กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ร่วมสร้างรอยยิ้มให้กับเยาวชนในเทศกาลวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566 ผ่านกิจกรรม KKP CHRISTMAS TREE โดยตลอดเดือนธันวาคมและต้นมกราคม พนักงานของกลุ่มธุรกิจฯ ร่วมกันจัดหาของขวัญ และนำมาวางไว้กับต้นคริสต์มาสแห่งการแบ่งปันที่ตั้งอยู่กลางสำนักงานใหญ่ จากนั้นจึงได้ประสานกับมูลนิธิกระจกเงาในการส่งต่อของขวัญจำนวนร่วม 500 ชิ้น ให้กับเยาวชนในโรงเรียนวัดเมตารางค์ โรงเรียนวัดบ้านพร้าว โรงเรียนประคองศิลป์ และชุมชนใกล้เคียงในจังหวัดปทุมธานี เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลส่งความสุข ในการนี้ นายวรกฤต จารุวงศ์ภัค รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ประธานสายปฎิบัติการ (ซ้ายสุด) และ นางสาวพัทนัย เหลืองตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสำนักสื่อสารองค์กรและการตลาด (ขวาสุด) เป็นผู้แทนส่งมอบของขวัญให้กับผู้แทนจากมูลนิธิกระจกเงา ณ อาคารเคเคพี ทาวเวอร์ เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา
ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย มอบเต็นท์ให้โรงเรียนได้นำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆของโรงเรียน และพัฒนาด้านการศึกษาของนักเรียน ซึ่งเป็นฐานรากที่สำคัญของการพัฒนาด้านต่างๆของประเทศชาติในอนาคต โดยมี นางณัฐพัชร์ ศิริเสถียร ผู้อำนวยการโรงเรียนนนทรีวิทยา รับมอบ ณ โรงเรียนนนทรีวิทยา
บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จํากัด หรือ SBFT หนึ่งในผู้นำอาหารเสริมสุขภาพในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เน้นคุณภาพให้กับคนไทยควบคู่กับการตอบแทนสิ่งดีๆ คืนกลับสู่สังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง (Giving Back to Society)
ล่าสุด มอบผลิตภัณฑ์ “แบรนด์” (BRAND’S) ให้กับโรงพยาบาลและมูลนิธิต่างๆ ภายใต้โครงการ “สร้างสุขภาพดีไปกับแบรนด์” เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับบุคลากรของโรงพยาบาลและมูลนิธิ รวมไปถึงผู้พักฟื้นและเด็กๆในมูลนิธิ รวมมูลค่า 9,694,192 บาท
นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บริษัทฯ ตระหนักถึงภาระหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุข รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลและมูลนิธิต่างๆที่ต้องทำงานกันอย่างหนักจึงได้ส่งมอบความปรารถนาดีทั้งในด้านกำลังใจและสุขภาพที่ดีให้กับแพทย์ พยาบาล และบุคลากรด้านสาธารณสุข ด้วยการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ “แบรนด์” (BRAND’S) ให้กับโรงพยาบาล มูลนิธิ รวมถึงหน่วยงานด้านสาธารณสุขต่างๆ มาโดยตลอด จนถึงปัจจุบันแม้สถานการณ์โรคโควิด-19 จะเริ่มคลี่คลายแต่ก็ยังพบจำนวนผู้ป่วยอยู่ในหลายพื้นที่ บุคลากรทางการแพทย์และมูลนิธิต่างๆ ยังคงต้องทำหน้าที่กันอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด เพื่อเป็นการสานต่อค่านิยม ‘Giving Back to Society’ บริษัทฯ จึงได้ริเริ่มโครงการ “สร้างสุขภาพดีไปกับแบรนด์” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและส่งต่อกำลังใจให้กับบุคลากรของโรงพยาบาลและมูลนิธิต่างๆ ตลอดจนผู้ป่วยพักฟื้นและเด็กๆในมูลนิธิ เดินสายมอบผลิตภัณฑ์ทั้งแบรนด์ซุปไก่สกัดสูตรต่างๆ ได้แก่ แบรนด์ซุปไก่สกัดสูตรต้นตำรับ ที่ช่วยเติมความกระปรี้กระเปร่าให้กับร่างกาย เพิ่มความพร้อมให้กับบุคลากรที่ทำงานหนัก แบรนด์จูเนียร์ซุปไก่สกัดผสมนม ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน และช่วยเพิ่มความพร้อมสำหรับการเรียนรู้ของเด็กๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์แบรนด์กลุ่มต่างๆ เช่น แบรนด์เบอร์รี่พลัส ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและบำรุงดวงตา เป็นต้น ให้กับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติฯ (รพ.เด็ก) โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ศูนย์การแพทย์กาญจนาฯ มหิดล และมูลนิธิเด็ก รวม 8 แห่ง เป็นจำนวนทั้งสิ้น 199,456 ขวด คิดเป็นมูลค่ารวม 9,694,192 บาท ซึ่งบริษัทฯ มุ่งหวังว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนให้บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยพักฟื้นและเด็กๆในมูลนิธิมีสุขภาพและกำลังใจที่ดี เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งใหม่ๆ ในปีนี้ ไปด้วยกัน
มร.มาร์โค เอนนีโล รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นางสาวช่อฟ้า ยุกตะนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาดและบริหารลูกค้า กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ มอบเงินสนับสนุน จำนวน 100,000 บาท เพื่อสมทบทุนโครงการ "LITTLE HEART TO ART" งานศิลปะจากหัวใจดวงน้อย ซึ่งจัดขึ้นโดย มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ เพื่อเด็กและเยาวชน ฯ (Community Children Foundation) และ เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ เพื่อจุดประกายความฝันเด็กด้อยโอกาสให้ได้ถ่ายทอดความรู้สึกและจินตนาการผ่านภาพวาดและการลงสี และยังสนับสนุนผลงานศิลปะของเด็ก ๆ ด้วยการนำมาจัดทำเป็นของที่ระลึกสำหรับมอบให้กับลูกค้า โดยได้รับเกียรติจาก ดร.บรรจงเศก ทรัพย์โสภา ผู้อำนวยการ พร้อมด้วย นายทวีโชค สุโภภาค ผู้จัดการแผนกระดมทุนผู้อุปการะรายใหญ่ มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ ร่วมรับมอบ เมื่อเร็วๆ นี้ ณ บริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์
บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) หรือ MST จัดงานวิ่งการกุศลเป็นครั้งแรกในชื่อ ‘ไทเกอร์รัน บาย เมย์แบงก์’
หนึ่งในมิติที่เป็นปัญหาทางการศึกษาของประเทศไทย คือ ความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงองค์ความรู้ที่ไม่เท่าเทียมกัน
ว่ากันว่าเด็ก ๆ ที่เกิดมาใหม่ทุกคนเปรียบเสมือนผ้าขาวและจะมีสีต่าง ๆ แต่งแต้มเติมเข้าไปเมื่อเติบโตขึ้น และสำหรับผู้ใหญ่แบบพวกเราแล้วต่างเคยผ่านช่วงวัยเด็กที่อาจจะมีโอกาสในชีวิตมากกว่าเด็กที่ยากไร้หลาย ๆ คน สำหรับเด็ก ๆ แล้ว พอเข้าเดือนมกราคมพวกเขาต่างเฝ้ามองถึงวันสำคัญนั่นก็คือวันเด็ก วันที่เด็ก ๆ ต่างคิดว่าเป็นวันพิเศษของตนเองและเพื่อน ๆ ได้มีโอกาสได้ของขวัญ ของเล่น รับประทานอาหารและขนมพิเศษจากครอบครัว ญาติพี่น้อง หรือผู้ใหญ่ใจดี รวมทั้งมีโอกาสร่วมกิจกรรมพิเศษที่หน่วยงานต่าง ๆ จัดขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับเด็ก ๆ ยากไร้ในพื้นที่ชนบทห่างไกล ของขวัญที่เด็ก ๆ อยากได้อาจไม่ใช่เพียงของเล่น อาหาร ขนมแสนอร่อย แต่สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นโหยหาคือ “โอกาสทางการศึกษา” ที่จะช่วยให้ได้เรียนหนังสือ ไม่ต้องกังวลใจเรื่องความขาดแคลน ความขัดสนของครอบครัว และช่วยสานต่อความฝันที่ตนเองได้วาดไว้เมื่อเติบโตขึ้นว่าอยากเรียนอะไร อยากเป็นอะไร ซึ่งมูลนิธิ EDF (มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา) ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาและได้ดำเนินงานมีส่วนร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียนยากไร้มาอย่างต่อเนื่องกว่า 35 ปี ได้ประเมินว่าจะมีนักเรียนสมัครขอรับทุนการศึกษาผ่านโรงเรียนในปีการศึกษา 2566 ที่จะถึงนี้ไม่น้อยกว่า 10,000 คน ดังนั้นมูลนิธิ EDF จึงขอชวนผู้ใหญ่ใจดีได้ร่วมมอบของขวัญพิเศษเป็นโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียนที่ยากไร้ในโครงการทุนการศึกษาของมูลนิธิ โดยทุนการศึกษาที่ผู้ใหญ่ใจดีมอบให้จะมิเพียงแต่เป็นกำลังใจ เป็นน้ำทิพย์ชะโลมใจให้นักเรียนที่ยากไร้ที่ได้รับทุนเท่านั้น แต่ยังจะช่วยเติมเต็มรอยยิ้มที่สดใสอีกครั้ง รวมถึงยังเป็นโอกาส เป็นกำลังใจ แรงบันดาลใจ เพื่อให้พวกเขามีอนาคตที่สดใส พึ่งพาตนเอง และส่งต่อแรงบันดาลใจมอบโอกาสให้นักเรียนที่ยากไร้คนอื่น ๆ ต่อไป ทั้งนี้มูลนิธิ EDF ได้เปิดรับบริจาคทุนการศึกษาล่วงหน้าสำหรับปีการศึกษา 2566 มาตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นมา และจะปิดรับภายใน 30 มิถุนายน 2566 นี้
ผู้สนใจสามารถร่วมมอบโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียนที่ยากไร้ได้โดยสแกนคิวอาร์โค้ดผ่านระบบ E-Donation หรือบริจาคออนไลน์ที่เว็บไซต์ www.edfthai.org หรือโอนเงินบริจาคผ่านบัญชี "มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา (มูลนิธิ EDF)" ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เลขที่บัญชี 319-2-77744-8 ธนาคารกรุงเทพ เลขที่บัญชี 161-4-56698-0 ธนาคารกสิกรไทย เลขที่บัญชี 070-2-45369-0 ธนาคารกรุงไทย เลขที่บัญชี 980-7-59891-5 หรือธนาคารทีทีบี เลขที่บัญชี 069-2-41110-1 หรือแอปพลิเคชันของทุกธนาคาร จากนั้นส่งสำเนาหรือภาพสลิปการโอนเงินพร้อมรายละเอียดเพื่อขอออกใบเสร็จรับเงินบริจาคที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์มูลนิธิ อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. โทรสาร 02-940-5266 หรือ LINE @edfthai
สำหรับมูลนิธิ EDF เป็นองค์กรสาธารณกุศลลำดับที่ 255 ของประเทศไทย ที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนด้วยการมอบทุนการศึกษา รวมถึงจัดกิจกรรมซีเอสอาร์ในโรงเรียนและชุมชนมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 และได้รับการยอมรับจากหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศและได้รับรางวัล เช่น รางวัลยอดเยี่ยมองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งประเทศไทยประเภทองค์กรขนาดใหญ่จากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ สถาบันคีนันแห่งเอเชีย และ เดอะ รีซอร์ส อัลลิอันซ์ รางวัลประกาศนียบัตรองค์กรสาธารณกุศลระดับ 5 ดาว จากการดำเนินงานและบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาล มีประสิทธิภาพทางการเงิน และมีความโปร่งใสจากสมาคมกิฟวิ่ง แบค รางวัลกัลปพฤกษ์ทองคำจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นในฐานะหน่วยงานที่ทำความดีอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม และรางวัลคนดีต้นแบบคุณธรรมไทยจากสมาคมสหพันธ์คนพิการในประเทศไทย เป็นต้น
