

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดการจัดเสวนาภายใต้หัวข้อ “ตื่นรู้ ปรับเปลี่ยน รับความเสี่ยงภัยจากสภาพภูมิอากาศในโลกใหม่ที่ต้องเผชิญ” (Adapting to Climate Change : New World - New Risk - New Practice) ณ ห้องประชุมชั้น 2 สถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง สำนักงาน คปภ. (รัชดาภิเษก) กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 สำหรับการจัดงาน ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้และต่อยอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาข้อเสนอแนะที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนามาตรการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพอย่างยั่นยืน รวมถึงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ และแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและอุตสาหกรรมประกันภัย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือในอนาคต โดยสำนักงาน คปภ. ได้รับเกียรติจาก ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เป็นผู้บรรยายให้ความรู้ และต่อยอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงภัยที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในหัวข้อ “ตื่นรู้ ปรับเปลี่ยน รับความเสี่ยงภัยจากสภาพภูมิอากาศในโลกใหม่ที่ต้องเผชิญ” (Adapting to Climate Change : New World - New Risk - New Practice) และเปิดมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน (Global Warming) โดยมี 3 การเปลี่ยนแปลงใหญ่ในโลก ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนในโลก การเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์ คือ การเปลี่ยนแปลงผู้นำใหม่ในสหรัฐอเมริกา และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้ง 3 เรื่องดังกล่าวมี 4 เรื่องด่วนที่ควรเร่งดำเนินการ ได้แก่ การสร้างงานใหม่เพื่อทดแทนงานกลางแจ้ง การปรับปรุงเมือง เพื่อลดความเสี่ยง การพัฒนาระบบการจัดการภัยพิบัติที่ลดความเสี่ยง และการเตรียมเงินทุนเพื่อการปรับตัว
ทั้งนี้ เลขาธิการ คปภ. กล่าวโดยมีใจความสำคัญด้วยว่า หัวข้อการเสวนาในวันนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ให้คำนิยามไว้ 3 Messages ด้วยกัน คือ
“ตื่นรู้” ในบริบทของการประกันภัย หมายถึง การมีความเข้าใจและการตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงและโอกาสที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งสามารถคาดการณ์และการวางแผนล่วงหน้า เพื่อให้จัดการกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม และจะช่วยให้ภาคธุรกิจประกันภัยตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ มีความมั่นใจ ความโปร่งใสในการดำเนินงาน นอกจากนี้ ยังหมายถึง การมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทประกันภัยควรมีการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากลูกค้าและสังคมโดยรวม
“ปรับเปลี่ยน” บริษัทประกันภัยควรมีการวิเคราะห์ข้อมูลและสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างละเอียด เพื่อให้สามารถปรับตัวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น การปรับเปลี่ยนรูปแบบการรับประกันภัย ซึ่งอาจรวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน วิธีการพิจารณารับประกันภัย โดยบริษัทประกันภัย มีการใช้เทคโนโลยีและข้อมูลที่ทันสมัยในการประเมินความเสี่ยงเพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็ว การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) จะช่วยให้การพิจารณารับประกันภัยมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนวิธีการให้บริการเป็นสิ่งสำคัญ ควรมีการพัฒนาช่องทางการให้บริการที่หลากหลาย เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการได้ง่ายและสะดวก ซึ่งการปรับเปลี่ยนทั้งหมดนี้จะช่วยให้บริษัทประกันภัยสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
