December 16, 2025

บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด (Token X) บริษัทในกลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ร่วมกับ บริษัท ซินเนอร์เจติค ออโต้ เพอร์ฟอร์มานซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ asap ผู้ให้บริการรถยนต์ให้เช่าของประเทศไทย ประกาศความสำเร็จในการพัฒนา “Utility Token พร้อมใช้” ภายใต้ชื่อโทเคน “asap coin”

มุ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางและรถยนต์ที่หลากหลายของบริษัทได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส พร้อมสร้างการมีส่วนร่วม (Customer Engagement) ระหว่างลูกค้าและองค์กรด้วยสิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ด้านการเดินทางที่เหนือกว่าและไม่เคยมีมาก่อน ผ่านการนำระบบบล็อกเชนและ Tokenization มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างมิติใหม่กับธุรกิจให้บริการรถเช่าครบวงจรของประเทศไทย โดยเปิดให้ลูกค้าสามารถใช้งาน “asap coin” บนแอปพลิเคชัน asap ได้แล้ววันนี้ โดยความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Token X ในการเป็น “Tokenization Success Partner” ร่วมสร้างความสำเร็จร่วมกับลูกค้าองค์กรจากหลากหลายอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศไทย

 

นายทรงวิทย์ ฐิติปุญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเนอร์เจติค ออโต้ เพอร์ฟอร์มานซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ asap กล่าวว่า “asap ในฐานะผู้ให้บริการรถยนต์ให้เช่าชั้นนำของเมืองไทย เรายังคงเดินหน้าสานต่อกลยุทธ์ธุรกิจหลักในการมุ่งขยายฐานลูกค้าจากกลุ่มลูกค้าองค์กรไปสู่กลุ่มลูกค้ารายย่อยเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่รองรับทุกไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจการเดินทางและรถยนต์แบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการ บริการรถยนต์ให้เช่าระยะสั้น (Drive) บริการรถยนต์ให้เช่าพร้อมคนขับ (Limousine) ไลฟ์สไตล์ สตรีทมอลล์ (asap Auto Park) แฟรนไชส์ asap Select แพลตฟอร์มซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยน และประมูลออนไลน์ (Casap) และขายประกันภัย (asap Protect) ฯลฯ โดยที่ผ่านมาบริษัทได้มีการนําเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การพัฒนาแอปพลิเคชัน asap ตามแนวคิด Mobility Solution Driven จนมาถึง ความร่วมมือกับ Token X ในการพัฒนา “asap coin” บนแอปพลิเคชัน asap ในครั้งนี้ เพื่อสร้างมิติใหม่ให้กับธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถของแอปพลิเคชัน asap ทำให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าและบริการง่ายขึ้น รวมถึงได้รับสิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่า โดยลูกค้าสามารถรับ “asap coin” ผ่าน แอปพลิเคชัน asap จากการร่วมกิจกรรมมากมายของบริษัท และสามารถนำ “asap coin” มาแลกส่วนลดสินค้าและบริการ หรือเข้าร่วมเป็นสมาชิก เพื่อแลกรับสินค้าและบริการ รวมถึงสิทธิพิเศษของบริษัทและพันธมิตรชั้นนำ เช่น บริการจองรถเช่ารายวัน บริการรถหรูในวันสำคัญ รวมไปถึงการซื้อประกัน หรือ ซื้อขายแลกเปลี่ยนรถมือสอง ฯลฯ โดยความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มใหม่และยังคงรักษาฐานลูกค้าเดิม รวมถึงเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้ารูปแบบใหม่ ๆ ในอนาคตพร้อมสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมต่อทุกสินค้าและบริการได้ด้วยโทเคนดิจิทัลเดียว เพื่อสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน ผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่อย่างเทคโนโลยีบล็อกเชนมาปรับใช้

 

นางสาวจิตตินันท์ ชาติสีหราช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด (Token X) กล่าวว่า “หลังจาก Token X และ asap ได้ร่วมมือกันศึกษาโอกาสทางธุรกิจในการจัดทำโทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ หรือ “Utility Token พร้อมใช้” ภายใต้ชื่อโทเคน “asap coin” บนแอปพลิเคชัน asap เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา โดยเราได้ให้บริการด้าน Tokenization แบบครบวงจร (End-to-End Tokenization Service) เริ่มตั้งแต่การให้คำปรึกษาและออกแบบโทเคนดิจิทัล รวมถึงโครงสร้างด้านเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับองค์กรซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แอปพลิเคชัน asap สามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบบล็อกเชนและสามารถออกโทเคนดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายบนเครือข่ายบล็อกเชน TKX Chain ที่พัฒนาขึ้นโดย Token X ซึ่งวันนี้การออก “asap coin” ได้ประสบความสำเร็จและสามารถนำมาใช้ได้จริงบนแอปพลิเคชัน asap แล้ว โดยเรามุ่งหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยให้ลูกค้าของ asap สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางและรถยนต์ ของ asap ได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส พร้อมสร้างการมีส่วนร่วม (Customer Engagement) ระหว่างลูกค้าและองค์กรด้วย

สิทธิประโยชน์ด้านการเดินทางที่เหนือกว่า นับเป็น use case ที่สามารถพิสูจน์ความสำเร็จของการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนและโทเคนดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจด้านการเดินทางได้อย่างแท้จริง ก่อนเดินหน้าวางรากฐานด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและโทเคนดิจิทัลเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจรูปแบบใหม่ ๆ ร่วมกับลูกค้าองค์กรในอุตสาหกรรมอื่นๆ ต่อไปในอนาคต ซึ่งจะนำไปสู่การผลักดันธุรกิจในประเทศไทย ให้ก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

“asap coin” เป็น Utility Token พร้อมใช้ ที่มีการกําหนดจำนวนโทเคนดิจิทัล หรือสิทธิที่เฉพาะเจาะจงในการได้มาซึ่งสินค้าและบริการของบริษัทและพันธมิตร โดยสามารถพร้อมใช้ได้ทันทีในวันที่ออกและกระจายโทเคนดิจิทัล ผ่านทางแอปพลิเคชัน asap

 

โดยในช่วงเปิดตัวนี้ บริษัทได้มอบสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าที่สนใจใช้บริการ แอปพลิเคชัน asap โดยลูกค้าบุคคลทั่วไปที่เปิดใช้งาน Digital Wallet ผ่าน แอปพลิเคชัน asap เป็นครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2566 – 3 กันยายน 2566 รับทันที Airdrop “asap coin” จำนวน 500 asap coin (แลกรับ voucher ส่วนลดเงินสดสูงสุด 280 บาท) สำหรับผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์ www.asapcoin.co

นักวิจัยด้านพืชสมุนไพร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำงานวิจัยการพัฒนาการผลิตพืชสมุนไพร 5 ชนิด (บัวบก ขมิ้นชัน กระชายดำ ฟ้าทะลายโจร และกะเพรา) เชื่อมโยงสู่ผู้ประกอบการสมุนไพรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรด้วยงานวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่ ภายใต้งานสัมมนา “การเชื่อมโยงและสร้างพันธมิตรในการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรด้วยงานวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่”

จัดโดยเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เมื่อเร็ว ๆ นี้ (19 ก.ค. 66) โดยมี ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงาน EECi และ นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมเปิดงาน พร้อมด้วย ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานอุตสาหกรรมและชุมชน ดร.ประพัฒน์ พันปี ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรม EECi ตลอดจนผู้ประกอบการ นักวิจัยไบโอเทค และผู้แทนกลไกสนับสนุนภาคเอกชนของ สวทช. เข้าร่วมในงาน

 

ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงาน EECi กล่าวว่า สวทช. โดย EECi ร่วมกับกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จัดงานสัมมนาการเชื่อมโยงและสร้างพันธมิตรในการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรด้วยงานวิจัยด้านเกษตร เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างนักวิจัยด้านพืชและผู้ประกอบการ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืนและยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้แก่ตลาดสมุนไพรไทย พร้อมกันนี้ ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเสริมว่า ในการสร้างให้เกิดความยั่งยืนของผู้ประกอบการ สวทช. ได้มีกลไกสนับสนุนภาคเอกชนในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นบัญชีนวัตกรรมไทย / AGRITEC (สท.) หรือโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น EECi / อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย / ซอฟต์แวร์พาร์ค / Food Innopolis เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นบริการสนับสนุนผู้ประกอบการในการร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยด้วยงานวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่ผ่านเขตนวัตกรรม EECi ต่อไป

