December 16, 2025

“โอย ปวดท้องจัง!” เมื่อได้ยินคนข้าง ๆ ร้องขึ้นมาแบบนี้ เราอาจคิดถึงอาการที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารหลัก ๆ ไม่กี่แบบ เช่น โรคกระเพาะอาหาร อาหารเป็นพิษ หรือท้องอืดท้องเฟ้อ แต่แพทย์เตือนให้เราสังเกตลักษณะอาการปวดท้องให้ดี เพราะอาการเจ็บป่วยทั่วไปนี้อาจเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งที่ซ่อนภาวะโรคร้ายแรงอื่น ๆ ไว้โดยที่เราไม่รู้ตัว

อาการปวดท้อง ไม่เท่ากับ โรคกระเพาะเสมอไป

โรคกระเพาะอาหาร เป็นคำเรียกรวมกว้าง ๆ ของอาการปวดท้องที่คาดว่าน่าจะมีความผิดปกติที่กระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนต้น เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ หรือมีแผล อาการปวดด้วยโรคกระเพาะมักจะปวดใต้ลิ้นปี่ เป็นอาการปวดจุก เสียด แน่น หรือแสบท้อง อึดอัดท้องหลังมื้ออาหาร หรืออิ่มเร็วกว่าปกติ โดยบางรายอาจมีอาการของกรดไหลย้อนร่วมด้วย เช่น แสบร้อนกลางหน้าอก เรอเปรี้ยว

พญ.สาวินี จิริยะสิน แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหาร ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า “เรื่องหนึ่งที่หมออยากแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหารก็คือการกินข้าวไม่ตรงเวลาไม่ใช่สาเหตุหลักของการเกิดโรคกระเพาะ โดยทั่วไป อาการกระเพาะอาหารอักเสบหรือแผลในกระเพาะอาหารมี 2 สาเหตุที่พบได้บ่อย ได้แก่ การติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้นที่ชื่อว่า Helicobacter pylori และการกินยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ซึ่งก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือทำให้กระเพาะอาหารหรือลำไส้เกิดเป็นแผลได้ สาเหตุที่เหลืออาจเป็นอย่างอื่น เช่น โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ถ้าสงสัยว่าอาการปวดท้องเป็นจากโรคกระเพาะ สามารถทานยาลดกรดเพื่อรักษาเบื้องต้นก่อนได้ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นแนะนำมาพบแพทย์เพื่อพิจารณาตรวจหาสาเหตุและทำการรักษาต่อไป”

ดังที่กล่าวไปว่าหากรักษาเบื้องต้นไม่หาย เราควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่แท้จริง เช่น หากปวดจุกลิ้นปี่สงสัยโรคกระเพาะก็พิจารณาส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น หากปวดท้องหนักมาก ปวดเกร็งทั้งท้อง นอนไม่ได้เลย อาจเป็นอาการจากกระเพาะอาหารทะลุ ซึ่งการเอกซเรย์ธรรมดาก็สามารถเห็นได้และสามารถผ่าตัดได้เลย นอกจากนี้ยังมีการอัลตราซาวด์ช่องท้องซึ่งใช้ตรวจความผิดปกติของตับ โรคนิ่วในถุงน้ำดีหรือนิ่วในท่อน้ำดี นอกจากนี้ยังมีการสืบค้นด้วยวิธีอื่นๆ ได้แก่ การตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ หรือ การตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) ตามดุลยพินิจของแพทย์

เราจะทราบได้อย่างไรว่าอาการปวดท้องของเราเป็นแบบไหน?

ในทางการแพทย์ เราแบ่งลักษณะการปวดท้องออกเป็น 3 แบบ” พญ.สาวินี จิริยะสิน อธิบาย “แบบที่ 1 คือปวดจากอวัยวะภายใน ซึ่งจะเป็นการปวดแบบปวดลึก ปวดบิด ไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจน ส่วนแบบที่ 2 คือการปวดท้องตามตำแหน่งของอวัยวะนั้น ๆ สามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจน และแบบที่ 3 คือการปวดร้าว ซึ่งเป็นการปวดที่ร้าวหรือแผ่ไปยังบริเวณอื่น ๆ ตามการลำเลียงของเส้นประสาท เช่น ปวดท้องใต้ลิ้นปี่แล้วปวดร้าวไปที่บริเวณหลัง คิดถึงโรคตับอ่อนอักเสบ หรือ ปวดท้องแล้วร้าวลงขาหนีบ คิดถึงนิ่วในท่อไต เป็นต้น”

 

ลักษณะอาการปวดท้องที่คนไข้สามารถสังเกตตัวเองได้คือแบบที่ 2 หรือการปวดท้องตามตำแหน่งของอวัยวะ ซึ่งในทางการแพทย์จะแบ่งช่องท้องของคนไข้เป็น 9 โซน ได้แก่

โซน 1: ช่องท้องด้านขวาบนจะเป็นอวัยวะเช่น ตับ ถุงน้ำดี ท่อน้ำดี ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคฝีหนองในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี ฯลฯ

โซน 2: กลางลำตัวบริเวณลิ้นปี่ ซึ่งเป็นบริเวณของกระเพาะอาหาร ตับอ่อน อาการปวดอาจเกิดจากกระเพาะอาหารอักเสบ ติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori มีแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น หรือภาวะตับอ่อนอักเสบ

โซน 3: ช่องท้องด้านซ้ายบน เช่น ม้าม (อาจเกิดจากการขาดเลือดของม้าม ซึ่งเจอได้น้อยในเวชปฏิบัติ)

โซน 4, 6: บริเวณเอว หมายถึง ด้านข้างสะดือซ้ายและขวา อวัยวะได้แก่ ไต ท่อไต ลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจเกิดจากกรวยไตอักเสบ นิ่วในท่อไต ลำไส้ใหญ่อักเสบ ไปจนถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่

โซน 5: ตรงกลางท้องรอบสะดือ อวัยวะคือลำไส้เล็ก ที่อาจเกิดจากลำไส้เล็กอักเสบหรือไส้ติ่งอักเสบในระยะเริ่มต้น

โซน 7, 9: ท้องน้อยด้านซ้ายและขวา ซึ่งนอกจากไส้ติ่งที่ช่วงแรกจะมีอาการปวดรอบสะดือ หลังจากนั้น 6-8 ชั่วโมง จะมีการย้ายตำแหน่งมาปวดบริเวณขวาล่างเมื่อการอักเสบลุกลามมากขึ้น อวัยวะอื่นๆ ได้แก่ ปีกมดลูก รังไข่ และลำไส้ใหญ่ทั้งสองด้าน โดยอาจเกิด ปีกมดลูกอักเสบ เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ กระเปาะของลำไส้ใหญ่โป่งพองอักเสบ ซึ่งมักพบด้านซ้ายมากกว่าด้านขวา

โซน 8: บริเวณท้องน้อยเหนือหัวหน่าว จะเป็นส่วนของกระเพาะปัสสาวะ มดลูก ซึ่งอาจเกิดจาก กระเพาะปัสสาวะอักเสบ มดลูกอักเสบ เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ ซึ่งต้องซักประวัติตกขาว ประจำเดือนเพิ่มเติม และแนะนำปรึกษา สูตินรีแพทย์

โพรไบโอติกส์ ช่วยสร้างสมดุลระบบทางเดินอาหารได้จริงหรือ?

