

นายพีระพงศ์ พิตรพิบูลพาทิศ รองผู้บริหารสูงสุด สายงานสำนักกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย บริษัท กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด (KTBL) และบริษัท วินเพอร์ฟอร์มานซ์ จำกัด ตัวแทนผู้ติดตามหนี้ของเคทีซีและ KTBL ร่วมกับ กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม กำหนดจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยชั้นบังคับคดี ครั้งที่ 3/2566 ในวันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2566 ระหว่างเวลา 09.00 น. – 15.00 น. พร้อมกัน 2 จังหวัด ณ โรงแรมท็อปแลนด์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก และโรงแรมเจริญธานี จังหวัดขอนแก่น เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้เคทีซีและ KTBL ซึ่งอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้มีโอกาสเจรจาชำระหนี้ โดยมีผู้ไกล่เกลี่ยจากกรมบังคับคดีเป็นคนกลางในการหาแนวทางยุติคดี โดยที่ลูกหนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพียงเตรียมเอกสารประกอบการเจรจาในวันงาน ได้แก่ สำเนาบัตรประชาชนของลูกค้า และในกรณีรับมอบอำนาจ ไกล่เกลี่ยแทน ขอให้จัดเตรียมสำเนาบัตรประชาชนของลูกค้า สำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ และหนังสือมอบอำนาจ
ผู้สนใจสามารถสมัครลงทะเบียนเข้าร่วมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยฯ ได้หลายช่องทาง ตั้งแต่วันที่ 10กรกฎาคม 2566 – 25 สิงหาคม 2566 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จังหวัดขอนแก่น) คลิก https://forms.office.com/r/CPafmGVsRn ภาคเหนือ (จังหวัดพิษณุโลก) คลิกhttps://forms.office.com/r/fAbW2RzeDJ หรือติดต่อแผนกประนอมหนี้ โทร. 02-631-3399 , 02-631-3668 , 02-631-3600 , 02-631-3666 , 02-631-3700 หรือสแกน QR Code
![]()
![]()
บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “S” ประกาศอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้อายุ 3 ปี ที่ระดับ 5.00% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน พร้อมเสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไประหว่างวันที่ 8-10 สิงหาคม 2566 ด้านสถาบันการเงินผู้จัดการการจัดจำหน่ายเผยกระแสตอบรับดีมาก สะท้อนความเชื่อมั่นในแผนการดำเนินธุรกิจภาพรวม และยังมั่นใจใน “แบรนด์” ของสิงห์ เอสเตท ซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการบริหารที่ยึดหลักบรรษัทภิบาลหลังได้รับการประเมินของ IOD ในระดับ 5 ดาวหรือ “ดีเลิศ”
บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ ออกหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.00% ต่อปี โดยแต่งตั้งสถาบันการเงินชั้นนำ จำนวน 4 แห่ง เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2566 ที่ระดับ “BBB” ซึ่งเป็นกลุ่ม “ระดับลงทุน” (Investment grade) ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือองค์กรอยู่ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable)
สำหรับ บมจ.สิงห์ เอสเตท ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบคลุม ธุรกิจโรงแรม ภายใต้การบริหารงานของ ‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท’ (SHR) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นอย่างชัดเจนในปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบัน SHR เป็นเจ้าของโรงแรมทั้งสิ้นจำนวน 38 แห่ง ห้องพัก 4,552 ห้อง ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญกระจายอยู่ใน 3 ภูมิภาค 5 ประเทศ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย บริษัทฯ มีนโยบายในการพัฒนาทั้งแนวสูงและแนวราบหลากหลายรูปแบบ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และโฮมออฟฟิศ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า ได้แก่ ศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานให้เช่า ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนอยู่ในเกณฑ์ดี รวมถึงธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท มุ่งมั่นขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับสร้างสังคมที่มีคุณภาพชีวิตกับทุกคน (inclusive growth) ภายใต้วิสัยทัศน์สร้างความหลากหลายที่สมดุล เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน (Sustainable Diversity) โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายสร้างการเติบโตด้วยการขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ “S EXCELS” เพื่อผลักดันรายได้และกำไรให้เติบโตสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ในปี 2566 บริษัทฯ ได้รับคัดเลือกให้เป็นหุ้นยั่งยืนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ 5 ดาว หรือ ‘ดีเลิศ’ (Excellent CG Scoring) และล่าสุดได้รับรางวัล Most Admired Company ในสาขาความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเชื่อว่า ทั้งหมดนี้จะทำให้ผู้ลงทุนมั่นใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ
ด้านสถาบันการเงินผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ บมจ.สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า หุ้นกู้ สิงห์ เอสเตท ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากจากผู้ลงทุน ซึ่งปัจจัยสนับสนุนหลักคือความเชื่อมั่นในแผนการดำเนินธุรกิจในภาพรวม บนกลยุทธ์การกระจายธุรกิจที่หลากหลายและมีโอกาสสร้างการเติบโตในอนาคต รวมถึง “แบรนด์” ที่ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศของ สิงห์ เอสเตท อีกทั้งผู้ลงทุนยังมั่นใจในความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ในฐานะผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ที่มีความเข้มแข็งทั้งโครงสร้างธุรกิจ ฐานะการเงิน และการดำเนินการภายใต้หลักบรรษัทภิบาล ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ลงทุนแสวงหา ขณะเดียวกัน อายุของหุ้นกู้ที่เหมาะสม สอดคล้องกับผลตอบแทนที่น่าพอใจ ทำให้หุ้นกู้ของบริษัทฯ ได้รับการตอบสนองอย่างดีจากผู้ลงทุนประชาชนรายย่อย