 

ด้าน ดร.ประพัฒน์ พันปี ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรม EECi สวทช. ระบุว่า ในการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรด้วยงานวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่ สวทช. โดยนักวิจัยไบโอเทคได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตสมุนไพร 5 ชนิดพืช ได้แก่ บัวบก ขมิ้นชัน กระชายดำ ฟ้าทะลายโจร และกะเพรา ซึ่งล้วนเป็นพืชสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ให้มีเสถียรภาพทางการผลิต คุณภาพการผลิต นำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food security) รวมถึงส่งเสริมให้เกิดเกษตร

แม่นยำ (Precision Farming) ที่มีการนำเทคโนโลยีผสมผสานการเกษตรยุคดิจิทัล มาใช้กับการเพาะปลูกและเพิ่มผลผลิตได้เท่าทวีคูณ

 

โดยพืชชนิดแรกคือ บัวบก โดย ดร.กนกวรรณ รมยานนท์ นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร มีการศึกษาต้นแบบการผลิตบัวบกในระบบปลูกแนวตั้ง ที่เพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่สูงขึ้น บัวบกสายพันธุ์ดี ได้แก่ ไบโอบก-143 และ ไบโอบก-296 ทั้งสองสายพันธุ์ ที่คัดเลือกมาจากการรวบรวมสายพันธุ์บัวบกกว่า 200 สายพันธุ์ ซึ่งให้ผลผลิตและปริมาณสารสำคัญสูง พืชชนิดที่สอง ขมิ้นชัน โดย ดร.รุจิรา ทิศารัมย์ นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมด้านพันธุศาสตร์และสรีรวิทยาพืช มีการศึกษากระบวนการผลิตต้นพันธุ์ การคัดเลือกสายพันธุ์ และระบบการปลูกในโรงเรือนและแปลงปลูก พืชชนิดที่สาม กระชายดำ โดย ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร มีการศึกษาสายพันธุ์ที่มีสารออกฤทธิ์ทางยาสูง กรรมวิธีการผลิต และระบบการปลูกที่ลดการเกิดโรคในแปลงปลูก พืชชนิดที่สี่ ฟ้าทะลายโจร โดย ดร.ประเดิม วณิชชนานันท์ นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร มีการศึกษาสายพันธุ์ที่มีศักยภาพ ระบบการผลิตที่ให้สารสำคัญสูง และต้นแบบระบบการผลิตแบบปิด แบบเปิด และกึ่งปิด และพืชชนิดที่ห้า กะเพรา โดย ดร.พนิตา ชุติมานุกูล นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร มีการศึกษาข้อมูลสายพันธุ์ที่มีมากถึง 90 สายพันธุ์ และกระบวนการปลูกในโรงงานผลิตพืช (Plant Factory) ทั้งในด้านข้อมูลตอบสนองต่อปัจจัยสภาพแวดล้อมและต้นแบบการผลิตที่เหมาะสม ซึ่งงานสัมมนาครั้งนี้นอกจากสร้างการรับรู้ถึงความสำคัญของงานวิจัยพืชสมุนไพรแล้ว ยังได้ฉายภาพและนำเยี่ยมชมโครงสร้างพื้นฐานวิจัยขยายผล ณ โรงเรือนปลูกพืชอัจฉริยะ (Smart Greenhouse) และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ของเมืองนวัตกรรมชีวภาพ หรือ BIOPOLIS ที่ตั้งอยู่ใน EECi เพื่อรองรับอุตสาหกรรมชีวภาพไทยที่จะเติบโตต่อไปในอนาคตอันใกล้ด้วย

 

หนึ่งในนักวิจัยพืช ‘กระชายดำ’ ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังจะได้พันธุ์กระชายดำดีเด่นที่มีสารออกฤทธิ์สูง และสามารถนำไปปรับใช้เฉพาะทางได้ เช่น เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยา นอกจากนี้ได้พัฒนาระบบการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การสร้างต้นพันธุ์ปลอดโรคที่จะนำไปให้เกษตรกร เพื่อลดต้นทุน แรงงาน และระยะเวลาการปลูก รวมถึงยังได้ความรู้ไปใช้กับการผลิตต้นพันธุ์ได้ทั้งปี ซึ่งแตกต่างจากเหง้าที่ผลิตไม่ได้ทั้งปี ซึ่งในการศึกษาที่ EECi จะมีห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อขนาดใหญ่ มีระบบ Bioreactor (เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในอาหารเหลว) ที่จะขยายต้นพันธุ์ในระดับเชิงพาณิชย์ และใช้กับพืชอื่น ๆ ได้ เช่น ไม้ดอกไม้ประดับ พืชหายากที่ต้องการอนุรักษ์ เป็นต้น ซึ่งทีมวิจัยพร้อมจะทำงานเชื่อมโยงร่วมกับผู้ประกอบการทั้งในส่วนกลางน้ำและปลายน้ำ

 

และอีกหนึ่งพืชสมุนไพรที่มีความท้าทายในการแก้ปัญหา Pain Point มาอย่างยาวนานคือ กะเพรา ดร.พนิตา ชุติมานุกูล นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค

เล่าให้ฟังว่า รัฐบาลกำหนดให้ ‘กะเพรา’ เป็นพืชสมุนไพรชนิดใหม่ในวงการของสมุนไพร แต่จุดอ่อนทางธุรกิจคือ การส่งออก ที่ถูกห้ามส่งออกมาตั้งแต่ปี 2554 เพราะกะเพรามีการใช้ยาฆ่าแมลงเป็นจำนวนมากและยังพบแมลงติดมากับพืชที่ส่งออกสูง สร้างความสูญเสียมูลค่ามหาศาล ฉะนั้น เพื่อการแก้ไขจึงได้พัฒนาการปลูกให้เป็นเกรดพรีเมียม ทดลองปลูกและศึกษาใน Plant factory เพราะไม่มีการใช้ยาปราบศัตรูพืชใด ๆ โดยทีมวิจัยได้ศึกษาตั้งแต่การรวบรวมสายพันธุ์ซึ่งมีมากถึง 90 สายพันธุ์ และยังไม่มีการศึกษาถึงสรรพคุณในแต่ละสายพันธุ์มาก่อน เช่น สายพันธุ์ที่ต้านอักเสบ ต้านจุลชีพ ป้องกันการเกิดอัลไซเมอร์ หรือสรรพคุณในด้านกลิ่น ที่ช่วยขับลม ลดคอเลสเตอรอล เป็นต้น รวมถึงศึกษาสภาวะ (condition) การปลูกที่เหมาะสมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างสารสำคัญของกะเพราได้มากที่สุด ซึ่งในการเชื่อมโยงกับ EECi ทางทีมวิจัยมีแผนในอนาคตอันใกล้ว่า จะนำส่วนที่คัดสายพันธุ์ที่ดีและสำเร็จมาแล้วใน condition ต่าง ๆ ทั้งการปลูกใน Plant Factory ใน Greenhouse และแปลงทดลองของเกษตรกร เช่น พันธุ์ A ที่หอมมากและหอมทั้ง 3 ที่ที่ปลูกซึ่งให้ผลคงที่ ทีมจะนำพันธุ์เหล่านั้นมาปลูกทดสอบและขยายการผลิตในโรงเรือนที่ EECi เพื่อตอบโจทย์กับภาคเอกชนต่อไป ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสมุนไพรและที่เกี่ยวข้องที่สนใจการพัฒนาสมุนไพรด้วยงานวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ โทร. 0 2564 6700 ต่อ 3305 (จิราวรรณ)

ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้ การแข่งขันในแวดวงธุรกิจเข้มข้นขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกการเคลื่อนไหว ล้วนเป็นโอกาสในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาด เปรียบได้กับในสนามแข่งรถยนต์ ที่มีความท้าทาย ทั้งสภาพอากาศ ทางตรง และทางโค้ง ซึ่งคนขับ คือ ผู้นำองค์กร ที่จะต้องขับรถแข่ง โดยตระหนักว่าสนามแข่งเป็นอย่างไร และต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อให้ถึงเส้นชัยเร็วที่สุด บางองค์กรมีผู้นำ ที่แข็งแกร่ง พร้อมฟันเฟืองที่ใช่ ก็ทะยานแซงทุกโค้ง หรือบางองค์กรเผลอผ่อนคันเร่งเพียงเสี้ยววิก็ถูกคู่แข่ง แซงทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่นได้อย่างง่ายดาย

