

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ (กลาง) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขันอีสปอร์ตระดับนานาชาติ Arena of Valor Premier League (APL) 2023 ซึ่งจัดขึ้นโดยผู้พัฒนาและให้บริการเกมออนไลน์ชั้นนำอย่าง การีนา ธุรกิจดิจิทัลเอนเตอร์เทนเมนต์ภายใต้เครือ Sea ในโอกาสนี้ มีนายกฤตย์ พัฒนเตชะ (ที่ 2 จากขวา) Senior Director, Head of Garena Online (Thailand) Co., Ltd. และนางสาวมณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sea (ประเทศไทย) ร่วมพิธีเปิด ณ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ไอคอนสยาม
การแข่งขัน Arena of Valor Premier League (APL) 2023 ในครั้งนี้ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย เป็นเมืองเจ้าภาพในการจัดงานและต้อนรับทีมนักแข่งจากทั้ง 19 ทีม จากเวียดนาม ไต้หวัน อินโดนีเซีย และประเทศไทยเอง แสดงให้เห็นศักยภาพของกรุงเทพฯ ในฐานะเมืองแห่งการส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และโอกาสในการพัฒนาความพร้อมเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ต เพื่อส่งเสริมนักกีฬาและแรงงานแห่งอนาคต
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) ร่วมกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มหาวิทยาลัยมหิดล บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ดีลอยท์ ประเทศไทย และบริษัท ล็อตเต้ ไฟน์ เคมิคอล จำกัด นำ 8 สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหารในโปรแกรมเร่งการเติบโต ภายใต้โครงการ SPACE-F Accelerator รุ่นที่ 4 ร่วมนำเสนอผลงานแก่นักลงทุน และผู้ที่สนใจในนวัตกรรมด้าน FoodTech บนเวที SPACE-F Batch 4 Accelerator Demo Day ในงาน Startup x Innovation Thailand Expo 2023 (SITE2023) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
สตาร์ทอัพภายใต้โครงการ SPACE-F Accelerator รุ่นที่ 4 นั้นได้เข้าร่วมโปรแกรมเร่งการเติบโตเป็นระยะเวลา 4 เดือน โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างโอกาสทางธุรกิจและพัฒนานวัตกรรมร่วมกับบริษัทคู่ค้า สร้างความร่วมมือและเพิ่มศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหารในประเทศไทย
![]()
โดย ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวเปิดงาน SPACE-F Batch 4 Accelerator Demo Day ว่า “โครงการ SPACE-F เป็นโครงการที่สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรมอาหารในระดับนานาชาติ พร้อมส่งเสริมความร่วมมือกันของเครือข่ายและระบบนิเวศของสตาร์ทอัพให้แข็งแกร่ง โดยมีจุดประสงค์ที่จะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมอาหารของโลก สตาร์ทอัพทั้ง 8 ในโปรแกรม Accelerator ของ SPACE-F รุ่นที่ 4 จะเป็นผู้นำเสนอเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะมาช่วยแก้ไขปัญหาและเปลี่ยนแปลงอนาคตของอุตสาหกรรมอาหารที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนบนโลก โดย SPACE-F เป็นผู้นำของโลกยุคใหม่ด้านนวัตกรรมอาหาร ทั้งการเป็นผู้ประกอบการ การสร้างนวัตกรรม และการสร้างการร่วมมือกันของทุกภาคส่วนมาบรรจบกันเพื่อเปลี่ยนโลกของเราให้ดียิ่งขึ้น ความสำเร็จของสตาร์ทอัพเหล่านี้เป็นสิ่งยืนยันถึงศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดที่อยู่ในภาคส่วนเทคโนโลยีอาหาร”
![]()
ดร. ธัญญวัฒน์ เกษมสุวรรณ ผู้อำนวยการกลุ่มด้านนวัตกรรม บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างผู้สนับสนุนของโครงการตั้งแต่เริ่มต้นและการให้ความร่วมมือกับสตาร์ทอัพเพื่อพัฒนานวัตกรรมอาหารว่า “โครงการ SPACE-F ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างเครือข่ายและระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีอาหารให้แข็งแกร่ง พร้อมทั้งสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ทอัพในโครงการตลอดจนต่อยอดโอกาสด้านธุรกิจสู่ระดับสากล และด้วยเครือข่ายของ SPACE-F ที่เข้มแข็งขึ้นทำให้สตาร์ทอัพที่เคยร่วมโครงการมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน นักลงทุน พันธมิตร รวมถึงโอกาสต่างๆ ในการขยายธุรกิจในเวทีโลก
ทั้งนี้ สตาร์ทอัพที่นำเสนอผลงานได้รับการคัดเลือกโดยพันธมิตรจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ได้รับโอกาสในการสร้างนวัตกรรมอาหาร ไทยยูเนี่ยนจึงได้ถือโอกาสนี้ในการเข้าไปสนับสนุนและทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพที่ผ่านการคัดเลือกเพื่อเร่งสปีดความสำเร็จ โดยเราคาดหวังว่าจะได้สนับสนุนและทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องกับสตาร์ทอัพเหล่านี้ในอนาคตแม้หลังจากจบโครงการแล้ว”
![]()
คุณต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้สนับสนุนหลักของโครงการ SPACE-F Batch 4 ได้เสริมอีกว่า “ความหลากหลายของสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหารในรุ่นที่ 4 นี้ ครอบคลุมไปในส่วนของนวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเรามองเห็นความสามารถและศักยภาพของสตาร์ทอัพในรุ่นนี้ที่มาจากนานาประเทศ พวกเขาทำให้เรามั่นใจว่า SPACE-F จะกลายเป็นตัวกลางในการสนับสนุนนวัตกรรมที่โดดเด่นเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางระดับโลกสำหรับนวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่มอย่างแน่นอน
