

บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบีเจซี เปิดเผยรายได้รวมในไตรมาส 4/67 เท่ากับ 44,332 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,070 ล้านบาทจากปีก่อน กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 3,878 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 16.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิเติบโตขึ้นอยู่ที่ 1,644 ล้านบาท เติบโตขึ้น 0.4% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่เติบโตขึ้น และความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นของทุกกลุ่มสินค้าและบริการ รวมไปถึงการจัดทำโครงการลดต้นทุนต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ มียอดขายของกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 6,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 178 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.7% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สำหรับยอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ประจำปี 2567 อยู่ที่ 25,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 354 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.4% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของบรรจุภัณฑ์กระป๋อง อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 21.3% เพิ่มขึ้น 75 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นมาจากทั้งกลุ่มบรรจุภัณฑ์แก้วและบรรจุภัณฑ์กระป๋อง เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่ลดลงของทั้งโซดาแอชและเศษแก้ว รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุน และ Product Mix ที่เหมาะสมขึ้น อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ของกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 15.8% เพิ่มขึ้น 102 bps เมื่อเทียบไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น
กลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค มียอดขาย ในไตรมาส 4/67 ของกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค อยู่ที่ 5,266 ล้านบาท ลดลง 80 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.5% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่ลดลงของกลุ่มธุรกิจต่างประเทศเนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่า อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินค้าเครื่องใช้ส่วนตัวยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกันอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภคในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 20.4% เพิ่มขึ้น 188 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุมาจากต้นทุนมันฝรั่งที่ลดลง Product Mix ที่เหมาะสมขึ้น และโครงการลดต้นทุนต่างๆ ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 10.9% เพิ่มขึ้น 192 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น
กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค มียอดขายของกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค ในไตรมาส 4/67 กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค อยู่ที่ 2,326 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 168 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากยอดขายกลุ่มเวชภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการออกสินค้าใหม่ และได้รับประโยชน์จากงบประมาณของภาครัฐ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิคในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 34.1% เพิ่มขึ้น 221 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จาก Product Mix ที่ดีขึ้น ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 18.5% เพิ่มขึ้น 719 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายและกำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง
กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ มียอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ ในไตรมาส 4/67 รายได้รวมในกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 30,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 829 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากการขายสินค้าเท่ากับ 26,935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 830 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.2% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายต่อสาขาเดิมในไตรมาสอยู่ที่ 2.2% (1.5% เมื่อไม่รวมยอดขายสินค้าบีทูบี) ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในหมวดสินค้าอาหารสด (Fresh Food) และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในหมวดสินค้าอาหารแห้ง (Dry Food) ในระหว่างไตรมาส ขณะที่รายได้อื่นอยู่ที่ 3,211 ล้านบาท ลดลง 57 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.7% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้ค่าเช่าและการให้บริการ โดยรายได้รวมในกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ประจำปี 2567 อยู่ที่ 116,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,264 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.0% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมาจากรายได้จากการขายสินค้าเท่ากับ 103,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,434 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.4% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเปิดสาขาที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ การเติบโตของยอดขายต่อสาขาเดิมลดลง 0.8% (0.02% เมื่อไม่รวมยอดขายสินค้าบีทูบี) ในขณะเดียวกันรายได้อื่นอยู่ที่ 12,737 ล้านบาท ลดลง 203 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้ค่าเช่าและการให้บริการและรายได้อื่น
กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ยังคงขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4/67 โดยได้เปิดบิ๊กซี ฟู้ดเพลสจำนวน 4 สาขา บิ๊กซี มินิจำนวน 16 สาขา (รวมบิ๊กซี มินิจำนวน 2 สาขาในประเทศกัมพูชา) ร้านขายยาเพรียวจำนวน 3 สาขา ตลาด Open-air จำนวน 1 สาขา ร้านกาแฟวาวีจำนวน 1 สาขา และร้านหนังสือเอเซียบุ๊คส์จำนวน 1 สาขา และในระหว่างไตรมาสมีการปิดบิ๊กซิ ไฮเปอร์มาร์เก็ตที่กำลังจะหมดสัญญาเช่าจำนวน 1 สาขา ได้แก่ บิ๊กซี ราษฎ์บูรณะ โดยหลังจากการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว บริษัทได้ตัดสินใจที่จะไม่ต่อสัญญาเช่าของร้านค้าสาขาดังกล่าว เนื่องจากบริษัทมีสาขาอื่นในพื้นที่ใกล้เคียงที่สามารถรองรับลูกค้าได้อย่างเพียงพอ นอกจากนี้บริษัทได้ปิดบิ๊กซี มาร์เก็ตจำนวน 1 สาขา บิ๊กซี มินิจำนวน 2 สาขา บิ๊กซี ฮ่องกงจำนวน 3 สาขา ร้านขายยาเพรียวจำนวน 2 สาขา และร้านกาแฟวาวีจำนวน 4 สาขา ส่งผลให้เครือข่ายร้านค้าของบริษัทมีร้านค้าไฮเปอร์มาร์เก็ตจำนวน 155 สาขา (รวมบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์จำนวน 1 สาขาในประเทศกัมพูชา และ 1 สาขาในประเทศลาว) ร้านค้าขนาดซูเปอร์มาร์เก็ตจำนวน 52 สาขา (บิ๊กซี มาร์เก็ตจำนวน 34 สาขา และบิ๊กซี ฟู้ดเพลสจำนวน 16 สาขาในประเทศไทย และ 2 สาขาในประเทศกัมพูชา) ร้านค้าบิ๊กซี ฮ่องกงจำนวน 14 สาขา ร้านค้าบิ๊กซี มินิจำนวน 1,616 สาขา (รวมสาขาแฟรนไชส์ในประเทศไทยจำนวน 77 สาขา และบิ๊กซี มินิจำนวน 18 สาขาในประเทศกัมพูชา) บิ๊กซี ดีโป้จำนวน 11 สาขา บิ๊กซี ฟู้ดเซอร์วิสจำนวน 7 สาขา ตลาด Open-Air จำนวน 9 สาขา ร้านขายยาเพรียวจำนวน 146 สาขา ร้านกาแฟวาวีจำนวน 43 สาขา ร้านหนังสือเอเชียบุ๊คส์จำนวน 69 สาขา ในขณะที่เครือข่ายร้านค้าโดนใจมีจำนวน 10,773 สาขา ณ สิ้นปี 2567 และแพลตฟอร์ม Omnichannel ของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทั้งจำนวนการดาวน์โหลดแอป Big C PLUS ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นผ่านแพลตฟอร์มของบริษัทและแพลตฟอร์มอื่น (3rd party) ในปี 2567
กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจอย่างมั่นคง ด้วยวิสัยทัศขององค์กรที่ตั้งเป้าหมาย เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือ เพื่อร่วมสร้างให้สังคมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน เตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์เพื่อเติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) มอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่สมัครและชำระค่าเบี้ยผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบรายปีในปีแรก ตามแผนประกันที่เข้าร่วมรายการของ บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต และ บมจ. ไทยประกันชีวิต ผ่านสาขาธนาคารกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 – 31 มีนาคม 2568 โดยคำขอเอาประกันได้รับการอนุมัติภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 และไม่ใช้สิทธิ์ยกเลิกกรมธรรม์ หรือถูกบอกล้างโดยบริษัทประกัน รับเงินคืนเข้าบัญชีออมทรัพย์ตามรายละเอียดดังนี้

