December 06, 2025

บริษัท นาสเกต รีเทล จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมผ่านสินค้าและบริการอัจฉริยะในคอนโดมีเนียม ฉลองครบรอบ 10 ปีของการก่อตั้งบริษัทฯ เดินหน้าปฏิวัติตลาดรีเทลเพื่อผู้อยู่อาศัยในคอนโดฯ ด้วยโซลูชันอัจฉริยะที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต ลดภาระการจัดการ พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทบริหารนิติบุคคลอย่างได้ผล โดยล่าสุดจัดงาน “ตู้น้องแพค พลัส กับคริสตัล” เพื่อเปิดตัวตู้จำหน่ายน้ำดื่มยกแพ็ค Clear Vendink™ ช่องทางบริการสินค้ารูปแบบใหม่ในคอนโดฯ ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยร่วมมือกับพันธมิตร บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) และบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขยายบริการให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยในเมืองมากยิ่งขึ้น พร้อมชูกลยุทธ์ Mascot Marketing คาแรกเตอร์ “น้องแพค” เพื่อสร้างภาพจำในฐานะตัวแทนของแบรนด์ในการสื่อสาร แสดงภาพลักษณ์ และสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย เชื่อมต่อแนวคิด คอนโด-รีเทล-เทคโนโลยี อย่างตรงจุด

นายผรินทร์ สงฆ์ประชา CEO บริษัท นาสเกต รีเทล จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มของนวัตกรรมสำหรับผู้อยู่อาศัยในคอนโดว่า “ปัจจุบันผู้บริโภคเน้นความประหยัดมากขึ้น แต่ก็ยังต้องการความสะดวก รวดเร็ว น่าเชื่อถือ และต้องได้มาตรฐานดังเดิม ซึ่งสำหรับสินค้าบางกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ มีการใช้งานสม่ำเสมอ กลับเป็นจุดที่การซื้อผ่านออนไลน์ ยังไม่ตอบโจทย์ได้ครอบคลุม เพราะจะเสียค่าส่งแพง ดังนั้นนาสเกตจึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาบริการที่ช่วยให้ลูกบ้านเข้าถึงสินค้าและบริการที่จำเป็นได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีบริการตัวล่าสุดคือ ‘ตู้น้องแพค’ ตู้ขายน้ำดื่มยี่ห้อดังยกแพค ราคาถูก ซึ่งจะตั้งอยู่ใกล้ลิฟท์ในบริเวณล็อบบี้ ปัจจุบันมีให้บริการแล้วกว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ ทำรายการด้วยระบบอัจฉริยะที่รองรับ Cashless Payment เพื่อรักษาความปลอดภัย รวมถึงระบบ AI ที่ช่วยคำนวณการเติมน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สินค้าจะพร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งลูกบ้านสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้โดยตรง นอกจากนี้เราใช้กลยุทธ์ Mascot Marketing ผ่านคาแรกเตอร์ ‘น้องแพค’ ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งเราคาดว่าจะช่วยกระตุ้นความสนใจ สร้างการจดจำ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของนาสเกตในอนาคต”

นางสาวนฤมล อาภรณ์ธนกุล รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารอาคารที่พักอาศัย บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวถึงประโยชน์ที่โซลูชันของนาสเกตที่มอบให้กับลูกบ้านที่พลัสดูแลอยู่ว่า “รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกบ้านด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ซึ่งมองว่าการมีระบบ Smart Convenience Solutions อย่าง Clear Vendink™ ในโครงการที่พักอาศัยภายใต้การดูแลของพลัสในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของลูกบ้าน แต่ยังช่วยลดภาระการจัดการของนิติบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งระบบเติมน้ำอัตโนมัติและ AI ช่วยให้การบริหารจัดการพื้นที่เป็นไปอย่างราบรื่น รวมถึงลดปัญหากองน้ำดื่มบริเวณล็อบบี้หรือจุดจอดรถ และช่วยให้พื้นที่ส่วนกลางสะอาดเป็นระเบียบมากขึ้น ถือเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์การบริหารโครงการในระยะยาว"

นางสาวสุภรณ์ เด่นไพศาล ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือในฐานะพันธมิตรว่า "เสริมสุขเชื่อมั่นว่า การที่น้ำดื่มคริสตัลได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงน้ำดื่มคุณภาพได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น นอกจากนี้ เรายังมองเห็นโอกาสในการขยายตลาดผ่านเครือข่ายของนาสเกตที่มีอยู่ใน โครงการที่พักอาศัยที่พลัสดูแลอยู่กว่า 400 แห่งทั่วประเทศ และเชื่อว่าการผสานเทคโนโลยีการขายน้ำดื่มผ่าน Vending Machine จะช่วยให้พฤติกรรมการบริโภคน้ำดื่มของผู้บริโภคเปลี่ยนไปสู่แนวทางที่สะดวกและทันสมัยมากยิ่งขึ้น"

ทั้งนี้สำหรับตู้ขายน้ำดื่มยกแพ็ค Clear Vendink™ โซลูชันที่บริหารจัดการน้ำดื่มในโครงการคอนโดมีเนียมของนาสเกต ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘น้ำดื่มยี่ห้อดัง อยู่ใกล้ จ่ายไม่แพง’ ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในคอนโด แต่ยังช่วยให้บริษัทบริหารอาคารชุดสามารถบริหารพื้นที่และบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระงาน เพิ่มมูลค่าให้โครงการ และสร้างโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มเติม ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนา Smart Convenience Solutions ในประเทศไทย โดยในปี 2568 นี้ นาสเกตตั้งเป้าขยายจุดติดตั้งตู้ Clear Vendink™ ในโครงการคอนโดมีเนียมต่างๆ ทั่วประเทศกว่า 2,100 แห่ง พร้อมเพิ่มบริการอัจฉริยะอื่นๆ เช่น Laundry Vending และ Med Block ตู้ยาอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้อยู่อาศัยได้ครอบคลุมมากกว่าเดิม