ไทยเบฟเวอเรจ ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ SPACE-F ในตลอด 3 ปีที่ผ่านมา และเรามองว่า SPACE-F จะเป็นเวทีสำคัญในการผลักดันวาระความยั่งยืนในระดับโลก”
ทำความรู้จักกับ 8 สตาร์ทอัพที่ร่วมโชว์ผลงาน
· AlgaHealth (อิสราเอล): ผู้คิดค้นและผลิตอาหารเสริมสารสกัด Fucoxanthin จากสาหร่าย ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดไขมันในเลือด
· AmbrosiaBio (อิสราเอล): ผู้พัฒนาและออกแบบสารทดแทนน้ำตาลที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วน หรือเบาหวาน โดยไม่ทำให้รสชาติเปลี่ยนแปลง
· Lypid (สหรัฐอเมริกา): ไขมันจากพืชสำหรับการผลิตโปรตีนทดแทนที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์
· MOA (สเปน): ผู้พัฒนาและผลิตแหล่งโปรตีนใหม่ ๆ อย่างยั่งยืนจากการ Upcycling วัตถุดิบจากกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร
· Pullulo (สิงคโปร์): ผู้ผลิตโปรตีนทดแทน จากการ Upcycling วัตถุดิบจากภาคการเกษตรโดยใช้เทคโนโลยีการหมัก (Fermentation technology)
· Seadling (มาเลเซีย): ผลิตภัณฑ์อาหารและอาหารเสริมสำหรับสัตว์เลี้ยงผลิตจากสาหร่าย
· TeOra (สิงคโปร์): ผู้คิดค้นเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันโรคและส่งเสริมการเจริญเติบโตของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
· The Leaf Protein Co. (ออสเตรเลีย): ผู้สร้างและผลิตโปรตีนทดแทนจากใบไม้ด้วยกรรมวิธีที่ยั่งยืน
สตาร์ทอัพผู้เข้าร่วมโครงการได้ให้สัมภาษณ์ และกล่าวถึงความรู้สึกเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการ และกิจกรรม SPACE-F Batch 4 Accelerator Demo Day ว่า พวกเขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม SPACE-F โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเข้าร่วมวัน Accelerator Demo Day นี้ พวกเขาได้พบกับผู้ที่มีความสามารถอันหลากหลาย พร้อมได้สร้างเสริมสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภายในงานอันเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ด้านเทคโนโลยีอาหาร โปรแกรมนี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเขาในการร่วมมือกับพันธมิตรองค์กรและทุก ๆ ภาคส่วน พวกเขาได้เรียนรู้หลายอย่างจากประสบการณ์ต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญในโครงการ พร้อมทั้งได้รับข้อมูลและข้อเสนอแนะมากมายที่พวกเขาสามารถนำไปใช้กับแผนการนำร่องนวัตกรรมของตัวเองได้
![]()
ศาสตราจารย์ นพ.บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ปิดท้ายงาน SPACE-F Batch 4 Accelerator Demo Day ว่า รู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานที่ประสบความสำเร็จ จากที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากให้ความสนใจนวัตกรรมด้านอาหาร และอยู่ร่วมกิจกรรมตั้งแต่ต้นจนจบช่วง Pitching “มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้สนับสนุนในด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์การวิจัยด้านเทคโนโลยีอาหาร พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ที่พร้อมให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีอาหาร ซึ่งในโครงการ SPACE-F รุ่นต่อ ๆ ไป ทางคณะวิทยาศาสตร์ และสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทุ่มเทและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายการขับเคลื่อนนวัตกรรมตามวิสัยทัศน์และพันธกิจของโครงการ SPACE-F เพื่อช่วยส่งเสริมสตาร์ทอัพและสร้าง “ระบบนิเวศน์ด้านเทคโนโลยีอาหาร ทั้งในมหาวิทยาลัยของไทยและในระดับประเทศ”
![]()
คุณแจโฮ ลี หัวหน้าทีมพัฒนาอาหารและยา บริษัท ล็อตเต้ ไฟน์ เคมิคอล จำกัด ในฐานะตัวแทนจากบริษัทที่ล่าสุดได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผู้สนับสนุนของโครงการ ได้เสริมอีกว่า “สำหรับโครงการ SPACE-F ทางล็อตเต้ได้ให้การสนับสนุนในเรื่องของการลงทุนและได้ให้ความร่วมมือกับองค์กรทุกภาคส่วนในโครงการ ตั้งแต่รุ่นที่ 3 เป็นต้นมา โดยล็อตเต้วางแผนที่จะลงทุนในสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่องรวมถึงการแบ่งปันความรู้ของล็อตเต้ให้กับสตาร์ทอัพ โดยเรามีจุดประสงค์เพื่อสร้างรากฐานความยั่งยืนของนวัตกรรมอาหารเพื่อเด็ก ๆ มนุษยชาติ และโลกของเราที่สวยงาม มาร่วมสร้างการเดินทางสู่ความสำเร็จครั้งใหม่ไปด้วยกัน”
ด้วยผู้เข้าร่วมที่มากกว่า 200 คน ซึ่งประกอบไปด้วยผู้บริหาร และพนักงานจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน นักลงทุน ผู้ประกอบธุรกิจ ทั้งไทย และต่างประเทศ และผู้เข้าร่วมอื่น ๆ ที่ให้ความสนใจ นับเป็นความสำเร็จของ SPACE-F Batch 4 Accelerator Demo Day ที่เปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพภายใต้โครงการได้เปิดตัวต่อเครือข่ายคู่ค้า เพื่อเชื่อมโยงความเป็นไปได้ และโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมในประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ปัจจุบัน ในประเทศไทย ผู้คนให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเงินมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่เป็นการเก็งกำไรจากส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขาย ทาง บลจ.ซาวาคามิ ประเทศไทย เห็นว่ายังมีผู้คนจำนวนไม่มากที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนระยะยาวที่มุ่งหวังไปถึงการเติบโตของบริษัทที่เข้าไปลงทุน