SEAC (ซีแอค) จัดงาน “Racing Towards Excellence, Achieving Outstanding Outcomes ทะยานสู่ความสำเร็จ ด้วยสมรรถนะที่ก้าวเกินขีดจำกัด” ในธีมการแข่งขันรถสูตร 1 (Formula 1 หรือ F1) พาผู้เข้าร่วมเรียนรู้ เสริมสมรรถนะให้สองฟันเฟืองสำคัญอย่าง ‘Mindset - วิธีคิด’ และ ‘Leadership - ภาวะผู้นำ’ โดยมี 2 สถาบันพัฒนาคนและองค์กรระดับโลกอย่าง “The Arbinger Institute” ผู้สร้างหลักสูตรเสริมสร้างวิธีคิด Outward Mindset และ “Blanchard” สถาบันพัฒนาภาวะผู้นำให้แก่องค์กรทั่วโลก มาแบ่งปันแนวทางขับเคลื่อนบุคลากรในองค์กรให้ทั้งเร็ว แรง แซงได้ทุกโค้ง ที่ค้นพบจากการให้คำปรึกษาแก่องค์กรทั่วโลก เติมเชื้อเพลิงชั้นเลิศให้ผู้นำที่เข้าร่วม มุ่งสู่ความสำเร็จ ภายใต้การแข่งขันที่ดุเดือดในยุคนี้ นอกจากนี้ยังได้รับฟังเสวนาวิถีแห่งการนำไปใช้ จากองค์กรที่ทรานฟอร์มได้สำเร็จ ผ่านประสบการณ์ของผู้นำการขับเคลื่อนตัวจริง

Mindset จุดสตาร์ทสู่การเปลี่ยนแปลงองค์กรที่ยั่งยืน

Mr. Michael J. Merchant, Senior Executive Consultant จาก The Arbinger Institute ได้อธิบายถึงการเปลี่ยนพฤติกรรมที่ยั่งยืนเริ่มต้นจาก Mindset ว่า “วิธีคิด หรือ Mindset เปรียบเสมือนเลนส์ที่เราใช้ในการมองโลก และตัดสินสิ่งต่างๆ เป็นตัวขับเคลื่อนพฤติกรรม ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน จากงานวิจัยพบว่า บริษัทที่เปลี่ยน Mindset ก่อนพฤติกรรม จะได้รับผลลัพธ์ดีกว่าถึง 4 เท่า โดยแบ่ง Mindset ได้ 2 ประเภท คือ ได้แก่ Inward Mindset: การมองโลกผ่านเลนส์ที่มีเป้าหมายของตนเองเป็นหลัก มองคนอื่นเป็นเพียงวัตถุ พาหนะ และอุปสรรค เป็นแค่เครื่องมือที่อาจช่วยให้ตนเองประสบความสำเร็จ และ Outward Mindset: การมองเห็นเป้าหมาย ปัญหาและความต้องการของคนอื่นสำคัญ ไม่แพ้เป้าหมาย และความต้องการของตัวเอง

คนหนึ่งคนสามารถมีทั้ง Inward Mindset และ Outward Mindset ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะตอบโต้ และปฏิบัติกับสถานการณ์นั้นอย่างไร การทำงานด้วย Inward Mindset จะทำงานแบบตัวใครตัวมัน ไม่แคร์ว่าอีกคนจะมีปัญหา และเป้าหมายอย่างไร ส่วน Outward Mindset จะทำงานแบบประสานงานกับคนอื่น ไม่กล่าวโทษกัน ปรับพฤติกรรม ของตนเอง เพื่อช่วยกันทำงานให้ราบรื่น มองเห็นเป้าหมายใหญ่ร่วมกัน และมุ่งมั่นพาองค์กรไปยังเป้าหมายนั้นให้ได้

โดยมีเครื่องมือที่เรียกว่า S.A.M. ซึ่งหมายถึง 1.See Others คือ เข้าใจเป้าหมาย อุปสรรค และความท้าทายของผู้อื่น 2. Adjust Efforts กลับมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองเพื่อช่วยเหลือให้เขาบรรลุเป้าหมาย 3. Measure Impact ประเมินว่าความพยายามของเราเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น และไม่สูญเปล่า

ทั้งนี้ การสร้าง Outward Mindset ให้เป็นวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างยั่งยืน เป็นการเดินทางที่ไม่มีวันจบสิ้น โดยต้องเริ่มจากผู้นำองค์กร ที่เป็นตัวอย่างที่ดี ผลักดันวัฒนธรรมองค์กรที่ผู้คนมี Outward Mindset โดยปรับใช้ ในสิ่งง่ายๆ ที่เคยทำอยู่แล้ว อย่างการนำหลัก S.A.M. เข้าไปใช้ในงานประชุมต่างๆ เพื่อให้เกิดการนำ Outward Mindset ไปปรับใช้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ต้องอาศัย Self-Awareness การตระหนักรู้ในตัวเอง, Accountability การรับผิดชอบต่อเป้าหมาย และ Collaboration การทำงานร่วมกันจากพนักงานแต่ละคน ซึ่งถ้าทุกคนในองค์กร มี Outward Mindset เข้าใจความต้องการซึ่งกันและกัน เข้าใจเป้าหมายขององค์กรร่วมกัน และทำงานร่วมกัน องค์กรก็จะบรรลุผลลัพธ์ที่ตั้งไว้ได้แบบทวีคูณ

ภาวะผู้นำที่ดีขับเคลื่อนองค์กรไปถึงเส้นชัยได้อย่างไร

ด้าน Mr. Scott Blanchard, President จาก Blanchard ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ Leadership ว่า “ภาวะผู้นำ หรือ Leadership ไม่ใช่สิ่งที่ผู้นำปฏิบัติต่อคน แต่คือสิ่งที่ผู้นำทำร่วมกับคน ผู้นำต้องไม่หยุดเรียนรู้ ปรับปรุง และพัฒนา ตามสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดย 6 หัวใจสำคัญของการเป็นสุดยอดผู้นำ มีดังนี้

1. ผู้นำย่อมเป็นพันธมิตร (Leadership is a partnership) อย่างที่กล่าวว่า ภาวะผู้นำนั้นคือการปฏิบัติตัวร่วมกับคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาในฐานะผู้ที่จะเดินทางพิชิตเส้นชัยไปด้วยกัน เพราะผู้นำไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ ดังนั้น ต้องสร้างการมีส่วนร่วมในการทำงานก่อน

2. ผู้นำต้องรู้จักจับถูก (Catching people doing things right) เรียนรู้ความสามารถของลูกน้อง วางตัวคนทำงานให้เหมาะสมกับงาน คือทักษะหนึ่งของคนเป็นผู้นำ นอกจากจะได้ผลลัพธ์ของงานที่ดีแล้ว ยังเป็นการสร้างแรงใจให้กับพนักงาน สร้างความเชื่อใจระหว่างคนในทีม โดยมีพื้นที่ให้สามารถผิดพลาด เรียนรู้และพัฒนาให้ดีขึ้น

3. ผู้นำใช้ความรักขับเคลื่อนทีม (Love and Support) จากผลวิจัยบอกว่า หากพนักงานรู้สึกไม่ดีต่อหัวหน้า โดนตำหนิบ่อย ก็มักจะใช้พลังงานไปกับการต่อต้านและคิดลบในหัว มากกว่าการทำงานให้ได้ผลดี ฉะนั้นการเป็นหัวหน้าจึงมาพร้อมกับหน้าที่ในการเป็นที่รักของลูกน้อง เพื่อให้ความสัมพันธ์ที่ดีสร้างการทำงานที่ดีขึ้นมา

4. ผู้นำจะอยู่เคียงข้างเสมอ (Connection and Learning) ผู้นำที่สร้างความเชื่อใจว่าจะอยู่เคียงข้าง คอยผลักดัน และช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหาอยู่ตลอด ทำให้คนเกิดความไว้ใจ และสามารถโฟกัสกับภาระงานของตัวเองได้เต็มที่ มากกว่าผู้นำที่ปล่อยให้ลูกน้องเผชิญปัญหาลำพัง

