December 03, 2024

บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด เดินหน้าสานต่อโครงการ “คูโบต้าพลังใจสู้ภัยหนาว” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 25  นำคาราวานแห่งไออุ่น ลงพื้นที่มอบเสื้อกันหนาว 10,000 ตัว ร่วมกับกองทัพบกใน 4 จังหวัด ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมจับมือร้านค้าผู้แทนจำหน่ายมอบสิ่งของจำเป็นให้โรงเรียนและชุมชนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมอบเสื้อกันหนาว 3,000 ตัว ผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อกระจายความอบอุ่นไปยังผู้ที่ขาดแคลน ตอกย้ำการสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันในการมุ่งมั่นเคียงข้างสังคมและเกษตรกรไทย

นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ว่า “ในสถานการณ์ปัจจุบันที่โลกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) ก่อให้เกิดภัยธรรมชาติจากสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างภัยหนาว เราเล็งเห็นว่าเสื้อกันหนาวถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สามารถพกพาหรือสวมใส่เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายและป้องกันความหนาวที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย เราจึงตั้งใจดำเนินโครงการคูโบต้าพลังใจสู้ภัยหนาว อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 25 ในการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่ห่างไกล และถือเป็นการแสดงความห่วงใยในชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน เด็กๆ เยาวชน รวมถึงพี่น้องเกษตรกรทุกคน โดยตลอดระยะเวลา 46 ปี เราตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของสยามคูโบต้า ทั้งนี้ สยามคูโบต้าได้รับความร่วมมือจากกองทัพบกที่ทำงานใกล้ชิดดูแลประชาชนในพื้นที่ห่างไกล จึงมีความเข้าใจและเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ในการกำหนดพื้นที่เป้าหมายร่วมกัน โดยเราจะพิจารณาพื้นที่ที่อยู่ห่างไกล และมีประชาชนที่ขาดแคลนเครื่องนุ่งห่มกันหนาว นอกจากนี้ยังคำนึงถึงความรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ภัยหนาวด้วย

สำหรับในปีนี้ สยามคูโบต้าได้ร่วมจัดคาราวานแบ่งปันความอบอุ่นผ่านเสื้อกันหนาว 4 จังหวัด ในพื้นที่ ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดแม่ฮ่องสอน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดนครพนมและจังหวัดมุกดาหาร และได้รับความร่วมมือจากร้านค้าผู้แทนจำหน่ายสยามคูโบต้ามอบสิ่งของจำเป็นให้โรงเรียนและชุมชนในพื้นที่ พร้อมกันนี้ยังได้ส่งมอบเสื้อกันหนาวผ่านกรมป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งถือเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญในการป้องกันบรรเทา และช่วยเหลือฟื้นฟูในทุกภัยพิบัติ ตลอดจนเป็นที่พึ่งให้แก่ผู้ประสบภัยทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้นจำนวน 13,000 ตัว มูลค่ารวมกว่า 3,900,000 บาท ทั้งนี้ สยามคูโบต้าต้องขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ได้ให้ความร่วมมือในการเดินหน้าส่งเสริมคุณภาพชีวิต และแบ่งปันพลังแห่งความอบอุ่นเคียงข้างพี่น้องประชาชนและสังคมไทย”

พลเอก วสุ เจียมสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า “กองทัพบกเป็นหน่วยงานที่ตั้งอยู่ทั่วประเทศ พร้อมเข้าให้การช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชนในทุกกรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน โดยร่วมบูรณาการกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งสยามคูโบต้าเป็นภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนกองทัพบกมาอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 11 ปี ซึ่งในปีนี้กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศให้ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวในช่วงเดือนพฤศจิกายน ดังนั้นการรับมอบเสื้อกันหนาวในครั้งนี้ จึงนับว่าเป็นการร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้น ระหว่างกองทัพบกและสยามคูโบต้าในการเข้าถึงประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยหนาวได้อย่างทันท่วงที

