December 16, 2025

ธนาคารกรุงไทย” เผยผลประกอบการปี 2565 ยังเติบโต ทำกำไรสุทธิ 33,698 ล้านบาท โดยเพิ่มถึงร้อยละ 56 จากปีที่ผ่านมา และกำไรไตรมาส 4 ปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 64 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาจากรายได้รวมที่ขยายตัวได้ดี โดยสินเชื่อเติบโตอย่างสมดุล รายได้ดอกเบี้ยเติบโตตามทิศทางอัตราดอกเบี้ย เดินหน้าดูแลลูกค้ากลุ่มเปราะบางปรับตัวรับแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจ

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2565 ฟื้นตัวต่อเนื่องจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวได้ดี กิจกรรมเศรษฐกิจภายในประเทศทยอยกลับมาเป็นปกติมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี รวมถึงการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 ช่วยให้ภาคการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง จากสงครามรัสเซียและยูเครนกดดันราคาพลังงานให้เพิ่มขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อคุมภาวะเงินเฟ้อ และสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ทั้งนี้ ธนาคารตระหนักถึงผลกระทบต่อลูกค้าประชาชน จึงพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้ากลุ่มเปราะบางที่รายได้ยังไม่กลับมาปกติ ผ่านมาตรการความช่วยเหลือที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยคำนึงถึงศักยภาพและโอกาสในการปรับตัวของลูกค้า เพื่อรองรับทิศทางเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว พร้อมดูแลผู้ฝากเงินให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งเสริมการออมเพื่อความมั่นคงทางการเงินในอนาคต

สำหรับผลการดำเนินงานปี 2565 ธนาคารและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 33,698 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 56.1 สาเหตุหลักจากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ขยายตัวร้อยละ 8.3 จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของสินเชื่อที่มุ่งเน้นคุณภาพ โดยสินเชื่อไม่รวมสินเชื่อภาครัฐ เติบโต ร้อยละ 4.3 จากสิ้นปี 2564 และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิและรายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวม ทำให้ Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 43.68 ลดลงจากร้อยละ 45.54 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยมีการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง และติดตามภาพรวมของเงินให้สินเชื่ออย่างใกล้ชิด โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPLs Ratio-Gross) ร้อยละ 3.26 ลดลงจากสิ้นปี 2564 ที่เท่ากับร้อยละ 3.50 อีกทั้ง พิจารณาอย่างรอบคอบถึงปัจจัยแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน โดยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ลดลงร้อยละ 25.2 จากช่วงเดียวกันของปี ซึ่งยังคงรักษา Coverage ratio ในระดับสูงที่ร้อยละ 179.7 เทียบกับร้อยละ 168.8 เมื่อสิ้นปี 2564

ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2565 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2564 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 8,109 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 64.0  มีสาเหตุหลักจากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ขยายตัวร้อยละ 15.8 จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ตามการเติบโตของสินเชื่อที่มุ่งเน้นคุณภาพทั้งสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อรายย่อย พร้อมรักษาสมดุลของสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารมีการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายโดยองค์รวม ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 45.30 ลดลงจาก ร้อยละ 49.16 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 7,532 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8.5 โดยยังคงรักษา Coverage ratio ในระดับสูง เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3/2565 กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาจากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพิ่มขึ้น ร้อยละ 32.9 ซึ่งเป็นการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวังพร้อมกับการพิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบถึงปัจจัยแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน จากค่าครองชีพ ค่าแรงงาน อัตราดอกเบี้ย ราคาพลังงาน และเงินเฟ้อที่สูงขึ้น กระทบกลุ่มเปราะบางต่อเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจของโลก ส่งผลให้ NPLs Ratio-Gross เท่ากับร้อยละ 3.26 และยังคงรักษา Coverage ratio ในระดับสูงที่ร้อยละ 179.7 โดยธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7 มีสาเหตุหลักจากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ขยายตัวร้อยละ 9.7 จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และรายได้จากการดำเนินงานอื่น ประกอบกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวม ทำให้ Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 45.30 ณ 31 ธันวาคม 2565 ธนาคาร (งบการเงินเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 16.50 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง และมีเงินกองทุนทั้งสิ้น ร้อยละ 19.68 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของ ธปท. ทั้งนี้ ในเดือนเมษายน 2565 ธนาคารได้ออกตราสารด้อยสิทธิ ที่สามารถนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 จำนวน 18,080 ล้านบาทเพื่อเตรียมพร้อมทดแทนตราสารด้อยสิทธิที่ไถ่ถอนจำนวน 20,000 ล้านบาทในเดือนพฤศจิกายน 2565 ซึ่งเป็นการไถ่ถอนก่อนวันครบกำหนดเพื่อช่วยรักษาระดับของอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงให้แข็งแกร่งและรองรับการเติบโตในอนาคต

ทั้งนี้ ในปี 2565 ธนาคารมุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนไทยภายใต้วิถีใหม่ (New Normal) ทั้งในด้านการชำระเงิน พัฒนา “เป๋าตังเปย์” เป็นซูเปอร์วอลเล็ตสำหรับคนรุ่นใหม่ เติมเต็มฐานลูกค้าให้ตอบโจทย์ทุกฐาน จับมือพันธมิตรทำ โครงการ “Point Pay” นำคะแนนสะสมของพันธมิตรทั้ง AIS บางจาก และ MAAI by KTC มาใช้จ่ายแทนเงินสดในร้านค้าถุงเงินทั่วประเทศ เพิ่มโอกาสขายสินค้า เพิ่มรายได้ให้กับร้านค้าถุงเงินซึ่งเป็นร้านค้าขนาดเล็ก การออมและการลงทุน ธนาคารประสบความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์การออมและการลงทุนดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ทำสถิติขายหมดในเวลาอันรวดเร็ว โดยในปี2565 เสนอขายหุ้นกู้ดิจิทัลทั้งหมด 8 รุ่น วงเงินรวม 26,000 ล้านบาท พันธบัตรวอลเล็ต สบม. เปิดขาย 2 รุ่น วงเงินรวม 25,000 ล้านบาท และ Gold Wallet ซึ่งมีพันธมิตรร้านทองชั้นนำ 3 ร้าน คือ MTS Gold แม่ทองสุก วายแอลจี และออโรร่า มีลูกค้าเปิดบัญชีแล้ว 150,000 บัญชี สนับสนุนบริการภาครัฐ ร่วมกับ “ศาลยุติธรรม” เปิดบริการ “แผนกคดีซื้อขายออนไลน์ในศาลแพ่ง” ฟ้องออนไลน์ได้ 24 ชั่วโมง จับมือ “กรมศุลกากร” ต่อยอด Customs Trader Portal ให้นิติบุคคลลงทะเบียนออนไลน์ และยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ครั้งแรกของประเทศ จับมือ “กรมบัญชีกลาง” เปิดตัวบริการ e-GP Transformation for Thailand’s Future และพัฒนาบริการเชื่อมสิทธิข้าราชการเข้ากระเป๋าสุขภาพแบบเรียลไทม์ ร่วมกับ “กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา” MOU ดำเนินการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่สำคัญธนาคารยังพัฒนาบริการสำหรับผู้พิการทางสายตาผ่านตู้ ATM ให้สามารถเข้าถึงบริการทางเงินได้สะดวก เท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ ทำให้ผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นทุกแพลตฟอร์ม โดยสิ้นปี 2565 มีผู้ใช้บริการแอปฯเป๋าตังกว่า 40 ล้านคน Krungthai NEXT 16 ล้านคน Krungthai Connext 18 ล้านคน และแอปฯ ถุงเงิน 1.7 ล้านร้านค้า

สำหรับทิศทางเศรษฐกิจไทย ปี 2566 Krungthai Compass คาดว่า จะขยายตัวได้ในระดับ 3.4% ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทาย จากภาคการส่งออกที่มีสัญญาณการชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก ขณะที่ภาวะต้นทุนที่อยู่ในระดับสูงตามราคาพลังงาน ค่าไฟฟ้า และทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ธนาคารจึงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ โดยให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้ากลุ่มเปราะบาง สนับสนุนการปรับตัวรองรับกับทิศทางภาวะเศรษฐกิจ พร้อมเดิมหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกมิติ ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยให้ดีขึ้นทุกวัน ยึดมั่นแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล(ESG) โดยนำกรอบเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน(SDGs) มาปรับใช้ในกระบวนการดำเนินงานทุกด้าน อย่างทั่วถึง และเท่าเทียม ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”

 RISE สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร เปิดบ้านอัพเดทเทรนด์ และแนวโน้มด้านการตลาดใหม่ล่าสุดของปีนี้ ที่งาน Exclusive Forum ในหัวข้อ “Transformative Marketing Trends to Watch in 2023 by MTX” โดยมีเหล่าผู้บริหารด้านการตลาดจากองค์กรชั้นนำของประเทศมาร่วมแบ่งปันและแลกเปลี่ยนมุมมอง รวมถึงคำแนะนำในการเตรียมความพร้อมทำการตลาดยุคดิสรัปชั่น (Disruption) ที่นักการตลาดต้องทรานส์ฟอร์มทั้งองค์กรและตัวเองให้ทัน

ในโลกธุรกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนก่อให้เกิดกระแสดิสรัปชั่น (Disruption) ที่เรียกร้องให้องค์กรต่างๆ ต้องทรานส์ฟอร์มตัวเองในทุกด้านเพื่ออยู่รอดในสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป และหนึ่งในด้านสำคัญที่จำเป็นต้องปรับตัวตามมากที่สุด คือด้านการตลาด (Marketing) ที่มีความอ่อนไหวต่อทั้งเทคโนโลยี สภาวะแวดล้อมทางธุรกิจ อีกทั้งการสลับสับเปลี่ยนของพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งทำให้ผู้ทำงานด้านการตลาดกลายเป็นหนึ่งในสายอาชีพที่เรียกร้องความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาทักษะของตนเองให้สอดรับกับสภาวะความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วเหล่านี้ตลอดเวลา

