

รู้ใจ กรุ๊ป ประกาศซื้อกิจการ Lifepal โบรกเกอร์ประกันภัยออนไลน์ชั้นนําในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความโดดเด่นในการจัดจําหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และมีผู้ใช้งานมากถึง 2 ล้านคนต่อเดือน
ในปีที่ผ่านมา Lifepal มองหานักลงทุนรายใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านประกันภัยและได้พบกับพันธมิตรการลงทุนที่สมบูรณ์แบบอย่างรู้ใจ กรุ๊ป ซึ่งการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้นับเป็นการผนึกกําลังระหว่างสองบริษัท โดย Lifepal จะเป็นผู้ให้บริการช่องทางการจัดจําหน่ายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย และรู้ใจ กรุ๊ป จะรับหน้าที่ในการปรับปรุงการดำเนินงานของ Lifepal ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีการกําหนดราคาและการประกันภัยที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท รวมถึงการดูแลประสบการณ์ลูกค้าเพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด
ทั้งสองบริษัทจะร่วมกันขยายการนําเสนอผลิตภัณฑ์และการจัดจําหน่ายทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้มั่นใจว่าบริการที่มอบให้นั้นครอบคลุมและตอกย้ำการให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ทั้งนี้ รู้ใจเป็นแบรนด์ประกันภัยรถยนต์อันดับ 3 ที่ได้รับความนิยมและจดจำได้มากที่สุดจากการจัดอันดับในประเทศไทย นอกจากนี้ยังครองอันดับ 1 ด้านการบริการลูกค้าและมีเป้าหมายที่จะสร้างมาตรฐานความสำเร็จเช่นเดียวกันนี้ในตลาดอินโดนีเซีย
โดยลูกค้าของ Lifepal จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการบริหารจัดการของรู้ใจ กรุ๊ป ผ่านการเสนอเบี้ยประกันในราคาย่อมเยาและประสบการณ์การบริการลูกค้าที่เหนือกว่า ซึ่งเป็นการถ่ายทอดความสําเร็จของรู้ใจจากประเทศไทยไปยังประเทศอินโดนีเซีย และพันธมิตรประกันภัยต่างๆ ของ Lifepal จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงกระบวนการ
ประกันภัยสู่รูปแบบดิจิทัล เช่น การตรวจสภาพรถยนต์ การบริการเคลมเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน และกลยุทธ์ในการรักษาความยั่งยืนของพอร์ตโฟลิโออีกด้วย สำหรับการดําเนินงานของ Lifepal จะเป็นอิสระจากรู้ใจ อินโดนีเซีย โดย Lifepal จะเป็นผู้ให้บริการเปรียบเทียบประกันภัยรถยนต์และประกันสุขภาพแบบออนไลน์ต่อไป
ทั้งรู้ใจ กรุ๊ป และ Lifepal ต่างรู้สึกตื่นเต้นกับอนาคตและมีเป้าหมายที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อนําเสนอบริการประกันภัยที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมมุ่งมั่นให้บริการที่เป็นเลิศในอินโดนีเซียและภูมิภาคต่อไป
นายวีรโชติ ตั้งกมลสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน (ที่สองจากขวา) นางสาวอรุณี ตั้งกมลสุข ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (คนแรกขวา) และ นางสาวพิมพ์วริศ จารุศรีสกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด (คนแรกซ้าย) บริษัท เซเว่นไฟว์ ดิสทริบิวเตอร์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์ครัวเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมรายใหญ่ของไทย พร้อมด้วยนางสาวสุภาภรณ์ อังศรีสุรพร (ที่สองจากซ้าย) ผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการอาวุโส อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ประกาศความร่วมมือในการจัดงานฟู้ด แอนด์ ฮอสพิทาลิตี้ ไทยแลนด์ 2024 (Food & Hospitality Thailand 2024) เพื่อจัดแสดงสินค้าและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับครัวและอาหาร แก่ผู้ประกอบการและผู้สนใจในธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม โรงงาน โรงเรียน ธุรกิจบริการ ฯลฯ เมื่อเร็วๆ นี้
งาน Food & Hospitality Thailand 2024 เป็นงานแสดงสินค้าสำหรับธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และการบริการที่ครบวงจรที่สุดของภูมิภาค โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 สิงหาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการจัดงานได้ที่เว็บไซต์ www.fhtevent.com Facebook : Food & Hospitality Thailand
วียตเจ็ทได้รับการจัดอันดับให้เป็นสายการบินที่ปลอดภัยที่สุดในโลกอีกครั้งในปีพ.ศ. 2567 โดย AirlineRatings เว็บไซต์จัดอันดับผลิตภัณฑ์และความปลอดภัยของสายการบินทั่วโลก
ในการประเมินประจำปี AirlineRatings ติดตามข้อมูลจากสายการบินทั่วโลกกว่า 385 ราย โดยพิจารณาจากบันทึกเหตุการณ์ของสายการบินในช่วงปีที่ผ่านมา อายุฝูงบิน รวมถึงผลการตรวจสอบโดยหน่วยงานกำกับดูแลการบิน องค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และหน่วยงานด้านการบินอื่น ๆ ทั้งนี้ เวียตเจ็ท พร้อมด้วยสายการบินต้นทุนต่ำเจ้าอื่น ๆ ได้รับจัดอันดับให้อยู่ใน 10 อันดับแรกอย่างต่อเนื่องทุกปีเพื่อยกย่องความเป็นเลิศด้านความปลอดภัยในการปฏิบัติการบินสำหรับลูกเรือและผู้โดยสาร