ด้าน นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า “สำหรับปีนี้ เป็นการดำเนินโครงการร่วมกันระหว่างกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กับ สยามคูโบต้า ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ในฐานะหน่วยงานกลางของภาครัฐในการดำเนินการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศ เราได้เตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวโดยเป็นศูนย์กลางการประสานการช่วยเหลือฯ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดที่เสี่ยงภัยหนาว เน้นกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ที่ห่างไกลทุรกันดาร โดยได้วางแผนส่งมอบเสื้อกันหนาว ในพื้นที่เป้าหมาย 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงเชียงราย พะเยา และเลย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีความต้องการเครื่องนุ่งห่มกันหนาวและเป็นพื้นที่ที่คาดว่าจะเกิดภัยหนาวตามการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา”

จากวันแรกของการริเริ่มโครงการจวบจนปีที่ 25 วันนี้สยามคูโบต้าได้บรรเทาความหนาวให้พี่น้องประชาชนไปแล้วกว่า 183,000 ราย ด้วยความมุ่งหวังสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน ภายใต้นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ของสหประชาชาติ พร้อมมุ่งมั่นตอบแทนสังคมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกร และร่วมเป็นพลังในการขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้ดียิ่งขึ้น  

การเคหะแห่งชาติร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพ หรือ สปสช. ประชุมวางแผนและขับเคลื่อนโครงการ “ตู้ห่วงใย” ตั้งในชุมชนนำร่อง 2 พื้นที่ในโครงการของการเคหะแห่งชาติ

THAIBIZ สื่อภาษาญี่ปุ่นระดับชั้นนำที่นำเสนอข้อมูลแวดวงเศรษฐกิจและธุรกิจในประเทศไทย เปิดตัวโครงการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยได้รับการสนับสนุนจาก 3 บริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น ได้แก่ บริษัท โตโยต้า ทูโช (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท เดนท์สุ โซเคน (ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท เซนโช (ไทยแลนด์) จำกัด ร่วมบริจาคเงินรวมทั้งสิ้น 350,000 บาท ผ่านสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เพื่อจัดหาปัจจัยยังชีพและสิ่งของที่จำเป็นแก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ที่ได้รับผลกระทบ อาทิ อาหาร น้ำดื่ม และยารักษาโรค

ยูกิโกะ ซากุราอิ (Yukiko Sakurai) PPH Officer จาก UNHCR ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก กล่าวว่า “ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ ซึ่งการสนับสนุนครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับเราและองค์กรญี่ปุ่น รวมถึงอาจนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างกันที่แนบแน่นยิ่งขึ้นในอนาคต”

นอกจากนี้จากผลสำรวจของหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCC) เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคเหนือของประเทศไทยเมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เผยให้เห็นว่ามี 77 บริษัทจาก 93 บริษัทสมาชิก ร่วมดำเนินการบริจาค หรือมีแผนที่จะบริจาคเงินและสิ่งของต่างๆ เพื่อให้การช่วยเหลือฯ รวมมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ผ่านหลายองค์กร JCC ยังร่วมสมทบทุนบริจาคเงินเพิ่มอีก 200,000 บาท ซึ่งช่วยสะท้อนให้เห็นถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างบริษัทญี่ปุ่นและประเทศไทยที่พร้อมจะยืนเคียงข้างแม้ในยามวิกฤตได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ทาง THAIBIZ รับหน้าที่ประสานเพื่อส่งมอบเตาแก๊สพกพา 480 ชุดจากบริษัท อิวาตานิ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ให้แก่ผู้ประสบภัยที่เขตพื้นที่อำเภอแม่สาย ภายใต้โครงการ "หมดตัวไม่หมดใจเพราะยังมี...ตันXจัน" ของ ตัน ภาสกรนที และสำนักข่าวอีจัน ณ ที่ทำการอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายอีกด้วย

กันตธร วรรณวสุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมดิเอเตอร์ จำกัด และผู้ก่อตั้งสื่อ THAIBIZ กล่าวว่า “การร่วมส่งต่อน้ำใจจากบริษัทญี่ปุ่นในครั้งนี้ ไม่เพียงช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่กำลังเดือดร้อนให้มีกำลังใจในการก้าวเดินต่อไป แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมความร่วมมือระหว่างบริษัทญี่ปุ่นกับองค์กรระหว่างประเทศอย่าง UNHCR ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยที่จะก้าวไปมีบทบาทสำคัญในเวทีนานาชาติในอนาคต