นอกจากนี้ ยังจะได้รับสถานะ KRUNGSRI EXCLUSIVE หรือ KRUNGSRI PRIME เมื่อสมัครและชำระเบี้ยประกันชีวิตปีแรกตั้งแต่ 2 แสนบาทขึ้นไป โดยมีรายละเอียดดังนี้
ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungsri.com/th/promotions/personal/insurance
*ศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้จากสื่อต่าง ๆ ของธนาคาร
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) ภาคภูมิใจในการก้าวสู่ปีที่ 80 หมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงรากฐานอันแข็งแกร่งซึ่งเกิดจากความไว้วางใจ นวัตกรรมอันสร้างสรรค์ และความมุ่งมั่นที่จะทำให้ “ชีวิตง่าย ได้ทุกวัน” (Make Life Simple) โดยธนาคารยังคงเดินหน้าสู่เป้าหมาย “ยืนหนึ่งการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน” ในปี 2568 กรุงศรีจะยังคงรักษาบทบาทในการช่วยกำหนดภูมิทัศน์การเงินของประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “Shaping Future Together” ร่วมสร้างอนาคตไปด้วยกัน สร้างโอกาสความเป็นไปได้ทางด้านการเงิน และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนสำหรับภาคธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในโอกาสครบรอบ 80 ปีของกรุงศรี และก้าวสู่ปีที่สองของแผนธุรกิจระยะกลาง (Medium-Term Business Plan: MTBP) ฉบับปัจจุบันซึ่งครอบคลุมปี 2567-2569 เราได้ย้อนทบทวนถึงการเดินทางตลอดระยะเวลากว่า 80 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสร้างขึ้นจากความไว้วางใจ นวัตกรรม และความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ คุณค่าเหล่านี้ได้นำพาเรามาถึงจุดที่เรายืนอยู่ในวันนี้ นับจากนี้และอนาคตข้างหน้า เราจะขับเคลื่อนด้วยความมุ่งมั่นที่มากกว่าเดิมเพื่อสร้างอนาคตที่ประเด็นเรื่องความยั่งยืนและดิจิทัลเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่การเติบโต “Shaping Future Together” หรือคำว่า “ร่วมสร้างอนาคตไปด้วยกัน” เป็นมากกว่าแค่แนวคิด และมีนัยครอบคลุมหลากหลายมิติ ไม่ใช่หมายความถึงอนาคตของกรุงศรีเท่านั้น แต่หมายถึงอนาคตของลูกค้าและสังคมอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นการบอกให้เราทุกคนลงมือทำ และมุ่งเป็นผู้นำในการนำเสนอโซลูชันทางการเงินใหม่ ๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ ผู้คน และชุมชน ไม่เพียงในประเทศไทย แต่ยังรวมถึงทั่วภูมิภาคอาเซียนและอื่นๆ ด้วย”
การเติบโตอย่างสมดุลทางการเงินในปี 2567
ปี 2567 กรุงศรีเติบโตอย่างสมดุล ด้วยผลกำไรสุทธิจำนวน 29,700 ล้านบาท สะท้อนถึงความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจแม้ต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ ความมุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้งในด้านความยั่งยืนและการเงินที่รับผิดชอบสะท้อนให้เห็นผ่านการเป็นผู้นำทั้งในด้าน ESG และการเงินเพื่อความยั่งยืน เช่นเดียวกับการลงทุนในดิจิทัลโซลูชันและเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง รวมทั้งการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเข้มข้น โดยความสำเร็จในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย
คำมั่นสัญญาสู่อนาคตที่ยั่งยืน
ความมุ่งมั่นของกรุงศรีไม่เพียงบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับธุรกิจหลัก (Core Business) แต่ยังมุ่งเสริมสร้างสังคมที่ยั่งยืน ซึ่งขมวดทั้งเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ที่ดีของสังคมไว้ด้วยกันและยึดโยงกันอย่างแนบแน่น โดยกรุงศรีได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Krungsri Net Zero Vision) ซึ่งให้ความสำคัญในเรื่องการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และช่วยเหลือลูกค้าในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โครงการด้านความยั่งยืนที่โดดเด่นและประสบความสำเร็จในปี 2567 รวมถึงการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจด้วยแนวทางความยั่งยืนให้กับองค์กรธุรกิจ และ SME มากกว่า 500 ราย ผ่านหลักสูตร ESG Academy และ ESG Symposium ซึ่งเป็นสุดยอดการประชุมสัมมนาด้าน ESG ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถรับมือกับความท้าทายด้านความยั่งยืน และอีกหนึ่งโครงการด้านความยั่งยืนที่สำคัญในปีที่ผ่านมา คือ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนด้วยการนำเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานมาใช้ในกระบวนการทำงาน โครงการลดปริมาณขยะ และการใช้พลังงานทางเลือก