ในการประเมินประจำปี AirlineRatings สายการบินทั่วโลก 385 รายโดยพิจารณาจากบันทึกเหตุการณ์ของสายการบินในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อายุฝูงบิน ผลการตรวจสอบที่ดำเนินการโดยหน่วยงานกำกับดูแลการบิน องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และหน่วยงานด้านการบินอื่น ๆ เวียตเจ็ทและสายการบินราคาประหยัดที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ในโลก ได้รับการยกย่องให้อยู่ใน 10 อันดับแรกติดต่อกันหลายปี โดยเป็นการตอบแทนผลงานอันเป็นเลิศด้านความปลอดภัยในการบินสำหรับลูกเรือและผู้โดยสาร
นาย Geoffrey Thomas บรรณาธิการบริหารของ AirlineRatings.com กล่าวว่า “ความทุ่มเทของเวียตเจ็ทในการรักษามาตรฐานความปลอดภัยในทุกด้านของการปฏิบัติงานถือเป็นเรื่องที่น่ายกย่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสายการบินมีการขยายเครือข่ายการบินอย่างจริงจัง รวมถึงการใช้ระบบการจัดการความปลอดภัยที่มีคุณภาพและการปฏิบัติตามกฎระเบียบระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัดส่งผลให้สายการบินมีตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือทางเทคนิคที่ยอดเยี่ยมและการดำเนินงานของสายการบินมีระดับความปลอดภัยสูงสุดในรอบหลายปี”

นอกจากนี้ AirlineRatings ประเมินคะแนนเวียตเจ็ทอยู่ที่ระดับ 7 ดาว ซึ่งเป็นการจัดอันดับความปลอดภัยด้านการบินที่สูงที่สุดในโลกติดต่อกันหลายปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561
เวียตเจ็ทได้เสริมทัพฝูงบินที่ทันสมัยและมุ่งเน้นประหยัดเชื้อเพลิงด้วยเครื่องบินลำใหม่ส่งผลให้มีความน่าเชื่อถือทางเทคนิคอยู่ที่ร้อยละ 99.72 ท่ามกลางสายการบินชั้นนำอื่น ๆ ในภูมิภาคและทั่วโลก พร้อมกันนี้ สายการบินมีการลงทุนด้านการฝึกอบรม วิศวกรรมการบิน และบริการ MRO อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษามาตรฐานสูงสุดในด้านความปลอดภัยและคุณภาพ เร็ว ๆ นี้ Vietjet Aviation Academy (VJAA) ได้เป็นพันธมิตรการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) เพื่อให้มั่นใจว่าบุคลากรด้านการบินมีคุณภาพสูง นอกจากนี้ เวียตเจ็ทและสายการบินลาวแอร์ไลน์ได้ร่วมมือกันเปิดศูนย์ซ่อมบำรุงเครื่องบินที่สนามบินนานาชาติวัตไต เวียงจันทน์ ประเทศลาว ความร่วมมือนี้ช่วยยกระดับแนวทางเชิงรุกของสายการบินในการจัดการซ่อมบำรุงเครื่องบิน
AirlineRatings ให้คะแนนความปลอดภัยผลิตภัณฑ์บนเครื่องบินและได้รับความไว้วางใจจากผู้โดยสารหลายล้านคนจาก 195 ประเทศทั่วโลก ส่งผลให้เว็บไซต์เป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยและมรความน่าเชื่อถือในการจัดอันดับผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมการบิน
บริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Company เผยผลสำรวจด้านนวัตกรรมว่า 85 % ของผู้บริหารระดับสูงกล่าวว่าความกลัวเป็นอุปสรรคต่อความพยายามในการสร้างสรรค์นวัตกรรมขององค์กรอยู่เสมอหรือบ่อยครั้ง เนื่องจากพนักงานมักกลัวความล้มเหลว และการวิพากษ์วิจารณ์ อย่างไรก็ดี หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้พนักงานเอาชนะความกลัวเหล่านั้น คือ การให้ความเชื่อมั่นและให้คุณค่าต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรม
ด้วยความเชื่อมั่นที่ว่า “ทุกคนสามารถเป็นนวัตกรได้” ของทีม True Innovation Center คือหนึ่งแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิดนวัตกรทรู ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร ลูกค้า สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นรางวัลสำคัญในด้าน “องค์กรนวัตกรรมดีเด่น” ประเภทองค์กรขนาดใหญ่
โอกาสนี้ ทีม True Innovation Center และนวัตกรทรู ได้เปิดเผยถึงเบื้องหลังการสร้าง “องค์กรแห่งนวัตกรรม” รวมถึงผลงานที่ภูมิใจ และเป้าหมายต่อไปในการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างยั่งยืน ก้าวสู่การเป็น Telecom-Tech Company
นวัตกรรมเกิดจากการมองเห็นปัญหา ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของทรูออนไลน์ อาจไม่เคยรู้ว่า True GIGATEX Intelligent Fiber Router คือนวัตกรรมที่เกิดขึ้นในองค์กร จากฝีมือของนวัตกรทรู โดยมีจุดเริ่มต้นจากความต้องการพัฒนาคุณภาพของโครงข่ายและบริการ พร้อมไปกับการแก้ปัญหาการผูกขาดจากผู้ผลิตอุปกรณ์
