December 06, 2025

ขวดและฝาผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงชนิดไร้กลิ่น คงความหอม และคุณภาพครบถ้วน เพิ่มโอกาสการแข่งขัน พร้อมส่งออกตลาดโลก

ในวันที่เงื่อนไขการต่ออายุ Copayment กำลังจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป  สำหรับผู้ที่สนใจการทำประกันสุขภาพ อาจต้องทำความเข้าใจ 2 เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับความรับผิดชอบ 2 แบบที่มีผลต่อการเคลมประกันของผู้เอาประกันภัย ซึ่งอาจมีความคล้ายกันในความต่าง คือ “ความรับผิดชอบส่วนแรก (Deductible)” และ เงื่อนไขการต่ออายุแบบ Copayment”  และหากใครมีความกังวล “กรุงเทพประกันชีวิต” มีแบบประกันสุขภาพที่คุ้มครองครอบคลุมก่อน Copayment มีผลบังคับโดยสามารถสมัครทางออนไลน์ง่ายๆ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ

ประกันสุขภาพแบบ Deductible VS Copayment ต่างกันอย่างไร?

ก่อนที่จะมีการนำเรื่อง Copayment มาใช้กับประกันสุขภาพนั้น ธุรกิจประกันชีวิตได้มีการพัฒนาแบบประกันสุขภาพที่ผู้ถือกรมธรรม์ต้องมีส่วนร่วมในค่าใช้จ่ายสุขภาพที่เกิดขึ้นด้วย นั่นคือ แบบประกันสุขภาพแบบ Deductible หรือที่เรียกกันว่า ประกันสุขภาพแบบรับผิด(ชอบ)ส่วนแรก

  1. ประกันสุขภาพแบบมีความรับผิดส่วนแรก (Deductible)

แบบประกันแบบ Deductible มีลักษณะที่ผู้ถือกรมธรรม์จะเป็นผู้รับผิดชอบเงินค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพส่วนแรกก่อนบริษัทประกันทุกครั้งที่มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ความรับผิดชอบส่วนแรกเป็นไปตามข้อตกลงที่ผู้ถือกรมธรรม์เป็นผู้เลือกและกำหนดไว้ในกรมธรรม์ตั้งแต่แรก เช่น เลือกรับผิดชอบส่วนแรก 30,000 บาท เป็นต้น ผู้ถือกรมธรรม์จึงมีส่วนร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่กรมธรรม์มีผลบังคับ และบริษัทประกันจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือตามความคุ้มครองของกรมธรรม์ฉบับนั้น

  1. ประกันสุขภาพแบบมีค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment)

ขณะที่แบบประกันแบบ Copayment คือประกันที่ผู้ถือกรมธรรม์ร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกัน แต่จะใช้การกำหนด “สัดส่วนของค่าใช้จ่าย” ที่ผู้ถือกรมธรรม์จะมีส่วนร่วมรับผิดชอบ

ทำความรู้จัก Copayment เงื่อนไขต่ออายุใหม่ของประกันสุขภาพ

เงื่อนไขต่ออายุ Copayment เป็นการเพิ่มเงื่อนไขในปีต่ออายุกับแบบประกันสุขภาพมาตรฐาน และการร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายจะเกิดขึ้นเมื่อเข้าเงื่อนไข Copayment ที่กำหนดไว้ โดยมีผลบังคับกับผู้ถือกรมธรรม์แต่ละราย ขณะที่ผู้ถือกรมธรรม์คนอื่นๆ ที่ไม่เข้าเงื่อนไขที่กำหนดจะยังคงได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์เช่นเดิมต่อไป จึงต่างจากแบบประกันแบบ Deductible ที่ผู้ถือกรมธรรม์ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบตั้งแต่ต้น

เงื่อนไขต่ออายุแบบ Copayment ที่กำลังจะนำมาใช้กับประกันสุขภาพมาตรฐาน จะระบุอยู่ในกรมธรรม์ฯ ของแบบประกันสุขภาพมาตรฐานที่มีผลเริ่มบังคับตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป โดยมีผลทั้งแบบประกันสุขภาพที่มีจำหน่ายในปัจจุบันและในแบบประกันใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเฉพาะกรมธรรม์ที่มีพฤติกรรมการเคลมที่เข้าเงื่อนไขต่ออายุแบบ Copayment จะต้องร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตามเงื่อนไขในปีถัดไป การร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายจึงมีผลเมื่อมีการต่ออายุในปี 2569 และจะพิจารณาการเข้าเงื่อนไข Copayment อีกครั้งสำหรับการต่ออายุในปี 2570 และปีต่อๆ ไป

สำหรับผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพที่มีผลบังคับก่อน 20 มีนาคม 2568 นั้นไม่ได้มีการใส่เงื่อนไข Copayment ในกรมธรรม์ จึงยังคงเป็นไปตามกรมธรรม์ตลอดระยะเวลาที่กรมธรรม์ให้ความคุ้มครอง อย่างไรก็ตามกรมธรรม์เหล่านี้มีโอกาสที่จะสิ้นสุดความคุ้มครอง ถ้าไม่มีการชำระเบี้ยภายใน 90 วัน ตั้งแต่วันครบกำหนดชำระเบี้ย ผู้ถือกรมธรรม์จึงไม่ควรปล่อยให้กรมธรรม์เหล่านี้ขาดอายุ

กรมธรรม์ประกันสุขภาพอะไรบ้างที่มีเงื่อนไขต่ออายุแบบ Copayment

  1. กรมธรรม์ประกันสุขภาพมาตรฐานที่เริ่มคุ้มครอง ตั้งแต่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป จะมีเงื่อนไขการต่ออายุแบบ Copayment ระบุในกรมธรรม์ โดยจะมีเกณฑ์การเข้าเงื่อนไขต่ออายุ Copayment ระบุไว้อย่างชัดเจน
  2. กรมธรรม์ประกันสุขภาพมาตรฐานทั้งหมด ที่ขาดอายุเกิน 90 วัน และขอต่ออายุโดยปรับวันที่เริ่มคุ้มครองใหม่ ตั้งแต่ 20 มีนาคม 2568

หลักเกณฑ์การเข้าเงื่อนไขมีค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) ในปีต่ออายุ

  • เงื่อนไขที่ 1 การเคลมผู้ป่วยใน (IPD) สำหรับการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Simple Diseases)

กรณีผู้เอาประกันภัยมีการเรียกร้องผลประโยชน์ผู้ป่วยในจากการป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปในรอบปีกรมธรรม์ และ มีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากสาเหตุข้างต้นภายใต้สัญญาเพิ่มเติมฉบับนี้ ตั้งแต่ 200% ของเบี้ยประกันสุขภาพขึ้นไป

= จ่ายร่วม 30% ของค่าใช้จ่ายที่ได้รับความคุ้มครองในปีถัดไป

  • เงื่อนไขที่ 2 การเจ็บป่วยโรคทั่วไป (ไม่รวมโรคร้ายแรงและการผ่าตัดใหญ่)

กรณีผู้เอาประกันภัยมีการเรียกร้องผลประโยชน์ผู้ป่วยในที่ไม่ใช่โรคร้ายแรง, การผ่าตัดใหญ่ และการป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปในรอบปีกรมธรรม์ และ มีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากสาเหตุข้างต้นภายใต้สัญญาเพิ่มเติมฉบับนี้ ตั้งแต่ 400% ของเบี้ยประกันสุขภาพขึ้นไป

= จ่ายร่วม 30% ของค่าใช้จ่ายที่ได้รับความคุ้มครองในปีถัดไป

  • เงื่อนไขที่ 3 หากการเคลมเข้าเงื่อนไข ทั้งในเงื่อนไขที่ 1 และ เงื่อนไขที่ 2

กรณีผู้เอาประกันภัยมีการเรียกร้องผลประโยชน์ผู้ป่วยในที่เข้าเงื่อนไข ทั้งในเงื่อนไขที่ 1 และ เงื่อนไขที่ 2

= จ่ายร่วม 50% ของค่าใช้จ่ายที่ได้รับความคุ้มครองในปีถัดไป

โดยการเข้าเงื่อนไข Copayment จะมีการพิจารณาทุกรอบปีกรมธรรม์ ขึ้นกับอัตราการเคลมทั้ง 3 กรณีในปีนั้นๆ หากปีไหนที่ไม่เข้าเงื่อนไข ผู้ถือกรมธรรม์ก็จะสามารถกลับไปจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพในอัตราปกติได้

อุ่นใจในทุกจังหวะชีวิต ด้วยประกันสุขภาพออนไลน์ จากกรุงเทพประกันชีวิต

ปัจจุบัน กรุงเทพประกันชีวิตมีแบบประกันสุขภาพออนไลน์ที่ตอบโจทย์ความคุ้มครองครอบคลุม ซึ่งก็คือ ประกันสุขภาพออนไลน์ บีแอลเอ คอมพลีท เฮลธ์  ที่ซื้อง่าย ไม่ต้องตรวจสุขภาพ

