

KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงก์กิ้ง) แนะผู้ถือครองที่ดินตื่นตัวในการวางแผนจัดการทรัพย์สินที่ดิน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงด้านภาระภาษีที่จะมากยิ่งขึ้นในอนาคต พร้อมสรุป 5 เทรนด์อสังหาริมทรัพย์มาแรงสำหรับเป็นแนวทางให้ผู้ถือครองที่ดินนำที่ดินมาใช้ประโยชน์เพื่อลดภาระภาษี ท่ามกลางกระแสด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลังจากภาครัฐเดินหน้าจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเต็มอัตรา
![]()
นางกรกช อรรถสกุลชัย Chief Non-Capital Market Solution, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า “การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทำให้ความต้องการในการซื้อที่ดินเก็บเพื่อส่งต่อเป็นทรัพย์สินให้ลูกหลานมีแนวโน้มลดลง และเกิดความตื่นตัวอย่างมากในการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพย์สินประเภทที่ดินในแต่ละครอบครัว และสำหรับผู้ที่ถือครองที่ดินอยู่แล้วการจัดเก็บภาษีที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกๆ ปี ยังสร้างความสับสนให้กับผู้ถือครองที่ดินอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ สิ่งที่กระทบต่อการคำนวณภาษีก็คือการเปลี่ยนแปลงของราคาประเมินที่ดินโดยกรมธนารักษ์ซึ่งเป็นฐานที่ใช้ในการคำนวณภาษีที่ดินระหว่างปี 2566 – 2569 จากที่ดินในฐานข้อมูลของ KBank Private Banking พบว่า 50% ของที่ดินราคาประเมินไม่เปลี่ยนแปลง 39% ของที่ดินราคาปรับเพิ่มขึ้น และ 11% ของที่ดินราคาประเมินปรับลดลง ซึ่งราคาประเมินที่ดินที่มีการปรับตัวสูงขึ้นมากคือที่ดินในบริเวณที่ราคาประเมินฯ กับราคาตลาดมีความแตกต่างกันมาก เช่น ที่ดินในต่างจังหวัดโดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว ที่มีการปรับตัวขึ้นสูงในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นราคาประเมินที่สูงขึ้นก็ส่งผลให้อัตราภาษีสูงขึ้น นอกจากนี้ ในปี 2566 ยังเป็นปีแรกที่มีการปรับอัตราภาษีสำหรับที่ดินที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อีก 0.3%ทำให้ผู้ครองที่ดินต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น KBank Private Banking ในฐานะที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์แบบองค์รวมแนะนำให้ผู้ถือครองที่ดินพิจารณาใช้ประโยชน์ที่ดินแทนการปล่อยให้ที่ดินรกร้างว่างเปล่า”
KBank Private Banking จึงได้สรุป 5 เทรนด์ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังมาแรงเพื่อเป็นแนวทางให้กับนักลงทุนที่ดินหรือผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์ในการวางแผนการใช้ประโยชน์จากที่ดิน
1. ตลาดของผู้ซื้อ จากมาตรการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ส่งผลให้มีที่ดินเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก ผู้ถือครองที่ดินบางกลุ่ม ทั้งบุคคลธรรมดา หรือแม้แต่นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่มีที่ดินแต่ขาดสภาพคล่อง มีภาระภาษีเข้ามากดดัน จำเป็นต้องปล่อยที่ดินออกสู่ตลาดมากขึ้น ประกอบกับความต้องการของผู้ซื้อที่ซื้อที่ดินเพื่อเก็บเป็นทรัพย์สินลดลงเพราะมีภาระด้านภาษีในการถือครอง สภาพตลาดที่ดินในปัจจุบันจึงเป็นตลาดของผู้ซื้อเพราะมีตัวเลือกในตลาดมาก สามารถต่อรองราคาได้ และในหลายพื้นที่ก็มีการลดราคาเพื่อเร่งการขาย ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ สำหรับผู้ถือครองที่ดินที่มีกำลังทรัพย์
2. เจ้าของที่ดินตื่นตัว หาทางใช้ประโยชน์จากที่ดิน นักลงทุนหรือผู้ถือครองที่ดินที่มีความสามารถในการชำระภาษีมีความตระหนักรู้ และให้ความสนใจในการบริหารจัดการพอร์ตที่ดินของตัวเองมากขึ้น หลายคนเริ่มนำที่ดินไปใช้ประโยชน์เพื่อลดภาระภาษี เช่น ไปทำเกษตรกรรม จึงทำให้เกิดโอกาสต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บริการเจ้าของที่ดินที่ต้องการทำเกษตรกรรมแต่ขาดองค์ความรู้เป็นจำนวนมาก
3. กำลังซื้อในประเทศลดลง ในขณะที่กำลังซื้อจากต่างชาติขยายตัว จากสภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยรวมถึงภาระหนี้สินในครัวเรือน ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง และยังส่งผลกระทบกับภาคอสังหาริมทรัพย์ ในกลุ่มของผู้บริโภคเอง แม้กลุ่มที่ต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยจะมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่กลุ่มที่ต้องการซื้อเพื่อการลงทุน ยังมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวจากสภาวะที่ตึงตัวมากขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ย และสถาบันการเงินเองก็มีความเข้มงวดมากขึ้นในการพิจารณาสินเชื่อ ซึ่งมีผลกระทบมาจากหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่สูงขึ้นยังส่งผลกระทบกับภาคการผลิต นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ก็ได้รับผลกระทบกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการระแวดระวังในการพัฒนาโครงการมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะรายเล็ก หรือรายใหม่ ซึ่งจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่า อย่างไรก็ดี ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อย่างโรงแรม มีแนวโน้มการเติบโตสูง ซึ่งจากข้อมูลสถิติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สรุปไว้ว่าใน 6 เดือนแรกมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศถึง 12 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นมากหากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพียง 2 ล้านคน นอกจากนี้ ผลกระทบเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้มีการย้ายถิ่นฐานเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น กระตุ้นยอดอสังหาริมทรัพย์ สำหรับชาวต่างชาติในหลายจังหวัดทั่วประเทศ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน รวมถึงความสนใจย้ายเข้ามาตั้งฐานการผลิตของทุนต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทุนจากประเทศจีน จะเห็นว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ได้รับอานิสงค์จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจากต่างชาติ ทั้งนี้เมื่อความต้องการซื้อของตลาดต่างชาติมีมากขึ้น ผู้ประกอบการหลายรายก็เร่งพัฒนา และขยายกิจการ เพื่อตอบรับความต้องการมากขึ้น อย่างไรก็ดี นักพัฒนาก็ควรตั้งอยู่บนความระมัดระวังเพราะกระแสเหล่านี้มักจะมาเร็วไปเร็ว
4. การเติบโตของ Outer Urban Area เมื่อความเจริญไม่ได้กระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองอีกต่อไป การสร้างถนนและระบบขนส่งมวลชนเข้าถึงพื้นที่รอบนอกของกรุงเทพฯ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เมืองมีการเติบโต ทำให้หลายๆ โครงการอสังหาริมรัพย์ขยายตัวออกไปนอกเมืองตามแนวถนนและรถไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น ตัวเลือกในการพัฒนาของผู้ประกอบการ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เองก็มีหลายพื้นที่ให้เล่นมากขึ้น แม้ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลต่อการเติบโตของราคาที่ดินชานเมือง อันเนื่องมาจากกการขยายตัวของเมืองเข้ามาในพื้นที่ และฐานราคาที่ดินเดิมที่ต่ำ ทำให้มีอัตราการเติบโตของราคาที่เพิ่มขึ้นสูง อย่างไรก็ดี ราคาก็ถูกกดดันโดยตัวเลือกในบริเวณอื่นๆ ที่มีมากขึ้นด้วยเช่นกัน