5. ผู้นำต้องรู้จักปรับตัว (Adaptability) การเข้าใจคนในทีม ทั้งด้านทัศนคติ ไลฟ์สไตล์ ก็เป็นหนึ่งในทักษะที่ควรมี เพื่อให้ปรับตัวและเข้าใจวิธีการผลักดันลูกน้องได้อย่างตรงจุด

6. เส้นทางสู่การเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมไม่มีเส้นชัย (Journey Never Ends) การเข้าใจเรื่องนี้จะทำให้ผู้นำสามารถพัฒนาตนเองไปได้เรื่อย ๆ โดยเรียนรู้และก้าวข้ามขีดจำกัดของตน เพื่อพาทีมหรือองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเต็มกำลัง จนกว่าจะออกจากตำแหน่งไปด้วยตนเอง

“การเป็นผู้นำที่ดี ไม่ใช่การเป็นคนที่เก่งทุกเรื่อง หรือสามารถตัดสินใจได้ทุกเรื่อง แต่คือคนที่เข้าใจธรรมชาติของการทำงานเป็นทีม โดยอาศัยความเชื่อใจเป็นจุดเริ่มต้น สร้างบรรยากาศการทำงานให้ดีจนทุกคนในทีมคิดว่าสามารถพึ่งพากันได้ ซึ่งนี่อาจเป็นงานที่ยาก และทำให้ท้อได้ง่ายเช่นกัน บริษัทจึงจำเป็นต้องให้มีการอบรมผู้นำ เพื่อเตรียมความพร้อมให้คนที่เหมาะสมรับหน้าที่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”

นอกจากสองหัวข้อเสวนาน่าสนใจ ภายในงานยังมีช่วง “Mindset & Leadership Organization Check-up” นำความรู้จากการฟังบรรยายมาเชื่อมโยงกับบริบทองค์กรไทย โดยคุณบุญชัย พงศ์รุ่งทรัพย์ ที่ปรึกษาอาวุโส จากซีแอค (SEAC) และกิจกรรม “Explore 2 Competencies: Mindset x Leadership” เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสการเรียนรู้ที่จะเสริมสร้างให้องค์กรแข็งแกร่งทั้งสมรรถนะ และเป็นผู้นำการขับเคลื่อน ในมินิเวิร์กชอป Outward Mindset นำโดยคุณกรินทร์ โปสาภิวัฒน์ ที่ปรึกษาอาวุโสและเทรนเนอร์ จากซีแอค (SEAC) และมินิเวิร์กชอป Leadership นำโดยคุณชาย อินทรกำแหง ที่ปรึกษาอาวุโสและเทรนเนอร์ จาก SEAC (ซีแอค) แบ่งปันเกี่ยวกับการเป็นผู้นำที่ดี ซึ่งต้องมีการรับฟัง และเข้าใจคนรอบข้าง เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้อย่างราบรื่นและแข็งแกร่ง ก่อนจะปิดท้ายด้วยช่วง “Story from the Podium” ที่ได้รับเกียรติจากคุณภัทรกร รังษีวงศ์, Analyst, Enterprise Transformation, PTTEP และ Mr. Janil Jose Samson, Group Director of Organizational Capability, Minor Hotels มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การปรับใช้และถ่ายทอด Mindset และ Leadership ให้กับผู้บริหารและคนในองค์กร

คุณภัทรกร กล่าวว่า “PTTEP ได้ทำ Transformation เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคหลังโควิด-19 เราตระหนักว่ารากฐานสำคัญของการเปลี่ยนแปลงคือ การปรับ Mindset ให้พร้อมรับมือปัญหา และความท้าทายต่างๆ ผู้บริหารจึงร่วมกับ SEAC ออกแบบพัฒนาหลักสูตร Outward Mindset สำหรับองค์กรของเราขึ้นมา โดยกลุ่มแรกที่ได้เข้าศึกษาก็คือผู้บริหารระดับสูงก่อน แล้วจึงไล่ลงมายังระดับปฏิบัติการ

Outward Mindset ไม่ใช่การปรับทัศนคติ แต่เป็นการยกระดับทัศนคติ ให้ทำงานอย่างมีความสุข และเกิดผลลัพธ์ ที่แตกต่างออกไป การเรียนตลอดหลักสูตรนี้ ทำให้พนักงานส่วนใหญ่เข้าใจวิธีคิดของตนและคนรอบข้างมากขึ้น สามารถแก้ปัญหาด้านความสัมพันธ์และการทำงานให้ราบรื่นขึ้น โดยจากผลลัพธ์ดังกล่าว PTTEP ก็วางแผนจะให้พนักงาน ในสาขาต่างประเทศได้เข้ารับการอบรมด้วยเช่นกัน”

ด้าน Mr. Janil เผยว่า “บริษัทไมเนอร์ฯ เริ่มเรียนหลักสูตร Servant Leadership กับ SEAC (ซีแอค) เมื่อปี ค.ศ. 2017 ภายในองค์กรเราจัดให้มีการ Coaching โดยผู้นำแต่ละทีม อาจจะเป็นการสนทนาที่ยาวนาน หรือสั้น สิ่งสำคัญคือ คุณภาพของการสนทนา และการเลือกบทสนทนาที่เหมาะสม เข้าใจบริบทของพนักงานแต่ละคน และ ในส่วนของการพัฒนาผู้นำ ผู้นำส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร อาจจะเพราะมีอีโก้ ผู้นำทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะให้ฟีดแบค และรับฟัง ฟีดแบคไปพร้อมกัน โดยมีสิ่งสำคัญคือ Fit for Purpose คือ การเข้าใจคน เข้าใจสถานการณ์ที่แตกต่างกัน และบริหารจัดการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้”

 

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ CBS ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ หรือ MOU (Memorandum of Understanding) กับ บริษัท ฮาชิโมโตะ โซเกียว โฮลดิ้งส์ จำกัด (Hashimoto Sogyo Holdings Co., Ltd. (HAT) ซึ่งเป็นบริษัทค้าส่งด้านวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์แต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เพื่อเสริมสร้าง Global Mindset ให้แก่นิสิต ผ่านกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการให้ทุนการศึกษาแก่นิสิต MBA Chula โดยมี ศ. ดร. วิเลิศ ภูริวัชร คณบดีคณะบัญชี จุฬาฯ และ นายมาซาอะกิ ฮาชิโมโตะ ประธาน บริษัทฮาชิโมโตะฯ ร่วมลงนาม ที่คณะบัญชี จุฬาฯ

รศ. ดร. ณัฐพล อัสสะรัตน์ ประธานหลักสูตรธุรกิจมหาบัณฑิต คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ MBA Chula เปิดเผยว่า ความร่วมมือกับ บริษัท ฮาชิโมโตะ โซเกียว โฮลดิ้งส์ จำกัด ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้นิสิต MBA ได้มีโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมธุรกิจโลก การทำธุรกิจในตลาดระหว่างประเทศ รวมถึงการคิดข้ามวัฒนธรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชา Global Business Experience และเป็นครั้งแรกที่มีองค์กรธุรกิจในต่างประเทศเป็นพันธมิตรร่วมส่งเสริมประสบการณ์ นอกเหนือจากพันธมิตรต่างประเทศที่เป็นองค์กรการศึกษา

ด้านนายมาซาอะกิ ฮาชิโมโตะ ประธาน บริษัทฮาชิโมโตะ โซเกียว โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทค้าส่งที่เปิดดำเนินการมายาวนานกว่า 130 ปี กล่าวว่า บริษัทฯ มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและโรงเรียนมัธยมหลายแห่งในญี่ปุ่น แต่ถือเป็นครั้งแรกที่มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นจุดเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น

