December 06, 2025

ดีป้า ผสานความร่วมมือกับ กรมการข้าว บริษัท เก็ทเกษตร จำกัด และ บริษัท จั่วได้จั่วดี จำกัด เดินหน้าโครงการสื่อสารความรู้ทางการเกษตรเชิงรุกทางดิจิทัลด้านข้าว เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านเกษตรกรรม โดยเฉพาะ ‘ข้าว’ ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลอย่าง ‘เกม’ ที่จะช่วยดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้สามารถเข้าถึงและเข้าใจกระบวนการปลูกข้าว ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ พร้อมเร่งสร้างความตระหนักรู้ด้านข้าวให้กับผู้บริโภค

ดร.รัฐศาสตร์ กรสูต รองผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า พร้อมด้วย นายอานนท์ นนทรีย์ รองอธิบดีกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวธันยธร จรรยาวรลักษณ์ ประธานกรรมการ บริษัท เก็ทเกษตร จำกัด และ นายอัคคภพ จันทรศรีวงศ์ กรรมการ บริษัท จั่วได้จั่วดี จำกัด (จั่วสตูดิโอ) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการสื่อสารความรู้ทางการเกษตรเชิงรุกทางดิจิทัลด้านข้าว โดยมีผู้บริหารจากทั้ง 4 หน่วยงานร่วมเป็นสักขีพยาน ณ อาคารดีป้า (สำนักงานใหญ่)

สำหรับโครงการสื่อสารความรู้ทางการเกษตรเชิงรุกทางดิจิทัลด้านข้าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการเกษตร โดยเฉพาะ ‘ข้าว’ ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลอย่าง ‘เกม’ ที่จะช่วยดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้สามารถเข้าถึงและเข้าใจกระบวนการปลูกข้าว ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำได้โดยง่าย พร้อมกันนี้ยังเป็นการเดินหน้าสร้างความตระหนักรู้ด้านข้าวให้กับผู้บริโภค

โดย ดร.ปรีสาร รักวาทิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า เปิดเผยว่า ภารกิจสำคัญที่ ดีป้า ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องคือ การส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มและทุกช่วงวัยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล เรียนรู้ และประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ โดย ดีป้า ได้ออกแบบ Digital Skill Roadmap เพื่อเป็นกรอบแนวทางการพัฒนาทักษะดิจิทัลคนไทยใน 3 กลุ่มทักษะ ได้แก่ Digital Skill for All ทักษะดิจิทัลสำหรับทุกคน Digital-driven Career ทักษะดิจิทัลสำหรับอาชขีพยุคใหม่ และ Digital Professional ทักษะดิจิทัลสำหรับอาชีพด้านดิจิทัล พร้อมกันนี้ยังส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเกมของประเทศ พร้อมจัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมอุตสาหกรรมเกม เพื่อเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานและพัฒนาอุตสาหกรรมเกมไทยในทุกมิติ

สำหรับความร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรในครั้งนี้ถือว่าตรงตามวัตถุประสงค์การดำเนินงานของสำนักงานฯ โดยมีการนำเกมมาประยุกต์ใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อสารองค์ความรู้ด้านเกษตรกรรม โดยเฉพาะข้าว พืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ซึ่ง ดีป้า มองว่า เกมจะช่วยเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการปลูกข้าวที่ถูกต้องให้กับผู้ประกอบการ เกษตรกรรุ่นใหม่ รวมถึงประชาชนทั่วไป สามารถดึงดูดความสนใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่สนุกและเข้าถึงง่าย โดย ดีป้า จะมุ่งส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเกมในรูปแบบดิจิทัลที่ทันสมัย ตอบโจทย์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ในยุคปัจจุบันผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

 

ขณะที่ นายอานนท์ กล่าวว่า กรมการข้าว เป็นหน่วยงานที่มีความพร้อมด้านองค์ความรู้ด้านข้าว ด้านนวัตกรรม และการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการวิจัย พัฒนา และส่งเสริมการผลิตข้าวของประเทศไทย รวมถึงใช้สื่อประชาสัมพันธ์สมัยใหม่เพื่อเผยแพร่การบริหารจัดการเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเหมาะสม ครอบคลุมสาธารณชนทุกช่วงวัย โดยในส่วนของความร่วมมือในครั้งนี้ กรมการข้าว พร้อมให้การสนับสนุนข้อมูลวิชาการเกี่ยวกับพันธุ์ข้าว กระบวนการปลูก ตลอดจนการจัดการน้ำ เพื่อนำไปเป็นข้อมูลและปรับใช้ในการดำเนินกิจกรรมภายในเกม เพื่อให้มั่นใจว่า เกมจะให้ความรู้ที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน

ด้าน นางสาวธันยธร กล่าวว่า เก็ทเกษตร เป็นองค์กรที่มุ่งมั่นเชื่อมโยงเทคโนโลยีกับภาคการเกษตร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยผ่านองค์ความรู้ นวัตกรรม และการพัฒนาชุมชนการเกษตรอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลและเครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ เพื่อช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้อย่างสะดวกและแม่นยำ ซึ่งการดำเนินงานครั้งนี้ เก็ทเกษตร จะเข้ามามีบทบาทในการแปลงองค์ความรู้ทางการเกษตรให้เป็นข้อมูลที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้สำหรับประชาชนทั่วไปผ่านการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือสื่อสารที่เหมาะสม เพื่อให้ข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร แต่ยังช่วยให้คนทั่วไปตระหนักถึงความสำคัญของการเกษตรและสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้

นายอัคคภพ กล่าวว่า จั่วสตูดิโอ เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการออกแบบและพัฒนาบอร์ดเกมให้เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเกษตรผ่านกระบวนการเล่นเกมที่สนุกสนานและเข้าถึงได้ง่าย เพื่อให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่สามารถเรียนรู้เรื่องเกษตรกรรมได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยการดำเนินงานครั้งนี้ จั่วสตูดิโอ มีบทบาทในการพัฒนาเนื้อหาเกมและกิจกรรมที่สามารถสื่อสารข้อมูลด้านการเกษตรให้น่าสนใจและเข้าใจง่าย โดยการออกแบบเกมจะคำนึงถึงความสมดุลระหว่างความสนุกและสาระความรู้ เพื่อให้มั่นใจว่า ผู้เล่นจะได้รับทั้งความเพลิดเพลินและความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเกษตร 

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการเปิดตัว QuestKaset: RiceStory บอร์ดเกมที่ได้รับการพัฒนาโดย จั่วสตูดิโอ เพื่อจำลองสถานการณ์การบริหารทรัพยากรและวางแผนการเพาะปลูก โดย QuestKaset: RiceStory ถือเป็นเวอร์ชันพิเศษที่ได้รับความร่วมมือจาก กรมการข้าว ในเรื่องขององค์ความรู้และข้อมูลพันธุ์ข้าว โดยเกมจะเน้นไปที่องค์ความรู้เกี่ยวกับข้าวไทย การทำนาในบริบทของชาวนาไทย และความเข้าใจในความสำคัญของการเลือกใช้พันธุ์ข้าวที่เหมาะสม มีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนและผู้สนใจทั่วไปได้สัมผัสกับกระบวนการทำนาอย่างลึกซึ้งในรูปแบบที่สนุกและเข้าถึงง่าย เพิ่มความน่าสนใจ และสร้างการรับรู้ โดย จั่วสตูดิโอ มีแผนต่อยอดตัวละครในเกมออกมาในรูปแบบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือการ์ตูน แอนิเมชัน และของสะสม เพื่อให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปสามารถเรียนรู้เรื่องการเกษตรผ่านช่องทางที่หลากหลายและเข้าถึงได้โดยง่าย

 

ทั้งนี้ โครงการสื่อสารความรู้ทางการเกษตรเชิงรุกทางดิจิทัลด้านข้าวมีการจัดการแข่งขันบอร์ดเกมระดับภูมิภาคใน 4 ภาค เพื่อคัดเลือกตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันในงาน Toyota Farm Expo 2025 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 25 - 28 กันยายน 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยการแข่งขันดังกล่าวจะเป็นเวทีให้ผู้เล่นจากทั่วประเทศได้แสดงทักษะและความรู้ด้านการเกษตรผ่านการเล่นเกม เสริมสร้างความตระหนักรู้ และกระตุ้นความสนใจในภาคการเกษตรให้แพร่หลายยิ่งขึ้น

บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย จัดงาน “ITALY FAIR 2025” ขนทัพผลิตภัณฑ์อาหารและวัตถุดิบคุณภาพพรีเมียม ส่งตรงจากประเทศอิตาลี รวมกว่า 300 รายการ ให้ผู้บริโภคลิ้มรสความอร่อยสไตล์อิตาเลียนแท้ พร้อมชูไฮไลต์โปรโมชันลดสูงสุด 30 % ตั้งแต่วันนี้ - 5 มีนาคม 2568 ที่ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ 10 สาขาที่ร่วมรายการ และช่องทางออนไลน์