5. เมืองรองชะลอการเติบโต การย้ายถิ่นฐานและการเกิดของประชากรที่ลดลง เป็นปัจจัยที่ทำให้กำลังซื้อของเมืองรองมีไม่เพียงพอ และในภาคอสังหาริมทรัพย์เอง เมืองรองในหลายจังหวัดมีการเก็งกำไรในที่ดินกันเป็นจำนวนมาก มีราคาที่ดินที่ราคาเติบโตเกินศักยภาพ สวนทางกับอุปสงค์และกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในเมืองรองชะลอการเติบโต อาจต้องรอให้มีการขยายตัวของเมืองมากขึ้น ราคาที่ดินสอดคล้องกับกำลังซื้อ ตลาดเกิดดุลยภาพ หรือมีการกระตุ้นโดยโครงการขนาดใหญ่ที่ดึงดูดการลงทุน และมีการเพิ่มขึ้นของแหล่งงาน อย่างมีนัยสำคัญ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเมืองรองก็จะฟื้นตัวและมีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้น
![]()
“เทรนด์เหล่านี้จะช่วยให้มองภาพการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้กว้างมากขึ้น นอกจากนี้ ภาระภาษียังเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ถือครองที่ดินต้องตระหนักถึง เนื่องจากภาษีที่ดินที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากฐานภาษีและอัตราภาษีที่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นแทนที่จะปล่อยให้รกร้างว่างเปล่าเพราะในกรณีที่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ในทุก 3 ปี ผู้ถือครองที่ดินจะถูกเก็บภาษีเพิ่มอีก 0.3% KBank Private Banking แนะนำให้ผู้ถือครองที่ดินพิจารณาใช้ประโยชน์ที่ดิน 1) เชิงพาณิชย์เพื่อสร้างรายได้ 2) ใช้ประโยชน์เชิงเกษตรเพื่อลดอัตราภาษี 3) ใช้ประโยชน์สาธารณะโดยการร่วมกับภาครัฐเพื่อยกเว้นภาษี เป็นต้น สำหรับลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงที่เป็นเจ้าของที่ดิน KBank Private Banking มีทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาและคำแนะนำในการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ให้คำแนะนำในการใช้ประโยชน์อสังหาริมทรัพย์เพื่อเพิ่มมูลค่า และสร้างผลตอบแทนทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกจากนี้ยังให้คำแนะนำเบื้องต้นในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย” นางกรกช ปิดท้าย
นิวยอร์ก--25 สิงหาคม 2566--พีอาร์นิวส์ไวร์/ดาต้าเซ็ต
IMAGO TECHNOLOGIES LLC บริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษาอัจฉริยะและการทำงานร่วมกันเป็นทีม มีความภูมิใจที่ได้ติดอันดับรายชื่อผู้ให้บริการโซลูชันห้องเรียน 10 อันดับแรก ประจำปี 2566 (Top 10 Classroom Solutions Providers 2023) โดยนิตยสาร Education Technology Insights อันทรงเกียรติ
"เราขอแสดงความขอบคุณ Education Technology Insights และทีมงานที่ทุ่มเทของเรา รวมไปถึงลูกค้าผู้มีอุปการะคุณ และพันธมิตรที่ให้การสนับสนุน การได้รับเกียรติในครั้งนี้จะส่งเสริมความมุ่งมั่นของเราในการเดินหน้าปฏิวัติการศึกษาต่อไป ผ่านการให้บริการโซลูชั่นเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่"
โซลูชันห้องเรียนอัจฉริยะแบบครบวงจรของ IMAGO ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน โดยมอบสภาพแวดล้อมการเรียนรู้เฉพาะบุคคลที่ดึงดูดให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมมากขึ้น ประกอบด้วยชุดโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ได้แก่ IMAGO Edu Board กระดานอัจฉริยะในรูปแบบจอสัมผัสที่สามารถโต้ตอบขีดเขียนได้, IMAGO Flash แอปพลิเคชันการประชุมทางไกลที่เป็นเอกสิทธิ์ของเรา สร้างสรรค์ขึ้นด้วยความสามารถครบครันสำหรับห้องเรียนเสมือนจริงล้ำสมัย, IMAGO Smart Present มอบเครื่องมือการจัดการหน้าจอห้องเรียนและการทำงานร่วมกันเพื่อการเรียนรู้แบบโต้ตอบที่สนุกสนาน, IMAGO School แพลตฟอร์มการจัดการเรียนการสอนแบบครบวงจรในหนึ่งเดียว สร้างขึ้นสำหรับผู้จัดทำหลักสูตร โค้ช ครู และนักเรียน, IMAGO Collab ไวท์บอร์ดเสมือนจริงที่ช่วยสนับสนุนการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ มาพร้อมไลบรารีที่มีฟีเจอร์มากมาย, IMAGO Proctor ช่วยให้ผู้ดูแลระบบไอทีสามารถจัดการและควบคุม IMAGO Edu Board ในห้องเรียนแต่ละห้องได้จากส่วนกลาง ปิดท้ายด้วย IMAGO Work แพลตฟอร์มการแชร์ไฟล์และการทำงานร่วมกันบนคลาวด์ที่ช่วยให้สมาชิกในทีมประสานงานอย่างพร้อมเพรียงกัน
ก่อนหน้านี้ IMAGO ยังได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งใน 50 บริษัทสุดยอดอัจฉริยะประจำปี 2565 ของ Silicon Review (Silicon Review's 50 Smartest Companies of 2022) และติดอันดับท็อป 5 ผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีการศึกษาในมาเลเซีย ประจำปี 2565 โดยนิตยสาร APAC CIO Outlook (APAC CIO Outlook Magazine's Top 5 Education Tech Solution Providers in Malaysia 2022) นอกจากนี้ IMAGO UC100 PRO Limited Edition Huddlecam หรือ IMAGO UC100 PRO LE ยังได้รับรางวัล Red Dot สาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์ประจำปี 2565 (Red Dot Award for Product Design 2022) อีกด้วย
ด้วยความรักและความทุ่มเทให้กับเทคโนโลยีการศึกษา IMAGO มุ่งมั่นที่จะพัฒนาการศึกษาเพื่ออนาคต และมุ่งหวังที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกให้เกิดขึ้นกับชีวิตของผู้เรียนทั่วโลกต่อไป
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ที่สามจากซ้าย) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 งานแสดงสินค้าสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวที่ครบวงจรที่สุดของภูมิภาค โดยมีนายมนู เลียวไพโรจน์ ประธาน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย (คนกลาง) นายพรรธระพี ชินะโชติ ประธานกรรมการร่วม (ที่สองจากขวา) และนายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป (คนแรกขวามือ) อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย พร้อมด้วยนางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (ที่สองจากซ้าย) นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย (ที่สามจากขวา) นายสมศักดิ์ รารองคำ นายกสมาคมเชฟประเทศไทย (คนแรกจากซ้าย) ร่วมการเปิดงานฯ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อเร็วๆ นี้
งาน Food & Hospitality Thailand 2023 เริ่มแล้ววันนี้ถึง 26 สิงหาคม 2566 ณ ฮอลล์ 1-3 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ รายละเอียดและกิจกรรมภายในงานฯ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.fhtevent.com
ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยมีการคาดการณ์ว่าจะขยายตัวเฉลี่ยปีละ 13% ในช่วงปี 2022 - 2025 จนมีมูลค่าราว 32,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ธุรกิจต่าง ๆ ก้าวเข้าสู่โลกอีคอมเมิร์ซเพื่อหาโอกาสใหม่ ๆ ทั้งยังมีผู้ประกอบการรายใหม่เกิดขึ้นมากมาย ทั้งนี้ ผู้ค้าออนไลน์รายใหม่อาจจะยังขาดความรู้และประสบการณ์ ทั้งด้านการบริหารร้านค้าออนไลน์ การคำนวณต้นทุน การตั้งราคาขาย การบริหารคลังสินค้า และความรู้ด้านภาษี แม้ขายดีก็อาจจะขาดทุนได้
ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ Sea (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแพลตฟอร์มชั้นนำ ได้แก่ การีนา (Garena) ช้อปปี้ (Shopee) และซีมันนี่ (SeaMoney) จึงผสานความเชี่ยวชาญ จัดทำวิดีโอสั้น (video series) ชุด ‘Smart E-commerce Entrepreneur’ จำนวน 5 ตอน เพื่อเติมเต็มความรู้ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการออนไลน์ ผ่านเนื้อหาที่ถูกย่อยให้กระชับ เข้าใจง่าย และนำไปใช้ได้จริง ทั้งด้าน ‘การทำธุรกิจบนอีคอมเมิร์ซ’ และ ‘การเงินเพื่อธุรกิจออนไลน์’ (Financial literacy for online sellers)
![]()