จากการวิเคราะห์ของนิตยสาร Forbes พบว่า ภายในปี 2023 ผู้ที่ทำงานด้านการตลาด โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในระดับบริหารและผู้นำในด้านนี้ขององค์กรจะต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการ เช่น พฤติกรรมของผู้บริโภคที่จะมาอยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้นกว่าเดิม ความเลือนลางของเส้นแบ่งประสบการณ์ของผู้บริโภคในโลกจริงและโลกเสมือนจริง หรือแม้แต่พัฒนาการอันก้าวกระโดดของระบบปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของทาง Gartner ที่ออกมาเผยว่าปี 2023 นี้จะเป็นช่วงเวลาที่พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคผันผวนจนแทบคาดเดาไม่ได้

สิ่งต่างๆ เหล่านี้เรียกร้องให้เกิดการคิดใหม่และลงมือทำใหม่ในผู้บริหารและผู้นำด้านการตลาด ที่ต้องก้าวขาขึ้นมาเป็นด่านหน้าในการเผชิญกับโลกของธุรกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเริ่มต้นติดอาวุธและเสริมทักษะด้านการตลาดของตัวเองจึงต้องทำอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่พลาดที่จะดำรงอยู่ในยุคสมัยที่ทุกบริษัทต่างต้องการผู้นำด้านการตลาดยุคใหม่ หรือ Next-Gen Marketing Leader

6 เทรนด์ที่ผู้บริหารการตลาดต้องรู้และเข้าใจหากไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

หลักสูตร Marketing Transformation Xponential หรือ MTX โดย RISE ซึ่งเป็นหลักสูตรสำหรับผู้บริหารและผู้นำด้านการตลาดขององค์กร ได้มองเห็นถึงความสำคัญของการเพิ่มพูนและพัฒนาทักษะของเหล่าผู้บริหารด้านการตลาด จึงมีการจัด Exclusive Forum ในหัวข้อ “Transformative Marketing Trends to Watch in 2023 by MTX” เพื่อแนะนำแนวทางการปรับตัวที่ต้องรู้ หากไม่อยากถูกดิสรัป (Disrupt) ซึ่งในฟอรั่มนี้ได้รับเกียรติจาก 3 ผู้บริหารด้านการตลาดจากองค์กรชั้นนำของประเทศ ได้แก่ คุณสุธีรพันธุ์ สักรวัตร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด ของบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) คุณโอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มด้านการตลาดและนวัตกรรม ของเครือกลุ่มบริษัท เดนท์สุฯ อินเตอร์เนชั่นแนล และคุณสุทิพา ปัญญามหาทรัพย์ Chief PC & HCC Business Officer ของบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) มาร่วมพูดคุยและแบ่งปันประสบการณ์การเป็นผู้นำด้านการตลาดขององค์กร ที่แต่ละท่านได้สัมผัสตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางการตลาด (Marketing Technology) ให้สอดรับต่อการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ การสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงและยั่งยืน รวมถึงการปรับรูปแบบและวิถีปฏิบัติทางการตลาดขององค์กรให้พร้อมรับมือและทนทานต่อการเปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ ในวงสนทนาดังกล่าว ยังชี้ให้เห็นเทรนด์สำคัญของการบริหารด้านการตลาด ที่มองว่าในอนาคตงานด้านการตลาดจะไม่มุ่งเน้นแค่เรื่องการโฆษณาเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังต้องดำเนินไปอย่างใกล้ชิดกับงานด้านธุรกิจและด้านกลยุทธ์ขององค์กร ซึ่งทุกวันนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก โดยให้ลูกค้ามาเป็นศูนย์กลางในการกำหนดทิศทางที่องค์กรจะเดินไปข้างหน้ามากยิ่งขึ้น รวมถึงมองพฤติกรรมลูกค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมา โดยไม่ได้จำกัดความถนัดตามอุตสาหกรรมที่ตนอยู่มาแต่เดิมเหมือนก่อนหน้านี้ นอกจากแนวคิดองค์กรที่เปลี่ยนไปแล้ว การใช้ชีวิตของผู้บริโภคเองก็เป็นอีกหนึ่งข้อสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานด้านการตลาด โดยเฉพาะในปัจจุบันที่พฤติกรรมการใช้จ่ายหรือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สลับไปมาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น เรื่องเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์แบบใหม่ที่มีทั้ง Immersive และ Interactive ซึ่งผลต่อความซับซ้อนในการสร้างประสบการณ์รับรู้ของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ โจทย์ใหญ่ที่สุดของผู้บริหารด้านการตลาดจึงเป็นการปรับตัวและเปลี่ยนกลยุทธ์ให้รวดเร็วเท่าทันการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

สิ่งเหล่านี้ ยังส่งผลกระทบต่อการวางระบบเรื่องบุคลากรของฝ่ายการตลาด ที่จะไม่สามารถจัดตามรูปแบบเดิมได้อีกต่อไป หากแต่ต้องปรับตัวให้สอดรับกับแนวทางขององค์กรอย่างใกล้ชิดมากขึ้น และกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญในงานด้านกลยุทธ์และการสร้างผลกำไรให้กับองค์กรผู้นำและผู้บริหารการตลาดต้องปรับตัวอย่างไร เพื่อจะวิ่งสู่เส้นชัยในสนามแข่งขันทางธุรกิจอันดุเดือด แม้จะดูไม่ง่ายหากผู้บริหารด้านการตลาดต้องทรานส์ฟอร์มตัวเองเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ แต่ คุณบี-สโรจ เลาหศิริ และ คุณจั๊ก-กรกนก เชาว์ปรีชา สองไดเรคเตอร์ของหลักสูตร MTX ก็ได้ให้คำแนะนำถึงสิ่งที่ผู้นำและผู้บริหารด้านการตลาดต้องเรียนรู้ โดยยึดเอา 3 หัวข้อสำคัญคือ ลูกค้า x เทคโนโลยี x ความคิดสร้างสรรค์ (Customer x Technology x Creativity) มาเป็นกรอบในการออกแบบกลยุทธ์ทางการตลาดให้กับองค์กร โดยทุกวันนี้การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ของผู้บริโภคเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากแต่ยังต้องออกแบบโดยมีกระบวนการที่สร้างสรรค์อยู่เบื้องหลัง รวมถึงมีการเลือกใช้เทคโนโลยีในการผลักดันให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ขึ้นไปอยู่ในมือและก้าวไปอยู่ในใจของผู้บริโภคได้อย่างเหมาะสมด้วย นอกจากนี้ ผู้บริหารด้านการตลาดควรจะมีความคล่องตัว (Agility) เพื่อยืดหยุ่นต่อการรับแรงกระทบหากคลื่นความเปลี่ยนแปลงโถมเข้ามา อีกทั้งยังต้องมีทั้งความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ในการพลิกแพลงกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ต้องแลกมาด้วยระยะเวลาการเรียนรู้ (Learning Curve) ที่กระชับลง จากความรวดเร็วในการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงสภาวะแวดล้อมและเครื่องมือต่าง ๆ เช่นปัจจุบัน

เบื้องหลังการออกแบบหลักสูตร MTX ที่สร้างขึ้นมาเพื่อทรานส์ฟอร์มและพัฒนาทักษะของผู้บริหารด้านการตลาดโดยเฉพาะ

ไรส์ (RISE) สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร ผู้นำด้านการสร้างนวัตกรรมองค์กรระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีบทบาทสำคัญต่อการผลักดันให้เกิดการทรานส์ฟอร์มในองค์กรชั้นนำระดับประเทศมาอย่างมากมาย รวมถึงขับเคลื่อนการทรานส์ฟอร์มในกลุ่มผู้บริหารและผู้นำองค์กรผ่านหลักสูตร DTX มาอย่างต่อเนื่อง ได้มองเห็นความสำคัญในการทรานส์ฟอร์มของกลุ่มผู้บริหารและผู้นำด้านการตลาด จึงร่วมมือกับ คุณบี-สโรจ เลาหศิริ ที่ปรึกษาด้าน Marketing Transformation ชั้นนำของประเทศ ผู้เป็นอดีตหัวหน้าฝ่าย Marketing Transformation ของบริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด มหาชน อีกทั้งยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด ของ Rabbit’s Tale ดิจิทัลเอเจนซี่ชื่อดังสัญชาติไทย และ คุณจั๊ก-กรกนก เชาว์ปรีชา นักการตลาดสายผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Marketer) ตัวจริง ที่ผ่านประสบการณ์ประยุกต์ใช้แนวคิดทางการตลาดรูปแบบต่างๆ สู่การใช้งานจริงในองค์กร อีกทั้งยังเป็นผู้อำนวยการหลักสูตร ABC หรือ Academy of Business Creativity มาจัดทำหลักสูตร Marketing Transformation Xponential หรือ MTX เพื่อสร้างทักษะสำหรับผู้บริหารด้านการตลาดให้พร้อมรับมือกับโลกของ Marketing แห่งอนาคต พร้อมได้รับคำปรึกษาใกล้ชิดจากหมอคิด-นายแพทย์ศุภชัย ปาจริยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง RISE อีกทั้งยังเป็นไดเรคเตอร์ของหลักสูตร Digital Transformation Xponential (DTX) หลักสูตรผู้นำการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลชั้นนำของประเทศไทยอีกด้วย

โดยหลักสูตรนี้จะช่วยถอดรื้อแนวคิดทางการตลาดแบบดั้งเดิมที่มีออกไป ด้วย 9 หัวข้อที่จะมาทรานส์ฟอร์มวิธีคิดทางการตลาดในทุกมิติ ครอบคลุมทั้งหัวข้อเรื่อง Marketing Transformation, Customer of the Future รวมถึงเรื่อง Web3 และระบบปัญญาประดิษฐ์

หรือ A.I. อีกด้วย โดยออกแบบการเรียนรู้ด้วยแนวคิด Experiential Workshop ที่เน้นการลงมือทำจริง และเรียนรู้จากกรณีศึกษาจริง (Case Study) จากวิทยากรระดับผู้บริหารขององค์กรระดับประเทศจำนวนกว่า 30 คน หลักสูตรนี้จะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 18 พฤษภาคม 2566

 