“ปัจจุบันเรามียอดขายน้ำดื่มกว่า 100,000 แพ็คต่อเดือน และมีจุดติดตั้งแล้วกว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งด้วยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งและความร่วมมือจากพันธมิตร นาสเกตจึงพร้อมนำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล ตลอดจนเสริมสร้างความสามารถในการบริหารจัดการให้กับบริษัทบริหารนิติบุคคลอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้อยู่อาศัย และสามารถเข้าถึงน้ำดื่มหรือสินค้าจำเป็นได้ง่ายๆ ได้ที่บ้านผ่านปลายนิ้ว” นายผรินทร์ กล่าวเพิ่มเติม

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ https://nasket.com/nasketweb/ หรือ Line OA @clearvendink หรือเฟสบุคแฟนเพจ https://www.facebook.com/ClearVendink 

พฤกษา โฮลดิ้ง เผยแผนธุรกิจปี 2568 เดินหน้าสู่การเป็นผู้นำด้านการอยู่อาศัยที่ผสานความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) ควบคู่การบริการด้านสุขภาพ ตั้งเป้ารายได้รวม 23,500 ล้านบาท โฟกัสธุรกิจหลักอสังหาริมทรัพย์ และเฮลท์แคร์  ปรับพอร์ตโฟลิโอต่อเนื่อง เพิ่มสัดส่วนตลาดบ้านระดับกลางถึงบน ต่อยอดธุรกิจพรีคาสท์ พร้อมรุกตลาดก่อสร้างเต็มรูปแบบ ด้านธุรกิจการดูแลสุขภาพเติบโตต่อเนื่องในทุกมิติ เตรียมขยายโรงพยาบาลเฉพาะทาง รองรับความต้องการอีก 3 แห่ง

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า "ปี 2567 ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดอสังหาฯ เผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารที่ยังคงสูงอยู่ ทำให้พฤกษามีรายได้รวมอยู่ที่ 21,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิที่ 456 ล้านบาท ทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ที่ 31.3% โดยยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Net gearing ratio) ต่ำที่ 0.31 เท่า สำหรับในปี 2568 เรามุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลัก ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ และเฮลท์แคร์ ยึดหลักการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน และเน้นการสร้างสรรค์โครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่สมดุลทั้งสุขภาพและความสะดวกสบาย”

ปี 2568 ตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 23,500 ล้านบาท ชู 2 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ (1) กลยุทธ์เชิงรับเพื่อรักษาข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน (Strategic Positioning Strategy) ด้วยการบริหารสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นการจัดการและปรับโครงสร้างสินทรัพย์ให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของตลาด เสริมสร้างสภาพคล่องด้วยการรักษากระแสเงินสดและเสถียรภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง รองรับการลงทุนในอนาคต พร้อมปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนอย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอ (2) กลยุทธ์เชิงรุก เพื่อสร้างการเติบโตท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทาย (Resilient Growth Strategy) ด้วยการสร้างนิยามใหม่ของแนวคิดการออกแบบที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัย พร้อมขับเคลื่อนการลงทุนและเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพทั้งในและต่างชาติ

 

นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2568 พฤกษาวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 22 โครงการ มูลค่ารวม 23,400 ล้านบาท แบ่งเป็น ทาวน์เฮาส์ 8 โครงการ มูลค่า 4,900 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 9 โครงการ มูลค่า 10,400 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 8,100 ล้านบาท เน้นพัฒนาโครงการเวลเนส เรสซิเดนซ์ และโครงการที่มีจุดเด่นด้านทำเล โดยในปี 2568 จะมีการเปิดตัวแบรนด์ระดับบนหลายโครงการ เช่น The Palm, The Reserve และ Chapter โดยมีสัดส่วนสินค้าในกลุ่มราคามากกว่า 7 ล้านบาท ราว 50% และโครงการที่ใกล้เมืองมากขึ้นและมีขนาดเล็กลง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน ตั้งเป้ายอดขายที่ 19,800 ล้านบาท และยอดขายผ่านโครงการ JV อีก 3,200 ล้านบาท รวมถึงยอดโอน 18,700 ล้านบาท และยอดโอนผ่านโครงการ JV อีก 1,600 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้จะรับรู้เป็นกำไรจากการลงทุนใน JV

ด้านกลยุทธ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปี 2568 ชู 2 กลยุทธ์ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ ได้แก่ (1) กลยุทธ์เชิงรับเพื่อรักษาข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน (Strategic Positioning Strategy) ผ่านการปรับปรุงพอร์ตโฟลิโอจำหน่ายที่ดินที่ไม่ได้อยู่ในแผนการพัฒนา มูลค่า 1,000 ล้านบาท และพัฒนาโครงการใหม่จากที่ดินที่มีอยู่เดิมมูลค่ารวม 2,900 ล้านบาท เร่งปิดโครงการเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ได้อีก 31 โครงการ และปรับสัดส่วนโครงการแนวราบจาก ทาวน์เฮาส์ ต่อ บ้านเดี่ยว จาก 60:40 เป็น 50:50 ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ด้วยการแบ่งโซนนิ่ง ครอบคลุมเป็น 6 โซนหลัก เและ การบริหารจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Stewardship) เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและก่อสร้างด้วยเทคโนโลยีจากอินโนพรีคาสท์ และ อินโนโฮม คอนสตรัคชั่น ขณะที่ กลยุทธ์ที่ (2) กลยุทธ์เชิงรุก เพื่อสร้างการเติบโตท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทาย (Resilient Growth Strategy) มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและแข็งแกร่ง ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยจะเน้นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในระดับ Ultra-premium segment เช่น THE RESERVE, THE PALM สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ส่งเสริมการอยู่อาศัยเพื่อสุขภาพ (Well-being-focused collaborative synergy) มุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์สุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเป็นรูปธรรม และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ พร้อมโอนคอนโดใหม่ในปีนี้อีก 4 โครงการ (Strengthening Catalyst) เพื่อรักษามาร์จิ้นในระดับสูงไว้ได้ ซึ่งมั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์ทั้งหมดนี้จะทำให้สร้างกำไรมากขึ้นได้ในปีนี้