ทั้งนี้ หุ้นกู้ สิงห์ เอสเตท จะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนในระหว่างวันที่ 8-10 สิงหาคม 2566 ผ่าน 4 สถาบันการเงินชั้นนำ ได้แก่
o ธนาคารกรุงเทพ (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือโทร.1333
o ธนาคารกรุงไทย โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อทางออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT
o ธนาคารกสิกรไทย (โดยบุคคลธรรมดาจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) โทร 02-888-8888 กด 819
o บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร โทร. 02-165-5555 หรือ Application DIME

สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากร่างหนังสือชี้ชวน ได้ที่ www.sec.or.th
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
เราสามารถดูแลสุขภาพของเราให้ดีได้ตั้งแต่วันนี้ โดยไม่จำเป็นต้องให้เวลาล่วงเลยไปจนสุขภาพเสื่อมถอยลง ร่างกายที่พร้อมจากสุขภาพที่ดี จะขับเคลื่อนให้เราได้ทำในสิ่งที่รักในทุกวัน และช่วยเติมเต็มชีวิตให้มีความหมาย
ซึ่งการดูแลสุขภาพกล้ามเนื้อให้ดีถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ เพราะเมื่ออายุเริ่มย่างเข้าวัย 40 ปีจะเริ่มมีภาวะการสูญเสียกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ ปี และจะเพิ่มสูงขึ้นเกือบสองเท่าเมื่อเข้าสู่วัย 70 ปีขึ้นไป
มวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง: ตัวบ่งชี้สุขภาพที่สำคัญ
จากงานวิจัยเผยว่า มวลกล้ามเนื้อถือเป็นตัวบ่งชี้สุขภาพโดยรวมได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง7,8 และพบว่าผู้ที่มีมวลกล้ามเนื้อน้อยจะได้รับผลกระทบต่อการใช้ชีวิตมากกว่าผู้ที่มีมวลกล้ามเนื้อมาก ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพชีวิตที่แย่ลง ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดมากขึ้น การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายถดถอยลง และอัตราการรอดชีวิตต่ำกว่า9 นอกจากนี้ ยังพบว่ามวลกล้ามเนื้อที่ลดลงมีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรคอัลไซเมอร์10 ที่มากขึ้น
เพราะอะไรเมื่อมีอายุมากขึ้น การดูแลกล้ามเนื้อให้แข็งแรงจึงทำได้ยากขึ้นไปด้วย
รู้หรือไม่ กว่า 35% ของผู้สูงอายุไทย หรือประมาณ 4 ล้านคน จาก 12.7 ล้านคนของผู้สูงอายุไทย เสี่ยงต่อการหกล้มในแต่ละปี1 จากผลวิจัยพบว่าเราจะเริ่มสูญเสียมวลกล้ามเนื้อเมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 40 ปี และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และอัตราการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อจะเพิ่มสูงขึ้นเกือบสองเท่าเมื่อเข้าสู่วัย 70 ปีขึ้นไป
นอกจากนั้น 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่ที่มีอายุกว่า 50 ปีขึ้นไป มีภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย11 (Sarcopenia) คือสภาวะที่มวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น การเดิน การลุกจากเก้าอี้ การยกข้าวของ หรือการเดินขึ้นบันได้ เป็นต้น
แอ็บบอต หนึ่งในผู้นำด้านการดูแลสุขภาพแถวหน้าระดับโลก ได้มุ่งมั่นในการส่งเสริมการดูแลกล้ามเนื้อแก่คนไทย ผ่านกิจกรรม #Sit2Stand ณ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2566 โดยมีผู้สูงอายุเข้าร่วมการทดสอบอายุมวลกล้ามเนื้อกว่า 700 คน โดยกว่า 50% ของผู้เข้าร่วมมีอายุกล้ามเนื้อสูงกว่าอายุจริงของตัวเอง! โดยนอกจากกิจกรรมดังกล่าว แอ๊บบอต ยังต้องการส่งเสริมให้กลุ่มผู้สูงวัยเพิ่มความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของสุขภาพกล้ามเนื้อ รวมไปถึงแนวทางในการช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและการดูแลตนเอง เพื่อการเป็นสูงวัยอย่างมีสุขภาพดี เนื่องในวันพิชิตมวลกล้ามเนื้อน้อย (World Sarcopenia Day) อีกด้วย
หมั่นทดสอบอายุกล้ามเนื้อของคุณ
สำหรับใครที่กังวลเกี่ยวกับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ สามารถทดสอบความแข็งแรงของอายุกล้ามเนื้อของตัวเองได้ง่าย ๆ ด้วยการทดสอบลุกนั่ง 5 ครั้ง และใช้เครื่องคำนวณอายุกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นเครื่องมือง่ายๆ ที่ช่วยประเมินอายุกล้ามเนื้อและทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาได้ แค่ 3 ขั้นตอน
· ขั้นตอนที่ 1: เลือกเก้าอี้ที่มีความมั่งคง โดยมีความสูงจากพื้นถึงที่นั่งราว 43-47 ซม.
· ขั้นตอนที่ 2: เปิดกล้อง และหันหน้าเข้าหากล้อง
· ขั้นตอนที่ 3: กอดอก และทำท่าลุกนั่งให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้จำนวน 5 ครั้ง
โภชนาการที่ดี ช่วยให้มวลกล้ามเนื้อแข็งแรง
โปรตีน: เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายของเราก็ต้องการโปรตีนที่เพิ่มขึ้นไปด้วยเพื่อช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อรวมไปถึงการเพิ่มสมรรถภาพร่างกายโดยรวม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แนะนำว่าปริมาณโปรตีนที่ผู้สูงอายุควรได้รับ คือ 0.8 ถึง 1 กรัม ต่อ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม ปริมาณโปรตีนที่ควรได้รับคือ 48 – 60 กรัม ต่อวัน เพื่อกล้ามเนื้อและร่างกายที่แข็งแรง14 โดยเนื้อสัตว์ ปลา ถั่วและธัญพืช รวมถึงโยเกิร์ต ก็เป็นตัวเลือกที่ดีในการเพิ่มโปรตีนให้กับร่างกาย
