บริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมออกบูธงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 20 ภายใต้แนวคิด “INSURANCE OF LOVE” ประกันชีวิต ประกันอนาคต โดยมีคุณสมิตา จิระเสถียรพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ พร้อมทั้งพนักงานและตัวแทน ให้การต้อนรับ คุณชูฉัตร ประมูลผล รองเลขาธิการด้านกำกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการเยี่ยมชมบูธ เมื่อเร็วๆ นี้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต
เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ รับมอบรางวัล “บูธสวยงามยอดเยี่ยม ประเภทพื้นที่ขนาดใหญ่ 300-500 ตร.ม.” (Best Design Excellence Award 2019) จาก ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ภายในงานมอบรางวัลเกียรติยศ “Money & Banking Awards 2019” ซึ่งจัดขึ้นโดย วารสารการเงินธนาคาร โดยมี นายสันติ วิริยะรังสฤษฏ์ ประธานบรรณาธิการวารสารการเงินธนาคาร ร่วมแสดงความยินดีและเป็นสักขีพยานการรับรางวัลในครั้งนี้ ณ ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก
ทั้งนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ได้รับรางวัลดังกล่าว จากการใช้แนวคิด Rhythm of Life ในการออกแบบบูธ ภายในงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 19 (Money Expo 2019) เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยแนวคิดดังกล่าวแสดงถึงความไม่แน่นอนทางด้านสุขภาพ เปรียบเสมือนกับจังหวะดนตรีที่มีขึ้นลงตลอดเวลา ผสมผสานกับแนวคิด Digital Orchestra ซึ่งเป็นแนวคิดหลักของงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 19 โดยนำเสนอผ่าน 3 จังหวะ ได้แก่ จังหวะวัฒนธรรม จังหวะเทคโนโลยี และจังหวะของความห่วงใย สอดคล้องตามคำมั่นสัญญาของเอเอไอ ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’
บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต โชว์ผลงานช่องทางตัวแทนเติบโตแกร่ง เตรียมเข้าสู่ยุคดิจิตัลเต็มตัวภายในปี 2563 ด้วยเครื่องมือเสริมศักยภาพช่วยวางแผนการขาย การพิชิตเป้าหมาย การปิดการขายที่รวดเร็ว การพัฒนาความเป็นมืออาชีพ พร้อมจัดงานสัมมนาผู้บริหารตัวแทน ภายใต้แนวคิด “Explore the best in you” มีผู้บริหารตัวแทนร่วมงานกว่า 1,000 คน ร่วมติดอาวุธทางปัญญา ประกาศเดินหน้าสร้างผลงานพิชิตยอดเบี้ยประกันรับรวม 1.5 หมื่นล้านบาท
นายวิรงค์ พัฒนกำจร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารตัวแทน บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต เปิดเผยว่า ช่องทางขายผ่านตัวแทนของอลิอันซ์ อยุธยา ทำผลงานได้ดีเป็นที่น่าพอใจอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยในไตรมาส 1 ปี 2562 นี้ ถือเป็นช่วงที่ตลาดประกันยังมีภาวะชะลอตัวจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะในเรื่องของกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง แต่ตัวแทนของเรายังคงเดินหน้าโชว์ศักยภาพที่แข็งแกร่ง สร้างการเติบโตของเบี้ยประกันภัยจากธุรกิจใหม่ได้ถึง 10% นับว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยม
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ มีผลมาจาก การดำเนินกลยุทธ์ที่ถูกต้องเหมาะสมกับสภาวะตลาดและความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสินค้าสุขภาพ ที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกความต้องการ รวมถึงยังมีสินค้าสุขภาพ ที่เราร่วมมือกับ โรงพยาบาลในเครือ บีดีเอ็มเอส ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์คุ้มครองชีวิตและสุขภาพที่ครอบคลุมทุกการรักษาพยาบาล ที่ตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ และการให้บริการที่สร้างประสบการณ์เหนือระดับให้กับลูกค้า”นอกจากนี้ ยังมีการนำเครื่องมือดิจิตัลเข้ามาช่วยในการทำงานของตัวแทน ไม่ว่าจะเป็น
ด้วยเครื่องมือและแพลทฟอร์มดิจิทัลที่เราเร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่องในปีนี้ คาดว่า จะทำให้ช่องทางตัวแทน ก้าวสู่ระบบ Paperless หรือการทำงานโดยปราศจาการใช้กระดาษได้ภายในปี 2563