และสุดท้าย “รับความเสี่ยง” คือ บริษัทประกันภัยยอมรับความเสี่ยงที่ลูกค้าต้องเผชิญและการให้ความคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ การรับความเสี่ยงภัยนี้เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความรอบคอบและการวิเคราะห์อย่างละเอียด บริษัทประกันภัยต้องมีการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถกำหนดเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมและให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุม นอกจากนี้ การรับความเสี่ยงภัยยังหมายถึงการมีความพร้อมในการจัดการกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด บริษัทประกันภัยต้องมีความพร้อมทั้งในด้านการเงินและการดำเนินงาน เพื่อให้สามารถจ่ายค่าสินไหมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
“สำนักงาน คปภ. เล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง รวมถึงเพื่อต่อยอดองค์ความรู้ ในการเตรียมความพร้อมรับมือกับความ เสี่ยงภัยภายใต้บริบทของสถานการณ์ภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ซึ่งอุตสาหกรรมประกันภัยมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดความเสี่ยง และบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จึงได้จัดกิจกรรมเสวนาเวทีร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยและเครือข่ายพันธมิตร เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความคิด เพื่อถอดบทเรียนและแชร์ประสบการณ์ ในหัวข้อ “ตื่นรู้ปรับเปลี่ยนรับความเสี่ยงภัยจากสภาพภูมิอากาศในโลกใหม่ที่ต้องเผชิญ” (Adapting to Climate Change : New World - New Risk - New Practice) โดยมี นางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการ ด้านกำกับคนกลางและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ดร. ชาริกา ชาญนันทพิพัฒน์ นักวิชาการ ด้านการดำเนินธุรกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืนจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) และนายณณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงไทย - แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เพื่อนำเสนอแนวทางที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนามาตรการจัดการความเสี่ยงภัยในอนาคต ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการต่อยอดจากกิจกรรมภายใต้โครงการ “สร้างการตระหนักรู้เพื่อรับมืออุทกภัยในยุคการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน” เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากภาคอุตสาหกรรมประกันภัย และเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนของศูนย์ปฏิบัติการด้านการประกันภัย เพื่อบริหารจัดการและช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ภัยพิบัติ (ศูนย์ ICD) ในการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการประกันภัยให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. มีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ต่อปี เพื่อให้ภาวะการเงินสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และช่วยกระตุ้นการเติบโตของภาคธุรกิจ ธนาคารออมสินจึงประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR และ MOR ลง 0.25% ต่อปี ตามมติ กนง. โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้าสินเชื่อรายใหญ่ (MLR) ลดเหลือ 6.65% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้าใช้วงเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ลดเหลือ 6.495% ต่อปี โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม – 31 สิงหาคม 2568 หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้ารายย่อย (MRR) ยังคงอัตราเดิมที่ 6.595% ต่อปี เนื่องจากที่ผ่านมา ธนาคารออมสินได้ปรับลดดอกเบี้ยมาก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ปัจจุบันเป็นอัตราดอกเบี้ย MRR ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 6 แห่ง ที่เฉลี่ยเท่ากับ 7.25% ต่อปี ทั้งนี้ ธนาคารจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อเป็นการส่งเสริมการออมตามภารกิจธนาคารเพื่อสังคม
ดีป้า จัดใหญ่งาน Thailand Digital IP Forum 2025: Cracking IP Challenges in the AI-Driven World กิจกรรมสัมมนาที่มุ่งเผยแพร่ความรู้และสร้างความตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของทรัพย์สินทางปัญญาด้านดิจิทัล พร้อมส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับการขอรับสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร ตลอดจนประเด็นสำคัญที่เป็นประโยชน์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของประเทศ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของภาคธุรกิจดิจิทัลไทย

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เป็นประธานเปิดงาน Thailand Digital IP Forum 2025 ที่มาพร้อมแนวคิด Cracking IP Challenges in the AI-Driven World กิจกรรมสัมมนาที่มุ่งเผยแพร่ความรู้และสร้างความตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของทรัพย์สินทางปัญญาด้านดิจิทัล พร้อมส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับการขอรับสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร ตลอดจนประเด็นสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ดิจิทัลสตาร์ทอัพ นักลงทุน บุคลากรทางการศึกษา และประชาชนทั่วไป โดยมีผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของประเทศจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กรมทรัพย์สินทางปัญญา บริษัท สำนักกฎหมาย ดำเนิน สมเกียรติ และบุญมา จำกัด บริษัท อินเทลเล็คชวล ดีไซน์ กรุ๊ป จำกัด บริษัท เจทีเจบี อินเตอร์เนชั่นแนล ลอว์เยอร์ส จำกัด บริษัท ดิจิทัล คอร์ปอเรท เมเนจเม้นท์ จำกัด และ บริษัท ไอแอลซีที จำกัด ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของภาคธุรกิจดิจิทัลไทย
ผศ.ดร.ณัฐพล เปิดเผยว่า ดีป้า ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาในอุตสาหกรรมดิจิทัลมาโดยตลอด ขณะเดียวกันยังส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการขอรับหรือยื่นจดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาด้านดิจิทัล ทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านระบบ PCT เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงโอกาสในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของตนได้อย่างเต็มที่

นอกจากนี้ ดีป้า ได้ดำเนินการจดทะเบียนตราสัญลักษณ์ dSURE สัญลักษณ์แห่งมาตรฐานระดับสากลสำหรับสินค้าหรือบริการดิจิทัลไทย โดยภายหลังจากได้รับการรับรองแล้ว ดีป้า ยังช่วยผลักดันให้เกิดการนำผลิตภัณฑ์และบริการที่ได้รับตราสัญลักษณ์ dSURE และขึ้นทะเบียนบนบัญชีบริการดิจิทัลไปใช้ ซึ่งบัญชีบริการดิจิทัลคือ กลไกรวบรวมสินค้าและบริการดิจิทัลจากผู้ประกอบการและผู้ให้บริการดิจิทัลไทยที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เป็นไปตามข้อกำหนดด้านมาตรฐาน มีคุณภาพ ราคาสมเหตุสมผล และได้รับการรับรองด้วยตราสัญลักษณ์ dSURE เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าสู่ตลาดภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งจะนำไปสู่โอกาสการลงทุนใหม่ ๆ และสามารถต่อยอดสู่ตลาดสากล
จากนั้น ผศ.ดร.ณัฐพล ได้กล่าวในการบรรยายพิเศษในหัวข้อ เร่งเครื่องเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยนวัตกรรม AI: ก้าวสู่อนาคตที่พลิกโฉม ว่า ปัจจุบันเทคโนโลนี AI กำลังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจโลก อ้างอิงข้อมูลจาก Gartner บริษัทชั้นนำของโลกในการทำวิจัยและให้คำปรึกษาแก่ผู้บริหารธุรกิจ โดยคาดการณ์ว่า ภายในปี 2027 โซลูชันจาก Generative AI จะเติบโตถึง 40% ด้วยความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เกิดการขยายประโยชน์และสนับสนุนการทำงานของมนุษย์ ส่งผลให้ AI กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน พลิกโฉมดิจิทัลสตาร์ทอัพและ SMEs ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด สำหรับประเทศไทย การประยุกต์ใช้ AI ในการพัฒนาเทคโนโลยีและธุรกิจถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจและผลักดันประเทศสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมงาน Thailand Digital IP Forum 2025 ยังได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการส่งเสริมทรัพย์สินทางปัญญาขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล ระหว่าง ดีป้า และกรมทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมรับฟังการบรรยายและเสวนาเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพย์สินทางปัญญาระดับแนวหน้าของไทย นำโดย ศ. (พิเศษ) วิชัย อริยะนันทกะ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง และที่ปรึกษาสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม (TAI) โดยมีหัวข้อที่น่าสนใจ ได้แก่ การแสวงหาประโยชน์ (Exploitation) จาก AI อย่างสมาร์ทบนเส้นทางทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิบัตรด้าน AI กับการวางกลยุทธ์เพื่อดึงดูดทุน โอกาสและความท้าทายในการเทรน AI ด้วยข้อมูลที่มีลิขสิทธิ์ ถอดรหัส Generative AI สร้างทรัพย์สินทางปัญญาบุกตลาดดิจิทัลคอนเทนต์ ระบบ PCT เป้าหมายที่เอื้อมถึงในยุคดิจิทัล และ AI กับการส่งเสริมศักยภาพทุนมนุษย์ขององค์กรธุรกิจ