ขณะเดียวกันในฐานะที่ THAIBIZ ซึ่งทำหน้าที่เป็นสื่อกลางคอยให้ข้อมูลและเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทไทยและญี่ปุ่นมาโดยตลอด ดังนั้นโครงการระดมทุนในครั้งนี้จึงถือเป็นการตอกย้ำบทบาทของ THAIBIZ ในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่นให้ยั่งยืนและเข้มแข็งขึ้นต่อไปในอนาคต”

สำหรับองค์กรไทยที่ต้องการสร้างการรับรู้ในหมู่นักลงทุนญี่ปุ่น สามารถติดต่อเพื่อประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ THAIBIZ ได้ที่โทร. 02-392-3288 หรือ e-mail This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือเว็บไซต์ https://th-biz.com/ (ภาษาญี่ปุ่น)

ไม่ใช่แค่สร้างบ้านคุณภาพเพียงอย่างเดียวแต่ต้องสร้างเสริมชุมชนที่ปลอดภัยน่าอยู่ด้วย นี่คือความเชื่อของ วรยุทธ กิตติอุดม ซีอีโอ บมจ.ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ มาโดยตลอด ซึ่งได้จัดกิจกรรมพิเศษเพื่อลูกบ้านและชาวบ้านโดยรอบได้มาแจมกันอยู่เสมอ เช่น กิจกรรมมินิคอนเสิร์ต Zenex Limitless Party ที่สร้างความบันเทิงให้กับลูกบ้าน พนักงาน และชุมชน ทั้งยังมีไอเดียจะเพิ่มกิจกรรมเพื่อผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นโยคะ เวิร์คช็อป หรือการแสดง เพื่อช่วยลดความเหงาและส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีในกลุ่มญาติผู้ใหญ่ ทั้งยังเป็นการตอกย้ำถึงจุดยืนของบริษัทฯ ที่สนับสนุนในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน และใส่ใจต่อสังคมผู้สูงวัยอีกด้วย

มูลนิธิบีเจซี บิ๊กซี เปิดให้บริการ “บีเจซี บิ๊กซี คิดส์ แคร์” ศูนย์ดูแลเด็กอายุ 1-3 ปี สนับสนุนดูแลลูกของพนักงานที่ทำงานในบีเจซี บิ๊กซี สำนักงานใหญ่ในระหว่างวันทำงาน นำเสนอกิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย โภชนาการที่ดี มีความปลอดภัย พร้อมส่งเสริมนโยบายเป็นมิตรสำหรับครอบครัว ดูแลเด็กอย่างมีคุณภาพ สร้างสมดุลระหว่างงานและครอบครัว

 

นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล กรรมการ เลขานุการ และเหรัญญิก มูลนิธิ บีเจซี บิ๊กซี เปิดเผยว่า “บีเจซี บิ๊กซี เปิดให้บริการศูนย์รับเลี้ยงเด็กเล็ก “บีเจซี บิ๊กซี คิดส์ แคร์” เพื่อช่วยดูแลเด็กเล็กที่เป็นบุตรของพนักงานในกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี สำนักงานใหญ่ในระหว่างวันทำงาน เนื่องจากเล็งเห็นถึงความสำคัญในการสนับสนุนให้พนักงานได้ใช้เวลากับบุตรหลานมากที่สุด โดยสภาพการเดินทางและการทำงานในยุคปัจจุบันอาจทำให้พ่อแม่มีเวลาอยู่กับลูกน้อยลง มีความลำบากในการหาสถานที่ดูแลเด็กที่มีคุณภาพดี ไว้ใจได้ สามารถดูแลลูกได้อย่างใกล้ชิด ดังนั้นการตั้งศูนย์ฯ นี้จะช่วยตอบโจทย์ผู้ปกครองได้มาก สำหรับศูนย์ฯ ดังกล่าว ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับอาคารสำนักงานใหญ่บีเจซี บิ๊กซี เริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2567