ลำไส้ใหญ่ของเราเป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์ราวห้าร้อยชนิดซึ่งมีทั้งชนิดที่ดีและไม่ดี การศึกษาทางการแพทย์พบว่าจุลินทรีย์ชนิดดีที่มีความสำคัญต่อสุขภาพหลัก ๆ มีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) กับ ไบฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) โดยพบว่าในลำไส้ของคนที่ป่วยมักมีจุลินทรีย์สองชนิดนี้น้อยกว่าคนปกติ ฉะนั้น หากเราเติมจุลินทรีย์ที่ดีในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโพรไบโอติกส์เข้าสู่ร่างกายก็จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ และมีงานวิจัยสนับสนุนด้วยว่าโพรไบโอติกส์สามารถช่วยรักษาอาการท้องเสียหรือลำไส้แปรปรวน ตลอดจนช่วยปรับสมดุลลำไส้ได้

อาการปวดท้องแบบไหนที่ต้องไปพบแพทย์

“หากเรามีอาการปวดท้องรุนแรงมากและต่อเนื่องเกิน 6 ชม. ร่วมกับมีไข้ อาเจียนอย่างมาก มีเลือดออกทางเดินอาหาร ปวดร้าวทะลุหลัง ปวดเกร็งทั้งท้อง ฯลฯ อาการเหล่านี้อาจเป็นโรคที่ต้องมีการผ่าตัดเร่งด่วน หรือได้รับการรักษาทันที เช่น กระเพาะทะลุ ไส้ติ่งอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ ท่อน้ำดีอุดตัน ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน เป็นต้น หรือ อาการปวดท้องน้อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ ร่วมกับมีเลือดออกทางช่องคลอด ซึ่งอาจเกิดจากการแท้งบุตร หรือท้องนอกมดลูกก็ต้องรีบมาพบแพทย์ทันทีเช่นกัน” พญ.สาวินี จิริยะสิน กล่าวสรุป

 ผู้สนใจรับการตรวจรักษาโรคหรือปรึกษากับแพทย์เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลวิมุต ชั้น 5 โรงพยาบาลวิมุต พหลโยธิน 

Cr: โรงพยาบาลวิมุต

นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ในปีนี้เคทีซีเตรียมรุกตลาดบัตรเครดิต ด้วยกลยุทธ์ Less is More โดยเน้นทำในสิ่งที่สำคัญ เป็นประโยชน์และเป็นความต้องการของสมาชิกอย่างแท้จริง เพื่อให้สมาชิกเกิดความประทับใจและผูกพันกับแบรนด์เคทีซีผ่านประสบการณ์ตรงจากการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการ โดยช้อปออนไลน์ถือเป็นหมวดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่มีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง แม้เมื่อเกิดวิกฤติจากโควิด-19 เพราะวันนี้ตลาดช้อปออนไลน์สามารถครอบคลุมทุกหมวดสินค้าอย่างไม่มีข้อจำกัด และยังช่วยเพิ่มความสะดวกและลดขั้นตอนบางอย่าง ทำให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวกสบายในการเลือกซื้อสินค้าที่ง่ายขึ้นและปลอดภัยด้วยวิธีการชำระที่เชื่อถือได้ และยังได้รับความคุ้มค่าที่มากกว่าการใช้เงินสด ทั้งคะแนน KTC FOREVER เครดิตวงเงิน การผ่อนชำระ ฯลฯ ส่งผลให้จำนวนกลุ่มนักช้อปออนไลน์ขยายตัวมากขึ้นต่อเนื่อง”

 

“ในไตรมาสแรกนี้ เคทีซีจึงได้ผนึกความคุ้มค่าของคะแนนสะสมเคทีซี ซึ่งสมาชิกให้การตอบรับดีมาโดยตลอด เข้ากับช้อปปี้ (Shopee) อีคอมเมิร์ซยอดนิยมในไทย จัดโครงการให้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีสามารถใช้คะแนนผ่านแอปฯ KTC Mobile แลกรับโค้ดส่วนลดจากช้อปปี้ 2 รูปแบบ คือ 1) แลกรับโค้ดส่วนลดสูงสุด Shopee 1,000 บาท เมื่อใช้ 5,999 คะแนน (ปกติ 10,000 คะแนน) และมียอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 5,000 บาท หรือรับโค้ดส่วนลด 300 บาท เมื่อใช้ 2,499 คะแนน หรือรับโค้ดส่วนลด 100 บาท เมื่อใช้ 999 คะแนน ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2566 – 30 เมษายน 2566 2) แลกรับโค้ดส่วนลดสูงสุด Shopee 2,000 บาท เมื่อใช้คะแนน 5,999 บาท (ปกติ 20,000 คะแนน) และมียอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 9,999 บาท หรือรับโค้ดส่วนลด 500 บาท เมื่อใช้ 1,699 คะแนน (ปกติ 5,000 คะแนน) และมียอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 2,500 บาท หรือรับโค้ดส่วนลด 200 บาท เมื่อใช้ 999 คะแนน (ปกติ 2,000 คะแนน) และมียอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 500 บาท ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2566 – 31 มกราคม 2566 โดยคาดว่ากิจกรรมการตลาดในครั้งนี้ จะมีสมาชิกมาแลกคะแนนไม่น้อยกว่า 30 ล้านคะแนน ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://www.ktc.co.th/promotion/online/shopping/shopee”

สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภทคลิก https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อ KTC Phone โทร. 0-2123-5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ

SCB CIO มองค่าเงินบาทไทย สิ้นปี 2566 น่าจะอยู่ที่ 33-34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ เน้นย้ำนักลงทุนต้องป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อลงทุนในต่างประเทศ คาดเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ในการประชุม 3 ครั้งของปีนี้ในเดือน ก.พ. มี.ค. และพ.ค.หลังจากนั้นจะค้างดอกเบี้ยกรอบบนไว้ที่ 5.25% ตลอดทั้งปี และมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567

 

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า SCB CIO ได้ปรับประมาณการค่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2566 เป็น 33-34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ (จากเดิมประมาณการไว้ที่ 34-35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ) เนื่องจาก มองว่า เงินดอลลาร์สหรัฐฯ สะท้อนจาก US Dollar index จะอ่อนค่าลงตามทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยที่ช้าลงของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประกอบกับการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย

ขณะที่การเกินดุลการค้าแม้จะชะลอตัวลงตามมูลค่าการส่งออก ในภายหน้ามูลค่าการนำเข้าจะมีแนวโน้มที่ชะลอลง โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป รวมถึงสินค้าเชื้อเพลิง คิดเป็น 42% และ 20% ของมูลค่านำเข้ารวมตามลำดับ และจะเป็นตัวปรับที่ทำให้ดุลการค้ากลับมาเกินดุลได้ โดย SCB CIO มองว่า หากผู้ลงทุนมีการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ ขอแนะนำให้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจและสัญญาณของธนาคารกลางหลักๆ นั้น เริ่มเห็นอัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศชะลอลงแล้ว ตามราคาสินค้าและพลังงาน ส่วนเงินเฟ้อภาคบริการยังอยู่ในระดับสูง ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป แม้จะชะลอตัวลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลาง

ด้าน ตัวเลขเศรษฐกิจภาคการผลิตในสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว ตลาดแรงงานยังแข็งแกร่งแต่เริ่มตึงตัวน้อยลง และค่าจ้างเริ่มมีสัญญาณชะลอลง ทำให้ความกังวลด้านการเติบโตของเศรษฐกิจเริ่มมีมากขึ้น จึงมีมุมมองว่า ธนาคารกลางหลักส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยช้าลง แต่ยังคงปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อ และจะค้างดอกเบี้ยไว้ในระดับสูง โดยในส่วนของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ในการประชุม 3 ครั้งแรกของปี 2566 (ก.พ., มี.ค. และพ.ค.) จากนั้นจะค้างดอกเบี้ยกรอบบนไว้ที่ 5.25% ตลอดทั้งปี และมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567

ดร.กำพล กล่าวว่า สำหรับปัจจัยเรื่องการเปิดเมืองและเปิดประเทศของจีนที่เร็วกว่าที่คาดไว้ และนโยบายเศรษฐกิจจีนที่ยังผ่อนคลาย เป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศที่พึ่งพาการค้า การลงทุน และนักท่องเที่ยวจากจีนด้วย เช่น ฮ่องกง ยุโรป เกาหลีใต้ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนนั้น SCB CIO มองว่า จากความกังวลในประเด็นการเติบโตของเศรษฐกิจ บวกกับอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอลง เรายังคงแนะนำลงทุนสินทรัพย์คุณภาพสูงเพื่อสร้างผลตอบแทนจากกระแสเงิน (Yield) โดยเฉพาะพันธบัตรและหุ้นกู้คุณภาพสูง และแม้โดยรวมจะยังคงมุมมอง Neutral (มุมมองเป็นกลาง) ต่อการลงทุนในหุ้น แต่การเปิดเมืองและเปิดประเทศของจีนที่เร็วกว่าที่เราคาดไว้ และนโยบายเศรษฐกิจที่ยังผ่อนคลาย เป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในระยะข้างหน้า รวมถึงมูลค่าของดัชนี CSI300 และ MSCI China ที่ยังน่าสนใจ จึงมีมุมมอง Positive (มีมุมมองเป็นบวก) กับตลาดหุ้นจีน A-Shares จากแรงหนุนการออกมาตรการกระตุ้นการบริโภค