นางพรรณวดี ลดาวัลย์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกมิติ โดยมุ่งมั่นพัฒนาตลาดทุนให้เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน ภายใต้วิสัยทัศน์ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” โดยภารกิจหนึ่งที่สำคัญในด้านการส่งเสริมความรู้ผู้ประกอบการ คือ การพัฒนาองค์ความรู้และทักษะความเป็นผู้ประกอบการ ตลอดจนการเผยแพร่ความรู้เหล่านี้ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ภายใต้แบรนด์ “ห้องเรียนผู้ประกอบการ” ผ่านสื่อความรู้ดิจิทัล e-Learning คลิปความรู้ วีดีโอซีรีส์ บทความและ Infographic กว่า 600 ชิ้น ซึ่งการได้ร่วมมือกับ Sea (ประเทศไทย) ในครั้งนี้ จะเป็นการผนึกกำลังความแข็งแกร่งของแต่ละองค์กร มาต่อยอดและขยายผลไปยังกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการออนไลน์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง”

ดร.ศรุต วานิชพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส Sea (ประเทศไทย) กล่าวถึงการยกระดับความสามารถผู้ประกอบการบนแพลตฟอร์มช้อปปี้ (Shopee) ว่า “การเริ่มทำธุรกิจบนอีคอมเมิร์ซเป็นเรื่องง่าย ทั้งยังใช้ต้นทุนต่ำ ทำให้คนไทยหันมาเป็นผู้ประกอบการออนไลน์กันมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้น Sea (ประเทศไทย) และช้อปปี้ (Shopee) ซึ่งเป็นธุรกิจ อีคอมเมิร์ซภายในเครือ จึงมุ่งให้ความรู้และส่งเสริมทักษะผู้ประกอบการให้กับผู้ค้าช้อปปี้มาโดยตลอด ปฏิเสธไม่ได้ว่า การทำธุรกิจในปัจจุบันมีการแข่งขันสูง และผู้ค้ารายใหม่อาจจะยังขาดความรู้ โดยเฉพาะในด้านการจัดการร้านค้า การคำนวณและบริหารต้นทุน การตั้งราคา การบริหารคลังสินค้า และภาษี ดังนั้น การร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้ จึงเป็นการผสานความเชี่ยวชาญ เพื่อตอบโจทย์ Pain Point ของผู้ประกอบการออนไลน์อย่างแท้จริง”
เนื้อหา 5 ตอน ประกอบไปด้วย
![]()
· EP1 โอกาสการขายผ่าน e-commerce
· EP2 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจ Ecommerce ประสบความสำเร็จ
· EP3 ตั้งราคาสินค้าอย่างไรให้เหมาะสมและไม่ขาดทุน
· EP4 จัดการ Stock สินค้าให้ดีทุนไม่จม
· EP5 ขายออนไลน์ต้องรู้ เสียภาษีอย่างไร
ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจ สามารถรับชม วิดีโอสั้นชุด ‘Smart E-commerce Entrepreneur’ ทั้ง 5 ตอน ได้ทาง Shopee University, SeaAcademy.co และ LiVE Platform by SET
สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกองทุนสิ่งแวดล้อม ร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) จัดงานสัมมนาวิชาการกองทุนสิ่งแวดล้อม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖: เปิดตัวกองทุน ThaiCI (Thai Climate Initiative Fund) ภายใต้กองทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใหม่ที่สนับสนุนการดำเนินการกิจกรรมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย
นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นประธานในพิธีเปิดตัว “กองทุน ThaiCI ภายใต้กองทุนสิ่งแวดล้อม” เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2566 โดยมีนายฮานส์ อูลริช ซูดเบค อุปทูต สถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประจําประเทศไทย กล่าวแสดงความยินดี และมีปาฐกถาพิเศษจากนายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และนายฟิลิปป์ เบห์เรนส์ หัวหน้าแผนงานปกป้องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับสากล (IKI) กระทรวงเศรษฐกิจและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ (BMWK) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี พร้อมด้วยนายไรน์โฮลด์ เอลเกส ผู้อำนวยการองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย โดยมีส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษา องค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม ภาคเอกชน และสื่อมวลชน ประมาณ 200 ท่าน ร่วมงาน ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ (รางน้ำ) กรุงเทพมหานคร
กองทุน ThaiCI (Thai Climate Initiative fund) เป็นกลไกการเงินที่สนับสนุนการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย ที่ดำเนินการภายใต้กองทุนสิ่งแวดล้อม โดยได้รับเงินสนับสนุนสูงสุดถึง 6.5 ล้านยูโร จากแผนงานปกป้องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับสากล (IKI) โดยกระทรวงเศรษฐกิจและการดำเนินการ ด้านสภาพภูมิอากาศ (BMWK) ซึ่งประกอบด้วยการสนับสนุนด้านวิชาการ เพื่อการยกระดับขีดความสามารถด้านการดำเนินงานของกองทุนสิ่งแวดล้อม และการเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ดำเนินโครงการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเงินทุน (Seed funding) เพื่อสนับสนุนโครงการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย ทั้งโครงการด้านการลดก๊าซเรือนกระจก และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองปลัด ทส. กล่าวขอบคุณประเทศเยอรมนีสำหรับการเป็นพันธมิตรในการดำเนินงาน ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเน้นย้ำความมุ่งมั่นของไทยในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกลไกทางการเงิน (Finance Mechanism) ของรัฐและการขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากต่างประเทศจะเป็นปัจจัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยเหตุนี้ ความร่วมมือกับรัฐบาลเยอรมันในการจัดตั้งกองทุนภูมิอากาศของไทย หรือที่เรียกชื่อย่อว่า กองทุน ThaiCI (ไทย-กี้) ภายใต้กองทุนสิ่งแวดล้อม จึงถือเป็นหมุดหมายที่สำคัญอันจะนำไปสู่ผลสำเร็จในการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับสากล
นายฮานส์ อูลริช ซูดเบค อุปทูต สถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประจําประเทศไทย เน้นย้ำถึงการขยายความร่วมมือระหว่างไทยและเยอรมนีจากระดับการเมือง เศรษฐกิจ และประชาสังคม สู่การส่งเสริม
การพัฒนาที่ยั่งยืนพร้อมรับมือกับความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม “การเปิดตัว ThaiCI ซึ่งเป็นการริเริ่มการให้เงินทุนในการดำเนินโครงการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขนาดเล็ก-กลางในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ThaiCI จะเป็นกลไกทางการเงินในการนำด้านนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เปลี่ยนผ่านไปสู่การดำเนินการที่สร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
ในปาฐกถาหัวข้อกลไกทางการเงินในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปสู่ระดับพื้นที่ นายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช กล่าวว่า กองทุน ThaiCI จะสนับสนุนเงินให้กับหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษา องค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม (NGOs) และภาคเอกชน ในรูปแบบการเปิดรับข้อเสนอ (Call for Proposals) สำหรับโครงการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยคาดว่าจะเปิดรับข้อเสนอโครงการ ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2566 และกองทุน ThaiCI จะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยสามารถเป็นพันธมิตรกับแหล่งเงินทุนอื่น ๆ ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติม

นายฟิลิปป์ เบห์เรนส์ หัวหน้าแผนงาน IKI กระทรวงเศรษฐกิจและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ กล่าวถึงการฉลองครบรอบ 15 ปี ของแผนงานปกป้องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับสากล (IKI) และเน้นย้ำว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งประเทศที่กองทุน IKI ให้ความสำคัญ ทั้งนี้ ThaiCI เป็นโครงการนำร่องใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนแบบทวิภาคี (IKI Country Call) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเงินด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับประเทศไทย ซึ่ง ThaiCI มีความคล้ายคลึงกับ IKI Small Grants ที่สนับสนุนผู้ดำเนินการโครงการขนาดกลาง และขนาดเล็ก