HMB: เป็นสารอาหารสำคัญที่มาจากกรดอะมิโนลิวซีน พบได้ในกล้ามเนื้อและพบได้ในปริมาณเล็กน้อยในอาหาร เช่น ไข่ไก่ อกไก่ เนื้อวัว อะโวคาโด และกะหล่ำดอกปรุงสุก ซึ่ง HMB ได้รับการพิสูจน์ผ่านงานวิจัยแล้วว่ามีส่วนช่วยเสริมสร้างและชะลอการสลายของมวลกล้ามเนื้อ
จากงานวิจัยพบว่าปริมาณ HMB ที่เหมาะสมที่เราควรได้รับคือ 1.5 กรัมต่อวัน ขณะที่งานวิจัยที่ศึกษาผลของการเสริมโภชนาการแก่ผู้สูงอายุในชุมชนประเทศสิงคโปร์ หรือ SHIELD Study โดยแอ๊บบอต ร่วมกับโรงพยาบาลชางงี เจเนอรัล (Changi General Hospital) และ ซิงเฮลท์โพลีคลินิค (Singhealth Polyclinic) พบว่า อาหารเสริมทางการแพทย์ที่มี HMB เป็น
ส่วนประกอบ มีส่วนช่วยส่งเสริมสุขภาพและโภชนาการที่ดี ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา ช่วยให้แรงบีบมือเพิ่มขึ้น เส้นรอบวงน่องเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหารได้ถึงเกือบสามเท่า และยังส่งเสริมสมรรถภาพทางกายภาพและสุขภาพโดยรวมอีกด้วย
หากแต่การที่จะได้รับ HMB 1.5 กรัม จากอาหารเพียงอย่างเดียวนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เนื่องจากเราอาจต้องบริโภคไข่ไก่มากถึง 50 ฟอง เนื้ออกไก่ 7 ชิ้น อะโวคาโดถึง 3,000 ลูก หรือกะหล่ำดอกปรุงสุกถึง 6,500 ถ้วย ดังนั้น นอกจากการรับประทานอาหารหลักให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว เราควรเสริมมื้ออาหารด้วยอาหารสูตรครบถ้วนที่มี HMB
วิตามินซี: สารอาหารที่มีประโยชน์ในการช่วยส่งเสริมการทำงานตามปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นโปรตีนหลักในการสร้างเส้นเอ็นที่ใช้ในการเชื่อมต่อกล้ามเนื้อเข้ากับกระดูก โดยพริกหยวกสีแดงและสีเขียว น้ำส้ม สตรอเบอร์รี่ และกะหล่ำดอกเป็นอาหารที่มีปริมาณวิตามินซีสูง
ซิงค์ หรือสังกะสี: เป็นแร่ธาตุที่มีส่วนสำคัญต่อการสร้างเซลล์ใหม่ ซึ่งรวมถึงเซลล์ภูมิคุ้มกันและเซลล์กล้ามเนื้อ โดยร่างกายของคนเราจะสร้างเซลล์ใหม่ที่พร้อมใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพอยู่อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการเสริมสร้างการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อด้วย โดยอาหารที่เป็นแหล่งแร่ธาตุดังกล่าว ได้แก่ เนื้อวัว เนื้อหมู อาหารทะเล อย่าง กุ้ง ปู หอยนางรม และเมล็ดฟักทอง เป็นต้น
อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของอุปสงค์และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ โดยได้แบ่งการวิเคราะห์ออกเป็นประเด็นสำคัญ 4 ด้าน ดังนี้
1) ตลาดรถยนต์มีแนวโน้มเติบโตได้ทั้งในด้านการผลิตและยอดขาย โดยคาดการณ์ยอดการผลิตอยู่ที่ราว 1.96 ล้านคัน หรือขยายตัว 4.2% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามความเสี่ยงจากภาคส่งออกที่คาดว่าจะหดตัวเพราะอุปสงค์ของคู่ค้าหลักที่ปรับลดลง สำหรับยอดขายรถยนต์ในประเทศมีแนวโน้มเติบโตได้ที่ 3.4% โดยตลาดรถยนต์นั่งจะเป็นแรงส่งสำคัญเพราะได้รับอานิสงส์ของการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน ทั้งในแง่การจ้างงานและรายได้ที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงจากปีก่อน เนื่องจากต้องเผชิญแรงกดดันจากรายได้เกษตรกรที่ชะลอตัว
2) ตลาดรถบรรทุกและรถโดยสารขยายตัวได้สอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยที่ทยอยกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น โดยคาดว่ายอดจดทะเบียนรถบรรทุกจะขยายตัว 2.7% ชะลอลงจากปีก่อนเล็กน้อย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากแนวโน้มความต้องการขนส่งสินค้าทางบกที่ปรับลดลงตามภาคการส่งออก อย่างไรก็ดี ยังมีแรงสนับสนุนจากการลงทุนก่อสร้าง กอปรกับการค้าชายแดนและผ่านแดนที่ปรับตัวดีขึ้น สำหรับยอดจดทะเบียนรถโดยสารมีแนวโน้มเติบโต 49.1% เร่งขึ้นต่อเนื่องสอดคล้องกับอุปสงค์ในกลุ่มรถบัสรับส่งนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว อีกทั้ง แรงส่งจากนโยบายเปลี่ยนผ่านรถโดยสารประจำทางไป สู่รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า
3) ตลาดรถจักรยานยนต์มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนเช่นกัน โดยคาดว่ายอดผลิตรถจักรยานยนต์จะขยายตัวที่ราว 8.0% ขณะที่ยอดขายจะขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 2.3% เป็นผลจาก 1) การชะลอตัวของรายได้ภาคเกษตรจากปัจจัยด้านราคา และ 2) ยอดส่งออกที่ชะลอตัวเพราะแรงฉุดของตลาดยุโรปและสหรัฐฯ ขณะที่อุปสงค์ของตลาดเอเชียยังฟื้นตัวได้
4) ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยยังคงสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด โดยคาดว่ายอดจดทะเบียนรถ EVs ในปี 2566 จะอยู่ที่ราว 4.95 หมื่นคัน หรือเติบโตสูงถึง 430%YOY ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.6% ของยอดขายรถยนต์นั่งทั้งหมด จาก 1.1% ในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ กำลังการผลิตรถยนต์ EVs ของไทยก็มีแนวโนมปรับเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ราว 3.5 แสนคันต่อปี ภายในปี 2568 อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามอานิสงส์จากการลงทุนของผู้ผลิตยานยนต์ EVs รายใหม่ ๆ ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งในด้านการจ้างงานและมูลค่าเพิ่มจากการพึ่งพาวัตถุดิบในประเทศ
สำหรับความท้าทายของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย คาดว่าในระยะสั้นจะเผชิญแรงกดดันจากวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มีแนวโน้มชะลอตัว นอกจากนี้ มาตรฐานการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ก็ยังคงความเข้มงวดเนื่องจากคุณภาพสินเชื่อเช่าซื้อในภาพรวมยังคงปรับแย่ลง สำหรับ ในระยะปานกลาง – ระยะยาว ภาคธุรกิจยานยนต์ยังจำเป็นต้องปรับตัวให้เท่าทันกับกระแสยานยนต์ไฟฟ้าและเทรนด์ ESG ที่กำลังมาแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงการที่ผู้บริโภคและนักลงทุนมีแนวโน้มให้ความสำคัญและตระหนักถึง
การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบมากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่สร้างผลกระทบทางบวกทั้งต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
SCB WEALTH หนุนนักลงทุนมองการเติบโตระยะยาว ก้าวข้ามความผันผวนระยะสั้น ชี้ช่องลงทุนอย่างต่อเนื่อง โอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีมากกว่าการเข้า-ออกตลาดเป็นประจำ ตลาดหุ้นสหรัฐฯเหมาะสำหรับStay Invest มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง
จากข้อมูลพบว่า ทุกครั้งที่สหรัฐฯ ผ่านวิกฤตไปได้ ตลาดหุ้นจะสร้างสถิติสูงสุดใหม่เสมอ พร้อมแนะกองทุน SCBGAเหมาะสำหรับการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมี SCB Julius Baer จัดน้ำหนักการลงทุน มีการปรับพอร์ตอย่างยืดหยุ่นและเหมาะสม ตอบโจทย์ทุกสภาวะการลงทุน
นายรุ่งโรจน์ เสกสรรค์วิริยะ ผู้อำนวยการ Investment Product Selection and Partnership ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดการลงทุนในช่วงเวลาในแต่ละประเทศ มีปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความผันผวนในระยะสั้น แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อศักยภาพการเติบโตในระยะยาว จึงเชื่อว่า ตลาดส่วนใหญ่ดูแลตัวเองได้ดีและปรับตัวเป็นบวกได้ ทั้งนี้ จากข้อมูลผลการดำเนินงานช่วง 1 ปี เปรียบเทียบกับ 5 ปี ของดัชนีตลาดหุ้นใหญ่ๆ ในโลก โดยเป็นข้อมูล ณ วันที่ 21 ก.ค. 2566 พบว่า ผลการดำเนินงานของ S&P500 ในช่วง 1 ปี +14.5% ส่วน 5 ปี +60.8% ด้าน STOXX600 ในช่วง 1 ปี +9.3% และ 5 ปี +19.9% NIKKEI225 ในช่วง 1 ปี +15.7% ส่วน 5 ปี +43.7% ขณะที่ CSI300 ในช่วง 1 ปี -9.8% แต่ช่วง 5 ปี +6.7% SET INDEX ใน 1 ปี -1.5% ส่วน 5 ปี -8.7% US Treasury Index ในช่วง 1 ปี -2.5% ส่วน 5 ปี +2.4% และทองคำ 1 ปี +12.8% ส่วน 5 ปี +59.5%
“การที่ตลาดให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาวแม้ว่าในระยะสั้นจะผันผวน ทำให้นักลงทุนที่ Stay Invest หรือยังอยู่ในการลงทุนไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร มักจะสร้างผลตอบแทนในระยะถัดไปได้ดีกว่าเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับนักลงทุนที่ไม่ได้ Stay Invest แต่หนีออกจากตลาดไปก่อนตอนที่ตลาดปรับตัวลดลง แล้วค่อยกลับเข้ามาอีกครั้งในอนาคตในยามที่ตลาดปรับเพิ่มขึ้นไปสูงแล้ว” นายรุ่งโรจน์ กล่าว
สำหรับตลาดที่นักลงทุนมองแล้วจะเห็นภาพของการ Stay Invest ได้ดี คือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง การดำเนินนโยบายการเงินต่างๆ ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) รวมทั้งนโยบายการคลังของรัฐบาลล้วนส่งผ่านไปถึงตลาดหุ้น โดยจากข้อมูลในอดีตพบว่า ทุกครั้งที่สหรัฐฯ ผ่านวิกฤตไปได้ ตลาดหุ้นจะสร้างสถิติสูงสุดใหม่เสมอ การ Stay Invest จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนมองว่าในระยะสั้นหุ้นมีโอกาสปรับตัวลดลง อาจรอจังหวะในการเข้าลงทุนได้แต่ควรจะกำหนดเป้าหมายในการกลับเข้าลงทุนที่เหมาะเฉพาะตนโดยไม่ห่างหายจากการลงทุน
ส่วนคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่จะตอบโจทย์การ Stay Invest นั้น เรามองว่า จะต้องมีคุณสมบัติ คือ 1.ปรัชญาการลงทุนที่ชัดเจน เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาว หากมีสิ่งรบกวนในระยะสั้นก็อาจจะพิจารณาบ้าง แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญ ยกเว้นเป็นสิ่งรบกวนที่ส่งผลให้ภาพการลงทุนเปลี่ยนแปลง จึงจะปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนอย่างทันท่วงที
2.ผู้จัดการกองทุนน่าเชื่อถือ มีประวัติการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง 3.การปรับพอร์ตอยู่บนปัจจัยพื้นฐานและมุมมอง ไม่นำความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง และ 4.มีระดับความผันผวนที่เหมาะสม ตอบโจทย์นักลงทุนรายย่อย
ทั้งนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่ตอบโจทย์การ Stay Invest ค่อนข้างหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Allocation (SCBGA) โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นผู้จัดตั้งกองทุน และเป็นกองทุนผสมที่จ้างบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด จัดน้ำหนักการลงทุนให้ มีการปรับพอร์ตอย่างยืดหยุ่นและเหมาะสมกับสภาวะของตลาด
สำหรับ กลยุทธ์การลงทุนของ SCBGA จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกลงทุนในกองทุนหลัก (Core Funds) ได้แก่ JB Dynamic Asset Allocation ซึ่งเป็นกองทุนเรือธงของ Julius Baer ที่ลงทุนได้ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก ผ่าน ETF ซึ่งมีสภาพคล่องสูง โดยในปี 2566 Julius Baer มีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้น แต่เลือกลงทุนอย่างระมัดระวัง ด้วยการลดหุ้นที่ผันผวนต่อวัฎจักรเศรษฐกิจ เพิ่มหุ้นกลุ่มคุณภาพ และถือเงินสดบางส่วนเพื่อรอจังหวะเข้าสะสมหุ้นเพิ่ม ขณะที่ การลงทุนส่วนที่ 2 คือ กองทุนเสริม (Satellite Funds) โดยคัดเลือกกองทุนจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมชั้นนำของโลก เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มความสมดุลให้พอร์ต SCBGA
“จากการที่ SCBGA เป็นกองทุนที่มีผู้เชี่ยวชาญการลงทุนจัดพอร์ตลงทุนและปรับสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ทำให้เราเชื่อว่า ผลิตภัณฑ์นี้น่าจะตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการ Stay Invest ได้เป็นอย่างดี” นายรุ่งโรจน์ กล่าว