ศศิกานต์ ตั้งชูทวีทรัพย์ Engineering Specialist หนึ่งในนวัตกรและผู้จัดการโครงการพัฒนา Intelligent Fiber Router เล่าว่า เดิมโครงข่ายของบริการทรูอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมีลักษณะเป็นแบบถูกผูกขาดจากผู้ผลิตอุปกรณ์ กล่าวคือ อุปกรณ์ด้านโครงข่าย(ตัวส่ง) และอุปกรณ์ที่ติดตั้งที่บ้านลูกค้า (ตัวรับ) จำเป็นต้องมาจากผู้ผลิตรายเดียวกันเท่านั้นถึงจะให้บริการลูกค้าได้ ซึ่งเป็นผลทำให้ทรูซึ่งเป็นผู้ให้บริการได้รับผลกระทบในด้านการบริหารจัดการต้นทุน เนื่องจากมีต้นทุนสูงในการปรับปรุงคุณภาพโครงข่ายและบริการ อีกทั้งมีค่าใช้จ่ายสูงเนื่องจากในโครงข่ายของทรูมีผู้ผลิตหลากหลายมากถึง 6 ราย
ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทีมวิศวกรทรู จึงศึกษาหาแนวทางที่ช่วยลดต้นทุน พร้อมไปกับปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ โดยใช้เทคนิคทางวิศวกรรมที่เรียกว่า “Inter Operability ONT-OLT” (IOP) ซึ่งเป็นการออกแบบพัฒนาให้มีการใช้ภาษากลางที่ทำให้อุปกรณ์ตัวส่งกับตัวรับสัญญาณจากต่างผู้ผลิตกันสามารถทำงานร่วมกันได้
ทีมวิศวกรทรูได้ไปศึกษาดูงานกับ China Mobile ผู้ให้บริการในประเทศจีน และนำมาพัฒนาต่อยอดจนสามารถทำให้ตัวรับสัญญาณจากผู้ผลิต 1 รายทำงานร่วมกับอุปกรณ์ส่งจากผู้ผลิต 6 รายของทรูได้ภายในเวลา 2 ปี โดยเป็นการปรับทั้งโครงข่ายเพื่อรองรับเทคนิค IOP ได้
“เมื่อเราใช้เทคนิคแบบ IOP ที่เป็นคอนเซปต์แบบ Any to One ก็ทำให้ลูกค้าได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพ ได้รับบริการที่ดีขึ้น รวมถึงทรูเองก็สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้มากขึ้น ด้านผู้ผลิตก็ต้องพยายามพัฒนาอุปกรณ์ให้มีคุณภาพดีรองรับกับเครือข่ายของเราได้ เมื่อสามารถปรับเปลี่ยนด้วยเทคนิคใหม่นี้ได้ องค์กรก็ลดต้นทุนได้ถึง 5,460 ล้านบาท และมีรายได้เพิ่มขึ้น 40 ล้านบาทต่อเดือนจากการที่ลูกค้าเพิ่มขึ้น 50,000 รายต่อเดือนอีกด้วย จะเห็นได้ว่า นวัตกรรมทำให้เกิด Cost Saving ได้” ศศิกานต์ สรุป
เปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนได้ลองทำ
ที่ผ่านมานวัตรกรทรูได้คิดค้นนวัตกรรมมากว่า 680 ผลงาน คิดเป็นรายได้และลดต้นทุนกว่า 4,000 ล้านบาท ปัจจัยที่ทำให้เกิดนวัตกรรมภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง เริ่มมาจากวิสัยทัศน์ของผู้นำองค์กรที่มองว่า นวัตกรรมส่งเสริมให้บริษัทขับเคลื่อนต่อไปได้ จึงเปิดกว้างให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ผลงานไปด้วยกัน
“ย้อนกลับไปตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว คุณศุภชัย เจียรวนนท์ มีวิสัยทัศน์ที่เปิดกว้างว่า นวัตกรรมจะเป็นสิ่งที่คิดค้นใหม่ หรือปรับสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ได้ เพราะต้องการเปิดโอกาสให้พนักงานได้ลองทำ ลองผิดลองถูกได้” วีรศักดิ์ พงษ์ธัญญวิชัย Head of Innovation Center Department กล่าว

การส่งเสริมนวัตกรรมในองค์กรของทรูจึงมีการวางรากฐานไว้อย่างดี โดยมีทีมงานที่ดูแลด้านนวัตกรรมโดยเฉพาะ นั่นคือ ทีม True Innovation Center ที่มีความเชื่อว่า “คน” คือกลไกสำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในองค์กร ทีมนี้จึงทำหน้าที่ช่วยจุดประกาย เป็นที่ปรึกษา สร้างโอกาส ให้พนักงานทุกคนเป็นนวัตกรได้ ผ่านวิธีต่างๆ ดังต่อไปนี้
· Innovation Advocacy: สร้างบรรยากาศในการริเริ่มสร้างสรรค์นวัตกรรมให้เกิดขึ้นในองค์กร ผ่านการให้ความรู้ ทำเวิร์กชอป และเวิร์กชอปสัญจร สร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานทรูทุกฝ่ายงานทั่วประเทศ
· Empowerment: สนับสนุนให้พนักงานได้ลองผิดลองถูก โดยคิดริ่เริ่มและพัฒนาเป็นโครงการของตัวเอง โดยทีมจะทำหน้าที่เสมือนพี่เลี้ยงที่ให้คำปรึกษา แนะนำผ่าน Innovation Clinic
· Feedback Mechanism: สร้างเครื่องมือที่เรียกว่า Innovation Matrix หรือ I-Score เพื่อวัดความระดับความเป็นนวัตกรรมของชิ้นงาน และหาแนวทางในการพัฒนาให้เกิดเป็นนวัตกรรมที่ใช้ได้จริงต่อไป
· Contest: เปิดเวที True Innovation Award ให้พนักงานได้มีโอกาสประกวดผลงาน โดยเปิดกว้างตั้งแต่ไอเดียแรกเริ่มในเรื่องใกล้ตัว ที่เรียกว่าระดับ IDEA SEED (เมล็ดพันธุ์ความคิด) ไปจนถึงการต่อยอดเป็นนวัตกรรมที่ใช้ได้จริง หรือ INNO TREE (สุดยอดนวัตกรรม)
· System and Platforms: พัฒนาอินทราเน็ตแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า Innovation Tank เพื่อให้พนักงานในองค์กรเข้ามาค้นหาผลงานที่เคยมีแล้ว และนำมาต่อยอด หรือส่งผลงานของตัวเอง
· Innovative Culture: ส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กร Co-Creation ในการร่วมคิดสร้างสรรค์ ร่วมทำงานกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ พร้อมกับการเปิดกว้างรับฟังความคิดที่หลากหลายจากมุมมองที่แตกต่างกัน