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการอภิปรายในหัวข้อ "การต่อยอดขยายผลการจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปสู่การดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ซึ่งมีผู้ดำเนินโครงการด้านสิ่งแวดล้อมและ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมอภิปรายความสำคัญของการบูรณาการการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศเข้ากับ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับกองทุน ThaiCI กองทุนสิ่งแวดล้อม และการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของหน่วยงานภาคีเครือข่าย
นายไรน์โฮลด์ เอลเกส ผู้อำนวยการองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย แสดงความยินดีกับประเทศไทยในก้าวแรกของการมีเงินทุนเฉพาะด้านที่สนับสนุนงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมั่นใจว่ากองทุน ThaiCI จะเป็นรากฐานที่เข้มแข็งสำหรับประเทศไทยในการขับเคลื่อนการปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกของทุกภาคส่วนในเศรษฐกิจและสังคม ในนามของรัฐบาลกลางเยอรมัน GIZ จะยังคงทำงานร่วมกับประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเพื่อเปลี่ยนความมุ่งมั่นไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
ThaiCI เป็นส่วนหนึ่งของโครงการความร่วมมือ Thai-German Cooperation on Energy, Mobility and Climate Programme (TGC EMC) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 ของประเทศไทย โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจำนวน 26 ล้านยูโรจากกองทุน IKI ของ BMWK และดำเนินการผ่าน GIZ ในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2566-2570)
นายนิโคลา ฮิโรนิมุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวถึงตัวเลขผลประกอบการดังกล่าวว่า “ในสถานการณ์ตลาดความงามที่คึกคักกว่าเดิม ลอรีอัล กรุ๊ปมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น และสามารถเสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำระดับโลกช่วงครึ่งปีแรกได้มากขึ้น ธุรกิจเติบโตในวงกว้างในทุก ๆ แผนก ภูมิภาค กลุ่มผลิตภัณฑ์ และช่องทางการขาย ซึ่งถือเป็นการพิสูจน์อีกครั้งถึงรูปแบบการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการที่เน้นความหลากหลายและสร้างสมดุลของเรา
การเติบโตยังคงได้แรงขับเคลื่อน 2 จากปัจจัย คือ ปริมาณและมูลค่า ซึ่งพิสูจน์ความสำเร็จด้านนวัตกรรมและความต้องการในผลิตภัณฑ์ของเรา เพื่อให้วงจรการดำเนินงานที่ดีของเราดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เราสามารถทำกำไรได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็เพิ่มการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในแบรนด์ต่าง ๆ ของเรา พร้อมกันนี้ เรายังได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องกับการเปลี่ยนโฉมสู่การดำเนินงานที่มีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายทั้งด้านผลประกอบการและความยั่งยืน เพื่อสร้างมูลค่าในระยะยาว ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยังไม่มีความแน่นอน เรายังคงตั้งเป้าสูงต่อไป มองแนวโน้มตลาดความงามสดใส เชื่อมั่นในความสามารถที่จะเติบโตเหนือตลาดต่อไป และทำให้ยอดขายและผลกำไรในปี 2566 เติบโตยิ่งขึ้นไปอีก”
![]()
สรุปผลการดำเนินงานตามแผนก
แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ เติบโต 7.6%
การเติบโตในตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมขับเคลื่อนด้วยแบรนด์เคราสตาส (Kérastase) โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มขจัดรังแคซิมไบโอส (Symbiose) รวมทั้งแบรนด์ลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล (L’Oréal Professionnel) ที่ประสบความสำเร็จจากเมทัล ดีท็อกซ์ (Metal Detox) แผนกนี้ยังทำผลงานได้ดีในกลุ่มผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมด้วยเชดส์ อีคิว (Shades EQ) ไลน์ผลิตภัณฑ์ระดับตำนานโดยเรดเคน (Redken) และอินัว (Inoa) โดยลอรีอัล โปรเฟสชันแนล แผนกนี้ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการ “แฮร์สไตลิสต์เพื่ออนาคต” ซึ่งสนับสนุนช่างทำผมพันธมิตรเพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค เติบโต 15.0%
แต่ละแบรนด์เติบโตในระดับตัวเลขสองหลัก โดยผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมีความคึกคักมากที่สุดด้วยแรงหนุนจากฟอล์สซี่ เซอร์เรียล มาสคาร่า (Falsies Surreal Mascara) จาก เมย์เบลลีน นิวยอร์ก (Maybelline New York) เทเลสโคปิค ลิฟต์ มาสคาร่า (Telescopic Lift Mascara) จาก ลอรีอัล ปารีส (L’Oréal Paris) ส่วนผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมได้อานิสงส์จากกลยุทธ์ในการสร้างความพรีเมียมของแผนก โดยเฉพาะการเปิดตัวเอลวีฟ บอนด์ รีแพร์ (Elvive Bond Repair) ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ส่วนกลุ่มสกินแคร์ก็เติบโตในระดับตัวเลขสองหลักจากรีไวทัลลิฟต์ คลินิคัล วิตามิน ซี เอสพีเอฟ50+ (Revitalift Clinical Vitamin C SPF50+) ฟลูอิด ผลิตภัณฑ์ใหม่ของลอรีอัล ปารีส และเอเอชเอ บีเอชเอ (AHA BHA) ไลน์ผลิตภัณฑ์ป้องกันสิวตัวใหม่ของการ์นิเยร์ (Garnier)
แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง เติบโต 7.6%
กลุ่มน้ำหอมเติบโตแซงหน้าตลาด เติบโตในระดับตัวเลขสองหลักในทุกภูมิภาค จากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นจากแบรนด์ระดับกูตูร์ เช่น อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ (Yves Saint Laurent), พราด้า (Prada) และวาเลนติโน (Valentino) ส่วนในกลุ่มสกินแคร์นั้น แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงยังคงก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องด้วยความสำเร็จที่โดดเด่นของแบรนด์เฮเลนา รูบินสไตน์ (Helena Rubinstein) และการฟื้นตัวของแบรนด์ลังโคม (Lancôme) ในอเมริกาเหนือ ผนวกกับความสำเร็จของทาคามิ (Takami) ในญี่ปุ่น และล่าสุดในจีน กลุ่มเครื่องสำอางก็เติบโตด้วยเช่นกันจากความสำเร็จของอีฟส์ แซงต์ โลรองต์(Yves Saint Laurent) และผลการดำเนินงานที่น่าพอใจจากแบรนด์ระดับผู้เชี่ยวชาญอย่างเออร์เบิน ดีเคย์ (Urban Decay) และชู อูเอมูระ (Shu Uemura) ส่วนแบรนด์เอสอป (Aēsop) จะได้รวมข้อมูลในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อได้รับการอนุมัติตามขั้นตอน
แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง เติบโต 29.0%
ได้รับแรงขับเคลื่อนจากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของแผนก ประกอบกับการเดินหน้าในการทำงานกับแพทย์และเภสัชกร โดยทุกแบรนด์เติบโตสองหลัก ทั้งลา โรช-โพเซย์ (La Roche-Posay) ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ผลักดันการเติบโตเบอร์หนึ่งของแผนกก็ยังคงรักษาความแข็งแกร่งของแบรนด์ไว้ได้ จากผลิตภัณฑ์เอฟฟาคลาร์ (Effaclar), ซิคาพลาส (Cicaplast) และยูวีมูน 400 (UVmune 400) ส่วนเซราวี (CeraVe) ก็ยังคงเป็นแบรนด์ที่มีความคึกคักมากในอเมริกาเหนือ และเติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก วิชี่ (Vichy) ได้จากความสำเร็จของเดอร์คอส (Dercos) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด ส่วนผลิตภัณฑ์สกินซูติคัลส์ (SkinCeuticals) ก็ยังคงเป็นแบรนด์ที่มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และสกินเบทเทอร์ ไซเอนซ์ (SkinBetter Science) ที่เพิ่งซื้อกิจการมานั้น ก็เริ่มต้นได้อย่างมีศักยภาพ