DBS Denla British School ประกาศเดินหน้าเต็มสูบสนันสนุนระบบการเรียนแบบ High Quality Learning โดยมุ่งเน้นคุณภาพการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับนักเรียนอย่างเต็มที่ในเส้นทางการศึกษาตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาล (Pre-EY) หรือระดับปฐมวัย (Pre-Prep) ไปจนถึงการก้าวเข้าสู่มหาวิทยาลัยระดับโลก พร้อมวางแผนการใช้ High Quality Learning มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์การเรียนที่มีคุณภาพสูงสุด และ สิ่งอำนวยความสะดวกที่เตรียมไว้เพื่อให้นักเรียนได้ใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพและให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อพัฒนาในด้านวิชาการ ความรู้รอบ และทักษะทางสังคมสู่ความสำเร็จอย่างไร้ขีดจำกัด เผย 3 โอกาส รร.นานาชาติไทยเติบโต ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ DBS มีความตั้งใจ มุ่งมั่นสนับสนุนให้นักเรียนค้นหาตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพให้ เติบโตเป็นประชากรและเป็นผู้นำที่ดีและมีคุณภาพของโลก

ผศ.ดร.ต่อยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหาร DBS Denla British School กล่าวว่า ความสำเร็จที่ผ่านมา ทั้งในมุมจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ DBS ต้องขยายอาคารเรียนเพิ่มได้แก่ อารยะฮอลล์และอาคารเรียนซีเนียร์ใหม่ ใช้เงินลงทุนไปกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถรองรับจำนวนนักเรียนที่จะเพิ่มขึ้นราว 1,000 คน ภายใน 3 ปี จากปัจจุบันมีจำนวนนักเรียน 650 คน แบ่งเป็นเด็กนักเรียนไทย 70% เด็กต่างชาติไทย 30% โดยแนวโน้มผู้ปกครองคนไทยหันมาเลือกรร.นานาชาติในประเทศแทนการส่งไปเรียนในต่างประเทศ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและได้ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้รร.นานาชาติในประเทศไทยยังมีโอกาสทางธุรกิจ ใน 3 ด้านได้แก่ 1.คนไทยหันมาส่งบุตรหลานเรียน ในประเทศมากขึ้น ชี้ให้เห็นว่าหลักสูตรการสอนของ รร.นานาชาติในประเทศไทยใกล้เคียงกับเจ้าของหลักสูตรในต่างประเทศ อาทิ อังกฤษ อเมริกา และยังสามารถดูแลบุตรหลานใกล้ชิดมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า 2.กลุ่มประเทศ CLMV กัมพูชา ลาว พม่าและ เวียดนาม ส่งบุตรหลาน มาศึกษาในประเทศไทยเนื่องจากมั่นใจในศักยภาพของการศึกษาและความเป็นอยู่ 3.ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยทั้ง ชาวยุโรป จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย มองหารร.นานาชาติ สำหรับบุตรหลาน ปัจจุบันในประเทศมี รร.นานาชาติมากกว่า 250 แห่ง มากที่สุดในเอเชีย อย่างไรก็ตาม DBS ยังคงมุ่งเน้นการเรียนการสอนบนมาตรฐาน High Quality Learning ซึ่งจะเน้น A-Level เพื่อสนับสนุนเส้นทางสู่มหาวิทยาลัย ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ในปีนี้จะมีการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุดพร้อมทั้งสร้างโครงการใหม่ ๆ ที่ส่งเสริม วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ รวมถึง การค้นพบ และ การเรียนรู้ด้วยตนเอง โครงการใหม่นี้จะรวมถึงพื้นที่เล่นในร่ม หรือ Indoor Soft Play Area ที่นักเรียนจะสามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นเช่นไร ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ใหม่อีก 3 ห้อง เนื่องจากปัจจุบันมีนักเรียนจำนวนมากขึ้นที่เลือกเรียนวิทยาศาสตร์ครบทั้งสามวิชา และ Innovation Centre หรือศูนย์นวัตกรรม

มิสเตอร์จอนนี่ ลิดเดิ้ล ครูใหญ่ DBS Denla British School กล่าวว่า เรายึดมั่นเสมอในคำขวัญของโรงเรียนที่ว่า “Always to Greater Things” หรือการพัฒนาต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด การลงทุนในอาคารใหม่ทั้งสองที่ทันสมัยและครบครันนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงการรักษาสัญญาที่โรงเรียนเคยให้คำมั่นไว้กับนักเรียนและผู้ปกครองเพื่อสนับสนุนและพัฒนาความฝันและจินตนาการอันไม่รู้จบของนักเรียนรวมทั้งสนับสนุนเส้นทางในการค้นหาตนเองของนักเรียนของเราให้สมบูรณ์แบบ เราต้องการให้นักเรียนทุกคนเติบโตไปเป็นผู้นำที่ดีมีคุณภาพระดับโลกในขณะที่พวกเขาใช้เวลาอยู่ที่ DBS พวกเขาจะใช้สิ่งอำนวยความสะดวกระดับโลกของโรงเรียนเพื่อก้าวไปสู่ความฝันของตนเอง นอกจากนี้โรงเรียนยังมีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันนักเรียนของเราให้พัฒนาไปอย่างเต็มศักยภาพและได้เรียนรู้ผ่านการสอนของครูที่มีคุณภาพ และมีประสบการณ์รสอนในหลักสูตรอังกฤษ นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นพัฒนาความเข้มข้นด้านวิชาการ และความหลากหลายของกิจกรรมเสริมหลักสูตร

“การสร้างที่แท้จริงจะเริ่มต้นต่อจากนี้ผ่านการทุ่มเทแรงกายแรงใจที่เรามอบให้กับนักเรียนเพื่อบ่มเพาะนักเรียน DBS เราสร้างสิ่งที่ดีที่สุดนี้เพื่อนักเรียน DBS เพราะนักเรียนของเราสำคัญที่สุด” มิตเตอร์จอนนี่ กล่าวเสริม

ดร.เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหาร DBS Denla British School ให้ความเห็นว่า แม้ว่าในประเทศไทยจะมีโรงเรียนนานาชาติมากมาย แต่ DBS มี 5 เสาหลักสู่ความสำเร็จที่ทำให้เราแตกต่างจากที่อื่น ได้แก่

1) หลักสูตรโรงเรียนเอกชนอังกฤษที่มีการเพิ่มชั่วโมงเรียนให้นักเรียนได้มีเวลาค้นคว้าหาสิ่งที่ตนเองชอบ เพื่อเป้าประสงค์ของการค้นพบตนเอง

2) ความเป็นเลิศด้านวิชาการสำหรับทุกคน โดยผลักดันให้นักเรียนทุกคนสามารถทำในสิ่งที่ตนถนัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3) การปลูกฝังทักษะการเป็นผู้ประกอบการที่ดี และการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์

4) การปลูกฝังพื้นฐานภาษา วัฒนธรรมไทย และความเข้าใจในบริบทของสังคมไทย พร้อมทั้งสามารถปรับตัวให้สอดรับกับทุกบริบทของทุกที่ทั่วโลก

5) ความเป็นอยู่ที่ดีและความยั่งยืน

สำหรับเป้าหมายของ DBS คือ "Nurturing Great Global Leaders" หรือการสร้างนักเรียน DBS ให้เติบโตเป็นผู้นำที่ดีในอนาคต โดยพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นความมั่นใจในตนเอง ความช่างสงสัย ความคิดสร้างสรรค์ ความมุ่งมั่น และการสื่อสาร สิ่งเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนค้นพบความถนัดของตนเอง ซึ่งนับว่าเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดสำหรับศตวรรษที่ 21 ความสามารถในการเรียนรู้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้จะทำให้นักเรียนของ DBS เติบโตเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ ประสบความสำเร็จ และสามารถเผชิญหน้ากับความท้าทายต่าง ๆ ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้

“ไม่มีโรงเรียนที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรในโลกที่สมบูรณ์แบบ มีเพียงโรงเรียนที่ดีที่สุดสำหรับคุณและลูก ๆ ของคุณเท่านั้น เป็นโรงเรียนที่เหมาะกับความชอบและไลฟ์สไตล์ของคุณมากที่สุด นี่เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจำไว้เพราะเราทุกคนแตกต่างกัน ดังนั้นการหาโรงเรียนที่เหมาะสมสำหรับบุตรหลานของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรคำนึงถึง” ดร. ต่อยศ กล่าวปิดท้าย

 กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow)  และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) อำเภอบ้านฉาง เทศบาลตำบลบ้านฉาง และสถาบันพลาสติก ร่วมลงนามพัฒนาต้นแบบการจัดการขยะชุมชนอย่างมีส่วนร่วมในโครงการ “ต้นแบบศูนย์นวัตกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อจัดการและแปรรูปวัสดุรีไซเคิลครบวงจร ส่งเสริมการคัดแยกและยกระดับคุณภาพขยะเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้ให้ชุมชน ด้วยงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ด้วยงบสนับสนุนกว่า 20 ล้านบาท ตั้งเป้านำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ได้ประมาณปีละ 1,000 – 1,200 ตัน เตรียมเป็นต้นแบบให้ชุมชนอื่น ๆ

โครงการดังกล่าวเป็นการขยายผลความร่วมมือที่ Dow และ วว. ได้ร่วมกันดำเนินงานโครงการ “วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม นำสู่การพัฒนาคุณภาพขยะพลาสติกในชุมชนอย่างยั่งยืน” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะบูรณาการองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญของ 4 องค์กรพันธมิตร และส่งเสริมความร่วมมือของประชาชนในพื้นที่ เพื่อจัดตั้งศูนย์ต้นแบบคัดแยกและแปรรูปวัสดุรีไซเคิล (Material Recovery Facility: MRF) คุณภาพสูงแห่งแรกของประเทศไทยที่อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เพื่อบริหารจัดการขยะชุมชน บรรจุภัณฑ์พลาสติก และของเหลือทิ้งในชุมชนแบบครบวงจรและยั่งยืน สร้างมูลค่าเพิ่มต่อการจัดการขยะ ยกระดับคุณภาพของวัตถุดิบรอบสองตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน พัฒนาผลิตภัณฑ์จากขยะชุมชนและของเหลือทิ้งในพื้นที่อำเภอบ้านฉาง รวมถึงจัดการน้ำเสียและการผลิตพลังงานทดแทนชีวภาพ เมื่อดำเนินการสำเร็จจะนำรายได้เสริมมาสู่ชุมชนในขณะเดียวกับที่ช่วยลดปริมาณขยะในสิ่งแวดล้อม