บลจ. ซาวาคามิ (ประเทศไทย) จึงได้จัดตั้ง “กองทุนรวมผสมซาวาคามิ” ขึ้นมา โดยเป็นกองทุนที่ “ลงทุนตามหลักการลงทุนระยะยาวอย่างแท้จริง” ยึดตามแนวความคิดของบริษัทแม่ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งแตกต่างจากกองทุนทั่วไป
ทีมการลงทุนของ บลจ. ซาวาคามิ (ประเทศไทย) จะทำการวิเคราะห์หลักทรัพย์ และบริษัทในประเทศไทยที่จะเข้าไปลงทุนอย่างละเอียดด้วยความเป็นมืออาชีพ โดยคำนึงถึงแนวคิดการลงทุนของบลจ. รวมทั้งคัดเลือกหลักทรัพย์ของบริษัทที่มีพื้นฐานดีและคาดหวังในการเติบโตในระยะยาวสอดคล้องไปกับสังคมและเศรษฐกิจไทย เพื่อประโยชน์สูงสุดของนักลงทุน
เนื่องจากบลจ. ซาวาคามิ (ประเทศไทย) มี “กองทุนรวมผสมซาวาคามิ” เพียงกองทุนเดียว ดังนั้นนักลงทุนจึงมั่นใจได้ว่า เราจะให้ความสำคัญและมุ่งมั่นที่จะบริหารเงินลงทุนอย่างเต็มที่ที่สุดเพื่อทำให้กองทุนนี้เติบโต เสริมสร้างความมั่งคั่งและมุ่งสู่ความเป็นอิสระทางการเงินของนักลงทุนในประเทศไทย
เนื่องจากหลักทรัพย์ที่บลจ. คัดเลือกขึ้นมาเป็นหลักทรัพย์ของบริษัทที่นำเสนอสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญของสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนักลงทุนจะมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากมูลค่าหน่วยลงทุนที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นนักลงทุนคุณภาพที่มีส่วนสนับสนุนการพัฒนาของประเทศ
อีกทั้งบริษัทที่กองทุนเข้าไปลงทุน เมื่อได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากนักลงทุนก็จะทำให้มีความสามารถในการพัฒนาสินค้าและบริการที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค มีการสร้างงาน และการจ้างงาน มีวิวัฒนาการทางด้านการผลิต ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมพร้อมไปกับการเจริญเติบโตของบริษัทเหล่านั้นเอง
นักลงทุนทั่วไปที่สนใจใน “กองทุนรวมผสมซาวาคามิ” สามารถเริ่มลงทุนตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป หรือออมการลงทุนเป็นประจำแบบถัวเฉลี่ย (DCA) เริ่มต้นตั้งแต่ 1,000บาท ขึ้นไป เพื่อมุ่งสู่ความเป็นอิสระทางการเงินในอนาคต และเป็นส่วนหนึ่งของ “กลไกในการสร้างความมั่งคั่งทั้งตนเองและสังคม” หากนักลงทุนท่านใดมีความสนใจในการเป็นนักลงทุนตามแนวคิดของการลงทุนระยะยาวที่แท้จริง สามารถติดต่อ บลจ. ซาวาคามิ (ประเทศไทย) เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามช่องทางที่ระบุไว้ด้านล่างได้ทุกวันทำการ
บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำมะเขือเทศที่ครองใจผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน เปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ หวังเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ Doi Kham Beauty Tomato Collection เครื่องดื่มน้ำมะเขือเทศสูตรบิวตี้ ที่อัดแน่นด้วยวิตามินจากธรรมชาติ ผสานรสชาติความอร่อยจากผลไม้หลากหลายชนิด ให้การดื่มน้ำมะเขือเทศของคุณเป็นเรื่องง่าย อร่อยเต็มคุณประโยชน์จากภายในสู่ภายนอก ต่อยอดแบรนด์ดิ้งเรื่องผลิตภัณฑ์น้ำมะเขือเทศที่มีความหลากหลายเข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค
![]()
นางชนันนัทธ์ พลปัถพี รองผู้จัดการใหญ่ ด้านขายและการตลาด บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด เผยว่า ดอยคำเป็นผู้นำตลาดน้ำมะเขือเทศต่อเนื่อง เป็น “King of Tomato” ที่ครองใจคนไทยมาอย่างยาวนาน พิสูจน์ได้จากยอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มมะเขือเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่องมากกว่า 3 ปี ตั้งแต่ ปี 2563 คิดเป็น 340 ล้านบาท ปี 2564 คิดเป็น 520 ล้านบาท และปี 2565 คิดเป็น 633 ล้านบาท
ปัจจุบันภายใต้ Portfolio ผลิตภัณฑ์ “น้ำมะเขือเทศ” เป็นสินค้าขายดีอันดับ 1 โดยคิดเป็นสัดส่วนการขายกว่า 90% ของยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ดอยคำทั้งหมด นอกจากนั้นยังมีผลิตภัณฑ์มะเขือเทศอื่นๆ หลากหลายชนิด เราจึงสร้างการรับรู้ให้ “มะเขือเทศ ดอยคำ” เป็นมากกว่า “น้ำมะเขือเทศพร้อมดื่มธรรมดา” รวมถึงตอกย้ำให้คนที่เคยดื่ม หรือดื่มน้ำมะเขือเทศดอยคำเป็นประจำอยู่แล้ว เกิดความรักต่อแบรนด์และบริโภคอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เพื่อให้ได้คุณประโยชน์ระยะยาว โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มน้ำมะเขือเทศพร้อมดื่มที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เริ่มต้นจากน้ำมะเขือเทศ 99% สูตรออริจินัลถือเป็นโปรดักส์ฮีโร่, ตามมาด้วยน้ำมะเขือเทศ 99% สูตรโซเดียมต่ำ สำหรับสายควบคุม, และน้ำมะเขือเทศผสมน้ำผลไม้รวม 98% ม็อกเทล สำหรับสายเริ่มดื่ม
ล่าสุดดอยคำตอกย้ำความเป็นผู้นำเรื่องน้ำมะเขือเทศ พร้อมมุ่งขยายฐานไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพิ่มไลน์ผลิตกลุ่มน้ำมะเขือเทศน้องใหม่ล่าสุดสายบิวตี้ กับ Doi Kham Beauty Tomato Collection น้ำมะเขือเทศสูตรบิวตี้ผสมผลไม้รวม รสชาติอร่อย ดื่มง่าย อัดแน่นด้วยวิตามินจำเป็นต่อร่างกาย ไอเท็มใหม่ของวัยรุ่นดูแลสุขภาพ ตั้งเป้าเจาะกลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา First Jobber อายุระหว่าง 15-30 ปี ที่ให้ความสนใจสุขภาพและความงาม