นอกจากนี้ยังปรับมุมมอง H-shares เป็น Slightly Positive (มีมุมมองเป็นบวกเล็กน้อย) โดยความเสี่ยงเรื่องการถอดบริษัทจดทะเบียนจีนออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ADRs Delisting) ลดลงมาก ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบบนกลุ่มแพลตฟอร์มลดลง แต่ตลาดยังมีปัจจัยเสี่ยงและอาจได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะจากประเด็นการกีดกันด้านเทคโนโลยีอยู่

ขณะเดียวกันยัง คงมีมุมมอง Slightly positive ต่อตลาดหุ้นไทย โดยมองว่า ไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่น่าจะได้อานิสงส์ จากการเปิดเมืองและเปิดประเทศของจีนผ่านการท่องเที่ยวและการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเมื่อมองไประยะข้างหน้า จากแรงสนับสนุนของภาคท่องเที่ยวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเสถียรภาพเศรษฐกิจที่ดี จะช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจ

ภายหลังการปรับบทบาท มหาวิทยาลัย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และชุมชนในพื้นที่ บูรณาการแก้ไขปัญหาในมิติต่างๆจนสามารถยกระดับเศรษฐกิจให้เกิดความยั่งยืนได้จริงและประสบผลสำเร็จด้วยดีสำหรับ โครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ (มหาวิทยาลัยสู่ตำบล สร้างรากแก้วให้ประเทศ) หรือ โครงการ U2T โดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ผสานความร่วมมือกับอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

โดย U2T เป็นโครงการภายใต้ อว. ที่ดำเนินงานมาเป็นระยะเวลา 10 ปี ในการทำงานแบบบูรณาการและเป็นรูปธรรมตลอดปี 2565 ในพื้นที่ 7,435 ตำบล ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับคำปรึกษาและพัฒนาแล้วกว่า 15,000 ชนิด

 

สำหรับปีงบประมาณ 2566 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ยังคงมุ่งเน้นเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการด้าน BCG หรือ Bio Circular Green Economy การผสมผสานระหว่างเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green) ในพื้นที่ด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อให้ผลิตภัณฑ์และบริการออกสู่ตลาดอย่างเป็นระบบ มีการทำตลาดและขายสินค้าทั้ง online/offline ทั้งในและต่างประเทศ โดย อว.เป็นผู้พัฒนาระบบ ในการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม (Platform) ที่สำคัญมีการจัดทำข้อมูล Thailand Community Data (TCD) ให้สมบูรณ์ครบทุกพื้นที่ รวมถึงการถ่ายทอดการใช้ประโยชน์จาก TCD ให้ผู้ที่จะใช้ประโยชน์ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและชุมชน

 

ในการนี้ ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมคณะ ประธานเปิดงาน มหกรรม U2T For BCG ช็อป ชิม โชว์ ยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลก ณ ศูนย์วัฒน์ธรรมเฉลิมพระเกียรติราชมงคลสุวรรณภูมิ ศูนย์พระนครศรีอยุธยา วาสุกรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อันเป็นพื้นที่เป้าหมายได้จัดกิจกรรมตาม “โครงการส่งเสริมการตลาด เพื่อประชาสัมพันธ์และแนะนำผลิตภัณฑ์สินค้า U2T for BCG” จัดแสดงสินค้าออกสู่ตลาดผู้บริโภค เพื่อขยายโอกาสและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาช่องทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจและภาคบริการ

ดร. ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวถึงการดำเนินโครงการ U2T ในปี 2566 ว่า “หลังจากประสบความสำเร็จจากโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ (มหาวิทยาลัยสู่ตำบล สร้างรากแก้วให้ประเทศ) หรือ โครงการ U2T เราได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ของชุมชนในรูปแบบต่างๆ สำหรับปีนี้ อว. ตอกย้ำด้วย โครงการส่งเสริมการตลาดเพื่อประชาสัมพันธ์และแนะนำผลิตภัณฑ์สินค้า U2T for BCG หลังจากใช้แนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบ BCG หรือ Bio Circular Green Economy การผสมผสานระหว่างเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green) เข้าไปพัฒนาผลผลิตของพี่น้องประชาชน ประสบความสำเร็จด้วยดี มีผลิตภัณฑ์ที่โครงการของเราได้ให้คำปรึกษากว่า 15,000 ชนิด เมื่อมีสินค้าแล้วก็ต้องมีการจัดจำหน่ายแต่จะจำหน่ายอย่างไร จะเข้าถึงผู้บริโภคอย่างไร นี่คือสิ่งที่ อว. ต้องส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อให้ประชาชนได้เป็นผู้ประกอบการมืออาชีพในอนาคต สร้างความเข้าใจและปรับตัวในการผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับ BCG ได้ ซึ่ง อว. ผสานความร่วมมือกับอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย หรือ Science Park ,คลินิกเทคโนโลยี ผู้ผลิตสินค้าระดับโอทอป และ หน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา หรือ University Business Incubator : UBI เข้ามาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ U2T อย่างเต็มที่ ถือเป็นการโชว์สินค้า แชร์เทคโนโลยี และนำไปต่อยอดต่อไปได้ อาทิเช่นผลิตภัณฑ์น้ำพริก หรือ พริกแกงต่างๆ เขาจะมีอายุสั้น เสียเร็ว จำหน่ายในห้างสรรพสินค้าไม่ได้ แต่ Science Park หรือ คลินิกเทคโนโลยี จะเป็นผู้คิดค้นหาวิธีให้ผลิตภัณฑ์มีอายุนานขึ้น นี่คือนวัตกรรมที่เราทำ พี่น้องประชาชนก็จะได้ผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น ขายได้มากขึ้น หรือผลผลิตทางการเกษตรอย่างอะโวคาโด หากเก็บผลผลิตได้ 1,000 กิโลกรัม แต่จำหน่ายได้เพียง 600 กิโลกรัม ที่สุกงอมจนขายไม่ได้ราว 400 กิโลกรัม ซึ่งเกษตรกรต้องแบกรับภาระนี้มานาน แต่ตอนนี้ไม่ต้องทิ้งแล้วครับ เรานำมาทำเป็นคุกกี้อะโวคาโด ไอศกรีม และ แยมอะโวคาโด รสชาติอร่อยมาก สำหรับผลิตภัณฑ์ที่นำมาแสดงที่ อยุธยา วันนี้ ก็เป็นผลิตภัณฑ์เด่นของจังหวัดภายใต้โครงการ U2T FOR BCG ซึ่งเขาได้นำองค์ความรู้ที่ได้รับจากทางมหาวิทยาลัยไปปรับใช้จริง มีการอบรม สาธิตการทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ จำหน่ายสินค้า โดยงานแสดงสินค้าเหล่านี้จะจัดขึ้นในจังหวัดเป้าหมายหลัก ตลอดเดือน มกราคม – มีนาคม 2566 จังหวัดต่อไปคือ หนองคาย สกลนคร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ราชบุรี นครปฐม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ฯลฯ กระจายในทุกภาคทั่วประเทศ และเพิ่มศักยภาพการจำหน่ายช่องทางออนไลน์ด้วย เราลงพื้นที่ไปให้ความรู้ ให้เขาเรียนรู้อย่างเป็นระบบ ทุกวันนี้พี่น้องประชาชนทำห้องไลฟ์ขายของกันแล้ว เขาสนุกกับสิ่งที่ทำ และขายสินค้าได้ การท่องเที่ยวก็เป็นส่วนหนึ่งของ BCG ในการเอาอารยธรรมของชุมชนมาสร้างคอนเท้นท์