 

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี กล่าวว่า บิ๊กซี มีความตั้งใจผลักดันและเผยแพร่วัฒนธรรมอิตาลีอันทรงเสน่ห์ ผ่านอาหารที่สดใหม่และวัตถุดิบคุณภาพชั้นเลิศจากแหล่งท้องถิ่น เพื่อให้ลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้สัมผัสกับสินค้าต้นตำรับจากอิตาลี ในราคาที่คุ้มค่าและสะดวกมากขึ้น เพียงมาช้อปที่ บิ๊กซี ณ สาขาที่ร่วมรายการ ซึ่งเราเชื่อมั่นว่างาน “ITALY FAIR 2025” ครั้งนี้ จะตอบโจทย์ไลฟสไตล์อิตาเลียนเลิฟเวอร์ และกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้า รวมถึงสามารถผลักดันยอดขายให้เติบโตกว่า 5 ล้านบาท อย่างแน่นอน

 

บิ๊กซี มุ่งมั่นในการคัดสรรผลิตภัณฑ์อาหารและวัตถุดิบคุณภาพพรีเมียม นำเข้าจากประเทศอิตาลี รวมกว่า 300 รายการ เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกชิมและช้อปกันอย่างจุใจ พร้อมมอบโปรโมชันลดสูงสุด 30 % หลากหลายแบรนด์ด้วยกัน อาทิ

  • วัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารแบรนด์ Fiamma, Sacla, Pomi, Drogheria, AGNESI, BERTOLLI, MUTTI และ CIRIO
  • อาหารสดแบรนด์ RANA (PASTA FRESH)
  • เครื่องดื่มและผงชงดื่มแบรนด์ San Pellegrino, Aqua panna, LAVAZZA

อีกทั้งยังมีสินค้าสุดเอ็กซ์คลูซีฟ วางจำหน่ายเฉพาะที่ บิ๊กซี เท่านั้น อาทิ แบรนด์ COOP Italy เป็นต้น

ขอเชิญชวนลูกค้าทุกท่าน มาช้อปปิ้งในงาน “ITALY FAIR 2025” ได้ตั้งแต่วันนี้ - 5 มีนาคม 2568 ณ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ 10 สาขาที่ร่วมรายการ ได้แก่ สาขาพระราม 4, สาขาสะพานควาย, สาขาลาดพร้าว 2, สาขาเมกา บางนา, สาขาพัทยา 2,  สาขาพัทยา 3, สาขาภูเก็ต 1, สาขาภูเก็ต 2, สาขาสมุย, และสาขาเชียงใหม่ 2 รวมถึงช่องทางออนไลน์

พิเศษ! สมาชิกบิ๊กพอยต์ “สุขไปกันใหญ่ บิ๊กพอยต์ แต้มความสุข แลกง่ายได้ทุกวัน” ยิ่งสะสมมากยิ่งได้มากทุกการใช้จ่าย 25 บาท = 1 คะแนน ใช้คะแนนแลกรับส่วนลดทันที เช็กโปรโมชันดี ๆ ได้ทุกวันที่ บิ๊กซี


หมายเหตุ: เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำจุดยืนการผู้นำธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “โกลบอล อินเด็กซ์ 16/6 (ชนิดมีเงินปันผล)” ประกันชีวิตประเภทสะสมทรัพย์ที่มุ่งเน้นการยกระดับการวางแผนการเงินที่ให้ผลตอบแทนแบบการันตี เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนได้วางแผนทางการเงินที่เติบโตอย่างมั่นคง กระจายการลงทุนในยุคที่เศรษฐกิจผันผวน และรับสิทธิในการลดหย่อนภาษี

โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้ความคุ้มครองซึ่งครอบคลุมทั้งด้านความคุ้มครองชีวิต และด้านการสะสมทรัพย์ มีระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัยที่สั้น พร้อมได้รับผลตอบแทนแบบการันตีทั้งเงินคืนระหว่างสัญญาและเงินคืนก้อนใหญ่เมื่อครบสัญญา อีกทั้งโอกาสที่จะได้รับเงินปันผลเพิ่มเติมจากการลงทุนในดัชนีระดับโลก