“จากประสบการณ์ของดอยคำ เราเข้าใจอินไซต์ของผู้บริโภคดีว่าการบริโภคน้ำมะเขือเทศนั้นดื่มยาก บางคนอาจจะรู้สึกรสชาติไม่ถูกปาก แต่ในขณะเดียวกันก็ทราบถึงคุณประโยชน์ของน้ำมะเขือเทศ ซึ่งหลายคนนำน้ำมะเขือเทศดอยคำไปเป็นส่วนผสมกับเครื่องดื่มอื่น เพื่อเป็นการลดกลิ่นของมะเขือเทศไปในตัว เพิ่มความอร่อย ดื่มง่ายขึ้น ดั้งนั้นเพื่อตอบสนองกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มนี้ ดอยคำจึงได้มีการคิดค้นและพัฒนาสูตรน้ำมะเขือเทศตัวใหม่ สูตรใหม่ โฉมใหม่ ภายใต้แนวคิด “Doi Kham Beauty Tomato Collection” อร่อย ดื่มง่าย อัพลุค ตอบสนองฟังก์ชั่นวัยใสที่ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ ไปด้วย 3 สูตร ได้แก่
![]()
· โทเมโท พิงค์ (TOMATO PINK) น้ำมะเขือเทศผสมฝรั่งชมพู หวานหอมฝรั่งชมพู ผสานกับน้ำมะเขือเทศอย่างลงตัว เสริมคุณค่าด้วยแอล-กลูตาไธโอน และมีวิตามินซีสูง ช่วยอัพความโดดเด่น เพิ่มความสดใส ให้ตัวเอง
· โทเมโท เวลเว็ต (TOMATO VELVET) มะเขือเทศผสมเบอร์รีรวมและทับทิม เพิ่มมิติรสชาติเปรี้ยวอมหวานลงตัว ด้วยสตรอว์เบอร์รี มัลเบอร์รี และทับทิม เสริมด้วยคอลลาเจน และมีวิตามินเอสูง ช่วยอัพความดูดีอย่างเป็นธรรมชาติ
· โทเมโท โครอล (TOMATO CORAL) น้ำมะเขือเทศผสมแครอทและส้ม ผสมผสานรสชาติที่คุ้นเคยด้วยแครอทและส้ม อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน เสริมด้วยสังกะสีสูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ อัพความมั่นใจได้ทุกวัน
นอกจากนี้ Doi Kham Beauty Tomato Collection มาพร้อมแพ็คเกจจิ้งใหม่ สีสันสดใส สะดุดตาเพื่อเข้าถึงคนเจเนอเรชั่นใหม่ พร้อมสานต่อกิจกรรมด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ในกิจกรรม “แกะ ล้าง เก็บ” ภายใต้โครงการ “สร้างโลกสีเขียว” กับดอยคำ โดย 1 กล่อง มีมูลค่า 1 บาท ใช้แลกเป็นส่วนลดสำหรับซื้อผลิตภัณฑ์ดอยคำ ที่ร้านดอยคำ ทุกสาขา ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2566
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics มองว่า ฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลออกสุทธิจากตลาดหุ้นไทยกว่าแสนล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 หลังสภาพคล่องทั่วโลกถูกดึงออกจากระบบตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา กดดัชนี SET Index ร่วงต่ำสุดในรอบ 2 ปี ทั้งนี้ ปรากฎการณ์ที่ต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยพื้นฐานของไทยที่ค่อนข้างเปราะบางอยู่ก่อนแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะผลตอบแทนหุ้นไทยที่ต่ำกว่าภูมิภาค เศรษฐกิจไทยขยายตัวช้าลง รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ดี คาดว่า ดัชนี SET Index ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 มีโอกาสฟื้นตัวได้บ้างหลังตลาดรับรู้ความเสี่ยงไปแล้ว รวมถึงความหวังจากสถานการณ์การเมืองในประเทศคลี่คลาย
ต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นไปแล้วกว่าแสนล้านบาท กด SET Index ร่วงต่ำสุดในรอบ 2 ปี
เรียกได้ว่า ตลาดหุ้นไทยกำลังเข้าสู่ภาวะตลาดซบเซา หรือ ตลาดหมี (Bear Market) ชัดเจนมากขึ้น เห็นได้จากดัชนี SET Index ที่ร่วงลงต่อเนื่องจนหลุดแนวต้านสำคัญที่ 1,500 จุด ซึ่งต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเบาบางลงเพียง 3-4 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากที่เคยสูงถึงแสนล้านบาทต่อวัน นอกจากนี้ ต่างชาติยังคงขายสุทธิสะสมตลอดช่วงครึ่งแรกของปีกว่า 1.07 แสนล้านบาท ด้านรายย่อยที่ส่วนใหญ่เป็นขาช้อนซื้อสวนทางกับต่างชาติก็ลดลงไปมาก สอดคล้องกับจำนวนบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (Active User) ที่ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีเหลือเพียงเดือนละ 9.8 แสนบัญชี เทียบกับช่วงที่ตลาดร้อนแรงที่สูงถึง 1.3 ล้านบัญชี ซึ่งจากกรณีที่เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) หลั่งไหลออกจากตลาดหุ้นไทย ขณะที่นโยบายการเงินทั่วโลกก็ตึงตัวขึ้นกว่าในอดีตมาก ttb analytics จึงมองว่า ปรากฎการณ์ที่ต่างชาติขายหุ้นไทยไม่หยุดอาจไม่ใช่เพียงปัจจัยด้านสภาพคล่องในตลาดที่หดหายไปเพียงชั่วคราว แต่ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยพื้นฐานของไทยที่ค่อนข้างเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็น
ปัจจัยที่ 1 : หุ้นไทยแพง-กระจุกตัว ผลตอบแทนต่ำ
ในเดือนมิถุนายน 2566 ราคาหุ้นต่อกำไรในอดีต (Historical P/E) ของไทยโดยเฉลี่ยค่อนข้างสูงที่ 19.9 เท่า ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนสถานการณ์โควิด-19 อยู่ที่ 19.4 เท่า และสูงกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคผ่านดัชนี MSCI เอเชียแปซิฟิก ไม่รวมญี่ปุ่น (MSCI All Country Asia Pacific ex Japan) อยู่ที่ 14.9 เท่า และดัชนี MSCI ตลาดเกิดใหม่ (MSCI Emerging Markets) 12.98 เท่า ในทางกลับกัน อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Market Dividend Yield) ของไทยกลับต่ำกว่าภูมิภาคที่ 3.2% เทียบกับสิงคโปร์และมาเลเซียที่ 5.0% และ 4.4% ตามลำดับ ขณะที่ตลาดยังมองว่าราคาหุ้นต่อกำไรในอีก 1 ปีข้างหน้า (Forward P/E) ของไทยจะทยอยลดลงมาอยู่ที่ 16.1 เท่า แต่ก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียถึง 30% ทำให้การเปิดเผยกำไรของบริษัทจดทะเบียนตลอดครึ่งแรกของปีที่ต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ต่างชาตินำเงินออกไปลงทุนในตลาดที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