นายกิติพงศ์ อุระวัตร นายอำเภอบ้านฉาง กล่าวว่า “ในนามของชาวบ้านฉางและในฐานะคณะทำงาน เรายินดีให้การสนับสนุนโครงการฯ เพื่อผนึกกำลังสร้างชุมชนต้นแบบจัดการขยะยั่งยืน เพื่อให้เกิดระบบการบริหารจัดการขยะภายในอำเภอ เสริมความรู้ สร้างความตระหนักและความร่วมมือในการเปลี่ยนพฤติกรรมการทิ้งขยะของคนในชุมชน ส่งเสริมให้มีระบบการจัดการขยะและคัดแยกที่ดี เพื่อเพิ่มอัตราการรีไซเคิลให้สูงขึ้นสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลด้านการแก้ไขปัญหาขยะตกค้างในสิ่งแวดล้อม

นายฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมถึงการสนับสนุนการจัดกิจกรรมว่า “ในสถานการณ์ที่โลกมีทรัพยากรอยู่อย่างจำกัด แต่มีความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีควบคู่กับสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนจะต้องนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเข้ามาประยุกต์ รวมทั้งต้องมีโครงสร้างพื้นฐาน และการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อให้เราสามารถใช้ทรัพยากรที่มีค่าได้เกิดประโยชน์สูงสุด และใช้ซ้ำได้เป็นวงจรไม่รู้จบ โดยเฉพาะพลาสติกใช้แล้ว โครงการนี้สอดคล้องเป็นอย่างยิ่งกับหนึ่งในเป้าหมายด้านความยั่งยืนของ Dow ที่จะ ‘หยุดขยะพลาสติก’ โดยเราตั้งเป้าจะผลักดันให้พลาสติกใช้แล้วจำนวน 1 ล้านตันจากทั่วโลกถูกเก็บกลับมาใช้ประโยชน์หรือรีไซเคิล ทั้งผ่านกิจกรรมที่ Dow ดำเนินการเอง และโครงการความร่วมมือ

ศ. (วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “งานวิจัยในด้านการจัดการขยะที่สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมของ วว. มุ่งเน้นการจัดการวัสดุรีไซเคิลที่ต้นทางเพื่อสร้างโอกาสในการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สร้างงาน สร้างอาชีพ ขยายผลความสำเร็จสู่ภาคเอกชน ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน สอดคล้องกับนโยบาย BCG Economy เชื่อมั่นว่าความร่วมมือเชิงบูรณาการของทั้ง 4 หน่วยงานในครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งในการนำผลงานวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเป็นต้นแบบศูนย์นวัตกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อจัดการและแปรรูปวัสดุรีไซเคิลครบวงจร ขับเคลื่อนนวัตกรรมสู่การประยุกต์ใช้งานจริงในพื้นที่ เพื่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างยั่งยืน”

นายวีระ ขวัญเลิศจิตต์ ผู้อำนวยการสถาบันพลาสติก กล่าวว่า “พลาสติกถือเป็นวัสดุที่มีคุณประโยชน์และความสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวัน จึงมีการนำไปประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมที่หลากหลาย พร้อมทั้งสามารถปรับให้เหมาะสมกับการใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย หากใช้งานอย่างคุ้มค่าและจัดการอย่างมีประสิทธิภาพหลังใช้งาน ก็จะเป็นวัสดุหนึ่งที่สามารถดูแลสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ต้องอาศัยการให้ความรู้ ความเข้าใจ ความร่วมมือของชุมชนตลอดจนผู้อุปโภคบริโภคในการคัดแยกและจัดการกับขยะชนิดต่าง ๆ รวมไปถึงพลาสติกใช้แล้วภายในชุมชน เกิดเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการสร้างอาชีพและธุรกิจของชุมชน จนสามารถเป็นแผนต้นแบบขยายสู่ระดับประเทศได้ ถือเป็นการสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่มีความลงตัวในทั้ง 3 มิติ คือ ชุมชนที่แข็งแรง ภาคธุรกิจที่เติบโต และเศรษฐกิจของประเทศก้าวหน้าและยั่งยืนได้นั่นเอง”

นายสุพจน์ ต่ออาจหาญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวว่า “การที่จะทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนเกิดขึ้นได้จริงและยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ตั้งแต่ผู้ผลิต ห้างร้าน ผู้บริโภค และสิ่งสำคัญที่สุดในฐานะผู้บริโภค คือ การคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ตั้งแต่ครัวเรือนในชุมชน เพื่อให้ขยะแต่ละชนิดสามารถนำไปใช้ต่อให้เกิดประโยชน์ได้อย่างสูงสุด ขอขอบคุณ Dow วว. สถาบันพลาสติก และอำเภอบ้านฉาง รวมถึงทุกคนที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในครั้งนี้ ผมมั่นใจว่าจังหวัดระยองของเรามีศักยภาพและมีความพร้อมที่จะผนึกกำลังสร้างและยกระดับให้บ้านของพวกเราเป็นต้นแบบการจัดการขยะที่ยั่งยืน”

โครงการต้นแบบศูนย์นวัตกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อจัดการและแปรรูปวัสดุรีไซเคิลครบวงจร ได้รับงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานกว่า 20 ล้านบาท จากสองหน่วยงานคือ กองทุน Dow Business Impact Fund จากบริษัท Dow และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)

 มุ่งยกระดับสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินระดับภูมิภาค

SCBX (เอสซีบี เอกซ์)  พร้อมสร้างการเติบโตและขยายธุรกิจตามยุทธศาสตร์ “ยานแม่” หลังได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM) ครั้งที่ 1/2566 วันที่ 19 มกราคม 2566 ในการออกและเสนอขายตราสารหนี้วงเงินไม่เกิน 100,000 ล้านบาทหรือเทียบเท่าในสกุลอื่น ในระยะเวลา 5 ปี

เพื่อรองรับการลงทุนตามแผนธุรกิจที่มุ่งเน้นขยายธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล (Consumer Finance) ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) และธุรกิจแพลตฟอร์ม (Platform Business) ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) และเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Climate Tech) ที่จะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจแห่งโลกอนาคต เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน รองรับการขยายธุรกิจสู่ระดับภูมิภาค พร้อมนำพาธุรกิจเติบโตแบบไร้ขีดจำกัด

 

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การได้รับอนุมัติวงเงินการออกตราสารหนี้ไม่เกิน 100,000 ล้านบาทหรือเทียบเท่าในสกุลอื่นของ SCBX นี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้นต่อกลยุทธ์และความเข้มแข็งทางการเงินของบริษัท เพื่อบริษัทจะได้มีความคล่องตัวในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินการตามแผนธุรกิจที่ได้วางไว้ โดยจะมุ่งเน้นการขยาย และพัฒนา 3 ธุรกิจที่มีแนวโน้มในการเติบโตสูง ได้แก่ 1. สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล (Consumer Finance) 2. ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) และ 3. ธุรกิจแพลตฟอร์ม (Platform Business) เป็นหลัก รวมถึงนำไปลงทุนในเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) ที่จะเป็นแกนหลักสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจแห่งโลกอนาคต และเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Climate Tech) ที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาสำคัญของโลก โดยแผนการลงทุนนี้เป็นการเตรียมความพร้อมในการขยายธุรกิจของกลุ่ม SCBX สู่ระดับภูมิภาค และเพิ่มมูลค่าบริษัท”

 "ทั้งนี้ การดำเนินการเสนอขายหุ้นกู้จะขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดทุนและโอกาสในการลงทุนในแต่ละปี เพื่อให้มีโครงสร้างการระดมทุนที่เหมาะสมที่สุด บริษัทขอขอบคุณผู้ถือหุ้นที่เชื่อมั่นในแนวทางและแผนการดำเนินงานในการสร้างให้กลุ่ม SCBX เป็นบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินระดับภูมิภาค ที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก สร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้น และนำพาประเทศให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน”

BIZCUIT Solution  หนึ่งในผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยี AI ด้วยการเป็น AI Enabler สร้างการทรานฟอร์มประสบการณ์ของผู้บริโภค และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ เผยทิศทางธุรกิจในปี 2566 ว่าธุรกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัวและในหลายธุรกิจอาจฟื้นตัวเต็มที่

พร้อมเผยบทพิสูจน์ธุรกิจที่สร้างประสบการณ์ลูกค้า หรือ CX (Customer Experience) รายได้เติบโตสูงกว่า 5 เท่า และชี้ถึงแนวทางการจัดการประสบการณ์ของลูกค้า หรือ CXM (Customer Experience Management) เมกะเทรนด์ใหญ่ระดับโลก เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจ พบ 80% ของธุรกิจเชื่อว่าสามารถเสนอประสบการณ์ลูกค้าอันเยี่ยม แนะพลิกวิธีทำรีเสิร์ชการตลาดสำรวจความพึงพอใจเพื่อบริหารประสบการณ์ลูกค้าแบบเห็นผล ด้วย CXM ประยุกต์ใช้ AI วัดผล Customer Feedback เจาะลึกรายคน ทีละพฤติกรรม แบบเรียลไทม์ ด้วย FullLoop CX แพลตฟอร์มพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าครบวงจร ด้วยงบลงทุนน้อย แต่ได้ผลตอบแทนทางธุรกิจสูง ช่วยธุรกิจเติบโตมั่นคงยั่งยืน

 