อย่างไรก็ตาม นอกจาก กลยุทธ์ด้านดิจิตัล และผลิตภัณฑ์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น อลิอันซ์ อยุธยา ยังคงเดินหน้าพัฒนาตัวแทนของเรา ให้มีความเป็นมืออาชีพ โดยบริษัทให้ความสำคัญกับการสรรหาตัวแทนใหม่ที่เน้นคุณภาพ อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง เพื่อสร้างทีมงานรุ่นใหม่ที่มีบุคลิกลักษณะเฉพาะแบบอลิอันซ์ อยุธยา โดยสิ่งเหล่านี้ได้ถูกขับเคลื่อนผ่านผู้บริหารตัวแทน เราจึงให้ความสำคัญมากกับการให้ความรู้และทำความเข้าใจกับผู้บริหารตัวแทน ให้มีการทำงานไปในทิศทางเดียวกัน จึงเป็นที่มาของการจัดงานสัมมนาผู้บริหารตัวแทนในวันนี้ ที่มีผู้บริหารตัวแทนร่วมงานกว่า 1,000 คน จากทั่วประเทศ โดยการสัมมนาปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Explore the best in you” มีกิจกรรมน่าสนใจและเป็นประโยชน์มุ่งให้ความรู้ ติดอาวุธทางปัญญาแก่ผู้บริหารตัวแทน อาทิ การบรรยายในหัวข้อ “Explore Your Creativity - Accelerator” โดย คุณณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ CEO OOKBEE ผู้ซึ่งเติบโตจากเด็กประกอบคอมฯ สู่อัจฉริยะผู้นำด้าน Tech Startup ผู้ก่อตั้งและซีอีโอบริษัท อุ๊คบี พร้อมด้วยช่วงเวิร์คช็อปกลุ่มย่อยที่ผู้บริหารฝ่ายขายที่มีผลงานยอดเยี่ยมมาร่วมแบ่งปันเทคนิคในการบริหาร อีกด้วย
“การสัมมนาตลอดทั้ง 2 วันนี้ อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาวิชาการที่เข้มข้น รวมทั้งการสร้างแรงบันดาลใจดีๆจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย มั่นใจว่าพลังผู้บริหารตัวแทน 1,000 กว่าคนที่เข้าร่วมงาน จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ พร้อมพิชิตเป้าหมายการเติบโตในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นจำนวนตัวแทนใหม่กว่า 2,500 คน จำนวนตัวแทนที่มีผลงานสม่ำเสมอ 2,000 คน ซึ่งจะสนับสนุนให้บริษัทสามารถเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์คุ้มครองชีวิตและสุขภาพ และพิชิตเป้าเบี้ยประกันภัยรับรวมของช่องทางตัวแทนที่ 1.5 หมื่นล้านบาท ได้อย่างแน่นอน” นายวิรงค์ กล่าวทิ้งท้าย
บริษัท นำสินประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยนางกมลภรณ์ ชินธรรมมิตร ผู้จัดการฝ่ายการเงิน มอบเงินจำนวน 300,000 บาท ให้แก่นายขรรค์ ประจวบเหมาะ ประธานกรรมการมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ สนับสนุนกิจกรรม “Bike with The Blind” ปั่นจักรยานกับผู้พิการทางการเห็น ฉลองครบรอบ 80 ปี มูลนิธิช่วยคนตาบอดฯ ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการให้โอกาสและส่งเสริมผู้พิการทางการเห็นได้รู้คุณค่าและศักยภาพของตนเอง อีกทั้งยังแสดงออกถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการแบ่งปัน จัดขึ้นที่ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค โชว์ผลงานคอนโดโครงการแรกในประเทศญี่ปุ่น “ยู คิโรโระ” ทํายอดขายได้แล้ว 1,800 ล้าน หรือกว่า 50% ของยูนิตขาย ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ โดยเฉพาะนักลงทุนชาวเอเชียและไทยเกินคาด กําหนดก่อสร้างแล้วเสร็จธันวาคมนี้ คาดปิดการขายได้ในปีหน้าโครงการอยู่ใจกลางฮอกไกโด บริเวณเดียวกับ “คิโรโระ” สกีรีสอร์ทที่สงบเงียบ พร้อมศูนย์กลางกิจกรรมและที่พักชั้นนําระดับโลก
นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จํากัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพัฒนโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่นว่า นอกเหนือจาก “ยู คิโรโระ” สกีรีสอร์ทที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในกลุ่มนักท่องเที่ยวแล้ว บริษัทฯ ยังได้มีการพัฒนาคอนโดมิเนียมโครงการแรก คือ “ยู คิโรโระ” เป็นคอนโดมิเนียมสูง 7 ชั้น บนพื้นที่ 3.88 ไร่ มูลค่าโครงการ 3,880 ล้านบาท ความคืบหน้าโครงการขณะนี้มี ยอดขายแล้วกว่า 50% เป็นมูลค่า 1,800 ล้านบาท ถือเป็นยอดขายที่สูงเกินความคาดหมายสําหรับการพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศโครงการแรกของบริษัท โดยกําหนดก่อสร้างแล้วเสร็จและจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในเดือนธันวาคม 2562 คาดว่าจะสามารถปิดการขายโครงการได้ภายในปีหน้า
“โครงการตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับ “คิโรโระ” สกีรีสอร์ทใจกลางฮอกไกโด จึงได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์อย่างมาก โดยห้องชุดขนาด 1-2 ห้องนอน ช่วงราคา 24-40 ล้านบาท เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด นอกจากเพื่อพักอาศัย ยังเป็นการซื้อเพื่อลงทุน ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีเนื่องจากขณะนี้ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นกําลังอยู่ในช่วงอ่อนตัว จึงมีกลุ่มนักลงทุนที่มองการณ์ไกลเข้ามาจับจองตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของการก่อสร้าง โดยเฉพาะนักลงทุนจากเอเชียซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของ ยู คิโรโระ ทั้งจากฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน เนื่องจากฮอกไกโดเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมสําหรับลูกค้ากลุ่มนี้ เดินทางสะดวกด้วยเที่ยวบินตรงมากกว่า 30 เที่ยวบินจากหลากหลายประเทศในเอเชียที่ตรงมายังท่าอากาศยานนิวชิโตเสะ นอกจากนี้ยังมีกระแสตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าชาวไทย ซึ่งเป็นจํานวนครึ่งหนึ่งของลูกค้าทั้งหมด ถือว่าได้รับการตอบรับจากคนไทยเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้”
“ยู คิโรโระ” ยังได้รับรางวัลการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดแห่งปี 2561 ของญี่ปุ่น ประกอบด้วยห้องพักหรูขนาด 1-3 ห้องนอนและเพนท์เฮ้าส์ รวม 108 ห้อง สําหรับแบบ 1 ห้องนอน 62 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 24 ล้านบาท, ขนาด 2 ห้องนอน 84-127 ตร.ม. เริ่ม 35 ล้านบาท และ ขนาด 3 ห้องนอน 127-140 ตร.ม. เริ่ม 50 ล้านบาท ทุกห้องตกแต่งครบพร้อมเข้าอยู่ได้ทันที พร้อมบริการชั้นเลิศ อาทิ บริการรับฝากอุปกรณ์เล่นสกี, ออนเซนทั้งภายในอาคารและกลางแจ้ง, บริการคอนเซียร์จตลอด 24 ชม, ฟิตเนสและเลาจน์ และห้องอาหารที่ให้บริการตลอดทั้งวัน
“ยู คิโรโระ” มีจุดเด่นด้วยการเป็นที่พักอาศัยที่สามารถสกีเข้า-ออกได้จากด้านหน้าของอาคาร มีความเงียบสงบเป็นส่วนตัว สามารถมาพักผ่อนได้ตลอดทั้งปี ตั้งอยู่ภายใน “คิโรโระ” สกีรีสอร์ทบนภูเขาใจกลางของฮอกไกโด เงียบสงบ มีทิวทัศน์ที่คงความงดงามตามธรรมชาติ มีชั้นหิมะที่หนานุ่มและตกสะสมหนาถึง 20 เมตรต่อปีในช่วงฤดูหนาว พร้อมกิจกรรมสันทนาการที่ครบครันสําหรับช่วงฤดูร้อน คิโรโระจึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่กําลังเป็นที่นิยมในกลุ่มนักเดินทางทุกประเภทจากทวีปเอเชียอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยังได้วางโรดแมปในการพัฒนา คิโรโระ รีสอร์ต อย่างเต็มศักยภาพ ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยมีมาสเตอร์ แพลนในการสร้างแหล่งท่องเที่ยวและที่พักอาศัยที่ครบวงจร โดยจะประกอบไปด้วย วิลล่าหรู ทาวน์โฮม และอพาร์ตเมนต์ ที่รายล้อมบริเวณทางเข้า และใกล้กับศูนย์สกีและคลับสกีชั้นนําแห่งแรกของฮอกไกโด ที่สามารถเดินทางจากที่พัก ไปร้านค้า ร้านอาหาร หน่วยบริการอื่น ๆ ด้วยการใช้สกี ในบริเวณรีสอร์ตยังมีร้านอาหารที่หลากหลาย ร้านค้าต่าง ๆ ศูนย์อุปกรณ์สําหรับกิจกรรมบนเขา และสามารถออกไปทํากิจกรรมกลางแจ้งอื่น ๆ หรือเดินทางไปสถานที่ท่องเทียวใกล้เคียงได้อย่างสะดวก
สสว. ติวเข้มผู้ประกอบการรายย่อย (Micro Enterprises) บุกตลาดต่างประเทศ ผ่าน Born Global Business Model พร้อมมั่นใจภายใน 5 ปี แผนส่งเสริมการใช้ดิจิทัลดันยอดส่งออกผู้เข้าร่วมโครงการได้ไม่น้อยว่าร้อยละ 25
ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงาน Born Global Rising Star Demo Day ว่า กิจกรรมในวันนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง สสว. กับ ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นอีกแนวทางในการสรรหาช่องทางที่เหมาะสมในการนำผู้ประกอบการขนาดเล็กของไทย (Micro Enterprises) ออกสู่ตลาดต่างประเทศ ภายใต้ปัจจัยและทรัพยากรที่ผู้ประกอบการแต่ละรายมี โดยจะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการรายเล็กในการก้าวสู่ตลาดต่างประเทศตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มประกอบธุรกิจ ด้วยเครื่องมือและการมีคู่มือ รวมถึงพี่เลี้ยงในการให้คำปรึกษาและค้นหาตลาดที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของตนเองตลอดระยะเวลา 5 วัน ที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะมีการติวเข้มผู้ประกอบการอย่างเข้มข้น โดยผู้ที่ได้รับการคัดเลือก จำนวน 20 ราย จะได้รับการฝึกวิธีสร้างธุรกิจที่มีนวัตกรรม เรียนรู้และปฏิบัติในการกำหนดแผนและทำความเข้าใจกลุ่มคนที่จะมาเป็นลูกค้าหรือผู้ใช้สินค้าหรือบริการของตน