นำพาสู่นักท่องเที่ยวเพื่อให้มาเยี่ยมเยียนเรา เมื่อเขามาเยี่ยมเยียน ก็เกิดการจับจ่ายสนับสนุนสินค้าและการท่องเที่ยวในจังหวัดนั้นๆ

 

สุดท้ายผมฝากถึงพี่น้องประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการทั่วประเทศ เรามีหน่วยงานหลักสำหรับให้คำปรึกษาและร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนอยู่ในทุก มหาวิทยาลัย ทั้ง คลินิกเทคโนโลยี , Science Park/ OTOP และ UBI หากท่านมีความสนใจหรือต้องการพัฒนาสินค้าต่างๆ สามารถติดต่อไปได้ที่ มหาวิทยาลัย ใกล้บ้าน เราให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี การตลาด การจัดการ เพื่อต่อยอด กระทวงเราไม่ได้ห่างเหินจากประชาชน แต่เราลงพื้นที่ ดูแลและเป็นกองหนุนให้กับทุกกระทรวง หวังว่าพี่น้องประชาชนจะได้ใช้โครงสร้างของเราในการทำงานอย่างยั่งยืน สร้างชีวิตใหม่ สร้างผู้ประกอบการมืออาชีพในแต่ละตำบล และทำให้เกิดการสานต่อผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม” ดร. ดนุช ตันเทอดทิตย์ กล่าวปิดท้าย

พลังแห่งความกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาปะทุตัวขึ้นอย่างหนักแน่นและทรงพลังเกินฉุดรั้ง เป็นพลังที่กำลังสูบฉีดเข้าสู่ช่วงปีนับจากนี้ ทำให้ผู้คนมีความหวัง ความเบิกบาน และความสุข ท่ามกลางห้วงเวลาที่ความไม่แน่นอนยังคงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง  คือสาระจากรายงาน ‘The Future 100:2023’ จากวันเดอร์แมน ธอมสัน

ทัศนะดังกล่าวจากรายงานฉบับที่ 9 ของการศึกษาแนวโน้มสำคัญประจำปีที่ฉายให้เห็นภาพเค้าโครงของเทรนด์ที่กำลังมาแรงที่สุดจนต้องเฝ้าจับตาในช่วงเวลาหนึ่งปีข้างหน้า ได้ชี้ว่าแม้วิกฤติทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมจะยังคงดำเนินต่อไป แต่ผู้คนก็จะเลือกอยู่กับสิ่งที่สร้างความเบิกบานใจ

การก่อตัวของเทรนด์ต่างๆ อย่างเช่น ‘Elevated Expressionism’, ‘Feel-Good Feeds’ และ ‘Ageless Play’ ซึ่ง วันเดอร์แมน ธอมสัน อินเทลลิเจนซ์ (Wunderman Thompson Intelligence) ให้ชื่อเรียกว่า “จอย-โคโนมี่” (Joy-Conomy) หรือ เศรษฐกิจความสุข เผยให้เห็นโอกาสสำหรับแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับการที่ผู้บริโภคโหยหาแรงบันดาลใจและการมองโลกในแง่ดี เนื่องจากผู้คนต่างมุ่งมั่นที่จะแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการปรับตัว นวัตกรรม และความเบิกบาน แม้ในขณะที่ยังมีความยากลำบากคอยอยู่ตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง

เอมม่า ชิว ผู้อำนวยการใหญ่ (Emma Chiu, Global Director) ของ วันเดอร์แมน ธอมสัน อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “ในปีที่ทุกสัญญาณล้วนชี้ไปยังภาพอนาคตที่มืดมนและสับสนวุ่นวายเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ยากลำบาก ตลอดจนความไร้เสถียรภาพทางการเมืองและความเสื่อมถอยของสิ่งแวดล้อมยังคงดำรงอยู่ เรากลับพบว่าแบรนด์ยังคงมีโอกาสอย่างไม่รู้จบในการเชื่อมตัวเข้ากับความคิดและจิตใจของผู้บริโภค เนื่องจากการมองโลกในแง่ดีที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้วกำลังเปลี่ยนผันเป็นความต้องการที่งอกงามขึ้นเรื่อยๆ ในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสนุกสนาน”

ชุมชน ความคิดสร้างสรรค์ และสีสันอันสดใส จะแต่งแต้มความมีชีวิตชีวาให้กับช่วงปี 2023 ความเครียดในปีที่ผ่านๆ มาได้ทำให้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับการหาจุดลงตัวที่สุดทั้งใจกายเพื่อให้ตนเองมีความสุขได้มากขึ้น พัฒนาการอันรวดเร็วของเทคโนโลยีทำให้เราได้เห็นวิวัฒนาจากอาคารบ้านเรือนไปสู่การใช้ชีวิตอยู่ในเมตาเวิร์ส (โดยที่ทุกมิติในชีวิตของเรากำลังถูกสำรวจอยู่ในพรมแดนใหม่ในโลกของประสบการณ์ลูกค้าดังกล่าว) และผู้คนกำลังเรียกร้องให้ แบรนด์ใช้พลังของตนเองเพื่อสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้น โดยการให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ กับเรื่องของการเข้าถึงและการผสานความแตกต่า” เธอกล่าวเสริม

 

นอกเหนือจากการก่อตัวขึ้นของ Joy-Conomy แล้ว เทรนด์เด่นอื่นๆ ยังประกอบด้วย:

- วัฒนธรรม – นวัตกรรมพื้นเมือง (Indigenous Innovation): เทคนิคของชนพื้นเมืองกำลังสร้างแนวทางใหม่ที่เป็นการปฏิรูปการจัดการสิ่งแวดล้อม

- เทคโนโลยีและเมตาเวิร์ส – การเข้าถึงเทคโนโลยี (Techcessibility): บริษัทต่างๆ กำลังออกแบบสภาพแวดล้อมทางดิจิทัลของตนเองใหม่เพื่อให้เอื้อต่อการเข้าถึงได้มากขึ้น

- การเดินทางและบริการต้อนรับ – การเดินทางท่องเที่ยวในเขตอบอุ่น (Temperate Travel): อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นจะทำให้นักเดินทางหันมาเสาะหาที่หมายที่มีสภาพภูมิอากาศเย็นกว่า

- แบรนด์และการตลาด – ครีเอเตอร์ที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น (Amplifying Diverse Creators): เสียงเรียกร้องที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ที่ต้องการให้โฆษณาสะท้อนความเป็นผู้บริโภคที่แท้จริง กำลังขับเคลื่อนให้เกิดความร่วมมือระหว่างแบรนด์กับครีเอทีฟที่เป็นบุคคลทั่วๆ ไป

- อาหารและเครื่องดื่ม – เมนูจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Cell-cultured Dishes): เมื่ออาหารจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสามารถออกจากโลกของห้องแล็บจนเข้าสู่ซูเปอร์มาร์เก็ตได้แล้ว ร้านอาหารระดับหรูหราก็อาจจะเป็นธุรกิจประเภทแรกที่ได้รับประโยชน์

- ความงาม – ส่วนผสมที่ฟื้นคืนชีพ (Resurrected Ingredients): แบรนด์กำลังนำเอาส่วนประกอบที่กระตุ้นสัมผัสการรับรู้ต่างๆ ซึ่งห่างหายไปและถูกหลงลืมไปแล้วกลับมาสู่วงการอีกครั้ง

- ค้าปลีกและการพาณิชย์ – ค้าปลีกในยามวิกฤติ (Crisis Retail): เมื่อวิกฤติทางการเงินแผลงฤทธิ์ แบรนด์ต่างๆ จึงยกระดับความช่วยเหลือที่มีให้แก่ผู้บริโภคกลุ่มที่เปราะบางที่สุดของตน

- ลักชัวรี่ – ทะเลคือที่พำนัก (Residence at Sea): ชาวดิจิทัลรุ่นถัดไปที่อยู่ไปไม่ติดที่ กำลังมุ่งหน้าออกสู่ทะเลอย่างมีสไตล์

- สุขภาพ – โปรแกรมสำหรับคนวัยทอง (Menopause Retreats): โปรแกรมที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่กำลังเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนกำลังเป็นกระแสที่มาแรง โดยที่เนื้อหามีตั้งแต่การให้ความรู้เรื่องการให้ฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy - HRT) ไปจนถึงการให้คำแนะนำด้านโภชนาการ

- การทำงาน – ความยืดหยุ่นตามยุคสมัย (Generation Flex): ความคาดหวังของพนักงานกำลังเพิ่มสูงขึ้น แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ การสร้างสมดุลในการบริหารงานจะออกมาในรูปที่เกิดประโยชน์ต่อพวกเขาหรือไม่?