นายสุทธิพันธุ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิสกิต โซลูชั่น (BIZCUIT Solution) จำกัด เปิดเผยว่า หลังวิกฤตโรคระบาดคลี่คลายลงหลายธุรกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มเดินเครื่องเพื่อคว้าโอกาสทางธุรกิจ สร้างการเติบโตและเพิ่มผลกำไร ด้วยหลากหลายกลยุทธ์ เพื่อมัดใจลูกค้าและเอาชนะคู่แข่งในสมรภูมิการแข่งขันที่ดุเดือด โดยเฉพาะในปัจจุบัน พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มีความต้องการที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ต้องการบริการที่สะดวกรวดเร็ว ทันใจ บนบริการที่ดีมีคุณภาพ กุญแจสำคัญที่จะสามารถไขเข้าสู่หัวใจของผู้บริโภค อยู่ที่กลยุทธ์การบริหารการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ยอดเยี่ยม บนหลักการบริหารประสบการณ์อย่างมีศักยภาพ ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าได้อย่างมีประสทธิภาพและลึกซึ้ง ถือเป็นเครื่องมือและตัวช่วยสำคัญที่ผลักดันให้ธุรกิจสามารถสตาร์ทออกตัววิ่งได้อย่างรวดเร็ว บนต้นทุนที่ได้เปรียบ แต่กลับช่วยเพิ่มรายได้และกำไรให้กับธุรกิจเติบโตได้มั่นคงยั่งยืน แม้จะเกิดความเสี่ยงและวิกฤตใหม่ ๆ ในอนาคต

 

ทั้งนี้ หลายธุรกิจในประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า หรือ CRM เพียงมิติเดียว ซึ่งไม่เพียงพออีกต่อไป ในขณะทั่วโลกมุ่งผสาน CRM เข้ากับ CXM หรือการสร้างประสบการณ์ที่ดีของลูกค้าด้วยการบริหารประสบการณ์ลูกค้าตลอด Customer Journey เพื่อสร้างให้ลูกค้ามีประสบการณ์ที่ดี ช่วย

ให้ลูกค้านึกถึงแบรนด์และกลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการซ้ำ โดยจะเห็นได้จากข้อมูลของ Forrester ค้นพบแล้วว่าบริษัทที่เป็นผู้นำในการสร้าง CX นั้นมีการเติบโตทางรายได้สูงกว่าบริษัทที่ CX ไม่ดีมากกว่า 5 เท่า ในขณะที่ 80% ของธุรกิจเชื่อว่าสามารถเสนอประสบการณ์ลูกค้าอันเยี่ยมยอด ในขณะที่ผลวิจัยของ PWC ชี้ให้เห็นว่า 73% ของผู้บริโภคมองว่า CX คือปัจจัยหลักในการมี Brand Loyalty สอดคล้องกับ Harvard Business Review ที่เผยแพร่ว่า CX คือ 1 ใน 5 อันดับแรกที่องค์กรให้ความสำคัญในการลงทุน ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจกว่า 80% ยังไม่เข้าใจการทำ CXM และการทำแบบสำรวจความพึงพอใจลูกค้าแบบเดิม สุ่มสำรวจกลุ่มตัวอย่าง ใช้เวลาในการสำรวจเป็นเวลานาน ไม่ทันต่อการพัฒนาบริการ สินค้า และโปรโมชั่นแคมเปญ เพื่อตอบความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ต้องการการตอบสนองอย่างรวดเร็วแบบเรียลไทม์

 

ทั้งนี้ การก้าวข้ามความท้าท้าย หรือ Pain point ดังกล่าว จะต้องมีเครื่องมือการบริหารประสบการณ์ลูกค้า แบบเรียลไทม์เข้ามาเติมเต็ม โดยเริ่มต้นจากการ “ฟังเสียงของลูกค้า” เพื่อให้รู้ถึงพฤติกรรมลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจงเป็นรายบุคคล เนื่องจาก Customer Journey ตั้งแต่ต้นจนจบ มีหลาย Interaction ที่เกิดขึ้นและ CX เกิดจากการหลอมรวมของหลายๆ Interaction เพื่อนำมาสร้างเป็น CX ที่ทรงศักยภาพให้กับธุรกิจ มากกว่าการวัดผลแบบเดิม ๆ ที่ใช้การทำรีเสิรช์วัดประสบการณ์ลูกค้าในทุก 3 หรือ 6 เดือนแบบที่ทำกัน เนื่องจากกระบวนการรีเสิร์ชคือการสุ่มตัวอย่างมาวัด แล้วสอบถามความทรงจำในอดีตของลูกค้า ซึ่งลูกค้าอาจลืมความรู้สึกนั้นไปแล้ว หรือแย่กว่านั้น คือ เกิดประสบการณ์ที่ไม่ดี และเลิกเป็นลูกค้า ก่อนที่แบรนด์จะแก้ไขได้ทัน

จาก Pain point ดังกล่าว บิสกิต โซลูชั่น ต่อยอดพัฒนาโซลูชัน บนแพลตฟอร์ม Fullloop CX ให้กลายเป็นตัวช่วยของธุรกิจ พลิกวิธีทำรีเสิร์ชบริหารประสบการณ์ลูกค้าให้ทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สามารถทำงานได้แบบเรียลไทม์ ด้วยเทคโนโลยี AI แทนการสุ่มวัดแบบเดิม ๆ ที่ใช้เวลานาน และไม่สะท้อนความต้องการในเชิงลึก สามารถวัดผล Customer Feedback แบบรายบุคคลเป็นทีละพฤติกรรมได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้คำนิยาม Perception of Interactions หรือ “การรับรู้ต่อการปฏิสัมพันธ์”

“ถ้าไม่ถามลูกค้าว่ารู้สึกอย่างไร หรือ รับรู้สิ่งที่แบรนด์ทำไปอย่างไร ธุรกิจจะไม่มีทางรู้ว่า CX ของลูกค้าคนนั้น ๆ คืออะไร ยกตัวอย่างเช่น ร้าน ๆ หนึ่งใช้หุ่นยนต์ดูแลลูกค้า 100 คน ทุกคนอาจไม่ได้รับประสบการณ์ที่ดีเหมือนกัน ลูกค้าบางคนอาจไม่ชอบ หรือชอบ สิ่งนี้คือ Perception หรือ พฤติกรรม ฉะนั้น Customer feedback คือการเริ่มต้นการบริหารประสบการณ์ลูกค้า แพลตฟอร์ม FullLop CX มีความสามารถในการวัดผลทีละพฤติกรรม ทำให้ธุรกิจสามารถรู้ได้ว่า พฤติกรรมไหนกำลังจะเป็นปัญหา และพฤติกรรมไหนที่มาจากความชอบที่ควรต่อยอดสำหรับลูกค้าคนนั้น ๆ ซึ่งนำไปสู่การบริหารประสบการณ์ลูกค้าที่ตรงจุด และยังเป็น Workflowอัตโนมัติ ช่วยบริหารจัดการวิกฤตได้อย่างทันถ่วงที ช่วยเพิ่มยอดขาย ส่งเสริมการขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าหลัก (Cross-selling) โดยใช้งานได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ใช้งบประมาณลงทุนน้อย แต่ให้ผลตอบแทนสูง ช่วยให้ธุรกิจเติบโตในระยะยาวได้อย่างมั่นคง” นายสุทธิพันธุ์กล่าวทิ้งท้าย

 

AWS Local Zone บริการใหม่ที่จะช่วยให้ลูกค้า AWS สามารถใช้งาน Distributed Edge และระบบคลาวด์ในรูปแบบไฮบริดที่ตอบสนอง latency เพียงหลักหน่วยของมิลลิวินาที เพื่อผู้ใช้บริการต่างๆ ในกรุงเทพฯ

eCloudvalley, National Telecom และ Nice Apparel เป็นหนึ่งในลูกค้าและคู่ค้าของ AWS ที่ให้การตอบรับอย่างดีต่อการเปิดให้บริการ AWS Local Zone ในกรุงเทพฯ

กรุงเทพฯ—19 มกราคม 2566—Amazon Web Services, Inc. (AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com, Inc. ประกาศเปิดตัวการให้บริการ AWS Local Zone ในกรุงเทพฯ, ประเทศไทย AWS Local Zones คือประเภทของการบริการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่นำการประมวลผล, จัดเก็บข้อมูล, ระบบฐานข้อมูล และบริการอื่น ๆ ของ AWS ที่ประมวลผลบนคลาวด์ มาให้บริการใกล้กับต้นทางข้อมูลมากยิ่งขึ้น เพื่อให้บริการครอบคลุมทั้งภาคส่วนประชากร ภาคอุตสาหกรรม และ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศขนาดใหญ่ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ลูกค้าสามารถใช้งาน Application ที่ต้องการ latency ในระดับความเร็วเป็นหนักหน่วยของมิลลิวินาทีร่วมกับผู้ใช้งานใน On-premise datacenter ได้ ลูกค้าสามารถเข้าทำการใช้งาน (workloads) ประเภทต่าง ๆ ที่ต้องการ latency ที่ต่ำบน AWS Local Zones ในขณะที่ยังเชื่อมต่อกับ workloads อีกส่วนที่ใช้งานอยู่ใน AWS Regions ได้อย่างราบรื่น ปัจจุบัน AWS มีให้บริการ AWS Local Zones อยู่ 29 แห่งทั่วโลกรวมถึงกรุงเทพฯ และยังได้ประกาศแผนที่จะเปิดตัวการให้บริการอีก 23 แห่งทั่วโลก หากต้องการเริ่มต้นใช้งาน AWS Local Zones โปรดเข้าไปยังลิงค์นี้ aws.amazon.com/about-aws/global-infrastructure/localzones/locations

สำหรับ Application ซึ่งต้องการ latency ที่ต่ำ ๆ เพียงหลักหน่วยของมิลลิวินาทีนั้น การวางที่ตั้งของโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์นั้นมีความสำคัญมาก ปริมาณงานของลูกค้าส่วนใหญ่อยู่บน AWS Region ซึ่งเป็นที่ตั้งของกลุ่มก้อนของศูนย์ข้อมูลของ AWS เพื่อให้บริการลูกค้า อย่างไรก็ตาม เมื่อ Region ไม่อยู่ใกล้เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการ latency ที่ต่ำหรือเรื่องถิ่นที่อยู่ของข้อมูล (data residency) ลูกค้าจึงต้องการโครงสร้างพื้นฐานของ AWS ที่ใกล้กับแหล่งข้อมูลหรือผู้ใช้ปลายทางของตนมากขึ้น องค์กรต่าง ๆ ยังคงจำเป็นต้องดูแล workloads บน on-premise ซึ่งคำนึงถึงที่ตั้ง หรือการบริหารจัดการศูนย์ข้อมูล ทั้งนี้เป็นไปตามการจัดหา ดำเนินการ และบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของตนเอง และใช้กลุ่มชุด API และเครื่องมือต่าง ๆ ที่แตกต่างสำหรับศูนย์ข้อมูลแบบ on-premises และ AWS