ดร.วิมลกานต์ เผยอีกว่า นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังได้ฝึกการมองปัญหาและการแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด และสามารถนำไปใช้ในการหา Customer pain point ซึ่งจะทำให้ออกแบบสร้างสินค้าหรือบริการที่ตรงความต้องการของลูกค้าได้ โดยผู้ประกอบการจะได้ลงมือปฏิบัติและคิดเองทั้งหมด โดยโครงการนี้ยังได้รับเกียรติจาก Mr.Hassan Moosa ผู้ก่อตั้ง UtooCentral จากประเทศอินโดนีเซีย กูรูเรื่องการสร้างแบรนด์ในตลาดโลก มาให้ความรู้ในการทำแบรนด์ให้ปัง ดังไปทั่วโลก และภายหลังเสร็จสิ้นการอบรม ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้ปฏิบัติจริงโดยจัดแสดงสินค้าและบริการของตนเอง (Business Show Case) พร้อมประกวดการนำเสนอไอเดียธุรกิจ (Pitching) โดยไอเดียผู้ประกอบการรายใดน่าสนใจมากที่สุด จะมีรางวัล Born Global Rising Star Award มอบให้
รองผอ.สสว. กล่าวด้วยว่า นอกจาก Born Global Business Model จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อย กลุ่ม Micro Enterprises สามารถที่จะเปิดตลาดในต่างประเทศ ได้ตั้งแต่วันแรกที่เป็นผู้ประกอบการแล้ว สสว.ยังส่งเสริมการใช้ดิจิทัลในผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งมีจำนวนมากกว่า 80 % ของผู้ประการทั้งหมดโดยถือเป็นสัดส่วนหลักในภาพรวมของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและรายย่อยของไทย ทั้งนี้ สสว.มั่นใจว่าหากผู้ประกอบการดำเนินการตามแผนกลยุทธ์และรูปแบบที่เตรียมไว้ จะสามารถเป็นผู้ส่งออกได้ตั้งแต่วันแรกหรือปีแรกที่เริ่มก่อตั้งธุรกิจเลยทีเดียว โดยผู้ประกอบการแบบ Born Global Firm หมายถึง ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย ที่เข้าสู่ตลาดต่างประเทศภายในระยะเวลา 2 – 5 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจ และในขณะเดียวกันต้องมียอดส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 25
“ตลอดระยะเวลาการอบรมแบบเข้มข้นตลอด 5 วัน สสว. เชื่อว่า สิ่งผู้ประกอบการจะได้รับคือ โอกาสในการเสริมสร้างทักษะและการติดอาวุธทางความคิดให้แก่ตนเองในเรื่องการค้าและการต่างประเทศแบบเจาะลึก รวมถึงการสร้างแผนพัฒนาธุรกิจของตนเอง การสร้างกลยุทธ์ต่างๆ รวมถึงการสร้างแบรนด์ตนเองในตลาดต่างประเทศเพื่อการบุกตลาดสากล ให้ประสบผลสำเร็จ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของ สสว. เพื่อผู้ประกอบการ” ดร.วิมลกานต์ กล่าวในที่สุด
ศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จัดงาน “KMUTT Competitiveness Forum 2019” ขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ณ อาคาร Knowledge Exchange for Innovation Center (KX) ถ.กรุงธนบุรี
โดย ดร.วัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ หัวหน้าโครงการจัดตั้งศูนย์ฯ ได้แนะนำภารกิจของศูนย์ที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านการสร้างความสามารถทางการแข่งขันต่างๆ และสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและบริการวิชาการกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนให้คำปรึกษาทางด้านการสร้างความสามารถทางการแข่งขันให้กับองค์กร อีกทั้งพัฒนาบุคลากรของภาครัฐและภาคเอกชนให้สามารถสร้างและขับเคลื่อนปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถทางการแข่งขันองค์กรได้
ภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยด้วยนวัตกรรม” เพื่อเป็นการเผยแพร่แนวคิดและแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการสร้างความสามารถทางการแข่งขันองค์กรด้วยนวัตกรรมสู่สาธารณะ อันจะส่งผลต่อการเพิ่มขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมและประเทศต่อไปในอนาคต
ธนชาต เดินหน้ารักษาความเป็นธนาคารชั้นนำ ชูแนวคิด “ให้ชีวิตก้าวหน้าได้ทุกวัน : Your Everyday Progress” มุ่งพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อเป็นขุมพลังขับเคลื่อนให้ชีวิตลูกค้า “ก้าวหน้า” และไปถึง “เป้าหมาย” ที่วางไว้ได้สำเร็จ ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการตลอดเส้นทางชีวิต พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา “ก้าว” กำกับโดย ต่อ-ธนญชัย ศรศรีวิชัย ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณาชื่อดัง สะท้อนความมุ่งมั่น-ใส่ใจของพนักงานที่เป็นแรงสนับสนุน-ผลักดันให้ลูกค้าก้าวหน้าไปถึงเป้าหมายของชีวิต