ด้านธุรกิจพรีคาสท์และก่อสร้าง เตรียมขยายการผลิตและนำเสนอบริการที่ครอบคลุมมากขึ้น โดยโรงงานพรีคาสท์ซึ่งเป็นโรงงานสีเขียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยกำลังการผลิต 5.2 ล้านตารางเมตรต่อปี และยังเป็นโรงงานปลอดขยะ (Zero-Waste) และลดคาร์บอนแห่งแรก ในปี 2568 ธุรกิจพรีคาสท์ตั้งเป้ารายได้ 2,100 ล้านบาท เน้นขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดให้มากขึ้น เช่น ผนังน้ำหนักเบา (Lightweight Wall) กำแพงกันดิน (Retaining Wall) และรั้วสำเร็จรูป (Project Fence) ในขณะที่ธุรกิจก่อสร้างตั้งเป้ารายได้ 5,400 ล้านบาท มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าทั้ง B2B และ B2C สำหรับการสร้างบ้านในระดับราคา 10 - 30 ล้านบาท

 

ด้านธุรกิจการดูแลสุขภาพ นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า ธุรกิจการดูแลสุขภาพของโรงพยาบาลมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ โดยในปี 2567 กลุ่มวิมุตมีรายได้ 2,187 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อน มี EBITDA อยู่ที่ 112 ล้านบาท รายได้หลักมาจากศัลยกรรม การตรวจสุขภาพ การดูแลเด็ก แผนกฉุกเฉิน แผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อ กระดูกสันหลัง สูตินรีเวช และระบบทางเดินอาหาร

สำหรับปี 2568 ตั้งเป้ารายได้ 2,600 ล้านบาท และกลยุทธ์สำคัญในปี 2568 ได้แก่ 1) พัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ ทางด้านสุขภาพปอด จักษุ กระดูกสันหลัง ต่อมไร้ท่อ ศัลยกรรม กุมารเวช ระบบทางเดินอาหารและตับ หัวใจและหลอดเลือด  2) ยกระดับการดำเนินงานที่เป็นเลิศ การบริหารต้นทุน และการใช้ทรัพยากรในกลุ่มบริษัทฯ ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ จัดซื้อ การตลาด การเงิน เทคโนโลยีสารสนเทศ และ 3) การพัฒนาด้านสุขภาพและการลงทุน เตรียมความพร้อมเพื่อเปิดโรงพยาบาลเฉพาะทางเพิ่มอีก 3 แห่ง บริเวณย่านทองหล่อ สุขุมวิท และปิ่นเกล้า และการสร้างความร่วมมือกับธุรกิจในกลุ่มพฤกษา เพื่อยกระดับที่อยู่อาศัยเพื่อสุขภาพและสร้างรายได้เพิ่มเติม

“พฤกษา โฮลดิ้ง เดินหน้าสู่อนาคตด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพสูง การขยายธุรกิจพรีคาสท์และก่อสร้างที่ทันสมัย และการพัฒนาระบบบริการสุขภาพที่ครบวงจร โดยยึดหลักความยั่งยืน (Sustainability) เป็นแกนหลักของการดำเนินงาน เพื่อสร้างสังคมที่ดีและความมั่นคงและเติบโตในระยะยาว” นายทองมา กล่าวเสริม

กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล ร่วมลงนามเป็นผู้สนับสนุน MDRT (Million Dollar Round Table) หรือสโมสรล้านเหรียญโต๊ะกลม ซึ่งเป็นสมาคมที่ได้รับการยอมรับด้านมาตรฐานความเป็นเลิศของธุรกิจประกันชีวิตและบริการทางการเงินในระดับสากล เป็นระยะเวลา 3 ปี โดยเปิดตัวโครงการนำร่อง “PRUMDRT” เพื่อเชิดชูเกียรติตัวแทนที่ติดคุณวุฒิ กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตชั้นนำที่มีเครือข่ายตัวแทนมากที่สุด และมีจำนวนตัวแทนที่ติดคุณวุฒิ MDRT สูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ในกลุ่มบริษัทข้ามชาติอีกด้วย

การประกาศความร่วมมือกับ MDRT ครั้งนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นของพรูเด็นเชียลในการผลักดันและเดินหน้าสร้างตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงินที่มีคุณภาพได้รับการยอมรับในระดับโลก โดยมีคุณวุฒิ MDRT เป็นเครื่องหมายการันตี ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของช่องทางตัวแทน และสร้างความสำเร็จในด้านลูกค้ามากยิ่งขึ้น การร่วมลงนามเป็นผู้สนับสนุนครั้งนี้ จะทำให้ตัวแทนพรูเด็นเชียลได้เข้าถึงการเรียนรู้ ทักษะและเทคนิคต่างๆ เพื่อก้าวสู่การเป็นตัวแทนคุณวุฒิด้านประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงินระดับสากล

การลงนามเป็นผู้สนับสนุนครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่าง นายปัญกาจ บาเนอร์จี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานบริหารตัวแทน กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล และ แครอล เค็ง ประธาน MDRT ประจำปี 2568 โดยถือเป็นการเริ่มต้นของกิจกรรมและโครงการต่างๆ ที่จะตามมามากมายเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ตัวแทนประกันชีวิตของพรูเด็นเชียลในการส่งมอบบริการและประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า รวมถึงการเปิดตัวโครงการ “PRUMDRT” ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อมุ่งยกย่องและเชิดชูเกียรติ อันก่อให้เกิดความภาคภูมิใจ นำไปสู่สุดยอดของความสำเร็จขณะปฏิบัติงานกับพรูเด็นเชียล