การเปิดตัว AWS Local Zone ในกรุงเทพฯ ช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับใช้แอปพลิเคชัน (Application) ที่อยู่ใกล้กับผู้ใช้ปลายทางในพื้นที่เมืองขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย การมี AWS Local Zones ใกล้กับพื้นที่เมืองใหญ่ที่มีจำนวนประชากรหนาแน่น ช่วยให้ลูกค้าตอบสนองความต้องการ latency ต่ำๆ ซึ่งจำเป็นสำหรับการใช้งานในกรณีต่าง ๆ เช่น การเล่นเกมออนไลน์ การสตรีมสด และ AR/VR นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลูกค้าในกลุ่มธุรกิจภาคส่วนที่มีการควบคุม อย่างเช่น กลุ่มการดูแลสุขภาพ (healthcare) กลุ่มบริการทางการเงิน และภาครัฐ ที่อาจ

มีข้อกำหนดในการเก็บข้อมูลภายในขอบเขตพื้นที่ที่กำหนด AWS จัดการและดูแล AWS Local Zones ซึ่งหมายความว่าลูกค้าไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายและลำบากในการจัดหา ดำเนินการ และบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานในเมืองต่าง ๆ เพื่อรองรับแอปพลิเคชันที่ต้องการ latency ต่ำมาก ๆ AWS Local Zones ยังสามารถช่วยองค์กรในการโยกย้ายปริมาณงานมายัง AWS ซึ่งสนับสนุนกลยุทธ์การย้ายข้อมูลเพื่อเป็นระบบคลาวด์แบบไฮบริด และทําให้การดําเนินงานด้านไอทีง่ายขึ้น ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อกับ AWS Local Zones ผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือใช้ AWS Direct Connect เพื่อการเชื่อมต่อเครือข่ายส่วนตัว (Private Network) กับ AWS Local Zone และ AWS Region ได้อย่างปลอดภัย

“ด้วยการเปิดตัว AWS Local Zone ใหม่ในกรุงเทพฯ วันนี้ เรารู้สึกยินดีที่ได้นำระบบคลาวด์มาใกล้ลูกค้า AWS มากขึ้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถปรับใช้ปริมาณงานต่าง ๆ ที่ต้องการ latency ต่ำ ซึ่งช่วยให้การให้บริการผู้ใช้ปลายทางนั้นดียิ่งขึ้น” คอเนอร์ แมคนามารา กรรมการผู้จัดการภาคพื้นอาเซียน อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส กล่าว “เราได้ออกแบบ AWS Local Zones เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่กลุ่มแอปพลิเคชันเทรดดิ้ง (Trading Application) ที่ต้องการการตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อความผันผวนของตลาด ไปจนถึงการรองรับงานอีเว้นซ์ถ่ายทอดสด และการตอบสนองประสบการณ์การใช้งานกลุ่ม Gaming การเปิดตัว AWS Local Zone ในกรุงเทพฯ นับเป็นการลงทุนอย่างต่อเนื่องของ AWS เพื่อให้บริการทุกประเภทงานของลูกค้า โดยการนําโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ที่มีความปลอดภัย ครอบคลุม และเชื่อถือได้มากที่สุดมายังพื้นที่ต่าง ๆ ในประเทศไทยมากขึ้น”

บริการด้านโครงสร้างพื้นฐาน AWS Local Zone ในกรุงเทพฯ เป็นการต่อยอดบริการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีให้บริการในประเทศไทยก่อนหน้านี้ ได้แก่ Amazon CloudFront 10 แห่ง, AWS Outposts, และ AWS Asia Pacific (Bangkok) Region ที่กำลังจะมาถึง

ลูกค้าและคู่ค้าของ AWS ตอบรับการเปิดให้บริการ AWS Local Zone ใหม่ในกรุงเทพฯ

eCloudvalley เป็น AWS Premier Consulting Partner รายแรกในเอเชียแปซิฟิกของ AWS ให้บริการด้านไอทีและเป็นที่ปรึกษาด้านระบบคลาวด์ให้แก่ลูกค้าทั่วเอเชียแปซิฟิกที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้ระบบคลาวด์ “เมื่อลูกค้าเปลี่ยนการใช้งานมาสู่ดิจิทัล การลด latency จึงเป็นการช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับปรุงการทำงาน (performance) ของแอปพลิเคชัน สามารถประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้นเพื่อขับเคลื่อนข้อมูลเชิงลึก และเพิ่มประสิทธิภาพ” อมรินทร์ บุรินทร์กุล กรรมการผู้จัดการของ eCloudvalley ประเทศไทย กล่าว “การเปิดตัว AWS Local Zone ในกรุงเทพฯ ช่วยให้เราสามารถช่วยเหลือลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เกม สื่อและความบันเทิง และบริการทางการเงินได้มากขึ้น ทั้งการพัฒนาแอปพลิเคชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ต้องการ latency ที่ต่ำ และปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ปลายทางในประเทศไทย”

Expsystem เป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ชั้นนําของไทยที่ให้บริการพัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชันบนมือถือแก่ลูกค้าในประเทศไทยและทั่วโลก พวกเขาเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีจาก SMS2PRO ผู้ให้บริการส่งข้อความ SMS ซึ่ง

ก่อตั้งขึ้นในปี 2562 โดยได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) “ด้วยการเข้าถึงสมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงต้องใช้โทรศัพท์มือถือในการส่งข้อความต่าง ๆ ที่มีความปลอดภัย รวดเร็ว และเชื่อถือได้ให้กับลูกค้าของพวกเขา” สกลวิทย์ มุงคำภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EXP system กล่าว “AWS Local Zone ในกรุงเทพฯ ทําให้ระบบคลาวด์อยู่ใกล้กับผู้ใช้ปลายทางของเรามากขึ้น และช่วยให้เราได้รับประโยชน์จาก latency ที่ต่ำ ทําให้มั่นใจได้ว่าแอปพลิเคชันที่ใช้การ SMS เช่น การยืนยันแบบสองขั้นตอน และการแจ้งเตือนธุรกรรม จะสามารถจัดส่งได้เร็วขึ้นและสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่น”

National Telecom (NT) เป็นบริษัทโทรคมนาคมของทางภาครัฐ และเป็นพันธมิตรภาครัฐของ AWS “เราร่วมมือกับ AWS ตั้งแต่ปี 2563 เพื่อกระตุ้นและผลักดัน Digital Transformation ของภาครัฐของประเทศไทย” ดร. วงกต วิจักขณ์สังสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานดิจิทัล บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด มหาชน กล่าว “ด้วยการใช้บริการและโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำของ AWS เราได้ช่วยหน่วยงานภาครัฐกว่า 14 แห่งสร้างรากฐานทางดิจิทัลเพื่อให้บริการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นแก่ประชาชน ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศและแก้ปัญหาสังคมที่สำคัญ AWS Local Zone ในกรุงเทพฯ จะทำให้ National Telecom มีโอกาสมากขึ้นในการให้บริการโซลูชันที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ (Compliance) และถิ่นที่อยู่ของข้อมูล (Data Residency) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับภาครัฐในการย้ายปริมาณงานมายังระบบคลาวด์”

บริษัท ไนซ์ แอพพาเรล จำกัด (ไนซ์แอพพาเรล) เป็นผู้ผลิดเสื้อผ้ากีฬาชั้นนำและผู้ส่งออกเครื่องแต่งกายรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีสำนักงาน 8 แห่งอยู่ในกัมพูชา จีน และไทย “ความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปและความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นในการจัดการซัพพลายเชนคือ ตัวหลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของเรา” ประภากร สิทธิชัยเกษม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัลของ Nice Apparel กล่าว “เราวางแผนที่จะใช้ประโยชน์จาก AWS Local Zone ในกรุงเทพฯ เพื่อเร่งการเปลี่ยนไปสู่ระบบคลาวด์โดยการย้ายระบบดิจิทัลหลักของเราไปยัง AWS ซึ่งช่วยให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากคลาวด์ที่ครอบคลุมและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุดในโลก”

บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ เออาร์วี (ARV) ผู้พัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ของไทย ภายใต้กลุ่มปตท.สผ.

