December 06, 2025

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จัดโปรโมชันสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด (บลจ.เกียรตินาคินภัทร) เผยดัชนี NASDAQ- 100

จากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) เผยว่า ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา

ตามที่ศูนย์วิจัยเทเลนอร์ได้คาดการณ์ 5 ความก้าวหน้าสำคัญทางเทคโนโลยีของโลก

บมจ. ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ TIPH รุกเดินหน้า ซื้อ 2 บริษัทรวด! ดร. สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นำทัพประกาศส่งบริษัท ทิพย ไอเอสบี จำกัด หรือ TIP ISB บริษัทลูกในฐานะ Flagship Company เข้าซื้อกิจการรวดเดียว 2 บริษัท โดยครั้งนี้ล็อกเป้าที่บริษัทนายหน้าประกันภัย และบริษัทสำรวจภัย ตามแผนที่ได้ให้ไว้กับผู้ถือหุ้น ตั้งเป้าสร้างความแข็งแกร่งให้กลุ่มธุรกิจสนับสนุนธุรกิจประกันภัย และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน รองรับการมาของบริษัทประกันภัยใหม่ๆ ภายในกลุ่ม พร้อมทั้งวางเป้าหมายให้บริษัทลูกที่เข้ามาใหม่ในกลุ่มธุรกิจ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯภายใน 5 ปี

ดร. สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2565 ได้มีมติอนุมัติให้ บริษัท ทิพย ไอเอสบี จำกัด หรือ TIP ISB ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.99 ดำเนินการเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของ บริษัท อะมิตี้ อินชัวร์รันซ์ โบรคเกอร์ จำกัด หรือ Amity โดยการซื้อหุ้นร้อยละ 75 จากผู้ถือหุ้นเดิมของ Amity ด้วยมูลค่าเงินลงทุนไม่เกิน 54.88 ล้านบาท และเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของ บริษัท ดีพี เซอร์เวย์ แอนด์ลอว์ จำกัด หรือ DP Survey  โดยการซื้อหุ้นร้อยละ 75 จากผู้ถือหุ้นเดิมของ DP Survey ด้วยมูลค่าเงินลงทุนไม่เกิน 115.97 ล้านบาท

ทั้งนี้การเข้าลงทุนในทั้ง 2 บริษัทดังกล่าวมีวัตถุประสงค์การลงทุนเพื่อลงทุนในธุรกิจสนับสนุนประกันภัย (Insurance Supported Business) โดยประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนครั้งนี้ คือผลประโยชน์จากการทำงานร่วมกัน (Synergy) ที่มีให้แก่กลุ่มธุรกิจของ TIPH เพื่อพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ (Business Ecosystem) ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มธุรกิจอย่างครบวงจร รวมทั้งเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกมิติ อันเป็นการต่อยอด และสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจประกันภัย ซึ่งถือเป็นธุรกิจหลักของกลุ่ม TIPH

โดยที่บริษัท อะมิตี้ อินชัวร์รันซ์ โบรคเกอร์ จำกัด หรือ Amity ในปัจจุบันประกอบธุรกิจตัวแทนและนายหน้าประกันวินาศภัย รวมให้บริการงานที่เกี่ยวข้องกับงานสนับสนุนธุรกิจประกันภัย และผลิตภัณฑ์ประกันภัยครบวงจร ขณะที่บริษัท ดีพี เซอร์เวย์ แอนด์ลอว์ จำกัด หรือ DP Survey ในปัจจุบันประกอบธุรกิจสำรวจอุบัติเหตุและประเมินความเสียหายในธุรกิจประกันวินาศภัย รวมทั้งตรวจสภาพรถยนต์ก่อนทำประกันภัย และบริการสนับสนุนงานประกันภัยแบบครบวงจรเช่นกัน