ตามข้อตกลงความร่วมมือระยะเวลา 5 ปี (2566-2571) ระหว่าง CBS และ HAT จะมีความร่วมมือทั้งทางด้านวิชาการ และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ผ่านกิจกรรมต่างๆ ตลอดจนการทำวิจัยร่วมกัน โดยเฉพาะด้านซัพพลายเชน โดยบริษัท ฮาชิโมโตะ โซเกียว โฮลดิ้งส์ จำกัด มีเป้าหมายจะนำผู้แทนธุรกิจในเครือ และพันธมิตรทางธุรกิจมาเรียนรู้ทางด้านวิชาการในประเทศไทยเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ HAT ตกลงจะให้ทุนการศึกษาแก่นิสิต MBA Chula ปีละ 1 ทุน และมีโครงการแลกเปลี่ยน อาทิ การศึกษาดูงานของนิสิตในประเทศญี่ปุ่น การบรรยายเชิงวิชาการ การทำเวิร์กชอป การเข้าร่วมการประชุมของกลุ่มพันธมิตรธุรกิจอย่าง MIRAI-KAI และ MIRAI-ICHI

รศ. ดร. ณัฐพล กล่าวอีกว่า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้นำนิสิตไปศึกษาดูงานในญี่ปุ่น ซึ่ง บริษัทฮาชิโมโตะ โซเกียว โฮลดิ้งส์ จำกัด เป็นหนึ่งในพันธมิตรที่ให้การสนับสนุนการศึกษาดูงาน เพื่อเปิดมุมมองทางความคิดที่หลากหลายเกี่ยวกับวัฒนธรรมการทำงานของธุรกิจ และภาพอนาคตของธุรกิจญี่ปุ่น

MBA Chula ยังคงเดินหน้าขยายความร่วมมือกับพันธมิตรต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นิสิตได้เรียนรู้โลกของธุรกิจระหว่างประเทศที่ไม่หยุดนิ่งจากประสบการณ์จริง และนี่คือหนึ่งในความโดดเด่นของการเรียนการสอนในหลักสูตร MBA Chula ที่ก้าวสู่ทศวรรษที่ 5

FWD ประกันชีวิต แนะนำแพลตฟอร์มดิจิทัล “Mind Strength Support” บริการเพื่อดูแลสุขภาพทางใจเชิงป้องกัน สะดวก ใช้งานง่าย และมีการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลอย่างปลอดภัย ให้บริการผ่านสื่อรูปแบบต่างๆ อาทิ วิดีโอ ซีรีส์ FWD Mind Master Class ที่ขนทัพนักแสดงชั้นนำร่วมถ่ายทอดเคล็ดลับสร้างความแข็งแกร่งทางใจ พร้อม feature การทำแบบประเมินความแข็งแกร่งทางใจ หรือ เลือกรับคำปรึกษาและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาได้ในที่เดียวสำหรับลูกค้าทื่ถือแบบประกันสุขภาพ “Mind Strength” พร้อมใช้บริการได้แล้ววันนี้ และฟรี 1 เดือน สำหรับบุคคลทั่วไปที่สนใจใช้บริการแพลตฟอร์ม “Mind Strength Support”

 

นางสาวอลิสา อารีพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (“เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต” หรือ “FWD ประกันชีวิต”) กล่าวว่า ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตในแบบปัจจุบัน ทำให้หลายคนต้องรับมือกับสถานการณ์ที่ท้าทายต่างๆ การดูแลสุขภาพใจจึงถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ FWD ประกันชีวิต เราเข้าถึงและเข้าใจลูกค้า ด้วยหลักการทำงานแบบยึดความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก (Customer-led) เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และเลือกสรรบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในรูปแบบ Total Solution ที่ดูแลลูกค้ามากกว่าการจ่ายเคลม เพื่อส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจให้แข็งแกร่งไปพร้อมกัน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เราจึงได้มอบบริการ “Mind Strength Support” แพลตฟอร์มดิจิทัลที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงการบริการสุขภาพทางใจ จากความร่วมมือระหว่างกลุ่มบริษัท FWD และ ThoughtFull ผู้ให้บริการดิจิทัลด้านการดูแลสุขภาพทางใจ ให้แก่ลูกค้าผู้ถือกรรมธรรม์ “Mind Strength” แบบประกันสุขภาพที่มอบความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลด้านจิตเวช หนึ่งในนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ FWD Modular Series นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปที่สนใจสามารถเข้าใช้งานแพลตฟอร์มดังกล่าวโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเป็นเวลา 1 เดือน เริ่มให้บริการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

“Mind Strength Support” เป็น แพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย สะดวก และปลอดภัยในเรื่องการรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมบนแพลตฟอร์มสำหรับผู้ใช้บริการ ดังนี้

1) รับชม “เอฟดับบลิวดี มายด์ มาสเตอร์ คลาส” (FWD Mind Master Class) วิดีโอซีรีส์ที่ FWD ได้พัฒนาเนื้อหาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ นำโดย ผศ. นพ.ทรงภูมิ เบญญากร พร้อมนักแสดงชั้นนำ พอลล่า เทเลอร์ เจนสุดา ปานโต สิริสันต์ หน่อง-ธนา ฉัตรบริรักษ์ และคารีสา สปริงเกตต์ มาร่วมถ่ายทอดเคล็ดลับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางใจ

2) ทำแบบประเมินความแข็งแกร่งทางใจ โดยหลังจากตอบแบบประเมินจะได้รับคำแนะนำและวิธีการดูแลสุขภาพใจตามระดับคะแนนของตนเอง

3) ปรึกษาและรับคำแนะนำด้านสุขภาพทางใจออนไลน์ จากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหรือนักจิตวิทยา ผ่านข้อความ หรือวิดีโอคอล โดยลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ Mind Strength สามารถใช้บริการได้ตลอดปีกรมธรรม์ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถใช้บริการได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเป็นระยะเวลา 1 เดือน

ลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ Mind Strength รวมถึงลูกค้าเอฟดับบลิวดีและผู้ที่สนใจ สามารถเข้าใช้งานแพลตฟอร์ม Mind Strength Support เพื่อดูแลสุขภาพทางใจได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยสามารถคลิกลิงก์ https://mindstrength.fwd.co.th/

Lirunex ได้รับรางวัลโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่ดีที่สุดของเอเชีย (Best Asia Forex Broker) ในการประชุมสุดยอดฟอเร็กซ์เทรดเดอร์ที่ดูไบ (Forex Traders Summit Dubai) ประจำปี 2566 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

เป็นการเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศของโบรกเกอร์ผู้ให้บริการเทรดหลักทรัพย์และสินค้าโภคภัณฑ์รายนี้ รวมทั้งสนับสนุนการเพิ่มศักยภาพให้กับนักเทรดในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ที่ไม่หยุดนิ่ง ในฐานะนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ชั้นนำของภูมิภาค Lirunex ได้แสดงข้อมูลเจาะลึกของตลาดอันเฟื่องฟูของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตของภูมิภาค และการมุ่งเน้นอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคนี้

ภูมิภาคเอเชียได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นตลาดที่มีความแข็งแกร่ง แม้จะมีความไม่แน่นอนตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยย้อนกลับไปเมื่อปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ชี้ชะตาในหลาย ๆ ภาคส่วนนั้น แวดวงการเทรดในเอเชียเติบโตขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 29.6% ในช่วงสามไตรมาสแรก และภายในสิ้นปี 2566 มีการคาดการณ์การเติบโต 3.8% ทั่วเอเชียแปซิฟิก (APAC) ไม่รวมจีน แซงหน้าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่คาดการณ์ไว้ 2.7%

ตลาดการเทรดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เต็มไปด้วยโอกาส

การเติบโตทางเศรษฐกิจและภูมิทัศน์ตลาดที่มีชีวิตชีวาของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้บุคคลและองค์กรธุรกิจต่าง ๆ มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความสนใจในตลาดการเงินพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการเทรดฟอเร็กซ์และสินค้าโภคภัณฑ์ นักเทรดที่ทะเยอทะยานและนักลงทุนที่ช่ำชองกำลังใช้ประโยชน์จากภาคส่วนที่กำลังเติบโตนี้ และมองหาโอกาสในการทำกำไร