ได้ผนึกความร่วมมือกับกรมทางหลวง ในการนำเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับอัตโนมัติ “HORRUS” (ฮอรัส) ในรูปแบบ Drone-in-a box-solution เป็นรายแรกในประเทศไทย มาใช้ตรวจสอบและวิเคราะห์สภาพการจราจร และเฝ้าระวังอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2565 – 2 มกราคม 2566 ซึ่งอยู่ในช่วง 7 วันอันตรายในเทศกาลปีใหม่ บนเส้นทางหลวงขาออกสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่กรมทางหลวงได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ดร. ธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ เออาร์วี (ARV) กล่าวว่า “ARV ได้เล็งเห็นความสำคัญของการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยมาต่อยอด เพื่อยกระดับการบริหารจัดการการจราจร จึงได้มอบหมายให้หน่วยธุรกิจภายใต้การกำกับดูแล ที่ชื่อว่า ‘Bedrock’ (เบดร็อค) ผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการและวิเคราะห์ฐานข้อมูลขั้นสูงเชิงตำแหน่งและพื้นที่อัจฉริยะ ด้วยการนำเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับอัตโนมัติ HORRUS มาสำรวจสภาพการจราจรให้กับกรมทางหลวงเพื่อบริการประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา โดยได้นำเทคโนโลยีที่สำคัญ Location Intelligence Platform และเทคโนโลยี AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้องค์กรหรือหน่วยงาน โดยนำข้อมูลที่มีมาเพิ่มมูลค่าและช่วยในการตัดสินใจในเชิงกลยุทธ์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นความตั้งใจของ ARV และ Bedrock ที่ต้องการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์มาใช้เพื่อแก้ไขข้อจำกัดด้านการสำรวจและวิเคราะห์สภาพการจราจร พร้อมมอบความสุขให้กับคนไทยที่เดินทางท่องเที่ยวและกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่ ด้วยความโดดเด่นของ HORRUS ซึ่งเป็นเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับอัตโนมัติ ที่ทำงานโดยการตั้งโปรแกรม และควบคุมการทำงานจากระยะไกล ทำให้นอกจากจะสามารถปฏิบัติภารกิจซ้ำแบบเป็นกิจวัตรในเวลาที่กำหนดได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขอบเขตพื้นที่ในการปฏิบัติงานได้มากขึ้น ลดข้อจำกัดด้านต่าง ๆ ลง อาทิ การพึ่งพานักบินโดรนมืออาชีพ ช่วยลดระยะเวลาการปฏิบัติงานให้สั้นลง ลดความเสี่ยง และลดค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานโดยเจ้าหน้าที่ รวมถึงยังลดเหตุขัดข้องอันเกิดจากข้อจำกัดของมนุษย์และสภาพอากาศ สามารถสอดส่องเส้นทางที่กำหนดและรายงานสภาพการจราจร รวมถึงจุดที่เกิดอุบัติเหตุไปยังห้องควบคุมของเจ้าหน้าที่กรมทางหลวง ให้สามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์และประเมินเส้นทางเดินรถ ทั้งยังเข้าปฏิบัติงานในกรณีเกิดอุบัติเหตุ และแจ้งรายงานเหตุไปยังประชาชนได้ทันท่วงที”

คุณพงศกร จุลละโพธิ ผู้อำนวยการสำนักบริหารบำรุงทาง กรมทางหลวง ระบุว่า “ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของทุกปี ถือเป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง การท่องเที่ยว และการเดินทางกลับภูมิลำเนา ของคนไทยทั่วประเทศโดยเฉพาะเส้นทางหลวงที่มุ่งหน้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนืออย่างถนนพหลโยธิน และจุดตัดระหว่างถนนพหลโยธิน และถนนกาญจนาภิเษก (ตะวันออก) ที่มีผู้สัญจรโดยรถยนต์เฉลี่ยมากถึงปีละ 1 ล้านคันในช่วง 7 วันอันตรายในเทศกาลปีใหม่ ซึ่งมีการเดินทางเป็นจำนวนมาก ทางกรมทางหลวงมีความยินดีอย่างยิ่งได้ร่วมมือกับ Bedrock หน่วยธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของ ARV ในการนำเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับอัตโนมัติ “HORRUS” มาช่วยอำนวยความสะดวกและบริหารจัดการจราจร เพิ่มโอกาสให้เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติงานอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2565 – 2 มกราคม 2566 นอกจากนี้ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ HORRUS ยังสามารถช่วยลดโอกาสผิดพลาดทางเทคนิคที่อาจเกิดขึ้น ด้วยโดรน เนื่องจากระบบ HORRUS สามารถส่งภาพเคลื่อนไหวให้กับห้องควบคุม ส่งผลให้เจ้าหน้าที่สามารถประเมินสถานการณ์เบื้องต้นได้ และลดความล่าช้าในการเตรียมการอุปกรณ์ซ่อมบำรุง สามารถประหยัดเวลา และต้นทุนในการปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการเดินทาง รวมถึงต้นทุนในเชิงของจำนวนเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ปฏิบัติงาน สุดท้ายนี้ ทางกรมทางหลวงคาดหวังว่า การร่วมมือกันในครั้งนี้จะนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดสำหรับการอำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ประชาชน และหวังว่าจะได้มีโอกาสได้นำเทคโนโลยีอื่น ๆ มาสร้างประโยชน์ในการจราจรได้เพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้”

นายภาคภูมิ เกรียงโกมล หัวหน้าทีมโรโบติกส์ บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ เออาร์วี (ARV) เผยถึงกระบวนการทำงานของโครงการนี้ว่า “HORRUS ได้ทำหน้าที่สำรวจตรวจสอบ สภาพการจราจรตามพื้นที่ที่ทาง ARV และกรมทางหลวง ร่วมกันกำหนดและพิจารณาแล้วว่าเป็นจุดที่มีภาวะการจราจรค่อนข้างหนาแน่นมากในช่วงเทศกาลปีใหม่ 3 จุด ได้แก่ ถนนพหลโยธินขาเข้า กม.55+700, ถนนพหลโยธินขาออก กม.55+700, ถนนกาญจนาภิเษก (ตะวันออก) ตัดถนนพหลโยธิน โดยมีการตั้งโปรแกรมการปฏิบัติการล่วงหน้าเพื่อให้ HORRUS ปฏิบัติการบินสำรวจ 5 รอบต่อวัน ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2565 – 2 มกราคม 2566 โดยใช้เวลาต่อปฏิบัติการเฉลี่ยครั้งละ 30 นาที ในช่วงเวลา 09.00 น., 11.00 น., 13.00 น., 15.00 น., 17.00 น. โดย HORRUS สามารถเก็บข้อมูลรูปภาพ วิดีโอ และข้อมูลอื่น ๆ ที่มีความจำเป็นต่อการวิเคราะห์สภาพการจราจรระหว่างการบินปฏิบัติการ พร้อมจัดเก็บข้อมูลไปยังระบบคลาวด์แบบอัตโนมัติ ทั้งยังสามารถเรียกดูภาพแบบ Live Streaming ให้กับเจ้าหน้าที่ในห้องควบคุมนำไปวิเคราะห์ต่อได้แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ในกรณีที่ต้องการบินออกนอกเส้นทางยังสามารถควบคุมการบินระยะไกลผ่านสัญญาณ 5G และตรวจสอบการทำงานได้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ไม่ว่าอยู่ที่ใดอีกด้วย นอกจากนั้นยังมีระบบแยกแยะวัตถุที่กล้องมองเห็น ที่ใช้การประมวลผลด้วยเทคโนโลยี machine learning ที่สามารถตรวจจับพร้อมประมวลผลภาพการจราจรได้ตั้งแต่ความแตกต่างของชนิดรถ การเคลื่อนไหวของคน รวมถึงสิ่งผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องถนนได้ ทั้งยังตรวจจับความเร็วการเคลื่อนตัวจราจร เพื่อช่วยประเมินได้ว่าเส้นทางสายใดที่มีรถติดเป็นพิเศษ หรือทางสะดวกสำหรับเดินทาง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อมูลให้กับประชาชนเพื่อหลีกเลี่ยง หรือใช้งานเส้นทางดังกล่าวได้ ซึ่งในปัจจุบันเราได้ให้ HORRUS ทำหน้าที่ประสานงานภาคสนามผ่านทางเจ้าหน้าที่ของกรมทางหลวง และในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน HORRUS จะสามารถตรวจพบได้อย่างรวดเร็ว และรู้จุดเกิดเหตุได้ชัดเจนพร้อมทั้งส่งวิดีโอเรียลไทม์จากหน้างานให้เจ้าหน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถประเมินสถานการณ์ได้แม่นยำ และสื่อสารข้อมูลขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อเตรียมอุปกรณ์และความพร้อมในการเข้าถึงจุดเกิดเหตุ และเข้าช่วยเหลือได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยคาดว่าในอนาคต เทคโนโลยีนี้จะสามารถต่อยอดในเรื่องของการเก็บ Data โดยการสำรวจข้อมูลเส้นทางได้ด้วยตนเอง เพื่อส่งต่อข้อมูลให้กับประชาชนทั่วไปได้อย่างง่ายดายและทั่วถึง ผ่านแพลตฟอร์มของกรมทางหลวง รวมถึงพัฒนาให้เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับอัตโนมัติ สามารถลงพื้นที่ปฏิบัติการพิเศษบนเส้นทางจราจรในกรณีเกิดอุบัติเหตุ ได้อีกด้วย”

นอกจากนั้น โครงการนี้ยังนับเป็นการดำเนินการเชิง PoC (Proof of Concept) ครั้งแรกในการช่วยบริหารจัดการการจราจรของ HORRUS ซึ่งก็แสดงผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจตามที่คาดหวังไว้ ซึ่งทาง ARV และ Bedrock จะนำข้อมูลที่ได้จากการลงพื้นที่จริง ไปพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เพื่อความพร้อมสำหรับเข้าร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนอื่น ๆ ที่สนใจนำเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับอัตโนมัติไปใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ และสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตพลังงาน, อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน, อุตสาหกรรมการก่อสร้าง, นิคมอุตสาหกรรมการผลิต, อุตสาหกรรมด้านโทรคมนาคม, ธุรกิจภาคการเกษตร, ธุรกิจขนส่ง, การสำรวจสาธารณูปโภคและสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ยกระดับศักยภาพทางธุรกิจ โดยสามารถติดต่อขอรับรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ARV This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือ โทร 02-078-4000” นายภาคภูมิ กล่าวสรุป

เกมและอีสปอร์ตได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยในช่วงที่ผ่านมา งานวิจัยล่าสุดจากมินเทล โดยผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลตลาดระดับโลก พบว่าผู้บริโภคชาวไทย 3 ใน 4 คน (76%) เล่นเกมอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง** และอีก 1 ใน 3 คน (36%) เล่นเกมเป็นเวลา 2-4 ชั่วโมงต่อวัน

โดยพบว่าเพศชายยังคงเป็นกลุ่มหลักในวงการเกมและอีสปอร์ต ผลจากการล็อกดาวน์ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยกลุ่มอื่นหันมาเล่นเกมเพิ่มขึ้น และพฤติกรรมนี้ยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยมา นับว่าเป็นโอกาสสำหรับแบรนด์ในการสร้างความสัมพันธ์และดึงดูดผู้บริโภคผ่านทางช่องทางใหม่ ๆ เช่น การร่วมเป็นพันธมิตรกับเกม หรือการทำการตลาดผ่านการเล่นเกม

