

บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านบริการเป็นเลิศ จัดงาน “Best Garage & Surveyor Awards 2024” จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อเชิดชูเกียรติผู้ให้บริการอู่ซ่อมรถยนต์และผู้สำรวจภัยที่สร้างมาตรฐานโดดเด่น ทั้งในด้านคุณภาพการซ่อมแซม ความพึงพอใจของลูกค้า และความเป็นมืออาชีพในการสำรวจความเสียหายของยานยนต์ พร้อมมุ่งยกระดับมาตรฐานการให้บริการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

นายลาร์ส ไฮบุทสกี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย กล่าวว่า “อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย เราให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ไม่ใช่แค่การให้ความคุ้มครอง แต่รวมถึงการบริการที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทุกขั้นตอน เราเชื่อว่าการพัฒนาคุณภาพบริการต้องมาพร้อมกับการสนับสนุนพันธมิตรของเรา ทั้งอู่ซ่อมรถยนต์และบริษัทสำรวจภัย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด ด้วยเครือข่ายพันธมิตรกว่า 500 แห่ง ทั่วประเทศ การจัดงานมอบรางวัล “Best Garage & Surveyor Awards 2024” เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นนี้ เราไม่ได้เพียงมอบรางวัลให้กับผู้ที่ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ยังต้องการสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกฝ่ายพัฒนาและยกระดับบริการของตนเอง เพื่อให้ลูกค้าของเราได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด”
พิธีมอบรางวัล “Best Garage & Surveyor Awards 2024” แบ่งรางวัลออกเป็น 2 ประเภท คือ รางวัลมอบให้กับอู่ซ่อมรถยนต์ ยอดเยี่ยม โดยมีเกณฑ์การตัดสิน ได้แก่ ค่าซ่อมที่เหมาะสม ยุติธรรม มีการจัดซ่อมอย่างรวดเร็ว ภายในกำหนดนัดหมายกับลูกค้า การให้บริการพิเศษ บริการรับส่ง บริการเปิดเคลม ขัดสีรอบคัน รับประกันงานซ่อม 1 ปี การซ่อมตามมาตรฐานและมีคุณภาพที่ดีเยี่ยม ไม่มีเรื่องร้องเรียนการบริการ และรางวัลมอบให้กับบริษัท สำรวจภัย ยอดเยี่ยม โดยมีเกณฑ์การตัดสิน ได้แก่ การเดินทางถึงสถานที่เกิดเหตุภายใน 25 นาที (นับจากได้รับแจ้ง) ช่วยรักษาผลประโยชน์ของลูกค้า และอยู่เคียงข้างลูกค้าเสมอ ปฏิบัติตามข้อกำหนดการทำงานอย่างครบถ้วน แนะนำขั้นตอนและอู่ซ่อม ตรวจสอบเคลมตามเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างถูกต้อง ให้บริการที่ดีเยี่ยม ไม่มีเรื่องร้องเรียนการบริการโดยทั้ง 2 รางวัล แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มตามภูมิภาค พื้นที่ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกและภาคตะวันตก และภาคใต้
รายชื่ออู่ซ่อมรถและบริษัทสำรวจที่ได้รับรางวัลมีดังนี้

สำหรับอู่ซ่อมรถยนต์ ที่ได้รับรางวัล อู่ซ่อมรถยนต์ ยอดเยี่ยม
อันดับ 1 บริษัท ส.รุ่งเจริญกลการ จำกัด
อันดับ 2 บริษัท เจ เค รุ่งเรือง จำกัด
อันดับ 3 อู่ พี ซี เซอร์วิส
อันดับ 1 อู่ ชินวัตร
อันดับ 2 บริษัท นาราเจริญกิจ จำกัด
อันดับ 3 บริษัท ระยอง ออโต้คาร์ จำกัด
อันดับ 1 บริษัท มิตรอารีย์ขอนแก่น2009 จำกัด
อันดับ 2 บริษัท ซี.เอส.เค.การาจ จำกัด
อันดับ 3 ห้างหุ้นส่วนจำกัด อู่ ศิริชัย เจริญทรัพย์
อันดับ 1 บริษัท เอ็น.พี.แม่สอด จำกัด
อันดับ 2 ห้างหุ้นส่วนจำกัด น้ำลัดริมกก
อันดับ 3 ห้างหุ้นส่วนจำกัด อู่เศวตยนต์ พะเยา
อันดับ 1 บริษัท อู่ประเสริฐ การช่าง ภูเก็ต จำกัด
อันดับ 2 บริษัท ภูเก็ตค้าสี จำกัด
อันดับ 3 อู่ วิเศษกุลตรัง