อย่างไรก็ตาม บางประเทศและบางชุมชนในภูมิภาคนี้ยังมีระดับความรู้ทางการเงินที่ไม่เพียงพอ ผู้ให้บริการต่างตระหนักถึงความจำเป็นในการเสริมศักยภาพให้กับนักเทรด เพื่อให้แน่ใจว่าชุมชนทั่วทั้งภูมิภาคมีความพร้อมด้วยข้อมูลเชิงลึกของตลาดและทักษะที่สำคัญ ผ่านหลักสูตรฝึกอบรมและการสัมมนาผ่านเว็บ เช่น LX Academy ของ Lirunex ความพยายามเหล่านี้ยังมุ่งเอาชนะความเสี่ยงด้านสกุลเงินและสภาพคล่อง รวมทั้งอุปสรรคด้านภาษาและวัฒนธรรม ด้วยการสนับสนุนในท้องถิ่นเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดสำหรับนักเทรดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและสินค้าโภคภัณฑ์ของภูมิภาคนี้ ตลอดจนสกุลเงินต่าง ๆ ที่ใช้ภายในภูมิภาค ทำให้มีสินทรัพย์ที่หลากหลายเป็นพิเศษสำหรับนักเทรด แนวทางที่อิงตามแพลตฟอร์มช่วยให้การกระจายความเสี่ยงและกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนง่ายขึ้น

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้สนับสนุนกลยุทธ์ของนักเทรด เมื่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นำเครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยมาใช้ โดยเครื่องมือสร้างแผนภูมิขั้นสูง ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค และความสามารถในการซื้อขายแบบอัลกอริทึม ช่วยให้นักเทรดมีเครื่องมือที่ซับซ้อนในการตัดสินใจอย่างรอบรู้ นอกจากนี้ แพลตฟอร์มต่าง ๆ ยังได้รับการเสริมด้วยโปรโตคอลความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เข้มงวด เพื่อปกป้องข้อมูลผู้ใช้จากภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นและเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับระหว่างประเทศ

กรอบการกำกับดูแลสำหรับการซื้อขายฟอเร็กซ์และสินค้าโภคภัณฑ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นแยกเป็นส่วน ๆ และซับซ้อน แต่ก็กำลังพัฒนา หน่วยงานกำกับดูแลในภูมิภาคนี้กำลังดำเนินนโยบายเพื่อควบคุมการลงทุนและส่งเสริมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ซึ่งสร้างโอกาสเพิ่มเติมสำหรับนักเทรดและนักลงทุน โดยโบรกเกอร์และแพลตฟอร์มการซื้อขาย อย่างเช่น Lirunex ยังคงมุ่งมั่นที่จะรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ และมุ่งปฏิบัติตามกฎระเบียบของเขตอำนาจทางการเงินชั้นนำอันดับต้น ๆ ของโลก

คุณแจ๊ก ฟุง (Jack Foong) ซีอีโอของ Lirunex กล่าวว่า "Lirunex สนับสนุนความพยายามด้านกฎระเบียบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างจริงจัง ขณะนี้บางประเทศกำลังพัฒนากรอบการกำกับดูแลที่เป็นมิตรต่อนักลงทุนมากขึ้นสำหรับแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ ความชัดเจนและความเชื่อมั่นที่มีต่อกฎระเบียบดึงดูดนักเทรดเข้าสู่ตลาดเหล่านี้มากขึ้น ซึ่งส่งเสริมการเติบโตและเสถียรภาพที่ดี"

Lirunex เป็นโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่ดีที่สุดของเอเชียประจำปี 2566 โดยสนับสนุนให้นักเทรดคว้าโอกาสที่เฟื่องฟูในตลาดเทรดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมใช้เครื่องมือและการสนับสนุนที่จำเป็นเพื่อรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศและการอุทิศตนอย่างแน่วแน่เพื่อความสำเร็จของนักเทรด Lirunex ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักเทรดที่แสวงหาประสบการณ์การเทรดที่ยอดเยี่ยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ธนาคารไทยพาณิชย์ เดินหน้าส่งมอบความยั่งยืนสู่กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ด้วยโซลูชั่นเพื่อธุรกิจรักษ์โลก (SCB SME Green Finance) จับมือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ นำร่องโครงการสินเชื่อโซลาร์รูฟท็อปให้แก่ผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่น (PTT Station) วงเงินสูงสุด 100% ของเงินลงทุน ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 10 ปี รวมปลอดเงินต้น 1 ปี และอัตราดอกเบี้ยปีแรกคงที่ 3.99% ต่อปี

ทั้งยังตอกย้ำยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน Net Zero ที่สอดคล้องกันกับโออาร์ รณรงค์ให้สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ทั่วประเทศเปลี่ยนมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ภายในสถานีฯ เพื่อเป็นผู้นำสถานีบริการที่มีการใช้พลังงานสะอาดและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับจุดยืนการดำเนินธุรกิจที่ พีทีที สเตชั่น เป็น “สถานีที่เติมเต็มทุกความสุข” ที่พร้อมเติบโตไปพร้อมกับผู้คน สังคมชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน พร้อมตั้งเป้า พีทีที สเตชั่น 200 สาขาแรกให้เป็นสถานีรักษ์โลกด้วยสินเชื่อโซลาร์รูฟท็อปภายในสิ้นปี 2566

นางพิกุล ศรีมหันต์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ SME ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีของไทย โดยเฉพาะในประเด็นการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกระบวนการผลิต ซึ่งในระยะข้างหน้า หากธุรกิจเอสเอ็มอีไม่รีบปรับตัวในเรื่องดังกล่าว โอกาสในการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันจะยิ่งลดน้อยถอยลง การพาเอสเอ็มอีก้าวข้ามความท้าทายนั้น เป็นความจำเป็นที่ธนาคารและธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความเข้าใจการปรับปรุงกระบวนการทำงานไปสู่ Net Zero ต้องร่วมมือกันพาเอสเอ็มอีเปลี่ยนมาใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นวิธีการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ธนาคารจึงจัดเตรียมโซลูชั่นเพื่อธุรกิจรักษ์โลก (SCB SME Green Finance) ซึ่งเป็นวงเงินสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจและสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการลงทุนใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการจัดการต้นทุนให้แก่เอสเอ็มอีในอุตสาหกรรมต่างๆ สอดคล้องกับพันธกิจหลักของธนาคารในการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2030 และจากการให้สินเชื่อและการลงทุนภายในปี 2050

“เราเห็นความต้องการในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ในกลุ่มธุรกิจผู้ประกอบการสถานีน้ำมันพีทีที สเตชั่น ประกอบกับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ มีเป้าหมายสนับสนุนให้ผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมันติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ธนาคารจึงนำร่อง SCB SME Green Finance ด้วย สินเชื่อโซลาร์รูฟท็อป ให้แก่ผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการพีทีที สเตชั่น นำสินเชื่อดังกล่าวไปติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เพื่อประหยัดพลังงานและลดคาร์บอนฯ และมีส่วนช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้แก่ประเทศ โดยให้วงเงินสินเชื่อตั้งแต่ 2 - 5 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ทั้งนี้ ผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการพีทีที สเตชั่น แห่งแรกที่ใช้สินเชื่อโซลาร์รูฟท็อป คือ พีทีที สเตชั่น จ.ชลบุรี ภายใต้การบริหารของบริษัท เลิศประเสริฐ ออยล์ จำกัด ทั้งนี้ ธนาคารคาดว่า จะมีผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น จำนวน 200 แห่ง สมัครใช้สินเชื่อโซลาร์รูฟท็อป ภายในสิ้นปี 2566 นี้” นางพิกุล กล่าว

นายพิมาน พูลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ กล่าวว่า การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปภายในสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น นั้นเป็นหนึ่งใน โครงการเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่่ผลักดันให้ พีทีที สเตชั่น เป็น “สถานีที่เติมเต็มทุกความสุข” ที่เติบโตไปพร้อมกับผู้คน สังคมชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับแนวคิด SDG ตามแบบฉบับของโออาร์ ในเรื่อง G-Green โอกาสเพื่อสังคมสะอาด โดย โออาร์ มีความมุ่งมั่นที่จะให้ พีทีที สเตชั่น ทั่วประเทศจำนวนกว่า 2,000 แห่ง ทั้งที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของ โออาร์ และผู้แทนจำหน่ายจำนวนกว่า 1,600 แห่ง ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อเป็นผู้นำสถานีบริการที่มีการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการ SAVE ต้นทุนให้ธุรกิจด้วย ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ โออาร์ ที่ต้องการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดจากโซลาร์รูฟท็อปให้ครบ 18 เมกะวัตต์ในปี 2573 ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการดำเนินธุรกิจ เพื่อมุ่งสู่การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon-Neutrality) ภายในปี 2573 และบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2593 ดังนั้น การที่ได้ธนาคารไทยพาณิชย์ เข้ามาร่วมมอบโซลูชั่นทางการเงินให้แก่ผู้แทนจำหน่ายสถานีในครั้งนี้ จะมีส่วนสำคัญให้พีทีที สเตชั่น เป็นผู้นำสถานีบริการที่มีการใช้พลังงานสะอาด และผลักดันให้โออาร์ประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่วางไว้