ทุกเทคโนโลยีมีศักยภาพในการใช้งานทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ และเป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเทคโนโลยี generative AI เช่น ChatGPT ซึ่งนับเป็นแพลตฟอร์มที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากในแวดวง AI ซึ่ง Sam Altman ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT เองได้แสดงความกังวลในแถลงการณ์ฉบับล่าสุด1 โดยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ AI และให้นำไปใช้งานอย่างเหมาะสมและโปร่งใสพร้อมได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่าควรให้ความสำคัญกับเรื่อง AI ประหนึ่งการให้ความสำคัญในเรื่องความท้าทายระดับโลก อย่างเรื่องการจัดการกับโรคระบาดและสงครามนิวเคลียร์ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับมนุษยชาติ
โดยความกังวลและข้อเสนอแนะข้างต้นเป็นการกระตุ้นและเน้นยำให้บริษัทต่าง ๆ พิจารณาเชิงรุกถึงผลกระทบด้านความปลอดภัยของ generative AI เป็นโอกาสสำหรับองค์กรที่จะต้องเริ่มตื่นตัวในเรื่องการปกป้องระบบและข้อมูลของตนเมื่อเผชิญกับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเหล่านี้
นอกจากนี้เรายังได้พบว่า ผู้ประสงค์ร้ายอาศัยช่องทางเหล่านี้สร้างประโยชน์แก่ตนเอง ตัวอย่าง ไม่กี่สัปดาห์ หลังจากการเปิดตัว ChatGPT เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา อาชญากรไซเบอร์ได้นำเครื่องมือไปแชร์และใช้2 บนฟอรัมดาร์กเว็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องมือที่สามารถใช้โดยผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการเขียนโค้ด เพื่อสร้างมัลแวร์ที่ซับซ้อนขึ้นมาใหม่ สำหรับคนหลายล้านคน ChatGPT นั้นเป็นเสมือนวิศวกรคนหนึ่งที่บริษัทจ้างทำงาน –– หรือเปรียบเสมือนพนักงานที่มีศักยภาพคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความรู้และสามารถเข้าถึงข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต สั่งงานได้ตลอด จัดการข้อมูลที่เราเสนอได้อย่างมหาศาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่ากลัว อีกหนึ่งตัวอย่างการใช้งานจริงอีกเคส คือ นักเทคโนโลยีอาวุโสท่านหนึ่งของเราขอให้ ChatGPT ช่วยค้นหาซอฟต์แวร์เพื่อเจาะไปยังช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่มีอยู่ และปรับเปลี่ยนเพื่อให้ไม่สามารถถูกตรวจจับหรือต้นพบได้ด้วยซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เขาใช้เวลาเพียงสองนาทีกับหกคำถามเพื่อให้ได้รหัสที่ "ซับซ้อน" ที่เขาต้องการ เพื่อทดสอบขอบเขตความปลอดภัยของบริษัท เขาอาจใส่โค้ดลงบนอุปกรณ์ที่ถูกควบคุมผ่านเข้ามายังระบบรักษาความปลอดภัยของบริษัท ใช้โค้ดเพื่อในเครือข่าย จากนั้นจึงวิ่งจากที่นึง เครื่องนึง ในระบบเครือข่ายไปยังอีกเครื่องนึงไปมาอย่างอิสระภายในองค์กรเพื่อหาเป้าหมายที่แท้จริง และเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม นักเทคโนโลยีอาวุโสของเราในสถานการณ์นี้ได้รับอนุญาตให้ทำการทดลองโดยระบุตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย “white hat” เท่านั้น สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่า OpenAI ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้าง ChatGPT มีวิธีป้องกันใครก็ตามที่ใช้แพลตฟอร์มอย่างโจ่งแจ้งเพื่อจุดประสงค์ที่เป็นอันตรายหรือไม่
แม้ว่าเราจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการใช้งาน แต่ก็คาดการณ์ได้ไม่ยากถึงความเป็นไปได้ที่จะเห็นผู้ไม่หวังดีที่ใช้ประโยชน์จาก generative AI ในการสร้างความเดือดร้อน
· การระบาดของฟิชชิ่งที่เพิ่มขึ้นและน่ากลัวยิ่งขึ้น: ดังตัวอย่างข้างต้นที่แสดงให้เห็นว่า ChatGPT สามารถดำเนินการที่ซับซ้อนได้ ตัวอย่าง สามารถเขียนอีเมลฟิชชิ่งได้ง่ายพอ ๆ กับเขียนเพลงหรือภาคนิพนธ์ (term paper) และสามารถสร้างเนื้อหาได้อย่างน่าเชื่อถือ3 มากกว่าผู้โจมตีจำนวนมาก กี่ครั้งแล้วที่คุณถูกล่อลวงให้คลิกอีเมล จนกระทั่งสังเกตเห็นการสะกดผิดหรือข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์ที่ทำให้เห็นได้ชัดว่าผู้เขียนเขียนได้ไม่ดี แต่แล้วข้อผิดพลาดเหล่านั้นจะหายไปโดยอัตโนมัติโดย ChatGPT
· การโจมตีแบบ Deepfake: ผู้โจมตีอาจสร้างโน้ตที่ดูเหมือนว่ามาจาก CEO ของคุณหรืออาจสร้างข้อความที่คล้ายมากจนคุณแยกไม่ออก เช่นเดียวกับที่คุณสามารถขอให้ ChatGPT เขียนบทกวีในสไตล์ของ Henry David Thoreau อีกหนึ่งตัวอย่างคือ บริษัทญี่ปุ่นตกเป็นเหยื่อของการโจมตีด้วย Deepfake Audio ในปี 2021
เมื่อผู้จัดการสาขาถูกหลอกให้โอนเงิน 35 ล้านดอลลาร์4 ไปยังบัญชีปลอม หลังจากได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่ฟังดูเหมือนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัท
· ระบบออโตเมชัน: การโจมตีทางไซเบอร์ที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องทำงานที่น่าเบื่อมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เหมาะสำหรับ generative AI ดังนั้น ผู้ใช้ทั้งที่ประสงค์ดีและประสงค์ร้ายจึงกำลังตรวจสอบวิธีการใช้ generative AI เพื่อทำให้งานเป็นไปโดยอัตโนมัติ ปัจจุบัน นักพัฒนาจำนวนมากใช้เครื่องมือ generative AI เช่น GitHub Copilot เพื่อจัดการงานการเขียนโปรแกรมระดับทั่วไปต่างๆ และแปลโค้ด5 เป็นภาษาอื่นสำหรับการปรับใช้ข้ามแพลตฟอร์ม ดังที่ Giovanni Vigna, Sr. Director Threat Intelligence ของ VMware กล่าว เทคนิคดังกล่าวอาจถูกใช้โดยการดำเนินการบิดเบือนข้อมูลอย่างมืออาชีพแทนการจ้างผู้เขียนเพื่อโพสต์หลอกลวง