นอกจากนี้ หุ้นขนาดใหญ่เป็นหุ้นหน้าเดิมที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก หากพิจารณาบริษัทจดทะเบียน (Listed Company) ที่อยู่ในดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 50 อันดับแรก (SET50) ตามมูลค่าตลาดในปัจจุบัน กว่า 64% ของจำนวนหุ้นใน SET50 ยังเป็นบริษัทดั้งเดิมที่จดทะเบียนตั้งแต่ 10 ปีก่อน ขณะที่บางส่วนโตจากการควบรวมกิจการ (M&A) นอกจากนี้ มูลค่าตลาด SET50 ก็มีสัดส่วนในตลาดหุ้นไทยถึงเกือบ 70% หรือราว 12.4 ล้านล้านบาท อีกทั้งยังกระจุกตัวในอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่อิงกับวัฎจักรเศรษฐกิจ (Cyclical Stock) ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งเป็นหุ้นที่เติบโตสูง (Growth Stock) กลับมีน้ำหนักเพียง 14% ของมูลค่าตลาด ท่ามกลางบริษัทจดทะเบียนรายใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดหุ้นซึ่งยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงในหลาย ๆ ด้าน
ปัจจัยที่ 2 : เศรษฐกิจเปราะบางมาตั้งแต่ก่อนสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไร้ปัจจัยหนุนใหม่
เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำเฉลี่ยปีละ 3-4% ตลอดเกือบสิบปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับประเทศเกิดใหม่ที่โตได้ถึงปีละ 5-7% ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อหัว (GDP per Capita) ของไทยก็ขยายตัวต่ำสุดในอาเซียนเฉลี่ยเพียงปีละ 2% เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านคู่แข่งอย่างเวียดนามที่รายได้ต่อหัวโตเฉลี่ยปีละ 5.4% อีกทั้งผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตโควิด-19 ยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้ยังไม่สามารถกลับเข้าสู่ระดับศักยภาพในอดีตได้โดยง่าย
ยิ่งกว่านั้น ไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายมิติ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนสูงที่กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง การขาดแคลนวัยแรงงานท่ามกลางโครงสร้างประชากรที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ผลกระทบที่ตามมาคงหนีไม่พ้น การเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวที่จะมีแนวโน้มลดลง ท่ามกลางแรงกดดันจากภาระทางการคลังตึงตัวมากขึ้น ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่เจอปัญหาเชิงโครงสร้างและการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำไม่แตกต่างจากประเทศพัฒนาแล้ว
ปัจจัยที่ 3 : เสถียรภาพทางการเมืองต่ำเป็นเวลานาน ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน
นับแต่ปี 2556 ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่องแทบทุกปี อีกทั้งในปีที่มีการเลือกตั้ง ต่างชาติจะเทขายหุ้นออกมาบางส่วนในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ก่อนที่จะเห็นแรงซื้อกลับเข้ามาเป็นลำดับ ในทางกลับกัน การเลือกตั้งรอบนี้ต่างชาติกลับยังคงขายสุทธิเพิ่มเติมหลังเลือกตั้งต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท เหล่านี้สะท้อนถึงความกังวลต่อเสถียรภาพทางการเมืองที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ขาดความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายและบั่นทอนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติในระยะยาว เห็นได้จากเม็ดเงินลงทุนทางตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องหลังปี 2556 และลดลงมาโดยตลอดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย
ไม่เพียงต่างชาติลงทุนน้อยลง ในประเทศยังมองหาการลงทุนนอกบ้านอีกด้วย โดยบริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ก็ออกไปลงทุนนอกประเทศต่อเนื่องปีละ 1-2 แสนล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันก็ให้ความสนใจหุ้นไทยลดลง สะท้อนจาก
ตัวเลขการซื้อขายกองทุนจากสถาบันในประเทศในกลุ่มหุ้นในประเทศที่ลดลงอย่างมากจากซื้อสุทธิเฉลี่ย 9.4 พันล้านบาทในปี 2560 – 2562 มาเป็นขายสุทธิ 6.4 พันล้านบาทในช่วงปี 2564 จนถึง 6 เดือนแรกของปี 2566 สวนทางกับสัดส่วนมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) เทียบกับกองทุนทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นจาก 18.7% เป็น 20% ภายในเวลาเพียง 5 ปีเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ttb analytics มองว่า ดัชนี SET Index ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 มีโอกาสที่จะฟื้นตัว (Rebound) ขึ้นมาได้บ้าง เนื่องจากตลาดรับรู้ความเสี่ยงไปแล้ว (Priced-In) โดยปัจจัยที่ช่วยให้เกิด Upside คงหนีไม่พ้น เรื่องการจัดตั้งรัฐบาลและความชัดเจนด้านนโยบายเศรษฐกิจที่จะพัวพันไปถึงการตั้งงบประมาณปี 2567 ซึ่งอาจช่วยดึงฟันด์โฟลว์ต่างชาติได้ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยเจอแรงปะทะรอบด้านเช่นนี้