นอกจากนี้ MDRT และ พรูเด็นเชียล ยังสร้างโอกาสในการพัฒนาและเรียนรู้ในสายอาชีพที่ออกแบบเฉพาะเพื่อเร่งการเติบโตของจำนวนตัวแทนที่ติดคุณวุฒิ MDRT ของพรูเด็นเชียล และด้วยการสนับสนุนจากกลุ่มแบรนด์ต่างๆ ของ MDRT พรูเด็นเชียลจะสามารถใช้ประโยชน์จาก MDRT Academy เพื่อสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้ที่ปรึกษาทางการเงินประสบความสำเร็จในการติดคุณวุฒิ MDRT และยังร่วมมือกับ MDRT Center for Field Leadership เพื่อสนับสนุนให้ผู้บริหารตัวแทนประกันชีวิตประจำภาคสนาม และสำนักงาน เพิ่มพูนทักษะด้านการบริหารงาน ปรับปรุงประสิทธิภาพของตัวแทนฯ และขับเคลื่อนวัฒนธรรมแห่งความเป็นเลิศ นอกจากนี้ ตัวแทนฯ ยังสามารถเข้าถึงเนื้อหาความรู้ต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญที่ติดคุณวุฒิ MDRT ได้อีกด้วย

นายปัญกาจ บาเนอร์จี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานบริหารตัวแทน กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล กล่าวว่า “ตัวแทนของเราพร้อมให้บริการแก่ลูกค้าในทุกจังหวะเหตุการณ์ของชีวิต ตามแนวคิดลูกค้าคือเข็มทิศนำทาง อีกทั้งยังมีส่วนช่วยสร้างกำไรจากธุรกิจใหม่กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ให้แก่กลุ่มบริษัทฯ ดังนั้น ความร่วมมือของเรากับ MDRT เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความมุ่งมั่นของเราในการสนับสนุนให้ตัวแทนให้บรรลุศักยภาพสูงสุด และไม่เพียงแต่ช่วยผลักดันให้พวกเขาเร่งพัฒนาในสายงานอาชีพของตนเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างความสัมพันธ์อันดี และยั่งยืนแก่ลูกค้าของเราอีกด้วย ผมมั่นใจว่า การสนับสนุนนี้จะช่วยให้ตัวแทนของเราทุกคนรู้สึกภาคภูมิใจ #ProudToBePru และพร้อมรักษามาตรฐานความเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ของเราตลอดไป”

แครอล เค็ง ประธาน MDRT ประจำปี 2568 กล่าวว่า "MDRT เป็นก้าวที่คุณเข้ามาด้วยความมุ่งมั่น และก้าวออกไปพร้อมแนวคิดพรั่งพร้อมด้วยเครื่องมือต่างๆ ที่จะนำทางคุณการเป็นตัวแทนมืออาชีพระดับสากล การสนับสนุนของพรูเด็นเชียลครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างและพัฒนาที่ปรึกษาด้านประกันชีวิตและการเงินในสังกัดสู่ความเติบโตตลอดจนความก้าวหน้าในสายอาชีพ ที่ MDRT เรามีความพร้อมในการจัดกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ มีความแข็งแกร่งด้านเครือข่าย MDRT ทั่วโลก การโค้ชระหว่างสมาชิก องค์ความรู้  หรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ สำหรับสมาชิก ดังนั้น การสนับสนุนของพรูเด็นเชียลในครั้งนี้จึงเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ เพื่อให้ตัวแทนและที่ปรึกษาการเงินสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจได้อย่างสูงสุด"

ความร่วมมือระหว่าง พรูเด็นเชียล และ MDRT ผ่านโครงการต่างๆ จะช่วยผลักดันให้ตัวแทนพรูเด็นเชียลที่ติดคุณวุฒิ MDRT พัฒนาศักยภาพ สั่งสมชื่อเสียงทางธุรกิจและวิชาชีพ เปี่ยมด้วยความพร้อมในการส่งมอบบริการที่เป็นเลิศ อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนให้ตัวแทนฯ เพิ่มพูนขีดความสามารถในการพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น.

ให้การต้อนรับผู้บริหารกลุ่ม AXA ตอกย้ำความสำเร็จค่านิยม ONE AXA เชื่อมั่นในพลังของทุกคน

ชู 2 นวัตกรรมสุดล้ำ ให้สัมผัสสบาย ใส่ได้ในทุกกิจกรรม

MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง เปิดรับสมัครเข้าร่วม “โครงการทดลองเปรียบเทียบการใช้ไฟฟ้าอัตรา TOU โดยไม่มีค่าใช้จ่าย (สำหรับบ้านอยู่อาศัย)” เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ทราบถึงค่าไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงหากปรับเปลี่ยนประเภทการใช้ไฟฟ้าเป็นอัตราตามช่วงเวลาการใช้ (TOU) เมื่อเทียบกับการใช้ไฟฟ้าอัตราปกติที่ใช้ในปัจจุบัน สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยเท่านั้น โดยเริ่มเปิดรับสมัครในวันที่ 10 มีนาคม 2568 มีระยะเวลาเปรียบเทียบค่าไฟฟ้า 3 เดือน โดยมีเงื่อนไขดังนี้