แบบประกันสะสมทรัพย์ “โกลบอล อินเด็กซ์ 16/6 (ชนิดมีเงินปันผล)” มีจุดเด่นดังนี้

  • ชำระเบี้ยสั้น เพียง 6 ปี คุ้มครองนาน 16 ปี
  • การันตีผลตอบแทน พร้อมเงินจ่ายคืนทุก 2 ปี ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 2 เป็นต้นไป สูงสุด 6% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย และรับเงินก้อนใหญ่เมื่อครบกำหนดสัญญา สูงถึง 590% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
  • โอกาสรับผลตอบแทนที่มากขึ้นในรูปแบบเงินปันผล (ถ้ามี) จากการลงทุนระดับโลก ที่บริหารจัดการ การลงทุนโดยซิตี้ จากประเทศสหรัฐอเมริกา
  • เบี้ยประกันภัยสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาทต่อปี (ตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร)

ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต และบริการให้สามารถเข้าถึงผู้คนให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ทุกคนสามารถดูแลครอบครัว ธุรกิจ และชุมชนได้อย่างมั่นใจ พร้อมเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป

บีเจซี เฮลท์แคร์ จับมือ DK Medical Systems เปิดตัวศูนย์ฝึกอบรมเทคโนโลยีการแพทย์ หวังกระชับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการแพทย์ ยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพผ่านปัญญาประดิษฐ์ พร้อมประยุกต์ AI ใช้กับเครื่องเอกซเรย์รุ่นล่าสุด สนับสนุนการวินิจฉัยโรคแม่นยำสูงขึ้น เพิ่มโอกาสตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี ผู้ดำเนินธุรกิจพาณิชยกรรม ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าและบริการครบวงจร เปิดเผยว่า บีเจซี เฮลท์แคร์ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ด้านเวชภัณฑ์และเภสัชภัณฑ์ ภายใต้การบริหารงานของ บีเจซี ร่วมกับ DK Medical Systems ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำของเกาหลีใต้ จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเทคโนโลยีทางการแพทย์แห่งใหม่ X-Cellence Training Center ณ อาคารบีเจซี 2 เพื่อกระชับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการแพทย์ รวมถึงยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ท่ามกลางกระแสการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชีย

 

สำหรับจุดเด่นของความร่วมมือครั้งนี้อยู่ที่การนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในระบบเครื่องเอกซเรย์รุ่นล่าสุด Elin T7 ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับการวินิจฉัยโรคให้มีความแม่นยำสูงขึ้น โดย AI จะทำหน้าที่วิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์และช่วยระบุตำแหน่งของรอยโรคที่สำคัญ ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเทคโนโลยี AI ที่อยู่ในระบบยังสามารถเรียนรู้และพัฒนาความแม่นยำในการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง ผ่านการประมวลผลข้อมูลภาพถ่ายจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดในการวินิจฉัย และเพิ่มโอกาสในการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

ขณะเดียวกัน ศูนย์ฝึกอบรมแห่งใหม่นี้จะเป็นฐานสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยี AI ในทางการแพทย์ระหว่างผู้เชี่ยวชาญของทั้งสองประเทศ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะของบุคลากรทางการแพทย์ในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อการวินิจฉัยโรค นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของภูมิภาค (Medical Hub) และนโยบาย New Southern Policy ของเกาหลีใต้ ที่มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรมกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

นางฐาปณี กล่าวว่า การผสานความร่วมมือด้านเทคโนโลยี AI ทางการแพทย์ระหว่างไทยและเกาหลีใต้ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพของประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ร่วมกันในอนาคต ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาระบบสาธารณสุขที่ยั่งยืนในภูมิภาคต่อไป

ในปี 2023 - 2025 ตลาดเครื่องมือแพทย์ของไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดว่ามูลค่าตลาดรวมการจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ในประเทศจะเติบโตเฉลี่ย 5.5 – 7% ต่อปี ขณะที่ภาพรวมกลุ่มธุรกิจ บีเจซี เฮลท์แคร์ ในปีนี้ ยังอยู่ในทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงตั้งเป้าหมายการเติบโตจากปีก่อน ประมาณ 8% ซึ่งเติบโตกว่าอัตราการเติบโตของตลาดโดยรวมในปีที่ผ่านมา

ภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องมือด้านเวชภัณฑ์และเภสัชภัณฑ์ในปีนี้ ยังมองว่าตลาดนี้ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุนหลัก อย่าง เทรนด์การรักษาสุขภาพของผู้คนในยุคนี้ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลใส่ใจสุขภาพร่างกายกันอย่างมาก รวมถึงมองหาการบริการหรือตัวช่วยที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง การตรวจสุขภาพต่าง ๆ เพื่อป้องกันการเกิดโรคภัย การรักษาโรคอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการพยายามเข้าถึงการบริการที่ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ดูดี สวยงามมากขึ้น