สำหรับบริษัท สำรวจประกันภัย ที่ได้รับรางวัล บริษัท สำรวจประกันภัย ยอดเยี่ยม
อันดับ 1 บริษัท 78 เซอร์เวย์เยอร์ จำกัด
อันดับ 2 บริษัท ณัฎฐา (กฎหมายและสำรวจภัย) จำกัด
อันดับ 3 ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอส.เค เคลม 2019 แอนด์ เซอร์เวเยอร์
อันดับ 1 ห้างหุ้นส่วนจำกัด กำจัดภัยเซอร์เวย์
อันดับ 2 บริษัท พระราม 2 เซอร์เวย์ จำกัด
อันดับ 3 บริษัท ศรีโสธร อินเตอร์เคลม จำกัด
อันดับ 1 ห้างหุ้นส่วนจำกัด โสภณอินเตอร์เคลม (2015)
อันดับ 2 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ดีเคลม มาสเตอร์
อันดับ 3 ห้างหุ้นส่วนจำกัด กรกฎสำรวจภัย
อันดับ 1 ห้างหุ้นส่วนจำกัด สยามเซอร์เวย์
อันดับ 2 ห้างหุ้นส่วนจำกัด พิษณุโลก ออโต้เคลม
อันดับ 3 ห้างหุ้นส่วนจำกัด อยุธยาไทยอินเตอร์เคลม
อันดับ 1 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภูเก็ตเซอร์เวย์รถยก
อันดับ 2 บริษัท เอสวี สำรวจภัยนครศรีธรรมราช จำกัด
อันดับ 3 บริษัท อันดามัน ภูเก็ตเคลม จำกัด
อู่ซ่อมรถยนต์ที่ได้รับรางวัลจะได้รับ โล่เกียรติยศ พร้อม ป้ายโครงการ “อู่ Best Garage Allianz Ayudhya” เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของมาตรฐานการบริการที่ยอดเยี่ยม ขณะที่บริษัทสำรวจภัยที่ได้รับรางวัลจะได้รับ โล่เกียรติยศ และประกาศนียบัตร เพื่อเชิดชูพนักงานเซอร์เวย์ที่ให้ความร่วมมือและมอบบริการที่เป็นเลิศ
บริษัทฯ มุ่งหวังว่าการมอบรางวัล Best Garage and Surveyor Awards 2024 จะเป็นแรงกระตุ้นให้พันธมิตรทุกท่านเดินหน้าพัฒนาคุณภาพการให้บริการ เพื่อมอบความสะดวก รวดเร็ว และประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าของเราอย่างต่อเนื่อง
ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ และนายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ขึ้นรับรางวัล Best Community-Based Investment Banking Advisory Firm Thailand จากเวที International Finance Awards 2024 จัดโดย International Finance Magazine นิตยสารด้านธุรกิจและการเงินชั้นนำระดับโลกจากสหราชอาณาจักร

โดยรางวัลดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ให้คำปรึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทีมงานวาณิชธนกิจมืออาชีพที่ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับลูกค้า และรวมทั้งการเป็นที่ปรึกษาการเงินอิสระ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ เมื่อเร็วๆนี้
กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ร่วมกับ สถาบันแห่งชาติเพื่อพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล จัดเสวนา “สร้างเด็ก เก่ง ดี มีสุข ด้วย EF” พร้อมสรุปโครงการให้ความรู้การพัฒนาทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ หรือ EF (Executive Function) ในเด็กเล็กแบบออนไลน์ที่ได้ทำร่วมกันตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา โดยมีคุณครูและผู้ปกครองเข้าร่วมอบรม กว่า 17,407 คน พร้อมเผยผลวิจัยการเลี้ยงดูเด็กด้วยแนวทาง EF ส่งผลต่อพัฒนาการเด็กอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ รวมถึงระดับ IQ ของเด็กเพิ่มขึ้นกว่า 17% ใน 5 ปี นอกจากนี้ เสียงจากพ่อแม่ยังสะท้อนว่า การเล่นแบบ EF ทำให้ลูกรู้จักตั้งเป้าหมาย อดทนรอคอย และมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

รองศาสตราจารย์ นายแพทย์อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อพัฒนาเด็กและครอบครัว กล่าวว่า “สถาบันฯ จะยังคงมุ่งมั่นสร้างและขยายตลาดการเรียนรู้ EF เชื่อมต่อผู้เรียนระดับอุดมศึกษาสู่การศึกษาทั่วไปพร้อมเพิ่มจำนวนนักพัฒนาหรือนักต่อสู้ EF ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ คุณครู นักศึกษา ให้มีมากขึ้น ทำยังไงให้พวกเขาเหล่านี้ เข้าไปอยุ่ในทุกชุมชน สังคม และครอบครัว ให้เกิดการเรียนรู้ตามอัธยาศัย” พร้อมมีแผนการขยายผลให้เกิดการสะสมและแบ่งปันความรู้กันระหว่างผู้เรียน โดยปัจจุบันบทเรียน EF ยังได้ถูกพัฒนาให้เป็นบทเรียนหนึ่งสำหรับหลักสูตรปริญญาโทแล้วด้วย”

นางภรณี กองอมรภิญโญ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่องค์กรสัมพันธ์ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า “เรามุ่งเน้นพัฒนาเด็กให้เป็นทั้งคนดีและคนเก่ง โดยเริ่มโครงการพัฒนา EF ที่ระยองเมื่อ 9 ปีที่แล้ว เพื่อช่วยแก้ปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติดในระยะยาว ปัจจุบันโครงการ “ดาว – อีเอฟ พัฒนาเยาวชนสู่ความสำเร็จ เพื่อระยองผาสุก” มีอาสาสมัครกว่า 1,500 คน และ มีองค์กรพันธมิตรกว่า 40 องค์กร ทำให้เด็กกว่า 50,000 คนได้รับการเรียนการสอนแบบ EF นอกจากนี้เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา Dow ยังขยายโครงการสู่โรงเรียนในกรุงเทพฯ โดยร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ร่วมกับพันธมิตรจัดทำบทเรียนออนไลน์ Basic EF 101 ในรูปแบบ E-learning และสารคดี EF 200 ตอนบนยูทูป Dow Thailand และ ในปีนี้เราจะมีกิจกรรม EF Symposium ระหว่างวันที่ 21-23 สิงหาคม 2568 ที่หอศิลป์กรุงเทพฯ”
“ทักษะสมอง EF ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่ต้องฝึกฝน ทั้งจากครอบครัวและโรงเรียน หลักการสำคัญ 7 ข้อในการส่งเสริม EF ในเด็ก ได้แก่ การเป็นต้นแบบที่ดี, สร้างสัมพันธภาพที่ดี, เปิดโอกาสการเรียนรู้, สนับสนุนอย่างเหมาะสม, สนใจใส่ใจสิ่งที่เด็กทำ, ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ, และหากิจกรรมใหม่ๆ เพื่อให้เด็กได้ใช้ทักษะ EF ใหม่ๆ และเรียนรู้จากความผิดพลาด” อาจารย์ ดร.นุชนาฏ รักษี รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันแห่งชาติเพื่อพัฒนาเด็กและครอบครัวกล่าว