  1. เปิดรับสมัครเข้าร่วมโครงการฯ สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 บ้านอยู่อาศัย ประเภทย่อย 1.2 อัตราปกติปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าเกินกว่า 150 หน่วยต่อเดือน เท่านั้น
  2. ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ต้องเป็นเจ้าของเครื่องวัดประเภทบุคคลธรรมดา หรือผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าของเครื่องวัดประเภทบุคคลธรรมดา
  3. การรับสมัครจะเปิดรับ ณ ที่ทำการการไฟฟ้านครหลวงทั้ง 18 เขต (ไม่รวมศูนย์บริการภาครัฐฯ) ในวันและเวลาทำการ 07.30 - 15.30 น. หรือผ่าน MEA Call Center 1130 เริ่มเปิดรับสมัครในวันที่ 10 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป จำกัดจำนวน 1,000 สิทธิ์เท่านั้น (กรณีผู้ที่ผ่านเงื่อนไข) หรือจนกว่าจะครบสิทธิ์
  4. การแจ้งผลเปรียบเทียบค่าไฟฟ้าอัตรา TOU ให้กับผู้เข้าร่วมโครงการฯ จะแจ้งผ่านช่องทาง e-mail เท่านั้น
  5. ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่หากเมื่อโครงการสิ้นสุดแล้ว ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ประสงค์จะเปลี่ยนประเภทการใช้ไฟฟ้าเป็นอัตรา TOU จะต้องเสียค่าใช้จ่ายตามที่ MEA กำหนดต่อไป

ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและดาวน์โหลดใบสมัครเข้าร่วมโครงการทดลองเปรียบเทียบการใช้ไฟฟ้าอัตรา TOU โดยไม่มีค่าใช้จ่าย (สำหรับบ้านอยู่อาศัย) ได้ที่ https://www.mea.or.th/our-services/tariff-calculation/other/D5xEaEwgU 

ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ช่องทาง Line: MEA Connect (@MEAthailand) สัญลักษณ์โล่สีเขียวนำหน้าชื่อบัญชีทางการ หรือติดต่อ MEA Call Center 1130 ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้า การไฟฟ้านครหลวง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

Tact ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ความยั่งยืนและโซลูชัน ESG นำเทคโนโลยี AI ขับเคลื่อนการจัดการข้อมูลด้านความยั่งยืน ด้วย Microsoft Cloud for Sustainability เพื่อช่วยองค์กรไทยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ภายใต้กติกาการค้าของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ผ่านระบบการจัดเก็บและบริหารจัดการข้อมูลด้านความยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้บรรลุทั้งเป้าหมาย Net Zero และเป้าหมายความยั่งยืนในมิติต่าง ๆ

Tact นำความเชี่ยวชาญด้านการบริหารธุรกิจอย่างยั่งยืน ผสานกับศักยภาพของ AI จากไมโครซอฟท์เพื่อช่วยองค์กรในส่วนของ Data Automation เพื่อลดความผิดพลาดจาก Human Error ทำให้การรายงาน ESG เป็นไปอย่างอัตโนมัติให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลที่ต้องการ เพื่อลดภาระงานและความซับซ้อนของการจัดการข้อมูล และ Analytic ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการวิเคราะห์ข้อมูล AI จะช่วยตรวจสอบแนวโน้ม และวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

นายชยุตม์ สกุลคู Chief Executive Officer ของ Tact กล่าวว่า "นับเป็นก้าวแรกที่เรานำ เทคโนโลยี AI จากไมโครซอฟท์ เข้ามาพลิกโฉมการบริหารจัดการ ESG ขององค์กร โดยในประเทศไทย หลายองค์กรเริ่มมีความจำเป็นต้องเปิดเผยและรายงานข้อมูล ESG เพื่อตอบรับกับความคาดหวังของนักลงทุนและคู่ค้า  แต่เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ทำให้หลายแห่งขาดองค์ความรู้และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงการจัดการรวบรวมข้อมูลที่มีความซับซ้อน จัดเก็บในลักษณะ Manual หรือบางชุดข้อมูลอาจอยู่นอกเหนือขอบเขตขององค์กร ทั้งหมดนี้คือความท้าทายของการสร้างความโปร่งใสเพื่อตอบรับกับมาตรฐานต่างๆที่มีความจำเป็นขึ้นเรื่อยๆ ในการดำเนินธุรกิจ  การนำ AI เข้ามาใช้ในการบริการจัดการ ESG จึงเป็นแนวทางสำคัญที่จะสามารถปลดล็อกศักยภาพขององค์กร ให้สามารถจัดการกับรูปแบบของข้อมูลที่มีความแตกต่างและกระจัดกระจาย ช่วยองค์กรในวิเคราะห์หา Insight ที่สำคัญ และจัดทำรายงานความยั่งยืนให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล 

Tact มุ่งมั่นที่จะผลักดันภาคธุรกิจให้พร้อมต่อการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่แนวทางความยั่งยืน และ AI จะเป็นหัวใจสำคัญของอนาคต โดยสอดคล้องกับพันธกิจ Driving Sustainability Transformation ของเรา เพื่อช่วยให้องค์กรทุกขนาดสามารถปรับตัวและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศได้อย่างแท้จริง

นายวสุพล ธารกกาญจน์ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า ไมโครซอฟท์เชื่อว่า AI เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพช่วยเร่งให้การดำเนินงานด้านความยั่งยืนทั่วโลกมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบบริการโซลูชั่นต่าง ๆ  ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร และส่งเสริมการกำกับดูแล AI ผ่านการร่วมกับพันธมิตรของเรา ช่วยให้องค์กรธุรกิจต่าง ๆ บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน

ปัจจุบันองค์กรชั้นนำทั่วโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันในการบริหาร ESG ให้มีความถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้ Microsoft Cloud for Sustainability ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายเหล่านี้โดยตรง โดยการนำโซลูชันนี้มาใช้จะช่วยให้องค์กรสามารถยกระดับการบริหาร ESG ได้อย่างเป็นระบบ แม่นยำ และสร้างผลกระทบเชิงบวกในระยะยาว โดย Microsoft Cloud for Sustainability มี Use Case ที่เด่น ๆ ดังนี้