“เมื่อพูดถึงนวัตกรรม เราอยากให้ทุกคนในองค์กรรู้สึกสนุกก่อน อยากให้มีความรู้สึกว่า นวัตกรรมไม่ได้เป็นแค่เรื่องเทคโนโลยี และไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัว ทุกไอเดียที่พนักงานคิดและเสนอมามีคุณค่าทั้งหมด เราจะไม่ไปกำหนดว่า สิ่งนี้ทำได้หรือทำไม่ได้ การเปิดรับไอเดียที่แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่สุดท้ายอาจต่อยอดไปเป็นนวัตกรรมในอนาคตก็ได้” สรรควร สัตยมงคล Innovation Specialist ของทีม True Innovation Center เน้นย้ำ
จาก Close innovation สู่ Open innovation
นอกเหนือจากการสร้างสรรค์วัฒนธรรมภายในองค์กรแล้ว ทีมงานTrue Innovation Center ยังได้ประสานความร่วมมือกับภายนอก มีการจัดตั้ง True LAB เพื่อทำงานกับมหาวิทยาลัยชั้นนำ 9 แห่ง ร่วมกันทำวิจัยและพัฒนานวัตกรรม พร้อมไปกับการพัฒนาศักยภาพของนักศึกษา ผ่านการสนับสนุนทุนวิจัยและถ่ายทอด แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เกิดเป็น Open Innovation ซึ่งนับเป็นตัวเร่งให้เกิดนวัตกรรมในองค์กร และเป็นการต่อยอดเป็นนวัตกรรมที่ออกสู่ตลาดได้จริง
“ที่ผ่านมามีนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือกว่า 100 ผลงาน สำหรับตัวอย่างความร่วมมือที่ทำอยู่ตอนนี้ เป็นการพัฒนากล่องกกลูกสุกร ร่วมกับคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยใช้ประโยชน์ของ IoT จากทีมทรู ดิจิทัล กรุ๊ป เพื่อลดอัตราการตายของลูกสุกรในฟาร์มต่างๆ และมุ่งหวังที่จะยกระดับการปศุสัตว์ของไทยให้ดีขึ้น” สรรควร กล่าว
นอกจากนี้ True LAB ยังทำหน้าที่บ่มเพาะนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ให้ก้าวเข้าสู่การเป็นสตาร์ทอัพกว่า 1,000 ทีม และปัจจุบันได้สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในทรู เพื่อพัฒนานวัตรรมที่ใช้งานได้จริงในธุรกิจ พร้อมมุ่งที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพของประเทศไทย
ไม่หยุดพัฒนานวัตกรรมที่มีคุณค่าต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ด้วยหลักการ “คิดค้นนวัตกรรมเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น” ทรู ไม่เพียงสร้างนวัตกรรมทั้งที่เป็นสินค้าและบริการที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้า แต่ยังสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีคุณค่าต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนอีกมากมาย
ในด้านสังคม มีนวัตกรรมที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบางอย่าง แอปพลิเคชัน Autistic ที่พัฒนาขึ้นเพื่อนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยให้เด็กออทิสติกให้มีพัฒนาการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กผ่านการลากเส้นที่ ต้องใช้สมาธิ รวมไปถึงการสื่อสารที่ต้องใช้ชีวิตประจำวัน และการดูแลตัวเอง ท้ายที่สุดคือการนำไปสู่การฝึกอาชีพและมีรายได้อย่างยั่งยืน
“เมื่อก่อนพ่อแม่ของเด็กออทิสติกต้องมีเวลามาสอนให้ลูกทำสิ่งต่างๆ ซ้ำๆ จนจดจำได้ พอมีแอปพลิเคชันนี้ เด็กจะเรียนรู้กิจวัตรต่างๆ เช่น การแปรงฟัน รวมไปถึงการใช้ชีวิต เช่น ฝึกออกไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ สิ่งที่น่าภูมิใจคือ มีน้องๆ ที่เคยดูแลตัวเองไม่ได้เลย เขาเกิดพัฒนาการที่ดี และบางคนก็ได้มาเป็นบาริสต้าของ True Coffee ด้วย” วีรศักดิ์เล่า
ในด้านของสิ่งแวดล้อม มีหนึ่งนวัตกรรมสำคัญที่ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารมาแก้ปัญหาอย่างตรงจุด นั่นคือ โซลูชันเฝ้าระวังช้างป่าด้วยระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Elephant Smart Early Warning) ที่ช่วยลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้สำเร็จด้วยการผสานศักยภาพของเทคโนโลยีสื่อสาร ระบบ IoT เข้าไปช่วยในการทำงานของหน่วยลาดตระเวน กรมอุทยานแห่งชาติกุยบุรี และเจ้าหน้าที่องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล ( WWF)

รมมุก เพียจันทร์ Senior Leader Project Development จากหน่วยงานทรูปลูกปัญญา ซึ่งเป็นผู้ดูแลโครงการนี้เล่าว่า โซลูชันดังกล่าวประกอบด้วย กล้องดักถ่ายภาพอัตโนมัติพร้อมซิมจากทรู ซึ่งจะแจ้งเตือนพิกัดที่พบช้างแบบเรียลไทม์ไปยังระบบ Cloud โดยเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์เฝ้าระวังฯ จะตรวจสอบภาพและพิกัดอีกครั้ง และประสานงานไปยังชุดเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการผลักดันช้างผ่านแอปพลิเคชัน Smart Adventure ที่ติดตั้งใน Trunked Mobile ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบ Cloud เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลความถี่และสถิติที่ช้างป่าออกมาได้