นายธัชชัย ใจคง อดีตรองนายแพทย์สาธารณสุข จังหวัดมุกดาหาร กล่าวว่า “เราเริ่มขับเคลื่อน EF ในปี 2559 ซึ่งขณะนั้น IQ ของเด็กในจังหวัดต่ำมาก เพียง 91.26 โดยในปี 2564 IQ ของเด็กเราเพิ่มขึ้นเป็น 107.35 และ EQ ก็ดีขึ้นด้วย ซึ่งการพัฒนาทักษะสมอง EF ในเด็กต้องเริ่มจากผู้ใหญ่ เน้นการฝึกฝนเด็กอย่างต่อเนื่องและมีการวัดผลอย่างจริงจัง”
อาจารย์ลัดดา กังวานนวกุล ผู้อำนวยการกองการศึกษา เทศบาลตำบลศาลายา กล่าวว่า “หลังจากเข้าร่วมอบรม EF Platform กับมหิดลในเดือนก.พ. 67 เราได้เชิญอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ EF มาพูดคุยกับผู้ปกครอง ทำให้ผู้ปกครองเข้าใจเรื่อง EF มากขึ้น คุณครูได้ทดลองจัดกิจกรรม EF เช่น การเล่านิทาน ร้องเพลง และเล่นเกม พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในเด็กจริงๆ”

นางวณิดา เติมชัยโรจน์ (แม่ปลา) ผู้ปกครองจากจังหวัดสระบุรี ที่เข้าร่วมอบรม EF Platform ทั้ง 11 ตอน เล่าว่า “แพลตฟอร์มนี้แบ่งเป็น EP เหมือนซีรีส์เกาหลี มีผู้เชี่ยวชาญด้าน EF มาช่วยสอน ทำให้เรียนรู้ง่ายและค่อยๆ พัฒนาได้ทีละระดับ สิ่งที่นำมาใช้ได้ดีกับลูกคือ “การเล่น” ในแบบ EF โดยเฉพาะการทำขนม ซึ่งช่วยให้ลูกตั้งเป้าหมาย มีสมาธิ และความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้ว่าครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ควรร่วมเป็นแรงผลักดันให้เด็กเกิด EF ควบคู่กับโรงเรียน”
ท่านสามารถดูย้อนหลังกิจกรรมเสวนา “สร้างเด็ก เก่ง ดี มีสุข ด้วย EF” พร้อมสรุปโครงการ EF Platform ได้ที่ https://www.facebook.com/NICFDMahidol/videos/596923312959626
ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง แบรนด์ “เรืองไพร โปรดักส์” จากโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น งานทำมือ ที่ใส่ใจทุกขั้นตอน โดดเด่นด้วยสีเหลืองนวลธรรมชาติจาก “ดอกดาวเรือง” ที่ดึงดูดใจกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่และกลุ่มที่ชอบซื้อเป็นของขวัญของฝาก โดย ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เลือกเป็นโรงเรียนนำร่องในโครงการผู้ประกอบการจิ๋ว โรงเรียนภายใต้ มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED) เฟสที่ 6 เพื่อพัฒนาศักยภาพทักษะอาชีพให้แก่นักเรียนที่สนใจเป็นผู้ประกอบการ พร้อมเติบโตอย่างแข็งแกร่งร่วมกับซีพี ออลล์ โดยตั้งเป้าพัฒนาสินค้าเพื่อจัดจำหน่ายผ่านช่องทางธุรกิจในกลุ่มซีพี ออลล์

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า จากการเดินหน้า โครงการผู้ประกอบการจิ๋ว ซึ่งเป็นแผนงานหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาโรงเรียนภายใต้ มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED) เฟสที่ 6 ของซีพี ออลล์ โดย โรงเรียนวังไพรวิทยาคม อ.วังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว เป็นหนึ่งในโรงเรียนนำร่องในโซนภาคตะวันออก ที่ได้รับการสนับสนุนองค์ความรู้แลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินโครงการ รวมถึงปัญหาและอุปสรรค จนล่าสุดโรงเรียนได้จัดตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง” รวมถึงเป็นแหล่งผลิตและจำหน่าย “เรืองไพร โปรดักส์” สินค้าผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง อาทิ ผ้าคลุมไหล่ เสื้อ ชุดสูท ชุดเดรส ฯลฯ
“ศูนย์การเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง ตั้งอยู่ที่โรงเรียนวังไพรวิทยาคม ต.วังใหม่ อ.วังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว ถือเป็นแหล่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น ยกระดับรายได้ของเศรษฐกิจในชุมชน และเป็นพื้นที่ให้นักเรียนได้ยกระดับทักษะการเป็นผู้ประกอบการจิ๋ว ด้วยพื้นฐานอาชีพหลักของชาวตำบลวังใหม่คือ อาชีพเกษตรกรปลูกดาวเรือง จึงคิดสร้างสรรค์สกัดสีจากดาวเรืองมาทำเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตสินค้าจากผ้ามัดย้อม โดยใช้ “ใบไม้” มาเป็นลวดลายหลักที่ไม่ซ้ำใคร เนื่องจากสื่อถึงความเป็นธรรมชาติ จัดเป็นสินค้าแรร์ไอเทม ของโรงเรียนเลยทีเดียว” นายยุทธศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติม

นางวรรณวนา พิทักษ์สงคราม ผู้อำนวยการโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว ผู้บริหารโรงเรียนนำร่องโมเดลผู้ประกอบการจิ๋ว เจ้าของผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง กล่าวว่า ที่ผ่านมา ได้รับการสนับสนุนจากซีพี ออลล์ ภายใต้โครงการ CONNEXT ED เฟสแรกๆ จึงได้บูรณาการทักษะที่เกี่ยวข้องกับการปลูกดอกดาวเรืองไปจนถึงทักษะการทำผลิตภัณฑ์จากสีดอกดาวเรืองอย่างผ้ามัดย้อม เข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอนของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ตั้งแต่ กระบวนการปลูก การแปรรูป การตลาด การจัดการบัญชี และการออกแบบแพ็คเกจจิ้ง รวมถึงทักษะการขายออนไลน์บนช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ พร้อมทั้งนำความรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน ตลอดจนครูในโรงเรียนที่จบด้านวิทยาศาสตร์อาหาร และด้านศิลปะ มาถ่ายทอดให้กับนักเรียน จนเด็กนักเรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากสีดอกดาวเรืองและใบไม้ในท้องถิ่น
คุณครูอัมพร สุคนเขตร์ ครูชำนาญการพิเศษวิทยาลัยชุมชนสระแก้ว ผู้รับผิดชอบโครงการการพัฒนาการศึกษาและพัฒนาท้องถิ่น กล่าวเสริมเรื่องบรรยากาศการเรียนการสอนว่า ตลอดระยะเวลา 4 เดือน หรืออย่างน้อย 15 สัปดาห์ ในการอบรมหลักสูตรนี้ เด็กๆ จะได้เก็บเกี่ยวความรู้มากมายผ่านการปฏิบัติจริงสู่การสร้างงานสร้างอาชีพได้ในอนาคต โดยหลักสูตรประกอบด้วย 6 รายวิชา ได้แก่ 1.การเพาะปลูกดาวเรือง 2.การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดาวเรืองเป็นของใช้ อาทิ สบู่ แชมพู ครีมบำรุงผิว 3.การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดาวเรืองเป็นอาหารว่าง และเครื่องดื่ม 4.การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดาวเรืองเป็นผ้ามัดย้อมและผ้าพิมพ์ลายธรรมชาติ (Eco Print) 5.หลักการบริหารธุรกิจ 6.การบริหารจัดการตลาดสมัยใหม่ รู้สึกภูมิใจมากๆ ค่ะที่ได้เห็นเด็กๆ ช่วยการพัฒนาสินค้าด้วยสมองสองมือกันด้วยความตั้งใจ

ด้านตัวแทนผู้ประกอบการจิ๋ว “น้องลูกปลา” นส.แก้วตา เต็งมิ่ง นักเรียนชั้นม.5 ตอบด้วยรอยยิ้มว่าหนูชอบรายวิชาการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดาวเรืองเป็นผ้ามัดย้อมและผ้าพิมพ์ลายธรรมชาติ (Eco Print) ตั้งแต่การปลูก ตัด ตากแห้งดอกดาวเรือง ไปจนถึงกระบวนการมัดย้อมค่ะ ที่ชอบเนื่องจากเราได้ออกแบบจินตนาการลายเองจากใบไม้ที่หาได้ในโรงเรียน ซึ่งแต่ละชิ้นที่ออกมาลายจะไม่ซ้ำกัน เห็นผลงานแล้วรู้สึกภูมิใจค่ะ
“น้องปันปัน” นาย วีรชน มีบุญมาก นักเรียนชั้นม.6 เผยว่าชอบรายวิชาการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดาวเรืองเป็นอาหารว่าง และเครื่องดื่ม เนื่องจากโดยส่วนตัวเป็นคนชอบทำอาหาร ยิ่งพอได้มีโอกาสทำเบเกอรี่และข้าวเกรียบจากดอกดาวเรืองก็ยิ่งสนุก พอลองชิมดูสรุปรสชาติอร่อยครับ เหมาะกับการเป็นอาหารว่างมากๆ ส่วนเครื่องดื่มก็มีการสกัดดอกดาวเรืองมาทำเป็นน้ำดาวเรืองผสมน้ำผึ้งมะนาวโซดา รสชาติหอมอร่อยกลมกล่อม ดื่มแล้วสดชื่นมากครับ
“หนูทั้งสองคนต้องขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี พี่ๆ ทีมงาน ซีพี ออลล์ ที่มาให้ความรู้ด้านการขาย การโปรโมทสินค้าทั้งในช่องทางโซเชียลมีเดีย Tiktok Facebook หรือแม้แต่ทักษะการบริการ การขายของหน้าร้าน ปัจจุบันหนูทั้งสองคนได้นำทักษะเหล่านี้มาใช้ในการช่วยโรงเรียนโปรโมทสินค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเองด้วย ซึ่งสนุกมาก และได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่ดีมากๆค่ะ เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ได้เพิ่มทักษะการขายจริงด้วยค่ะ” น้องๆกล่าวเพิ่มเติม

ปัจจุบันสินค้าได้รับการตอบรับจากคุณครู แพทย์ พยาบาล มียอดสั่งซื้อสูงในช่วงงานเกษียณ งานปีใหม่ สร้างรายได้กลับสู่นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน การบูรณาการให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ทักษะวิชาชีพควบคู่ไปกับทักษะวิชาการ ช่วยให้เด็กๆ หลายคนมีองค์ความรู้ไปต่อยอดสร้างอาชีพให้ทางบ้านและเกิดรายได้จริง หากต้องการอุดหนุนสินค้าสามารถสั่งซื้อได้ 3 ช่องทาง 1.ที่โรงเรียนวังไพรวิทยาคม สามารถเข้ามาชมสินค้าหรือศึกษาชมงานได้ตลอดในเวลาราชการ 2.งานแสดงสินค้า งานอีเว้นต์ หรืองานนิทรรศการต่างๆ 3.ช่องทางออนไลน์ กดติดตามได้ที่ Facebook : Rueang Prai - เรืองไพร โปรดักส์ และในอนาคตซีพี ออลล์ตั้งเป้าพัฒนาสินค้าเพื่อจัดจำหน่ายผ่านช่องทางธุรกิจในกลุ่มซีพี ออลล์เสริมแกร่งสร้างรายได้ยั่งยืน