LINE ประเทศไทย จัดกิจกรรมพิเศษเวิร์คช็อป LINE STICKERS Creator แก่เยาวชนจากมูลนิธิออทิสติกไทย โดยมุ่งถ่ายทอดเนื้อหาการสร้างสรรค์และวิธีจำหน่าย LINE STICKERS ซึ่งเป็นการผสานงานศิลปะลงบนเทคโนโลยีการสื่อสาร เพื่อสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพผู้มีความสามารถด้านศิลปะสู่การต่อยอดสร้างอาชีพและรายได้ ตอกย้ำการผลักดันโอกาสบนแพลตฟอร์ม LINE ที่มุ่งขับเคลื่อน Smart Country ด้วย LINE Economy ระบบเศรษฐกิจบนแอปพลิเคชั่น LINE ที่ปัจจุบันมีผู้ใช้กว่า 54 ล้านคน ทั้งนี้ นางสาวณิชารัศมิ์ อาชญาสิทธิวัตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด พร้อมด้วยพนักงาน ร่วมเป็นตัวแทนมอบเงินบริจาคแก่มูลนิธิฯ เป็นจำนวน 123,700 บาทในนามพนักงานบริษัทฯ จากการจัดกิจกรรมประมูลฉลองโอกาสครบรอบ 12 ปี แอปพลิเคชั่น LINE โดยนายชูศักดิ์ จันทยานนท์ ประธานมูลนิธิออทิสติกไทย เป็นตัวแทนรับมอบ ณ ออฟฟิศ LINE ประเทศไทย เมื่อเร็ว ๆ นี้
“เคทีซี” มองการท่องเที่ยวไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัว ส่งผลดีต่อการเช่ารถเพื่อการท่องเที่ยว เป็นที่นิยมมากขึ้น โดย 6 เดือนแรก ยอดการใช้จ่ายในหมวดรถเช่าเติบโตถึง 90% คาดการณ์ปลายปียังขยายตัวต่อ พร้อมจับมือ 17 พันธมิตร จัดแคมเปญเช่ารถขับรับไฮซีซั่น มองรถอีวีมาแรงเพราะประหยัดน้ำมัน หาที่ชาร์จสะดวก
นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย การเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ ส่งผลต่อการท่องเที่ยวไทยกลับมาฟื้นตัว และเป็นปัจจัยสนับสนุนต่ออุตสาหกรรมรถเช่า (Car Rent) เติบโตไปในทิศทางเดียวกัน โดยยอดการใช้จ่ายในกลุ่มรถเช่าช่วงเดือนมกราคม 2566 - มิถุนายน 2566 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ถึง 90% และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี โดยครึ่งปีหลังมองว่าปัจจัยที่จะผลักดันให้ยอดการใช้จ่ายในกลุ่มรถเช่าขยายตัว คือการท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่น
“ ตอนนี้อุตสาหกรรมรถเช่ากลับมาฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว และมองว่าช่วงครึ่งปีหลังยังโตต่อ เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของไทย นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยก็ชื่นชอบการเช่ารถ ทั้งขับเองและมีคนขับให้ ซึ่งเป็นเรื่องดีที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมรถเช่าเติบโต” นางสาววริษฐากล่าว
สำหรับเคทีซีมีโปรโมชั่นร่วมกับผู้ให้บริการรถเช่าชั้นนำทั้งในและต่างประเทศรวม 17 แห่ง พร้อมมีโปรโมชั่นพิเศษ เช่น รับส่วนลดสูงสุด 30% เมื่อเช่ารถและใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี หรือ ใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่าย แลกรับเครดิตเงินคืน 12%
“ปัจจุบัน การเช่ารถอีวีได้รับความนิยมมากขึ้น โดยสัดส่วนการเช่ารถยนต์ปกติอยู่ที่ 80% และรถอีวี 20% เพราะราคาค่าเช่าไม่สูงมาก เช่น รถยนต์ไฟฟ้า Ora Good Cat จาก Hertz Thailand หนึ่งใน
พันธมิตรของเรา หากใช้บัตรเครดิตเคทีซีจะได้ส่วนลด 30% ค่าเช่าจะอยู่ที่ราคา 707 บาท จากราคาปกติ 1,010บาท แต่การใช้รถอีวี ยังมีข้อจำกัด และเหมาะกับนักท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เพราะสามารถหาที่ชาร์จได้สะดวก”
สำหรับพันธมิตร 17 แห่ง ประกอบด้วย เอแซ็ป คาร์ เร็นทัล (ASAP) / เอวิส คาร์ เร็นทัล ( AVIS) / บัดเจ็ท คาร์ เรนทัล (Budget) / บิซคาร์ เรนทัล (Bizcar Rental) / ชิค คาร์เร้นท์ (Chic Car Rental) / ไดรฟ์ฮับ (Drivehub) / ไดรฟ์ คาร์ เร้นทัล (Drive Car Rental) / ยุโรปคาร์ (Europcar) / ฮ้อปคาร์ (Haupcar) / เฮิร์ซ (Hertz) / คลูก (Klook) / ไพร์ม คาร์ เรนทอล(Prime Cars) / เร้นท์ คอนเนคเต็ด (Rentconnected) / เรนทัลคาร์ดอทคอม (Rentalcars.com) / ซิกท์ เรนท์ อะคาร์ (Sixt) / ทราเวลไอโก (TraveliGo) และ ทรู ลีสซิ่ง (True Leasing)
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC 02 123 5000 หรือติดตามโปรโมชัน ของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ
โรงพยาบาลบางมดฉลองครบรอบ 35 ปี ส่งแคมเปญเอาใจคนรักสวยรักงามและอยากศัลยกรรมมาตรฐานระดับโรงพยาบาล ลดพิเศษ 35 % ทุกรายการศัลยกรรม ขอบคุณผู้รับบริการทุกท่านที่รักและไว้ใจกันมาอย่างยาวนาน
![]()
นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งและผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมด กล่าวว่า ศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมด เปิดดำเนินการมาถึงปีที่ 35 ภายใต้เทคนิคบางมด แผลเล็ก เจ็บน้อย หายเร็ว ดูเป็นธรรมชาติ เพื่อให้การทำศัลยกรรม เป็นสิ่งที่คุ้มค่าและสร้างความประทับใจอย่างสูงสุด ปลอดภัย ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องทำเพิ่ม และพยายามค้นคว้าวิจัยการทำศัลยกรรมเทคนิคใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความงามด้วยผลลัพธ์ที่ดีที่สุด พร้อมให้การดูแลผู้มารับบริการด้วยความใส่ใจเหมือนกับญาติ ทำให้ศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยายาบาลบางมด ได้รับการไว้วางใจและเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันมีผู้เข้ามาใช้บริการจากทั่วโลกเดินทางมาทำศัลยกรรมที่บางมดมากขึ้นทุกปี