“บีเจซี บิ๊กซี คิดส์ แคร์” คือ ศูนย์เด็กที่ออกแบบตามมาตรฐาน ยึดหลักความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ให้บริการโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเด็กที่มีประสบการณ์ในการดูแลเด็กปฐมวัยมากกว่า 10 ปี รวมถึงมีพี่เลี้ยงเด็กที่จบการศึกษาด้านปฐมวัยโดยตรง จึงสามารถส่งเสริมการเรียนรู้และออกแบบกิจกรรมเพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของลูกหลานพนักงานได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทั้งยังมีหลักการดูแลเด็กๆ ให้ได้รับโภชนาการที่ดี นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์การเรียนรู้ หนังสือ ของเล่นเด็กต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการสำหรับเด็กมากขึ้น ทั้งนี้ ศูนย์ฯ ดังกล่าวเปิดให้บริการสำหรับกลุ่มพนักงานที่ลูกมีอายุระหว่าง 1-3 ปี เปิดดำเนินการวันจันทร์ - วันศุกร์  เวลา 07.30 – 18.00 น.

นางฐาปณี กล่าวว่า “บีเจซี บิ๊กซี เชื่อว่าการเนรมิตศูนย์เด็ก “บีเจซี บิ๊กซี คิดส์ แคร์” นี้จะเป็นประโยชน์มากสำหรับพนักงานที่จะช่วยแบ่งเบาหน้าที่ในการดูแลลูก และตัวเด็กที่จะได้รับการดูแลที่เหมาะสม เรามุ่งเน้นสร้างสรรค์การเป็นองค์กรที่เป็นมิตรกับครอบครัว เราอยากให้พนักงานที่มีบุตรหลานได้ทำงานอย่างสบายใจ และเด็ก ๆ ก็สามารถเล่นได้อย่างปลอดภัย เราเข้าใจและใส่ใจพนักงานทุกคนและมุ่งมั่นที่จะทำให้สถานที่ทำงานเปรียบเสมือนบ้านของครอบครัว”

 

มูลนิธิบีเจซี บิ๊กซี ได้ให้การสนับสนุนยูนิเซฟ ประเทศไทยในการส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพ การเปิดศูนย์ดูแลเด็กแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของบริษัทในการ "ลงมือทำจริง" ด้วยนโยบายที่เป็นมิตรกับครอบครัว โดย นางคยอนซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า ทุกวันนี้ครอบครัวต้องเผชิญกับความยากลำบากในการหาศูนย์ดูแลเด็กที่เหมาะสมและราคาไม่แพง โดยเฉพาะหลังจากสิ้นสุดช่วงลาคลอดที่แม่ต้องกลับไปทำงาน ซึ่งศูนย์ดูแลเด็กที่เปิดในวันนี้จะช่วยเติมเต็มช่องว่างนี้ให้กับพนักงาน และเปลี่ยนแปลงชีวิตของพ่อแม่และลูก ๆ ไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัย คือการสนับสนุนให้นายจ้างนำนโยบายที่เป็นมิตรกับครอบครัวมาใช้ เช่น นโยบายลาคลอดที่ได้รับค่าจ้าง เวลาพักให้นมแม่ บริการดูแลเด็กที่มีคุณภาพ ตลอดจนสวัสดิการสำหรับเด็ก  ศูนย์ดูแลเด็กแห่งนี้จึงถือเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับสถานประกอบการและบริษัทอื่น ๆ ต่อไป”

พฤกษา โฮลดิ้ง พร้อมด้วยบริษัทในเครือ ได้แก่ โรงพยาบาลวิมุต และ อินโนโฮม คอนสตรัคชัน ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน รวมพลังสานต่อโครงการ “บ้านใส่ใจเพื่อคนพิการ By PRUKSA” เดินหน้าต่อเนื่องมาสู่ปีที่ 6 โดยโครงการนี้มีเป้าหมายสำคัญในการปรับปรุงและสร้างบ้านใหม่ให้แก่คนพิการ เพื่อให้คนพิการได้มีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม ปลอดภัยและตอบสนองต่อความพิการเฉพาะรายบุคคล เพื่อช่วยให้สามารถใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมากขึ้น พร้อมทั้งสนับสนุนสร้างโอกาสในการมีอาชีพของคนพิการ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถพึ่งพาตนเองได้และยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ศรีในสังคม