“หลังจากที่เราเริ่มติดตั้งภายใน 1 ปี ก็พบว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นน้อยกว่า 1% ซึ่งตอนนี้มีการพัฒนาต่อโดยได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี นำระบบ AI มาเข้ามาเสริม ทำให้การตรวจสอบและ Detect ทำได้แม่นยำมากขึ้น” รมมุกกล่าว
องค์กรแห่งนวัตกรรมเกิดขึ้นได้จริงที่ผ่านมานวัตกรรมที่มีความหลากหลายของทรู ได้รับรางวัลในระดับประเทศและในเวทีต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดในปี 2566 ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้าน “องค์กรนวัตกรรมดีเด่น” ประเภทองค์กรขนาดใหญ่ ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างองค์กรแห่งนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องจริงจัง
“รางวัลนี้มีการประเมินอย่างรอบด้าน ตั้งแต่วิสัยทัศน์ผู้นำ ผลงานที่เกิดจากพนักงานในองค์กร ระบบการจัดการนวัตกรรม รวมไปถึงรางวัลและการเชิดชูผลงานจากเวทีต่างๆ ทั้งในไทยและนานาชาติ ซึ่งเมื่อรวบรวมย้อนหลังไป 3 ปี ทรูมีครบทุกองค์ประกอบ ทั้งยังมีการจัดการในเรื่องการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา เรียกได้ว่าครบวงจรของการจัดการนวัตกรรมอย่างแท้จริง” วีรศักดิ์เน้นย้ำ
ด้วยเป้าหมายภายในปี 2573 ที่ต้องการสร้างนวัตกรทรูให้ถึง 5,000 คน โดยจัดให้มีทุนวิจัยพัฒนาเป็น 3% ของงบใช้จ่าย พร้อมไปกับการเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการให้มีสัดส่วนต่อรายได้รวมบริษัท 15% รวมถึงการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา 200 ผลงาน ท้ายที่สุดแล้ว “คน” คือปัจจัยสำคัญที่สุด ที่จะทำให้องค์กรเดินหน้าให้ถึงเป้าหมาย รวมถึงก้าวสู่การเป็น Telecom Tech Company อย่างแท้จริง
“ถ้ามีเครื่องมือล้ำสมัยทุกอย่าง แต่คนของเราไม่ใช้หรือใช้ไม่เป็น ก็ไม่อาจสร้างสรรค์นวัตกรรมได้ เราจึงให้ความสำคัญกับ ‘คน’ เป็นอันดับแรก มุ่งสร้างคนให้เป็นนวัตกร สร้างแรงบันดาลใจ แล้วนวัตกรรมดีๆ จะเกิดขึ้นได้จริง” วีรศักดิ์ ทิ้งท้าย
ตอกย้ำผู้นำบิวตี้เทคด้วย ซีอีโอ นิโคลา ฮิโรนิมุส ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษเปิดงาน CES เป็นครั้งแรกจากบริษัทความงาม
ลอรีอัล กรุ๊ป (L’Oréal Groupe) เปิดตัว แอร์ไลท์ โปร (AirLight Pro) เครื่องเป่าผมรุ่นใหม่ซึ่งออกแบบร่วมกับสไตลิสต์ชั้นแนวหน้าเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานทั้งช่างผมมืออาชีพและผู้บริโภคทั่วไปเป็นครั้งแรกที่งาน CES® 2024 ลอรีอัล กรุ๊ป พัฒนาเครื่องเป่าผมสุดล้ำนี้ด้วยความร่วมมือกับ ซูวี (Zuvi) บริษัทสตาร์ทอัพด้านฮาร์ดแวร์ที่ก่อตั้งโดยวิศวกรด้านโดรนและกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีแสงอินฟราเรดเข้ากับลมเพื่อการดูแลเส้นผม แอร์ไลท์ โปร จะช่วยให้เส้นผมดู นุ่มลื่น เรียบสลวยขึ้น ชุ่มชื้น ไม่แห้งชี้ฟู*1 และผมแห้งเร็วขึ้น*2 ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพการถ่ายเทความร้อนกับเส้นผมทุกประเภท อีกทั้งยังใช้พลังงานน้อยลงถึง 31%*3
นิโคลา ฮิโรนิมุส (Nicolas Hieronimus) ซีอีโอของลอรีอัล กรุ๊ป ได้เปิดตัวเทคโนโลยีดังกล่าวซึ่งคว้ารางวัลนวัตกรรมจากงาน CES® 2024 พร้อมเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัทในด้านเทคโนโลยีความงาม ในช่วงการกล่าวปาฐกถาพิเศษช่วงเช้า ณ ห้องปาลาสโซ บอลรูม โรงแรมเวเนเชียน เมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา
“นับเป็นเวลา 115 ปีที่ลอรีอัล กรุ๊ป ได้ใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างสรรค์และส่งมอบประสบการณ์ความงามที่ตราตรึงให้กับผู้บริโภค ซึ่งช่วยเติมเต็มความปรารถนาด้านความงามของแต่ละบุคคล จากการพัฒนาแอร์ไลท์ โปร ร่วมกับซูวีนั้น เราได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เทคโนโลยีสามารถเพิ่มประสิทธิภาพความงามผ่านการดูแลเส้นผมที่หลากหลาย ควบคู่ไปกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากเทคโนโลยี และนั่นคืออนาคตของความงามที่เราตั้งเป้าจะสร้างสรรค์”
รู้จักกับแอร์ไลท์ โปร
ลอรีอัล กรุ๊ป บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมการดูแลเส้นผมตั้งแต่ระดับเซลล์ไปจนถึงเส้นใยสำหรับผมทุกประเภท (ผมหยิก ผมตรง และผมหยักศก) ได้ร่วมมือกับ ซูวี สตาร์ทอัพด้านฮาร์ดแวร์ เพื่อพัฒนาเครื่องเป่าผมรุ่นใหม่สำหรับช่างผมมืออาชีพ ตลอดจนผู้บริโภคทั่วโลก ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลเส้นผมผ่านเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ
“ภารกิจของซูวีคือการทำให้โลกดีขึ้นกว่าเดิมด้วยการพลิกโฉมเทคโนโลยีและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ สำหรับอนาคต” หมิงหยู หวัง (Mingyu Wang) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของซูวี กล่าว “เราสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมโดยอาศัยความเชี่ยวชาญในด้านทัศนศาสตร์ อากาศพลศาสตร์ และการออกแบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เราภูมิใจอย่างยิ่งกับงานที่เราได้ทำมาจนถึงปัจจุบัน และล่าสุดเรายังได้พาร์ทเนอร์อย่างลอรีอัล ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการดูแลเส้นผมและความงามมายาวนานกว่า 100 ปี เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ของเราขึ้นไปอีกขั้น เราจะร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีความงามที่ล้ำสมัยต่อไป”
ซูวีได้นำเทคโนโลยีไลท์แคร์ (LightCare™) ที่จดสิทธิบัตรมาใช้กับเครื่องเป่าผม เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์รุ่นแรกที่ใช้แสงอินฟราเรดและลมที่มีความเร็วสูง เพื่อทำให้ผิวชั้นนอกของเส้นผมแห้งอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ยังคงความชุ่มชื้นไว้ภายในเส้นผม
ทีมวิศวกร ดีไซเนอร์ ช่างทำผม และนักวิทยาศาสตร์ กว่า 100 คน จากฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมของลอรีอัล และซูวี ร่วมมือกันออกแบบแอร์ไลท์ โปร ในเชิงอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาเครื่องเป่าผมระดับมืออาชีพที่ช่วยกำจัดอุปสรรคหรือปัญหาที่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพ อ้างอิงความคิดเห็นของเหล่าสไตลิสต์ชั้นนำ
ระดับมืออาชีพ แอร์ไลท์ โปร ช่วยให้เส้นผมชุ่มชื้นมากขึ้นถึง 33%*4 ผมดูนุ่มสลวยขึ้นถึง 59%*5 ผมแห้งเร็วขึ้น และยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งาน อีกทั้งยังสามารถประหยัดพลังงานได้สูงสุดถึง 31%*6
![]()
แอร์ไลท์ โปร แตกต่างจากเครื่องเป่าผมระบบทำความร้อนทั่วไปที่มีเพียงแท่งความร้อน โดยมาพร้อมกับมอเตอร์ความเร็วสูงแบบ 17 ใบพัดพิเศษ และเทคโนโลยีอินฟราเรดที่ได้รับการจดสิทธิบัตร*7 ซึ่งขับเคลื่อนโดยหลอดทังสเตนฮาโลเจน ออกแบบมาเพื่อให้ผมแห้งเร็วโดยไม่ต้องใช้ความร้อนมากจนเกินไป ด้วยการทำให้ผิวชั้นนอกของเส้นผมแห้งอย่างมีประสิทธิภาพ จึงคงความชุ่มชื้นไว้ภายในเส้นผม ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผมที่นุ่มสลวยเป็นเงางาม
แอร์ไลท์ โปร ผ่านการทดสอบจากลอรีอัลและผู้ใช้งานมากกว่า 500 คนที่มีเส้นผมหลากหลายประเภท เครื่องเป่าผมรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้แต่ละราย ฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และแอปทำงานได้อย่างราบรื่น เพื่อให้ผู้ใช้งานทุกคนสามารถปรับแต่งการตั้งค่าได้ตามความต้องการส่วนบุคคล
“นับเป็นเวลากว่าทศวรรษที่ฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมของลอรีอัลได้สร้างสรรค์ศาสตร์แห่งความงาม (Beauty Science) รูปแบบใหม่ ซึ่งขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี Augmented Beauty ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่มีมาอย่างยาวนานของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริงด้วยผลลัพธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้” บาร์บารา ลาแวร์โนส (Barbara Lavernos) รองซีอีโอ ฝ่ายวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยี ของลอรีอัล กรุ๊ป กล่าว “แอร์ไลท์ โปร ซึ่งมีการยื่นจดสิทธิบัตรมากกว่า 150 ฉบับ ได้ผสานรวมความก้าวหน้าด้านความงามได้อย่างสมบูรณ์แบบ นับเป็นครั้งแรกที่บริษัทได้นำเสนอเครื่องเป่าผมที่สามารถดูแลเส้นผมและโลกใบนี้ไปพร้อม ๆ กัน”
ลอรีอัลได้ลงทุนด้วยการถือหุ้นส่วนน้อยในซูวีผ่านทาง BOLD Business Opportunities for L’Oréal Development ซึ่งเป็นกองทุน Corporate Venture Fund ของบริษัท
แอร์ไลท์ โปร จะเปิดตัว ในปี 2567 ที่สหรัฐอเมริกา ภายใต้แบรนด์ลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล ซึ่งเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์สำหรับช่างผมมืออาชีพของลอรีอัล กรุ๊ป โดยเจาะกลุ่มทั้งช่างผมมืออาชีพและผู้บริโภค
“ในฐานะแบรนด์ชั้นนำระดับตำนานและพันธมิตรที่ช่างผมมืออาชีพไว้วางใจเลือกใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 ลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล ได้ยกระดับอุตสาหกรรมช่างผมมืออาชีพด้วยการเป็นผู้บุกเบิกคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ มาโดยตลอด” แอน มาเชต์ (Anne Machet) ผู้จัดการทั่วไปของลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล กล่าว “เรามีความยตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับซูวีคิดค้นเครื่องเป่าผมรุ่นใหม่อย่าง แอร์ไลท์ โปร ที่ขับเคลื่อนด้วยแสงอินฟราเรด เพื่อมอบประสิทธิภาพที่เหนือกว่าสำหรับเส้นผมทุกประเภท และยังลดการใช้พลังงานลงอย่างมาก ขึ้นแท่นคู่หูคนใหม่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับช่างผมทุกคน!”