การขยายเครือข่ายในภูมิภาคอาเซียน
การขยายเครือข่ายธุรกิจของกรุงศรีในอาเซียนได้สร้างความแข็งแกร่งในการเป็นสถาบันการเงินชั้นนำแห่งภูมิภาคอย่างชัดเจน ปัจจุบันเครือข่ายของกรุงศรีครอบคลุมไปยังประเทศต่าง ๆ ประกอบด้วย สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งให้บริการลูกค้ารวมกว่า 19 ล้านราย ในปี 2567 ที่ผ่านมา กรุงศรียังได้เปิดให้บริการชำระเงินข้ามพรมแดนผ่านคิวอาร์โค้ด (QR Cross-Border Payment) ให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมได้ใน 8 ประเทศ ซึ่งรวมถึงใน สปป.ลาว ที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ กรุงศรี ยังขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่น-อาเซียน ผ่านการจัดงานประชุมจับคู่ธุรกิจ Japan-ASEAN Startup Business Matching 2024 ที่ช่วยสร้างโอกาสความร่วมมือทางธุรกิจใหม่ ๆ ในภาคส่วนที่สำคัญหลายด้าน อาทิ HealthTech Fintech และ ESG

กลยุทธ์สู่อนาคตในปี 2568
ก้าวต่อไปในปี 2568 กรุงศรีจะมุ่งเน้นการดำเนินงานในเรื่อง Corporate Transformation เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในอนาคต ผ่านกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่
การลงทุนด้านบุคลากรและเทคโนโลยี
กรุงศรีมุ่งลงทุนในด้านบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยกลยุทธ์ People Xcellence ที่สนับสนุนการพัฒนาความเป็นผู้นำให้กับบุคลากร การปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานภายในภูมิภาค และการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เท่าเทียม รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลแบงก์กิ้ง การวิเคราะห์ข้อมูล (Data analytics) และการใช้เทคโนโลยี AI ในการพัฒนานวัตกรรมที่ใช้ความต้องการของผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง (Human-centric innovations) เพื่อยกระดับการให้บริการและประสบการณ์ลูกค้า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สำคัญ ได้แก่ Embedded Finance Solutions ซึ่งหมายถึงโซลูชันบริการทางการเงินแบบฝังตัวผ่านความร่วมมือกับแพลตฟอร์มดิจิทัลชั้นนำ ผสานเข้ากับชีวิตประจำวันของลูกค้าอย่างไร้รอยต่อ และช่วยให้สามารถทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้อย่างราบรื่น ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ชีวิตง่ายได้ทุกวันอย่างแท้จริง
กรุงศรี ให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลและการเติบโตที่ยั่งยืน โดยคาดว่าตลอดปี 2568 ยอดเงินให้สินเชื่อจะเติบโตที่ 2-4% ตั้งเป้าหมายของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.8-4.1% ธนาคารคาดว่าอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) จะอยู่ที่ 3.25-3.50% ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (cost-to-income ratio) จะอยู่ในระดับ Mid-40s%.
“อนาคตเริ่มต้นวันนี้ ร่วมสร้างอนาคตไปด้วยกัน เราเชื่อว่าความท้าทายจะนำมาซึ่งโอกาสอันยิ่งใหญ่ พัฒนาการและการเปลี่ยนผ่านตลอดเส้นทาง 80 ปีของเราเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้เราก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางสู่อนาคตที่ยั่งยืนและดิจิทัลแบงก์กิ้ง เราจะขับเคลื่อนการเติบโตไปด้วยกัน เปิดรับนวัตกรรม และยึดมั่นในเป้าหมาย เพื่อให้ลูกค้ามี ชีวิตง่ายได้ทุกวัน” นายเคนอิจิ กล่าวปิดท้าย
SPC ร่วมเวทีบรรยายพิเศษในหัวข้อ "Towards a Transformed Thai Economy" เผยภาคอุตสาหกรรมไทยต้องเผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัย พร้อมโชว์เทคโนโลยี AI นวัตกรรมสุดล้ำ ในงาน FTI EXPO 2025 พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยและเศรษฐกิจไทยสู่อนาคต ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในเวทีโลก
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC ร่วมบรรยายพิเศษในหัวข้อ "Towards a Transformed Thai Economy" ในงาน FTI EXPO 2025 โดยกล่าว เน้นย้ำถึงภาคอุตสาหกรรมไทยที่ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายปัจจัย อาทิ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์โลก ภาวะโลกร้อน และโครงสร้างประชากร พร้อมเสนอแนวทางปรับตัวผ่านการลงทุน ในนวัตกรรมเทคโนโลยี AI และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ขณะที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเติบโตเพียงร้อยละ 3 นับเป็นความท้าทายสำคัญของภาคอุตสาหกรรมไทยที่ต้องเผชิญกับการสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียน เช่น เวียดนาม ที่มีส่วนแบ่งการตลาดด้านการส่งออกและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สูงขึ้น และมีการย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนามมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมี 4 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ได้แก่