พื้นที่เกือบ 3 งาน บริเวณด้านหลังของ โรงเรียนเวียงห้าววิทยา ต.เวียงห้าว อ.พาน จ.เชียงราย ถูกปรับให้เป็นพื้นที่เพื่อการเรียนรู้นอกห้องเรียนของนักเรียน ที่มีทั้งแปลงผักปลอดสาร และโรงเรือนเลี้ยงไก่ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” โครงการเกษตรของโรงเรียนที่นักเรียนทุกคนได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ
ถวิล ตาสาย ผู้อำนวยการโรงเรียนเวียงห้าววิทยา เล่าถึงที่มาของการร่วมโครงการฯว่า ก่อนที่จะมารับตำแหน่งผู้อำนวยการของ ร.ร.เวียงห้าววิทยา ตนรับหน้าที่เป็นครูผู้ดูแลโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ที่ ร.ร.บ้านดงมะดะ อ.แม่ลาว มาก่อน เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพ หรือ JCC และเป็นโครงการที่มีการดำเนินงานอย่างยั่งยืน มีผลการดำเนินงานที่ดี และมีรายได้ที่สามารถสานต่อการทำโครงการได้อย่างต่อเนื่อง
"หลังจากที่รับตำแหน่งผู้อำนวยการ ร.ร.เวียงห้าววิทยา มีความตั้งใจพัฒนาโรงเรียน และเสริมสร้างทักษะพื้นฐานชีวิต โดยเฉพาะงานด้านเกษตร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตัวนักเรียนเอง และโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ตอบโจทย์เป้าหมายดังกล่าว จึงสมัครเข้าร่วมโครงการฯ และได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งใน 5 โรงเรียน ที่ซีพีเอฟ มูลนิธิฯ และ JCC ให้การสนับสนุนในปี 2565 ซึ่งเป็นความร่วมมือต่อเนื่องปีที่ 21 ของทั้งสามหน่วยงานในการขับเคลื่อนโครงการฯ" ผอ.ถวิล กล่าว
ปี 2565 ซึ่งเป็นปีแรกของการเริ่มต้นโครงการฯ มีการประชาพิจารณ์ร่วมกับชุมชนก่อน แล้วจึงเริ่มก่อสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ ติดตั้งอุปกรณ์การเลี้ยง นำแม่พันธุ์ไก่ไข่เข้าเลี้ยง อาหารสัตว์ และปัจจัยการเลี้ยง ทั้งหมดได้รับการสนับสนุนแบบให้เปล่าในการเลี้ยงรุ่นแรก พร้อมทั้งมีผู้เชี่ยวชาญจากซีพีเอฟและมูลนิธิฯ ถ่ายทอดองค์ความรู้ คำแนะนำด้านการจัดการฟาร์ม และการป้องกันโรคที่ดี รวมถึงติดตามการเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การเลี้ยงไก่ไข่มีประสิทธิภาพที่ดี ต้นทุนต่ำ เพื่อทำให้โครงการมีการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องในรุ่นต่อๆไป
หลังจากเริ่มเลี้ยงไก่ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม ปี 2565 จากจำนวนแม่ไก่ 100 ตัว ให้ผลผลิต 90 กว่าฟองต่อวัน นำมาเป็นอาหารกลางวันให้กับนักเรียนชั้นอนุบาล 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 125 คน โดยที่คุณครูมอบหมายให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 6 รวม 18 คน ร่วมกันดูแลและแบ่งหน้าทีรับผิดชอบ ตั้งแต่การให้อาหารไก่ เก็บผลผลิตไข่ไก่ ทำความสะอาดโรงเรือนเลี้ยงไก่ ซึ่งในแต่ละวันไข่ไก่สดจะถูกส่งตรงเข้าโรงครัวเพื่อปรุงอาหารให้นักเรียน สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง โดยที่โรงเรียนจัดเมนูไข่ไว้ทุกวันพฤหัสบดี โดยเฉพาะเมนู "ไข่เจียวหมูสับ" เป็นที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ ในส่วนของผลผลิตไข่ไก่ที่เหลือจากการนำไปเป็นวัตถุดิบสำหรับทำอาหารกลางวัน จะจำหน่ายให้กับผู้ปกครองนักเรียนและคุณครูในราคาที่ถูกกว่าราคาท้องตลาด ช่วยลดค่าใช้จ่ายของครัวเรือนลงได้