เคทีซีสนับสนุนสมาชิกเลือกเดินทางด้วยรถสาธารณะ เพื่อช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองและความแออัดของการคมนาคมขนส่งระหว่างเมือง จับมือ “BEM” และ “MRTA” มอบโค้ด e - Coupon ส่วนลด 50 บาท เมื่อสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีเติมเงินบัตรโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วงทุกประเภท 400 บาทขึ้นไป และใช้คะแนน KTC FOREVER 499 คะแนนแลกรับ ตลอดทั้งปี 2567

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยนางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต กล่าวว่า “เคทีซีสนับสนุนให้สมาชิกเล็งเห็นถึงความสำคัญของการใช้รถโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า รวมถึงลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลในบางโอกาส เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง ความแออัดของการคมนาคมขนส่งระหว่างเมือง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงได้จับมือกับ “BEM” (Bangkok Expressway and Metro) หรือบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคลหรือรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และ “MRTA” (Mass Rapid Transit Authority of Thailand) หรือการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้ามหานครสายฉลองรัชธรรมหรือรถไฟฟ้าสายสีม่วง มอบโค้ด e - Coupon ส่วนลด 50 บาท สำหรับบริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เส้นทางสถานีหัวลำโพงถึงบางซื่อ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายสถานีหัวลำโพงถึงหลักสอง และสถานีบางซื่อถึงสถานีท่าพระ รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีม่วง เส้นทางสถานีเตาปูนถึงคลองบางไผ่ เพียงสมาชิกเติมเงินบัตรโดยสารรถไฟฟ้าทุกประเภทด้วยบัตรเครดิตเคทีซี 400 บาทขึ้นไป และใช้คะแนน KTC FOREVER 499 คะแนนแลกรับ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 31 ธันวาคม 2567 โดยสมาชิกรับสิทธิ์ได้ทันทีผ่านแอป KTC Mobile และทำรายการแลก e - Coupon ต่อหน้าพนักงานเท่านั้น
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 หรือติดตามโปรโมชันของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ”
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ปิดท้ายปี 2566 อย่างงดงามด้วยเทศกาลรับลมหนาวหรือ Thailand Winter Festival แบ่งเป็น 5 กิจกรรมเชิงวัฒนธรรม อาทิ การจัด ‘กิจกรรมสีสันแห่งสายน้ำ’ ส่งเสริมมหกรรมลอยกระทง รวมไปถึงการจัดงานวิจิตรเจ้าพระยา 2566, อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ พาสปอร์ต พรีวิลเลจ, อเมซิ่ง ไทยแลนด์ มาราธอน แบงค็อก 2566, และอเมซิ่ง ไทยแลนด์ เคาท์ดาวน์ 2567 เพื่อจัดแสดงกิจกรรมต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ สะท้อนความรุ่งเรืองและงดงามของวัฒนธรรมไทย
![]()
เทศกาลรับลมหนาวในประเทศไทยนำเสนอเอกลักษณ์ของไทยผ่านมหกรรม ศิลปะ แสงสี การแสดงดนตรี และการเฉลิมฉลองเทศกาลวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่รอบเกาะรัตนโกสินทร์ที่มีชื่อเสียงของกรุงเทพฯ ททท. มองว่าการจัดเทศกาลนี้เป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของประเทศอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
อีเว้นต์และเทศกาลในประเทศไทยส่วนใหญ่ถูกสืบทอดมาหลายศตวรรษ โดยส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดมาจากประเพณีท้องถิ่น คติชน และวิถีชีวิตแบบไทย สองเทศกาลเชิงวัฒนธรรมในไทยที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวและเป็นที่รู้จักในสากล คือเทศกาลสงกรานต์ (ปีใหม่ไทย) และเทศกาลลอยกระทง
กิจกรรมอื่น ๆ รวมไปถึง งานไหว้ครูมวยไทยโลกซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ณ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ประเพณีปอยส่างลอง พิธีอุปสมบทโบราณที่จัดขึ้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน และเทศกาลบุญบั้งไฟอันเลื่องชื่อ ซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดในหลายจังหวัดทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย อาทิ ร้อยเอ็ด ยโสธร และกาฬสินธุ์
กิจกรรมในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่เพิ่งปิดฉากไปโดยผสมผสานวัฒนธรรมไทยในทุกองค์ประกอบของงานอย่าง ศึกโมโตจีพี โออาร์ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ หนึ่งในกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมทั่วโลกได้สัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่นของภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างแท้จริง โดยผู้จัดงานได้เลือก ‘หนุมาน’ พญาวานรจากวรรณคดีไทยเรื่องรามเกียรติ์ให้เป็นทูตวัฒนธรรมและธีมในการแข่งขัน
อิโก้ พูเทร่า (Iko Putera) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Transport ของ Traveloka กล่าวว่า "เรามองว่างานไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ และการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมเป็นอีกช่องทางสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ในระหว่างการแข่งขันปี 2566 ที่ผ่านมา Traveloka มองเห็นความต้องการด้านที่พักและเที่ยวบินขาเข้ากรุงเทพฯ และบุรีรัมย์เพิ่มขึ้น จากข้อมูลภายในของเราธุรกรรมการจองโรงแรมเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าในช่วงสัปดาห์ของการแข่งขัน โดยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดตั้งแต่วันที่ 27 ถึง 28 ตุลาคม 2566 และความต้องการส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่บุรีรัมย์ โดยเฉพาะอำเภอนางรอง”