มัวรีน ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ วันเดอร์แมน ธอมสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “หลังจาก 3 ปีแห่งความเศร้าซึมจากสถานการณ์โรคระบาด เราเห็นได้ว่าจิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์กำลังเลือกที่จะอยู่กับพลังบวกและความหวัง แม้ความยากลำบากครั้งนี้จะยังคงนำมาซึ่งความขัดสนทางเศรษฐกิจ แต่คนไทยกำลังได้ลิ้มรสความหวังครั้งใหม่แล้ว โดยการท่องเที่ยวที่กระเตื้องขึ้นในหลายๆ ด้านกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้โลดแล่นอีกครั้ง ในปีที่ผ่านๆ มา รายงาน Future 100 ได้นำเสนอการคาดการณ์ต่างๆ มากมายหลายเรื่องที่ได้กลายเป็นจริงในทุกด้าน เราหวังว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อแบรนด์และนักการตลาดในการวางแผนเพื่อวันข้างหน้าและปรับตัวให้ตรงใจผู้บริโภคได้มากขึ้น เพื่อเป็นพลังกระตุ้นความหวัง แรงบันดาลใจ และความสุขความเบิกบานให้กับผู้บริโภคชาวไทย”

The Future 100:2023 เป็นผลงานของ วันเดอร์แมน ธอมสัน อินเทลลิเจนซ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยและนวัตกรรมของ วันเดอร์แมน ธอมสัน ที่มุ่งเน้นเรื่องอนาคตเป็นสำคัญ รายงานฉบับนี้ได้รับการเรียบเรียงขึ้นโดยทีมนักวิเคราะห์เทรนด์ชั้นนำ ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในแบบเอ็กซ์คลูซีฟและงานวิจัยกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ

ดาวน์โหลดรายงานฉบับนี้ได้ที่: https://www.wundermanthompson.com/insight/the-future-100-2023

Honeywell UOP ได้รับเลือกให้เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนของ ปตท.สผ.สำหรับโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนอาทิตย์ในแหล่งก๊าซอาทิตย์ในอ่าวไทย

แม็ท สปาลด์ดิ้ง รองประธานและผู้จัดการทั่วไปของ Honeywell UOP เปิดเผยว่า SeparexTM เมมเบรน (Membrane) เทคโนโลยี ของ Honeywell UOP จะช่วยบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการที่จะเพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกดักจับจากแหล่งกำเนิดโดยทางธรณีวิทยาจะถูกกักเก็บไว้ในชั้นหินใต้ดินและแหล่งก๊าซที่หมดศักยภาพในการผลิตแล้วอย่างถาวรได้แก่การฉีดเข้าไปในแหล่งก๊าซใกล้เคียงที่หมดศักยภาพแล้ว เทคโนโลยีของ Honeywell UOP จะนำเสนอโซลูชั่นที่ดีที่สุดที่จะปรับปรุงระบบที่มีอยู่เดิมในการเพิ่มความเข้มข้นให้กับคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกดักจับจากแหล่งกำเนิดโดยใช้กระบวนการ เมมเบรน 2 ขั้นตอน โดยคำนึงถึงข้อจำกัดของแท่นก๊าซนอกชายฝั่ง เทคโนโลยีนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกู้คืนของไฮโดรคาร์บอนซึ่งอาจถูกเผาไหม้ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการช่วยเพิ่มการผลิตไฮโดรคาร์บอนและเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการนอกเหนือจากการดักจับคาร์บอน

" ปัจจุบันนี้ ปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์จำนวน 15 ล้านตันต่อปีที่ได้ถูกดักจับและถูกกักเก็บหรือใช้ประโยชน์ผ่านความเชี่ยวชาญด้านกระบวนการแก้ปัญหาด้านคาร์บอนไดออกไซด์ ของ Honeywell ปัจจุบัน Honeywell มีความสามารถในการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 40 ล้านตันต่อปีผ่านโครงการที่ติดตั้งทั่วโลก และเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้นำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์นี้มาสู่โครงการการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ซึ่งเป็นโครงการที่มีความสำคัญในประเทศไทยโดยร่วมกับ ปตท.สผ . การมีส่วนร่วมในโครงการนี้ เป็นผลมาจากความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่าง Honeywell กับ ปตท . สผ . และจากการขยายเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนของเราที่ติดตั้งอยู่ทั่วโลก เรามีความยินดีที่ความเชี่ยวชาญเหล่านี้จะมอบโซลูชันที่เหมาะสมที่สุดสำหรับโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนของแหล่งอาทิตย์ในประเทศไทย " แม็ท สปาลด์ดิ้ง รองประธานและผู้จัดการทั่วไปของ Honeywell UOP Asia กล่าว

Honeywell UOP จะให้บริการด้านวิศวกรรมและให้คำปรึกษาสำหรับ Front End Engineering Design (FEED) และระยะต่อๆ ไปของโครงการ จนกระทั่งถึงกระบวนการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) นอกจากนี้ บริษัทยังจะจัดหา SeparexTM Membrane Elements สำหรับโครงการนี้ นอกเหนือจากการให้การสนับสนุนในช่วงก่อนการว่าจ้างและการเริ่มต้นในเฟสต่อๆ ไปของโครงการ โดยโครงการนี้จะเป็นหนึ่งในการติดตั้งเชิงพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดของ Honeywell สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และจะแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการนำเอาเทคโนโลยีการแปรรูปก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในเชิงพาณิชย์มาใช้ในการดักจับ และกักเก็บคาร์บอน

อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังช่วยเสริมกลุ่มผลิตภัณฑ์โซลูชันการดักจับ คาร์บอนไดออกไซด์ ของ Honeywell และด้วยประสบการณ์เชิงพาณิชย์ที่มีมากกว่า 70 ปี รวมถึงความสามารถของเทคโนโลยี Honeywell ที่มีการปรับใช้ (ระบบเมมเบรนและระบบที่ใช้สารละลาย ประเภท Chemical และประเภท Physical) ในโครงการที่ติดตั้งต่างๆ ซึ่งช่วยให้สามารถดักจับ คาร์บอนไดออกไซด์ จากแหล่งกำเนิดก๊าซ ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่ดักจับได้จำนวน 15 ล้านตันต่อปีนั้นได้ถูกนำมาใช้เพื่อการเพิ่มผลผลิตของน้ำมันที่ดียิ่งขึ้น

กรุงเทพฯ, 20 มกราคม 2566 -- ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 4 และรอบ 12 เดือน ปี 2565 โดยผลการดำเนินงานยังคงปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องและมีกำไรสุทธิในไตรมาส 4 ปี 2565 ที่ 3,847 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จากปีที่แล้ว รวม 12 เดือน ปี 2565 มีกำไรสุทธิ 14,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากปี 2564 ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังดูแลได้ดี โดยอัตราส่วนหนี้เสียอยู่ที่ 2.73% ลดลงจากปีที่แล้วและต่ำกว่ากรอบที่วางไว้

 