จุดเด่นความคุ้มครอง

  • คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลสูงสุด 5,000,000 บาทต่อครั้ง 1 ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปี
  • ครอบคลุมค่าห้องพักเดี่ยวราคาเริ่มต้นของโรงพยาบาล 1
  • กรณีเข้าพักรักษาตัวจากโรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดสมอง รับผลประโยชน์รวมสูงสุดเพิ่มเป็น 5,500,000 บาท 1
  • เมื่อได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง 1 ใน 20 โรค เป็นครั้งแรก รับ 100,000 บาท
  • อายุผู้รับประกันภัย 20 - 65 ปี สามารถซื้อให้ตัวเองและคนที่รักได้ โดยเลือกจ่ายเบี้ยได้ทั้งแบบรายเดือนและรายปี

สำหรับใครที่กังวลเงื่อนไขต่ออายุแบบ Copayment ขอแนะนำซื้อประกันสุขภาพไว้ก่อน เพื่อให้กรมธรรม์ประกันสุขภาพมีผลบังคับก่อน 20 มีนาคม 2568 สามารถกดซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้เลย สะดวก ไม่ต้องตรวจสุขภาพ >> https://bla.bangkoklife.com/cphprarticle


1 สำหรับแผนความคุ้มครอง 3

- โปรดทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไขและข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

บริษัท ซีพี บีแอนด์เอฟ บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ยกขบวนนวัตกรรมเครื่องดื่มแห่งอนาคต และโซลูชั่นครบวงจร ตอบโจทย์ผู้ประกอบการ HORECA รุ่นใหม่สู่ความสำเร็จ ภายใต้ทิศทางของบริษัท “CP B&F Beverages of Tomorrow: ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จด้านธุรกิจเครื่องดื่มของผู้ประกอบการ” ในงานมหกรรม THAIFEX-HOREC Asia 2025 งานแสดงสินค้ากลุ่มธุรกิจ HORECA ที่ครบครันที่สุดในภูมิภาคเอเชีย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 มีนาคม 2025 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี

 

นายสรรเสริญ สมัยสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี บีแอนด์เอฟ กล่าวว่า  บริษัทให้บริการเครื่องดื่มและฟู้ดเซอร์วิสครบวงจรในระดับมาตรฐานสากล ด้วยความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและฟู้ดเซอร์วิสสำหรับลูกค้ากลุ่มร้านอาหาร  โรงแรม  และ Catering รวมถึงตลาดค้าปลีก สินค้าและบริการของเราที่ครอบคลุมธุรกิจครบวงจร ช่วยให้ผู้ประกอบการ HORECA สามารถพัฒนาธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นคง  ในยุคของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“เรานำความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมด้านเครื่องดื่มและฟู้ดเซอร์วิส ยกระดับมาตรฐานธุรกิจ food service ของลูกค้า ผ่านการสร้างสรรค์นวัตกรรมเครื่องดื่มที่โดดเด่นเรื่องรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและความพึงพอใจให้กับลูกค้า ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  ” นายสรรเสริญ กล่าว

ในงานนี้ CP B&F ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็น Coffee และ non coffee เน้นยกระดับประสบการณ์ของผู้บริโภคในร้านอาหารและภัตตาคารด้วยแนวคิด “เครื่องดื่มที่อร่อยและดีต่อสุขภาพ” โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก  ได้แก่

 

  • เครื่องดื่มสูตรพิเศษแบรนด์ HEY! BEV ที่ช่วยสร้างเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์ของร้านอาหาร
  • โซลูชันระบบการบริหารจัดการธุรกิจเครื่องดื่ม: ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ตามเทรนด์ธุรกิจยุคใหม่
  • นวัตกรรมเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ: รวมถึงน้ำดื่มพรีเมี่ยมจากน้ำพุธรรมชาติจากภูเขาไฟฟูจิ ผ่านการทดสอบคุณภาพอย่างเข้มงวดและปลอดภัย
  • กาแฟ แบรนด์ Beanie Coffee – Specialty Cloud Cafe: แบรนด์กาแฟสำหรับคอกาแฟตัวจริงในรูปแบบ SPECIALTY CLOUD CAFE ที่ให้ประสบการณ์กาแฟสุดพิเศษ ด้วยเมล็ดกาแฟหลากสายพันธุ์ที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน
  • วัตถุดิบและอุปกรณ์ครบวงจร: ตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการร้านกาแฟ ร้านอาหาร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ

พบกับกิจกรรมไฮไลท์ คอกาแฟต้องไม่พลาด ! สัมผัสประสบการณ์กาแฟดริประดับพรีเมียม ชมศูนย์ทดลองรสชาติแห่งอนาคต รีเฟรชพลังไปกับเครื่องดื่มสุดพิเศษ และยังได้ลุ้นลุ้นโชคไปกับ Lucky Draw!

 

ร่วมค้นพบโอกาสใหม่ในธุรกิจเครื่องดื่มแห่งอนาคต ที่บูธ CP B&F หมายเลข N31 ฮอลล์ 10 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 5-7 มีนาคมนี้ ตั้งแต่ 10.00-18.00 น.

รางวัล THAIFEX – HOREC Innovation Awards นำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ช่วยประหยัดพลังงานและเสริมมาตรฐานคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นโซลูชันที่ยั่งยืนในธุรกิจอาหารและการบริการ หรือครัวอัจฉริยะที่ฉลาดล้ำด้วย AI

ช่องวัน ผนึก กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ปั้นโปรเจกต์สุดพิเศษ “Big C Super Girl” ดึงจุดแข็งทั้ง 2 ฝ่าย เสริมความแข็งแกร่งแบรนด์ผ่านคอนเทนต์ พร้อมชูโอกาสการเฟ้นหาพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ของ Big C และดันขึ้นแท่นเป็นนักแสดงช่องวัน เริ่มเปิดรับสมัครเข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ 4 – 31 มีนาคม 2568

ถกลเกียรติ วีรวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย ระฟ้า ดำรงชัยธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาดกลุ่ม, นิพนธ์  ผิวเณร  ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตละคร , สุธาสินี  บุศราพันธ์  ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตรายการ จับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี  ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภค บริโภค บรรจุภัณฑ์ และห้างค้าปลีก “บิ๊กซี” โดยมี อัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี, ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี, กชกร อาคมธน รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และสื่อสารการตลาด ร่วมเปิดตัวโปรเจกต์ Big C Super Girl เพื่อค้นหาพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ของ Big C พร้อมโอกาสในการเป็นนักแสดงช่องวัน และชิงเงินรางวัล มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท โดยงานจัดขึ้น ณ ห้องสตาร์เลาจน์ ชั้น 20 ตึกจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568

การจับมือทางธุรกิจของช่องวัน 31 คอนเทนต์ครีเอเตอร์ในกลุ่ม เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ onee ผู้นำด้านคอนเทนต์บันเทิงชั้นนำของประเทศที่เป็นมากกว่าช่องทีวี กับ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ในครั้งนี้ ถือเป็นการใช้จุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งความแข็งแกร่งของการเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในตลาดค้าปลีกและความน่าสนใจของแบรนด์ บิ๊กซี ผนวกกับศักยภาพการผลิตคอนเทนต์บันเทิงของทาง ช่องวัน มาร่วมกันเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ผ่านการปั้นคอนเทนต์ร่วมกัน และผลักดันให้โปรเจกต์นี้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ความร่วมมือของการจัดทำโปรเจกต์ดังกล่าว ยังนับเป็นครั้งแรกในการเปิดโอกาสให้กับหญิงสาวอายุ 18-35 ปี ที่มีความทันสมัย โดดเด่นด้วยทักษะความสามารถ ได้เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์  และพร้อมที่จะต่อยอดเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการเป็นนักแสดงช่องวัน

สำหรับผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมโปรเจกต์ Big C Super Girl สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม และสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2568 นี้  ที่ bigcsupergirl.one31.net

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลาย จัดแถลง ‘Energy Symphonics in Action’ ขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้วยพลังบ้านปู ตอกย้ำความพร้อมรับมือเทรนด์โลก เน้นสร้างกระแสเงินสด สร้างโอกาสเติบโตในแต่ละกลุ่มธุรกิจในปี 2568 มุ่งขับเคลื่อนกลยุทธ์ Energy Symphonics ด้วย 4 แนวทางในการดำเนินธุรกิจ