  1. ESG data automation: ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่มีปริมาณมหาศาลและกระจัดกระจายในรูปแบบที่แตกต่างกัน การนำ AI เข้ามาช่วยจัดการข้อมูลขาเข้าจึงเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยลดความซับซ้อนและภาระงานที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยเฉพาะกับข้อมูล manual เช่น บิลน้ำมันหรือบิลค่าไฟ ซึ่งสามารถใช้เทคโนโลยี OCR เข้ามาช่วยประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลที่อ่านได้ เข้าสู่ ESG data management platform โดยตรง ทำให้สามารถนำข้อมูลคุณภาพสูงไปใช้งานต่อได้ทันที พร้อมทั้งช่วยเพิ่มความถูกต้องและความสามารถในการติดตามข้อมูล (data traceability) ตลอดจนยกระดับ productivity ของทีมงานโดยรวม
  2. AI-driven analytics: การนำข้อมูล ESG ไปวิเคราะห์และใช้ในเชิงปฏิบัติยังเผชิญกับข้อจำกัด การนำ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนวิธีการทำงานในองค์กร เช่น สร้าง Forecasting model เพื่อพยากรณ์ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะลดลงจากการทำโปรเจกต์ เพื่อให้เห็นภาพรวมและแนวโน้มในอนาคตก่อนตัดสินใจลงทุน นอกจากนี้ การนำ AI plug-in เข้ามาประยุกต์ใช้ในแดชบอร์ดช่วยให้ผู้ใช้งานที่ไม่ใช่สาย IT สามารถเจาะลึกข้อมูลเชิงลึกได้อย่างอิสระและครบถ้วน ส่งผลให้ได้ insights ที่มีประโยชน์ในการปรับปรุง ESG performance และสนับสนุนการตัดสินใจแบบ data-driven ภายในองค์กรอย่างแท้จริง
  3. ESG Compliance and Benchmarking Insights: ในยุคที่บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูล ESG และถูกประเมินโดยมาตรฐานระดับโลก เช่น DJSI ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือขององค์กรต่อนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจึงมีความสำคัญสูง การนำ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ gap analysis เพื่อเปรียบเทียบการดำเนินงานด้าน ESG กับมาตรฐานต่าง ๆ ช่วยระบุช่องว่างและข้อบกพร่องที่ต้องปรับปรุงได้ชัดเจน พร้อมทั้งใช้ AI ทำ benchmarking analysis เปรียบเทียบกับคู่แข่งหรือมาตรฐานอุตสาหกรรมจากข้อมูลสาธารณะ ช่วยให้บริษัททราบตำแหน่งในตลาดและจุดที่ยังขาดตกบกพร่อง ส่งเสริมให้องค์กรพัฒนาการดำเนินงานด้าน ESG อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความน่าเชื่อถือในระยะยาว

ค์กรที่ต้องการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตของ ESG สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการและโซลูชันของ Tact ได้ที่ www.tact.in.th 

สสว. ประกาศใช้นิยามผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสตรีครั้งแรกของประเทศ เป้าหมายเป็นกิจการที่มีผู้หญิงเป็นเจ้าของ หรือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเป็นผู้มีอำนาจลงนาม ฯลฯ มุ่งตอบรับกับกระแสเศรษฐกิจโลกที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มความเท่าเทียมระหว่างเพศ ที่สำคัญเพื่อสร้างโอกาสให้เอสเอ็มอีสตรีของไทย ได้รับสิทธิประโยชน์และความช่วยเหลือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศ องค์กรระหว่างประเทศและบริษัทข้ามชาติในการเพิ่มศักยภาพธุรกิจ

นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ตามที่ สสว. ได้ขับเคลื่อนและผลักดันการกำหนดนิยามผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสตรี ของประเทศมาตั้งแต่ปลายปี 2565 เป็นต้นมา ขณะนี้ประสบความสำเร็จโดยราชกิจจานุเบกษา ได้ออกประกาศฯ เรื่องการกำหนดนิยามวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสตรี ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ทุกภาคส่วนนำไปเป็นแนวทางในการกำหนดหลักเกณฑ์ขอบข่ายการส่งเสริมสนับสนุน ให้ความช่วยเหลือ รวมถึงจัดทำสิทธิประโยชน์เพื่อการส่งเสริมผู้ประกอบการ SME สตรี และช่วยให้หน่วยงานภาครัฐมีข้อมูลเชิงสถิติที่สามารถจัดทำตัวชี้วัดได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ การดำเนินงานดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางขององค์การสหประชาชาติ ที่กำหนดให้ความเสมอภาคทางเพศ (Gender Equality) เป็น 1 ใน 17 เป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก “Sustainable Development Goals : SDGs”

“ประเทศไทยมิได้มีปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศ โดยเฉพาะเรื่องการดำเนินธุรกิจ อาจจะมีประเด็นเล็กน้อย เช่น ความน่าเชื่อถือในการตัดสินใจ ความไว้วางใจในการจัดลำดับความสำคัญระหว่างงานกับครอบครัว ฯลฯ ซึ่งผู้ประกอบการสตรีไทยก็พิสูจน์ความสามารถจนก้าวขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเป็นจำนวนมาก แต่เพื่อให้ตอบรับกับการที่องค์กรระหว่างประเทศให้ความสำคัญและรณรงค์เรื่องบทบาทของผู้ประกอบการสตรีมาอย่างต่อเนื่อง สสว. จึงได้เริ่มจัดทำนิยามผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสตรีตั้งแต่ปลายปี 2565 โดยศึกษาข้อมูลต้นแบบจากนานาประเทศ ประชุมระดมความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและองค์กรระดับนานาชาติ พร้อมทั้งนำเสนอนิยามผู้ประกอบการเอสเอ๋มอีสตรี และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหาร สสว. และคณะกรรมการส่งเสริมเอสเอ็มอีก่อนจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 142 ตอนพิเศษ 52 ง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำไปใช้เพื่อประโยชน์ต่อการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสตรีต่อไป” รักษาการ ผอ.สสว. กล่าว

