ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมสนับสนุนวิสัยทัศน์รัฐบาลในการพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Hub) ผ่านการนำเสนอนวัตกรรมดิจิทัลของทรูที่ร่วมเติมเต็มชีวิตอัจฉริยะในบ้านให้เป็น Smart Life รวมทั้งแนะนำบริการด้านสุขภาพสำหรับวิถีชีวิตดิจิทัลผ่านแอปหมอดี  โดยร่วมจัดแสดงเป็นนิทรรศการในงานอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "Digital Korat: The Future Starts now - โคราช มหานครดิจิทัลแห่งอนาคต" ณ ศูนย์การศึกษาหนองระเวียง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2567

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  พร้อมด้วยนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าเยี่ยมชมบูธทรู คอร์ปอเรชั่น โดยมี นายเลิศรัตน์ รตะนานุกูล หัวหน้าสายงานรัฐกิจสัมพันธ์ และนายอรรถ อรุณรัตนพงษ์ หัวหน้าสายงานบริหารจัดการระดับภูมิภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ 1 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นำชมนวัตกรรมดิจิทัลที่ตั้งใจจัดขึ้นเพื่อนำเสนอศักยภาพในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย ที่มุ่งยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยอย่างยั่งยืน ผ่านการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลโซลูชันอัจฉริยะ True Smart Living โดยผสานระบบนิเวศดิจิทัลครบวงจรของกลุ่มทรู และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เชื่อมโยงผ่านเทคโนโลยีสื่อสารล้ำสมัยและเครือข่ายอัจฉริยะทรู 5G ช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตภายในที่พักอาศัยให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น รวมทั้งแอปพลิเคชัน "หมอดี" ที่นำเทคโนโลยีร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตและการสาธารณสุข เพิ่มโอกาสให้คนไทยเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนสู่นโยบาย "IGNITE THAILAND : จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง" ที่มุ่งเน้นการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมระดับโลกและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืนภายในงานอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "Digital Korat: The Future Starts now - โคราช มหานครดิจิทัลแห่งอนาคต"

ชูแอปพลิเคชัน "หมอดี" (MorDee) พร้อม Smart Living Tech

  • แอปพลิเคชัน "หมอดี" (MorDee) นำเสนอบริการด้านสุขภาพผ่านระบบออนไลน์ที่ใช้เทคโนโลยี Cloud และ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและพัฒนาบริการ ครอบคลุมการดูแลสุขภาพโดยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญกว่า 500 คนจาก 20 สาขาเฉพาะทาง พร้อมฟังก์ชันการนัดหมาย ปรึกษาแพทย์ ส่งยาถึงบ้าน และเคลมประกันโดยไม่ต้องสำรองจ่าย
  • Smart Living Tech ทรูนำเสนอโซลูชันบ้านอัจฉริยะที่ใช้อุปกรณ์ IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย ดูแลสุขภาพ และยกระดับความปลอดภัยภายในบ้าน โดยสามารถควบคุมผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน อุปกรณ์ที่นำมาจัดแสดงประกอบด้วย Water leak sensor, IR remote control, Door & Window Sensor, Zigbee Mini Hub, Smart CCTV, Smoke Sensor, Smart Light Bulb, Smart Plug, Smart outdoor Camera และ Smart Baby Camera

การสนับสนุนครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทรู คอร์ปอเรชั่น บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทยในการร่วมขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลของรัฐบาล และการพัฒนาจังหวัดนครราชสีมาให้เป็นต้นแบบมหานครดิจิทัลแห่งอนาคต สอดคล้องกับวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาค

ความคาดหวังในอาชีพและการทำงานของคนรุ่นใหม่กำลังเปลี่ยนไป การสำรวจของ Deloitte ระบุว่า คน Gen Z  (61%) และมิลเลนเนียล (58%) เชื่อว่าพวกเขามีพลังในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในองค์กรของตนได้

ปารมิตา ประพฤติธรรม จากสายงาน Channel Strategy & Transformation ตัวแทนพนักงานรุ่นใหม่วัย Gen Z ของทรู ที่ผ่านโปรแกรม True Next Gen สร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่เข้ามาช่วยเร่งขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็น Telco-Tech Company เธอได้แบ่งปันมุมมอง ความมุ่งมั่น และการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้จริง