นอกจากนี้ โรงเรียนส่งเสริมให้นักเรียนปลูกผักตามฤดูกาลและผักสวนครัว ตามนโยบาย "สวยงาม ทานได้" ของโรงเรียน และนำของเสียจากโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ คือ มูลไก่ มาทำเป็นปุ๋ยที่ใช้ในแปลงผัก เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สอนให้เด็กๆ เกิดการเรียนรู้ในเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy ซึ่งทั้งกิจกรรมเลี้ยงไก่ไข่ฯ และปลูกผัก มีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตเข้าสู่กองทุนโครงการเกษตรของโรงเรียน
นอกจากโภชนาการที่ดีที่เด็กๆได้รับจากการบริโภคไข่ไก่แล้ว โครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียนจากฝีมือเด็กๆเอง และยังสามารถนำความรู้และทักษะที่ซีพีเอฟนำมาถ่ายทอดให้ มาช่วยพัฒนาระบบบริหารจัดการโครงการฯ ให้ดำเนินโครงการฯได้อย่างต่อเนื่อง สนับสนุนให้นักเรียนและครูได้เรียนรู้หลักการทำธุรกิจจากการลงมือทำงานจริง
ด.ญ.เฟื่องฟ้า รัตนมโน หรือน้องน้ำมนต์ อายุ 10 ปี นักเรียน ชั้น ป.5 ซึ่งได้รับมอบหมายให้ร่วมรับผิดชอบโครงการฯ เล่าว่า ดีใจที่มีส่วนร่วมทำกิจกรรมนี้ เป็นโอกาสที่ทำให้ได้เรียนรู้นอกห้องเรียนร่วมกับเพื่อนๆ ทั้งการให้อาหารไก่ เก็บไข่ ทำความสะอาดโรงเรือน และยังได้เปิดเพลงให้แม่ไก่ฟังเพื่อลดความเครียดและช่วยให้แม่ไก่ให้ไข่สม่ำเสมอ และทุกครั้งที่ได้ทานเมนูไข่ รู้สึกภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมดูแลไก่ไข่ที่เราเลี้ยงเอง
เช่นเดียวกับ ด.ช.ปวริศ ปินตานา หรือน้องน้ำ อายุ 11 ปี นักเรียนชั้นป.6 ซึ่งสนใจการเลี้ยงไก่อยู่แล้ว บอกว่า นำความรู้และทักษะในการเลี้ยงไก่ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากพี่ๆซีพีเอฟมาใช้กับการเลี้ยงไก่ที่่บ้าน และคิดว่าสามารถนำประสบการณ์ถ่ายทอดให้กับคนในครอบครัวและชุมชนต่อไปได้ นอกจากนี้ การที่โรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้ตลอดกระบวนการของการเลี้ยง ได้ลงมือเลี้ยงไก่ไข่จริงๆ จนได้ผลผลิตไข่ไก่เพื่อส่งเข้าโรงครัว เพื่อทำเป็นเมนูอาหารกลางวันสำหรับน้องๆ และเพื่อนๆ ในโรงเรียน
ถึงแม้ว่าจะเป็นปีแรกของโรงเรียนเวียงห้าววิทยา ที่เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน แต่ปีนี้เข้าสู่ปีที่ 35 แล้ว ที่ซีพีเอฟ ขับเคลื่อนโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ถือได้ว่าโครงการนี้ สร้าง "คลังอาหาร" ในโรงเรียนไปแล้ว 930 โรงเรียนทั่วประเทศ ทำให้เด็กและเยาวชนมากกว่า 180,000 คน เข้าถึงโปรตีนที่ดี อิ่มท้องอย่างมีคุณภาพ ซึ่ง ซีพีเอฟ มุ่งมั่นจับมือพันธมิตรเดินหน้าโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมเยาวชนเติบโตทั้งทางร่างกาย สติปัญญา และมีโภชนาการที่ดี
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ขับเคลื่อนโครงการความยั่งยืนสู่ชุมชน