที่ 31 สิงหาคมนี้ เวลา 10.00 น. ทาง Eventpop บัตรราคา 999 บาทแล้วมาร่วมสัมผัสประสบการณ์ปล่อยไหล สมูทกันได้เกินคาด ในงาน “Heineken Experience Silver Presents What The Duck Family & Friends Party” ในวันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม 2566 ณ ทะเลสาบเมือง ทองธานี และพบกับไลฟ์สไตล์ไอเท็มสุดลิมิเต็ดอิดิชั่นทั้ง 9 ไอเท็ม โดย 9 ศิลปิน พร้อมด้วยเซอร์ไพรส์ ต่างๆ อีกมากมาย จาก Heineken Experience Silver สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารของแบรนด์ Heineken Experience Silver ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย Heineken Experience Silver และ LINE @heinekenexperience

 ยูนิโคล่ แบรนด์เครื่องแต่งกายระดับโลก ประกาศความร่วมมือล่าสุดกับ KAWS ศิลปินร่วมสมัยชื่อดังจากนิวยอร์ก เตรียมเปิดตัวคอลเลคชันเสื้อยืด UT ใหม่ ร่วมกับการเปิดตัวอาร์ตบุ๊คเล่มล่าสุดของ KAWS พร้อมกันในวันศุกร์ที่ 8 กันยายนนี้ โดยคอลเลคชันเสื้อยืดลายใหม่และอาร์ตบุ๊คจะเปิดตัวแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่ยูนิโคล่และที่ Phaidon สำนักพิมพ์แนวหน้าระดับโลก และวางจำหน่ายที่ร้านสาขาของยูนิโคล่ทั่วโลกและผ่านเว็บไซต์ uniqlo.com

สำหรับลายของเสื้อยืดและเสื้อสเวตเตอร์ในคอลเลคชันนี้ ประกอบไปด้วยคาแรคเตอร์ประจำตัวของ KAWS อย่างคอมพาเนียน (COMPANION) บีเอฟเอฟ (BFF) คาแรคเตอร์ตัวล่าสุดที่มาในสีชมพูสดใส หน้าปกของหนังสือใหม่ และสัญลักษณ์ไอคอนิกรูป XX ของ KAWS ไอเทมต่างๆ ประกอบด้วยเสื้อผ้าสำหรับผู้ใหญ่ ที่ใส่ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย (Unisex) และเสื้อผ้าสำหรับเด็ก พร้อมให้ทุกคนเข้าสู่โลกของ KAWS นอกจากเสื้อผ้าแล้ว ยูนิโคล่ยังมีของขวัญแบบลิมิเต็ด เอดิชัน หลากหลายรูปแบบสำหรับลูกค้าที่ซื้ออาร์ตบุ๊คและสินค้าจากคอลเลคชันนี้ เพื่อร่วมฉลองการกลับมาร่วมมือกันอีกครั้ง โดยร้านสาขายูนิโคล่ขนาดใหญ่บางร้านทั่วโลกจะตกแต่งกำแพงหน้าด้านนอกร้านที่ออกแบบขึ้นจากคาแรคเตอร์ของ KAWS อีกด้วย

ไบรอัน ดอนแนลลี ศิลปินที่รู้จักกันดีในนามของ KAWS พูดถึงผลงานล่าสุดนี้ว่า “ผมดีใจที่ได้เปิดตัวซีรีส์หนังสือศิลปินร่วมสมัยของ Phaidon เล่มใหม่แบบเอ็กซ์คลูซีฟร่วมกับยูนิโคล่ ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ที่ร่วมงานกับผมมาอย่างยาวนาน ผมออกแบบแคปซูลคอลเลคชันเล็กๆ ของเสื้อยืดและเสื้อสเวตเตอร์ซึ่งจะวางจำหน่ายเฉพาะช่วงนี้ ผมหวังว่าทุกคนจะชื่นชอบคอลเลคชันนี้ของผม!”

 

ตกแต่งหน้าร้านทั่วโลกด้วยดีไซน์ของ KAWS

สำหรับยูนิโคล่ประเทศไทยจะตกแต่งร้านสาขา โรดไซด์พัฒนาการ โรดไซด์มีนบุรี และ โรดไซด์ลาดกระบัง ในวันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม ด้วยดีไซน์คาแรคเตอร์ไอคอนิกของ KAWS

 

ภาพรวมคอลเลคชัน

คอลเลคชันนี้ประกอบด้วยเสื้อยืดสำหรับผู้ใหญ่ (UNISEX) 3 ลวดลาย 590 บาท เสื้อสเวตเตอร์สำหรับผู้ใหญ่ (UNISEX) 2 ลวดลาย 990 บาท เสื้อยืดสำหรับเด็ก 3 ลวดลาย 390 บาท เสื้อสเวตเตอร์สำหรับเด็ก 2 ลวดลาย 790 บาท และอาร์ตบุ๊ค KAWS 1,990 บาท วางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2566 ณ ร้านยูนิโคล่ทุกสาขาและ Uniqlo.com โดยสินค้าเด็กวางจำหน่ายเฉพาะสาขาที่มีไลน์อัพสินค้าเด็กเท่านั้น รวมถึงบนเว็บไซต์ UNIQLO.com หรือสามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.uniqlo.com/kawsut2023

อาร์ตบุ๊ค KAWS

ตีพิมพ์โดย Phaidon สำนักพิมพ์แนวหน้าระดับโลกด้านครีเอทีฟอาร์ต หนังสือเล่มนี้รวบรวมองค์ความรู้ของศิลปะร่วมสมัยที่ทรงอิทธิพลและได้รับความสนใจมากที่สุดเล่มหนึ่ง โดยอาร์ตบุ๊คเล่มนี้เป็นหนึ่งในเล่มเพิ่มเติมของชุดซีรีส์ศิลปินร่วมสมัย (Contemporary Artist Series) ของสำนักพิมพ์ Phaidon ชุดซีรีส์อาร์ตบุ๊คนี้ผลิกโฉมการพูดถึงเรื่องของศิลปะด้วยความร่วมมือและเสียงสนับสนุนจากศิลปินยุคปัจจุบัน

X

Right Click

No right click