สรุปผลการดำเนินงานของภูมิภาค SAPMENA-SSA (เอเชียแปซิฟิกใต้, ตะวันออกกลาง, แอฟริกาเหนือ, แอฟริกาใต้ซาฮารา) เติบโตขึ้น 23.6%1
![]()
ภูมิภาค SAPMENA ยังคงเติบโตทั้งปริมาณและมูลค่าอย่างโดดเด่นในระดับตัวเลขสองหลักในทุก ๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์และทุกแผนก กลุ่มสกินแคร์เป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ขับเคลื่อนภูมิภาคนี้ จากการเติบโตของแบรนด์เซราวี และการเติบโตที่แข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดของลา โรช-โพเซย์ เครื่องสำอางเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตเร็วที่สุดจากการฟื้นตัวของเมย์เบลลีน นิวยอร์ก ในขณะที่ผลิตภัณฑ์น้ำหอมก็ทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่งในวงกว้างอีกครั้ง
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลอรีอัลสามารถทำยอดขายได้อย่างแข็งแกร่ง และเติบโตโดดเด่นในประเทศไทย, มาเลเซีย และสิงคโปร์ ส่วนแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคในเวียดนามก็ได้รับแรงหนุนจากการขยายช่องทางอี-คอมเมิร์ซ ในขณะที่กลุ่มกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับมีการเติบโตที่ดีเยี่ยมในช่วงวันหยุดทางศาสนา และทุกประเทศในแอฟริกาใต้ซาฮารามีการเติบโตในระดับตัวเลขสองหลัก
เหตุการณ์สำคัญด้านนวัตกรรมและ ESG ของลอรีอัลเมื่อเร็ว ๆ นี้
การวิจัย, บิวตี้ เทค และดิจิทัล
· ลอรีอัล กรุ๊ปได้เปิดตัวโครงการริเริ่มด้านไบโอเทคที่สำคัญ ๆ หลายโครงการ โดยกองทุนบีโอแอลดี (BOLD) ซึ่งเป็นกองทุนร่วมทุนของลอรีอัลได้ลงทุนในบริษัทเดบูท์ (Debut) บริษัทไบโอเทคของสหรัฐเพื่อร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มที่ประกอบไปด้วยส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และมีความยั่งยืนมากขึ้นกว่า 7,000 รายการ
โครงการพัฒนาร่วมกันระหว่างลอรีอัล และเดบูท์มีเป้าหมายเพื่อเร่งระยะเวลาในการเปิดตัวสินค้าสู่ตลาด นอกจากนี้ ลอรีอัลยังได้ประกาศการเป็นพันธมิตรกับบาการ์ แล็บส์ (Bakar Labs) โครงการบ่มเพาะด้านไบโอเทคระดับบุกเบิกแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ซึ่งเป็นความร่วมมือที่ทำให้สตาร์ทอัพของบาการ์ แล็บส์มีช่องทางที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงโมเดลผิวพรรณที่สร้างขึ้นมาใหม่ในรูปแบบ 3 มิติของลอรีอัล ซึ่งเป็นเครื่องมือด้านนวัตกรรมสำหรับการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ปราศจากการทดสอบกับสัตว์
· ในงานวีว่า เทคโนโลยี 2566 (Viva Technology 2023) ลอรีอัล กรุ๊ปเปิดตัวนวัตกรรมบิวตี้ เทคใหม่ล่าสุด ได้แก่ โซลูชั่นเพื่อรองรับความหลากหลายทุกรูปแบบ เช่น แฮปตา (HAPTA) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ที่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวมือสามารถแต่งหน้าได้ เครื่องมือสำหรับวินิจฉัย ได้แก่ สปอตสแกน (SPOTSCAN), เมตา โปรไฟเลอร์ (META PROFILER™), เค-สแกน K-SCAN) โซลูชั่นเพื่อการสร้างสรรค์ความงามเฉพาะบุคคล ได้แก่ ทรีดี ชู:บราว (3D shu:brow) และโซลูชั่นเพื่อความยั่งยืน เช่น วอเตอร์ เซฟเวอร์ (WATER SAVER) ของลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล ซึ่งช่วยประหยัดการใช้น้ำไปมากกว่า 66 ล้านลิตรแล้วจนถึงปัจจุบัน
· ลอรีอัล และเวริลี (Verily) บริษัทเทคโนโลยีสุขภาพแบบพุ่งเป้าในเครืออัลฟาเบท (Alphabet) ประกาศการเปิดตัวมาย สกิน แอนด์ แฮร์ เจอร์นีย์ (My Skin & Hair Journey) ซึ่งเป็นโครงการศึกษาสุขภาพผิวพรรณและเส้นผมระยะเวลาหลายปีที่มีความหลากหลายที่สุด และครั้งใหญ่ที่สุดในโลก โดยการศึกษาซึ่งมีผู้หญิงในสหรัฐเข้ามามีส่วนร่วมนับพันคนนี้ จะช่วยให้นักวิจัยเข้าใจปัจจัยทางชีวภาพ, คลินิก และสิ่งแวดล้อมซึ่งมีส่วนสนับสนุนสุขภาพผิวพรรณและเส้นผมได้ดีขึ้น
· ในการประชุมแพทย์ผิวหนังโลก (World Congress of Dermatology - WCD) ที่สิงคโปร์ ลอรีอัลเปิดเผยรายงานวิจัยชิ้นใหม่ว่าด้วยภาวะผิดปกติของเม็ดสีผิว และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่มีต่อผิวและหนังศีรษะของผู้หญิง
ผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
· ลอรีอัลได้รับการรับรองจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส โกลบอล สำหรับผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน โดยได้คะแนนด้านสิ่งแวดล้อม, สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) 85 คะแนนจาก 100 คะแนน ตอกย้ำถึงการเปลี่ยนโฉมที่ยั่งยืนของลอรีอัลไปสู่รูปแบบธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ และตอบรับความหลากหลายมากขึ้นด้วยการดำเนินการตามกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน
· ในงานมอบรางวัลนานาชาติเพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ครั้งที่ 25 ของลอรีอัล-ยูเนสโก นักวิทยาศาสตร์หญิง 5 คนได้รับการยกย่องสำหรับผลงานที่โดดเด่น และมีการมอบเหรียญเกียรติยศ รวมทั้งทุนให้แก่นักวิจัย 3 คนที่ถูกสถานการณ์บีบให้ต้องหลบหนีออกจากประเทศ และแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ ความอดทน และความมุ่งมั่นที่มีต่อวิทยาศาสตร์อย่างน่ายกย่อง
· เนื่องในวันคุ้มครองโลก ลอรีอัลได้ประกาศ 3 โครงการใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูธรรมชาติ (Fund For Nature Regeneration) ของบริษัท ได้แก่ โครงการเน็ทซีโร่ (NetZero), รีฟอเรสเทอร์รา (ReforesTerra) และแมงโกรฟส์ (Mangroves) โครงการเหล่านี้ได้รับคัดเลือกเนื่องจากวิธีการที่เป็นนวัตกรรมในการกักเก็บคาร์บอนในดิน, การปลูกป่า และการฟื้นฟูป่าชายเลน รวมทั้งศักยภาพในการสร้างผลกระทบเชิงบวกในวงกว้างต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนท้องถิ่น
· ลอรีอัลได้รับการจัดอันดับจากฟาสต์ คอมพานี (Fast Company) ให้เป็นหนึ่งในสถานที่ทำงานที่ดีที่สุด100 อันดับแรกสำหรับนวัตกร ประจำปี 2566 ซึ่งยกย่ององค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมในทุกระดับ
CK ประกาศงบไตรมาส 2/2566 มีกำไรสุทธิ 704 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ในงวดเดียวกัน 283% และมีรายได้ก่อสร้าง 18,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77.34% และมีรายได้รวม 19,456 ล้านบาท
นายณัฐวุฒิ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เปิดเผยว่าสำหรับผลการดำเนินงาน งวด 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีผลประกอบการค่อนข้างดีเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งเป็นผลมาจากความคืบหน้าของโครงการทั้งในและต่างประเทศ โดยบริษัทมีรายได้ก่อสร้างงวด 6 เดือนอยู่ที่ 18,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77.34% มีรายได้รวม 19,456 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.56% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2565 สาเหตุหลักมาจากโครงการสำคัญของบริษัท ได้แก่ โครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงด้านใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ได้เข้าสู่ช่วงของเนื้องานหลักทำให้รับรู้รายได้เข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง สร้างกำไรสุทธิให้บริษัทในครึ่งปีแรกได้ 704 ล้านบาท มีอัตรากำไรขั้นต้นเติบโตกว่าในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาจาก 7.10% เป็น 7.36%