ผู้สูงอายุชาวไทยมีแนวโน้มการเติบโตในการเล่นเกมสูงที่สุด

แม้ว่าระยะเวลาในการเล่นเกมเพิ่มขึ้นในผู้บริโภคทุกกลุ่ม แต่การเติบโตที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ กลุ่มผู้บริโภคอายุ 45 ปี ขึ้นไป โดยผู้สูงอายุ 1 ใน 3 คน (37%) เปิดเผยว่า พวกเขาเล่นเกมเยอะขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดโควิด 19 จากข้อมูล Global Health Aging ยังพบว่า ผู้สูงอายุเล่นเกมเพื่อบรรเทาความเครียด รักษาสภาพจิตใจ เชื่อมต่อกับผู้อื่น และเพื่อความสนุก

การที่ผู้บริโภคหลากหลายกลุ่มมีความสนใจในการเล่นเกมเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเจ้าของแบรนด์ในทุกอุตสาหกรรม ในการโฆษณาสินค้าและบริการในรูปแบบการตลาดผ่านเกม และใช้ของรางวัลเป็นตัวกระตุ้นการเข้าร่วม การเล่นเกมและกิจกรรมออนไลน์เป็นทางออกที่ให้ประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย กิจกรรมออนไลน์ช่วยให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับสินค้าและบริการ และยังทำให้แน่ใจอีกว่าผู้บริโภคสามารถจำข้อความและตราโลโก้ของแบรนด์ได้

ผู้หญิงมองหาทางระบายความเครียด

สิ่งที่น่าสนใจในแง่มุมของผู้เล่นเกมแบ่งตามเพศ คือ แบรนด์มีโอกาสในการมุ่งความสนใจไปยังเกมเมอร์เพศหญิง จากงานวิจัยของมินเทลพบว่า เกมเมอร์เพศหญิง 7 ใน 10 คน (71%) เล่นเกมเพื่อลดความเครียดความกังวล ซึ่งนี่ไม่ใช่ตัวเลขที่น่าตกใจ เพราะรายงานทัศนคติต่อสุขภาพจิตของผู้บริโภคไทยโดยมินเทลแสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคเพศหญิงนั้นมีความวิตกกังวลและหมดไฟได้มากกว่าเพศชาย

เกมที่มีสีสันสดใสและเสียงประกอบที่ไพเราะเพื่อการผ่อนคลายอารมณ์ลดความเครียดจึงเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคเพศหญิง

ความท้าทายและโอกาสในด้านความเป็นอยู่ที่ดี

การระบายความเครียดไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้ผู้บริโภคไทยเล่นเกมมากขึ้น ผู้บริโภค 3 ใน 4 คน (75%) ยังเชื่อว่าการเล่นเกมเป็นหนทางในการเชื่อมต่อกับผู้อื่น อย่างไรก็ตาม การเล่นเกมเป็นเวลานานเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน ร้อยละ 17 ของผู้บริโภคอายุ 18-44 ปี กล่าวว่าพวกเขาประสบปัญหาสุขภาพจากการเล่นเกม

ในการลดความกังวลเหล่านี้ แบรนด์สามารถจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว เพื่อน และคู่สมรส

ดร. วิลาสิณี ศิริบูรณ์พิพัฒนา (ไข่มุก) นักวิเคราะห์ไลฟ์สไตล์อาวุโส มินเทล รีพอร์ทส์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ธุรกิจเกมมีการเติบโตอย่างน่าประทับใจทั้งด้านรายรับจากเกมและจำนวนผู้ชมเกมและอีสปอร์ตในช่วงการระบาดใหญ่ทั่วโลก เนื่องจากผู้คนนับล้านไม่สามารถออกจากบ้านได้จากมาตราการการกักตัว จึงแสวงหาความบันเทิงรูปแบบใหม่จากเกมกีฬา ส่งผลให้ตลาดเกมในปี 2564 มีมูลค่าสูงราว 1.984 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นอีก 71% ภายในปี 2570 แบรนด์ควรคว้าโอกาสในตลาดเกมไว้ให้ได้ โดยเฉพาะในช่วงที่กลุ่มผู้เล่นเกมได้ขยายกว้างขึ้นกว่าครั้งไหน ๆ

“ในส่วนของการนำนวัตกรรมเข้ามาเสริมผลิตภัณฑ์ แบรนด์สามารถเพิ่มองค์ประกอบพิเศษให้เกมเป็นมากกว่า “แค่เกม ๆ หนึ่ง” เพื่อช่วยส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมเกม ตัวอย่างเช่น การร่วมมือกับแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มและนำเสนอประโยชน์ด้านสุขภาพ ในแง่ของการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค แบรนด์ที่เป็นสปอนเซอร์หรือช่วยโปรโมตเกมและการแข่งขันอีสปอร์ตจะสามารถดึงดูดผู้บริโภคและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้ โดยแบรนด์สามารถใช้การโฆษณาภายในเกม หรือสร้างโครงการการศึกษาในรูปแบบเกมเพื่อช่วยฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ ให้กับผู้บริโภค สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแบรนด์ต้องกำหนดเป้าหมายหลักอย่างชาญฉลาด โดยแยกกลุ่มเป้าหมายตามเพศ อายุ และช่วงวัย เพราะผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มนั้นเล่นเกมเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน และในโอกาสที่แตกต่างกัน”

 

ธนาคารกรุงไทย” สนับสนุนยกระดับบริการศุลกากรดิจิทัล นำร่องเปิดบริการหนังสือค้ำประกันระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน (ASEAN Customs Transit System: ACTS) หลักประกันเดียวใช้ได้ทั่วภูมิภาค ลดความซ้ำซ้อนและค่าใช้จ่ายในการทำเอกสาร อำนวยความสะดวกผู้ประกอบการขนส่งสินค้าผ่านแดนทางบกในภูมิภาคอาเซียน หนุนธุรกรรมการค้าชายแดน เพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจไทยและภูมิภาคอาเซียน

นายธวัชชัย ชีวานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารจัดการทางการเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในฐานะธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ ธนาคารมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของกรมศุลกากร ในการยกระดับบริการศุลกากรสู่ดิจิทัล เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและภาคธุรกิจ ให้สามารถเข้าถึงบริการได้ทั่วถึง สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส ปลอดภัย ยกระดับคุณภาพชีวิตทั้งของคนไทยและธุรกิจไทยให้ดีขึ้นในทุกวัน ตามยุทธศาสตร์ X2G2X ของธนาคาร โดยที่ผ่านมาธนาคารได้พัฒนาระบบลงทะเบียนผู้มาติดต่อออนไลน์ทาง “Customs Trader Portal” ผ่าน www.customstraderportal.com เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทะเบียนผู้นำเข้า/ส่งออก ตัวแทนออกของ และผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการออกของ โดยเพิ่มช่องทางให้สามารถลงทะเบียนแก้ไขข้อมูลและต่ออายุ รวมถึงบริการอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งระบบลงทะเบียนดังกล่าวจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้งาน ไม่ต้องเดินทางมายังหน่วยบริการรับลงทะเบียนของกรมศุลกากร หรือมอบบัตรประชาชนให้กับผู้รับมอบอำนาจมาดำเนินการแทน ด้วยการยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลลงทะเบียนนั้นถูกต้องและปลอดภัย นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทยยังได้พัฒนาระบบใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) ด้วยเทคโนโลยี Blockchain ช่วยลดขั้นตอนเอกสารและลดการใช้กระดาษอีกด้วย

ล่าสุด ธนาคารได้นำร่องเปิดให้บริการหนังสือค้ำประกันระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน หรือ Bank Guarantee for ASEAN Customs Transit System (ACTS) เป็นธนาคารแรก เพื่อยกระดับการค้าระหว่างประเทศและเพิ่มประสิทธิภาพบริการศุลกากรสำหรับการขนส่งสินค้าผ่านแดนระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน ประกอบด้วย ไทย มาเลเซีย พม่า ลาว เวียดนาม สิงคโปร์ และกัมพูชา โดยผู้ประกอบการสามารถวางหนังสือค้ำประกันฉบับเดียวเพื่อเป็นหลักประกันในการขนส่งสินค้าผ่านแดนไปยังทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียน ที่ใช้ระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน ลดความซ้ำซ้อนและค่าใช้จ่าย โดยไม่ต้องจัดทำเอกสารผ่านแดนทุกครั้ง เมื่อขนส่งสินค้าผ่านไปยังประเทศต่างๆ และยังสามารถเลือกได้ว่าจะวางค้ำประกันเป็นแบบต่อเที่ยว (Single journey) หรือวางค้ำประกันเป็นแบบหลายเที่ยวต่อการวางค้ำประกันหนึ่งครั้ง (Multiple journey) อีกทั้งยังสามารถใช้ยานพาหนะเดียววิ่งรับขนส่งสินค้าตลอดการผ่านแดน โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายยานพาหนะ ทำให้กระบวนการขนส่งมีความรวดเร็วขึ้น และสามารถส่งคำขอออกหนังสือค้ำประกันผ่านแดนได้ทุกที่ ผ่านระบบ Krungthai Trade Online ทำให้บริหารจัดการการขนส่งสินค้าและเวลาในการทำธุรกรรมได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ บริการหนังสือค้ำประกันระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน ยังช่วยสนับสนุนกระบวนการทางด้านโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันทาง

การค้าระหว่างประเทศ สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประเทศผ่านแดนว่าการขนส่งสินค้าผ่านแดนทางบก มีความมั่นคง ปลอดภัย สอดคล้องกับเป้าหมายกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดน (ASEAN Framework Agreement on the Facilitation of Goods in Transit: AFAFGIT) ช่วยยกระดับการค้าชายแดนไทย-อาเซียนให้ขยายตัวต่อเนื่อง จากเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2565 การค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยมีมูลค่ารวมกว่า 1,598,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.52% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ) โดยการขยายตัวของการค้าชายแดน มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการส่งออกของไทยให้เติบโตได้ตามเป้าหมาย และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจติดต่อ เจ้าหน้าที่ดูแลลูกค้าธุรกิจสัมพันธ์ หรือผู้ชำนาญการธุรกิจต่างประเทศ (ทีม Trade Solutions) ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Contact Center โทร 02-111-9999

X

Right Click

No right click