นางสาวกรสินี ไวว่อง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เลิศประเสริฐ ออยล์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการพีทีที สเตชั่น จำนวน 2 แห่ง สาขาหนองใหญ่ และสาขาหนองใหญ่-วังจันทร์ NY344 Stationจังหวัดชลบุรี ซึ่งทำเลที่ตั้งของสถานีน้ำมันอยู่ในพื้นที่ชุมชน ใกล้โรงงาน นิคมอุตสาหกรรม มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก และภาคตะวันออก นั้นเป็นประตูสู่การท่องเที่ยว ดังนั้น ปริมาณการใช้ไฟฟ้าภายในสถานีฯ น้ำมันจึงอยู่ในอัตราที่สูง บริษัท จึงมีความตั้งใจจะบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประจวบกับทางโออาร์มีโครงการสนับสนุน ให้สถานีบริการน้ำมันดีลเลอร์ใช้โซลาร์รูฟ เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับสถานี และธนาคารไทยพาณิชย์นำเสนอสินเชื่อโซลาร์รูฟ ที่ให้เงื่อนไขพิเศษ สร้างความยืดหยุ่น ให้กับการบริหารจัดการสภาพคล่องให้แก่บริษัทเป็นอย่างมาก บริษัทจึงใช้บริการสินเชื่อดังกล่าวเพื่อติดตั้งแผง โซลาร์รูฟภายในสถานีฯ น้ำมัน ซึ่งช่วยให้บริษัทประหยัดต้นทุนค่าไฟได้มากกว่า 20% นอกจากนี้ บริษัทฯมีความ ภาคภูมิใจที่มีส่วนช่วยลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับ ประเทศ”

สินเชื่อโซลาร์รูฟท็อป เป็นส่วนหนึ่งของโซลูชั่นเพื่อธุรกิจรักษ์โลก (SCB SME Green Finance) โดยให้วงเงินสูงสุด 100% ของเงินลงทุน ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 10 ปี (รวมระยะเวลาปลอดเงินต้น 1ปี) ด้วยอัตราดอกเบี้ยปีแรกคงที่ 3.99% ต่อปี ผู้ประกอบการที่สนใจสมัครสินเชื่อ สามารถติดต่อยื่นขอสินเชื่อได้ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2566 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2566 สอบถามเพิ่มเติม SCB SME Call Center โทร 02 722 2222 หรือ เจ้าหน้าที่ธุรกิจสัมพันธ์ที่ดูแลแต่ละพื้นที่

จบลงแล้ว... กับการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนอาเซียน “JINTAN U14 ASEAN Dream Football Tournament 2023” รอบชิงชนะเลิศ โดยได้รับเกียรติจาก สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมน์ และองค์กร Japan Dream Football Association (JDFA) พร้อม มร.มาซาโอะ คิบะ (Mr. Masao Kiba) อดีตนักฟุตบอลกัปตันทีมชาติญี่ปุ่น และประธาน JDFA และ มร. ฮิเด็ตสึงุ อิชิดะ ผู้บริหาร Morishita Jintan Co., Ltd.,

ผู้สนับสนุนการจัดการแข่งขัน ร่วมแสดงความยินดีและมอบรางวัลแก่ทีมที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนอาเซียนในครั้งนี้ ได้แก่ ทีมกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ซึ่งเอาชนะ ทีมกัมบะ โอซาก้า ด้วยคะแนน 3 – 2 พร้อมแสดงความยินดีกับยอดเยาวชนที่มีทักษะและฝีเท้าที่โดดเด่น ได้แก่ ปรเมศ ละอองดี เบอร์ 23จากทีม กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย และ ณัฐกร รักษา จากทีมอัสสัมชัญ ยูไนเต็ด พร้อมด้วย นรากร ทองจรัส จากทีม การท่าเรือ เอฟซี ได้รับคัดเลือกไปเปิดประสบการณ์ฝึกซ้อมกับหนึ่งในสโมสรชั้นนำภายใต้ J. League ลีกฟุตบอลอาชีพระดับสูงสุดของประเทศญี่ปุ่น

ด้าน มร.มาซาโอะ คิบะ ประธาน JDFA กล่าวว่า “ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน U14 ครั้งที่ 6 จะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีนับตั้งแต่ปี 2019 และในขณะที่หลายคนคาดหวังว่าทัวร์นาเมนต์นี้จะกลับมาอีกครั้ง เราสามารถจัดงานนี้ได้ด้วยการสนับสนุนและความร่วมมือจากผู้คนมากมาย ในทัวร์นาเมนต์นี้ เราหวังว่าไม่เพียงแต่ผู้เล่นชาวไทย ญี่ปุ่น และอาเซียนเท่านั้นที่จะได้ฝึกฝน แต่ยังได้รับประสบการณ์ที่สามารถสัมผัสได้เฉพาะในทัวร์นาเมนต์นี้ผ่านประสบการณ์ระหว่างประเทศ และการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ ผมหวังว่าเราจะยังคงพัฒนามิตรภาพที่ก้าวข้ามพรมแดนของประเทศและไม่ลืมจิตวิญญาณของการเล่นที่ยุติธรรม ผมหวังว่าจะสร้างผู้เล่นดาวรุ่งในอนาคตผ่านทัวร์นาเมนต์นี้ ผมขอแสดงความยินดีกับผู้ชนะการแข่งขัน! ทีมรองชนะเลิศ ยังสู้ได้อย่างยอดเยี่ยม ผมขอขอบคุณผู้เล่นและเจ้าหน้าที่ของทีมอื่น ๆ ที่เข้าร่วมสำหรับการแข่งขันที่ยอดเยี่ยม”

การแข่งขันฟุตบอลเยาวชนอาเซียน “JINTAN U14 ASEAN Dream Football Tournament 2023” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 มีทีมฟุตบอลเยาวชนเข้าร่วมแข่งขัน รวมทั้งหมด จำนวน 12 ทีม แบ่งออกเป็นทีมจากประเทศไทย จำนวน 9 ทีม ทีมจากประเทศญี่ปุ่น จำนวน 2 ทีม และจำนวน 1 ทีมจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งผลการแข่งขัน มีดังนี้

- รางวัลทีมชนะเลิศ “JINTAN U14 ASEAN Dream Football Tournament 2023”

ได้แก่ ทีมกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

- รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีมกัมบะ โอซาก้า

- รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีมอัสสัมชัญ ยูไนเต็ด

- รางวัลอาเซียนดรีมเพลเยอร์ (ASEAN Dream Player) ได้แก่

1. ปรเมศ ละอองดี จากทีม กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

2. ณัฐกร รักษา จากทีม อัสสัมชัญ ยูไนเต็ด

3. นรากร ทองจรัส จากทีม การท่าเรือ เอฟซี

- รางวัลผู้ทำคะแนนยิงประตูยอดเยี่ยม Top Score Award และ รางวัลผู้เล่นดีเด่น Most Valuable Player ได้แก่ ปรเมศ ละอองดี จากทีม กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

การจัดตกแต่งจานอาหารเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงและเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจอาหารยุคนี้ ซึ่งนอกจากจะสร้างความสวยงามน่ารับประทานให้กับจานอาหารของลูกค้าแล้ว ยังเพิ่มมูลค่าและเพิ่มยอดขายได้ด้วยรูปแบบใหม่ของอาหารจานใหม่ สร้างความแตกต่างแก่อาหารจานเดิมให้น่าสนใจขึ้น