นอกจากนี้ CK จะมีการลงนามโครงการก่อสร้างอีก 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการทางหลวงหมายเลข 118 สายเชียงใหม่ - เชียงราย ตอนที่ 3 มูลค่า 800 ล้านบาท จะลงนามในวันที่ 16 สิงหาคม 2566 และโครงการโรงบำบัดน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียธนบุรี สัญญาที่ 1 มูลค่า 2,404 ล้านบาท คาดว่าจะลงนามได้ภายในปลายไตรมาสที่ 3 ทำให้ภาพรวมผลประกอบการในไตรมาส 3/2566 ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องและสามารถเติบโตได้จาก Backlog ในปัจจุบันซึ่งมีมูลค่าราว 140,000 ล้านบาท ทั้งนี้ CK ยังมีศักยภาพในการเข้าประมูลแข่งขันโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐในอนาคตได้อีกหลายโครงการ อาทิ โครงการรถไฟทางคู่ เฟสที่ 2 โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง โครงการทางพิเศษฉลองรัชส่วนต่อขยาย โครงการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานกรุงเทพ(ดอนเมือง)
เฟส 3พร้อมจ่ายเงินปันผล
ในส่วนการจ่ายเงินปันผลคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในงวดวันที่ 1 ม.ค. ถึง 30 มิ.ย. 2566 ในอัตรา 0.15 บาท/ หุ้น มูลค่ารวม 254 ล้านบาท โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 28 ส.ค. 2566 และวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (record date) ในวันที่ 29 ส.ค. 2566 ซึ่งจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 12 ก.ย. 2566
บริษัทลูกแข็งแกร่ง
นายณัฐวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า CK ยังได้อานิสงส์จากส่วนแบ่งกำไรและเงินปันผลจากบริษัทในกลุ่ม อย่างบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) “BEM” บริษัท ซีเคพาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) “CKP” และบริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) “TTW” ที่ช่วยสนับสนุนผลประกอบการได้เป็นอย่างดี โดยในไตรมาสนี้ CK มีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมจำนวน 255 ล้านบาท และยังได้รับเงินปันผลเข้ามาจาก TTW จำนวน 232 ล้านบาทอีกด้วย
![]()
จากสถิติฐานผู้เรียนและยอดผู้สมัครเรียนเพิ่มขึ้น 400% นับตั้งแต่ช่วงโควิด Coursera มุ่งขยายตลาดสู่กลุ่มลูกค้าธุรกิจและสถาบันอุดมศึกษากว่า 40 ราย
คอร์สเซรา (Coursera) (NYSE: COUR) แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ชั้นนำ ประกาศหลายโครงการความร่วมมือและการปรับเสริมหลักสูตรพร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อให้ผู้เรียนในประเทศไทยสามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนระดับบุคคลและระดับสถาบันการศึกษาต่างๆ ในไทยได้อย่างครอบคลุมทั่วถึง
คอร์สเซราได้เปิดตัวแคตตาล็อกเนื้อหาการเรียนรู้จำนวนมากในภาษาไทย รวมถึงหลากหลายฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อนำเสนอประสบการณ์การเรียนรู้ออนไลน์ตามความต้องการเฉพาะบุคคลได้มากขึ้น และช่วยให้ผู้เรียนสามารถมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบ (Interactive) กับบทเรียนได้มากขึ้นด้วย สามารถรับชมวิดีโอเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ได้ที่นี่ โดยปัจจุบันผู้เรียนชาวไทยสามารถเข้าถึงหลักสูตรชั้นนำอย่าง The Science of Well-Being จาก Yale University, Excel Skills for Business: Essentials จาก Macquarie University, Programming for Everybody จาก University of Michigan และ What is Data Science? จากไอบีเอ็มซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีเฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้น นอกจากนี้ คอร์สเซรายังได้ประกาศเปิดตัวกลุ่ม
ลูกค้าองค์กรและสถาบันอุดมศึกษารายใหม่ เนื่องจากสถาบันต่างๆ ทั่วประเทศเปิดรับการเรียนรู้แบบออนไลน์เพื่อเสริมทักษะด้านดิจิทัลให้กับพนักงานขององค์กรและนิสิตนักศึกษา ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของคอร์สเซราที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยผู้เรียนมากกว่า 800,000 คนจากประเทศไทยได้ลงทะเบียนเรียนหลักสูตรของคอร์สเซรากว่า 1.5 ล้านหลักสูตร ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นถึงสี่เท่านับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด
![]()
นายเจฟฟ์ มาจจิออนคัลดา (Jeff Maggioncalda) ประธานกรรมการบริหารของคอร์สเซรา กล่าวว่า "โอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจำเป็นต้องอาศัยการบ่มเพาะแรงงานบุคลากรที่มีทักษะ ความคล่องตัว และมีความสามารถที่หลากหลาย ภารกิจของเราคือการช่วยให้ผู้คนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพระดับเวิลด์คลาสได้จากทั่วโลก และวันนี้ถือเป็นก้าวแห่งการพัฒนาครั้งสำคัญเมื่อเรานำเทคโนโลยี AI มาปรับใช้เพื่อลดช่องว่างด้านภาษาและการเรียนรู้เพื่อผู้เรียนนับล้านรายทั่วประเทศ ด้วยหลักสูตรที่แปลโดย AI มากกว่า 2,000 หลักสูตรที่เปิดสอนเป็นภาษาไทยในขณะนี้ ผู้เรียนชาวไทยสามารถเข้าถึงบทเรียนที่สอนโดยนักการศึกษาที่ดีที่สุดในโลกได้อย่างหลากหลายและสะดวกสบาย ซึ่งจะช่วยติดอาวุธเพิ่มศักยภาพให้พวกเขาด้วยทักษะที่จำเป็นต่อการเติบโตในโลกดิจิทัลที่มี AI เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญได้”
ไฮไลต์สำคัญ ได้แก่
● ปัจจุบันมีหลักสูตรภาษาไทยมากกว่า 2,000 หลักสูตร รวมถึงหลักสูตรที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย เช่น การเรียนรู้ของเครื่องภายใต้การดูแลการถดถอยและการจำแนกประเภทจาก DeepLearning.AI และ Stanford รวมถึง ตลาดการเงินจาก Yale และวิธีการเรียนรู้ Deep Teaching Solutions ตอนนี้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงการอ่านหลักสูตร คำบรรยายในวิดีโอบรรยายบทเรียน ไปจนถึงแบบทดสอบ การประเมิน คำแนะนำในการทบทวนบทเรียน และคำแนะนำสำหรับการอภิปราย ซึ่งเป็นภาษาไทยทั้งหมด ผู้เรียนจะสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่แปลแล้วได้ในเบื้องต้นเมื่อลงทะเบียนในหลักสูตร Coursera for Business และ Coursera for Government โดยจะเผยแพร่แก่ผู้เรียนทุกคนก่อนสิ้นปี 2566 นี้ ● Coursera Coach (เบต้า) สำหรับสมาชิก Coursera Plus - ผู้ช่วยการเรียนรู้เสมือนจริงที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งให้ข้อเสนอแนะรายบุคคล รวมถึงตอบคำถาม และสรุปวิดีโอการบรรยายและแหล่งข้อมูล ผู้สอนจะสนับสนุนผู้เรียนด้วยการโต้ตอบเป็นภาษาไทย
● ปลั๊กอิน Coursera ChatGPT – นำเสนอการค้นหาบทเรียนแบบส่วนตัวในแคตตาล็อกบทเรียนของคอร์สเซรา ทำให้ผู้เรียนที่ใช้ GPT-4 สามารถแนะนำเนื้อหาและข้อมูลประจำตัวได้อย่างรวดเร็วเพื่อช่วยพัฒนาทักษะในสาขาวิชาหรือสาขาอาชีพที่กำหนด
● การสร้างหลักสูตรโดยใช้ AI - เครื่องมือสร้างหลักสูตรที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งผู้เรียนที่เป็นมนุษย์ต้องทำการป้อนคำแนะนำหรือคำถามที่ต้องการเข้าไป จะสร้างเนื้อหาโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างหลักสูตร คำอธิบาย การอ่าน การบ้าน และอภิธานศัพท์ ลูกค้าองค์กรและมหาวิทยาลัยยังสามารถใช้ฟีเจอร์นี้สำหรับการเขียนงานหรือหลักสูตรแบบเป็นความลับ โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญภายในเพื่อสร้างหลักสูตรที่กำหนดเองและผสมผสานเข้ากับเนื้อหาที่แนะนำจากเหล่าพันธมิตรที่เข้าร่วมในคอร์สเซรา ซึ่งขณะนี้ฟีเจอร์ดังกล่าวอยู่ระหว่างการนำร่องปรับใช้เบื้องต้นกับลูกค้าที่ได้รับการคัดเลือก
● ความร่วมมือใหม่และการขยายความร่วมมือกับลูกค้า Coursera for Business 7 ราย ได้แก่ Egg Digital, บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), บริษัท Card X จำกัด, กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีกสิกรไทย, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน), บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) รวมลูกค้าองค์กรในไทยในปัจจุบันทั้งหมด 27 ราย