ปัจจุบัน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ดูแลโรงเรียนภายใต้ CONNEXT ED รวมประมาณ 610 โรงเรียน รวมจำนวนนักเรียนกว่า 160,000 คน โมเดลที่ประสบความสำเร็จของโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว จะเป็นจุดเริ่มต้นในการขยายผลไปสู่โรงเรียนอื่นๆ ภายใต้โรงเรียน CONNEXT ED เพิ่มเติม โดยเฉพาะโรงเรียน CONNEXT ED ในภาคตะวันออก เพื่อสร้างทักษะอาชีพ สร้างรากฐานการศึกษาไทยให้แข็งแรง ช่วยติดอาวุธให้เด็กไทยเติบได้อย่างยั่งยืน
ในปี 2567 การบินไทยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เท่ากับ 187,989 ล้านบาท เพิ่มจาก 161,067 ล้านบาทในปี 2566 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 16.7% ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) เท่ากับ 41,515 ล้านบาทในปี 2567 เพิ่มขึ้นจาก 40,211 ล้านบาทในปี 2566 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 3.2% โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) (EBIT Margin) สำหรับปี 2567 อยู่ที่ 22.1% ซึ่งดีกว่าประมาณการตามแผนฟื้นฟูกิจการ ทั้งนี้ ตามงบการเงินรวมสำหรับปี 2567 การบินไทยมีผลขาดทุน 26,901 ล้านบาท เกิดจากผลขาดทุนทางบัญชีที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการจำนวน 45,271 ล้านบาท ที่บริษัทฯ ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา โดยผลขาดทุนทางบัญชีส่วนใหญ่ประมาณ 40,582 ล้านบาท เกิดจากการใช้สิทธิแปลงหนี้เป็นทุนของเจ้าหนี้ที่ราคาตามแผนฟื้นฟูกิจการซึ่งต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม และส่วนที่เหลือมาจากการแปลงหนี้เป็นทุนของเจ้าหนี้ที่ได้รับการชำระหนี้ที่เร็วกว่ากำหนดที่ระบุไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการ อย่างไรก็ดี รายการดังกล่าวเป็นผลขาดทุนทางบัญชีซึ่งเป็นรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และไม่ได้ส่งผลต่อการออกจากการฟื้นฟูกิจการ เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ภายหลังการปรับโครงสร้างทุนยังคงเป็นบวก
ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจากการดำเนินงาน หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามสัญญาเช่าเครื่องบิน (EBITDA – Aircraft Cash Lease) ตามงบการเงินเฉพาะกิจการสำหรับงวด 12 เดือนย้อนหลังเท่ากับ 41,473 ล้านบาท ซึ่งไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท ตามเงื่อนไขผลสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการ และส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ตามงบเฉพาะกิจการกลับมาเป็นบวกที่ 45,495 ล้านบาท จากที่เคยติดลบ 43,352 ล้านบาทในปี 2566 หลักๆ เกิดมาจากกำไรจากการดำเนินงานในระหว่างปี และผลจากการปรับโครงสร้างทุนภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ ส่งผลให้การบินไทยสามารถบรรลุอีกหนึ่งเงื่อนไขผลสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการ และยังส่งผลให้เหตุแห่งการเพิกถอนหุ้นตามนิยามของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหมดไป และทำให้บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าออกจากแผนฟื้นฟูกิจการและกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการในขั้นตอนถัดไป ที่ประชุมคณะผู้บริหารแผนดำเนินการเพื่อบรรลุเงื่อนไขผลสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการข้อสุดท้าย โดยได้มีมติเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นซึ่งจะจัดขึ้นตามข้อกำหนดของแผนฟื้นฟูกิจการในวันศุกร์ที่ 18 เมษายน 2568 และกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมและออกเสียงในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (Record Date) เป็นวันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติกำหนดจำนวนกรรมการบริษัท จำนวน 11 ท่านหรือ 12 ท่าน ซึ่งประกอบด้วยกรรมการในปัจจุบันจำนวน 3 ท่าน ได้แก่ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร และพลอากาศเอก อำนาจ จีระมณีมัย และกรรมการเข้าใหม่จำนวน 8 ท่านหรือ 9 ท่าน (ตามแต่จำนวนกรรมการที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติอนุมัติ) โดยรายนามกรรมการเข้าใหม่ที่เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาเลือกตั้งประกอบด้วยกรรมการจำนวน 6 ท่าน ได้แก่ นายลวรณ แสงสนิท ดร. กุลยา ตันติเตมิท นายชาครีย์ บำรุงวงศ์ พลตำรวจเอก ธัชชัย ปิตะนีละบุตร นายชาติชาย โรจน์รัตนางกูร และนายชาย เอี่ยมศิริ และกรรมการอิสระจำนวน 3 ท่าน ได้แก่ นายณปกรณ์ ธนสุวรรณเกษม นายยรรยง เดชภิรัตนมงคล และนายสัมฤทธิ์ สำเนียง ทั้งนี้ ภายหลังจากบริษัทฯ ได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นแล้ว และได้รับอนุญาตจากศาลล้มละลายกลางแล้ว บริษัทฯ จะดำเนินการจดทะเบียนการเปลี่ยนแปลงจำนวนกรรมการ และการแต่งตั้งจดทะเบียนกรรมการใหม่ ก่อนที่จะดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะผู้บริหารแผนเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติอนุมัติการลดมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) ของหุ้นของบริษัทฯ จากหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1.30 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมทางบัญชีของบริษัทฯ ให้ใกล้เคียงศูนย์มากที่สุด โดยจะทำให้ทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วของบริษัทฯ ลดลงจากจำนวนประมาณ 283,033 ล้านบาท เป็นจำนวนประมาณ 36,794 ล้านบาท และทำให้ผลขาดทุนสะสมลดลงเหลือ 180 ล้านบาท ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้หรือบริษัทฯ แต่อย่างใด และไม่ส่งผลกระทบต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมในงบการเงินของบริษัทฯ อีกทั้ง ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าบริษัทหรือมูลค่าต่อหุ้น เนื่องจากมูลค่าต่อหุ้นไม่ได้ถูกกำหนดจากมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) และเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทฯ สามารถพิจารณาจ่ายเงินปันผลในอนาคตให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ รวมถึงเจ้าหนี้จากการแปลงหนี้เป็นทุน และเป็นการเพิ่มความน่าสนใจของหุ้นให้แก่นักลงทุนภายหลังการกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือหากในอนาคต บริษัทฯ ต้องการที่จะระดมทุนเพิ่มเติมโดยการออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อนำมาใช้ในการประกอบกิจการหรือชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัทฯ ก็สามารถดำเนินการได้โดยไม่ติดขัดเรื่องผลขาดทุนสะสมซึ่งเป็นเพียงตัวเลขทางบัญชีอีกต่อไป
รายละเอียดผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) และบริษัทย่อย มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 187,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26,922 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 161,067 ล้านบาท หรือคิดเป็น 16.7% โดยในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทฯ มีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 16.14 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.38 ล้านคนจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ปรับตัวลดลงจาก 79.7% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 78.8% ทั้งนี้ รายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องมาจากอุตสาหกรรมการบินที่เติบโตขึ้นอย่างมาก ความต้องการการเดินทางของผู้โดยสารที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งบริษัทฯ ได้มีการขยายฝูงบิน เพิ่มจำนวนเที่ยวบิน และเพิ่มจุดบินใหม่เพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว
ในขณะที่ค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) เท่ากับ 146,474 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีค่าใช้จ่ายรวม 120,856 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 21.2% โดยส่วนใหญ่เกิดจากค่าใช้จ่ายที่ผันแปรตามปริมาณการผลิตและปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง 50,474 ล้านบาท หรือคิดเป็น 34.5% ของค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 41,515 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีกำไร 40,211 ล้านบาท

บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นการรับรู้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) จำนวน 18,781 ล้านบาท และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิเป็นค่าใช้จ่ายรวม 49,260 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากการผลขาดทุนทางบัญชีที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการจำนวน 45,271 ล้านบาท ที่บริษัทฯ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี รายการดังกล่าวเป็นผลขาดทุนทางบัญชีซึ่งเป็นรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และไม่ได้ส่งผลต่อการออกจากการฟื้นฟูกิจการ เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ภายหลังการปรับโครงสร้างทุนยังคงเป็นบวก
บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีผลขาดทุนสุทธิตามงบการเงินรวมเท่ากับ 26,901 ล้านบาท ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 28,123 ล้านบาท และมี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินรวมค่าเช่าเครื่องบินจากการใช้เครื่องบินที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hours) 41,839 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อน 1,036 ล้านบาท
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 292,508 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 53,517 ล้านบาท หรือ 22.4% หนี้สินรวมจำนวน 246,919 ล้านบาท ลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 35,214 ล้านบาท หรือ 12.5% และส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 45,589 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 88,731 ล้านบาท ซึ่งโดยหลักมาจากกำไรจากการดำเนินงานในระหว่างปี และผลจากการปรับโครงสร้างทุนภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ
ปัจจุบันบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีอากาศยานที่ใช้ทำการบินรวมทั้งสิ้น 79 ลำ แบ่งเป็นแบบลำตัวกว้างและลำตัวแคบ จำนวน 59 ลำ และ 20 ลำตามลำดับ โดยตารางบินฤดูหนาว ประจำปี 2568 ของบริษัทฯ วางแผนทำการบินไปยัง 64 จุดบินเช่นเดียวกับในปี 2567 แต่มีจำนวนเที่ยวบินทั้งหมด 883 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 40 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ จากปี 2567 ที่มี 843 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เพื่อรองรับการเดินทางของผู้โดยสารในเส้นทางบินยอดนิยม รวมถึงรองรับการเดินทางที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเร่งขยายขนาดฝูงบินให้เพียงพอต่อแผนเส้นทางบิน จำนวนเที่ยวบิน และความต้องการเดินทางของผู้โดยสาร เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการหารายได้ตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ และนำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอนาคตต่อไป
เมื่อเร็วๆ นี้ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยนางพิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รับมอบรางวัล 2024 Champion Security Award, Best in Class Performance (Thailand) จากวีซ่า ผู้นำระดับโลกด้านการชำระเงินดิจิทัล โดยมร. สเตฟาน ดีฮูเร่ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารจัดการความเสี่ยง ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ณ โรงแรมดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อกฯ รางวัลอันทรงเกียรติดังกล่าวมอบให้แก่องค์กรที่มีมาตรฐานด้านการบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัยทางการเงินสูงสุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

นางพิทยา กล่าวว่า "ในยุคดิจิทัลที่มีความซับซ้อนและความเสี่ยงทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เคทีซีให้ความสำคัญกับการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางการเงิน และการพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องในทุกกระบวนการทำงาน โดยเฉพาะการวางรากฐานโครงสร้างการทำงานไอทีกับบุคลากร เสริมกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพเหนือระดับ ตามแผนกลยุทธ์ “Building a Sustainable Future Through Digital Transformation” รวมทั้งมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสมาชิกผู้ใช้บริการ ล่าสุดยังได้นำเสนอบัตรเครดิต “เคทีซี ดิจิทัล” สำหรับกลุ่มสมาชิกพรีเมียม ซึ่งเป็นบัตรเครดิตโปร่งแสงที่ไม่มีหมายเลขบัตรและเลข CVV บนบัตร เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แก่การทำธุรกรรมออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้กับวงการการเงินในประเทศไทย”