“ทั้งหมดนี้ เป็นความท้าทายในการปรับโครงสร้างของภาคอุตสาหกรรมไทย และไม่อาจปล่อยให้กลไกของหน่วยงานภาครัฐเพียงหน่วยงานเดียวเป็นเจ้าภาพในการรับผิดชอบได้ ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันและต้องอาศัยหน่วยงานเฉพาะกิจที่จะเข้ามาสะสางในเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยสามารถหาแนวร่วมจากภาคเอกชนซึ่งเป็นผู้ที่ทราบว่าภาคอุตสาหกรรมไทยยังขาดทักษะในเรื่องใด รวมถึงการปรับระบบการส่งเสริมการลงทุนใหม่ โดยนำเครื่องมือในการส่งเสริมการลงทุนที่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน นำอุตสาหกรรมใหม่มาต่อยอดอุตสาหกรรมเดิมมุ่งสู่อุตสาหกรรม S – Curve เน้นเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นหลัก เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลก” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ SPC ได้เร่งปรับกลยุทธ์องค์กร โดยมุ่งสู่การดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมีโครงการสำคัญ ได้แก่

นอกจาก SPC จะปรับตัวธุรกิจสำหรับอนาคตแล้ว ยังมีบริษัทในเครือสหพัฒน์ที่ปรับธุรกิจสู่ อุตสาหกรรมอนาคต ผ่านการลงทุนและความร่วมมือระดับนานาชาติ ครอบคลุม เทคโนโลยีอุตสาหกรรม สุขภาพ และโลจิสติกส์ โดยมีโครงการสำคัญดังนี้

นี่คือสิ่งที่ SPC และบริษัทเครือสหพัฒน์ พร้อมปรับเปลี่ยนองค์กรมุ่งสู่การดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน สำหรับงาน FTI EXPO 2025 ในครั้งนี้ ได้ร่วมออกบูธแสดงศักยภาพด้านการจัดจำหน่ายสินค้าและโลจิสติกส์ พร้อมทั้งร่วมโชว์เทคโนโลยี AI นวัตกรรมสุดล้ำ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของไทย และพร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต
กองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) ได้จัดโครงการเชิงรุกภายใต้ชื่อ “โครงการสร้างความเข้าใจในกระบวนการชำระบัญชี การพิจารณาคำทวงหนี้และการจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้ของกองทุนประกันวินาศภัย พร้อมสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการประกันวินาศภัยแก่ตัวแทน – นายหน้าประกันภัย และเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัย จังหวัดนครราชสีมา” ณ ห้องประชุมโคราช 1 ชั้น 2โรงแรมเซ็นทารา โคราช จังหวัดนครราชสีมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางการเงินของกองทุนฯ พร้อมส่งเสริมความตระหนักถึงความสำคัญของการประกันวินาศภัยแก่ตัวแทน - นายหน้าประกันภัย และเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยในพื้นที่

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย เป็นประธานเปิดโครงการและเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “บทบาท หน้าที่ และภารกิจกองทุนประกันวินาศภัย” ร่วมด้วยบุคลากรจากกองทุนฯ นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจาก นายรณภพ ช่วงชู เจ้าหน้าที่ชำนาญการสำนักงาน คปภ. จังหวัดนครราชสีมา บรรยายในหัวข้อ “ภารกิจของสำนักงาน คปภ. ภาค 4 (นครราชสีมา) และบทบาทของสำนักงาน คปภ. จังหวัดนครราชสีมา”
กิจกรรมภายในงานประกอบด้วยการเสวนาและการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมโครงการซักถามข้อสงสัย รวมถึงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับกระบวนการชำระบัญชีและการดำเนินงานของกองทุนฯ เพื่อให้สามารถนำข้อเสนอแนะจากประชาชนมาปรับปรุงให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ กองทุนประกันวินาศภัยยังมีแผนดำเนินโครงการลักษณะนี้ในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับกระบวนการชำระบัญชี และการคุ้มครองสิทธิของผู้เอาประกันภัยสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างมากขึ้น พร้อมทั้งให้ประชาชนทั่วไปมีความเข้าใจเกี่ยวกับระบบประกันภัยและสามารถใช้สิทธิประโยชน์ของตนได้อย่างเต็มที่ โดยหลังจากนี้จะดำเนินการในจังหวัดชลบุรี