● ความร่วมมือใหม่และการขยายความร่วมมือกับลูกค้าของ Coursera for Campus 4 แห่ง ได้แก่ ศูนย์การศึกษาทั่วไปและ คณะวิศวกรรมศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ รวมลูกค้าสถาบันอุดมศึกษาในไทย 15 ราย
● นวัตกรรมแพลตฟอร์มเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลและสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่เข้าถึงได้ โดย 44% ของผู้เรียนชาวไทยใช้อุปกรณ์ดีไวซ์พกพาเพื่อเข้าถึงบทเรียนของคอร์สเซรา และช่วยให้ผู้เรียนสามารถดาวน์โหลดหลักสูตร ติดตามความคืบหน้าและแบบทดสอบ จดบันทึกพร้อมไฮไลต์ และเชื่อมต่อเข้าถึงปฏิทินการเรียน ซึ่งปรับให้เหมาะสมสำหรับการใช้ข้อมูลน้อยได้อย่างง่ายดาย
ด้วยความต้องการการเรียนรู้ออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น คอร์สเซรามีเป้าหมายที่จะช่วยลดช่องว่างทักษะดิจิทัลของไทยเพื่อสนับสนุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งแรงงานที่มีทักษะดิจิทัลขั้นสูงจะมีส่วนช่วยให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDP ของไทยเพิ่มมูลค่าประมาณ 75.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะดิจิทัลยังส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แรงงานในไทยที่ใช้ทักษะดิจิทัลขั้นสูง รวมถึงสถาปัตยกรรมคลาวด์และการพัฒนาซอฟต์แวร์ จะได้รับเงินเดือนสูงขึ้น 57% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ใช้ทักษะเหล่านี้ในการทำงาน
![]()
“เทคโนโลยีเกิดใหม่ เช่น Generative AI กำลังเข้ามาพลิกโฉมวิธีการที่เราเรียนรู้ สอน และทำงานไปอย่างสิ้นเชิง” นายรากาฟ กุปตา (Raghav Gupta) กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของคอร์สเซรา กล่าว “ด้วยจำนวนงานที่ใช้ทักษะดิจิทัลและการทำงานทางไกลที่เพิ่มมากขึ้น เรามุ่งมั่นที่จะเสริมศักยภาพให้กับผู้เรียนชาวไทยและสถาบันการศึกษาด้วยคุณภาพเนื้อหาบทเรียนและนวัตกรรม AI เพื่อลดช่องว่างระหว่างผู้เรียนในพื้นที่ห่างไกลกับพื้นที่เมือง และสร้างสังคมทักษะแรงงานที่มีความสามารถร่วมกัน" รายงานผลลัพธ์ของผู้เรียนประจำปี 2566 ของคอร์สเซรา เผยว่า ผู้เรียนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้พูดถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้เนื้อหาบทเรียนบนคอร์สเซรา โดย 86% กล่าวว่าได้ประโยชน์ด้านอาชีพ และ 97% กล่าวว่าได้ประโยชน์ส่วนบุคคลด้วยฐานผู้เรียนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในไทยที่ปัจจุบันสามารถให้บริการเนื้อหาภาษาไทยได้แล้ว คอร์สเซราจึงถือเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ชั้นนำที่ช่วยส่งมอบทักษะจำเป็นแห่งอนาคตเพื่อบ่มเพาะความสามารถของเยาวชนไทย
ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2566 คอร์สเซรามอบหลักสูตรภาษาไทยฟรี จำนวน 5 หลักสูตรแก่ผู้เรียนชาวไทยทั่วประเทศ อย่าพลาดโอกาสในการลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านลิงก์นี้ https://www.coursera.org/promo/thai-aug-2023
ธุรกิจ Business Analytics & Development บริษัท เอ้ก ดิจิทัล ให้บริการโซลูชันที่ปรึกษาด้านข้อมูลและวิเคราะห์บิ๊กดาต้าครบวงจรที่ขับเคลื่อนด้วย AI “Business Analytics as a Service - Powered by AI Engine” รุกชิงส่วนแบ่งตลาดบิ๊กดาต้ามูลค่า 14,000 ล้าน เดินหน้าให้บริการใน 5 อุตสาหกรรมหลัก “ค้าปลีก-ธุรกิจสื่อ-การเงิน-ประกัน-ยานยนต์” ซึ่ง Data Science และเทคโนโลยี AI, Machine Learning ขั้นสูงของ EGG Digital จะเป็นขุมพลังที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กรธุรกิจนั้นๆ อย่างตรงจุด โดยพร้อมดูแลและจัดการข้อมูลได้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ มอบบริการแบบ End-to-End มีความยืดหยุ่นสูง วางแผน กำหนดกลยุทธ์ และออกแบบจัดการข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงลึกได้หลากหลายมิติ ตอบอินไซต์และการดำเนินงานตามโจทย์ทางธุรกิจ เสริมศักยภาพความแข็งแกร่งการแข่งขันให้กับองค์กรต่างๆ ช่วยเพิ่มรายได้-ลดต้นทุน-ลดความเสี่ยง โดย EGG Digital ตั้งเป้ารายได้เติบโตก้าวกระโดด 30% ในปี 2566 นี้
![]()
นายวรภัทร งามเจตวรกุล ผู้จัดการทั่วไปธุรกิจ Business Analytics & Development บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่า “ธุรกิจยุคใหม่ต่างหันมาให้ความสำคัญกับการใช้ข้อมูลและมีความต้องการขับเคลื่อนธุรกิจด้วย Data-Driven Analytics โดยใช้ประโยชน์จากบิ๊กดาต้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งเอ้ก ดิจิทัล ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์เชิงลึกจากข้อมูลขนาดใหญ่และ ผู้ให้บริการที่ปรึกษาทางธุรกิจ ได้นำเสนอบริการให้คำปรึกษาด้านข้อมูลและวิเคราะห์บิ๊กดาต้าครบวงจรที่ขับเคลื่อนด้วย AI หรือ Business Analytics as a Service - Powered by AI Engine เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจตลอดเส้นทางให้กับองค์กรธุรกิจ เพิ่มรายได้ ลดต้นทุน และลดความเสี่ยง โดยที่ผ่านมาเอ้ก ดิจิทัล ได้เข้าไปช่วยจัดการข้อมูลในด้านต่าง ๆ ให้กับหลากหลายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจรีเทลชั้นนำขนาดใหญ่ และ FMCG รวมกว่า 200 แบรนด์ ซึ่งเราได้นำผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีขั้นสูงเข้าไปช่วยจัดการกับข้อมูล พร้อมสร้างคุณค่าในหลากหลายมิติ อาทิ เพิ่มอัตราเติบโตเฉลี่ย (Growth), อัตราส่วนยอดขายต่อค่าใช้จ่าย (Sales to Cost Ratio), ค่าเฉลี่ยอัตราตอบรับการตลาดจากลูกค้า (Conversion) ให้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ”
ธุรกิจ Business Analytics & Development ภายใต้เอ้ก ดิจิทัล ดำเนินงานโดยวางจุดยืนเป็นพาร์ทเนอร์คู่คิดของทุกธุรกิจในทุกสเกล มีบริการครอบคลุมทั้งด้านให้คำปรึกษาทางธุรกิจ (Business Consult) และด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) โดยใช้หลักการ “Always-on Power of Two” เป็นหัวใจสำคัญในการให้บริการคือ ผสานความเข้าใจ การวิเคราะห์ บริบททางธุรกิจ (Business Context) และการใช้ศาสตร์ด้านข้อมูลขั้นสูง (Advanced Data Science) ทั้ง Cloud Computing, AI ซึ่งรวมถึงการใช้ Generative AI, และ Machine Learning ที่สามารถออกแบบบริการและ Customize ให้ตอบโจทย์แต่ละธุรกิจอย่างเหมาะสมด้วยรูปแบบ Business Analytics as a Service - Powered by AI Engine พร้อมมีผู้เชี่ยวชาญดูแลแบบ End-to-End ตั้งแต่การสำรวจปัญหาและความต้องการ นำดาต้าของลูกค้าผนวกกับบิ๊กดาต้าของเอ้ก ดิจิทัล เพื่อวิเคราะห์เชิงลึกเป็นอินไซต์ทางธุรกิจ รวมถึงสามารถออกแบบกลยุทธ์และข้อเสนอแนะที่สร้างผลลัพธ์เชิงบวกที่ยั่งยืนให้กับลูกค้าด้วยอัตราค่าบริการที่เหมาะสม
โดยบริการ Business Analytics as a Service – Powered by AI Engine ของเอ้ก ดิจิทัล ประกอบด้วย 5 บริการหลัก ได้แก่ 1. Data Management as a Service – บริการดูแลจัดการข้อมูลครบวงจร (Data Discovery, Cleansing, Consolidation, Cloud, Query, Visualization) 2. Data Platform & Enrichment as a Service – บริการ Data Mart, Customer Data Platform (CDP),
Analytics Platform ทั้งแบบมาตรฐานและแบบ customize, Data Enrichment บริการข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์รอบด้าน (Customer 360/720 องศา) 3. Data Analytics as a Service – บริการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกทุกมิติ ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน เชิงบรรยาย (Descriptive), เชิงการพยากรณ์แนวโน้ม (Predictive), และขั้นสูงแบบให้คำแนะนำ เชิงการประมวลฉากทัศน์และผลลัพธ์ในแง่มุมต่าง ๆ (Prescriptive) ด้วยเทคโนโลยี AI และ ML 4. Business Consulting as a Service – บริการให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีข้อมูลที่เชื่อมโยงกับกลยุทธ์และการดำเนินธุรกิจโดยผู้ที่มีประสบการณ์ตรงกับธุรกิจต่าง ๆ 5. Customer Experience Enhancement as a Service – บริการให้คำปรึกษา วางแผนกลยุทธ์ และดำเนินการด้านการพัฒนาประสบการณ์ลูกค้า (CX/CI) รวมถึงเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และ Touchpoints ต่าง ๆ