รางวัล “Champion Security Award, Best in Class Performance (Thailand)” สะท้อนถึงความเป็นผู้นำของเคทีซีด้านเทคโนโลยีทางการเงินในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีการบริหารจัดการความเสี่ยงและการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่มีประสิทธิภาพในระดับสากล เพื่อให้สมาชิกสามารถใช้บริการทางการเงินได้อย่างมั่นใจ ซึ่งเคทีซีครองแชมป์รางวัลดังกล่าว 2 ปีติดต่อกัน
เมื่อเร็วๆ นี้ นายสุทธิพงค์ ลิ่มศิลา หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด (กลาง) และนางศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้แทนเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) (ที่ 2 จากซ้าย) พร้อมพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ได้แก่ นายอัครเรศร์ ชูช่วย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมตะ ฟาซิลิตี้ เซอร์วิส จำกัด (ที่ 2 จากขวา), นายสุรพงษ์ อติชาดศรีสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท ทีมพลาส เคมีคอล จำกัด (ขวาสุด) และ นางสาวสุพิชฌาย์ ปานผดุง รองนายกเทศมนตรี ตำบลดอนหัวฬ่อ (ซ้ายสุด) ร่วมเปิดโครงการ Zero Waste School : Turn Plastic by Kids Refun(D) จัดตั้งธนาคารขยะพลาสติกในโรงเรียน เพื่อมุ่งปลูกจิตสำนึกเด็กไทยรู้คุณค่าขยะรีไซเคิล ร่วมกันลดขยะ และนำขยะพลาสติกเหล่านั้นกลับมาปฏิรูปใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยริเริ่มโครงการ ณ โรงเรียนเทศบาลดอนหัวฬ่อ 1 (บ้านมาบสามเกลียว) เป็นแห่งแรก เพื่อเป็นโมเดลในการจัดการขยะพลาสติกในชุมชนโดยมีโรงเรียนเป็นสื่อกลางและขยายผลไปยังโรงเรียนหรือในชุมชนอื่นต่อไป
ทั้งนี้ โครงการ Zero Waste School: Turn Plastic by Kids Refun(D) เป็นส่วนหนึ่งของบันทึกข้อตกลงด้านความยั่งยืนระหว่างคาโอและเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยมุ่งหวังที่จะลดปัญหาขยะพลาสติกตามหลักการ EPR (Extended Producer Responsibility) ในการขยายความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของผู้ผลิตให้ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตของสินค้าและบรรจุภัณฑ์ เพื่อส่งเสริมการจัดการขยะหรือบรรจุภัณฑ์พลาสติกจากการใช้งานของผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพ ผ่านการมีส่วนร่วมของเยาวชนและบุคลากรในโรงเรียน โดยมีแนวคิดหลักคือ การเก็บรวบรวมและจัดแยกขยะพลาสติก การประเมินมูลค่าและนำไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) เพื่อนำไปผสมในบรรจุภัณฑ์พลาสติกของบริษัทฯ หรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์รีไซเคิลและอัพไซเคิล มุ่งส่งเสริมจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
ขนมไทยฟีเวอร์!!! ไม่เกินจริง เซเว่น อีเลฟเว่น ผลักดันผู้ประกอบการ SME ไทยต่อเนื่อง จัดแคมเปญเอาใจสายหวาน Desert Lover กับแคมเปญ “ขนมหวาน SME ชื่นใจรับลมร้อน” ชวนคนไทยอุดหนุนขนมหวานสัญชาติไทย หาทานง่ายในเซเว่นฯ กว่า 50 รายการ พร้อมเปิดตัวขนมหวานใหม่แกะกล่อง ท้าให้ชิมก่อนใคร อาทิ ขนมหม้อแกงกะทิสดเผือกหอม ลุงอเนก, เปียกปูนดำกะทิสด EZY-Sweet, ขนมถั่วแปบ EZY-Sweet, ขนมไข่เนยลูกเกด มหานคร, ลูกชุบมะม่วง และ ทองหยิบดอกไม้ บ้านทองหยอด พร้อมด้วยขนมหวานอีกมากมาย ภายใต้คอนเซ็ปต์ อร่อยใหม่ หลากหลาย สะดวกทุกที่ เข้าถึงคนรุ่นใหม่ เริ่มอุดหนุนได้แล้ววันนี้ที่เซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขา
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ได้จัดแคมเปญ “ขนมหวาน SME ชื่นใจรับลมร้อน” เป็นหนึ่งในพันธกิจเพื่อการสนับสนุนและสร้างการรับรู้ให้กับสินค้าจากผู้ประกอบการ SME โดยเน้นการพัฒนาศักยภาพผ่านการคิดค้นและสร้างสรรค์สินค้าใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค จึงได้ร่วมมือกับ SME ที่มีแนวคิดทันสมัย ในการพัฒนาขนมไทยเมนูใหม่ๆ พร้อมเปิดโอกาสทางการตลาด และสร้างพื้นที่ให้สินค้าหลากหลายประเภทได้เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง ด้วยการวางจำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น ทั่วประเทศ