การลงพื้นที่สำรวจปัญหาอย่างละเอียดเพื่อแก้ไขตรงจุด

พฤกษาฯ และทีมงานได้ลงพื้นที่สำรวจสภาพแวดล้อมและความต้องการของคนพิการอย่างใกล้ชิด โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ได้ช่วยให้ทีมงานสามารถประเมินปัญหาที่แท้จริงของแต่ละครอบครัว ทำให้การช่วยเหลือสามารถออกแบบให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเริ่มต้นจากการเยี่ยมเยียนบ้านแต่ละหลังเพื่อพูดคุยกับคนพิการและครอบครัวในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นและเชียงใหม่ ทีมงานได้ทำการตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภค และความสะดวกในการเข้าถึงบริการต่าง ๆ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ทีมงานสามารถวางแผนการออกแบบและปรับปรุงบ้านที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคลได้อย่างแท้จริง

พลังของพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ผนึกกำลังเพื่อคุณภาพชีวิตคนพิการ

โครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากหลากหลายองค์กรพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งรวมพลังกันในด้านทรัพยากร ความรู้ และความเชี่ยวชาญในการสร้างบ้านและสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่คนพิการ ไม่ว่าจะเป็นมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม โรงพยาบาลสิรินธร ขอนแก่น ชมรมชมภูม่วนใจ๋ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่ที่ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ทุกหน่วยงานทำหน้าที่บูรณาการความช่วยเหลือในหลากหลายด้าน เริ่มตั้งแต่การประเมินปัญหาการอยู่อาศัยของคนพิการ การจัดลำดับความช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ การส่งเสริมการเข้าถึงบริการและสวัสดิการของรัฐ และการให้คำปรึกษาในการพัฒนาอาชีพให้ยั่งยืน ซึ่งการทำงานร่วมกันในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการ แต่ยังเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบและความห่วงใยที่องค์กรทั้งหลายมีต่อสังคมอย่างแท้จริง

นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยและการเสริมสร้างอาชีพที่ยั่งยืน

หนึ่งในจุดเด่นของโครงการ “บ้านใส่ใจเพื่อคนพิการ By PRUKSA” คือการใช้ความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมมาปรับปรุงพื้นที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้พิการในแต่ละพื้นที่ โดยพฤกษาและทีมงานออกแบบโซลูชันที่เป็นมิตรกับการใช้งาน เช่น การปรับแต่งบ้านให้เข้าถึงได้ง่ายด้วยทางเดินที่ปราศจากสิ่งกีดขวาง พื้นห้องน้ำที่ไม่ลื่น ปรับระดับและความสูงของเครื่องมือในบ้านให้เหมาะสมกับการใช้งานของผู้พิการ รวมถึงการใช้วัสดุที่ทนทานและปลอดภัย โดยเตรียมพร้อมเพื่อส่งมอบบ้านที่ปรับปรุงแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้

นอกจากนี้ พฤกษาและพันธมิตรยังให้การสนับสนุนด้านการส่งเสริมอาชีพเพื่อให้คนพิการสามารถพึ่งพาตนเองได้ ด้วยการนำเสนอแนวทางการประกอบอาชีพที่เหมาะสมกับความสามารถและสถานะของแต่ละคน เช่น การฝึกฝนอาชีพที่สามารถทำได้ที่บ้าน หรือการสร้างรายได้ผ่านการเชื่อมต่อกับเครือข่ายทางธุรกิจในท้องถิ่น เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้พิการในระยะยาว

พฤกษามุ่งมั่นในการสร้างสังคมแห่งความเป็นธรรมและเสมอภาค

ด้วยปณิธานของพฤกษา โฮลดิ้ง ที่ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์โครงการที่มุ่งเน้นการพัฒนาสังคมให้เป็นธรรมและเสมอภาค โดยไม่มองข้ามกลุ่มคนที่ต้องการความช่วยเหลือในสังคม ทั้งนี้ พฤกษาเชื่อมั่นว่าทุกคนควรได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกันในการมีชีวิตที่ดีขึ้น มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน โครงการ “บ้านใส่ใจเพื่อคนพิการ By PRUKSA” จึงเป็นการแสดงถึงความตั้งใจของพฤกษาที่จะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและจิตวิญญาณในการพัฒนาชุมชนอย่างแท้จริง

บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจค้าส่งค้าปลีก “แม็คโคร-โลตัส” นำโดยนางนภัสจิรา อิงคโรจน์ฤทธิ์ ผู้จัดการอาวุโส สายงาน กิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมและความยั่งยืน มอบเงินสนับสนุนการจัดกิจกรรม “หนาวนี้ทำดีเพื่อพ่อ 2568” ต่อเนื่องปีที่ 3 จำนวน 100,000 บาท ให้แก่พลโท นายแพทย์อำนาจ บาลี ผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ประธานจัดกิจกรรมฯ ในการจัดกิจกรรมส่งมอบผ้าห่ม เครื่องกันหนาว รวมถึงบริการด้านสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนผู้ยากไร้และด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดารที่ประสบกับอากาศที่หนาวเย็น ในพื้นที่อำเภอทองผาภูมิ อำเภอสังขละบุรี และอำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ได้มีสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของซีพี แอ็กซ์ตร้า ในการเป็นองค์กรที่มุ่งเคียงข้างชุมชนไทย โดยกิจกรรมนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2567  

บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมสนับสนุนโครงการประกวดคลิปวีดีโอ “Thailand Tomorrow คนรุ่นใหม่ทำความดีเพื่อสังคม” ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมกิจการเด็กเเละเยาวชน  มูลนิธิพุทธภูมิธรรม ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน)  มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้แสดงศักยภาพและไอเดียสร้างสรรค์ ผ่านการสร้างสรรค์คลิปวีดีโอที่สะท้อนการทำความดีเพื่อสังคม

นางวิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้เข้าร่วมพิธีประกาศผลและมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะในการประกวดครั้งนี้ ซึ่งมีรางวัลรวมมูลค่ากว่า 160,000 บาท นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจากนายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธี

ภายในงานยังมีผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรต่าง ๆ ร่วมแสดงความยินดี ได้แก่ นางอภิญญา ชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน, รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และอาจารย์วิจักษณ์ สองจันทร์ ประธานมูลนิธิพุทธภูมิธรรม โดยพิธีจัดขึ้น ณ อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณสุกัญญา อิสรานุวัฒน์ชัย รองประธานอาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาด และภาพลักษณ์องค์กร (คนที่ 7 จากซ้าย แถวที่ 2) และคุณเต๋า เศรษฐพงศ์ เพียงพอ CR Influencer (คนที่ 9 จากซ้าย แถวที่ 2) ร่วมส่งมอบเงินสมทบทุน จำนวน 30,000 บาท ให้แก่ศูนย์ปฎิบัติการไฟป่า จังหวัดเชียงราย เพื่อสนับสนุนอุปกรณ์ในการช่วยเหลือยับยั้ง และเป็นแนวตั้งรับการดับไฟป่า ภายใต้กิจกรรม Wild Life จากแคมเปญ Commit To Climate  ปีที่ 3  โดยได้รับเกียรติจาก คุณนิคม อิ่มเอิบ ผู้อำนวยการ ส่วนควบคุม และปฎิบัติการไฟป่า สำนักบริการพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 จังหวัดเชียงราย  (คนที่ 8 จากซ้าย แถวที่ 2) เป็นผู้รับมอบ

ทั้งนี้กิจกรรม Wild Life เป็นการเชิญชวนประชาชนทั่วไป ให้ได้ตระหนักถึงปัญหาของไฟป่า ซึ่งสร้างมลพิษทางอากาศเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังทำลายชีวิตและแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่ง 75% ของเหตุการณ์ไฟป่าเกิดจากกิจกรรมมนุษย์ เช่น การเผาป่า การรุกป่าทำแปลงเกษตรและปศุสัตว์ ผ่านการเล่นเกมส์ที่ให้ความรู้เรื่องไฟป่า โดยทุกๆการเล่นเกมจะถูกแปลงเป็นเงิน 5 บาท เพื่อสมทบทุนซื้ออุปกรณ์ทำแนวกันไฟ ให้แก่ศูนย์ปฎิบัติการไฟป่า จังหวัดเชียงราย โดยกิจกรรมดังกล่าวได้ยอด Reach สูงถึง 512,000 reach ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของบริษัทฯ ที่เคียงข้าง คุ้มครอง พร้อมใส่ใจสิ่งแวดล้อม

มูลนิธิเฮอริเทจ (ประเทศไทย) ภายใต้การดูแลของเครือเฮอริเทจ ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย

Page 1 of 50
X

Right Click

No right click