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2565 นี้ ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องทุกไตรมาส ถือว่าเป็นความสำเร็จที่เกิดจาก Strategy และ Execution นั่นคือ การวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมและสามารถทำได้จริงตามแผนที่วางไว้ โดยกลยุทธ์ที่เรามุ่งเน้นมาตลอด ได้แก่ การเติบโตสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ การมีวินัยด้านค่าใช้จ่าย และการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ที่สำคัญคือการดูแลลูกค้าในเชิงรุกและให้ความช่วยเหลือทางการเงินอย่างเหมาะสม จึงส่งผลให้ลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางสามารถปรับตัวผ่านช่วงที่ยากลำบากและมีสถานการณ์ที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ทำให้พอร์ตสินเชื่อมีคุณภาพดี หนี้เสียลดลง และทำให้ค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในท้ายที่สุด เป็นปัจจัยหนุนผลกำไรและสถานะทางการเงินให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

อีกหนึ่งกลยุทธ์หลักในปี 2565 ได้แก่ การเตรียมความพร้อมสำหรับวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น โดยธนาคารสามารถบริหารงบดุล (Balance Sheet Management) ได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการดำเนินการหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างเงินฝาก ด้วยการทยอยเพิ่มเงินฝากประจำเพื่อล็อกต้นทุนเงินฝากและขยายฐานเงินฝากล่วงหน้าในการรองรับแผนการเติบโตสินเชื่อในปี 2566 ในด้านการลงทุนธนาคารได้ปรับพอร์ตให้มีระยะเวลาลงทุนสั้นลงเพื่อช่วยเพิ่มผลตอบแทนในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น และเนื่องจากที่ผ่านมาธนาคารดำรงเงินกองทุนในระดับสูงมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อมองเห็นโอกาสในตลาดตราสารหนี้ จึงได้ทำการซื้อคืนตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 หรือ AT1 กลับมาบางส่วน ซึ่งนอกจากจะเป็นไปตามแผนการบริหารส่วนทุน (Capital Management) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว ธนาคารยังได้ผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาซื้อคืนอีกด้วย

ท้ายสุดในส่วนของแผนงานหลังการรวมกิจการ ธนาคารสามารถทำได้ตามแผนเช่นกัน เริ่มจากการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจและจัดตั้งบริษัท ทีทีบี คอนซูมเมอร์ การเปิดตัวแอปพลิเคชัน ttb touch รวมไปถึงการลงทุนและพัฒนาด้านดิจิทัล

ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการรับรู้ Revenue Synergy ด้านการรับรู้ Balance Sheet Synergy และ Cost Synergy นั้นทำได้ดีกว่าเป้าหมาย ทั้งนี้ ธนาคารได้ส่งผ่านผลประโยชน์จากการรวมกิจการกลับคืนไปยังผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่นในปี 2565 ธนาคารได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลและออกวอร์แรนท์ TTB-W1 ให้กับผู้ถือหุ้นโดยไม่คิดมูลค่า

จากการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ที่กล่าวมาผนวกกับสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ธนาคารพร้อมที่จะเดินหน้าสร้างรายได้และการเติบโตต่อไปในปี 2566 เพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้น ควบคู่ไปกับการนำเสนอโซลูชันทางการเงินที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าของเราในการสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งวันนี้ และอนาคต

สำหรับรายละเอียดผลการดำเนินงานหลักในปี 2565 มีดังนี้

ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 เงินฝากอยู่ที่ 1,399 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% จากไตรมาสก่อน (QoQ) และ 4.5% จากปี 2564 (YTD) หนุนโดยการเพิ่มขึ้นของเงินฝากประจำ สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านเงินฝากเพื่อรองรับแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นและการเติบโตสินเชื่อในปี 2566 ด้านสินเชื่ออยู่ที่ 1,376 พันล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1.3% QoQ เนื่องจากมีการชำระหนี้คืนจากลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ แต่ทั้งปียังคงเพิ่มขึ้น 0.4% YTD ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตสินเชื่ออย่างระมัดระวัง โดยเน้นสินเชื่อรายย่อยเป็นหลัก นำโดยสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย

ในส่วนของรายได้นั้นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 4 อยู่ที่ 13,826 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% QoQ หนุนโดยการเติบโตสินเชื่อรายย่อยและการบริหารต้นทุนทางการเงินหลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอยู่ที่ 4,014 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% QoQ จากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการรับรู้ผลตอบแทนจากการซื้อคืนตราสารหนี้ AT1 ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานรวมในไตรมาส 4 อยู่ที่ 17,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1% QoQ

รวม 12 เดือน ปี 2565 ธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 65,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% จากปีก่อนหน้า (YoY) ขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานอยู่ที่ 29,952 ล้านบาท ลดลง 4.1% YoY สะท้อนถึงการรับรู้ Cost Synergy และการมีวินัยด้านค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ในปี 2565 อยู่ที่ 45% ลดลงจาก 48% ในปี 2564 ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ หรือ PPOP อยู่ที่ 36,169 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4% YoY ด้านค่าใช้จ่ายสำรองฯ อยู่ที่ 18,353 ล้านบาท ลดลง 14.7% จากปีที่แล้ว เมื่อหักค่าใช้จ่ายสำรองฯ และภาษี จึงทำให้มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 14,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.5% YoY

ทั้งนี้ การตั้งสำรองฯ ที่ลดลงเป็นผลจากการดูแลคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคาร รวมไปถึงการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดและให้ความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้ธนาคารสามารถควบคุมและลดสัดส่วนหนี้เสียลงมาได้อย่างต่อเนื่อง จากระดับสูงสุดในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ 2.98% ในไตรมาส 3/64 มาอยู่ที่ 2.81% ณ สิ้นปี 2564 และ 2.73% ณ สิ้นปี 2565 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่ากรอบควบคุมและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม

ท้ายสุดด้านความเพียงพอของเงินกองทุน ยังอยู่ในระดับสูงและเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม โดยอัตราส่วน CAR และ Tier 1 (เบื้องต้น) ณ สิ้นปี 2565 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 20.0% และ 16.3% เทียบกับ 19.3% และ 15.3% ณ สิ้นปี 2564 และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 12.0% และ 9.5% ตามลำดับ

 บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) เผยผลประกอบการปี 65  มีกำไรสุทธิของปี 2565 จำนวน 37,546 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5% จากปีก่อน

ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวที่แข็งแกร่งของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ การมีวินัยด้านค่าใช้จ่าย และการตั้งเงินสำรองที่ลดลง ถึงแม้จะมีแรงกดดันจากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและรายได้จากการลงทุนในปี 2565 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 107,865 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.3% จากปีก่อน เป็นผลจากการขยายตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิภายใต้กลยุทธ์การเติบโตที่เน้นคุณภาพสินเชื่อและทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ในขณะที่สินเชื่อโดยรวมขยายตัว 3.3% จากปีก่อนรายได้ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ มีจำนวน 44,866 ล้านบาท ลดลง 4.7% จากปีก่อน เป็นผลจากการชะลอตัวของธุรกิจการบริหารความมั่งคั่ง อีกทั้งรายได้จากการลงทุนและการค้ามีจำนวน 1,689 ล้านบาท ลดลง 79.1% จากปีก่อน เนื่องจากความผันผวนอย่างสูงของตลาดเงินและตลาดทุนในปีที่ผ่านมา

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 69,874 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.9% จากปีก่อน เป็นผลจากกิจกรรมธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนการปรับโครงสร้างองค์กรภายใต้ยุทธศาสตร์ยานแม่ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ในระดับที่ เหมาะสมที่ 45.2% ในปี 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียงเล็กน้อย

บริษัทฯ ได้ตั้งเงินสำรองจำนวน 33,829 ล้านบาท ลดลง 19.5% จากปีก่อน สะท้อนถึงการบริหารคุณภาพสินเชื่อด้วยมาตรการเชิงรุกและความระมัดระวังตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาดมาโดยตลอด ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวของภาคธุรกิจ ในขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 159.7%อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 3.34% ปรับตัวลดลงจาก 3.79% ในปีก่อน เป็นผลของความสำเร็จในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบเบ็ดเสร็จภายใต้กรอบของธนาคารแห่งประเทศไทย และการบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพที่มีประสิทธิภาพ และเงินกองทุนตามกฎหมายของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.9%

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปี 2565 บริษัท เอสซีบี เอกซ์ ได้ปรับโครงสร้างองค์กรภายใต้ยุทธศาสตร์ยานแม่แล้วเสร็จ และพร้อมเดินหน้าก้าวสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยีและสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในระยะหนึ่งถึงสองปีจากนี้จะมุ่งเน้นการเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจในกลุ่มสินเชื่อดิจิทัล ซึ่งได้มีการเตรียมตัวทั้งในแง่ทีมงานและกลยุทธ์มาระยะหนึ่งแล้ว ในขณะเดียวกันก็ยังคงเน้นกลยุทธ์การก้าวไปสู่ธนาคารที่ดีขึ้น (Be a Better Bank) ของธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งเน้นการเติบโตแบบมีคุณภาพภายใต้โครงสร้างต้นทุนที่ลดลง สำหรับธุรกิจในกลุ่มเทคโนโลยีและสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น จะเน้นการลงทุนแบบค่อยเป็นค่อยไปตามสภาวะตลาด ในส่วนของผลประกอบการในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังคงรักษาการเติบโตและความมั่นคงของสถานะการเงินได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมภายใต้ความผันผวนอย่างสูงของตลาดเงินตลาดทุน บริษัทฯ เชื่อว่าการเติบโตของธุรกิจของกลุ่มในระยะต่อไปจะยังมีโอกาสปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากยุทธศาสตร์ยานแม่และการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ”

บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC เร่งเครื่องรุกตลาดพลาสติกรีไซเคิลในยุโรป ด้วยการลงนามซื้อกิจการของบริษัท Recycling Holding Volendam BV หรือ “Kras” (คราส) ผู้นำด้านการจัดการวัสดุเหลือใช้จากประเทศเนเธอร์แลนด์ และยังมีกิจการที่ครอบคลุมการรีไซเคิลพลาสติกตลอดทั้งห่วงโซ่ธุรกิจ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจของ SCGC ที่มุ่งสู่ผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืน ด้วยการพัฒนานวัตกรรมพลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งนำผลิตภัณฑ์กลุ่ม Green Polymer รุกตลาดพลาสติกรีไซเคิลในทวีปยุโรปที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มศักยภาพและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ตั้งแต่การจัดเก็บ คัดแยก ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ครอบคลุมภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรม

การลงนามเพื่อเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ เป็นการลงนามร่วมกันระหว่างนายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC และ Mr. Ben Kras ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Recycling Holding Volendam BV โดย SCGC จะเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 60% ใน Recycling Holding Volendam BV ผ่าน SCG Chemicals Trading (Singapore) Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ SCGC

นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า “SCGC ตั้งเป้าปริมาณการขายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็น 1 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573 โดยก่อนหน้านี้ SCGC ได้ลงทุนในบริษัท ซีพลาสต์ (Sirplaste) ผู้นำด้านการผลิตพลาสติกรีไซเคิลในประเทศโปรตุเกส และเราได้ขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจต้นน้ำ นั่นคือการจัดเก็บและคัดแยกพลาสติกเหลือใช้ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินธุรกิจผลิตพลาสติกรีไซเคิล และเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเติบโตของสินค้ากลุ่มพลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือ Green Polymer การลงทุนใน Kars จะเป็นการบูรณาการห่วงโซ่ธุรกิจการรีไซเคิลแบบครบวงจร ตั้งแต่การจัดเก็บพลาสติกเหลือใช้ การรีไซเคิล การแปรรูป และการเข้าถึงลูกค้าแบรนด์ต่าง ๆ ของยุโรป สอดรับกับ กลยุทธ์ของ SCGC ที่มุ่งสร้างการเติบโตต่อเนื่องสู่อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน”

สำหรับ Kras เนเธอร์แลนด์ ประกอบธุรกิจหลักด้านการจัดเก็บและคัดแยกพลาสติกและกระดาษใช้แล้วจากครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม ในปี 2564 Kras มียอดขายรวม 92.7 ล้านยูโร หรือประมาณ 3,475 ล้านบาท โดยมีความสามารถในการจัดหาและรวบรวมขยะพลาสติกอยู่ที่ 160,000 ตันต่อปี และมีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล 9,000 ตัน และจะกำลังขยายกำลังการผลิตอีก 9,000 ตัน นอกจากนี้ยังถือหุ้นในบริษัทที่ทำธุรกิจด้านการรีไซเคิลพลาสติก โซลูชันด้านการขนส่ง และบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน

Mr. Ben Kras ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Recycling Holding Volendam BV กล่าวว่า “Kras ดำเนินธุรกิจด้านการจัดการวัสดุเหลือใช้แบบครบวงจรให้กับบริษัทหลายร้อยแห่งในทวีปยุโรป ด้วยความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมากว่า 70 ปี Kras มีความสามารถในการจัดหาและจัดการวัสดุเหลือใช้ และยังมีการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการรีไซเคิล ทั้งการถือหุ้นในบริษัท REKS LLC ซึ่งเป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลในประเทศโคโซโว มีกำลังการผลิต 9,000 ตันต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตแบบเท่าตัวในปี 2023 นอกจากนี้ยังถือหุ้นใน Circular Plastics BV ซึ่งทำธุรกิจด้านโซลูชันการขนส่งและบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนในประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อประกอบกับความชำนาญของ SCGC ในการผลิตพลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ก็จะสามารถรุกตลาดในยุโรปและสร้างผลตอบแทนให้กับธุรกิจได้ในระยะยาว”

การลงทุนใน Recycling Holding Volendam BV หรือ “Kras” จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับสินค้าในกลุ่ม Green Polymer ของ SCGC ซึ่งประกอบไปด้วยโซลูชัน 4 ด้าน ได้แก่

(1) REDUCE ลดการใช้ทรัพยากรและใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

(2) RECYCLABLE การออกแบบเพื่อให้รีไซเคิลได้

(3) RECYCLE การนำกลับมาใช้ใหม่

และ (4) RENEWABLE โซลูชันเพื่อให้เกิดพลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ และพลาสติกจากทรัพยากรหมุนเวียน โดยเฉพาะสินค้าในหมวด RECYCLE หรือการนำกลับมาใช้ใหม่จะสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ตามความต้องการใช้งานพลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทวีปยุโรป ปัจจุบัน SCGC ได้ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการรีไซเคิลในทวีปยุโรปผ่าน 2 บริษัท ได้แก่ บริษัทซีพลาสต์ (Sirplaste) ประเทศโปรตุเกส และบริษัท Recycling Holding Volendam BV (Kras) ประเทศเนเธอร์แลนด์

เคทีซีแจ้งผลการดำเนินงานปี 2565 ดีกว่าประมาณการ สร้างสถิติใหม่ทำกำไรสูงสุดอีกครั้ง โดยงบการเงินเฉพาะกิจการมีกำไร 7,140 ล้านบาท เพิ่มขี้น 14.2% และงบการเงินรวมมีกำไรสุทธิ 7,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.4% ในขณะที่พอร์ตสินเชื่อรวมมีมูลค่า 104,194 ล้านบาท เตรียมขับเคลื่อนองค์กรสู่รากฐานที่แข็งแกร่งด้วยแนวคิด “A Transition to the New Foundation” ตอกย้ำความเป็นองค์กรที่ได้รับความไว้วางใจ (Trusted Organization) กับทุกกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย

 

นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนจากช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2565 ถึงปัจจุบัน ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวตามลำดับ การจ้างงานและรายได้แรงงานปรับตัวขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมของธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลกลับมาเติบโตดีต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและเป็นผลให้ความต้องการในวงเงินสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคเติบโต”