โดยที่รพ.บางมดจะยังคงเน้นคุณภาพเป็นหลักผู้รับบริการทุกท่านจะได้รับการศัลยกรรมกับศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง นำทีมโดย นพ.ธนัญชัย เพื่อให้การทำศัลยกรรมเป็นสิ่งที่คุ้มค่าและสร้างความประทับใจอย่างสูงสุด ปลอดภัย ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องทำเพิ่ม เพียงแค่การดูแลที่ดี เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ตลอดไปอย่างยาวนาน และเรามีความตั้งใจที่อยากทำให้คนไข้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ผ่านคำแนะนำและการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน ตามหลักการแพทย์ โดยไม่ได้มุ่งเน้นด้านธุรกิจหรือแข่งขันกับใคร จึงคิดว่าไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรมากนัก แค่ให้บริการตามความตั้งใจเดิมที่ให้การศัลยกรรมตกแต่ง เป็นศาสตร์แห่งการช่วยเหลือผู้คน และมอบบริการที่จริงใจเหมือนเช่นเคยทั้งนี้คุณหมอธนัญชัยยังฝากทิ้งท้ายว่า การทำศัลยกรรมไม่ได้อยู่ที่ว่าใครมองเราอย่างไร แต่เราต่างหากที่มองตัวเองอย่างไร บางครั้งการทำศัลยกรรมเพียงเล็กน้อยแต่ทำให้เรามั่นใจมากขึ้นและมีความสุข การทำศัลยกรรมก็เปรียบเสมือนรางวัลชีวิตเราแล้วเพราะความงามเป็นสิ่งที่คู่ควรกับทุกคน การเสริม เติมแต่ง เพื่อให้ได้เป็นคนที่สวยและดูดีที่สุดในแบบของตัวเอง จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและความภูมิใจในตนเอง ทางศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมดจึงพัฒนาเทคนิคและวิธีการเพื่อมอบความสวยที่สมบูรณ์แบบอย่างยั่งยืนให้กับทุกคน และในโอกาสครบรอบ 35 ปี รพ.บางมดยังจัดแคมเปญพิเศษเพื่อเป็นการขอบคุณผู้ใช้บริการทุกท่านที่อยากมาสัมผัสประสบการณ์ศัลยกรรมแบบพรีเมี่ยม โดยลดราคา 35 % ทุกรายการศัลยกรรม ตั้งแต่วันนี้ - 31 สิงหาคม 2566 นี้
เคทีซีเปิดงบการเงินรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยครึ่งปีแรก กำไรสุทธิ 3,678 ล้านบาท ในขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 2/2566 เท่ากับ 1,806 ล้านบาท พอร์ตสินเชื่อทุกผลิตภัณฑ์เติบโตตามเป้าหมาย โดยมูลค่าพอร์ตรวมอยู่ที่ 105,589 ล้านบาท เติบโต 11.1% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรขยายตัวที่อัตรา 16.3% หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ มั่นใจสามารถทำกำไรทั้งปีได้ตามเป้าหมาย
![]()
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “อุตสาหกรรมสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคขยายตัวดีต่อเนื่อง จากความต้องการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับดีขึ้นตามแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 เคทีซีมีสัดส่วนของลูกหนี้บัตรเครดิตเทียบกับอุตสาหกรรมเท่ากับ 14.9% ส่วนแบ่งตลาดของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเคทีซีอยู่ที่ 12.2% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2565 และมีสัดส่วนของลูกหนี้สินเชื่อบุคคล (ไม่รวมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน) เทียบกับอุตสาหกรรมเท่ากับ 6.2%”
“ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เคทีซีมีผลการดำเนินงานน่าพอใจในหลายด้าน ทั้งการเติบโตของพอร์ตรวมที่เป็นไปตามเป้าหมาย ด้วยมูลค่า 105,589 ล้านบาท เติบโต 11.1% และยังคุมระดับ NPL ได้ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนที่ 2.0% สำหรับพอร์ตบัตรเครดิตยังคงขยายตัวได้ดีด้วยอุปสงค์ในประเทศ ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรดีดตัวสูงขึ้นมาก ขณะที่พอร์ตสินเชื่อบุคคลขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังเน้นการคัดกรองคุณภาพสินเชื่อบุคคลผ่านกระบวนการอนุมัติที่เข้มข้น โดยจะคัดเลือกสมาชิกที่มีความเสี่ยงเหมาะสมกับระดับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคลที่กำหนดไว้ สำหรับสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” มีกระแสตอบรับดีขึ้นทุกเดือน แม้จำนวนที่เข้ามาจะช้ากว่าที่ประมาณการ แต่ได้พอร์ตที่มีคุณภาพ ทำให้มั่นใจว่า “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” จะสามารถสร้างฐานรายได้ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต”
“สำหรับครึ่งหลังของปี 2566 “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” จะมีปริมาณการเพิ่มยอดลูกค้าใหม่ (New Booking) แบบทวีคูณ พิจารณาจากอัตราเร่งของการเพิ่มลูกหนี้ใหม่ในปัจจุบัน การเติบโตของพอร์ตบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ สำหรับ NPL อยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล เพราะบริษัทฯ ยังสามารถบริหารจัดการได้ ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถทำกำไรทั้งปีได้ตามเป้าหมายที่มากกว่า 7,079 ล้านบาท พอร์ตลูกหนี้สิ้นเชื่อรวมเติบโต 15% ปริมาณใช้จ่ายผ่านบัตรเติบโต 10% พอร์ตลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเติบโต 7%”