“การเข้าลงทุนในบริษัท Amity และบริษัท DP Survey ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการภายใต้กลยุทธ์ Forward Integration และ Backward Integration ของกลุ่มธุรกิจประกันภัยในคราวเดียวกัน โดยที่ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการได้ทั้ง 2 บริษัทเข้ามาเป็นบริษัทย่อยในกลุ่มของ TIPH ในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) ให้กับการดำเนินธุรกิจประกันภัยของกลุ่ม TIPH ในระยะยาว เนื่องจาก TIPH ได้วางเป้าหมายให้บริษัท Amity และบริษัท DP Survey เข้ามาสนับสนุนธุรกิจต่างๆ ภายในกลุ่มธุรกิจ (Shared Services) เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของ บมจ. ทิพยประกันภัย หรือ TIP ในฐานะบริษัทแกนของกลุ่ม และบริษัทประกันใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ผ่านการแยกหน่วยธุรกิจที่มีศักยภาพของ TIP ออกเป็นบริษัทใหม่ (Spin-Off) ด้วย ตามแผนธุรกิจที่ได้แจ้งต่อผู้ถือหุ้นไว้ในการปรับโครงสร้างการถือหุ้นฯ ที่ผ่านมา” ดร.สมพร กล่าว

“อย่างไรก็ดี เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทสามารถขยายธุรกิจ และสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ภายหลังจากที่บริษัท Amity และบริษัท DP Survey เข้ามาเป็นบริษัทย่อยของกลุ่ม TIPH แล้ว ทั้ง 2 บริษัทจะถูกตั้งเป้าหมายให้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใน 5 ปี ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่ TIPH ให้ไว้กับบริษัทย่อยภายในกลุ่ม” ดร.สมพร กล่าวทิ้งท้าย

นางประณยา  นิถานานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – การตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ได้ดำเนินการมอบสินไหมมรณกรรม จำนวน 1,766, 657.56 บาท แก่ครอบครัวแพทย์หญิงวราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือหมอกระต่าย จากกรณีอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ชนขณะข้ามถนน เป็นเหตุให้เสียชีวิต โดยมีผู้บริหารเข้าร่วมแสดงความเสียใจ และมอบสินไหมแก่ครอบครัวสุภวัตรจริยากุล ณ วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)

เป็นอีกปีที่ เคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ยังรักษาสถิติการสร้างผลกำไรปี 2564 แตะที่ 6,251 ล้านบาท ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19  ที่ส่งผลกระทบต่อหลายต่อหลายส่วน ทั้งทางตรงและทางอ้อม  ส่งผลให้พอร์ตลูกหนี้โดยรวมเติบโตไม่มากดั่งคาดหวัง แต่ภายใต้ความเข้มแข็งของทีมงานและเครือข่าย ประกอบกับเศรษฐกิจเริ่มขยับฟื้นตัวในช่วงปลายปี และเป็นแนวโน้มที่ดีต่อทิศทางและโอกาสของตลาดสินเชื่อ โดยผู้บริหารเคทีซี มองเห็นโอกาสสำหรับตลาดสินเชื่อในปี 2565 ที่คาดว่าจะสามารถดันพอร์ตลูกหนี้ให้เติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง

นายระเฑียร  ศรีมงคล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี”  ได้เผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2564 ที่เริ่มขยับตัวดีขึ้นเล็กน้อย จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ทำให้หลายธุรกิจในภาคเอกชนมีแนวโน้มดีขึ้น มีการใช้จ่ายเม็ดเงินในประเทศ สร้างรายได้หมุนเวียนจากการท่องเที่ยว ส่งออกสินค้าและบริการ อย่างไรก็ดี ก็ยังคงต้องจับตาความเสี่ยงของหนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจใน   ปี 2565 ที่ยังอยู่ในระดับสูงพอๆ กับความเสี่ยงของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่ระบาดรวดเร็วในหลายพื้นที่ ซึ่งกระทบการบริโภคในประเทศ และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เคทีซีได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และการลดเพดานอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อต่อเนื่อง ทำให้แผนการขยายธุรกิจบางอย่างต้องชะลอตัวลง พอร์ตลูกหนี้รวมโตไม่มากนัก บริษัทฯ จึงได้ปรับแผนกลยุทธ์หลายอย่างเพื่อให้ธุรกิจผ่านพ้นวิกฤติต่างๆ ไปได้ ทั้งการบริหารพอร์ตลูกหนี้ให้มีคุณภาพดีต่อเนื่อง รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายให้ลดลง ล้วนเป็นปัจจัยหลักให้ผลกำไรสุทธิของเคทีซีในปี 2564 เพิ่มขึ้น และนับเป็นสถิติใหม่ของเคทีซีที่ทำกำไรสูงสุดอีกครั้ง ทั้งงบการเงินเฉพาะ 6,251 ล้านบาท และงบการเงินรวม 5,879 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 17.2% และ 10.2% ตามลำดับ โดยกำไรในงบการเงินรวมมีมูลค่าต่ำกว่างบการเงินเฉพาะ เนื่องจากราคาซื้อขายในบริษัท กรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่ง จำกัด (KTBL) ที่เกิดขึ้นจริงต่ำกว่าที่คาดการณ์ และเพื่อให้สะท้อนมูลค่าจริงของพอร์ตลูกหนี้ จึงมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นใน KTBL เป็นจำนวน 539 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว  

 

“สำหรับผลประกอบการของเคทีซี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทฯ มีเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวม 92,636 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 2.8% ส่วนปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทั้งปีอยู่ที่ 195,727 ล้านบาท ลดลง -0.7% รายได้รวม 21,442 ล้านบาท ลดลง -2.8% รายได้ดอกเบี้ยลูกหนี้บัตรเครดิตและลูกหนี้สินเชื่อบุคคลที่ลดลง จากการถูกปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยของทั้งสองธุรกิจและผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19  แต่ก็สามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายรวมให้ลดลง -7.8% อยู่ที่ 14,197 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายทางการเงิน และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงในอัตรา -7.7% และ -17.4% ตามลำดับ และยังมีอัตรารายได้หนี้สูญที่ได้รับคืนเพิ่มขึ้น 4.7% อัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) รวมลดลงที่ 3.6% จาก 3.8% ในไตรมาส 3”

ซีอีโอของ เคทีซียังเผยถึง ฐานสมาชิกรวม ณ สิ้นปี 2564 มีจำนวน 3,266,786 ล้านบัญชี แบ่งเป็นธุรกิจบัตรเครดิต 2,515,110 บัตร  เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิต 60,201 ล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL) ลูกหนี้บัตรเครดิต 1.2%  ธุรกิจสินเชื่อบุคคล 751,676 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคล 29,235 ล้านบาท  อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL) ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเท่ากับ 2.9%  

เคทีซียังเน้นการบริหารต้นทุนทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ โดยสิ้นปี 2564 บริษัทฯ มีเงินกู้ยืมทั้งสิ้น 54,403 ล้านบาท ลดลง 5.3% เป็นโครงสร้างแหล่งเงินทุนจากเงินกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาว คิดเป็นสัดส่วน 17% ต่อ 83% ตามลำดับ โดยเป็นเงินกู้ยืมจากธนาคารกรุงไทย 6,230 ล้านบาท สถาบันการเงินอื่น 4,400 ล้านบาท และการออกหุ้นกู้จำนวน 43,773 ล้านบาท โดยมีต้นทุนการเงินที่ 2.5% อัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 2.3 เท่า ซึ่งต่ำกว่าภาระผูกพันที่กำหนดไว้ที่ 10 เท่า และมีวงเงินสินเชื่อคงเหลือ (Available Credit Line) จำนวน 24,009 ล้านบาท