ที่ผ่านมาสินค้าขนมไทย ฝีมือ SME ไทยในร้านเซเว่นฯ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสินค้ามีหลากหลาย ออกใหม่อย่างต่อเนื่อง และหาทานยาก บริษัทจึงส่งเสริมให้ SME ได้คิดสร้างสรรค์การผลิตขนมเมนูใหม่ๆ ภายใต้คอนเซ็ปต์ อร่อยใหม่ หลากหลาย สะดวกทุกที่ เข้าถึงคนรุ่นใหม่ เพื่อเสิร์ฟให้ถึงมือผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุช่วง 18 – 35 ปี ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มนักเรียน นักศึกษา พนักงานออฟฟิศ รวมถึงสาย Foodies สาย Desert Lover จะรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้ง ที่ได้ลิ้มลองอะไรใหม่ๆ และรู้สึกภูมิใจที่ได้อุดหนุนผู้ประกอบการ SME ไทย เป็นอีกหนึ่งแคมเปญในการสนับสนุนสินค้าคนไทย ตามนโยบาย SME โตไกลไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

โดยไฮไลต์ความพิเศษที่ห้ามพลาด! สำหรับแคมเปญ “ขนมหวาน SME ชื่นใจรับลมร้อน” คือการเปิดตัวขนมไทยออกใหม่ นำขบวนความอร่อย อาทิ ขนมหม้อแกงกะทิสดเผือกหอม ลุงอเนก, เปียกปูนดำกะทิสด EZY-Sweet ,ขนมถั่วแปบ EZY-Sweet, ขนมไข่เนยลูกเกด มหานคร, ลูกชุบมะม่วง และ ทองหยิบดอกไม้ บ้านทองหยอด โดยจะมีสินค้าขนมไทยใหม่ๆ ออกมาอีกอย่างต่อเนื่อง ที่ถ่ายทอดความอร่อยตาม 4 คอนเซ็ปต์หลัก ได้แก่ 1.อร่อยใหม่ รวมขนมไทยอร่อยไม่ซ้ำ รสชาติเป็นเอกลักษณ์ที่ 2.หลากหลาย เซเว่นฯ ได้รวบรวมขนมหวาน ขนมไทยไว้มากกว่า 50 รายการ ไม่ว่าจะเป็นขนมไทยในหมวดน้ำกะทิเข้มข้น หมวดทานแล้วสดชื่นอย่าง วุ้น พุดดิ้ง หรือหมวดขายดีตลอดกาลอย่าง เฉาก๊วยหนึบ 3.สะดวกทุกที่ มาพร้อมแพ็คเก็จจิ้งที่ทันสมัย ใช้งานง่าย ขนาดพอดีในการรับประทาน ซึ่งเซเว่น อีเลฟเว่น ร่วมพัฒนาและให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการ SME อย่างต่อเนื่อง 4.เข้าถึงคนรุ่นใหม่ ออกเมนูใหม่ๆ ที่คงความอร่อย ดีไซน์รูปแบบและแพคเกจจิ้งที่ดึงดูดใจ ผู้บริโภค และหาซื้อง่าย โดยสินค้าทุกรายการพร้อมวางจำหน่ายที่เซเว่นฯ ทั่วประเทศ หรือสั่งผ่านเซเว่น เดลิเวอรี่ บน 7 App ในไอคอนหมวดหมู่สินค้า “สนับสนุน SME” ที่รวบรวมขนมไทย ขนมทานเล่นไว้มากมาย
ทั้งนี้ เพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับสินค้าในแคมเปญ “ขนมหวาน SME ชื่นใจรับลมร้อน” จะติดตั้งป้ายสื่อข้อความของแคมเปญไว้ที่บริเวณชั้นวางสินค้า SME เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้บริโภคเห็นชัดเจน และเป็นการส่งเสริมการขายให้กับสินค้าขนมหวานจาก SME เพิ่มขึ้น ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมและยกระดับสินค้าคนไทยไปด้วยกัน

สำหรับขนมหวานที่เข้าร่วมรายการกว่า 50 รายการ ได้แก่ ขนมหม้อแกงกะทิสดเผือกหอม, เปียกปูนดำกะทิสด,ขนมถั่วแปบ, ขนมไข่เนยลูกเกด, ลูกชุบมะม่วง , ทองหยิบดอกไม้, เต้าฮวยฟรุตสลัด, ลูกตาลผสมวุ้นมะพร้าวในน้ำตาลสด, ลอดช่องไทย, ตะโก้ข้าวโพดกะทิสด, บัวลอยเผือกทรงเครื่องกะทิสด, โมจิหยดน้ำ , วุ้นเป็ดกะทิมะพร้าวน้ำหอม, ไข่มุกพุดดิ้งนมสดเม็ดแมงลัก, สาคูลำไยนมสด และซาหริ่มมะพร้าวอ่อน เป็นต้น

ทั้งนี้ เซเว่น อีเลฟเว่น ภายใต้บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ถือเป็นหนึ่งในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการสนับสนุน SME ตามนโยบาย “SME โตไกลไปด้วยกันอย่างยั่งยืน” พร้อมทั้งเดินหน้า กลยุทธ์ 3 ให้ ประกอบด้วย 1.ให้ช่องทางขาย 2.ให้ความรู้ และ 3.ให้การเชื่อมโยงเครือข่าย ช่วยเหลือ SME อย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์เซเว่น อีเลฟเว่น สนับสนุนเอสเอ็มอี เป็นแกนหลักช่วยให้ผู้ประกอบการ SME เข้าถึงแหล่งข้อมูล ความรู้ งานวิจัย ตลอดจนเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนในการสร้างการเติบโตให้ SME ไทยเปี่ยมศักยภาพเติบโตในเวทีการค้าโลกได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่สนใจขอรับคำปรึกษากับทางศูนย์เซเว่น อีเลฟเว่น สนับสนุนเอสเอ็มอี สามารถดำเนินการผ่าน 2 ช่องทางหลัก ได้แก่ 1.นัดหมายผ่านช่องทาง Call Center เบอร์ 02-826-7750 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-17.00 น. และ 2.ผ่านทาง Email : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือ กดลิงค์ขอรับคำปรึกษาที่ www.7smesupportcenter.com ตลอด 24 ชั่วโมง