บริษัทฯ ได้เผยถึง 4 แนวทางในการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ Energy Symphonics ประกอบด้วย 1.การดำเนินงานและบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ช่วยเพิ่มกระแสเงินสดและมูลค่าของธุรกิจ เช่น การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI และการลดต้นทุนในธุรกิจเหมือง 2.การบริหารโครงสร้างเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรักษาระดับหนี้และทุนให้อยู่ในระดับเหมาะสมกับการเติบโตและผลประกอบการที่ดี 3.การบริหารพอร์ตโฟลิโอเชิงกลยุทธ์ โดยเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่จะมาสร้างคุณค่าให้บริษัทฯ ในระยะยาว เช่น การสร้างการเติบโตของธุรกิจที่ครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าของก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ และ 4.การบริหารจัดสรรเงินทุนอย่างมีวินัย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ และผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราประเมินกระแสการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อทิศทางด้านพลังงานของโลกอย่างรอบด้าน รวมถึงนโยบายและแผนพลังงานในประเทศยุทธศาสตร์ ในปีนี้เรามุ่งเน้นการจัดสรรเงินทุนไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและการปรับโครงสร้างอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอย่างสมดุลที่สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน เราเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ Energy Symphonics จะทำให้บ้านปูเป็นบริษัทพลังงานที่แตกต่างที่เป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและร่วมขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ ไปพร้อม ๆ กับการสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืน”

นอกจาก 4 แนวทางข้างต้น ในปี 2568 แต่ละธุรกิจเรือธงของบริษัทฯ ให้ความสำคัญต่อการดำเนินตามแผน โดยธุรกิจก๊าซธรรมชาติจะสร้างการเติบโตเชิงกลยุทธ์ทั้งธุรกิจต้นน้ำและกลางน้ำ โดยจัดสรรเงินลงทุนอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ราคาก๊าซ ด้านธุรกิจเหมือง มุ่งผสาน AI และเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดคาร์บอนผ่านการใช้พลังงานหมุนเวียนและระบบการจัดการอัจฉริยะ ในขณะที่ธุรกิจไฟฟ้า ตั้งเป้าลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมอีก 1,500 เมกะวัตต์ โดยเฉพาะในประเทศยุทธศาสตร์ และธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีพลังงาน เน้นลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่จะเสริมการทำงานระหว่างระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) และซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อสนับสนุนให้พลังงานหมุนเวียนมีความต่อเนื่องยิ่งขึ้น

สำหรับผลประกอบการปี 2567 บริษัทฯ รายงานรายได้จากการขายรวม 5,148 ล้านเหรียญสหรัฐ (**ประมาณ 181,549 ล้านบาท) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 1,330 ล้านเหรียญสหรัฐ (**ประมาณ 46,970 ล้านบาท) กำไรจากการดำเนินงาน 83.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (**ประมาณ 2,964 ล้านบาท) และผลขาดทุนสุทธิ 23.67 ล้านเหรียญสหรัฐ (**ประมาณ 682.42 ล้านบาท) ซึ่งเป็นผลกระทบจากการด้อยค่าเงินลงทุนจากการขายสัดส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้านาโกโซ ในประเทศญี่ปุ่น และการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับเงินบาท โดยมีความคืบหน้าที่สำคัญในปีที่ผ่านมา ได้แก่ การเสนอขายหุ้น IPO ของ BKV Corporation (BKV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบ้านปูในสหรัฐฯ ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) การขายสัดส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้านาโกโซ ในประเทศญี่ปุ่น การได้รับเงินสนับสนุน (Subsidy) จากกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) ในการพัฒนาโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มแห่งใหม่ 2 โครงการ ในญี่ปุ่น ได้แก่ โครงการ Aizu (ไอสึ) และโครงการ Tsuno (ซึโนะ) กำลังการผลิตรวม 208 เมกะวัตต์ชั่วโมง ที่คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 2/2571 และการพัฒนาโครงการ CCUS ของ BKV ที่ชื่อว่าโครงการ Eagle Ford (อีเกิ้ล ฟอร์ด) ซึ่งคาดว่าจะสามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 90,000 ตันต่อปี และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์อย่างสมบูรณ์ในไตรมาส 1/2569

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.banpu.com และ https://www.facebook.com/Banpuofficialth 