นายประพันธ์ อนุพงษ์องอาจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในยุคที่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเข้ามามอบความสะดวกสบายและความรวดเร็วให้กับผู้บริโภค ธนาคารธนชาตตั้งคำถามกับตัวเองว่า อะไรคือสิ่งสำคัญที่ธนาคารควรมอบให้กับลูกค้า คำตอบที่พบคือ ไม่ว่าพฤติกรรมการเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัยอย่างไร แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันไม่เปลี่ยนคือ เป้าหมายที่วาดหวังไว้ และไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะเป็นแบบใด จะเล็กหรือใหญ่ ก็ล้วนมีค่า มีความสำคัญ และต้องการแรงเสริมเพื่อก้าวไปให้ถึงทั้งสิ้น ดังนั้น เป้าหมายของธนชาตที่จะมอบให้กับลูกค้าคือการเป็นแรงผลักดันส่งเสริมให้ชีวิตของลูกค้าก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายนั้นได้สำเร็จ
“เรามีความเชื่อว่า ก้าวเล็กๆ ในทุกวัน นำไปสู่ก้าวที่ยิ่งใหญ่เสมอ ก้าวสำคัญของธนชาตในวันนี้ จึงเป็นการนำพาให้ชีวิตของลูกค้าก้าวหน้าได้ทุกวันเพื่อให้ทุกคนไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยพลังสุดความสามารถของเรา ทั้งจากผลิตภัณฑ์ บริการ และพนักงาน เพราะในวันที่เราเห็นเป้าหมายของลูกค้าเป็นจริง นั่นคือวันที่ธนาคารธนชาตเข้าใกล้เป้าหมายของตัวเองเช่นกัน” นายประพันธ์กล่าว
จากรากฐานความเป็นธนชาตที่ “ริเริ่ม” ความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อ “เติมเต็ม” ทุกความต้องการของลูกค้าด้วยนโยบายยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ธนาคารธนชาตเดินหน้าไปอีกก้าวเพื่อใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น และมุ่งมั่นที่จะมอบความก้าวหน้าให้กับลูกค้าในทุกเป้าหมายของชีวิต ในฐานะที่ธนชาต คือ ธนาคารที่มอบความก้าวหน้าให้ลูกค้าได้ทุกๆ วัน หรือ “Your Everyday Progress” ผ่านทางผลิตภัณฑ์และบริการด้านความก้าวหน้าต่างๆ อาทิ
ธนาคารธนชาต จะสื่อสารแนวคิด “ให้ชีวิตก้าวหน้าได้ทุกวัน : Your Everyday Progress” ในทุกช่องทางการสื่อสาร พร้อมถ่ายทอดความมุ่งมั่นและส่งผ่านความเข้าใจผ่านภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง “ก้าว” ที่กำกับโดย ต่อ-ธนญชัย ศรศรีวิชัย ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณาชื่อดัง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและผลักดันให้ลูกค้าได้ “ก้าวหน้า” ไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ โดยสามารถรับชมภาพยนตร์โฆษณา “ก้าว” ได้ที่เว็บไซต์ www.thanachartbank.co.th เฟซบุ๊ก www.facebook.com/thanachartbank และยูทูบ Thanachart Bank
#ธนาคารธนชาตให้ชีวิตก้าวหน้าได้ทุกวัน #YourEverydayProgress
กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ร่วมกับบริษัท นูเรมเบิร์ก เมสเซ่ จำกัด ประเทศเยอรมนี ร่วมจัดพิธีเปิดงาน BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019 ครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ ระดมผู้ผลิตและผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านเกษตรอินทรีย์ และมาตรฐานเกี่ยวกับสินค้าธรรมชาติทั้งในประเทศและระดับสากล เข้าร่วมออกบูธแสดงและจำหน่ายสินค้ามากกว่า 300 ราย หรือกว่า 400 บูธ พร้อมร่วมประชุมและการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) โชว์ศักยภาพไทยผู้นำด้านการผลิต การค้า และการบริโภคสินค้าระดับสากล ภายใต้แนวคิดการจัดงาน “Organic Gateway to Southeast Asia” ระหว่าง 11 - 14 กรกฎาคมนี้ ณ ฮอลล์ 7 - 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า งาน BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019 เป็นงานแสดงและจำหน่ายสินค้าอินทรีย์และสินค้าธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งเป็นเวทีแห่งการเจรจาธุรกิจระดับสากล โดยภายในงานได้รวมเหล่าเกษตรกร ผู้ผลิต และผู้ประกอบการอินทรีย์ของไทยไว้มากที่สุด เสมือนเป็นตลาดการค้าเกษตรอินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุดของอาเซียนครั้งที่ 2 โดยความร่วมมือพันธมิตรระหว่างผู้นำด้านการจัดงานแฟร์ออร์แกนิคใหญ่ระดับโลก บริษัท นูเรมเบิร์ก เมสเซ่ จำกัด ประเทศเยอรมนี ภายใต้ความมุ่งหวังปลุกกระแสผู้บริโภคในปัจจุบันให้หันมาบริโภคสินค้าจากธรรมชาติและออร์แกนิคเพื่อสุขภาพที่ดี อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นรากฐานเศรษฐกิจโดยการสนับสนุนเกษตรกรอินทรีย์ไทยให้มีรายได้เพิ่มรวมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ งานในครั้งนี้ยังถือเป็นการยกระดับสินค้าอินทรีย์ให้ได้มาตรฐานสากล ขณะเดียวกันยังโชว์ศักยภาพความพร้อมของประเทศไทยทั้งทางด้านการเป็นผู้นำด้านการผลิต การค้า และการบริโภคสินค้าอินทรีย์ เพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยง และพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในอาเซียนอย่างครบวงจร
