

วิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน (CADT) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดอบรมหลักสูตรระยะสั้น "Executive Media Mastery & Public Speaking" เป็นครั้งแรก เป้าหมายมุ่งติดอาวุธการสื่อสารที่ทรงพลังผู้บริหารระดับกลางและระดับสูงในองค์กรโลกธุรกิจ เพิ่มทักษะขั้นสูงรับมือความท้าทายในภาวะวิกฤต พลิกจากปัญหาสู่โอกาสของการตอกย้ำภาพลักษณ์องค์กรอย่างมืออาชีพ โดยจัดขึ้นในวันที่ 24 ตุลาคมนี้ เวลา 09.00 – 16.00 น. ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
อาจารย์ปวรรัตน์ สุภิมารส รักษาการคณบดีวิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน (CADT) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดเผยว่า โลกธุรกิจยุคใหม่เต็มไปด้วยความท้าทายและความเสี่ยงจากปัจจัยรอบด้าน ดังนั้นหนึ่งในเครื่องมือการบริหารจัดการธุรกิจที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพ คือ การสื่อสารในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว การสื่อสารที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว อาจสร้างความเสียหายรุนแรงทั้งในแง่ชื่อเสียงและกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ
“เมื่อเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ทุกคำพูด ทุกการให้ข้อมูล สามารถกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กร กระทบความเชื่อมั่น ผู้นำที่สื่อสารอย่างมืออาชีพ ทำให้องค์กรมีความน่าเชื่อถือแม้ในสถานการณ์ภาวะวิกฤต”

การเปิดหลักสูตรระยะสั้น "Executive Media Mastery & Public Speaking" นี้ถือเป็นครั้งแรกที่พัฒนามาเพื่อผู้บริหารองค์กรระดับจัดการ (Manager Level) ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ผู้จัดการฝ่ายภาพลักษณ์องค์กร ผู้จัดการทั่วไป ที่ต้องพบปะกับสาธารณชน และ ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนองค์กรในการสื่อสาร
โดยหลักสูตรที่ได้ออกแบบมานี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อการปลุกศักยภาพพร้อมการติดอาวุธให้ผู้บริหารได้ให้มีความมั่นใจและเครื่องมือที่จำเป็นในการรับมือกับทุกสถานการณ์การสื่อสารได้อย่างมืออาชีพ ซึ่งการเรียนรู้ใน 6 ชั่วโมงเต็มนี้จะมีความเข้มข้นทั้งภาคทฤษฎี และปฏิบัติ ตั้งแต่การเรียนรู้จิตวิทยาสื่อและธรรมชาติของสิ่งที่นักข่าวต้องการ พร้อมฝึกใช้ภาษากายและบุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือใน 7 วินาทีแรก เรียนรู้เทคนิคการสร้าง Key Message ที่คมชัด เพื่อการสื่อสารที่ชัดเจนและสอดคล้องกับเป้าหมายองค์กร
นอกจากนี้ ผู้บริหารที่เข้ารับการอบรมจะได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะการรับมือวิกฤตอย่างมืออาชีพ พร้อมเข้าใจหลักการสื่อสารในภาวะวิกฤต และ เทคนิคการควบคุมสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น วิธีรับมือกับคำถามที่ยากและคำถามชี้นำต่าง ๆ