*EBITDA หมายถึง กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา

**คำนวณโดยอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยปี 2567 ที่ USD 1: THB 35.2936

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน THAIFEX – HOREC ASIA 2025 งานแสดงสินค้าและบริการกลุ่มธุรกิจ HoReCa (ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่และการจัดเลี้ยง) ครบวงจร พร้อมผลักดันประเทศไทยขึ้นแท่นศูนย์กลางธุรกิจโรงแรม-ร้านอาหาร-จัดเลี้ยงของเอเชีย โดยงานนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับหอการค้าไทย (TCC) และโคโลญเมสเซ่ เยอรมนี (KM) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 มีนาคมนี้ ที่อาคาร 9-12 อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ เมืองทองธานี

นายพิชัย กล่าวว่า “THAIFEX – HOREC ASIA 2025 เป็นงานแสดงสินค้าสำหรับอุตสาหกรรม HoReCa ซึ่งครอบคลุมธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่และบริการจัดเลี้ยง โดยเป็นการจัดครั้งที่สอง หลังจากประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมในปีที่ผ่านมา ผลจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริการหลังจากวิกฤตโควิด-19 ประกอบกับประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้อุตสาหกรรม HoReCa เติบโตอย่างแข็งแกร่ง งานนี้จึงเป็นเวทีการค้าสำคัญที่เชื่อมโยงภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องในทุกส่วนของห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ 

เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศกับไทย รัฐบาลจึงมุ่งมั่นขยายข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อเปิดตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ซึ่งล่าสุดเราได้ลงนาม THAI-EFTA FTA ซึ่งเป็น FTA ฉบับแรกของไทยกับกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป รวมถึงข้อตกลง THAI-Bhutan FTA และในอนาคตอันใกล้คาดว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลง FTA กับอิสราเอล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เกาหลีใต้ แคนาดา และสหราชอาณาจักร ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และสร้างโอกาสทางการค้าที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับภาคธุรกิจ HoReCa

THAIFEX – HOREC ASIA 2025 เป็นเวทีสำคัญในการนำเสนอสินค้า เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรม HoReCa โดยในปีนี้มีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้ากว่า 460 บริษัทจาก 25 ประเทศ (รวมประเทศไทย) นับว่ายิ่งใหญ่กว่าครั้งที่ผ่านมา ซึ่งความสำเร็จของงานนี้และการเติบโตของอุตสาหกรรม HoReCa สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางธุรกิจ HoReCa ในภูมิภาค ซึ่งประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่ง ตลอดจนบุคลากรที่มีความสามารถ นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมบริการระดับโลก”

งาน THAIFEX – HOREC ASIA 2025 เป็นงานแสดงสินค้าธุรกิจ  HoReCa ที่ครบวงจรที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จัดบนพื้นที่กว่า 27,000 ตารางเมตร ครอบคลุมสินค้าและบริการ 9 กลุ่มหลัก ได้แก่ Bakery & Ice-Cream, Café & Bar, Cleaning & Laundry, Dining, Furnishing, Kitchen, Services, Tech และ Wellness พร้อมโซนพิเศษ HoReCa Food นอกจากนี้ ภายในงานยังมีไฮไลต์และกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ มากมายในงาน เช่น การประกวดบาริสต้า ASEAN Barista Team Championship กิจกรรมการแข่งขัน Thailand Ultimate Housekeeping การจัดแสดงเทรนด์สินค้าในโซนพิเศษ THAIFEX - HOREC Xperiential Zone และกิจกรรม Asian Pizza Show Academy รวมไปถึงการสัมมนาให้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ THAIFEX – HOREC Academy กิจกรรมเวิร์กช็อป การสาธิตการทำอาหารและกิจกรรมให้ความรู้และความเพลิดเพลินตลอดการจัดงานทั้ง 3 วัน โดยการจัดงานครั้งนี้ตั้งเป้าดึงดูดผู้เข้าชมผู้ซื้อ และนักธุรกิจจากทั่วโลกไม่น้อยกว่า 20,000 ราย และคาดว่าจะมียอดสั่งซื้อภายในงานไม่น้อยกว่า 4 พันล้านบาท

งาน THAIFEX – HOREC ASIA 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 - 7 มีนาคม 2568 เวลา 10.00 – 18.00 น. ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ อาคาร 9 – 12 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าชมงานฟรีทุกวัน ดูรายละเอียดและลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้าได้ที่ www.thaifex-horec.asia 