นอกจากนี้เธอได้ชวน Sandip Shivaji Landge จากสายงาน S&D Strategy and Performance Management เพื่อนร่วมงานต่างเจเนอเรชั่นที่ผ่านประสบการณ์ทำงานท่ามกลางความหลากหลายมาถึง 15 ปี ใน 3 ประเทศที่มีความแตกต่างอย่างอินเดีย เมียนมา และไทย โดยร่วมแบ่งปันเคล็ดลับการทำงานในสภาพแวดล้อมและผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย พร้อมกับการสร้างมิตรภาพและการเรียนรู้ที่มีคุณค่าในชีวิตการทำงานอีกด้วย

จากการทำกิจกรรมเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ สู่ความฝันทางการเมือง

“เรามีความฝันชัดเจนว่า อยากทำงานด้านการเมือง โดยได้แรงบันดาลใจจากการเลือกประธานนักเรียนตอนประถมปลาย ได้เห็นว่าการเป็นผู้นำสร้างการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนได้แม้ในเวลานั้นจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ก็ตาม ประกอบกับเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยมีโอกาสได้ทำกิจกรรมเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการทำชุมนุมบัญชีที่มีกิจกรรมส่งเสริมให้เพื่อนๆ เข้าใจทางเลือกอาชีพนอกสาขาวิชาเรียน หรือการไปสร้าง Business Model ให้หมู่บ้านใน จ.สุรินทร์ ทำให้ชาวบ้านมีช่องทางหารายได้มากขึ้นจริงและยั่งยืน จากกิจกรรมเหล่านี้ทำให้เราอยากสร้าง Impact ที่ใหญ่ขึ้น และตอกย้ำแรงบันดาลใจที่อยากเข้าสู่การเมืองมากขึ้นไปอีกด้วย นอกจากนี้เรายังได้เรียนรู้ว่า ทักษะการสื่อสารกับคนที่หลากหลายเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งเราต้องสะสมทักษะนี้ไว้ให้มากที่สุด”

จุดเปลี่ยนสู่การค้นหาตัวเอง และกล้าเสี่ยงกับทางที่เลือก

“ตอนอยู่ปี 2 เราเริ่มรู้สึกว่าไม่ได้อยากทำงานตรงสายการบัญชี (Accounting) ที่กำลังเรียนอยู่ แต่เรามีความสนใจด้านธุรกิจที่กว้างกว่านั้น และยังอยากสำรวจความชอบของตัวเองให้แน่ใจ เราได้ปรึกษากับรุ่นพี่ รวมถึงผู้ใหญ่หลายท่านว่าเราควรเลือกทำงานอะไรดี รวมถึงถามเรื่องแนวคิดในการดำเนินชีวิตด้วย เราเก็บข้อมูลจากมุมมองที่หลากหลาย พร้อมกับพาตัวเองไปฝึกงานในหลายตำแหน่งงานและหลายแวดวง ทั้ง สตาร์ทอัพ HR Consultant ไปจนถึงการบัญชี และทำกิจกรรมแข่งขันเคสธุรกิจต่างๆ ด้วย”

“เราเข้าใจดีว่า ถ้าทำงานในสายการบัญชี จะมีงานที่มั่นคงไปตลอดชีวิต แต่เราไม่อยากเสียเวลากับงานที่รู้ว่าไม่ใช่ และอยากใช้ช่วงชีวิตที่ยังตื่นตัวกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ และมี Passion เต็มเปี่ยมไปค้นหาสิ่งที่ชอบ แม้จะรู้ว่ามีความเสี่ยงเยอะกว่า หรือสุดท้ายอาจหาตัวเองไม่เจอเลยก็ได้ แต่เมื่อได้ไตร่ตรองจนตกตะกอนแล้ว สุดท้ายเราขอลองเสี่ยงดูดีกว่า”