อีกหัวใจสำคัญของหลักสูตรอบรมนี้อยู่ที่ “ภาคปฏิบัติ” การฝึกซ้อมหน้ากล้อง (On-Camera Workshop) ในสถานการณ์การให้สัมภาษณ์และสื่อสารกับสาธารณะ โดยวิทยากรมืออาชีพ ดร. วีรชน นรานุต รองโฆษกกองทัพอากาศ และ ผู้ดำเนินรายการ “รักเมืองไทย” ช่อง TNN ซึ่งเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารและมีประสบการณ์การทำงานด้านสื่อสารในภาวะวิกฤตของหน่วยงานสำคัญของประเทศ
“เทคนิคการสื่อสาร ไม่ใช่แค่การพูด แต่รวมการแสดงออกภายนอก สีหน้า ท่าทาง การใช้มือในการสื่อสาร ที่สอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการจะบอก เช่น ยิ้ม หรือ ยกมือมากจนเกินไปในขณะที่สื่อสารด้านความปลอดภัยและกรณีที่เกิดความสูญเสีย เป็นต้น ซึ่งตอนเวิร์คชอปจะมีวิทยากรทำหน้าที่จำลองเป็นผู้สัมภาษณ์ที่จะทำให้เห็นว่าการรับมือนั้นต้องพัฒนาในจุดใดบ้าง นอกจากการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารแล้วผู้บริหารที่เข้าร่วมอบรมยังได้ทำความรู้จักกับคอนเนคชั่นใหม่ ๆ กับผู้บริหารองค์กรที่ร่วมอบรมด้วย”
การสื่อสารที่รวดเร็ว ชัดเจน ควรอยู่ที่ไม่เกินกว่า 1 ชั่วโมง หลังเกิดปัญหาพร้อมการแสดงถึงความเห็นอกเห็นใจอย่างจริงใจ เพื่อลดแรงต้านจะช่วยลดสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีนักให้พลิกกลับมาอยู่ในภาวะที่สามารถควบคุมได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการป้องกันความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กร

ทั้งหมดที่กล่าวมา “การสื่อสารในภาวะวิกฤต” เป็นศาสตร์ และศิลป์ที่เรียนรู้และฝึกฝน ซึ่งในคอร์สที่เปิดสอนนี้จะเข้มข้นทั้ง ภาคทฤษฎี และปฏิบัตินี้ โดยสิ่งที่ผู้เข้าอบรมจะได้กลับไปคือ ทักษะและประสบการณ์ใหม่ พร้อมเครื่องมือเชิงปฏิบัติที่เป็นเช็คลิสต์เวลาตอบคำถาม
ที่ผ่านมา บทบาทของวิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน (CADT) มีการทำงานอย่างใกล้ชิดในองค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมการบินมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้พัฒนาคอร์สอบรมในรูปแบบของ “เทรนด์ เดอะ เทรนเนอร์” อบรมผู้สอนเพื่อนำไปถ่ายทอดให้กับบุคลากรในหน่วยงาน
เตรียมพร้อมรับมือความท้าทาย และสื่อสารในภาวะวิกฤตได้อย่างมืออาชีพ ใน 6 ชั่วโมงเต็ม (09:00 - 16:00 น.) วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2568 โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น โดย วิทยากรมืออาชีพ ดร. วีรชน นรานุต ลงทะเบียนออนไลน์ https://forms.gle/Gj4F1F9YGB9zMN7TA หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร: 061-863-7991 LINE: @daa_dpu https://lin.ee/hHrcpYa Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. และเว็บไซต์ https://www.daatraining.com
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) โดยวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA) เดินหน้าพัฒนาหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา ตอบรับความต้องการของตลาดแรงงานยุคดิจิทัล เปิดรับสมัครเรียนการบัญชีมหาบัณฑิตและบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (MBA) ปีการศึกษา 2568 เน้นการอัพสกิลผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถรอบด้าน พร้อมนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน เพื่อผลิตบุคลากรคุณภาพสู่ภาคธุรกิจ เปิดรับสมัครแล้ววันนี้
ดร.อริสรา ธานีรณานนท์ ผู้อำนวยการหลักสูตรบัญชีมหาบัณฑิต วิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดเผยว่า หลักสูตรปริญญาโทการบัญชีมุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียน ให้สามารถวิเคราะห์ งบการเงิน และวางแผนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือมีการเพิ่มทักษะของผู้บริหาร รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล สร้างรายงาน และคาดการณ์ธุรกิจ รวมถึงการเรียนรู้ด้าน Big Data และ Data Analytics นอกจากนี้ หลักสูตรยังให้ความสำคัญกับการบัญชีเพื่อความยั่งยืน ซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญของโลก ครอบคลุมประเด็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการคำนวณต้นทุนคาร์บอนเครดิตในภาคอุตสาหกรรม สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของวิชาชีพบัญชีในบริบทของยุคสมัย

"จุดเด่นของหลักสูตรการบัญชีมหาบัณฑิต คือ ใช้เวลาเรียน Coursework เพียง 1 ปี เรียนเฉพาะวันอาทิตย์ ทำให้ผู้เรียนสามารถนำวุฒิการศึกษาไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ส่วนเนื้อหายังคงเข้มข้น และเรายังมีการปรับพื้นฐานสำหรับผู้ที่ไม่ได้จบสาขาบัญชีโดยตรง นอกจากนี้ หลักสูตรนี้เน้นการเรียนการบัญชีดิจิทัลและพัฒนาทักษะ 10 ด้านใน 10 รายวิชา อาทิ การวางแผนบัญชี เทคโนโลยีสำหรับวิชาชีพบัญชี การบริหารความเสี่ยงในองค์กร การบัญชีเพื่อความยั่งยืน โดยได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากหลากหลายกลุ่ม ทั้งเจ้าของกิจการ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานบริษัท ที่ต้องการอัพสกิลความรู้ด้านบัญชีดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ” ดร.อริสรา กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.ปิยะวิทย์ ทิพรส ผู้อำนวยการหลักสูตร MBA มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า หลักสูตร MBA ของ DPU เปิดสอนมากว่า 40 ปี มีจุดเด่นคือมุ่งเน้นการสร้างวิธีคิดแบบผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล (Entrepreneurial Mindset) และเสริมแนวคิดด้าน ESG ซึ่งประกอบด้วย Environmental (สิ่งแวดล้อม) Social (สังคม) และ Governance (ธรรมาภิบาล) รวมถึง SDGs (Sustainable Development Goals) หรือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 เป้าหมาย ซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญของยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังรองรับการเรียน 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย อังกฤษ และจีน มีการบูรณาการภาคทฤษฎีสู่ภาคปฏิบัติ ผ่านการจำลองโมเดลทางธุรกิจและกรณีศึกษาจริง ที่สำคัญอาจารย์ผู้สอนมีความเชี่ยวชาญ การันตีจากผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในฐานข้อมูลระดับชาติและนานาชาติ โดยสามารถเรียนจบได้ภายใน 1.8 ปี และเลือกเรียนได้ทั้งวันเสาร์หรือวันอาทิตย์