สำหรับนิยามผู้ประกอบการสตรีเอสเอ็มอีประกอบด้วย 1. กิจการเจ้าของคนเดียว หมายถึง กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นเจ้าของธุรกิจ 2. ห้างหุ้นส่วนสามัญ หมายถึง กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยมีสัดส่วนการลงทุนรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 3. ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล/ ห้างหุ้นส่วนจำกัด แบ่งเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ (ก) กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยมีสัดส่วนการลงทุนรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 หรือ (ข) กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยมีสัดส่วนการลงทุนรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และมีผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการที่มีอำนาจลงนาม 4. บริษัทจำกัด แบ่งเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ (ก) กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นผู้ถือหุ้นรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 หรือ (ข) กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นผู้ถือหุ้นรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และมีผู้หญิงสัญชาติไทยอย่างน้อยหนึ่งคนเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม 5. วิสาหกิจชุมชน หมายถึง มีสมาชิกไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นผู้หญิงสัญชาติไทย และผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นประธานหรือมีผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นผู้มีอำนาจทำการแทน

ทั้งนี้ ภายหลังที่นิยามผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสตรี ประกาศใช้เรียบร้อยแล้ว สสว. จะทำการเผยแพร่นิยามดังกล่าวเพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ประโยชน์ในการกำหนดทิศทางและแนวทางการส่งเสริม สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสตรี ให้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ นอกจากนี้จะต่อยอดการดำเนินงาน โดยจะประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่มีภารกิจในการจัดเก็บข้อมูลโดยเฉพาะด้านการดำเนินธุรกิจ เพื่อร่วมกันจัดทำฐานข้อมูลผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสตรีของประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อประโยชน์ในการกำหนดทิศทาง นโยบาย และมาตรการส่งเสริม สนับสนุนผู้ประกอบการเสตรี ใอสเอ็มอีให้ได้รับประโยชน์และความช่วยเหลือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศ รวมถึงเชื่อมโยงกับองค์กรระดับนานาชาติในการนำสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มาเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ SME สตรีของประเทศไทย ต่อไป  

กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย (Kenan Foundation Asia) และ แบรนด์ CeraVe (เซราวี) ภายใต้ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในโครงการ Care For All by CeraVe - อาสาสร้างผิวสุขภาพดี เพื่อผนึกกำลังในการสร้างความตระหนักรู้ การมอบโอกาสในการเข้าถึงบริการตรวจและให้คำปรึกษาทางด้านสุขอนามัยของผิวหนังให้แก่กลุ่มเปราะบาง และผู้สูงอายุ โดยมี นายธนสุนทร สว่างสาลี อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานอำนวยการ มูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย และนางสาวอรวรรณ ลาภอำนวยผล ผู้จัดการทั่วไป แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ลงนาม พร้อมคณะผู้บริหารจากทั้งสามหน่วยงาน นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา กรรมการและกรรมการบริหาร มูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย และนางสาวแพร โตเจริญทรัพย์ ผู้จัดการทั่วไปแบรนด์ CeraVe ประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นไปตามภารกิจของที่สามหน่วยงานที่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ และพัฒนาองค์ความรู้การดูแลสุขภาพผิวหนังให้แก่อาสาสมัครและผู้ดูแลผู้สูงอายุ และสอดคล้องกับ พันธกิจของ CeraVe ที่ปรารถนาให้ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงสุขภาพผิวที่ดี โดยสนับสนุนทั้งการฝึกอบรมด้านผิวหนังเพื่อให้ความรู้แก่บุคลากรด่านหน้าทางการแพทย์ อสส. รวมถึงบุคลากรผู้ดูแลผู้สูงอายุ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และการเสริมสร้างความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพผิวให้แก่ชุมชน โดยมีการตั้งเป้าหมายสนับสนุนบุคลากรด่านหน้าทางการแพทย์และกลุ่มเปราะบางในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร มากกว่า 800 ราย ภายในปี 2568 แบ่งเป็นบุคลากรด่านหน้าทางการแพทย์ จำนวน 360 ราย และกลุ่มเปราะบางรวมถึงผู้สูงอายุ จำนวน 500 ราย ณ ห้องประชุมชั้น 2 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร

นายธนสุนทร สว่างสาลี อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า “รู้สึกยินดีที่ทาง CeraVe เห็นถึงความสำคัญของสุขอนามัยทางด้านผิวหนังของผู้สูงอายุ ด้วยอายุที่มากขึ้น ทำให้ผิวหนังของผู้สูงอายุมีเปลี่ยนแปลง ผิวหนังแห้ง ลอกเป็นขุยส่งผลเสียต่อสุขภาพผิว นอกจากนั้นผู้สูงอายุที่เป็นกลุ่มเปราะบาง มักจะพบปัญหาเข้าไม่ถึงบริการสาธารณสุขด้านผิวหนังที่มีคุณภาพ การมีโครงการ “Care For All by CeraVe” จึงเป็นการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุเปราะบางเข้าถึงแพทย์ผิวหนัง  และบุคลากรด่านหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีคุณภาพ ด้วยการเข้าไปให้การรักษา พร้อมกับการให้ความรู้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร หรือผู้ดูแลผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถดูแลผู้สูงอายุให้มีสุขภาพผิวที่ดี ทำให้สุขภาพจิตใจดีตามไปด้วยเช่นกัน”