ข้อมูลเกี่ยวกับ DK Medical Systems ผู้นำด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ ก่อตั้งขึ้นในปี 1992 ได้สร้างความก้าวหน้าในวงการแพทย์ด้วยการนำเข้าเทคโนโลยีการวินิจฉัยด้วยภาพที่ทันสมัย และเป็นผู้นำตลาดเอกซเรย์ดิจิทัลในเกาหลี และล่าสุดบริษัทได้ขยายขอบเขตการดำเนินงานสู่ความร่วมมือด้านการรักษาด้วยเทคโนโลยี Heavy Ion Therapy พร้อมทั้งให้การสนับสนุนด้านการศึกษา การวิจัยและการประยุกต์ใช้ทางคลินิกอย่างต่อเนื่อง โดยประสบความสำเร็จในการเปิดตัวนวัตกรรมล่าสุด 'INNOVISION Elin-T7 wide' เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลระดับพรีเมียมที่ได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย พร้อมดีเทคเตอร์ ขนาด 47x47 เซนติเมตร นับเป็นครั้งแรกของโลก ที่สามารถครอบคลุมพื้นที่การตรวจวินิจฉัยได้กว้างขึ้น โดยเฉพาะในการถ่ายภาพรังสีบริเวณช่องท้องที่สามารถบันทึกภาพได้ครบถ้วนในครั้งเดียว ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยทางคลินิก และช่วยลดความจำเป็นในการถ่ายภาพซ้ำ ถือเป็นการลดการได้รับรังสีที่ไม่จำเป็นของผู้ป่วยอีกด้วย

นายอเนก โคตรพรหมศรี ผู้อำนวยการฝ่ายกรรมสิทธิที่ดิน  การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม เป็นประธานในกิจกรรมการสร้างชุมชนเครือข่ายเป็นมิตรกับทางพิเศษ และกิจกรรมการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัยทางพิเศษฉลองรัช ประจำปี 2568 ณ บริเวณโรงเรียนบ้านหนองระแหง (ชมแสงประชานุกูล) สำนักงานเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร

นายอเนก โคตรพรหมศรี ผู้อำนวยการฝ่ายกรรมสิทธิที่ดิน กทพ. กล่าวว่า ได้ตระหนักและให้ความสำคัญ ในการเสริมสร้างสังคมในพื้นที่รอบเขตทางพิเศษให้เกิดความเข้มแข็ง ความสามัคคี และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้นระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทยและชุมชนรอบเขตทางพิเศษ โรงเรียน และหน่วยงานอื่น ๆ รอบเขตทางพิเศษอย่างยั่งยืนลดพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้ชุมชนช่วยดูแลพื้นที่รอบเขตทางพิเศษ โดยการจัดกิจกรรมการสร้างชุมชนเครือข่ายเป็นมิตรกับทางพิเศษ และกิจกรรมการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัย ทางพิเศษฉลอง ประจำปี 2568 ในวันนี้ ได้รับความร่วมมือจาก โรงเรียนบ้านหนองระแหง (ชมแสงประชานุกูล) ชุมชนร่มรื่น ชุมชนริมคลองหนองระแหง สำนักงานเขตคลองสามวา สถานีดับเพลิงบางเขน สถานีตำรวจนครบาลคันนายาว เข้าร่วมกิจกรรมการฝึกซ้อมป้องกันและระงับอัคคีภัย ซึ่ง กทพ. ต้องขอขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีมาโดยตลอด สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ กทพ. ได้จัดให้ความรู้วิธีการดับเพลิง การฝึกซ้อมขั้นตอนอพยพกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การช่วยฟื้นคืนชีพ (First Aid & CPR) ให้กับชาวชุมชนรอบเขตทางพิเศษ ในการป้องกันและระงับอัคคีภัยรวมถึงให้ความช่วยเหลือในกรณีเกิดอัคคีภัย พร้อมทั้งได้มอบถังดับเพลิง จำนวน 40 ถัง อุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียนบ้านหนองระแหง (ชมแสงประชานุกูล) มอบถังดับเพลิง จำนวน 10 ถัง ให้กับชุมชนร่มรื่น และมอบถังดับเพลิง จำนวน 10 ถัง ให้กับชุมชนริมคลองหนองระแหง อีกด้วย