สำหรับแผนกลยุทธ์ในปี 2565 เคทีซีเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตของสินเชื่อมีหลักประกันที่ได้วางรากฐานมากว่า 2 ปี อีกทั้งการฟื้นตัวของสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ประกอบกับมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ และผู้บริโภคเริ่มมีการใช้จ่ายมากขึ้น ทำให้บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะสามารถผลักดันพอร์ตลูกหนี้รวมให้โตเกิน 100,000 ล้านบาท และทำกำไรสูงสุดสร้างสถิติใหม่อีกครั้งในปี 2565 โดยจัดสรรงบประมาณด้านการตลาดที่มากขึ้น และขับเคลื่อนโมเดลธุรกิจสำคัญที่แตกต่างจากเดิมคือ ธุรกิจบัตรเครดิต สร้างโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) จากการขยายฐานบัตรร่วมกับพันธมิตรรายใหญ่ ออกผลิตภัณฑ์ใหม่และพัฒนาบัตรเครดิตร่วม (Co-brand) เน้นสิทธิประโยชน์ที่ตรงใจเพื่อผูกความสัมพันธ์กับสมาชิกบัตรในระยะยาว และตั้งเป้าปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรขยายตัว 10% หรือประมาณ 220,000 ล้านบาท ธุรกิจสินเชื่อเคทีซี พี่เบิ้ม และ KTBL เป็นแกนธุรกิจเป้าหมายที่จะสร้าง New S Curve ผลักดันให้เคทีซีมีรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดดและยั่งยืน โดยตั้งเป้ายอดลูกหนี้สินเชื่อเติบโตที่ 11,500 ล้านบาท ผ่านความร่วมมือกับเครือข่ายธนาคารกรุงไทยและกรุงไทยลีสซิ่งทั่วประเทศ ธุรกิจสินเชื่อบุคคล มุ่งขยายฐานสมาชิกใหม่ที่มีศักยภาพ เน้นผู้มีรายได้ประจำและมีฐานรายได้ที่สูงขึ้น โดยประมาณอัตราการเติบโตที่ 7%

นอกเหนือไปจากแผนงานและกลยุทธ์ธุรกิจในผลิตภัณฑ์หลักเดิมของ เคทีซี ที่ต้องขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายแล้ว นายระเฑียร ยังได้เผยถึง ก้าวใหม่ของยุทธศาสตร์ธุรกิจ เคทีซี ที่หวังให้เป็น ก้าวแห่งอนาคต คือ

“MAAI BY KTC ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มที่เคทีซีพัฒนาขึ้นใหม่  จากการต่อยอดความแข็งแกร่งของเคทีซีในการทำระบบคะแนนสะสม และความเชี่ยวชาญในการบริหารคะแนน KTC FOREVER ที่ตอบโจทย์หลากหลายความต้องการของลูกค้า โดย แพลตฟอร์ม MAAI  จะเข้ามาส่งเสริมและสนับสนุนพันธมิตรธุรกิจในเรื่องการบริหารลอยัลตี้ โปรแกรม (Loyalty Program) แบบครบวงจร จากความเชี่ยวชาญในเรื่องระบบบริหารจัดการสมาชิก (Membership Management) ระบบบริหารจัดการคะแนน (Point System Management) และระบบบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ในรูปแบบคูปองอิเล็กทรอนิก (e-Coupon Management)  โดยแพลตฟอร์ม  MAAI  จะเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการสร้าง  Eco-system ของเคทีซี  โดย MAAI กำหนดเปิดตัวเพื่อทดสอบระบบในเดือนมกราคม 2565 โดย  MAAI จะเดินหน้าพัฒนาและโชว์ความก้าวหน้าอย่างเนื่อง  โดยเคทีซี กำหนดงบประมาณการใส่ทุนหมุนเวียนใน MAAI จาก คะแนน KTC Forever จำนวน 300 ล้านคะแนน และคาดหวังเป้าหมายผู้ใช้งาน 1 ล้านบัญชีสมาชิกภายในสิ้นปี 2565”

X

Right Click

No right click