“ผู้เรียนส่วนใหญ่มาจาก 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ พนักงานบริษัท พนักงานรัฐวิสาหกิจและข้าราชการ เจ้าของธุรกิจ และนักศึกษาจบใหม่ สำหรับเจ้าของธุรกิจที่เข้ารับการศึกษา จะได้รับองค์ความรู้ใน 3 ศาสตร์หลักอันเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ การบริหารจัดการ การตลาดดิจิทัล และการเงิน ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ ทั้งทางด้านการยกระดับทักษะและการพัฒนาทักษะใหม่ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของกิจการ ในส่วนของพนักงานบริษัท วุฒิการศึกษาที่ได้รับมีความเป็นสากล สามารถต่อยอดการปฏิบัติงานในหลากหลายบทบาท หรือสามารถนำความรู้ด้านการบริหารไปใช้ในการประกอบธุรกิจส่วนตัวได้
อีกทั้งยังเป็นคุณสมบัติที่ได้รับการยอมรับในการสมัครเข้ารับราชการ เนื่องจากหลักสูตรมีความครอบคลุมและเปิดกว้างสำหรับทุกตำแหน่งงาน นอกจากนี้ หลักสูตร MBA ในปัจจุบันยังได้บูรณาการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) เข้ามาเป็นเครื่องมือสนับสนุนการเรียนการสอน โดยเฉพาะในส่วนของการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ และมีการสอนการประยุกต์ใช้ AI ในบริบททางธุรกิจด้วย" ผศ.ดร.ปิยะวิทย์ กล่าวในตอนท้าย
หลักสูตรปริญญาโททั้ง 2 หลักสูตรเปิดรับสมัครแล้ววันนี้ โดยมีทุนส่วนลดพิเศษ 20% สำหรับผู้ที่สมัครเรียนภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.dpu.ac.th/th/course/profile/profile-master-of-accountancy-program-in-accountancy และ https://www.dpu.ac.th/th/course/profile/profile-master-of-business-administration-program-in-business-administration
คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จัดการแข่งขันทักษะวิชาชีพด้านการท่องเที่ยว การโรงแรม และการประกอบอาหาร ครั้งที่ 1 ภายใต้แนวคิด "Soft Power ท่องเที่ยวเสน่ห์ไทย" โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพเยาวชนสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน โดยมีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ชั้นปีที่ 5 - 6 และนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) จากทั่วประเทศสมัครเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อชิงทุนการศึกษา การแข่งขันครั้งนี้แบ่งเป็น 2 รายการ คือ การแข่งขันตอบคำถามวิชาการด้านการท่องเที่ยว โรงแรม และการประกอบอาหาร มีทีมเข้าร่วม 35 ทีม ซึ่งทีมชนะเลิศได้แก่ ทีม PBPVC 2 จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี และการแข่งขันทักษะด้านการประกอบอาหาร(แข่งเดี่ยว) ภายใต้ธีม "อาหารไทยจานหลักสตรีทฟู้ดฟรีสไตล์" มีทีมเข้าร่วม 13 ทีม ซึ่งทีมชนะเลิศได้แก่ ทีม GOOD PART จากโรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย นำเสนอ เมนูข้าวมันส้มตำแกงไก่โมเดิร์น ได้อย่างลงตัว ภายในพิธีเปิดได้รับเกียรติจาก ดร.ยุวรี โชคสวนทรัพย์ คณบดีคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมกันนี้ยังมีผู้แทนจากบริษัทพันธมิตร ให้เกียรติเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและมอบทุนการศึกษาสมทบ ณ ห้องสนม สุทธิพิทักษ์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

ดร.ยุวรี โชคสวนทรัพย์ คณบดีคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรมดังกล่าว มุ่งสร้างแรงบันดาลใจและเปิดโลกทัศน์ให้เยาวชนได้เรียนรู้เกี่ยวกับสาขาวิชาด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม รวมถึงการประกอบอาหาร โดยบูรณาการแนวคิด Soft Power ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ผ่านองค์ประกอบ 5F ได้แก่ อาหาร (Food) ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) การออกแบบแฟชั่น (Fashion) ศิลปะการต่อสู้มวยไทย (Fighting) และเทศกาล (Festival) ซึ่งการจัดการแข่งขั้นครั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้แทนจากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอาหาร อาทิ บริษัท Find Folk สมาพันธ์เชฟประเทศไทย และ Sevenfive เป็นต้น ร่วมเป็นคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ การได้รับความสนใจจากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสในการสร้างประสบการณ์และการเรียนรู้นอกห้องเรียน รวมถึงการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนค้นหาตัวตนและสายอาชีพที่เหมาะกับตนเองมากที่สุด

นายสรรพวัต กันตามระ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเชิงกลยุทธ์และความยั่งยืน บริษัท ฟายด์ โฟล์ค จำกัด ในฐานะกรรมการตัดสินการแข่งขันตอบคำถามวิชาการด้านการท่องเที่ยวและโรงแรม กล่าวว่า Soft Power ไทย มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการศึกษาค้นคว้าก่อนการแข่งขันจะช่วยให้ผู้เข้าแข่งขันได้เห็นมุมมองที่หลากหลาย การแข่งขันครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนนักศึกษาได้เห็นมุมมองที่แตกต่างและโอกาสในสายอาชีพใหม่ๆ โดยเฉพาะการทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้มของแต่ละองค์ประกอบใน 5F และการนำไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาประเทศไทยในอนาคต ทั้งนี้ จากภาพรวมการแข่งขัน พบว่าผู้เข้าแข่งขันมีความเข้าใจเกี่ยวกับ Soft Power อย่างลึกซึ้ง ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ ปัจจุบันอุตสาหกรรมโรงแรม มีการปรับตัวโดยนำนโยบายด้านความยั่งยืนมาใช้มากขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการแรงงานที่มีคุณสมบัติเฉพาะด้านเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความรู้ด้านความยั่งยืนและการบริการที่มีคุณภาพ รวมถึงความสามารถในการถ่ายทอดวัฒนธรรมไทยให้แก่นักท่องเที่ยว จึงอยากแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจประกอบอาชีพในอุตสาหกรรมการดังกล่าว ต้องรักษาอัตลักษณ์ความเป็นไทยและสามารถถ่ายทอดสู่นักท่องเที่ยวได้อย่างชัดเจน