![]()
นายวรภัทร กล่าวต่อว่า “จากผลสำรวจพบว่า ตลาด Big Data Analytics มีอัตราการเติบโต 12-15% ต่อปี* โดยคาดการณ์ว่า ในปีนี้ตลาดจะมีมูลค่าประมาณกว่า 14,000 ล้านบาท ซึ่งมองว่า ตลาดบิ๊กดาต้าในประเทศไทยยังมีโอกาสทางการตลาดอยู่อีกมาก เมื่อเทียบกับตลาดในเอเชียและตลาดโลก ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนที่จะขยายการให้บริการในธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น โดยมุ่งเป้าไปที่ 5 ธุรกิจหลักที่มีความต้องการใช้บิ๊กดาต้าในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมาก ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก หลังจากช่วงโควิด-19 ธุรกิจรีเทลแบบออฟไลน์เริ่มกลับมาคึกคักมากขึ้น การใช้บิ๊กดาต้าจะเข้าไปช่วยกำหนดโมเดลทางการตลาดไม่ว่าจะเป็น 4Rs (Recognize, Remember, Recommend, Relevance) และ 4Ps เพื่อทำการตลาดแบบเฉพาะเจาะจง ตอบอินไซต์ผู้บริโภคได้มากขึ้น ธุรกิจสื่อ กลับมาฟื้นตัวได้อย่างน่าสนใจโดยเฉพาะการใช้สื่อแบบ O2O2O ที่เกิดจากการวิเคราะห์ บิ๊กดาต้าและวัดผลการใช้สื่อได้อย่างครบลูป ธุรกิจการเงิน มีการนำบิ๊กดาต้ามาใช้มากที่สุดผ่าน FinTech อาทิ การวิเคราะห์ Credit Scoring และการประมวลผลเพื่อการดำเนินงานที่ดีที่สุด พร้อมทั้งการลดความเสี่ยงของธนาคารและสถาบันการเงิน เพื่อธุรกิจรายย่อยจนถึงรายใหญ่ ธุรกิจประกัน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างโดดเด่น มีการนำบิ๊กดาต้ามาใช้เพื่อนำเสนอบริการและเบี้ยประกันที่หลากหลาย ตรงตามพฤติกรรมลูกค้ากรมธรรม์ที่เปลี่ยนไปได้อย่างดี และธุรกิจยานยนต์ ซึ่งคำนึงถึงการมอบประสบการณ์ตั้งแต่ก่อนขาย ระหว่างการขาย และหลังการขายด้วยการใช้บิ๊กดาต้า”
“บริษัทฯ มั่นใจว่าบริการ Business Analytics as a Service - Powered by AI Engine จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพลิกธุรกิจลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ สู่ Data-driven เพื่อสามารถเพิ่มยอดขาย ลดค่าใช้จ่าย และลดความเสี่ยงในการตัดสินใจ โดยบริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลข้อมูลของลูกค้าด้วยมาตรฐาน 3 ชั้น เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าข้อมูลจะถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีที่สุด ทั้งการกำกับดูแลข้อมูลภายในให้เป็นไปตามมาตรฐานระดับสูง การกำกับดูแลข้อมูลตามพรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พรบ. การแข่งขันทางการค้า และมาตรฐานทางกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและสถาปัตยกรรมขั้นสูงเพื่อป้องกันการรั่วไหลและรักษาความปลอดภัยของข้อมูล โดยตั้งเป้าปีนี้ เพิ่มรายได้ธุรกิจ Business Analytics & Development เติบโต 30% ปีนี้ ขยายจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น 10% และช่วยดันตลาดบิ๊กดาต้าไทยเติบโตต่อเนื่อง” นายวรภัทร กล่าวทิ้งท้าย
การ์ทเนอร์คาดการณ์มูลค่าการใช้จ่ายบริการ Contact Center (CC) และ CC Conversational AI รวมถึงผู้ช่วยลูกค้าแบบเสมือนจริง หรือ Virtual Assistant ทั่วโลก ในปี 2566 จะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 18.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 16.2% จากปี 2565
![]()
เมแกน มาเรค เฟอร์นันเดซ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า "อัตราการเติบโตของการลงทุนระยะสั้นใน CC และ CC Conversational AI รวมถึง Virtual Assistants คาดว่าจะลดลง เนื่องจากความผันผวนของธุรกิจทำให้รอบการตัดสินใจลงทุนกินเวลานานขึ้น โดยในการลงทุนระยะยาว Generative AI และการเติบโตของ Conversational AI จะเร่งการเปลี่ยนแพลตฟอร์ม Contact Center เนื่องจากหัวหน้าทีมที่ดูแลด้านประสบการณ์ลูกค้า (CX) มองหาแนวทางเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการและการมอบประสบการณ์ลูกค้าโดยรวมไปพร้อมกัน”
![]()
ตลาดบริการ Conversational AI และ Virtual Assistant ทั่วโลก เป็นกลุ่มบริการที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในตลาด Contact Center โดยกระตุ้นการเติบโตถึง 24% ในปี 2567 (ดูตารางที่ 1) ซึ่งความสามารถของ Conversational AI กำลังได้รับการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากผู้มีอำนาจตัดสินใจในธุรกิจกำลังวางแผนรวมบริการ Conversational AI เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อลดการพึ่งพาตัวแทนให้บริการลูกค้า ขณะที่ปริมาณการโต้ตอบของฝ่ายบริการลูกค้าที่ทำงานผ่านเทคโนโลยี AI ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยการโต้ตอบส่วนใหญ่นี้ถูกเสริมประสิทธิภาพด้วย CC AI แทนที่การโอนถ่ายไปยังตัวแทนเสมือนทั้งหมดแบบเดิม การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2566 3% ของการโต้ตอบจะได้รับการจัดการผ่าน CC AI และเพิ่มขึ้นเป็น 14% ในปี 2570
ตารางที่ 1 คาดการณ์มูลค่าการใช้จ่ายใน Contact Center และ CC Conversational AI และ Virtual Assistant ของผู้ใช้ทั่วโลก (หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
![]()
ยอดใช้จ่าย ปี 2565 ยอดการเติบโต ปี 2565 (%) ยอดใช้จ่าย ปี 2566 ยอดการเติบโต ปี 2566 (%) ยอดใช้จ่าย ปี 2567 ยอดการเติบโต ปี 2567 (%)
16,077 17.6 18,690 16.2 23,171 24.0
ที่มา: การ์ทเนอร์ (กรกฎาคม 2566)
การ์ทเนอร์คาดว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์จะก่อให้เกิดข้อจำกัดด้านงบประมาณในปี 2566 ส่งผลให้โครงการเปลี่ยนหรืออัปเกรดระบบ Contact Center แบบตั้งอยู่ในองค์กรชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม ในโครงการที่ต้องพบปะลูกค้าถูกมองว่าจะเป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์การรักษาและสร้างรายได้
“นั่นหมายความว่าเมื่อการลงทุนด้านไอทีหลายด้านลดลงจากการตัดงบประมาณ ส่งผลให้การบริการลูกค้าและการริเริ่มสนับสนุนเพิ่มศักยภาพในบริการเพื่อสร้างความต่างแก่ประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับหรือการปรับปรุงการดำเนินงานในบริการลูกค้าอาจได้รับการลงทุนง่ายขึ้นแบบซื้อเข้ามาใช้ (Buy-In) ซึ่งปัจจัย
เหล่านี้ช่วยเสริมให้โครงการ Contact Center as a Service (CCaaS) ได้รับเงินทุนจากงบประมาณที่จัดสรรไว้สำหรับการทำดิจิทัลทรานฟอร์มเมชันขององค์กรมากขึ้น” มาเรค เฟอร์นันเดซ กล่าวเพิ่มเติม
การ์ทเนอร์คาดว่าการลงทุน CCaaS จะเติบโตรวดเร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้มีอำนาจตัดสินใจใช้ความสามารถของ Contact Center บนคลาวด์เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานบริการลูกค้าให้ทันสมัย ซึ่งรวมถึงการนำไปใช้ในระบบ Contact Center ที่มีตัวแทนดูแลลูกค้าหลายพันราย ที่มีการนำ CCaaS ไปใช้ได้ช้า ในฐานะที่ CCaaS เป็นส่วนหนึ่งของโครงการปรับปรุงให้ทันสมัย โซลูชัน CCaaS จะใช้เพื่อสนับสนุนช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายยิ่งขึ้น และจะนำเสนอแดชบอร์ดขั้นสูง การวิเคราะห์ การกำหนดเส้นทาง การเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากร (Workforce Optimization หรือ WFO) เพิ่มความรู้และข้อมูลเชิงลึก รวมถึงความสามารถการสนทนาของ AI