· การโจมตีแบบ Live off the land: ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป้าหมายของการโจมตีคือการเจาะเข้าไปในเครือข่ายและหลบเลี่ยงการตรวจจับเนื่องจากพวกเขามองหาเป้าหมายที่มีค่า ตามปกติแล้ว การโจมตีจะใช้โปรโตคอลเดียวกันกับที่ผู้ดูแลระบบเครือข่ายใช้ในการทำงาน เช่น Remote Desktop Protocol (RDP) ที่พวกเขาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาของผู้ใช้มักถูกใช้ในการโจมตีซึ่งนับเป็นหนึ่งใน "พฤติกรรมเครือข่ายที่สังเกตบ่อยที่สุดที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวจากเครื่องนึงไปยังอีกเครื่องนึงไปเรื่อยแบบ lateral จนกว่าจะเจอเป้าหมายที่แท้จริง"6
· ความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา: ChatGPT เชื่อมโยงกับการรั่วไหลของข้อมูลที่ถูกกล่าวหา โดยพนักงานแชร์ข้อมูลลับขององค์กรกับ ChatGPT ซึ่งเป็นการเปิดข้อมูลให้กับผู้ใช้ OpenAI แหล่งที่มา7 ระบุว่าสิ่งนี้ "รวมถึงซอร์สโค้ดของซอฟต์แวร์ที่รับผิดชอบในการวัดอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์"
แล้วบริษัทต่าง ๆ จะทำอะไรได้บ้างเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีที่เสริมประสิทธิภาพด้วย AI สำหรับผู้เริ่มต้น พวกเขาจำเป็นต้องมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่ดี ในการสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ “71 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าการโจมตีเปิดเผยช่องโหว่ที่พวกเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามี ดังนั้นการมองเห็นและการรับรู้ถือเป็นเรื่องพื้นฐานสำหรับการรักษาความปลอดภัยที่ดี8 แม้ว่าคุณจะหลีกเลี่ยงการโจมตีมาได้หลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่เมื่อ generative AI มีมากขึ้น โอกาสในการตกเป็นเป้าหมายของคุณก็จะเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ในองค์กรควรจะพูดคุยอย่างเปิดเผยในเรื่องภัยคุกคามต่างๆต่อกันและกันมากขึ้น เพื่อให้สามารถรวบรวมความรู้ร่วมกันและป้องกันการโจมตีครั้งใหม่ได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของคุณจะพร้อมมากขึ้นหากองค์กรและภาคส่วนต่าง ๆ แบ่งปันข่าวกรองภัยคุกคาม
สุดท้าย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้ใช้ generative AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่นเดียวกับนักเทคโนโลยีอาวุโสท่านหนึ่งของเราที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ที่ใช้ ChatGPT เพื่อรับรู้และจัดหมวดหมู่ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ เราสามารถใช้ AI รูปแบบอื่น ๆ เพื่อตรวจจับร่องรอยเล็กน้อยที่ผู้โจมตีที่มีความสามารถทิ้งไว้ และช่วยตรวจสอบระบบสำคัญต่าง ๆ เพื่อหาช่องโหว่โดยอัตโนมัติ ส่งสัญญาณเตือน และดำเนินการที่เหมาะสม
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX Securities Co., Ltd.) เรือธงด้านการเงินการลงทุนของกลุ่ม SCBX ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการเงินการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด นำเสนอ “Offshore KIKO” หรือ Knock-In Knock-Out Equity Note หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงระยะสั้น (Structured Notes) ประเภทหนึ่งที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นหุ้นต่างประเทศสำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) มุ่งเพิ่มโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าหุ้นกู้ทั่วไปในสภาพตลาดปัจจุบันที่ตลาดหุ้นต่างประเทศอยู่ในช่วงสภาวะตลาด Sideway ชูจุดเด่นผลตอบแทนสูงถึง 15-20% ต่อปี ภายในระยะเวลาการลงทุน 3-6 เดือน จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน ไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 1 ล้านบาท หรือ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) พร้อมเพิ่มความมั่นใจในการคัดเลือกหุ้นที่จะมาเป็นสินทรัพย์อ้างอิงโดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้าน Research และ Wealth Strategy & Advisory จาก InnovestX ที่เลือกเฉพาะหุ้นจากบริษัทขนาดใหญ่ พื้นฐานดี และสามารถ Customize หุ้นได้ตามความต้องการของนักลงทุนแต่ละราย เพื่อสร้างโอกาสและเพิ่มทางเลือกด้านการลงทุนแก่นักลงทุนไทยในภาวะดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อดีดตัวสูง และในช่วงที่ตลาดหุ้นอยู่ในช่วง Sideway หรือราคาหุ้นเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ แบบนี้
นายพยนต์ พงศาวรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกลยุทธ์และแนะนำการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “จากภาพรวมเศรษฐกิจโลกครึ่งปีแรก 2566 InnovestX มองว่ายังมีหลายปัจจัยทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในโลกของการลงทุน รวมถึงยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในไตรมาส 3/2566 จากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงอย่างพร้อมเพรียง โดยเรามองว่าภาพรวมของตลาดหุ้นในประเทศยังมีความไม่ชัดเจนและเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว
ลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกันเรามีมุมมองว่าตลาดสหรัฐฯ ยังมีความผันผวนสูงหลังถูกกดดันจากนโยบายการเงินของ FED และตลาดจีนโตช้ากว่าคาด ทำให้ดัชนีภาคการผลิตชะลอตัว ด้วยเหตุนี้ InnovestX จึงนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เข้ามาตอบโจทย์สภาวะตลาดช่วงนี้ที่ตลาดหุ้นต่างประเทศในหลายๆ Sector อยู่ในช่วง Sideway หรือราคามีการเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ อย่าง “Offshore KIKO” หรือ Knock-In Knock-Out Equity Note หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงระยะสั้น (Structured Notes) ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นหุ้นต่างประเทศ โดยมีลักษณะของผลตอบแทนในแง่ของดอกเบี้ยที่สูงกว่าหุ้นกู้ทั่วไปซึ่งจะสอดคล้องกับสินทรัพย์ที่นำมาอ้างอิง เหมาะสำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) ที่มีประสบการณ์การลงทุนบนพื้นฐานของความเข้าใจและรับความเสี่ยงบนหุ้นอ้างอิงได้”