“การทางพิเศษฯ ได้นำทางพิเศษฉลองรัชเข้าสู่ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 จนถึงปัจจุบัน ข้อกำหนดมาตรฐานของระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 : 2015 ได้กำหนดให้ การทางพิเศษฯ ทำการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัยใต้ทางพิเศษ อย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานใกล้เคียง ในการรองรับหากเกิดอัคคีภัยใต้ทางพิเศษ หรือในชุมชนใกล้เคียง แสดงให้เห็นว่าการทางพิเศษฯ กับชุมชนรอบเขตทางพิเศษมีความร่วมมือที่ดีต่อกัน ผมหวังว่ากิจกรรม ในวันนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างการทางพิเศษฯ และชุมชนรอบเขตทางพิเศษ ก่อให้เกิดความเข้าใจ ที่ดีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ลดพื้นที่เสี่ยงเพื่อให้ชุมชนช่วยกันดูแลพื้นที่รอบเขตทางพิเศษ โดยการทางพิเศษฯ ก็จะจัดกิจกรรมดี ๆ อย่างนี้ต่อไป” นายอเนก ฯ กล่าวในท้ายที่สุด

นายอดิศร  พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายและตรวจสอบ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เปิดเผยว่า จากการที่สำนักงาน คปภ. ได้กำหนดทิศทางและการดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. ในส่วนของธุรกิจประกันภัยให้มีเสถียรภาพความมั่นคง ปรับตัวได้ เท่าทันความเสี่ยงและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหนึ่งในภารกิจของแผนงานดังกล่าว คือ การยกระดับการตรวจสอบและการกำกับดูแลบริษัทประกันภัยผ่านแบบประเมิน Examination Form สำนักงาน คปภ. จึงได้มอบหมายให้สายตรวจสอบ ซึ่งนำโดยนายโสรัจจ์ แรกสกุลชัย ผู้ช่วยเลขาธิการ สายตรวจสอบ เดินหน้าพัฒนาแบบประเมิน Examination Form เพื่อใช้ประเมินการปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริษัท คณะกรรมการชุดย่อย และหน่วยงานกำกับภายใน (Key Control Function) ของบริษัทประกันภัย   ในมิติของการปฏิบัติตามกฎหมายของบริษัทประกันภัยที่ต้องดำเนินการภายใต้กฎหมายของสำนักงาน คปภ. โดยแบบประเมินดังกล่าวถูกพัฒนาให้มีข้อคำถามที่สะท้อนถึงการทำหน้าที่ของคณะกรรมการบริษัท คณะกรรมการชุดย่อย และหน่วยงานกำกับภายใน (Key Control Function) เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทประกันภัยมีระบบการบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายในที่เหมาะสม รวมถึงดูแลให้ระบบต่างๆ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีมาตรการถ่วงดุลอำนาจ (Check and Balance) มุ่งเสริมสร้างความโปร่งใส มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี รวมถึงมีการกำกับดูแลการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมต่อผู้เอาประกันภัย   อันนำมาซึ่งเสถียรภาพความมั่นคง ปรับตัวได้ เท่าทันความเสี่ยงและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปของบริษัทประกัน

นายอดิศร  พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายและตรวจสอบ ได้กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน สายตรวจสอบ ได้พัฒนาแบบประเมิน Examination Form เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะมีการประเมินใน 9 ส่วน ประกอบด้วย 1) คณะกรรมการบริษัท 2) คณะกรรมการตรวจสอบ 3) คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง 4) คณะกรรมการผลิตภัณฑ์ประกันภัย 5) คณะกรรมการลงทุนและคณะกรรมการสินเชื่อ 6) หน่วยงานตรวจสอบภายใน 7) หน่วยงานบริหารความเสี่ยง 8) หน่วยงานคณิตศาสตร์ประกันภัย และ 9) หน่วยงานดูแลการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยจะมีการจัดส่งแบบประเมิน Examination Form ให้บริษัทประกันภัยจัดทำเป็นประจำทุกไตรมาส เริ่มตั้งแต่ไตรมาสที่ 1/2568 เป็นต้นไป ซึ่งในไตรมาสที่ 1/2568 กำหนดระยะเวลาให้บริษัทประกันภัยจัดทำให้แล้วเสร็จและนำส่งมายังสำนักงาน คปภ. ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2568 และเพื่อให้การตอบแบบประเมินมีประสิทธิภาพ น่าเชื่อถือ เนื่องจากเป็นการให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้ประเมินตนเอง สำนักงาน คปภ. กำหนดให้ข้อคำถามบางข้อบริษัทต้องแนบเอกสารที่เกี่ยวข้องประกอบการตอบแบบสอบถาม นอกจากนี้ ผลการตอบแบบประเมิน Examination Form ของหน่วยงานกำกับภายในที่สำคัญของบริษัท (Key Control Function) จะต้องให้คณะกรรมการชุดย่อยที่ดูแลหน่วยงานดังกล่าวเป็นผู้พิจารณาคำตอบและลงนามรับรองผลการตอบโดยประธานคณะกรรมการชุดย่อยนั้นๆ สำหรับผลการตอบของคณะกรรมการชุดย่อยและคณะกรรมการบริษัท ให้คณะกรรมการบริษัทเป็นผู้พิจารณาคำตอบ ทั้งนี้ผลการตอบแบบประเมิน Examination Form ทุกหมวดจะต้องนำเวียนให้คณะกรรมการบริษัททุกท่านพิจารณาให้ความเห็นชอบ และลงนามรับรองการตอบโดยประธานคณะกรรมการบริษัทมายังสำนักงาน คปภ. ซึ่งสำนักงาน คปภ. โดยสายตรวจสอบจะรวบรวมผลการตอบแบบประเมิน Examination Form มาใช้ในการประเมินความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ ของสายตรวจสอบที่มีอยู่ในปัจจุบัน อาทิ แบบประเมินตนเองระดับองค์กร (Self-Assessment Questionnaire: SAQ) และแบบประเมินตนเองระดับกิจกรรม (Risk and Control Matrix: RCM) เพื่อนำมากำหนดมาตรการในการตรวจสอบและกำกับดูแลตามความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยต่อไป

“ผลของการยกระดับการตรวจสอบและการกำกับดูแลบริษัทประกันภัยผ่านแบบประเมิน Examination Form ไม่เพียงช่วยให้สำนักงาน คปภ. มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการติดตามและตรวจสอบตามความเสี่ยง แต่ยังช่วยให้บริษัทประกันภัยมีเครื่องมือในการติดตามประเมินการปฏิบัติงานด้วยตนเองของคณะกรรมการบริษัท คณะกรรมการชุดย่อย และหน่วยงานกำกับภายใน (Key Control Function) เป็นประจำทุกไตรมาส และยังเป็นโอกาสให้บริษัทพิจารณาทบทวน ผลงานรวมถึงนำไปปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบของคณะกรรมการให้เกิดประโยชน์แก่บริษัทอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด รวมถึงเป็นมาตรการในเชิงป้องกัน (Preventive Measure) การปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายของบริษัท นอกจากนี้ การยกระดับการตรวจสอบและการกำกับดูแลบริษัทประกันภัยผ่านแบบประเมิน Examination Form จะช่วยให้อุตสาหกรรมประกันภัยมีมาตรฐานและแนวปฏิบัติในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริษัท คณะกรรมการชุดย่อย และหน่วยงานกำกับภายใน (Key Control Function) ที่เป็นไปในทิศทางตามแนวทางสากล อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างเสถียรภาพ และเพิ่มความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมประกันภัยในระยะยาว และที่สำคัญสามารถป้องกันปัญหาของความเสี่ยงเชิงระบบ ลดผลกระทบเชิงลบต่อการดำเนินธุรกิจที่จะนำไปสู่ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อผู้เอาประกันภัยและประชาชนในอนาคต กับทั้งช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เอาประกันภัย ประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียในอุตสาหกรรมประกันภัยด้วย” นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายและตรวจสอบ กล่าวในตอนท้าย

 

นายจักรพงศ์ โอแสงธรรมนนท์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ (ขวา) ธนาคารกสิกรไทย นายอิทธิพล เลิศศักดิ์ธนกุล (ซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ EXIM BANK พร้อมด้วย นายเดวิด ลอร์เร้นซ์ ไม้ค์เคิลส์ (กลาง) ประธานคณะกรรมการ และกรรมการผู้อำนวยการ บมจ. จี เอ็ม เอส เพาเวอร์ และ บจก. รี เอนเนอร์ยี ร่วมลงนามสนับสนุนทางการเงินสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) วงเงิน 410 ล้านบาทแก่ บจก. รี เอนเนอร์ยี ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม บมจ. จี เอ็ม เอส เพาเวอร์ ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยธนาคาร    กสิกรไทย และ EXIM BANK สนับสนุนวงเงินแห่งละ 50% ณ ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆ นี้

การสนับสนุนสินเชื่อในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า 21.49 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ ซิตี้ จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดจำหน่ายผ่านสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (Private PPA) ให้แก่บริษัทผู้รับซื้อไฟฟ้า ซึ่งนับเป็นโครงการที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงช่วยให้ธุรกิจของผู้รับซื้อไฟฟ้าสามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Commitment) ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานของทั้งสองธนาคารที่มุ่งมั่นให้บริการทางการเงินไปพร้อมกับการสร้างความยั่งยืนให้กับภาคธุรกิจและส่งเสริมให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero 

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งเดินหน้าบทบาทธนาคารเพื่อสังคม ในการขยายผลสร้าง Social Impact ให้เกิดแก่ผู้คนและสังคมในวงกว้างมากขึ้น ผ่านการดำเนินภารกิจหลักต่าง ๆ โดยเฉพาะการส่งเสริมทักษะความรู้ด้านการเงิน (Financial Literacy) และจุดพลังการออมอย่างมีเป้าหมายให้ประชาชน ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นที่ธนาคารริเริ่มพัฒนาเครื่องมือเสริมทักษะด้านการเงินแนวใหม่ในรูปแบบบอร์ดเกม “มันนี่ปังปัง” เพื่อตอบโจทย์ความสนใจและปลูกฝังความรู้ ความเข้าใจ และสร้างวินัยทางการเงินให้กับกลุ่มเยาวชน โดยวางเป้าหมายขยายการใช้งานบอร์ดเกมดังกล่าวในสถานศึกษา บนความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งมีการนำร่องส่งมอบให้กับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พร้อมจัดกิจกรรมการแข่งขันบอร์ดเกมให้กับบุคลากรในสังกัด สพฐ. และนักเรียน เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในวิธีการเล่น ก่อนที่จะนำไปขยายผลการใช้งานในโรงเรียนในเครือข่ายทั่วประเทศ

บอร์ดเกม “มันนี่ปังปัง” เป็นสื่อการเรียนรู้เชิงรุกที่พัฒนาขึ้น เพื่อหวังเจาะกลุ่มเป้าหมายเยาวชนคนรุ่นใหม่ ด้วยรูปแบบเกมที่มีการผสมผสานระหว่างบอร์ดเกมกับการจำลองสถานการณ์ทางการเงิน ทำให้ผู้เล่นได้รับความสนุกไปพร้อม ๆ กับการได้รับความรู้ความเข้าใจในการวางแผนการเงินในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างสมจริง สามารถจัดสรรเงินเพื่อการใช้จ่าย บริหารหนี้ และวางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับความรู้ในการวางแผนการเงินที่จะปูทางไปสู่การวางแผนการออมอย่างมีเป้าหมายในอนาคต โดยบอร์ดเกมดังกล่าวเป็นสื่อส่งเสริมความรู้ด้านการออมที่เป็นผลผลิตต่อยอด จากทีม “โค้ชออม” วิทยากรด้านการออมและการเงิน และแอปพลิเคชัน “โค้ช-ออม” (CoachAom)” นวัตกรรมออนไลน์ที่ช่วยให้การวางแผนการเงินและการออมบรรลุเป้าหมายได้ด้วยตนเอง

นายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอุเดด สุวันนะวง ประธานสภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ร่วมงานสัมมนาทางธุรกิจ (Business Forum) หัวข้อ “เบิ่งโอกาส สานประโยชน์ ก้าวสู่ความรุ่งโรจน์ร่วมกัน” จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศ ในโอกาสนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว เดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกรัฐบาล ณ โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ได้กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสเฉลิมฉลองการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สปป.ลาว ครบ 75 ปี ทำให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกันในหลายด้าน ทั้งนี้ EXIM BANK เปิดดำเนินงานสำนักงานผู้แทนในเวียงจันทน์ สปป.ลาว ตั้งแต่ปี 2561 มุ่งทำหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนการค้าและการลงทุนของผู้ประกอบการไทย-สปป.ลาว อาทิ ธุรกิจพลังงานทางเลือก อาหารสัตว์ และการท่องเที่ยว โดยสอดคล้องกับบทบาทของ EXIM BANK สู่การเป็น Green Development Bank โดยล่าสุด EXIM BANK มีความร่วมมือกับธนาคารการค้าต่างประเทศลาว มหาชน (Banque Pour Le Commerce Exterieur Lao Public : BCEL) สนับสนุนการใช้เงินกีบเป็นเงินสกุลหลักในสปป.ลาว เพื่อลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน สนับสนุนให้ภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตและการพัฒนาในระดับชุมชน ประเทศ และโลกโดยรวม

X

Right Click

No right click