การจัดโครงการในครั้งนี้ถือเป็นมาตรการเชิงรุกของกองทุนประกันวินาศภัยในการเผยแพร่ความรู้ และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับระบบประกันภัย ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนทุกระดับสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง และตระหนักถึงความสำคัญของการมีหลักประกันความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้งยังเป็นการปกป้องคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเหมาะสม
ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี และนายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อดึงดูดการลงทุนระดับโลก สู่พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมมูลค่าสูง โดยจะเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงนักลงทุนซึ่งไม่จำกัดอยู่เพียงในระดับภูมิภาค แต่ยังรวมถึงนักลงทุนระดับโลกในระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญ ผ่านเครือข่ายระดับนานาชาติของธนาคารเอชเอสบีซีใน 58 ประเทศและเขตดินแดน สร้างโอกาสการลงทุนจากตลาดสำคัญ อาทิ จีน ยุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง อินเดีย ไต้หวัน และญี่ปุ่น โดยจะมุ่งพัฒนากลยุทธ์ดึงดูดการลงทุนสู่พื้นที่อีอีซี พร้อมให้การสนับสนุนด้านโซลูชันทางการเงิน และคำปรึกษาครบวงจร เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุนจากทั่วโลก
ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างทั้งสององค์กร มีเป้าหมายที่จะสนับสนุน สกพอ.ในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจริงในพื้นที่รวม 5 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปี พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญ 5 คลัสเตอร์ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ อุตสาหกรรมสีเขียว BCG และอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของไทยในการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของโลก

ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า “เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ถือเป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เป้าหมายหลักคือ การสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการลงทุนที่มีมูลค่าสูง และเชื่อมโยงไปถึงพื้นที่และชุมชน ที่ผ่านมา การลงทุนจากต่างประเทศมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาในพื้นที่อีอีซีเป็นอย่างมาก การขยายขีดความสามารถของพื้นที่และระบบบริหารจัดการที่เอื้อต่อการลงทุนเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเติบโตของอีอีซี การผนึกกำลังร่วมกับธนาคารเอชเอสบีซี ซึ่งเป็นสถาบันทางการเงินที่มีความเชี่ยวชาญและเครือข่ายที่แข็งแกร่งใน 58 ประเทศและเขตดินแดน จะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนการลงทุนจากทั่วโลก และเชื่อมโยงอีอีซี กับองค์กรชั้นนำระดับนานาชาติ”
ภายใต้การบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ ทั้งสององค์กรจะร่วมมือในการแสวงหานักลงทุนที่มีศักยภาพ อำนวยความสะดวกในการลงทุนผ่านโครงการต่าง ๆ และอาศัยความแข็งแกร่งของเครือข่ายธุรกิจระดับนานาชาติของธนาคารเอชเอสบีซี เพื่อปลดล็อคโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ โดยในปี 2568 ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย จะให้การสนับสนุนในกิจกรรมโรดโชว์เพื่อส่งเสริมการลงทุนสู่พื้นที่อีอีซีในระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ จีน สิงคโปร์ ยุโรป ไต้หวัน และญี่ปุ่น
“สกพอ. มุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการลงทุนและดำเนินธุรกิจ ผ่านการสนับสนุนตลอดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเจรจาสิทธิประโยชน์จนถึงการเริ่มต้นประกอบกิจการ ความร่วมมือกับธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ไม่เพียงเปิดโอกาสให้เราสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าระดับโลกของธนาคารฯ ซึ่งครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมและเขตเศรษฐกิจสำคัญ แต่ยังเข้ามาสนับสนุนด้านการนำเสนอโซลูชันทางการเงินที่ครบวงจรให้แก่นักลงทุน ซึ่งจะเข้ามายกระดับอุตสาหกรรมในประเทศให้สอดรับกับแนวโน้มของตลาดโลก เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับประเทศไทยในการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานในระดับโลก และตอกย้ำบทบาทของอีอีซีในฐานะจุดหมายของการลงทุนชั้นนำสำหรับอุตสาหกรรมมูลค่าสูงในระดับภูมิภาค” ดร.จุฬา กล่าวเสริม

นายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวถึงความมุ่งมั่นของธนาคารในการสนับสนุนเป้าหมายของการลงทุนในประเทศไทยว่า “ในขณะที่ธุรกิจระหว่างประเทศยังคงปรับแผนด้านห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยกำลังได้รับความสนใจในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ และอีโคซิสเต็มในด้านการผลิตที่ครอบคลุม ในปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติเป็นมูลค่ารวมราว 7.27 แสนล้านบาท ถือเป็นสถิติยอดการลงทุนสูงสุดในรอบ 20 ปี และอีอีซีถือเป็นศูนย์กลางของการเติบโตนี้ โดย 78% ของมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นการลงทุนในพื้นที่อีอีซี (ราว 5.68 แสนล้านบาท) สะท้อนถึงบทบาทของอีอีซีในฐานะแรงขับเคลื่อนหลักของกลยุทธ์การลงทุนของประเทศไทย โดยอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (2.56 แสนล้านบาท) อุตสาหกรรมดิจิทัล (9.5 หมื่นล้านบาท) และยานยนต์แห่งอนาคต (8.7 หมื่นล้านบาท)”
ธนาคารเอชเอสบีซี เล็งเห็นถึงแนวโน้มความสนใจของธุรกิจจีนในการขยายกิจการสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากจำนวนขององค์กรธุรกิจจีนที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในอาเซียนผ่านเครือข่ายของธนาคารในปี 2566 ที่เพิ่มขึ้น 80% จากปีก่อนหน้า โดยประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในจุดหมายการลงทุนที่สำคัญ ทั้งนี้ แม้การลงทุนจากประเทศจีนจะครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม แต่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุด คือ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีมูลค่ารวมนับตั้งแต่ปี 2561 จนถึงไตรมาสสามปี 2567 ราว 2.75 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ประเทศไทยยังประสบความสำเร็จในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากมีแหล่งพลังงานที่มั่นคงเพียงพอ และมีเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยล่าสุด สกพอ.ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านการลงทุนในเศรษฐกิจดิจิทัลที่หลากหลายยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ อินเดีย และตะวันออกกลาง ยังถือเป็นระเบียงการลงทุนที่สำคัญสำหรับประเทศไทยด้วยเช่นกัน ด้วยความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งและโอกาสจากการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกัน โดยเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญด้านการเงินของธนาคารเอชเอสบีซีในประเทศเหล่านี้ จะช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสู่พื้นที่อีอีซีได้มากยิ่งขึ้น
“เอชเอสบีซี จะอาศัยความเชี่ยวชาญของธนาคารฯ ในการเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างประเทศ เข้ามาสนับสนุน สกพอ. ในการเข้าถึงกลุ่มนักลงทุนจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากระเบียงเศรษฐกิจสำคัญที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย ผ่านการนำเสนอโซลูชันด้านการเงินที่ครบวงจร อำนวยความสะดวกในการเริ่มดำเนินธุรกิจ และเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการลงทุน เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือกับ สกพอ. ในครั้งนี้จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก กระตุ้นการจ้างงานทักษะสูง และบรรลุเป้าหมายในการเสริมศักยภาพในการแข่งขันในระดับนานาชาติ ตลอดจนเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของไทยต่อไปในอนาคต” นายกัมบา กล่าว
ภายหลังพิธีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือ ยังมีการสัมมนาเกี่ยวกับศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอกาสที่ธุรกิจระดับนานาชาติจะได้รับจากความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานของไทย และการสนับสนุนในเชิงนโยบายจาก สกพอ.
โดยในงานแถลงข่าวและการสัมมนา มีบุคคลสำคัญและผู้แทนกว่า 50 ราย จากบริษัทระดับโลกชั้นนำ ตลอดจนสถานทูตและหอการค้าระหว่างประเทศเข้าร่วมงาน เช่น สถานเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี สถานเอกอัครราชทูตแคนาดา สถานเอกอัครราชทูตเวียดนาม สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของสิงคโปร์ หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย และหอการค้าอังกฤษ-ไทย เป็นต้น
สภาผู้บริโภค ร่วมกับ ภาคีเครือข่าย 10 สถาบันการศึกษา จัดแสดงนิทรรศการภายใต้โครงการ “มิตรสู้มิจ-ภาคีมหาวิทยาลัยขับเคลื่อนสังคม เสริมภูมิคุ้มกันภัยมิจฉาชีพออนไลน์” โดยมีผลงานสื่อสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่กว่า 30 ชิ้นงาน ณ craft studio ชั้น 5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวถึงเป้าหมายของการคุ้มครองผู้บริโภคที่ดีที่สุด คือการผลักดันให้ทุกคนสามารถปกป้องตัวเองได้ โดยเฉพาะเยาวชน Gen Z หากสามารถจัดการปัญหาที่เจอได้ ไม่เพียงช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ยังช่วยให้ครอบครัวและคนรอบข้างไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ และในโอกาสนี้ขอบคุณ 10 มหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการ “มิตรสู้มิจ” ซึ่งเป็นความร่วมมือสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนรับมือกับภัยออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ระบุเพิ่มเติมว่า ในขณะที่รัฐบาลและพรรคการเมืองต่าง ๆ ต่างเร่งแก้ปัญหาภัยออนไลน์ แต่สถานการณ์การหลอกลวงยังคงเกิดขึ้น ดังนั้น การผลิตสื่อเพื่อเตือนภัยและสะท้อนปัญหาผู้บริโภคเป็นการใช้พลังสร้างสรรค์ในการสื่อสารและกระตุ้นสังคมให้ตื่นตัวกับภัยไซเบอร์ ซึ่งเยาวชน Gen Z แสดงให้เห็นว่าความเปลี่ยนแปลงสามารถเริ่มต้นจากกลุ่มเยาวชนได้ และยังเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันสำคัญที่จะช่วยให้สังคมตื่นตัว รู้เท่าทัน และได้รับประโยชน์ในภาพรวม ทั้งนี้ โครงการขยายภาคีคนรุ่นใหม่สู่วัฒนธรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสากล ถือเป็นตัวอย่างของพลังคนรุ่นใหม่ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีมาสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างการคุ้มครองผู้บริโภค แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการต่อสู้กับภัยไซเบอร์ในสังคมไทย
ดร.อรรถวิท อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ปัจจุบันภัยออนไลน์สร้างความเสียหายเป็นอย่างมากแก่ผู้บริโภค และการที่สภาผู้บริโภคได้ร่วมกับ 10 สถาบันการศึกษาขับเคลื่อนประเด็น “ภัยมิจฉาชีพออนไลน์” นับเป็นประโยชน์อย่างมากที่จะสามารถจุดประกายให้เยาวชนตระหนัก และลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตนเองและสังคม คนรอบข้าง โดยสะท้อนประเด็นปัญหาดังกล่าวผ่านนวัตกรรมการสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งจากที่ได้เห็นผลงานของนักศึกษา และมีเชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะขับเคลื่อนงานคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นสาธารณะประโยชน์ได้อย่างแท้จริง และจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ขับเคลื่อนสังคมไปในทางที่ดีขึ้นในอนาคตต่อไป ในโอกาสนี้ ขอขอบคุณสภาผู้บริโภคและภาคีเครือข่าย 10 สถาบันการศึกษาที่มาร่วมโครงการขยายภาคีคนรุ่นใหม่ สู่วัฒนธรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสากล และขอชื่นชมผลงานสร้างสรรค์ของนักศึกษาจากทุกมหาวิทยาลัยในการที่จะร่วมกันสร้างสังคมผู้บริโภคที่เข้มแข็งต่อไป

นางสาวสริญาพร วิวัฒนเพิ่มสกุล นักศึกษาคณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า การร่วมกิจกรรมในโครงการฯ นี้ทำให้รู้ว่าประเด็นปัญหาภัยออนไลน์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันสร้างความเสียหายมากมาย และเราเองในฐานะคนรุ่นใหม่ก็สามารถเป็นสื่อกลางในการส่งต่อเรื่องราวเตือนภัยมิจฉาชีพออนไลน์ผ่านการสร้างสรรค์คลิปวิดีโอ ซึ่งส่วนหนึ่งเราก็เรียนทางด้านการผลิตสื่ออยู่แล้ว ตรงนี้เหมือนเป็นโอกาสให้พวกเราเพื่อน ๆ จากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้สร้างสรรค์ผลงานเพื่อสังคม ได้ช่วยเพื่อนผู้บริโภค เหมือนกับที่สภาผู้บริโภคเป็นเหมือนเซฟโซนที่ช่วยผู้บริโภคตลอดมา ดังเช่นโครงการ “มิตรลู้มิจ”

นายพงศธร ปานน้อย นักศึกษาสาขาวิชาการสร้างสรรค์คอนเทนต์ดิจิทัล วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ตัวแทนนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการฯ นี้ กล่าวว่า โครงการฯ นี้ทำให้ตนและเพื่อน ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้รู้จักสภาผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้แทนผู้บริโภคที่จะคอยช่วยเหลือผู้บริโภค และรู้ว่าเมื่อเกิดปัญหา หรือตกเป็นผู้เสียหายจะต้องรับมืออย่างไร และหน่วยงานไหนจะสามารถให้คำปรึกษาและช่วยเหลือเราได้ ซึ่งในการเข้าร่วมโครงการครั้งนี้ได้นำความรู้จากการเรียนด้านการผลิตสื่อมาสร้างสรรค์คอนเทนต์เพื่อเตือนภัยผู้บริโภคให้รู้เท่าทันมิจฉาชีพออนไลน์ที่ปัจจุบันมีกลลวงหลากหลายรูปแบบ โดยนำเสนอในรูปแบบเพลงแร็ปสอดแทรกเนื้อหาสาระการเตือนภัยเข้าไปในคลิปวิดีโอ เพื่อสร้างความน่าสนใจให้แก่ผู้ชม ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีในการได้สร้างสรรค์คอนเทนต์เพื่อสังคมอีกด้วย