ประสบการณ์ทำงานที่หลากหลายในโปรแกรม True Next Gen

“พอเรียนจบเราได้ผ่านการทดสอบเข้ามาในโปรแกรม True Next Gen ซึ่งตอบโจทย์เรามาก เพราะเปิดโอกาสให้ได้ทำงานหลายตำแหน่งหลายสาขา ได้เรียนรู้หลายอย่าง ประกอบกับทรู ที่กำลังมุ่งสู่การเป็น Telco-Tech Company น่าจะมีการสร้างนวัตกรรมต่างๆ ขึ้นมา ซึ่งเราอยากเรียนรู้และมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงนั้น ในเวลา 1 ปีครึ่ง เราได้ทำงานถึง 3 สายงาน ตั้งแต่งาน Retail Operations ของ True Shop สาขาต่างๆ งาน Financial Strategy ที่ MorDee และงาน Channel Profitability Analysis กับทีม Finance ทุกงานเราได้ลงมือทำจริง ทำให้ Learning Curve สูงมาก ทั้งการทำงานกับผู้คนและตัวเนื้องานต่างๆ เอง”

“พอจบโปรแกรมก็ได้ทำงานในสาย Channel Strategy & Transformation โดยสานต่องานโปรเจกต์ Channel Profitability ที่เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงการบริหารจัดการ ที่นำ Performance ของแต่ละ Channel การขายของบริษัทมาวิเคราะห์แยกย่อยให้เห็นความสามารถในการทำกำไรแท้จริงของแต่ละช่องทางการขาย ซึ่งเป็นงานที่รวบรวมข้อมูลยิบย่อยของภาพเล็ก มาสู่การวิเคราะห์เป็นภาพใหญ่ ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้แต่ละช่องทางการขายนำไปสร้างกลยุทธ์ที่แก้ไขปัญหาหรือริเริ่มสิ่งใหม่ในการทำกำไรมากขึ้น งานนี้ได้ทั้งความรู้และได้ทำงานร่วมกับคนเยอะมากจากหลากหลายฝ่าย ตอนนี้ก็ใกล้สำเร็จแล้ว”

การทำงานท่ามกลางความหลากหลายไม่มีสูตรสำเร็จ

“การที่เราอายุน้อย เราพยายามหาโอกาสสร้างสัมพันธ์กับพี่ๆ ทุกคน โดยไม่ใช่แค่เรื่องงานเท่านั้น เราลองหาว่าจะคุยเรื่องไหนที่มีความสนใจร่วมกันบ้าง และพยายามหาโอกาสมานั่งทำงานและใช้เวลาร่วมกันแบบ Face to Face เสมอ ที่ผ่านมาเราเคยใช้การสื่อสารหรือวิธีการทำงานแบบเดียวกันที่คิดว่าใช้ได้กับทุกคน แต่สุดท้ายได้เรียนรู้ว่า แต่ละคนมุมมองแตกต่าง มี Mindset หรือการมองโลกคนละแบบ ดังนั้นการสื่อสารหรือทำงานกับแต่ละคนจึงไม่มีสูตรสำเร็จในแบบเดียว เราต้องเข้าใจแต่ละคน ไปพร้อมกับการหาวิธีที่เราก็ไม่เสียความเป็นตัวเองด้วย”

“ข้อดีของการที่เราเป็นเจเนอเรชั่นใหม่คือ เรามีมุมมองที่แปลกใหม่ มีความกระตือรือร้น และมาพร้อมรอยยิ้มเสมอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งต่อไปยังคนรอบข้าง พี่ๆ เคยบอกว่าการที่เราเข้ามาในทีมทำให้ทุกคนสดใสขึ้น ลดความเครียดได้ และเสริมความสัมพันธ์ในทีมได้ สำหรับเราที่เป็นเด็ก ก็ไม่มีอีโก้อะไร ไม่มีอะไรจะเสียที่เราจะเสนอสิ่งใหม่ หรือแม้แต่ถามหรือขอเรียนรู้งานจากทุกคนได้”

มีความสบายใจในทุกด้าน เพื่อทำงานในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเอง

“ชีวิตคนเราทุกวันนี้มีความวุ่นวายในหลายด้านมากๆ การที่เราจะมีสมาธิในการทำงาน ทุ่มเทงานได้เต็มที่เต็มความสามารถ มาจากการที่ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นๆ ในชีวิตมากนัก ยิ่งวัยทำงานก็จะมีทั้งเรื่องลูก พ่อแม่ที่อายุมากขึ้น หรือแม้แต่ความเจ็บป่วยของตัวเอง สวัสดิการต่างๆ ที่บริษัทจัดให้จึงมีความสำคัญอย่างมาก ถ้าบริษัทมีสวัสดิการที่รองรับปัญหาชีวิตนอกการทำงานของพนักงานได้ มองกว้างไปกว่าเรื่องงาน คิดว่าตรงนี้ก็ช่วยให้ทุกคนทำงานได้เต็มที่ เต็มศักยภาพมากที่สุดได้”