สำหรับการจัดแสดงสินค้าในปีนี้ มีจำนวนบูธทั้งสิ้นกว่า 400 บูธ ครอบคลุมสินค้าอินทรีย์ทุกกลุ่มเหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย ทั้งอาหาร ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เส้นผม และเครื่องสำอาง, ผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็ก, ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง, ภาชนะและบรรจุภัณฑ์, สารสกัดสะเดากำจัดแมลงศัตรูพืช, ปุ๋ยอินทรีย์, สินค้าไบโอออร์แกนิคสำหรับใช้ในบ้านแทนสารเคมี รวมทั้งบริการอินทรีย์ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม ร้านสปา และสถานที่ท่องเที่ยว โดยปีนี้ได้แบ่งบูธและการจัดพื้นที่ออกเป็น 6 โซน ได้แก่ 1) โซนสินค้าอินทรีย์มาตรฐานสากล 2) โซนสินค้าอินทรีย์มาตรฐานภายในประเทศ 3) โซนสินค้าธรรมชาติ 4) โซนร้านอาหารอินทรีย์ เช่น Lemon Farm, รังสิตฟาร์ม, อริยะ ออร์แกนิค คาเฟ่, กินดีเฮลตี้ปิ่นโต, เพาะรักฟู้ดโปรดักส์, บจก.ฮาร์โมนี ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล และบจก.คิงด้อม ออร์แกนิค เนทเวิร์ค (ไทยแลนด์) โดยมาพร้อมกับเมนูเด็ด ได้แก่ น้ำพริกเผาลูกหม่อน, บะหมี่ผักโมโรเฮยะปรุงสำเร็จ, ข้าวเหนียวอัญชันหมูหลุมทอด, ขนมจีบ ซาลาเปา ออร์แกนิค, ข้าวอบธัญพืช, รวมทั้งเมนูมังสวิรัติและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอีกเพียบ 5) โซนคลินิกให้คำปรึกษาแนะนำจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 10 หน่วยงาน และ 6) คูหาพิเศษ เช่น คูหามูลนิธิแก้วเกษตร, Organic Village ที่จำหน่ายสินค้าท้องถิ่นจากชุมชนหมู่บ้าน, กรมการค้าต่างประเทศ, ASEAN Pavilion, Sacict เป็นต้น
นายบุณยฤทธิ์ กล่าวต่อว่า “ในปีนี้มีสินค้านวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิ ผลิตภัณฑ์จากข้าวอินทรีย์ เช่น เส้นพาสต้า, สปาเก็ตตี้, น้ำนมข้าวยาคูออร์แกนิค, อาหารเสริมสำหรับเด็ก, น้ำส้มสายชูหมักจากน้ำกะทิไขมันต่ำอินทรีย์, ซอสปรุงรสจากมะพร้าวอินทรีย์, เวชสำอางออร์แกนิคจาก สะเดาเพื่อรักษาอาการจากโรคผิวหนัง, ผลิตภัณฑ์ Superfood (ธัญพืชสกัด), Energy Gel (เจลให้พลังงานสกัดผลไม้ เช่น องุ่น, สตรอว์เบอร์รี), เครื่องสำอางออร์แกนิค และผลิตภัณฑ์จากกาบหมาก ภาชนะบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ทั้งยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การสัมมนาทางวิชาการด้านการตลาดสินค้าอินทรีย์ ซึ่งเป็นกิจกรรมหัวใจสำคัญของงาน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเครือข่ายการค้า และให้ความรู้ที่ทันสมัยด้านเกษตรอินทรีย์แก่ผู้เข้าร่วมงาน โดยมีหัวข้อที่น่าใจ เช่น ความท้าทายของธุรกิจออร์แกนิคในประเทศไทย, สถานการณ์ด้านธุรกิจผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคเพื่อความงามและสุขภาพในประเทศไทย เป็นต้น จากเหล่ากูรูผู้เชี่ยวชาญในแวดวงเกษตรอินทรีย์ทั้งไทยและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีเวิร์คช้อปสร้างอาชีพเสริมรายได้ เช่น สาธิตการจัดทำมอสบอล (โคเคดามะ), จัดสวนขวด, กำยานออร์แกนิค, ลิปบาล์มออร์แกนิค, ยาย้อมผมสีผมออร์แกนิค, ถุงผ้ามัดย้อม เป็นต้น นอกจากนี้ เป็นอีกครั้งที่ภายในงานจัดให้มีวันเจรจาธุรกิจ (Trade day) สำหรับ ผู้ที่สนใจธุรกิจออร์แกนิคอีกด้วย