ในปี 2565 เคทีซีได้ดำเนินธุรกิจหลักตามแผนกลยุทธ์และเป้าหมายในด้านต่างๆ และมีผลการดำเนินงานดีกว่าที่คาดการณ์ในหลายด้าน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ทั้งพอร์ตลูกหนี้บัตรเครดิตที่ขยายตัว 15.4% และพอร์ตสินเชื่อบุคคลที่ขยายตัว 10.4% รวมทั้งปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีที่มีอัตราเติบโตอย่างเห็นได้ชัดถึง 21.7% คิดเป็นมูลค่า 238,257 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และมีแนวโน้มที่ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2566 ในขณะที่ยอดลูกหนี้ใหม่ของสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” มีมูลค่า 1,055 ล้านบาท หลังจากได้ประกาศปรับประมาณการในช่วงไตรมาสที่ 3/2565 อย่างไรก็ตาม เคทีซีจะเน้นความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับธนาคารกรุงไทย เพื่อให้สินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” บรรลุเป้าลูกหนี้ใหม่ที่ 9,000 ล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2566”

“แม้ว่าในปีที่ผ่านมาพอร์ตบัตรเครดิตและพอร์ตสินเชื่อบุคคลของเคทีซีจะมีการขยายตัว แต่เคทีซียังคงเข้มงวดกับเกณฑ์การคัดเลือกลูกค้าใหม่ตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้ได้พอร์ตสินเชื่อที่มีคุณภาพ และมีอัตราส่วนหนี้เสียที่ต่ำ อีกทั้งการตั้งสำรองและตัดหนี้สูญได้ปรับให้เป็นไปตามลักษณะของพอร์ตในแต่ละธุรกิจอย่างเหมาะสม ครอบคลุมความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินให้ลดลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นจากการจัดหาสมาชิกใหม่และกิจกรรมการตลาดที่สูงขึ้น เพื่อลงทุนในการสร้างพอร์ต สำหรับรายได้รวมเติบโตจากรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียมที่ขยายตัวตามการเพิ่มขึ้นของธุรกิจ ส่งผลให้เคทีซีสามารถทำกำไรสูงเป็นประวัติการณ์ได้อีกครั้ง”

“ผลประกอบการของเคทีซี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 เคทีซีมีฐานสมาชิกรวม 3,289,839 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวม 104,194 ล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL) 1.8% ธุรกิจบัตรเครดิต 2,550,592 บัตร เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิต 69,462 ล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL) ลูกหนี้บัตรเครดิต 1.1% ธุรกิจสินเชื่อบุคคล 739,247 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคล 32,283 ล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL) ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเท่ากับ 2.8% ลูกหนี้ตามสัญญาเช่าของบริษัท กรุงไทย ธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด (KTBL) มูลค่า 2,449 ล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL) ลูกหนี้ตามสัญญาเช่า เท่ากับ 8.9% ซึ่ง NPL ของลูกหนี้ตามสัญญาเช่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการตัดหนี้สูญลูกหนี้คงค้างเดิมซึ่งตั้งสำรองเต็มจำนวนแล้ว และมุ่งเน้นการหาลูกค้าใหม่ในกลุ่มสินเชื่อที่เป็นรถขนาดใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรม (Commercial Loan) เพิ่มขึ้นในปี 2566 โดยสิ้นปี 2565 มีพอร์ตสินเชื่อใหม่จำนวน 1,372 ล้านบาท”

“ในปี 2565 เคทีซีมีรายได้รวม 23,231 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.3% เมื่อเทียบกับปี 2564 จากรายได้ดอกเบี้ย (รวมค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน) และรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น 5.6% และ 15.8% ตามลำดับ โดยมีส่วนของหนี้สูญได้รับคืน 3,421 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7% สำหรับค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 14,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.3% จากค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น 10.8% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่เพิ่มขึ้น 34.5% และในส่วนค่าธรรมเนียมจ่ายและบริการที่เพิ่มขึ้น 16.2% ในขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง 10.8% และต้นทุนทางการเงินลดลง 1.6%”

“เคทีซียังเน้นการบริหารต้นทุนทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ โดยสิ้นปี 2565 เคทีซีมีเงินกู้ยืมทั้งสิ้น 61,635 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 เท่ากับ 13.3% โดยมีโครงสร้างแหล่งเงินทุนจากเงินกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาว คิดเป็นสัดส่วน 24% ต่อ 76% ตามลำดับ โดยเป็นเงินกู้ยืมจากธนาคารกรุงไทย 6,000 ล้านบาท สถาบันการเงินอื่นและสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง 10,179 ล้านบาท และการออกหุ้นกู้จำนวน 45,456 ล้านบาท โดยมีต้นทุนการเงินที่ 2.4% อัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 2.2 เท่า ซึ่งต่ำกว่าภาระผูกพันที่กำหนดไว้ที่ 10 เท่า และมีวงเงินสินเชื่อคงเหลือ (Available Credit Line) จำนวน 20,709 ล้านบาท”

สำหรับแผนกลยุทธ์ในปี 2566 เพื่อเตรียมขับเคลื่อนเคทีซีไปสู่รากฐานองค์กรที่แข็งแกร่ง “A Transition to the New Foundation” เคทีซีจะปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ทั้งโครงการสร้างองค์กร กลยุทธ์ กระบวนการ เทคโนโลยีและบริการ ใน 3 แกนสำคัญคือ 1) บริหารจัดการโครงสร้างให้สอดคล้องกัน (Enterprise Architecture) ทั้งธุรกิจ ระบบไอทีและระบบปฏิบัติการ 2) ส่งเสริมให้บุคลากรพัฒนาทักษะสำคัญในด้านต่างๆ (Enterprise Skill Assets) ให้พร้อมที่จะก้าวไปกับเคทีซี และ 3) การบริหารจัดการข้อมูล (Enterprise Data Assets) ตั้งแต่การวางแผน จัดเก็บ การเข้าถึงและใช้ข้อมูล ตลอดจนการทำลายข้อมูล เน้นความปลอดภัย ถูกต้องและโปร่งใส เพื่อให้เคทีซีมีฐานข้อมูลคุณภาพ สนับสนุนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ”

“เคทีซียังเล็งเห็นโอกาสและมุ่งมั่นที่จะเติบโตในธุรกิจรับชำระค่าสินค้าและบริการ (Payment Business) และธุรกิจการให้สินเชื่อ (Retail Lending Business) โดยจะให้ความสำคัญกับการเพิ่มขึ้นของพอร์ตสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เพื่อสร้างฐานลูกค้าให้มีปริมาณที่มากเพียงพอในการสร้างกำไรที่มั่นคง ขณะที่ธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลจะเติบโตไปตามอัตราเร่งของธุรกิจนั้นๆ โดยยังคงมุ่งเน้นการหาลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งสร้างสรรค์กิจกรรมทางการตลาดให้สอดคล้องกับบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าใช้จ่ายทางการตลาดสูงขึ้น อีกทั้งจะมีการตั้งสำรองเพิ่มตามพอร์ตลูกหนี้ที่ขยายตัว ในส่วนของสภาพเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น เคทีซีอาจต้องเผชิญกับต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากด้านการตลาด และการตั้งสำรองตามคุณภาพของพอร์ตลูกหนี้ สำหรับลอยัลตี้ แพลตฟอร์ม “MAAI by KTC” (มาย บายเคทีซี) ซึ่งอยู่ในกลุ่มโมเดลธุรกิจที่มีการพัฒนาต่อเนื่อง ถึงแม้จะยังไม่สร้างรายได้ในช่วงแรกๆ เคทีซียังเชื่อมั่นว่าอัตราการเติบโตของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตร และมูลค่ายอดลูกหนี้ที่ขยายตัวจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ตามคาด”

“ในส่วนของ KTBL จะเน้นการปล่อยสินเชื่อ Commercial Loans เช่น รถบรรทุก เป็นต้น โดยตั้งเป้าหมายยอดสินเชื่อใหม่ในปี 2566 เท่ากับ 3,000 ล้านบาท รวมทั้งจะยังนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อเช่าซื้อให้กับลูกค้ารายย่อย แต่จะพิจารณาการปล่อยสินเชื่อตามคุณภาพของลูกค้า โดยคาดว่าในปี 2566 ธุรกิจจะสามารถเริ่มสร้างผลกำไรได้”

X

Right Click

No right click