พูดคุยเรื่องการทำงานกับเพื่อนร่วมงานต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม และต่างเจเนอเรชั่น

ปารมิตา: “ในทีมที่เราทำงาน มีความหลากหลายในแทบทุกด้าน อย่างคุณ Sandip ก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่มีความแตกต่างจากเรา เขาให้คำแนะนำดีๆ หลายอย่างจากความเชี่ยวชาญ รวมถึงมีประสบการณ์ทำงานในหลายประเทศมาก่อน”

Sandip: “ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ผมทำงาน 3 ประเทศในสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันมาก เริ่มจากการทำงานกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ใน 5 รัฐของอินเดีย ที่แต่ละรัฐก็มีความแตกต่างทั้งภาษาและวัฒนธรรมอยู่แล้ว ต้องปรับตัวใหม่ทุกอย่าง ต่อมาก็ย้ายไปทำงานที่เมียนมาซึ่งมีวัฒนธรรมและภาษาที่แตกต่างมากเช่นกัน ผมเริ่มต้นบุกเบิกกับคนที่ไม่มีพื้นฐานงานด้านโทรคมนาคมมาก่อน ความท้าทายที่เพิ่มมาคือสอนให้พวกเขาเข้าใจธุรกิจไปด้วย และปัจจุบันผมทำงานประเทศไทยได้ 2 ปีครึ่งแล้ว ที่ผ่านมามีเดินทางไปทำงานที่นอร์เวย์บ้าง ทั้งหมดนี้เป็นการเดินทางที่ท้าทาย ได้พบเจอผู้คนที่แตกต่าง เรียนรู้สิ่งใหม่ ซึ่งสนุกและตื่นเต้น”

ปารมิตา: “สำหรับเราช่วงแรกที่ทำงานกับคนต่างชาติ ก็รู้สึกว่ามีอุปสรรคเรื่องภาษาบ้าง แต่ก็สัมผัสได้ว่า เขาไม่เคยโฟกัสเรื่องแกรมมาร์ถูกหรือผิด เขากลับพยายามที่จะเข้าใจเรา ช่วยเรา ทั้งที่พวกเขาก็มีตำแหน่งที่สูงมาก หรือมีประสบการณ์ทำงานเยอะกว่าเรามาก เขายังอยากเรียนรู้และเข้าใจเรา อย่างคุณ Sandip ก็ให้คำแนะนำที่ดีมาก ดังนั้นเราก็กล้าที่จะพูดคุย ส่วนเรื่องวิธีการทำงาน เรารู้สึกว่าถ้ามีอะไรก็บอกตรงๆ เขาก็ช่วยจัดให้เลย”

Sandip: “ผมคิดว่าช่วงแรกๆ เพื่อนร่วมงานคนไทยหลายคนก็คล้ายกับปารมิตา คือยังไม่เปิดใจพูดคุยกัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอุปสรรคด้านภาษาและความแตกต่าง แต่ผมพยายามสร้างมิตรภาพ ให้ทุกคนมองว่าผมเป็นเพื่อน ไม่สร้างแรงกดดันเพิ่มเติมว่าผมเป็นชาวต่างชาติ ที่จะกลายเป็นข้อจำกัดและระยะห่างได้ สิ่งสำคัญคือการทำตัวผสานเข้ากับวัฒนธรรมไทย ทำเหมือนกับที่ทุกคนทำ พร้อมไปกับทำความรู้จักกัน ให้ทุกคนมั่นใจว่าทุกอย่างไม่ใช่อุปสรรค ถึงพูดภาษาอังกฤษสื่อสารไม่คล่อง เราก็เรียนรู้ภาษาท่าทางได้ และแสดงว่าผมเปิดใจกว้างให้กับทุกคนสามารถเข้ามาคุยกันได้ทุกเมื่อ”

“และเคล็ดลับหนึ่งของผมคือ การมีช่วงเวลาพักและดื่มกาแฟด้วยกัน เพื่อให้มีโอกาสที่จะพูดคุยเรื่องต่างๆ นอกเหนือจากงาน ผมเชื่อว่า ถ้าให้เวลาพักสักนิด จะทำให้คุณใกล้ชิด เข้าใจกันและกันมากขึ้น และแสดงออกได้ดีขึ้น ส่งผลให้งานดีขึ้นเช่นกัน”