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ยังเปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดสินค้าออร์แกนิคโดยภาพรวมว่า “ปัจจุบันความนิยมในการบริโภคสินค้าออร์แกนิคจึงยิ่งแผ่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเทรนด์ของโลก ซึ่งจากแนวโน้มดังกล่าวทำให้ตลาดออร์แกนิคโลกมีมูลค่าสูงถึง 104,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีอัตราการขยายตัวประมาณปีละ 20% ยุโรปและอเมริกาเหนือ ถือเป็นตลาดเกษตรอินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมกันร้อยละ 90 โดยแบ่งเป็น ตลาดสหรัฐอเมริกา มีมูลค่าประมาณ 45,200 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 44) รองลงมาคือ ตลาดเยอรมนี มีมูลค่าประมาณ 10,040 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 10) นอกจากนี้ยังมีตลาดโซนอื่นๆ เช่น เอเชีย จีน และออสเตรเลีย ส่วนตลาดสำคัญในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย โดยเฉพาะไทยมีมูลค่าตลาดภายในประเทศประมาณ 3,000 ล้านบาท และมูลค่าการส่งออกประมาณ 2.1 พันล้านบาท และมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% ต่อปี”
สำหรับพื้นที่เพาะปลูกเกษตรอินทรีย์ของประเทศไทยจากเดิม 357,091 ไร่ เพิ่มขึ้นมา 83% หรือคิดเป็น 0.652 ล้านไร่ ซึ่งมีพื้นที่ผลิตเกษตรอินทรีย์มากที่สุดเป็นลำดับที่ 3 ในกลุ่มอาเซียน รองจากอินโดนิเชีย และฟิลิปปินส์
ด้านนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวเสริมว่า ด้วยเป้าหมายแห่งการผลักดันออร์แกนิคไทยสู่ประตูการค้าโลก และมุ่งหวังในการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงและพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในอาเซียน ทางกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้มีนโยบายจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาตลาดสินค้าอินทรีย์ตั้งแต่ปี 2560 - 2564 โดยกำหนดยุทธศาสตร์สำคัญไว้ 4 ยุทธศาสตร์ อันได้แก่ 1) การสร้างการรับรู้ของผู้เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน 2) ผลักดันมาตรฐานและระบบการรับรองเกษตรอินทรีย์ 3) พัฒนาและขยายตลาดสินค้าและบริการอินทรีย์ และ 4) พัฒนาสร้างมูลค่าสินค้าและบริการอินทรีย์ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าของสินค้าอินทรีย์ไทยให้มากขึ้น ดังนั้นการร่วมมือกับทางบริษัท นูเรมเบิร์ก เมสเซ่ จำกัด ประเทศเยอรมนี จัดงาน BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019 งานแสดงและจำหน่ายสินค้าอินทรีย์และสินค้าธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 2 จึงเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากแนวคิดการจัดงานในปี 2018 : Southeast Asia ; Home of Organic ที่ผ่านมา อีกทั้งไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตอาหารที่มีคุณภาพ และได้มาตรฐานเป็นที่ต้องการของประชากรโลก บวกกับความพร้อมด้านภูมิศาสตร์และการขนส่งที่ดี จึงมีความได้เปรียบสูงที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำเกษตรอินทรีย์ของอาเซียน ซึ่งด้วยองค์ประกอบดังกล่าวจะช่วยสร้างความแตกต่างทางด้านคุณภาพให้กับสินค้าออร์แกนิคของไทย และช่วยขยายตลาด ตลอดจนเพิ่มมูลค่าการส่งออกในทุกปีอย่างแน่นอน
ทั้งนี้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ คาดว่าตลอดระยะเวลา 4 วัน จะมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 50,000 คน อีกทั้งจะสามารถสร้างมูลค่าการจำหน่ายสินค้าได้ไม่ต่ำกว่า 72 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 97% ดังนั้นเพื่อเป็นการร่วมส่งเสริม ผลักดัน พร้อมร่วมเปิดโอกาสทางการค้าและการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ไปตลาดในภูมิภาคและทั่วโลก จึงขอเชิญชวนผู้สนใจสามารถร่วมชมงาน “BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019” ได้ในระหว่างวันที่ 11 - 14 ก.ค. 62 ณ ฮอลล์ 7 - 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยวันเจรจาธุรกิจ B2B (Trade day) วันที่ 11 - 12 กรกฎาคม เวลา 10.00 - 12.30 น. และสำหรับผู้เข้าชมทั่วไป วันที่ 11 - 12 กรกฎาคม เวลา 12.30 - 20.00 น. วันที่ 13 กรกฎาคม เวลา 10.00 - 20 .00 น. และวันที่ 14 กรกฎาคม เวลา 10.00 - 19.00 น. สามารถติดตามข้อมูลได้ทางเว็บไซต์ http://th.biofach-southeastasia.com หรือทาง Facebook Fanpage : Organic & Natural Expo หรือโทร.02-507-5723
ถอดบทเรียนจาก 5 ชุมชนในทุกภาค เตรียมยกทีมเดินสายแบบ Mobile Unit ถึงประตูบ้าน เพื่อช่วยเหลือด้านประกันภัยอย่างครบวงจร พร้อมเปิดตัว “คู่มือประกันภัย ฉบับประชาชน” เป็นครั้งแรก