ตามที่สำนักงาน คปภ. ได้ติดตามสถานะทางการเงินของบริษัทอย่างใกล้ชิด และปรากฏหลักฐานว่า บริษัท ซันเดย์ ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน และจัดสรรสินทรัพย์ไว้สำหรับหนี้สินและภาระผูกพันตามสัญญาประกันภัย เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาฐานะและการดำเนินการให้เป็นไปตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 37/2566 ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2566 และคำสั่งนายทะเบียนที่ 41/2566 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 เรียบร้อยแล้ว นั้น

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 นายทะเบียนด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยตามมติที่ประชุมครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 จึงมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งนายทะเบียนที่ 37/2566 ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2566 และคำสั่งนายทะเบียนที่ 41/2566 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 โดยให้บริษัทประกอบธุรกิจต่อไปตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. จะติดตามสถานะทางการเงินของบริษัทอย่างใกล้ชิด และให้คณะกรรมการบริษัท คณะกรรมการชุดย่อย และหน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับการควบคุมการดำเนินงานของบริษัทติดตาม ผลการดำเนินงานและรายงานต่อสำนักงาน คปภ. อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริษัทมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องเงินกองทุน สภาพคล่อง และมีผลการดำเนินงานอย่างยั่งยืน ตลอดจนมีระบบการควบคุมภายในและการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพตลอดช่วงการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือ www.oic.or.th 

วิจัยกรุงศรี โดย ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (จำกัด) มหาชน แถลงภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 3.3% พร้อมปรับคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ 2.7% ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียน-5 ยังเติบโตดีต่อเนื่องอยู่ที่ 4.6%

เศรษฐกิจโลกในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 3.3% แต่เป็นอัตราที่ต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต ปัจจัยหนุนจากการผ่อนคลายลงของเงินเฟ้อซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ขณะเดียวกันยังเปิดทางให้ประเทศแกนหลักทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงต่อภาวะถดถอย อย่างไรก็ตาม การเติบโตทางเศรษฐกิจจะถูกกดดันจากหลายปัจจัย อาทิ ผลพวงจากอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่างๆ ที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต ท่ามกลางภาระหนี้จำนวนมากของภาครัฐและภาคเอกชน ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมทั้งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์  นอกจากนี้ การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจซึ่งนำโดยสหรัฐฯ และจีน ผ่านการกีดกันทางการค้าด้านภาษีและมิใช่ภาษีศุลกากรที่รุนแรงขึ้น อาจจุดชนวนสงครามการค้ารอบใหม่และตอกย้ำกระแสโลกาภิวัตน์ย้อนกลับ (Deglobalization) ซึ่งจะสร้างแรงกระเพื่อมต่อการค้าการลงทุนและเศรษฐกิจทั่วโลก

สำหรับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตจากปัจจัยบวกชั่วคราว ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างในประเทศและกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลง โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.7% ในปี 2568 ปรับดีขึ้นเล็กน้อยจาก 2.5% ในปี 2567 ด้วยแรงขับเคลื่อนสำคัญจาก (i) ภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่องแม้จะยังไม่กลับสู่ระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 โดยคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 38 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 35.5 ล้านคนในปี 2567 ปัจจัยหนุนจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น การปรับตัวของอุปทานทั้งจำนวนเที่ยวบินและการขยายเส้นทางการบินเพิ่มเติม รวมทั้งมาตรการ Visa Free  (ii) การใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นและกลับมาเป็นปกติหลังจากมีการเบิกจ่ายล่าช้าในปีงบประมาณ 2567 ประกอบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ที่เพิ่มขึ้นจากปีงบฯ ก่อน 4.2% และเป็นงบขาดดุลที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.5% ของ GDP (iii) การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มพลิกกลับมาขยายตัวที่ 2.6% หลังจากที่หดตัว -1.6% ในปี 2567 แรงหนุนจากยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในปี 2567 ที่มีมูลค่าเงินลงทุนกว่า 1.1 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี ส่งสัญญาณเชิงบวกต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายในระยะข้างหน้า ขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายอุตสาหกรรมอาจเป็นข้อจำกัดต่อการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม แรงขับเคลื่อนที่มีแนวโน้มแผ่วลงในปี 2568 ได้แก่ (i) การส่งออก ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.7% ชะลอลงจากปี 2567 แม้ยังได้อานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าโลก นอกจากนี้ยังได้ปัจจัยหนุนจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัล อย่างไรก็ตาม การส่งออกมีแนวโน้มเติบโตอย่างจำกัดเนื่องจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจรุนแรงขึ้น จากการปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตในประเทศที่มีผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย (ii) การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอลงในปี 2568 แม้คาดว่าจะขยายตัวใกล้เคียงกับการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม ปัจจัยบวกจากการปรับดีขึ้นต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวที่หนุนการจ้างงานในภาคบริการ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศผ่านโครงการ Easy E-Receipt ในช่วงต้นปี รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนยังคงถูกจำกัดเนื่องจากรายได้ที่แท้จริงของแรงงานยังฟื้นตัวช้า ประกอบกับมูลค่าสินทรัพย์ของครัวเรือนที่ลดลงในกลุ่มรายได้ปานกลางลงมา ขณะที่รายได้เกษตรกรมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 2567 ผลจากปัจจัยด้านราคาเป็นหลัก นอกจากนี้ หนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ภาครัฐจะมีมาตรการบรรเทาภาระหนี้แก่กลุ่มเปราะบาง

ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 2.00% ในเดือนกุมภาพันธ์ ขณะเดียวกันไม่ได้มีการส่งสัญญาณว่าเป็นวงจรดอกเบี้ยขาลง โดยระบุว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.00% นั้นสอดคล้องกับการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจล่าสุดและสามารถรองรับความไม่แน่นอนได้ในระยะข้างหน้าได้อย่างเหมาะสม วิจัยกรุงศรีจึงคาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.00% ในช่วงที่เหลือของปีนี้เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยปี 2568 มีแนวโน้มอยู่ใกล้ขอบล่างของกรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ใกล้เคียงกับปีก่อน ประกอบกับทางการยังคงดำเนินมาตรการบรรเทาค่าครองชีพทางด้านราคาพลังงานในประเทศอย่างต่อเนื่อง อาทิ ราคาน้ำมันดีเซล และค่ากระแสไฟฟ้า

แม้เศรษฐกิจไทยโดยภาพรวมในปี 2568 จะเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปด้วยแรงสนับสนุนจากหลายปัจจัย แต่ยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายสำคัญ ได้แก่ (i) ความตึงเครียดทางการค้าและความไม่แน่นอนของนโยบายสหรัฐฯ รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (ii) การหลั่งไหลของสินค้านำเข้าจากจีน (iii) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง และ (iv) ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ภาวะสังคมสูงอายุ หนี้ครัวเรือนสูง และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง

แนวโน้มธุรกิจและอุตสาหกรรมในปี 2568

ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของไทยโดยรวมในปี 2568 มีทิศทางทยอยฟื้นตัวอย่างช้าๆ จากการขยายตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากภาคบริการสมัยใหม่ เช่น ธุรกิจโรงแรมและโรงพยาบาล รวมถึงอุตสาหกรรมไฮเทคอย่างรถยนต์ไฟฟ้าและดาต้าเซนเตอร์ที่สอดรับกับอุตสาหกรรม 5.0 ที่มุ่งเน้นรองรับเทคโนโลยีดิจิทัลพร้อมไปกับกระแสรักษ์โลก  ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้จะมีปัจจัยท้าทายจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและความตึงเครียดทางการค้าที่อาจกระทบการส่งออก

แนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียนในปี 2568

เศรษฐกิจอาเซียน-5 ในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 4.6% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 4.5% โดยมีแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศ การส่งออก และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ได้รับอานิสงส์จากกระแสการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ในปีนี้อาเซียนยังคงเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่อาจเพิ่มความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจผ่านทั้งช่องทางการค้าและช่องทางการเงิน เนื่องจากอุปสงค์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และจีน เริ่มอ่อนแรงลง จากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังมีความท้าทายจากการนำภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax: GMT) มาใช้ ซึ่งอาจกระทบต่อกระแสการลงทุนจากต่างประเทศ ด้านนโยบายการเงินในปีนี้ คาดว่าธนาคารกลางในภูมิภาคมีแนวโน้มดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไป สอดคล้องกับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงจากภาวะการเงินโลกที่อาจตึงตัวขึ้นอันเป็นผลจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อจังหวะและขนาดของการปรับอัตราดอกเบี้ยในแต่ละประเทศ

คุ้มครองชีวิตสูงถึง 270 เท่าของเบี้ยประกันภัยหลัก เปิดโอกาสการลงทุนในกองทุนชั้นนำได้ตลอดเวลา พร้อมรับโบนัสพิเศษตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 10 เป็นต้นไป

X

Right Click

No right click