ปารมิตา: “เคล็ดลับนี้ของคุณ Sandip เราได้นำไปใช้กับเพื่อนร่วมงานไทย และพบว่ามันได้ผลดีมากด้วยเหมือนกัน การที่เขามีมิตรภาพที่ดี ทำให้เราไม่ปิดกั้นตัวเองที่จะพูดคุย ที่ผ่านมาเราได้ขอคำแนะนำ ความคิดเห็นเกี่ยวกับงาน มุมมองการใช้ชีวิต และทักษะความรู้ทางธุรกิจจากคุณ Sandip เสมอ รวมถึงเรียนรู้วิธีการทำงานกับความหลากหลายต่างๆ ด้วย”

Sandip: “ปารมิตาเป็นเพื่อนร่วมงานที่อายุน้อยที่สุดในทีม แต่เธอสามารถเข้าใจความต้องการของธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว และปรับตัวให้เข้ากับทีมได้ดี ผมยกย่องคนที่แสดงความสนใจและทำความเข้าใจกับงานอย่างลึกซึ้ง ผมรู้สึกว่าคนรุ่นใหม่มีความกระตือรือร้นที่จะทำความเข้าใจและทำสิ่งที่แปลกใหม่ พวกเขาไม่ยึดติดกับแนวทางเดิมๆ พยายามเป้าหมายและวิธีที่แตกต่างออกไป ผมก็เชื่อเช่นกันว่า ถ้าไม่คิดต่างก็ยังคงได้ผลลัพธ์เดิมๆ ดังนั้นแม้จะมีความแตกต่างของวัย แต่เราเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีที่สุดต่อกัน”

Lesson Learned: การทำงานท่ามกลางความหลากหลายด้านวัย เชื้อชาติ และวัฒนธรรม

  • Building Relationships: สร้างมิตรภาพที่ดีต่อกัน หาโอกาสพูดคุย แลกเปลี่ยน เรียนรู้และเข้าใจซึ่งกันและกัน นอกเหนือจากเรื่องการทำงาน
  • Adaptability and Learning: การเปิดใจเรียนรู้รับฟังความที่หลากหลาย และปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ ช่วยให้ทำงานได้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง
  • Effective Communication: รับฟังและเข้าใจมุมมองของผู้อื่น พร้อมสื่อสารเข้าใจง่าย ชัดเจน รวมถึงพยายามสื่อสารแบบ Face to Face เพื่อเพิ่มความเข้าใจจากบริบทและท่าทาง จะช่วยให้ทำงานร่วมกันได้ราบรื่น

ทรู คอร์ปอเรชั่น เชื่อว่าความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพศ วัย อายุ เชื้อชาติ ความสนใจ ไลฟ์สไตล์ โดยในเดือนแห่งความภาคภูมิใจในความหลากหลาย (Pride Month) ทรู แสดงจุดยืนในการสนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียม จากการผสานความแตกต่าง โอบรับความหลากหลายของทุกคนในทุกมิติ และกล้าแสดงความเป็นตัวเอง ผ่านแคมเปญ #BringYourBest เพราะที่ทำงานคือพื้นที่ให้เราได้เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด พร้อมนำเสนอเรื่องเล่าของคนทรู ที่สะท้อนความแตกต่างหลากหลายและเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้แสดงศักยภาพและความเป็นตัวเองอย่างแท้จริง

ผนึก HPE Aruba หนุนภาคธุรกิจ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน Wi-Fi ง่าย-เร็ว-ประหยัด

ประสบการณ์ชีวิตของนักทำคอนเทนต์ที่เติบโตจากการเผชิญหน้ากับความกลัว ความท้าทาย และขีดจำกัดของตัวเอง

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับคณะผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นำโดย รศ. ดร.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ กรรมการ กสทช. ด้านโทรคมนาคม ในโอกาสเยี่ยมชมเสาสัญญาณและการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายภายหลังการควบรวมของทรูและดีแทค ในเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี และนายจิระชัย คุณากร รองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและทีมงานให้การต้อนรับ

การตรวจสอบในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มั่นใจว่าภายหลังการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค ทางทรู คอร์ปอเรชั่นได้ดำเนินการพัฒนาโครงข่ายเพื่อคุณภาพการใช้งานสัญญาณมือถือ 5G และ 4G ให้แก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการจัดการโครงข่าย ทั้งนี้ ก่อนและหลัง การพัฒนาโครงข่ายทันสมัย (Network Modernization) มีบางแห่งที่รวมเสาสัญญาณเพื่อลดจุดซ้ำซ้อนแต่ไม่ได้ลดอุปกรณ์รับ-ส่งหรือสถานีฐาน อีกทั้งยังเพิ่มการลงทุนเปลี่ยนอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่ทันสมัยในการรับส่งสัญญาณครอบคลุมคลื่นความถี่ใช้งานทั้ง 5G และ 4G เพื่อเพิ่มความครอบคลุมของพื้นที่ให้บริการทั่วประเทศ

นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ทรูและดีแทคได้ผสานรวมกันสู่บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และมีโครงการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนมือถือ 5G, 4G   มุ่งเน้นการขยายพื้นที่ให้บริการครอบคลุมมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มคุณภาพและความเร็วของสัญญาณด้วยการผสานโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งทีมงานได้วางแผนวิเคราะห์แต่ละพื้นที่อย่างละเอียด รวมทั้งประเมินการใช้งานในอนาคตของแต่ละแห่ง โดยให้ความสำคัญต่อการส่งมอบคุณภาพเครือข่ายที่ดีที่สุด และยังเป็นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ปัจจุบัน ทรู คอร์ปอเรชั่นเป็นผู้ให้บริการเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมประชากรมากที่สุดในประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตลอดจนโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยมีเครือข่าย 5G ครอบคลุม 99% ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และครอบคลุม 90% ทั่วประเทศ”

การพัฒนาโครงข่ายทันสมัย (Network Modernization) การผสานจุดแข็งเสาสัญญาณและคลื่นความถี่ของทรูและดีแทค

  • เพิ่มคุณภาพบริการและเปลี่ยนอุปกรณ์ทันสมัย: การรวมเสาสัญญาณของทั้งสองบริษัทจะช่วยลดจำนวนเสาสัญญาณในจุดที่ซ้ำซ้อน แต่ไม่ได้ลดจำนวนสถานีฐานหรืออุปกรณ์รับส่งสัญญาณ โดยจะเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่เพิ่มประสิทธิภาพบริการ และมีส่วนในการบริหารการลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ขยายพื้นที่ให้บริการ: การใช้งานเสาสัญญาณร่วมกันจะทำให้ทั้งทรูและดีแทคสามารถขยายพื้นที่ให้บริการได้กว้างขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
  • รองรับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง: การรวมเสาสัญญาณทรูและดีแทคจะสามารถพัฒนาและขยายโครงข่าย 5G, 4G ได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงการติดตั้งเพิ่มคลื่นความถี่ให้กับสถานีฐานมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเพิ่มคุณภาพและความเร็วการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: การลดความซ้ำซ้อนจำนวนเสาสัญญาณบางแห่ง และเปลี่ยนใช้อุปกรณ์รับส่งคลื่นความถี่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้ประหยัดพลังงาน และช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการวางแผน

"ประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าโดยเฉพาะเรื่องคุณภาพสัญญาณ เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุด ทรู คอร์ปอเรชั่นจึงมุ่งพัฒนาเครือข่ายคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขยายพื้นที่ให้บริการ นำคลื่นความถี่ที่ครอบคลุมทุกย่านมาใช้งานร่วมกันเพื่อให้บริการมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายที่มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เราขอขอบคุณ กสทช. ที่ให้ความสำคัญและร่วมตรวจสอบการดำเนินงานของเรา  สร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าของเราทั้งทรูและดีแทคว่าจะได้รับบริการที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน" นายประเทศกล่าวในที่สุด

การพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) ถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการพัฒนาโครงข่ายของทรูและดีแทค ที่จะช่วยให้ทั้งสองแบรนด์สามารถพัฒนาและให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จากการร่วมตรวจสอบจาก กสทช. ได้ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าว่าการพัฒนาเสาสัญญาณหลังการควบรวมจะส่งผลดีต่อคุณภาพการให้บริการอย่างแท้จริง

Page 1 of 5
X

Right Click

No right click