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. ได้จัด “โครงการ คปภ. เพื่อชุมชน” ต่อเนื่องเป็นปี 3 โดยเป็นการนำภาคอุตสาหกรรมประกันภัยร่วมลงพื้นที่รณรงค์สร้างความรู้ ความเข้าใจด้านการประกันภัยเชิงรุกแก่ชุมชนต่างๆทั่วประเทศ ขณะเดียวกันได้ถ่ายทำเพื่อจัดทำเป็นรายการซีรีย์ “คปภ. เพื่อชุมชน” นำไปเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์และสื่อออนไลน์ ทำให้เกิดการเรียนรู้ด้านประกันภัยในวงกว้าง ซึ่งปีนี้มีความแตกต่างไปจากปีที่ 1 และปีที่ 2 ด้วยการเรียนรู้ประโยชน์ของระบบประกันภัยจากการถอดบทเรียนประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงและความเสียหายในหลากหลายรูปแบบและสามารถใช้ระบบประกันภัยเข้าไปช่วยเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนทำให้ชาวชุมชนมีสภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
เป็นการต่อยอดความคิดและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตลอดจนถ่ายทอดส่งต่อองค์ความรู้ด้านการประกันภัยให้เกิดขึ้นภายในชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเป็นการสร้างความสมดุลระหว่างความต้องการในระดับพื้นที่ (Bottom-Up) และทิศทางในภาพรวมของระดับประเทศ (Top-Down) ที่ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศของทุกภาคส่วนต่อไป สำหรับชุมชนที่ได้รับคัดเลือกในปีนี้ มีจำนวน 5 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนลำไยมัดปุ๊ก บ้านร้องขุด อำเภอสันป่าตองจังหวัดเชียงใหม่ ชุมชนบ้านนาทับ-สะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ชุมชนตลาดน้ำบางคล้า อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ชุมชนบ้านโนนหอม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร และชุมชนบ้านผาบ่อง อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า โครงการ คปภ. เพื่อชุมชน ปี 3 ได้แถลงข่าวเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ เมื่อเร็วๆ นี้ที่ผ่านมา ณ ชุมชนบางกระดี่ แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร โดยได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากสมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมนายหน้าประกันภัยไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน สมาคมการค้าผู้สำรวจภัยไทย บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันวินาศภัย รวมถึงกองทุนประกันชีวิต และกองทุนประกันวินาศภัย ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ และจะร่วมลงพื้นที่เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประกันภัยแล้ว รวมทั้งช่วยเหลือประชาชนด้านประกันภัยอย่างครบวงจร ถือเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันด้านประกันภัยระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนอย่างแท้จริง
สำหรับในส่วนของสำนักงานคปภ. การลงพื้นที่ในโครงการนี้จะดำเนินการในรูปแบบ Mobile Insurance Unit หรือศูนย์บริการประชาชนด้านการประกันภัยเคลื่อนที่แบบครบวงจรควบคู่กันไป เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านประกันภัย รวมทั้งผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่จำเป็นสำหรับชุมชน ศึกษาสภาพปัญหาด้านประกันภัยในชุมชน ตลอดจนให้ความช่วยเหลือและรับเรื่องร้องเรียนเรื่องประกันภัยผ่าน “Mobile Complaint Unit” หรือศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยเคลื่อนที่ ซึ่งจะทำให้ประชาชนในชุมชนได้รับความรู้และบริการด้านประกันภัยแบบครบวงจรในคราวเดียวกัน
“ในการเปิดตัวโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน ปี 3 ในวันนี้ ยังมีการเปิดตัว “คู่มือประกันภัย ฉบับประชาชน” ซึ่งถือเป็นคู่มือความรู้ด้านประกันภัยภาคประชาชน version ล่าสุดที่รวมข้อมูลที่จำเป็นในเรื่องประกันภัยที่คนไทยทุกคนควรทราบ อันเปรียบเสมือนยาสามัญประจำบ้านที่จะไขข้อข้องใจในเรื่องของประกันภัยในทุกมิติแบบเข้าใจง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก สามารถพกพาได้สะดวก โดยสำนักงาน คปภ.แจกฟรี เพื่อให้ประชาชนในชุมชนต่างๆ ของประเทศ ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยและสิทธิประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย และสามารถใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงให้กับตนเองและครอบครัวได้อย่างเหมาะสม” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย