December 16, 2025

27 กรกฎาคม 2566 - 30 กรกฎาคมของทุกปีจะเป็นวันเฉลิมฉลองกิจกรรมดำน้ำโลก (World Snorkelling Day) airasia Superapp ในฐานะซูเปอร์แอปด้านการเดินทางและท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในอาเซียน ขอนำเสนอแหล่งดำน้ำแบบสนอกเกอร์ลิ่งระดับโลกในอาเซียน พร้อมแหล่งท่องเที่ยวที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนที่หลงใหลในกิจกรรมดำน้ำตื้น

การดำน้ำถือเป็นกิจกรรมที่เพลิดเพลินเหมาะสำหรับทุกคนไม่ว่าจะมาเป็นครอบครัว กลุ่มเพื่อน หรือไปแบบฉายเดี่ยว  จากน้ำทะเลอันสวยใสในประเทศฟิลิปปินส์ไปจนถึงความหลากหลายของชีวิตสัตว์ใต้ทะเลในอินโดนีเซีย ปะการังหลากสีสันในมาเลเซีย และแดนสวรรค์นอกชายฝั่งของประเทศไทย ปฏิเสธไม่ได้ว่าท้องทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นแรงบันดาลใจที่ดึงดูดนักดำน้ำจากทั่วทุกมุมโลก

เวียดนามเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในอาเซียน ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

บนการคาดการณ์ที่ยังเติบโตเฉลี่ยต่อเนื่องสูงถึง 6.6% ต่อปีในช่วงปี 2565-2571 ผลจากความสำเร็จในการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของอาเซียน จากการที่เศรษฐกิจขยายตัวเป็นการเพิ่มกำลังซื้อ ขณะที่ภาคผลิตมีความต้องการปัจจัยการผลิต ส่งผลให้เวียดนามมีการนำเข้าสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นตลาดส่งออกหลักอันดับ 4 ของไทยในปี 2565 ด้วยมูลค่า 4.59 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามด้วยโครงสร้างทางเศรษฐกิจของเวียดนามที่พลิกโฉมความท้าทายจากการแข่งขันทางการค้า รวมถึงนโยบายทางเศรษฐกิจของเวียดนามส่งผลให้ตลาดส่งออกของไทยไปเวียดนามคาดว่าจะเผชิญกับแรงกดดันอย่างรุนแรงตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นไป

เวียดนามเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจจากการเป็นฐานการผลิตสำคัญของบรรษัทข้ามชาติต่าง ๆ จากข้อได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนการผลิต รวมถึงข้อได้เปรียบจากพื้นที่ภูมิศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับตลาดใหญ่ในหลากหลายภูมิภาค เช่น การคมนาคมทางทะเลในเส้นทางแปซิฟิก ที่เชื่อมโยงกับตลาดเอเชียตะวันออก เช่น จีน เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น รวมถึงตลาดใหญ่ของโลก เช่น สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะโครงข่ายคมนาคมทางบกที่เอื้ออำนวยในการเชื่อมโยงของเศรษฐกิจเวียดนามเข้ากับประเทศในกลุ่มอาเซียน ส่งผลให้เวียดนามเป็นแหล่งรับเม็ดเงินการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ (Foreign Direct Investment) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2565 ที่สูงถึง 22.4 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นรากฐานการพัฒนาทางเศรษฐกิจของเวียดนามให้มีการขยายตัวต่อเนื่องที่เฉลี่ยสูงถึง 6.6% ในช่วงปี 2566-2571 จากการประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)

ทั้งนี้ เศรษฐกิจเวียดนามได้รับแรงขับเคลื่อนผ่านการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ ทำให้เวียดนามมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วยค่าเฉลี่ยสูงถึง 7.3% บนรายได้ต่อหัว (GDP Per Capita) ที่เพิ่มขึ้นถึง 90.1% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ส่งผลต่อการนำเข้ากลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามกำลังซื้อที่เพิ่มอย่างก้าวกระโดด ในขณะเดียวกันการเป็นฐานการผลิตสำคัญในภูมิภาคอาเซียน เป็นการเพิ่มความต้องการนำเข้าสินค้าในกลุ่มของปัจจัยการผลิต ส่งผลให้เวียดนามยกระดับการเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยที่มีมูลค่าอันดับ 9 ในปี 2555 กลายเป็นตลาดส่งออกอันดับ 4 ในปี 2565 ที่มูลค่า 4.59 แสนล้านบาท ซึ่งเติบโตถึง 129% เมื่อเที่ยบกับช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีนับจากปี 2566 ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินสถานการณ์ส่งออกไปเวียดนามมีแรงกดดันมากขึ้น โดยคาดว่ามูลค่าส่งออกจะชะลอตัวลงเหลือ 3.97 - 4.02 แสนล้านบาท หรือลดลง 12.3% - 13.4% จากแรงกดดัน 4 ประการดังต่อไปนี้

1) ราคาสินค้าส่งออกหลักหลายรายการมีทิศทางลดลง เช่น เม็ดพลาสติก และ ผลิตภัณฑ์โลหะทองแดงที่มีมูลค่าการส่งออก 3.3 หมื่นล้านบาท และ 1.46 หมื่นล้านบาท ในปี 2565 มีราคาส่งออกต่อหน่วยที่ลดลง 6.5% และ 8.0% ตามลำดับ รวมถึง น้ำมันสำเร็จรูปที่มีมูลค่าส่งออกสูงถึง 4.7 หมื่นล้านบาท มีแรงกดดันจากราคาที่ปรับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 8.7% แต่เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีอาจปรับลดลงถึง 17.7% นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 การ

ส่งออกไทยยังได้รับแรงกดดันจากอัตราแลกเปลี่ยนที่กดดันให้มูลค่าการส่งออกลดลงจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 ที่เงินบาทอ่อนค่าทะลุที่ 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในเดือนตุลาคม

2) การผลิตในเวียดนามสามารถรองรับอุปสงค์ในประเทศได้ดีขึ้น จากการยกระดับเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ เช่น การสร้างโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามที่เริ่มผลิตได้เต็มกำลังการผลิตในปีที่ผ่านมา และการย้ายฐานการผลิตของผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ ส่งผลต่อการลดการพึ่งพิงการนำเข้าสินค้าและบริการจากต่างประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ

3) การนำเข้าในตลาดเวียดนามมีการแข่งขันสูงขึ้น เช่น กลุ่มสินค้าน้ำมันสำเร็จรูป ที่เวียดนามมีทิศทางนำเข้าจากเกาหลีใต้เพิ่มสูงขึ้นโดยมีมูลค่า 38% จากมูลค่านำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปทั้งหมดจากความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่เกาหลีใต้เข้าไปลงทุนในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน ในขณะที่การนำเข้าจากไทยมีทิศทางลดลงจากที่เคยมีสัดส่วนที่ 16.3% ในปี 2564 ลดลงเหลือเพียง 12.6% ในปี 2565 รวมถึงในกลุ่มสินค้าส่งออกลำดับ 6 เช่น ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับทองแดงที่มีมูลค่าส่งออกในปี 2565 ที่ 1.46 หมื่นล้านบาท พบทิศทางการนำเข้าของเวียดนามจากประเทศอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปี 2561 ที่เวียดนามนำเข้าทองแดงจากอินโดนีเซียเพียง 8.8% เมื่อเทียบกับการนำเข้าจากไทย เพิ่มสูงขึ้นเป็น 34.8% ในปี 2565 ที่ผ่านมา รวมถึงใน 5 เดือนแรกของปี 2566 พบสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มสูงถึง 54% สะท้อนถึงบทบาทการถูกลดบทบาทของไทยในการเป็นคู่ค้าสำคัญของเวียดนามลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น

4) ผลของนโยบายภายในประเทศเวียดนาม ในประเด็นความตื่นตัวของการลดการใช้ถุงพลาสติกในปี 2573 โดยเริ่มมีมาตรการบังคับใช้อย่างจริงจังในร้านละดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าในปี 2568 และจะเริ่มมีการปรับเงินเมื่อแจกถุงประเภทใช้แล้วทิ้งในปี 2569 ส่งผลให้เวียดนามเริ่มมีความตื่นตัวและเริ่มปรับกลยุทธ์เพื่อลดการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติก ส่งผลให้ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 นี้ มูลค่าการส่งออกเม็ดพลาสติกของไทยไปเวียดนามลดลงถึง 36.5% โดยเป็นการลดลงจากผลของปริมาณส่งออกสูงถึง 28%

โดยสรุป เวียดนามนับเป็นตลาดส่งออกที่มีบทบาทเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลามากกว่า 10 ปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามด้วยเบื้องหลังความสำเร็จของการยกระดับด้านการเป็นฐานการผลิตสำคัญในภูมิภาคอาเซียนของเวียดนามช่วยพัฒนาภาคการผลิตที่สามารถใช้เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เวียดนามสามารถลดการพึ่งพิงการนำเข้าสินค้าอุปโภคขั้นสุดท้ายได้ในหลากหลายรายการ รวมถึงบนโมเมนตัมการขยายตัวของเศรษฐกิจและภาคการค้าของเวียดนามเป็นที่ดึงดูงให้เป็นคู่ค้าสำคัญโดยเฉพาะกลุ่มเอเชียตะวันออกที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหญ่และได้เปรียบเรื่องการคมนาคมขนส่ง ส่งผลให้การส่งออกของไทยไปเวียดนามนับจากปี 2566 คาดว่าจะเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง และเป็นโจทย์ให้รัฐบาลชุดใหม่ในการเร่งเจรจาการค้าเพื่อชดเชยความเสียเปรียบให้กับประเทศคู่ค้าอื่น รวมถึงภาคธุรกิจจำเป็นต้องเร่งปรับตัวเพื่อรักษาศักยภาพส่งออกสินค้าในกลุ่มปัจจัยการผลิตที่สามารถเติบโตได้ตามภาคการผลิตของเวียดนาม เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่เติบโตตามกำลังซื้อ เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เป็นต้น

มาร์ค จอห์น แมคคลีน ผู้อำนวยการบริหาร | ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง

ดร.โชดก ปัญญาวรานันท์ ผู้จัดการ Clients & Industries | ดีลอยท์ ประเทศไทย

โลกของการทำงานเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ นับตั้งแต่การทำงานทางไกลช่วงโรคระบาดไปจนถึง 'การลาออกครั้งใหญ่' และ 'การลาออกอย่างเงียบ ๆ' บริบทสังคมที่เปลี่ยนไปและการหยุดชะงักที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้เราต้องเปลี่ยนมุมมองในการจ้างงานแบบเดิม ๆ ที่ซ้ำซากให้ยืดหยุ่นและคล่องตัวคล่องตัวมากขึ้น จากข้อมูลของกรมการจัดหางาน พบว่า ผู้ที่มาลงทะเบียนคนว่างงานส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าลาออกมากกว่าโดนให้ออกหรือหมดสัญญาจ้างงาน1

จากรายงาน The Deloitte 2023 Global Human Capital Trends2 ได้ทำการสำรวจผู้บริหารมืออาชีพจากภาคธุรกิจและหน่วยงานด้านทรัพยากรบุคคลกว่า 10,000 คนจาก 105 ประเทศทั่วโลก เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับงาน สถานที่ทำงาน และ บุคลากร โดยร้อยละ 23 ของผู้ตอบแบบสอบถามเป็นคณะกรรมการบริหาร หรือ เป็นผู้บริหารในระดับ C-Suite

การเปลี่ยนแปลงพื้นฐานได้เปลี่ยนโฉมโลกของการทำงาน และสร้างโลกไร้ขอบเขตที่ก่อให้เกิดความเป็นไปได้มากมายไม่สิ้นสุด เช่น เปลี่ยนฐานคิดจากตัวงานเป็นทักษะความสามารถ เปลี่ยนจากลูกจ้างประจำไปสู่ระบบนิเวศของแรงงาน เปลี่ยนจากความยืดหยุ่นในการทำงานไปสู่การยืดหยุ่นทุกมิติ เปลี่ยนจากผลผลิตไปสู่ประสิทธิภาพของบุคลากร และ เปลี่ยนจากนายจ้างไปสู่ตัวแทนของคนทำงาน

ดังนั้น จำเป็นต้องสร้างปัจจัยพื้นฐานใหม่ ๆ ที่ช่วยให้พนักงานและองค์กรสามารถเดินทางในโลกที่ไร้ขอบเขตนี้ได้ ปัจจัยดังกล่าวประกอบไปด้วย คิดแบบนักวิจัย ร่วมสร้างกฎและความสัมพันธ์ในการทำงาน และ จัดลำดับความสำคัญที่ผลลัพธ์ของบุคลากร

คิดแบบนักวิจัย

ทั้งองค์กรและบุคลากรควรใช้ประโยชน์จากความอยากรู้อยากเห็นให้เป็น โดยมองว่าทุกการตัดสินใจเป็นเหมือนการทดลองสร้างผลกระทบและความเข้าใจใหม่ ๆ อันประกอบไปด้วย

· การมองเห็นปลายทางของงานที่ทำ ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบทั้งหมด (ร้อยละ 93) เห็นว่า ผู้ตอบแบบสำรวจเกือบทั้งหมด (93%) กล่าวว่าการไม่ยึดติดกับตำแหน่งงานเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จขององค์กร สิ่งที่องค์กรต้องทำ ได้แก่ 1) ผสานความเก่งกับทัศนคติของพนักงานให้นำไปสู่การสร้างคุณค่าและนวัตกรรมให้ได้

2) เปิดโอกาสให้พนักงานสามารถปรับใช้ความสามารถของตนได้อย่างคล่องตัว และ 3) ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ของงานมากกว่าผลผลิตของชิ้นงาน

· ขับเคลื่อนการสร้างผลลัพธ์ด้วยเทคโนโลยี ร้อยละ 93 ของผู้บริหารเชื่อว่าการปรับปรุงผลลัพธ์และประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญ และ ร้อยละ 42 ระบุว่าเทคโนโลยีช่วยกระตุ้นให้พนักงานตั้งแต่ระดับบุคคลจนถึงทีมสามารถสร้างผลลัพธ์ได้ดีขึ้น สิ่งที่องค์กรควรพิจารณาคือ 1) ใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนบุคลากรและทีมงานเพื่อพัฒนาให้พวกเขากลายเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ 2) เพิ่มการมีส่วนร่วมด้วยการใช้ข้อมูลในการติดตามดูแลทีมงาน และ 3) ปรับปรุงสมรรถนะ การเรียนรู้และการพัฒนา การสื่อสาร และ การใช้ข้อมูลทำงานร่วมกัน

· เปิดประตูสู่อนาคตของที่ทำงาน ร้อยละ 87 ของผู้ตอบแบบสำรวจของเรากล่าวว่าการพัฒนารูปแบบสถานที่ทำงานที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร สิ่งที่ควรทำคือ 1) พิจารณาถึงความจำเป็นที่แท้จริง หากสำนักงานไม่ตอบโจทย์ อย่าฝืน 2) ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของพนักงาน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผลลัพธ์และคุณค่า และ 3) รักษาสมดุลย์ของ 'ผลลัพธ์' กับ 'ความต้องการของพนักงาน' ระดับบุคคล ทีม และ องค์กร

ร่วมสร้างกฎและความสัมพันธ์ในการทำงาน

องค์กรควรเปลี่ยนบทบาทจากผู้กำกับดูแลไปเป็นผู้สร้างระบบนิเวศในการทำงาน เนื่องจากพนักงานมีบทบาทและความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ขององค์กรและสังคมมากขึ้นเรื่อย ๆ

· สื่อสารกับพนักงานด้วยข้อมูล ร้อยละ 61 ขององค์กรมองว่าโครงสร้างความเป็นเจ้าของข้อมูลทั้งขององค์กรและข้อมูลส่วนตัว ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบการกำกับองค์กรแบบดั้งเดิมได้ สิ่งที่องค์กรควรปฏิบัติ ได้แก่ 1) ใช้ข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจและทำให้เกิดประโยชน์ร่วมมากกว่าการใช้ข้อมูลเพื่อประเมินผลการทำงานเพียงอย่างเดียว 2) เริ่มแบ่งปันความเป็นเจ้าของข้อมูลและต้องการควบคุมกับพนักงาน และ 3) กำหนดนโยบายการใช้ข้อมูลที่โปร่งใส เข้าถึงได้ และ มีจริยธรรม

· บริการบุคลากรแบบ Agency ร้อยละ 84 ของผู้นำธุรกิจกล่าวว่าหน่วยงานของพนักงานมีความสำคัญ (มาก) ต่อความสำเร็จขององค์กร เนื่องจากพนักงานในปัจจุบันมีทางเลือกในการทำงานมากขึ้นและพึ่งพาองค์กรน้อยลง องค์กรควรที่จะ 1) สร้างสภาพแวดล้อมที่สร้างสรรค์ร่วมกัน องค์กรที่มีพนักงานที่มีความคิดสร้างสรรค์มีแนวโน้มที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากเกือบสองเท่า และ มีแนวโน้มที่จะสร้างสิ่งใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่า 2) แบ่งปันการตัดสินใจและผลลัพธ์ที่สนับสนุนงาน และ ค่านิยมของพนักงาน 3) มุ่งมั่นที่จะทำให้เป็นจริงโดยเปลี่ยนความหลงใหลของพนักงานให้เป็นผลผลิตขององค์กร

· ปลดล็อกระบบนิเวศของแรงงาน ร้อยละ 84 ของผู้นำธุรกิจตระหนักถึงการบริการทรัพยากรบุคคลที่มีความแตกต่างกันให้เกิดประสิทธิภาพ ซึ่งองค์กรสามารถอุดช่องโหว่นี้ได้อย่างไร? 1) นำแนวคิดของระบบนิเวศแรงงานมาใช้ โดยมองว่าบุคลากรทั้งภายในและภายนอกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร 2) ให้ความสำคัญกับทักษะที่ประกอบไปด้วยฝีมือ ความสามารถ และ ความสนใจ 3) สร้างแพลตฟอร์มแรงงานที่เปิดกว้างที่ตระหนักและยอมรับในคุณค่า และ การมีส่วนร่วมของพนักงานทุกประเภท รวมถึงความต้องการและความชอบที่แตกต่างกัน และ 4) การสร้าง 'ระบบนิเวศกำลังคนแบบองค์รวม' สำหรับการจัดตำแหน่งและการบูรณาการข้ามสายงาน

จัดลำดับความสำคัญที่ผลลัพธ์ของบุคลากร

กว่าครึ่งหนึ่งขององค์กรที่สำรวจในปีนี้ต้องการที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสังคมการทำงาน ซึ่งจะส่งพลังไปถึงในโลกแห่งการทำงานต่อไป

· เน้นผลลัพธ์ที่เท่าเทียมกันอย่างชัดเจน ร้อยละ 86 ของผู้นำธุรกิจกล่าวว่าการปลูกฝังเรื่อง ความหลากหลาย ความเสมอภาค และ การมีส่วนร่วม (Diversity, Equity, and Inclusion หรือ DEI) ไว้ในวิถีการทำงานในแบบที่สามารถวัดผลได้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จขององค์กร ขนาดที่หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (The American Chamber of Commerce in Thailand) ได้ตั้งคณะกรรมการ DEI เพื่อส่งเสริมประเด็นดังกล่าวในภาคธุรกิจโดยเฉพาะ ดังนั้นสิ่งที่องค์กรควรพิจารณา ได้แก่ 1) กำหนดความต้องการและการปฏิบัติที่เหมาะสมเพื่อปรับทิศทางการทำงานไปสู่ความเท่าเทียม 2) ให้ความสำคัญกับระบบการทำงาน ไม่ใช่ตัวบุคคล 3) ให้ข้อมูลเชิงลึกที่เฉพาะเจาะจงต่อการนำไปปฏิบัติ ไม่ใช่ข้อมูลเชิงพรรณนาแบบภาพรวม และ 4) ให้ DEI ผสานเป็นเนื้อเดียวกับการดำเนินธุรกิจ ไม่ใช่แยกจากกัน

· ผลักดันให้มนุษย์เป็นองค์ประกอบสำคัญของความยั่งยืน ร้อยละ 84 ของผู้ตอบแบบสำรวจรับทราบว่าการจัดการปัญหาด้านความยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร ในการสำรวจบุคลากร Gen Z และ Millennial ในปี 2566 ของ ดีลอยท์ เกือบครึ่งกล่าวว่าพวกเขามีการกดดันองค์กรเป็นการส่วนตัวให้ดำเนินการในเรื่องความยั่งยืน ดังนั้นสิ่งที่องค์กรควรปรับตัว ได้แก่ 1) ปลูกฝังความยั่งยืนไว้ในวัตถุประสงค์ กลยุทธ์ และ วัฒนธรรมองค์กร 2) วางแผนเชิงกลยุทธ์สำหรับความต้องการทักษะที่ยั่งยืน และ 3) ส่งเสริมบทบาทสำคัญที่มนุษย์มีต่อการสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

· ยกระดับความใส่ใจต่อความเสี่ยงของมนุษย์ ร้อยละ 81 ของผู้ตอบแบบสอบถามรับทราบถึงความสำคัญของการคาดการณ์และพิจารณาความเสี่ยงทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่กว้างขึ้น เช่น ความไม่มั่นคงทางการเมืองและความอยุติธรรมทางสังคม เมื่อต้องตัดสินใจเกี่ยวกับกำลังคน องค์กรควรพิจารณา 1) ประเมินชุดความเสี่ยงที่ครอบคลุมมากขึ้น และ สร้างกรอบสำหรับติดตาม 2) สร้างความคล่องตัวผ่านข้อมูลเชิงลึกที่ขยายออกไป และ 3) ปลูกฝังความรับผิดชอบในระดับคณะกรรมการเพื่อให้กระจายไปทั่วองค์กร

ทั้งสามปัจจัยพื้นฐานใหม่สำหรับโลกที่ไร้ขอบเขต คือ โอกาสสำหรับผู้นำ ผู้นำสามารถเลือกได้ว่าจะนำสิ่งนี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการปรับบทบาทใหม่เพื่อสร้างองค์กรในอนาคต หรือจะเลือกทำเฉพาะสิ่งที่จำเป็นพื้นฐานสำหรับการอยู่รอดขององค์กรและหวังว่าจะสามารถฟันฝ่ามรสุมไปได้เท่านั้น

ศักยภาพของดิสรัปชั่นนั้นมีอยู่จริง เช่นเดียวกับโอกาสให้เราจินตนาการกันใหม่ว่า งาน บุคลากร และ สถานที่ทำงาน ควรจะเป็นอย่างไร การเลือกและมุ่งมั่นเดินไปสู่เส้นทางที่ท้าทายนี้สามารถขับเคลื่อนองค์กรไปสู่อนาคตใหม่ได้ ดังนั้น องค์การควรทดลอง ปลูกฝังความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด และ ขยายขอบเขตการตัดสินใจของผู้นำให้กว้างขึ้น เพื่อที่จะได้เข้าใจผลกระทบทั้งหมดที่จะเกิดขึ้น และนำพาองค์กรไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน

ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้ธุรกิจต้องสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และพัฒนาคุณภาพการบริการ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดแรงงาน ธุรกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับพนักงานที่มีความสามารถและความทุ่มเทมากกว่าเคย ทำให้ปี 2023 นี้ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการพัฒนาวิธีการให้บริการลูกค้า พร้อมสร้างสภาพแวดล้อมที่ช่วยดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถที่ดีที่สุดไว้กับองค์กร โดย Ibi Montesino รองประธานบริหาร ผู้จัดจำหน่ายและประสบการณ์ลูกค้า และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเฮอร์บาไลฟ์ ได้แนะนำขั้นตอนไว้ดังนี้

เพิ่มประสิทธิภาพเทคโนโลยีดิจิทัล

เทคโนโลยีช่วยให้ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจเพียงคนเดียวสามารถดูโดดเด่นขึ้นได้ แต่เนื่องจากลูกค้ามักมีความคาดหวังว่าเทคโนโลยีจะทำงานได้อย่างราบรื่น ทำให้บางครั้งการสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานยากอาจสร้างความผิดหวังให้แก่ผู้ใช้และทำให้ภาพลักษณ์บริษัทดูไม่เป็นมืออาชีพ ดังนั้น ไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีใดก็ตามในการเชื่อมต่อกับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ธุรกิจ ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใช้งานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ

การใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าและช่วยในการตัดสินใจครั้งสำคัญที่มีผลต่อการเติบโตของบริษัท เนื่องจากข้อมูลเปรียบเสมือนแหล่งเชื้อเพลิงความสำเร็จของธุรกิจ ตั้งแต่ใช้เพื่อวิเคราะห์คู่แข่ง ติดตามการส่งสินค้า การประเมินราคา วิเคราะห์ปัญหาและความกังวลของลูกค้า ไปจนถึงการสั่งซื้อวัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ให้ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด

สร้างการเติบโตและขยายธุรกิจ

นักธุรกิจหลายคนอาจได้เคยยินคำกล่าวที่ว่า การจัดการและทำความเข้าใจการเติบโตของบริษัทนั้นเป็นเรื่องท้าทาย บางครั้งธุรกิจที่เริ่มต้นด้วยการดำเนินงานจากเจ้าของคนเดียว อาจกลายเป็นธุรกิจที่ต้องการทรัพยากรเพิ่มมากขึ้นในชั่วพริบตา เมื่อเป็นเจ้าของธุรกิจมาสักระยะหนึ่ง ความสามารถในการจัดการจะเฉียบคมขึ้นและเมื่อพร้อมสำหรับธุรกิจก้าวต่อไปแล้ว อาจสามารถขยายการเติบโตได้โดยการเพิ่มบุคคลากร หรือมองหาวิธีเพิ่มกำไรโดยไม่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่าย ตัวอย่างเช่น การใช้เทคโนโลยีที่มีฟังชั่นอัตโนมัติ เพื่อทดแทนการใช้แรงงานคนจำนวนมาก ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและเงิน

สร้างประสบการณ์ที่น่าหลงใหลให้กับลูกค้า

การบริการที่ไม่ดีเป็นฝันร้ายของเหล่าผู้บริโภค บริษัทต่างๆ ต้องรู้จักปรับเปลี่ยนประสบการณ์การบริการลูกค้าให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลและช่วยให้ลูกค้าทุกคนรู้สึกว่าได้รับการรับฟัง มีคุณค่าและมีความสำคัญต่อธุรกิจ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยวิธีการตั้งแต่การฝึกอบรมตัวแทนฝ่ายสนับสนุนลูกค้า ไปจนถึงการ

จัดหาผู้ให้บริการที่มีคุณภาพ แม้หลายบริษัทมุ่งเน้นการแก้ปัญหาของลูกค้าด้วยเทคโนโลยีในหลากหลายวิธี แต่สิ่งสำคัญที่ยังคงจำเป็นต้องมีคือ การทำให้ลูกค้ารู้สึกว่ามีความเชื่อมต่อแบบบุคคลและไม่รู้สึกเหมือนคุยกับหุ่นยนต์

อีกวิธีหนึ่งที่ธุรกิจสามารถเชื่อมต่อกับลูกค้าได้คือ การใช้ข้อมูลเพื่อทำความรู้จักลูกค้าให้มากที่สุด เช่น วิธีการซื้อและความความคิดในการซื้อของลูกค้า เพราะการมีข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น จะทำให้การเข้าถึงลูกค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถจัดหาผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าต้องการได้ตรงใจมากขึ้นเช่นกัน

ให้ความสำคัญกับพนักงาน

การระบาดของโรคได้สอนบทเรียนสำคัญมากมายให้กับธุรกิจต่างๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกคนได้เรียนรู้ว่าการทำงานที่ออฟฟิศไม่ได้มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจเสมอไป จากการศึกษาล่าสุดเปิดเผยว่า พนักงานกว่า 87% มีแนวโน้มรับการทำงานแบบยืดหยุ่นหากมีโอกาส และพบว่าพนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลเพิ่มขึ้นเมื่อทำงานจากระยะไกล รวมทั้งการทำงานที่ยืดหยุ่นยังช่วยเพิ่มความภักดีต่อบริษัทอีกด้วย

บางครั้งการทำงานเป็นทีมแบบอยู่คนละที่ ต้องตรวจสอบและจัดเตรียมให้แน่ใจว่าเครื่องมือเทคโนโลยีสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ทั้งการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง เว็บแคมและสถานที่ทำงานที่สะดวกสบายที่ช่วยให้ทำงานได้อย่างราบรื่น รวมทั้งผู้จัดการต้องสื่อสารกับทีมของตัวเองที่กระจายตัวตามเมืองต่างๆ หรือทั่วโลก เพื่อให้ลูกทีมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมการงานและรู้สึกได้รับความสำคัญ ดังนั้นควรมีการนัดหมายประชุมตามเวลาที่กำหนด เพื่อให้ผู้จัดการได้ติดตามพนักงานแบบตัวต่อตัวและสร้างความเป็นกันเอง

นอกจากนี้ สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานก็เป็นเรื่องสำคัญ การเป็นสมาชิกฟิตเนส การมีบริการด้านสุขภาพจิตและโปรแกรมอื่นๆ จะช่วยให้พนักงานมีสภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงอยู่เสมอ

ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กที่มีเจ้าของคนเดียวไปจนถึงบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ความยั่งยืนเป็นสิ่งดีทั้งต่อโลกและลูกค้า ซึ่งบริษัทสามารถทำได้หลายวิธี ตั้งแต่การลดการใช้พลังงาน การเปลี่ยนไปใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน หรือแม้แต่การจัดหาซัพพลายเออร์ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน รวมทั้งมาตรการง่ายๆ เช่น การรีไซเคิลในสำนักงาน การเลือกวิธีเดินทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การจัดประชุมแบบดิจิทัล และการคิดถึงผลกระทบที่ธุรกิจสร้างต่อสิ่งแวดล้อม

ปี 2023 นี้ เป็นโอกาสให้เจ้าของธุรกิจทุกขนาดได้ประเมินวิธีการให้บริการลูกค้า พัฒนาการสื่อสารออนไลน์และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับความคาดหวังของลูกค้าและพนักงานเป็นหลัก ผ่านการลงทุนในเทคโนโลยีและเน้นการขยายธุรกิจ ซึ่งอาจทำให้ปีนี้เป็นปีที่นำพาความสำเร็จมาให้บริษัทได้มากที่สุด

นางจรีวรรณ หอมบุบผา ประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ ชมรมผู้บริหารงานแม่บ้านประเทศไทย (ที่สามจากซ้าย) พร้อมด้วยนายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป (ที่สามจากขวา) และ นางสาวสุภาภรณ์ อังศรีสุรพร ผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการอาวุโส อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย (ที่สองจากซ้าย) ร่วมกับกลุ่มผู้ประกอบการชั้นนำในธุรกิจอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและสุขอนามัย นายสุกานต์ อินทรสูต ผู้จัดการอาวุโส (ช่องทางจัดจำหน่าย) บริษัท พีรพัฒน์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (คนแรกขวามือ) นายปวัน เอี่ยมเจริญยิ่ง ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจ บริษัท แมททีเรียล เวิลด์ จำกัด (ที่สองขวามือ) และนางสาวพนิดา มหชวโรจน์ กรรมการ บริษัท เค.เอช.ที.เซ็นทรัลซัพพลาย จำกัด (คนแรกซ้ายมือ) ประกาศความพร้อมและความร่วมมือในการเปิดโซนความสะอาดและสุขอนามัยสำหรับธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหารและธุรกิจบริการ (Cleaning & Hygiene Thailand : CHT) ซึ่งเป็นโซนจัดแสดงใหม่ที่จะเกิดขึ้นครั้งแรกในงานฟู้ด แอนด์ ฮอสพิทาลิตี้ ไทยแลนด์ 2023 (Food & Hospitality Thailand 2023) เมื่อเร็วๆ นี้

งานฟู้ดแอนด์ฮอสพิทาลิตี้ ไทยแลนด์ 2023 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 - 26 สิงหาคม 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ www.fhtevent.com หรือ Facebook : Food & Hospitality Thailand

ธนาคารไทยพาณิชย์ เดินหน้าสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสกุลเงินดิจิทัลของประเทศ ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด พัฒนา แอปพลิเคชัน CBDC SCB เพื่อเป็นแอปพลิเคชันรองรับการทดสอบการใช้งาน Retail CBDC ซึ่งออกโดย ธปท. นำร่องเปิดให้ผู้เข้าร่วมทดสอบ (Whitelist) ในวงจำกัด ทดลองใช้งานแอปฯ ผ่านฟีเจอร์การเติม สแกนจ่าย โอน แลกคืน CBDC ภายใต้ขั้นตอนและกระบวนการดูแลผู้เข้าร่วมทดสอบที่มีมาตรฐานความปลอดภัยเดียวกับลูกค้าของทางธนาคาร สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของธนาคาร รวมถึงความเชี่ยวชาญทางการเงินในเชิงลึก ตลอดจนความพร้อมด้านทรัพยากรในการรองรับการให้บริการในทุกมิติ เพื่อร่วมกันศึกษาและวางโครงสร้างพื้นฐานนวัตกรรมการเงินแห่งอนาคตให้กับประเทศไทยต่อไป

 

ดร.ชาลี อัศวธีระธรรม รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Digital Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ธนาคารมุ่งมั่นนำขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและความเชี่ยวชาญทางการเงินในเชิงลึก ตลอดจนความพร้อมด้านทรัพยากรของธนาคารมาใช้ในการสนับสนุนและผลักดันโครงการสกุลเงินดิจิทัล (CBDC) ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยได้พัฒนา แอปพลิเคชัน CBDC SCB เพื่อทดสอบการใช้งานฟีเจอร์พื้นฐาน ได้แก่ การเติม-จ่าย-โอน-แลกคืน CBDC โดยได้เริ่มทดสอบการใช้งานที่บริเวณธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมาและเริ่มขยายบริเวณทดสอบมายังร้านค้าโดยรอบธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ ตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ และจะมีการทดสอบใช้งานไปจนถึงประมาณไตรมาส 3 2566 โดยมีผู้เข้าร่วมทดสอบ (Whitelist) ในวงจำกัดร่วมกับธนาคาร เป็นพนักงาน SCB และพนักงานในกลุ่ม SCBX ทั้งสิ้นกว่า 3,000 ราย ซึ่งกลุ่ม Whitelist จะสามารถดาวน์โหลดแอป CBDC SCB ได้จาก App Store หรือ Play Store เพื่อลงทะเบียนใช้งาน และแอปฯ นี้จะลงทะเบียนใช้งานได้เฉพาะกลุ่ม Whitelist เท่านั้น ผู้ใช้งานจะสามารถเติม CBDC ผ่านบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ที่ได้เชื่อมต่อกับแอป SCB EASY และสามารถแลก CBDC กลับคืนเป็นเงินในบัญชี

ดังกล่าวได้ตลอดระยะเวลาทดสอบ โดย 1CBDC มีมูลค่าเท่ากับ 1 บาทเสมอ โดยการทดสอบในครั้งนี้อยู่ภายใต้ขั้นตอนและกระบวนการดูแลผู้เข้าร่วมทดสอบที่มีมาตรฐานความปลอดภัยเดียวกับลูกค้าของทางธนาคาร”

“นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ร่วมกับ ธปท. และผู้ให้บริการ CBDC รายอื่น ทดลองพัฒนานวัตกรรมต่อยอดบนระบบ CBDC เพื่อศึกษาแนวทางการรองรับโจทย์ในภาคธุรกิจ (Innovation Track) โดย Innovation Track นี้เป็นเพียงการทดสอบในระบบปิดเท่านั้น และไม่มีการนำไปใช้งานกับผู้เข้าร่วมโครงการและร้านค้า โดยปัจจุบัน Retail CBDC เป็นโครงการเพื่อศึกษาตามที่ ธปท.ย้ำเสมอว่า “Pilot to Learn, Not Pilot to Launch”

การทดสอบในครั้งนี้เป็นการทดสอบในวงจำกัดโดยมีผู้ใช้งานและร้านค้าที่เป็นกลุ่ม Whitelistรวมทุกผู้ให้บริการ CBDC ประมาณ 10,000 คน และยังไม่มีแผนที่จะออกใช้งานจริง” ดร.ชาลี กล่าวทิ้งท้าย

ธนาคารได้พัฒนาประสบการณ์การใช้งาน และยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยการทดสอบการใช้งาน Retail CBDC โดยมีรายละเอียดดังนี้

· กำหนดให้มีการคัดกรองเฉพาะผู้ที่มีสิทธิเข้าร่วมทดสอบเท่านั้น

· กำหนดให้มีการยืนยันตัวตนผู้เข้าร่วมทดสอบ (KYC) และการเติมเงินผ่านการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน SCB EASY รวมถึงกำหนดการแลกคืน CBDC เข้าบัญชี SCB ที่เชื่อมต่อไว้ตอนทำการสมัครเท่านั้น สร้างความมั่นใจด้านมาตรฐานความปลอดภัย โดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับการสมัครเปิดบัญชีธนาคาร

· แอปพลิเคชัน CBDC SCB สามารถดูธุรกรรมการเงินย้อนหลังได้

· มีฟีเจอร์โอน CBDC ให้กับผู้เข้าร่วมทดสอบด้วยกันผ่าน My QR รวมถึงสามารถบันทึก QR Code เพื่อสะดวกต่อการทำธุรกรรม

· กำหนดให้มีขั้นตอนและกระบวนการดูแลผู้เข้าร่วมทดสอบที่ได้มาตรฐานเดียวกับลูกค้าของทางธนาคาร และมีช่องทางการติดต่อโดยตรงของโครงการ

· ธนาคารมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการใช้งาน CBDC ภายในธนาคารเพื่อกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีการใช้จ่ายจริง เพื่อสนับสนุนโครงการของธปท. ให้บรรลุเป้าหมายการทดสอบ

สกุลเงินดิจิทัลสำหรับภาคประชาชนที่ออกโดยธนาคารกลาง (Retail CBDC) คือ เงินในรูปแบบธนบัตรที่ถูกพัฒนาให้กลายสภาพเป็นรูปแบบเงินดิจิทัล ทำให้การถือ Retail CBDC เทียบเท่ากับการถือธนบัตร ไม่มีความเสี่ยง นับเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินครั้งสำคัญที่จะเชื่อมโยง และเพิ่มโอกาสต่อยอดเพื่อรองรับนวัตกรรมทุกมิติ เช่น Open DLT Blockchain หรือ Programmable Payment ได้ในอนาคต ลดการแลกเปลี่ยนผ่านตัวกลาง ช่วยให้ประชาชนและภาคธุรกิจของไทย เข้าถึงบริการทางการเงินในรูปแบบใหม่ สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ตรวจสอบได้ และมีต้นทุนที่ถูกกว่าในปัจจุบัน

จากสถานการณ์ปัจจุบันที่พบว่าในแต่ละองค์กรมีการแข่งขันเรื่องงานเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งสถานการณ์บ้านเมืองต่างๆ ที่ยังคงไม่สงบนิ่ง อาทิ โรคระบาดโควิด – 19 ที่ยังไม่หมดไป หรือสภาพเศรษฐกิจของทั่วโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว และบางองค์กรที่ต้องเร่งสร้างผลงานเพื่อให้พนักงาน องค์กรอยู่รอดและมั่นคง จึงทำให้พนักงานในองค์กรต้องคอยผลักดันตนเองอยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้าจากการทำงานได้มากขึ้นและกลายเป็น ภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือ Burnout Syndrome ในที่สุด ซึ่งภาวะหมดไฟในการทำงาน มาจากความเครียดสะสมในการทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งบางรายอาจกลายเป็นคนมีทัศนคติค่อนข้างเป็นเชิงลบต่อการทำงานของตนเอง หรือขาดความเชื่อมั่นในตนเองไปในที่สุด ส่งผลต่อประสิทธิภาพของพนักงานของแต่ละองค์กรมากขึ้นเรื่อยๆ

จากภาวะ Burnout ที่มีทิศทางสูงขึ้นเรื่อยๆ นี้ ทาง JobsDB by SEEK แพลตฟอร์มหางานชั้นนำของเอเชีย ภายใต้กลุ่มบริษัท SEEK (ซีค) จึงเล็งเห็นถึงความเร่งด่วนที่ทุกองค์กรต้องหันมาสนใจในสุขภาพของพนักงานและป้องกันก่อนที่จะเกิดภาวะหมดไฟแก่พนักงานในองค์กร จึงได้จัดงานสัมมนาออนไลน์ seekTALKS “ช่วยองค์กรรับมือกับภาวะ Burnout ของพนักงาน”

 

คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ JobsDB Thailand ( บริษัท จ๊อบส์ ดีบี ประเทศไทย จำกัด) กล่าวว่า “ภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือ Burnout คือภาวะการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจที่เป็นผลมาจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงานและไม่ได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ในฐานะพันธมิตรการจ้างงานที่ผู้ประกอบการไว้วางใจ JobsDB by SEEK ได้เล็งเห็นปัญหาเหล่านี้มาจากการสำรวจความคิดเห็นจากผู้สมัครงานและฝ่ายทรัพยากรบุคคลที่

ค้นหาผู้สมัครงาน จึงได้จัดงาน seekTALKS สัมมนาออนไลน์ร่วมมือกับสถาบันชั้นนำต่างๆ ในประเทศ ภายใต้แนวคิด “ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน” เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการและองค์กรเข้าใจถึงสถานการณ์การจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไป เรียนรู้ และนำไปพัฒนาองค์กรทั้งในปัจจุบันและอนาคต ผ่านผู้นำทางความคิดที่มาแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ อาทิ เรียนรู้เพื่อนำไปปรับปรุง กลยุทธ์ วางแผน และพัฒนาองค์กร การศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ ที่พร้อมแชร์ประสบการณ์และกรณีศึกษาที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ซึ่งการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร และพนักงาน จะเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่องค์กรควรผลักดัน เพื่อให้พนักงานมีส่วนร่วมกับการทำงานและมีใจรักในการทำงาน ที่จะเสริมสร้างผลลัพธ์ให้กับองค์กรแบบยั่งยืน”

โดยล่าสุดได้รับเกียรติจากหัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์จิตวิทยาตะวันตก-ตะวันออก และประธานแขนงวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “ช่วยองค์กรรับมือกับภาวะ Burnout ของพนักงาน” ที่กำลังเป็นกระแสแรงอยู่ในขณะนี้ ไปเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมฟังสัมมนากว่า 700 คน ผ่านทางระบบซูม

อาจารย์ ดร.เจนนิเฟอร์ ชวโนวานิช หัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์จิตวิทยาตะวันตก-ตะวันออก และประธานแขนงวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “ภาวะหมดไฟในการทำงาน เป็นสิ่งที่พนักงานหลายคนในยุคนี้ต้องเผชิญแบบที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นผลมาจากความเครียดสะสมเรื้อรังจากการทำงาน ทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย หดหู่ ซึมเศร้า หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน และขาดแรงจูงใจในการทำงาน แม้ว่าอาการของโรคนี้จะไม่รุนแรงมากนัก แต่ถ้าหากปล่อยไว้สะสมนานจนเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าได้ ซึ่งปัญหาเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่องค์กรไม่ควรละเลย และต้องเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังกับระบบการทำงานที่อาจทำให้พนักงานเกิดความเหนื่อยล้าสะสมจนเกิดเป็นภาวะหมดไฟที่กระทบกับสภาพจิตใจของคนทำงาน”

 

ในส่วนของความเครียด สามารถแบ่งออกได้ 3 ระดับ คือ 1.ความเครียดในระดับน้อยหรือปานกลาง ซึ่งเกิดขึ้นชั่วคราวในการทำงาน ความเครียดแบบนี้เป็นสิ่งที่ดีเพราะจะทำให้ทุกคนตื่นตัว หรือมีไฟในการทำงาน 2.ความเครียดใน

ระดับที่มากขึ้น เกิดขึ้นนานในช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อพนักงานมีความเครียดแบบนี้ ทุกคนต้องมองหาการสนับสนุน 3.ความเครียดในระดับที่มากเป็นระยะเวลานาน จนส่งผลกระทบต่อร่างกาย ซึ่งความเครียดในระดับนี้จะทำให้ทุกคนเข้าสู่ภาวะหมดไฟนั่นเอง โดยเนื้อหาในการสัมมนาได้กล่าวถึง องค์ประกอบและปัจจัยที่สามารถให้องค์กรสามารถช่วยปลดล็อคให้กับพนักงานในภาวะหมดไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อพนักงานเข้าสู่ภาวะหมดไฟ การช่วยเหลือพนักงานควรมีโปรแกรมการลดภาวะหมดไฟอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ โปรแกรม CBT บำบัดผ่านการเปลี่ยนแปลงทางความคิดและพฤติกรรม โดยนักจิตบำบัด ต้องทำต่อเนื่อง 2 เดือน โดยให้พนักงานลองไปฝึกได้ใช้จนกลายเป็นนิสัย, โปรแกรมการฝึกสติ อาจจะใช้เวลา 3 เดือนเป็นต้นไป, โปรแกรมการรับมือกับความเครียด จะต้องมีการเช็กอัพว่าสามารถนำไปใช้ได้บ้าง เพื่อให้เกิดการปรับพฤติกรรมไปเรื่อยๆ, โปรแกรมการออกกำลังกาย ใช้ให้การบัตรกำนัล หรือทำกิจกรรม เล่นฟุตบอลหลังเลิกงาน ตีแบตมินตัน อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ทำจนชินเป็นนิสัย, โปรแกรมซาบซึ้ง เช่น ในทุกกิจกรรมที่พบเจอ ใช้เวลา 5 นาที แลกเปลี่ยนว่ามีเรื่องดีๆ อะไรเกิดขึ้นบ้าง หรือการขอบคุณคนในทีมทุกๆ ครั้งที่มีกิจกรรม, และโปรแกรม EAP (Employee assistance program) การช่วยเหลือพนักงาน โดยให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาครอบคลุมทุกปัญหา เช่น เรื่องส่วนตัว สุขภาพ รูปแบบ in-house หรือภายใน

นอกจากการช่วยเหลือพนักงานหมดไฟแล้ว สิ่งที่จะช่วยให้พนักงานยังมั่นคงอยู่และยังดึงดูดพนักงานใหม่ สามารถทำได้ดังนี้ 1.มีนโยบายไม่ต้องตอบงานนอกเวลา การกำหนดอย่างชัดเจนว่าหลังเวลางาน พนักงานไม่จำเป็นต้องตอบเรื่องงาน และจะไม่มีผลต่อการประเมิน ซึ่งเป็นสิ่งที่พนักงานหลายที่ต้องการ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนจึงต้องต้องเป็นเรื่องการตกลงภายในบริษัท 2.คำนึงถึงความยืดหยุ่นในการทำงาน ด้านเวลา พนักงานสามารถเลือกเวลาเข้าออกได้เอง, ด้านสถานที่ พนักงานสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ 3.สนับสนุนให้พนักงานได้พักผ่อน บริษัทสามารถสร้างนวัตกรรมในการใช้วันลา ‘อย่างสบายใจ’ โดยทุกคนสามารถออกแบบเวลาพักเบรกได้ และบริษัทฯ ยังคงให้สวัสดิการเกี่ยวกับสุขภาพกายและจิตใจได้ 4.สร้างบรรยากาศในที่ทำงานที่ส่งเสริมสุขภาพจิต คือการสร้างพื้นที่ที่ทำงานสำหรับทุกคนให้สามารถมีส่วนร่วมได้ เช่น นโยบาย DE&I ที่สามารถพาลูกมาที่ทำงานได้ เป็นต้น 5.สร้างความเคารพ และมีส่วนร่วม สถานที่ทำงานควรเป็นที่ปลอดภัยทางจิตใจ สามารถแสดงความเห็นได้ พร้อมยังส่งเสริมให้คนทำงานมีความสุข สุขภาพจิตที่ดีในการทำงาน 6.พนักงานมีความต้องการและจำเป็นหลากหลาย การออกแบบการทำงาน การสื่อสาร สวัสดิการ การอบรมที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการหรือตัวตนของพนักงาน ความหลากหลายเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ HR ต้องคำนึง และสิ่งสำคัญคือการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เก็บจากพนักงาน สำรวจความรู้จัก ความต้องการเป็นประจำ

ทั้งนี้ อาจารย์ ดร.เจนนิเฟอร์ยังได้กล่าวเสริมอีกว่า “องค์กรควรจะใส่ใจพนักงาน พร้อมหมั่นสังเกตว่า หากพบพนักงานมีแนวโน้มที่จะรู้สึกหมดไฟในการทำงาน ทั้งหมดใจหรือหมดไฟ การเข้าไปช่วยเหลือและให้คำปรึกษาทันที ตามแนวทางที่เหมาะสม หรือการที่พนักงานจะเข้าไปพูดคุยกับคนรอบข้างที่ไว้ใจและเข้าใจจะช่วยบรรเทาอาการของภาวะ Burnout Syndrome ได้ และสิ่งสำคัญสำหรับพนักงานเมื่อต้องเผชิญกับภาวะหมดไฟในการทำงาน การหยุดพักผ่อน ให้เวลาตัวเองได้จัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย อารมณ์ จิตใจ เพื่อปรับสมดุลชีวิตให้กลับสู่ภาวะปกติ และหา Work Life Balance ในการทำงาน ก็จะเป็นการผ่อนคลายและช่วยป้องกันภาวะ Burnout Syndrome ไม่ให้กลับมากวนใจในชีวิตได้อีก เพราะทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมความสุขได้ค่ะ”

“สำหรับกิจกรรมสัมมนาออนไลน์ seekTALKS ภายใต้แนวคิด “ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน” เราจัดเป็นประจำทุกเดือน โดยหัวข้อก็จะสลับเปลี่ยนไปตามประเด็นที่น่าสนใจในช่วงนั้น วัตถุประสงค์ก็เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ พาร์ทเนอร์และองค์กร ได้นำองค์ความรู้เหล่านี้ไปพัฒนาองค์กรทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้ หากบริษัทไหนที่สนใจ ก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ หรือสามารถติดต่อได้ที่ https://th.jobsdb.com/ ค่ะ” คุณดวงพร กล่าวปิดท้าย

KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ ไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงในระยะข้างหน้า เนื่องจากเป็นหนึ่งในธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากจากการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและการหดตัวลงของจำนวนประชากรที่จะเริ่มต้นในปี 2030 ตามการการคาดการณ์ของ UN อย่างไรก็ตาม ภาคอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงจังหวัดหัวเมืองใหญ่จะยังขยายตัวต่อได้ตามแนวโน้มการย้ายถิ่นฐานของประชากรเข้าสู่เมืองใหญ่ที่มีมากขึ้น ทำให้ทิศทางอสังหาฯ ไทยจะแตกต่างกันระหว่างเมืองใหญ่และเมืองรองมากขึ้น โดยการเติบโตของภาคอสังหาฯ ในอนาคตมีแนวโน้มที่จะกระจุกตัวอยู่เฉพาะในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใหญ่เท่านั้น

ทิศทางอสังหาฯ ชะลอตัว เมื่อจำนวนประชากรใกล้หดตัว

จำนวนประชากรและความหนาแน่นของประชากรในพื้นที่ ถือเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนภาคอสังหาฯ ที่ส่งผลให้ทั้งความต้องการซื้อทั้งตลาดที่อยู่อาศัยและ เชิงพาณิชย์อย่างศูนย์การค้า สำนักงาน และ คลังสินค้าเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเติบโตของจำนวนประชากรไทยที่มีแนวโน้มซื้อที่อยู่อาศัยมากที่สุด คือช่วงอายุระหว่าง 25-54 ปี ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วนับตั้งแต่ปี 2015 และเริ่มมีจำนวนลดลง ในขณะที่จำนวนประชากรไทยในภาพรวมจะเริ่มลดลงในปี 2030 ซึ่งจะทำให้ภาคอสังหาฯ ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่รุนแรงมากขึ้น

อีก 4 ปัจจัย กดดันการเติบโตของอสังหาฯ ไทย

นอกจากปัจจัยด้านประชากร ภาคอสังหาฯ ที่เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษปี 2010s โดยไม่ได้เกิดจากเฉพาะโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป แต่ยังมาจากอีก 4 ปัจจัยภายในประเทศที่เริ่มเปลี่ยนทิศทางและกดดันการเติบโตของภาคอสังหาฯ คือ (1) การขยายพื้นที่เขตเมืองในต่างจังหวัด หรือ Urbanization ชะลอตัวตามภาคอุตสาหกรรมและบริการที่อาจไม่สามารถเติบโตได้ดีเท่ากับในอดีตตามภาวะ Deglobalization (2) กำลังซื้อคนไทยหดตัว จากรายได้ที่เติบโตช้าลงตามภาวะเศรษฐกิจ ในขณะที่ราคาบ้านยังคงเพิ่มขึ้นเร็ว (3) อัตราดอกเบี้ยที่อาจค้างสูงนาน จะเป็นปัจจัยที่ลดกำลังซื้อและเพิ่มภาระหนี้ให้กลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัย และ (4) ระดับหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงมากแล้วในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่ไทยกำลังจะเข้าสู่ช่วงขาลงของวัฏจักรสินเชื่อ (Deleveraging) ส่งผลให้การกู้ยืมอาจมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นและความสามารถในการก่อหนี้เพิ่มเติมของผู้กู้ทำได้น้อยลง

เมืองใหญ่ยังรอดจากการย้ายถิ่นฐานเข้าเมือง

ถึงแม้ภาคอสังหาฯ ไทยโดยรวมจะชะลอตัวลง แต่อสังหาฯในกรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ยังไปต่อได้ โดยมีแรงสนับสนุนที่แตกต่างจากภาพรวมของประเทศไทย คือ (1) การย้ายเข้าเมืองใหญ่ สะท้อนจากจำนวนครัวเรือนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ขยายตัวที่ 5.6% ต่อปี หรือมากกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศถึง 5 เท่า (2) การขยายตัวของเส้นทางรถไฟฟ้าในเมืองใหญ่ และ (3) กำลังซื้อจากต่างชาติ ที่มีบทบาทมากขึ้นต่อการเติบโตของยอดขายอสังหา ฯ ในไทย และคาดว่าในอนาคตจะมีโอกาสเพิ่มเติมจากภาครัฐที่มีแนวโน้มผ่อนคลายและเปิดเสรีให้ต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศได้มากขึ้น เพื่อชดเชยจำนวนประชากรในประเทศที่ลดลง

อย่างไรก็ตาม KKP Research ยังประเมินว่า การพึ่งพากำลังซื้อจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีนที่มีสัดส่วนมากกว่าครึ่ง อาจมีความเสี่ยงในระยะยาวจาก (1) ความมั่งคั่งของคนจีนมีแนวโน้มลดลงตามเศรษฐกิจจีนที่ไม่อาจเติบโตได้เร็วเท่ากับในอดีต (2) ไทยอาจไม่ใช่ตัวเลือกแรกในเอเชีย หากเน้นแข่งขันด้วยราคาเป็นหลัก และ (3) Capital Control จากรัฐบาลจีนเพื่อสกัดการไหลออกของเงินทุนจีน

อสังหาฯ เมืองรองสวนทาง เสี่ยงซบเซาจากจำนวนครัวเรือนหดตัว

ภาคอสังหา ฯ ในเมืองรองและเขตชนบทอาจซบเซา มีความเสี่ยงราคาบ้านปรับตัวลดลง ความต้องการที่อยู่อาศัยในจังหวัดเล็กหดตัวลงตามจำนวนครัวเรือนที่ย้ายไปยังเมืองใหญ่มากขึ้น สะท้อนจากจำนวนครัวเรือนในภาคอีสานและภาคเหนือที่เริ่มหดตัวที่ 1.2% ต่อปี โดยในปัจจุบันเริ่มเห็นตัวเลขปริมาณอุปทานของบ้านมากกว่าจำนวนครัวเรือน ซึ่งสวนทางกับกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่จำนวนบ้านในตลาดยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาด

KKP Research ประเมินว่า ปัญหา “บ้านล้นตลาด” ในต่างจังหวัดจะยิ่งถูกกดดันมากขึ้นจากความต้องการที่หดตัวลงต่อเนื่องตามจำนวนครัวเรือนที่ลดลง ประกอบกับสินเชื่ออสังหาฯ ในต่างจังหวัดที่มีแนวโน้มลดลงในภาพรวม ส่งผลให้มีแนวโน้มที่ในอนาคตจะมีจำนวนบ้านเหลือมากขึ้นและเป็นแรงกดดันให้ราคาบ้านต้องปรับลดลงได้เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นและจีนที่ประสบปัญหาราคาบ้านแถบชนบทหดตัว

อสังหาฯ ชะลอส่งผ่านเศรษฐกิจชะลอตัวตาม

ถึงแม้บทบาทของภาคอสังหาฯ ต่อเศรษฐกิจไทยจะมีจำกัด แต่การปล่อยให้ภาคอสังหาฯ ชะลอต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบไปยังภาคส่วนอื่นในเศรษฐกิจได้ ทั้งในภาคเศรษฐกิจจริงผ่านกลุ่มธุรกิจเกี่ยวเนื่องในภาคอสังหาฯ และภาคการเงินผ่านกลุ่มธนาคารและตลาดตราสารหนี้ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อคุณภาพสินทรัพย์ เพราะ สินเชื่อที่อยู่อาศัยมีสัดส่วนมากกว่า 30% ของสินเชื่อรายย่อยทั้งหมดและ ภาคอสังหาฯ มีการระดมทุนผ่านตลาดสารหนี้ที่มากที่สุดกลุ่มหนึ่ง หากเกิดการชะลอตัวรุนแรงอาจส่งผลต่อเนื่องสู่ตลาดการเงินได้

 

 Binance Academy ศูนย์การเรียนรู้แบบเปิดกว้างด้านบล็อกเชนและคริปโต ภายใต้การดูแลของ Binance แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดของโลก เปิดเผยข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าเยาวชนเริ่มสนใจการศึกษาเกี่ยวกับบล็อกเชนมากขึ้น โดยผู้ใช้ส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีอายุระหว่าง 19 - 25 ปี มากถึง 36%

ตามด้วยผู้ใช้ที่มีอายุระหว่าง 31 - 40 ปี อยู่ที่ 22% และกลุ่มอายุ 26 – 30 ปี อยู่ที่ 18%

ทั้งนี้ Binance Academy เปิดตัวครั้งแรกในปี 2561 โดยนำเสนอเนื้อหาด้านการศึกษาในรูปแบบต่างๆ แบบไม่มีค่าใช้จ่าย ประกอบไปด้วย บทความ คู่มือ วิดีโอ และรายการอภิธานศัพท์ ซึ่งจำแนกไว้ตามระดับทักษะและความสนใจด้านต่างๆ เพื่อลดช่องว่างทางการศึกษาด้านคริปโต เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและปรับใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย

ส่งเสริมความสนใจด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนในคนรุ่นใหม่

ผู้คนเริ่มตระหนักถึงศักยภาพและกรณีการใช้งานของเทคโนโลยีบล็อกเชนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของคนรุ่นใหม่ โดยหลักสูตรของ Binance Academy ได้รับความสนใจและมีจำนวนการเข้าใช้งานสูงสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ประกอบไปด้วยหลักสูตร ‘Introduction to Blockchain’ ‘GameFi’ และ ‘Brief history of Blockchain technology’ ทั้งนี้ความนิยมของหลักสูตรพื้นฐานและหลักสูตรเบื้องต้นของ Web3 ยังแสดงถึงการยอมรับในเทคโนโลยีเหล่านี้มากขึ้นอีกด้วย

โดยองค์กรที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จะสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยรายงาน “Time for trust” ของ PwC1 เผยว่า ภายในปี 2573 เทคโนโลยีบล็อกเชนจะเข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพ

และสร้างงานได้มากถึง 40 ล้านตำแหน่งทั่วโลก เนื่องจากความต้องการผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมคริปโตและบล็อกเชนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ จากการรวบรวมแบบประเมินทักษะกว่า 200,000 รายการของ DevSkiller2 ในปีที่ผ่านมา ยังได้แสดงให้เห็นว่า มีความต้องการผู้ที่มีทักษะด้านการเขียนโปรแกรมบล็อกเชนที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 552% ด้วยเช่นกัน

จากผลการศึกษาดังกล่าว ทำให้องค์กรภาครัฐในแต่ละประเทศเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาการศึกษาด้าน Web3 เพื่อส่งเสริมความรู้และขยายการมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุม ยกตัวอย่างเช่น รัฐอุตตรประเทศ ของประเทศอินเดีย มีการทำงานร่วมกับคณะกรรมการการศึกษาระดับมัธยมศึกษาเพื่อเพิ่มเนื้อหาด้านคริปโตเข้าไปในหลักสูตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามของรัฐบาลในการส่งเสริมความรู้ด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ แก่นักเรียน เพื่อเตรียมความพร้อมสู่อนาคต ในขณะเดียวกัน เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ได้ร่วมมือกับบริษัท Web3 เพื่อส่งเสริมความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชนแก่เยาวชน โดยมีการจัดสรรงบประมาณกว่า 1,330 ล้านวอน หรือ 35 ล้านบาท สำหรับโครงการริเริ่มในการสนับสนุนการศึกษาด้านบล็อกเชนให้แก่นักเรียนในเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี ดังนั้น การสร้างชุมชน Web3 ที่แข็งแกร่งจะช่วยส่งเสริมระบบนิเวศที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนช่วยบ่มเพาะเยาวชนและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี Web3 เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ และการเติบโตของอุตสาหกรรมต่อไป

ศึกษาเทคโนโลยี Web3 ผ่าน Binance Academy

Binance Academy เป็นแหล่งข้อมูลด้านการศึกษาจาก Binance ผ่านเว็บไซต์ที่สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย และไม่มีค่าใช้จ่าย โดยผู้เข้าชมมากกว่าแสนรายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในสองไตรมาสแรกของปี 2566

นอกจากการเข้าถึงข้อมูลทางการศึกษาได้อย่างง่ายดายผ่านแพลตฟอร์ม Binance Academy แล้ว Binance ยังได้ขยายการศึกษา Web3 ไปสู่สถาบันท้องถิ่นอีกด้วย โดยในปีนี้ Binance Academy ได้ร่วมมือกับ Edukasyon.ph ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เพื่อมอบทุนการศึกษา ‘Binance Scholar Philippines Web 3.0’ โดยนักเรียนที่ได้รับทุนสามารถเข้าร่วมหลักสูตร Web3 ที่ประกอบไปด้วยเนื้อหาเทคนิคขั้นสูงได้

นางสาว หยี่ เหอ (Yi He) ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานฝ่ายการตลาดของ Binance กล่าวว่า “Binance Academy เชื่อมั่นว่าการศึกษาเป็นรากฐานที่สำคัญในการสร้างนวัตกรรมและส่งเสริมความก้าวหน้า เราจึงมุ่งมั่นที่จะทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีบล็อกเชน ผ่านการมอบองค์ความรู้ที่มีประสิทธิภาพที่สุด Binance มุ่งมั่นที่จะสร้างรากฐานและผลักดันการนำไปใช้ของเทคโนโลยี Web3 ต่อไป”

นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (ที่สามจากซ้าย) นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย (ที่สองจากซ้าย) และนายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย (คนกลาง) จัดเสวนาพิเศษ “รวมพลังสร้างกลยุทธ์เพิ่มมูลค่า เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย” พร้อมร่วมพันธมิตรองค์กรภาครัฐและเอกชนผู้ให้การสนับสนุนการจัดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 แถลงความพร้อมการจัดงาน โดยมี นางสาวสุนันทา หามนตรี ผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์ในประเทศ ฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ (คนแรกซ้าย) ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธาน สมาคมผู้ค้าปลีกไทย (ที่สามจากขวา) นายมีชัย อมรพัฒนกุล นายกสมาคมบาริสต้าแห่งประเทศไทย (ที่สองจากขวา) เชพสมศักดิ์ รารองคำ นายกสมาคมเชฟประเทศไทย (คนแรกขวา) ให้เกียรติร่วมแถลงข่าว ซึ่งงาน Food & Hospitality Thailand 2023 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-26 สิงหาคม 2566 ณ ฮอลล์ 1-3 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจรายละเอียดการจัดงานฯ สามารถติดตามข้อมูลได้ที่ www.fhtevent.com เมื่อเร็วๆ นี้

X

Right Click

No right click