ทางด้าน นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานอำนวยการ มูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย กล่าวว่า “มูลนิธิคีนันฯ พร้อมดำเนินกิจกรรมเพื่อผลักดันให้คนในชุมชนเข้าถึงทรัพยากรและองค์ความรู้ด้านสุขภาพผิวอย่างทั่วถึง และเป็นศูนย์กลางในการประสานความร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง โครงการนี้เป็นอีกหนึ่งความริเริ่มสร้างสรรค์ที่องค์กรเอกชนอย่างแบรนด์ CeraVe ภายใต้ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด ต้องการยกระดับความเป็นอยู่ของคนไทยในด้านสุขอนามัยโดยเฉพาะเรื่องโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยในชุมชน เพราะเมื่อคุณภาพชีวิตดี ก็จะส่งผลให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพ สอดคล้องกับแนวทางของมูลนิธิที่ต้องการพัฒนาศักยภาพของคนในสังคม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

นางสาวแพร โตเจริญทรัพย์ ผู้จัดการทั่วไปแบรนด์ CeraVe กล่าวว่า “โครงการ ‘Care For All by CeraVe – อาสาสร้างผิวสุขภาพดี’ เกิดขึ้นเนื่องจาก CeraVe แบรนด์ผลิตภัณฑ์เวชสำอางอันดับ 1 ที่แพทย์ผิวหนังแนะนำจากประเทศสหรัฐอเมริกา ปรารถนาให้ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงสุขภาพผิวที่ดี แต่กลับพบว่าประชากรกว่า 3 พันล้านคนทั่วโลกไม่สามารถเข้าถึงการดูแลรักษาด้านผิวหนัง ทั้งจากการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ขาดโครงสร้างพื้นฐานในการให้บริการ และขาดการดูแลและให้การศึกษาอย่างมีคุณภาพ ซึ่งในประเทศไทยเองพบว่าอัตราส่วนจำนวนแพทย์ผิวหนังมีเพียงแค่ 1 คน ต่อจำนวนประชากรถึง 100,000 คน ดังนั้น CeraVe จึงขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะร่วมสนับสนุนเพื่อให้ประชาชนในกลุ่มเปราะบางเหล่านี้ ได้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ด้านผิวหนังให้มากที่สุด ด้วยหลัก 3 ประการ คือ Train – จัดฝึกอบรมด้านผิวหนังเพื่อให้ความรู้แก่บุคลากรด่านหน้าทางการแพทย์ อสส. และผู้ดูแลผู้สูงอายุ Empower - สนับสนุนด้านการเงินให้กับมูลนิธิคีนันฯ ในการดำเนินการและบริหารโครงการ และ Support – ให้บริการตรวจและให้คำปรึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับสุขอนามัยทางด้านผิวหนังให้กับกลุ่มเปราะบาง”

สำหรับประเทศไทย CeraVe ร่วมกับ มูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย ได้เริ่มดำเนินโครงการ “Care For All by CeraVe - อาสาสร้างผิวสุขภาพดี นับตั้งแต่ปี 2567 โดยได้รับเกียรติจากสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร และ กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มาร่วมเป็นพันธมิตรในการดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุนแพทย์ผิวหนัง พัฒนาศักยภาพ อสส. และกลุ่มผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชนให้เข้าถึงทรัพยากรและบริการด้านสาธารณสุขได้มากขึ้น

โครงการ “Care For All by CeraVe - อาสาสร้างผิวสุขภาพดี” จะช่วยให้บุคลากรด่านหน้าทางการแพทย์ในชุมชนและผู้ดูแลผู้สูงอายุ มีเครื่องมือและความรู้ในการให้บริการดูแลสุขภาพผิวขั้นพื้นฐาน ปรับปรุงการส่งมอบการดูแลและผลลัพธ์ของผู้ป่วยผ่านการทำแผนที่การเดินทางของผู้ป่วยอย่างครอบคลุม โดยในช่วงปีที่ผ่านมา โครงการได้จัดกิจกรรม ทั้งการสัมมนาออนไลน์เรื่อง โรคผิวหนังที่พบบ่อยในชุมชน จัดขึ้นโดยแพทย์ผิวหนังจากสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เพื่อให้ความรู้กับบุคลากรทางการแพทย์,พยาบาลวิชาชีพ และแพทย์ชุมชน การจัดอบรมให้กับผู้นำ อสส. เกี่ยวกับความรู้ด้านสุขภาพผิว และทักษะทางสังคมเพื่อยกระดับความเป็นผู้นำ โดยวิทยากรจาก CeraVe และแพทย์ผิวหนังจากสมาคมโรคผิวหนังแห่งประเทศไทย และการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการสำหรับอาสาสมัครด้านสุขภาพ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านการดูแลสุขภาพผิวโดยสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย และผู้เชี่ยวชาญจาก CeraVe

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับกรุงเทพมหานครในการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อจัดบริการให้คำปรึกษาและดูแลสุขภาพผิวเบื้องต้นโดยแพทย์ผิวหนัง ณ หน่วยแพทย์เคลื่อนที่กรุงเทพมหานคร ในเขตดินแดง มักกะสัน คลองเตย คันนายาว ประเวศ และศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค พร้อมจัดกิจกรรมสันทนาการเพื่อสร้างความตระหนักด้านสุขภาพผิวในหมู่ผู้รับบริการ ที่จะดำเนินการตลอดทั้งปี 2568 โดยทางโครงการได้นำร่องในการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในเขตดินแดงเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งมีผู้ได้รับการตรวจคัดกรองและรับคำปรึกษาเบื้องต้นจากแพทย์ผิวหนังจำนวนทั้งสิ้น 171 ราย

โครงการ “Care For All by CeraVe - อาสาสร้างผิวสุขภาพดี” คืออีกหนึ่งการรวมพลังกันอย่างแข็งขันของภาครัฐ เอกชน และเอ็นจีโอ โดยมีความมุ่งมั่นที่จะให้ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในประเทศไทย ก็มีสิทธิเข้าถึงสุขภาพผิวที่ดีได้ และนอกจากนี้เพื่อส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างพันธกิจภายใต้ลอรีอัล กรุ๊ป ในการสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก

X

Right Click

No right click