“ผลการดำเนินงานของเคทีซีในช่วงครึ่งปีแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 งบการเงินรวมมีกำไรสุทธิครึ่งปีแรกและไตรมาส 2/2566 เท่ากับ 3,678 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1.0%) และ 1,806 ล้านบาท (ลดลง 4.6%) ตามลำดับ งบการเงินเฉพาะกิจการของเคทีซี มีกำไรสุทธิครึ่งปีแรก และไตรมาส 2/2566 เท่ากับ 3,648 ล้านบาท และ 1,805 ล้านบาท ตามลำดับ ฐานสมาชิกรวม 3,358,994 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวม 105,589 ล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL) 2.0% แบ่งเป็นพอร์ตสมาชิกบัตรเครดิต 2,605,984 บัตร เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม 68,664 ล้านบาท ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรครึ่งปีแรกเท่ากับ 127,644 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.3% NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.2% พอร์ตสมาชิกสินเชื่อบุคคลเคทีซี 753,010 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” และดอกเบี้ยค้างรับ 31,727 ล้านบาท เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เท่ากับ 1,658 ล้านบาท NPL สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 3.0% ยอดสินเชื่อลูกหนี้ใหม่ (New Booking) ของ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ในรอบครึ่งแรกของปี 2566 เท่ากับ 1,132 ล้านบาท โดยยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่มีกระแสตอบรับที่ดีขึ้นในทุกเดือน”
“ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ในไตรมาส 2/2566 มีการเติบโตในรายได้รวมที่ 8.8% เท่ากับ 6,240 ล้านบาท จากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 18.7% เท่ากับ 3,988 ล้านบาท ส่วนหนึ่งจากการขยายตัวของพอร์ต ทำให้มี NPL เพิ่มขึ้นบ้าง ส่งให้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss - ECL) เพิ่มขึ้น รวมถึงการตัดหนี้สูญเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนของต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นเล็กน้อย ตามการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน ทั้งนี้ ข้อมูลวันที่ 30 มิถุนายน 2566 เคทีซีมีวงเงินกู้ยืมทั้งสิ้นเท่ากับ 35,371 ล้านบาท เป็นวงเงินกู้ยืมระยะสั้น 29,371 ล้านบาท (รวมวงเงินจากธนาคารกรุงไทย 19,061 ล้านบาท) และวงเงินกู้ยืมระยาวจากธนาคารกรุงไทย 6,000 ล้านบาท โดยมีวงเงินคงเหลือ (Available Credit Line) จำนวน 20,480 ล้านบาท ต้นทุนการเงิน 2.6% และอัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 2.18 เท่า ต่ำกว่าภาระผูกพันซึ่งกำหนดไว้ที่ 10 เท่า”
“เคทีซียังได้ดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ตามแนวทางการบริหารจัดการด้านการให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 บริษัทฯ ได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในทุกสถานะตามประกาศ ธปท. ฝคง.ว.951/2564 จำนวน 1,876 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.9% ของพอร์ตลูกหนี้รวม”
“สืบเนื่องจากวันนี้ (21 กรกฎาคม 2566) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เผยแพร่ “มาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน” เพื่อเป็นทางออกในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในระยะยาว โดยอันดับแรกธปท. จะออกมาตรการกำหนดเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending: RL) สำหรับลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างเหมาะสม ทันเวลา มีคุณภาพและเพียงพอ ในส่วนของลูกหนี้ใหม่ต้องไม่โฆษณากระตุ้นให้เกิดการกู้ยืมอย่างเกินตัว ซึ่งธปท. จะบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2567”
“สำหรับหนี้ปกติที่เป็นหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt: PD) จะสร้างทางเลือกให้ลูกหนี้สามารถปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ปิดจบการเป็นหนี้ได้ ซึ่งธปท. มุ่งให้ความสำคัญกับลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล ที่เป็นสินเชื่อหมุนเวียนที่มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน และมีเกณฑ์การบ่งชี้ว่าลูกหนี้ดังกล่าวมีการจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งธปท. จะให้มีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน 2567 นั้น เคทีซีจะให้ทางเลือกแก่ลูกหนี้ที่สนใจ สามารถเปลี่ยนสินเชื่อหมุนเวียนมาเป็นแบบมีระยะเวลา (Term Loan) และให้คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ต่อปี โดยจะกำหนดให้การผ่อนชำระสามารถปิดจบภายใน 5 ปี ซึ่งลูกหนี้ต้องสมัครใจเข้าร่วมโครงการด้วยตนเองและปิดวงเงินเดิมที่มีอยู่ โดยเคทีซีได้ประเมินผลกระทบต่อมาตรการดังกล่าว หากลูกหนี้เคทีซีที่เข้าเกณฑ์ทุกรายเข้าร่วมโครงการฯ จะมีผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยลดลงประมาณ 18 ล้านบาทต่อเดือน”
นายวัชชระ ชินเศรษฐวงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษไทย (ที่สามจากซ้าย) นายปณิธาน มีสวัสดิ์ ผู้จัดการฝ่ายขายส่วนภูมิภาค บริษัท วอยท์ เปเปอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (ที่สองจากขวา) และนายธัชพล วงษ์รักษา รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย (ที่สามจากขวา) ร่วมกันแถลงข่าวความร่วมมือและความพร้อมในการจัดงาน ASEAN Paper Bangkok 2023 งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมกระดาษ เยื่อกระดาษ บรรจุภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาค เพื่อนำเสนอแนวโน้มธุรกิจ เทคโนโลยี และความยั่งยืนในอุตสาหกรรมฯ รับการฟื้นตัวและเติบโตฝ่ากระแสดิจิทัล โดยงาน ASEAN Paper Bangkok 2023 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม - 1 กันยายน 2566 ณ ฮอลล์ 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.aseanpaperbangkok.com