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการนำเสนอผลงานจากผู้ประกอบการด้านดิจิทัลที่ได้รับการส่งเสริมทรัพย์สิน ทางปัญญาด้านดิจิทัล ตลอดจนบูธแสดงผลงานด้าน AI จากหน่วยงานพันธมิตรที่ ดีป้า ให้การสนับสนุน บูธให้คำปรึกษาด้านทรัพย์สินทางปัญญา จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา และบริษัทที่ปรึกษากฎหมายชั้นนำของประเทศ และการเปิดรับข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับหรือยื่นจดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาด้านดิจิทัล ซึ่งปีนี้ยังคงเปิดรับสมัครบุคคลธรรมดา รวมถึงนิติบุคคล ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตลอดจนดิจิทัลสตาร์ทอัพที่สนใจถึงวันที่ 31 มีนาคมนี้
สำหรับผู้ที่สนใจขอรับหรือยื่นจดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล รวมถึงสาระความรู้เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาด้านดิจิทัล สามารถติดตามรายละเอียด ข่าวสารกิจกรรมหรือโครงการต่าง ๆ ได้ทาง www.depa.or.th, Facebook Page: depa Thailand และ LINE OA: @depaThailand
นายจงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.25% เหลือ 2.00% ต่อปี นั้น ธนาคารพร้อมตอบสนองต่อมาตรการดังกล่าวด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับลูกค้าทุกกลุ่มสูงสุด 0.25% เพื่อตอกย้ำความตั้งใจของธนาคารในการดูแลและช่วยเหลือลูกค้าบรรเทาภาระหนี้ ลดต้นทุนทางการเงิน และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อสำหรับภาคธุรกิจ และภาคครัวเรือน
นอกจากนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของธนาคารในการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศซึ่งยังคงเผชิญกับความท้าทายและมีแนวโน้มขยายตัวได้ไม่เต็มที่ ทั้งจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันที่สูงขึ้น รวมถึงนโยบายการค้าที่มีความไม่แน่นอน ตลอดจนเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการเสริมสร้างกำลังซื้อของประชาชน เพิ่มสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ มีผลวันที่ 4 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป รายละเอียด ดังนี้
ธนาคารกสิกรไทยยังคงพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่าง ๆ ตามความเหมาะสมเพื่อให้ลูกค้าสามารถรับมือและบริหารจัดการภาระหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบสามารถดำเนินการติดต่อผ่านช่องทางต่าง ๆ ของธนาคารได้ทุกช่องทาง
กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ลุยขับเคลื่อนแผนงานยุทธศาสตร์การพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ไทย นโยบายเรือธงสำคัญ (Flagship) ของรัฐบาล ผ่านกลไก OFOS สาขาอาหารอย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดพื้นที่จัดงาน “เปิดครัวดีพร้อม Soft Power อาหารไทย อิ่มอร่อยที่ดีพร้อม” ยกทัพสุดยอดอาหารไทยจากการประยุกต์ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นรังสรรค์เมนูที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น อาทิ แกงคั่วเป็ดเมืองตรัง โรตียักษ์ หมูทอดบ้านแขก ผัดไทเห็ด ขาหมูตุ๋นเตาถ่าน พร้อมเปิดพื้นที่ทดสอบตลาดต่อยอดสินค้าชุมชนกว่า 80 ร้านค้า

ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลมุ่งสนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์ หรือซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ของประเทศ ด้วยการส่งเสริมและยกระดับภูมิปัญญาไทยไปสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ พัฒนาทักษะความรู้ความสามารถ ปลดล็อกศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างงาน สร้างรายได้ และมีขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนส่งเสริมบทบาทความเป็นผู้นำของไทยในเวทีโลก ภายใต้ยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ ผ่าน 3 กลไกสำคัญ คือ OFOS (One family One Soft power) (1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์) เพื่อสร้างแรงงานทักษะสูงด้วยการ Upskill - Reskill และยกระดับศักยภาพแรงงานด้านความคิดสร้างสรรค์ให้สูงขึ้น
กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การนำของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยสู่เศรษฐกิจยุคใหม่” ที่มุ่งยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการให้มีความเข้มแข็ง พัฒนาระบบนิเวศในการดำเนินธุรกิจ และส่งเสริมการประกอบกิจการให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงสนับสนุนการใช้ภูมิปัญญาและทุนทางวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อยกระดับสินค้าทั้งด้านมาตรฐานและดีไซน์ให้ทันสมัย โดดเด่น แตกต่าง และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งสอดรับกับการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาล จึงเร่งผลักดันซอฟพาวเวอร์ในสาขาหลักที่ได้รับมอบหมายคือ แฟชั่นและอาหาร โดยเฉพาะสาขาอาหารซึ่งประเทศไทยได้รับขนานนามว่าเป็น ”ครัวของโลก” แต่การจะส่งเสริมให้อาหารไทยสามารถให้ก้าวเข้าสู่ระดับสากลอย่างแท้จริงต้องมีการสร้างแบรนด์ของอาหารไทยให้มีความเป็นสากลและสะท้อนถึงศาสตร์แห่งโภชนาการ สร้างมิติมุมมองในด้านวัฒนธรรมและมนต์เสน่ห์ความเป็นไทย โดยได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) เข้าไปดำเนินงานผ่านโครงการและแผนงานต่าง ๆ อันจะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศได้ในอนาคต

ด้าน นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ขานรับนโยบายเรือธงสำคัญ (Flagship) ในการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ไทย สาขาอาหาร ภายใต้นโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” ผ่านกลยุทธ์การให้ทักษะใหม่ ๆ เพื่อยกระดับทักษะที่มีอยู่เดิม (Upskill) และสร้างทักษะขึ้นมาใหม่ (Reskill) ที่จำเป็นต่อการทำงานโดยเฉพาะอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ รวมถึงการให้โอกาสโตไกลด้วยการพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และเครื่องมือต่าง ๆ ของดีพร้อม เพื่อให้ตอบโจทย์
ความต้องการของตลาด การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ผ่านอัตลักษณ์และภูมิปัญญา โดยการใช้วัตถุดิบและการประกอบอาหารตามแบบท้องถิ่น ตลอดจนเสริมทักษะในการสร้างแบรนด์ การนำเสนอสินค้าและบริการให้สามารถขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งสอดรับกับนโยบาย OFOS ซึ่งครอบคลุมต้นน้ำที่สำคัญ คือ การสร้างคนด้วยการสร้าง “นักรบซอฟต์พาวเวอร์” รวมถึงปลายน้ำด้วยการผลักดันนำเอกลักษณ์ ภูมิปัญญา วัฒนธรรมสร้างสรรค์ของไทยไปสู่ตลาดโลก

สำหรับ งาน “เปิดครัวดีพร้อม Soft Power อาหารไทย อิ่มอร่อยที่ดีพร้อม” จัดขึ้นในวันนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ไทยสาขาอาหารของดีพร้อม เพื่อสร้างการรับรู้ถึงความสำคัญการประยุกต์ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นมาประกอบเมนูอาหารให้มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับชุมชน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ผ่านสาธิตการประกอบอาหารโดยเชฟมืออาชีพ การสื่อสารตลาดออนไลน์ การจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 – 7 มีนาคม 2568 ภายในงานรวบรวมผลิตภัณฑ์ชุมชนและร้านอาหารเด็ดทั่วประเทศมาให้ทุกท่านได้ ช้อป ชม ชิม กว่า 80 ร้านค้า อาทิ ร้านเป็นลาว อาหารอีสานสุดแซ่บมิชลินสตาร์ 2 ปีซ้อน และเมนูเด็ดจากร้านดัง เช่น แกงคั่วเป็ดเมืองตรัง ผัดไทเห็ด ขาหมูตุ๋นเตาถ่าน เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การสอนปรุงอาหารแบบ Chef โดย “ครัววันดี” รวมถึงการสัมมนาและสอนทำคลิปคอนเทนต์ต่าง ๆ อีกด้วย ดีพร้อม เชื่อมั่นว่าการจัดงานในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองในการต่อยอดจุดแข็งของประเทศในการเป็นแหล่งอาหารชั้นนำ การสร้างอาชีพและสร้างรายได้ในชุมชน และดึงดูดนักท่องเที่ยวผ่านการยกระดับร้านอาหารชุมชน การนำเสนออาหารยอดนิยม รวมถึงพัฒนาทักษะบุคลากรในชุมชนในการทำธุรกิจร้านอาหารแบบมืออาชีพและต่อยอดพัฒนาไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ ตลอดจนการปูพื้นฐานและสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนกลายเป็นแหล่งผลิตอาหาร เกิดการกระจายรายได้และขยายโอกาสทางธุรกิจให้แก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอื่น ๆ อันจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นและประเทศได้ยั่งยืน นางสาวณัฏฐิญา กล่าวทิ้งท้าย