ด้านทีม PBPVC 2 ซึ่งคว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันตอบคำถาม ประกอบด้วย นางสาวเจนวิรา ปานพันธ์ นักศึกษาชั้น ปวส.ปีที่ 1 และนางสาวสุชัญญา ผาโพธิ์ นักศึกษาชั้น ปวช.ปีที่ 1 สาขาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี ร่วมกล่าวเปิดใจว่า การแข่งขันครั้งนี้เป็นเวทีที่เพิ่มพูนความรู้ด้านการท่องเที่ยวและประสบการณ์การแข่งขัน ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างไรก็ตามเรารู้สึกประทับใจต่อการจัดการแข่งขันมาก โดยเฉพาะการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากรุ่นพี่ รวมถึงการจัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับ 5F

ขณะที่นายณัฐพงศ์ ธีรนันทพิชิต อนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหาร (Soft Power) ในฐานะกรรมการตัดสินการแข่งขันทักษะด้านการประกอบอาหาร กล่าวว่า การแข่งขันใช้เกณฑ์การตัดสิน 10 องค์ประกอบ อาทิ การเตรียมวัตถุดิบและการเลือกใช้วัตถุดิบให้สอดคล้องกับโจทย์ โดยทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศมีความสามารถในการประกอบอาหารที่หลากหลาย พร้อมนำเสนอเมนูอาหารที่ครบถ้วนในจานเดียวและมีรสชาติที่ดีเยี่ยม อย่างไรก็ตามการแข่งขันนี้เป็นการจุดประกายให้คนรุ่นใหม่สนใจอาหารไทยมากขึ้น เห็นคุณค่าของการนำวัตถุดิบท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เมนูอาหาร และสามารถนำประสบการณ์ไปพัฒนาต่อยอดในอนาคตได้

ด้านทีม GOOD PART หรือ นายวรวุฒิ เสือสี นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย ซึ่งคว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันทักษะด้านการประกอบอาหาร กล่าวเปิดใจว่า ได้รับโจทย์ให้ประกอบอาหาร 5 องค์ประกอบในจานเดียว ภายใต้หัวข้อ Main-Course Thai Street Food Freestyle ซึ่งเป็นโจทย์ที่มีความท้าทายสูง ตามโจทย์ Street Food ของไทยที่มักจะเป็นไก่ย่างส้มตำ จึงคิดดัดแปลงเป็น เมนูข้าวมันส้มตำแกงไก่โมเดิร์น ในรูปแบบฟิวชันที่ผสมผสานระหว่างข้าวมัน ส้มตำ และแกงไก่ ประกอบด้วย สเต็กไก่เสิร์ฟพร้อมซอสแกงเขียวหวาน ส้มตำดัดแปลงเป็นผัดเปรี้ยวหวาน และข้าวริซอตโตที่หุงด้วยความมัน โดยใช้ข้าวบาร์เลย์แทนข้าวเหนียว เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่ใกล้เคียง และเพิ่มวิปปิ้งครีมราดบนข้าวริซอตโต โดยจานอาหารนี้ประกอบด้วยสัดส่วนที่เหมาะสมของโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเส้นใยอาหาร อย่างไรก็ตามรู้สึกดีใจมากที่ได้คว้าแชมป์ในครั้งนี้ หลังจากเรียนจบชั้นม.6 จะเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในด้านการประกอบอาหาร เพราะฝันอยากเป็นเชฟในโรงแรมชื่อดัง และเปิดร้านอาหารของตนเองในต่างประเทศ