“ด้วยจุดเด่นของ Offshore KIKO จาก InnovestX ที่ให้โอกาสสร้างผลตอบแทนสูงถึง 15-20% ต่อปี มีระยะเวลาการลงทุนเพียง 3-6 เดือน โดยได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอเป็นรายเดือน ไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อ ลงทุนขั้นต่ำ 1 ล้านบาท หรือ 30,000 USD โดยนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ในตลาดทั่วโลก ซึ่งมีตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นฮ่องกงที่ได้รับความนิยมซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดในประเทศ และเราเห็นว่านักลงทุนมีแนวโน้มที่จะลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากขึ้นจากการเติบโตของฐานลูกค้าของ InnovestX ซึ่งเพิ่มขึ้น 110% เมื่อเทียบกับปี 2564 นอกจากนี้ InnovestX ยังมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้าน Research และ Wealth Strategy & Advisory คอยให้คำแนะนำและช่วยคัดเลือกหุ้นที่จะมาเป็นสินทรัพย์อ้างอิง โดยเน้นเฉพาะหุ้นจากบริษัทขนาดใหญ่ พื้นฐานดี สามารถเลือกหุ้นอ้างอิง 1 ตัว หรือจับคู่กันตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการ และหากนักลงทุนสนใจเลือกหุ้นด้วยตนเองก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามที่นักลงทุนต้องการเช่นกัน โดยนักลงทุนสามารถติดตามผลตอบแทนการลงทุนได้ พร้อมทั้งดูภาพรวมของพอร์ตโฟลิโอการลงทุนในสินทรัพย์ทุกตัวได้ครบจบในที่เดียวบนแอปฯ InnovestX เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Offshore KIKO จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะสามารถตอบโจทย์การลงทุน สำหรับนักลงทุนที่มองเห็นโอกาสในตลาดต่างประเทศ ที่ช่วงนี้อยู่ในสภาวะ Sideway ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน Offshore KIKO ซึ่งเป็นหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงระยะสั้น มีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น ความเสี่ยงด้านราคา (Market Risk) ซึ่ง KIKO นั้นผูกกับราคาสินทรัพย์อ้างอิง ความเสี่ยงในการได้รับสินทรัพย์อ้างอิงแทนเงินต้น (Physical Delivery Risk) ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) เนื่องจากต้องถือจนครบสัญญา โดยระหว่างทางไม่สามารถแปลงสภาพเป็นเงินสดได้ทันที ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) ความเสี่ยงที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงไม่สามารถชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ยได้ตามกำหนดเวลา และความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Exchange Risk) เนื่องจากต้องมีการแปลงสกุลเงินต่างประเทศก่อนลงทุนทั้งนี้ InnovestX ยังให้บริการการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Notes) หลากหลายรูปแบบทั้งตลาดไทยและต่างประเทศ เช่น Bonus Enhanced Note, Fixed Coupon Note, Bullish Shark-Fin Note, Twin-win Note และอื่นๆ อีกมากมาย และสำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนใน Offshore KIKO สามารถติดต่อหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ InnovestX Customer Service 02 949 1999 หรือผู้แนะนำการลงทุนของท่าน
*การลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีความซับซ้อนซึ่งมีปัจจัยอ้างอิง มีความแตกต่างจากการลงทุนในปัจจัยอ้างอิงโดยตรง จึงอาจทำให้ราคาของหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงดังกล่าวมีความผันผวนแตกต่างจากราคาของปัจจัยอ้างอิงได้ ทั้งนี้ผู้ลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงมีความเสี่ยงที่จะสูญเงินลงทุนทั้งจำนวนหรือบางส่วนหากไม่มีการคุ้มครองเงินต้น หรือคุ้มครองเงินต้นต่ำกว่า 100% ของเงินลงทุน เนื่องจากหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงมีความเสี่ยงสูงหรือมีความซับซ้อนกว่าหุ้นกู้ทั่วไป ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทน ความเสี่ยง และขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้แนะนำการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช (กลางขวา) ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนมอบเงินจำนวน 13,288,008 บาท ให้กับ นายขรรค์ ประจวบเหมาะ (กลางซ้าย) ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย ซึ่งสมาชิกบัตรเครดิต เคทีซีร่วมกันบริจาคผ่านโครงการเคทีซีออนไลน์ โดยชำระผ่านบัตรเครดิตรายเดือน หรือใช้คะแนน KTC FOREVER ทุก 1,000 คะแนน แทนเงินบริจาค 100 บาท สมทบทุนเข้าโครงการ "เงินทุนฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ สภากาชาดไทย" เพื่อเตรียมพร้อมรับมือ ป้องกัน บรรเทาทุกข์ และการฟื้นฟูเมื่อเกิดภัยพิบัติ และโรคอุบัติใหม่ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน ณ สำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย เมื่อเร็วๆ นี้
โครงการเงินทุนฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ สภากาชาดไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนฉุกเฉินนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ จากภัยธรรมชาติ ภัยตามฤดูกาล อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย และภัยที่เป็นอันตรายกับสุขภาพที่คาดการณ์ไม่ได้ เช่น โรคโควิด-19 ในกรณีที่ภาครัฐไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ทั่วถึงทันที ครอบคลุม 76 จังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ซึ่งประกอบด้วยผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ผู้พิการ เด็ก ผู้ไร้ที่พึ่ง รวมถึงกลุ่มแรงงานข้ามชาติ เพื่อบรรเทาทุกข์ประชาชน
ผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคสมทบทุนได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/donation/charitable-organization/thai-red-cross-010119 หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือติดต่อ KTC Phone โทร. 0-2123-5000
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ผู้นำด้านประกันสุขภาพ นำโดย คุณณัฐเนตร พงศ์พิพัฒไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แผนกผลิตภัณฑ์และพัฒนาธุรกิจประกันสุขภาพ (แถว 2 คนที่ 6 จากซ้าย) และนายแพทย์ มาร์ค สุนทรเกศ รองประธานอาวุโส-ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ (แถว 2 คนที่ 7 จากซ้าย) จัดงานสัมมนา “การพัฒนาการให้บริการลูกค้าประกันสุขภาพแบบครบถ้วน กระชับฉับไว ตรงใจลูกค้า” ให้แก่โรงพยาบาลเครือข่าย เพื่อแบ่งปันเคล็ดลับในการพัฒนากระบวนการเรียกร้องสินไหม พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนนวัตกรรมใหม่ๆ และข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เพื่อนำมาพัฒนาการบริการให้แก่ลูกค้าคนสำคัญให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงความสะดวกรวดเร็ว และความอุ่นใจเรื่องการพิจารณาอนุมัติสินไหมแก่ลูกค้าในอนาคต
โดยกิจกรรมดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมของบริษัทฯ ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้านสุขภาพที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าคนสำคัญอยู่เสมอ อีกทั้งยังตอกย้ำนโยบายของบริษัทฯ ที่มีลูกค้ามาเป็นที่หนึ่ง พร้อมอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป
สำหรับท่านที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และบริการของบริษัทฯ สามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ https://www.krungthai-axa.co.th
ได้เวลาที่ต้องจริงจังกับการเตรียมตัวเข้าสู่วัยเกษียณ ให้มีความสุข สนุก สำราญ ไม่เป็นภาระของลูกหลานในอนาคต
สิ่งสำคัญคือ การวางแผนทั้งด้านการเงิน และสุขภาพจะช่วยให้เรามีความมั่นคงและสามารถใช้ชีวิตในวัยเกษียณได้อย่างอิสระและมีความสุขมากที่สุด
GEN HEALTHY LIFE มีแนวคิดการแนะนำ 4 เทคนิค เพื่อให้ ผู้สูงวัยได้เตรียมความพร้อมก่อนเดินทางเข้าสู่วัยเกษียณอย่างเต็มตัว ซึ่งประกอบไปด้วย 4 แนวทาง คือ
เริ่มที่ข้อแรก "จัดการงบประมาณและค่าใช้จ่าย" เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากสำหรับมนุษย์เงินเดือนเพื่อให้เราได้รู้ว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่ต้องรับผิดชอบในแต่ละเดือน โดยพิจารณาได้จากค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าบ้าน ค่ารักษาสุขภาพ เพื่อประมาณการเป้าหมายการออมและการลงทุนที่ต้องทำในช่วงเวลาที่เหลือจนถึงวัยเกษียณ ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าตอนนี้เราอายุ 30ปี ออมเงินเดือนละ 3,000 บาท เมื่อเกษียณตอนอายุ 60 ปี เราจะมีเงินออมทั้งหมด 1,080,000 บาท ลองคำนวณว่าจะใช้เพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่เพียงพอเราต้องหาทางออมด้วยวิธีอื่น หรือหารายได้เสริมให้มากขึ้น ลำดับต่อมา "ลงทุนสำหรับระยะยาว" เราต้องยอมรับว่าภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้นได้ทุกวัน การเก็บออมด้วยเงินสดอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด การลงทุนจึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจในปัจจุบัน ซึ่งการลงทุนมีหลายรูปแบบให้เราเลือกตามความเหมาะสม อาทิ ลงทุนกับตราสารหนี้ไทย ตราสารหนี้ต่างประเทศ หุ้น ทองคำ น้ำมัน อสังหาริมทรัพย์ต่างๆ แต่อย่าลืมว่าทุกการลงทุนมักมีความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนควรวางแผนและพิจารณาให้รอบคอบ หรือ อาจขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญในการลงทุน เพื่ออนาคตอันสดใสของวัยเกษียณ
ถัดมา"ประกันเสริมความมั่นใจ" เป็นหนึ่งเรื่องที่หลายคนต่างมองข้าม แต่รู้หรือไม่ว่าหากเราเตรียมพร้อมวางแผนประกันสุขภาพ และ ประกันอื่นๆ แบบระยะยาวตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เราสามารถวางแผนพร้อมสร้างวินัยทางการเงิน และปกป้องความเสี่ยงไปพร้อมกัน ช่วยให้คุณภาพชีวิตของเราดีขึ้น และไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในอนาคต ซึ่งผลิตภันฑ์ประกันภัยนั้นมีหลากหลายรูปแบบให้เลือก เช่น ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ, ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์, ประกันชีวิตแบบบำนาญ , ประกันชีวิตควบการลงทุน เป็นต้น
สุดท้าย "สุขภาพและการใช้ชีวิตที่สมดุล" ถึงแม้สถานภาพทางการเงินจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่อย่าลืมว่าการที่ชีวิตช่วงวัยเกษียณของเราจะมีความสุขที่สุด คือการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงไม่เจ็บป่วย การออกกำลังกายและใส่ใจเรื่องของโภชนาการอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องที่เราควรทำตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้ตอบโจทย์การเกษียณอายุอย่างมีความสุข
การวางแผนทางด้านการเงินเป็นเรื่องสำคัญ แต่อย่าละเลยเรื่องการดูแลสุขภาพเด็ดขาด เพราะเราจะเป็นผู้เกษียณอายุที่แข็งแรงและมีความมั่นคงในบั้นปลายชีวิตไปพร้อมกัน สำหรับใครที่ชื่นชอบบทความ และเคล็ดลับดีๆ แบบนี้ สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Gen Healthy Life เพราะเรามีเรื่องราวดีๆ มาเสิร์ฟตลอด 24 ชั่วโมง