ดังนั้น อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 จึงขอเชิญเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร บาร์ คาเฟ่ เชฟ ผู้ที่สนใจต้องการเรียนรู้และยกระดับศิลปะบนจานอาหาร เข้าร่วมเวิร์กชอป “ศิลปะการจัดตกแต่งอาหารเพื่อเพิ่มมูลค้า” (Food Stylist for Value Added Workshop) โดยเชฟประชัน วงศ์อุทัยพันธ์ กรรมการบริหาร สมาคมเชฟประเทศไทย กรรมการระดับ B จากสมาคมเชฟโลก และอาจารย์พิเศษ วิชาศิลปะการตกแต่งอาหาร มหาวิทยาลัยชั้นนำ ให้เกียรติมาเป็นวิทยากร พร้อมให้ความรู้ในการนำศิลปะมาจัดตกแต่งอาหารทั้งองค์ประกอบและเรื่องราว การใช้งานศิลปะมาสร้างจุดเด่นและเพิ่มมูลค่าให้แก่อาหาร เทคนิคลับเฉพาะที่จะเปิดเผยเฉพาะในเวิร์กชอปนี้เท่านั้น

โดยเวิร์กชอปพิเศษครั้งนี้จะจัดขึ้นในงาน Food & Hospitality Thailand 2023 วันที่ 25 สิงหาคม 2566 เวลา 15.00 -18.00 น. ณ Workshop Experience ฮอลล์ 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจลงทะเบียนที่ https://bit.ly/FHT2023_FoodStylist ค่าสมัครท่านละ 2,675 บาท ผู้เข้าร่วมเวิร์กชอปทุกท่านจะได้รับประกาศนียบัตรหลังการเวิร์กชอป (ด่วน! รับจำนวนจำกัด) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณชุดาพร โทร.0-2036-0573 E-mail: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

สำหรับ งาน Food & Hospitality Thailand 2023 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 - 26 สิงหาคม 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลได้ที่ www.fhtevent.com Facebook : Food & Hospitality Thailand

 เอไอเอ ตอกย้ำความสำเร็จครั้งสำคัญในการลดการใช้กระดาษทั่วเอเชีย ซึ่งเผยแพร่ใน AIA ESG Report ประจำปี 2565 โดย เอไอเอ สามารถลดปริมาณการใช้กระดาษทั่วภูมิภาคเอเชียได้มากถึง 1,750 ตัน เทียบเท่ากับกระดาษกว่า 350 ล้านแผ่น ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นในการเดินหน้าผลักดันพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance - ESG) ที่ถือเป็นรากฐานหลักในการดำเนินธุรกิจ

โดย เอไอเอ ให้ความสำคัญกับการมุ่งมั่นส่งเสริมสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนให้กับทุกคน และ เอไอเอ ยังคงเดินหน้าสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับผู้คนทั่วภูมิภาคเอเชีย ตามคำมั่นสัญญา “Healthier, Longer, Better Lives”

ในปี 2565 เอไอเอ ประเทศไทย สามารถลดปริมาณการใช้กระดาษลงได้ถึง 1,008,440 แผ่น ด้วยการสนับสนุนให้ลูกค้าลงทะเบียนใช้บริการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (e-Document) และบริการกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Policy) โดยบริการเหล่านี้ได้เปิดตัวตั้งแต่ปี 2563 เพื่อช่วยให้ลูกค้าเอไอเอ เข้าถึงเอกสารกรมธรรม์ได้ง่ายผ่านแอปพลิเคชัน AIA+ อีกทั้ง เอไอเอ ประเทศไทย ยังได้ผสานเทคโนโลยี บริการดิจิทัล และการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าไว้ในผลิตภัณฑ์ประกัน ตามเป้าหมายที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแบบครบวงจรแก่ผู้ใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน AIA+ ตลอดจนยังประสบความสำเร็จตามเป้าหมายในการสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน และการตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านในการดำเนินงานโครงการด้านสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และธรรมาภิบาล โดยที่ผ่านมา เอไอเอ ได้มีโครงการที่ส่งเสริมด้าน ESG เช่น โครงการ AIA Saves the World และอีกหลายโครงการที่มุ่งส่งเสริมด้านการออกแบบและการใช้งานอาคาร ภายใต้คอนเซ็ปต์ Green Building ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

สำหรับแอปพลิเคชัน AIA+ (เอไอเอ พลัส) ที่ เอไอเอ ประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นนั้นเป็นการรวบรวมบริการของ แอปพลิเคชัน AIA iService และแอปพลิเคชัน AIA Vitality เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงบริการกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบดิจิทัล ระบบติดตามสุขภาพ รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่ส่งเสริมให้ผู้คนมีไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นแบบไร้รอยต่อ

รายงานระบุว่า ในเอเชีย มีการซื้อประกันชีวิต การใช้บริการ และการเรียกร้องสินไหมทดแทนผ่านระบบดิจิทัล สูงถึงร้อยละ 87 จากการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำสมัยเข้ามาช่วยในการดำเนินธุรกิจ (Advancing Digital Transformation) ข้อมูลยังระบุว่า ขั้นตอนการซื้อประกันของ เอไอเอ ร้อยละ 98 เป็นแบบไร้กระดาษทั้งหมด การที่ เอไอเอ นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้จึงช่วยให้นำไปสู่การสร้างรากฐานความยั่งยืนในอนาคต โดยเป็นการทดแทนขั้นตอนการติดต่อดำเนินงานด้านเอกสารแบบเดิม ๆ มาเป็นการให้บริการที่คล่องตัวและราบรื่นอย่างไร้รอยต่อให้แก่ลูกค้า โดย เอไอเอ ได้ติดตามผลและวิเคราะห์ระดับของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติมาใช้ในการดำเนินงานของทุกประเทศ โดยต่อยอดจากเฟรมเวิร์กที่พัฒนาขึ้นในปี 2561 พร้อมทั้งมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อสื่อสารกับลูกค้า พัฒนาตัวเลือกบริการให้ดียิ่งขึ้น และลดปริมาณการใช้กระดาษในองค์กร

ปัจจุบัน เอไอเอ มีลูกค้าที่ถือครองกรมธรรม์ประกันชีวิตรายบุคคลที่มีผลบังคับมากกว่า 41 ล้านกรมธรรม์ โดย AIA ESG Report ประจำปี 2565 ระบุว่า เอไอเอ มีอัตราการซื้อกรมธรรม์แบบไร้กระดาษสูงถึงร้อยละ 98 นอกจากนี้อัตราการส่งเอกสารกรมธรรม์ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-submission) สำหรับบริการของ เอไอเอ ยังเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 76 เป็นร้อยละ 85 ส่วนอัตราการเรียกร้องสินไหมทดแทนแบบไร้กระดาษในปัจจุบันคิดเป็นร้อยละ 85 ของทั้งหมด ซึ่งธุรกรรมการซื้อประกัน การให้บริการ และการเรียกร้องสินไหมของ เอไอเอ ในปัจจุบันร้อยละ 87 ดำเนินการผ่านระบบดิจิทัล โดย เอไอเอ ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนการดำเนินงานตามขั้นตอนต่างๆ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Output) ซึ่งในปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 92 ซึ่ง เอไอเอ ยังได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดการใช้กระดาษโดยใช้ระบบ E-Output ด้วยการเพิ่มบริการ ออกกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Policy) และการแจ้งเตือนอิเล็กทรอนิกส์ (E-Notifications) เข้ามาใช้อย่างจริงจัง

การนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำหน้าเข้ามาช่วย เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในพันธกิจด้าน ESG ของ เอไอเอ และความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนและมีสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับผู้คน โดยกลยุทธ์ ESG ของ เอไอเอ สอดคล้องกับแนวทางหลักทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การลงทุนที่ยั่งยืน การดำเนินงานที่ยั่งยืน ผู้คนและวัฒนธรรม และธรรมาภิบาลที่มีประสิทธิภาพ โดย เอไอเอ ตระหนักดีถึงการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกที่เกิดขึ้นจากการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและส่งเสริมให้ทุกคนในสังคมมีสุขภาพที่ดีขึ้น รวมไปถึงการส่งเสริมให้ผู้ใช้งานได้สนุกกับการใช้ชีวิตที่ดีขึ้นในทุกด้าน

ทั้งนี้ สำหรับ AIA ESG Report ยังได้รวบรวมข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและความมุ่งมั่นในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนเพื่อทุกคนในสังคม โดยสามารถอ่านรายงานฉบับเต็มเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.aia.com/en/about-aia/esg

X

Right Click

No right click