ในส่วนของเที่ยวบิน Traveloka เห็นแนวโน้มเชิงบวกในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเที่ยวบินภายในประเทศ โดยมีบุรีรัมย์เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางหลัก และดอนเมืองเป็นต้นทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ในช่วงสัปดาห์การแข่งขัน
(27-29 ตุลาคม 2566) พร้อมกับเที่ยวบินภายในประเทศโดยรวมสู่กรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นพร้อมกับจุดหมายปลายทางอื่น ๆ ในประเทศ เช่น ขอนแก่น อุบลราชธานี หาดใหญ่ นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี
ททท. ยังคงตั้งเป้าให้จุดหมายปลายทางที่กำลังพัฒนากลายเป็นปลายทางยอดนิยม เช่น บุรีรัมย์ เพื่อชูสุดยอดรสมือด้านการทำอาหารของประเทศไทย โดยได้ร่วมมือกับภาคเอกชนเปิดตัวแคมเปญ “เมนูเปิดประสบการณ์ใหม่ เมืองรองมิรู้ลืม”เพื่อเชิญชวนนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเมืองรองอย่างบุรีรัมย์ และสัมผัสประสบการณ์เมนูอาหารท้องถิ่นไทยในระดับภูมิภาค
อีเว้นต์ต่างๆ ช่วยให้ประเทศไทยมีการฟื้นตัวของท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งในช่วงปี 2566 และตั้งเป้าที่จะพัฒนาการท่องเที่ยวไปอีกขั้นในปี 2567 งานไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2566 ได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกด้านความต้องการที่พักและเที่ยวบิน ในขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องด้านการท่องเที่ยว เช่น ร้านค้า ธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหาร และสถานที่ทางประวัติศาสตร์ในท้องถิ่นก็ได้รับประโยชน์จากการเข้าชมที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
Traveloka ดำเนินงานเพื่อก้าวนำเทรนด์ของตลาดและความต้องการของลูกค้า โดยบริการทางเลือกการเดินทางที่ง่ายและยืดหยุ่นพร้อมวิธีการชำระเงินที่หลากหลาย ช่วยให้บริษัทสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่ได้รับประโยชน์จากการแข่งขัน ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2566 ที่จัดขึ้นก่อนเริ่มฤดูกาลท่องเที่ยวตามปกติของประเทศไทย
"Traveloka ให้บริการนักเดินทางจำนวนหลายล้านคนทุกวัน และมีส่วนในการช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยด้วยการขับเคลื่อนนวัตกรรม เรายังเชื่อมั่นในการขับเคลื่อนการเติบโตและสร้างงานให้กับธุรกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองรอง โดยมอบประสบการณ์การเดินทางที่ผสมผสานระหว่างอีเวนต์ระดับนานาชาติกับการท่องเที่ยวและมรดกทางวัฒนธรรมที่หลากหลายของประเทศ” อิโก้ กล่าวเสริม
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประมาณรายได้ท่องเที่ยวไทยปี 2567 อยู่ที่ระดับ 2.75 ล้านล้านบาท จากการท่องเที่ยวในประเทศที่ฟื้นตัวสมบูรณ์ในฝั่งของรายได้ ในขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่านักท่องเที่ยวชาวจีนกลับมาเพียง 52% ของภาวะปกติจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจภายในประเทศ และพฤติกรรมการเดินทางที่เริ่มเปลี่ยนตามโครงสร้างอายุและรายได้ แนะภาครัฐออกนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวให้เหมาะสมกับนักท่องเที่ยวในแต่ละกลุ่มที่มีพฤติกรรมต่างกัน
ในปี 2566 ที่ผ่านมานับเป็นความสำเร็จของการท่องเที่ยวไทยทั้งในมิติของนักท่องเที่ยวในประเทศที่สูงเป็นประวัติการณ์ที่ตัวเลข 254.4 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้กว่า 8 แสนล้านบาท รวมถึงในฝั่งของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้ตามเป้าที่ทาง ttb analytics ประมาณการไว้ที่ 28 ล้านคน สร้างเม็ดเงินราว 1.4 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมประเทศไทยสร้างเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวได้กว่า 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 73% เมื่อเทียบกับจุดสูงสุดเดิมที่ 3 ล้านล้านบาทในปี 2562 อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินดังกล่าวหลุดเป้าไปราว 2 แสนล้านบาทจากที่ภาครัฐได้ตั้งเป้าไว้ที่ 2.4 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้การประมาณรายได้จากนักท่องเที่ยวที่พลาดเป้าในปีที่ผ่านมา ในปี 2567 นี้ ก็ยังเห็นมุมมองของภาครัฐที่ตั้งเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งในมิติของจำนวนที่คาดว่าจะสูงถึง 40 ล้านคนสร้างรายได้กว่า 2.5 ล้านล้านบาท เมื่อรวมกับรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศ จะสามารถสร้างเม็ดเงินได้สูงถึง 3.5 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการตั้งเป้าหมายเพิ่มขึ้นกว่า 60% ทั้งที่รายได้จากปีก่อนก็ยังหลุดเป้าไปราว 10% โดยในมุมมองของ ttb analytics มีความเห็นว่าในปี 2567 นี้ ศักยภาพรายได้จากการท่องเที่ยวคาดว่าจะอยู่ที่ราว 2.75 ล้านล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
1) กลุ่มนักท่องเที่ยวคนไทย ttb analytics ประเมินปี 2567 การท่องเที่ยวในประเทศยังสามารถสร้างประวัติศาสตร์เป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องจากปี 2566 ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะสูงถึง 292.1 ล้านคน-ครั้ง บนพฤติกรรมการใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่อทริปลดลงจากภาวะค่าครองชีพและภาระทางการเงินที่สูงขึ้นลดทอนรายได้ที่ใช้จ่ายได้จริง แต่จากการชดเชยของมิติเชิงจำนวนสามารถดันให้รายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศคาดแตะระดับ 1 ล้านล้านบาท ได้อีกครั้งหนึ่ง บนรูปแบบของการท่องเที่ยวจากคนไทยดังนี้ 1) เทรนด์การเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ (One-Day Trip) โดยไม่พักแรมเพิ่มขึ้น สะท้อนผ่านจำนวนนักท่องเที่ยวในภาคกลาง และภาคตะวันตก ฟื้นตัวเทียบช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ที่ 136% และ 146% แต่รายได้กลับฟื้นตัวเพียง 103% และ 119% ตามลำดับ 2) นักท่องเที่ยวคนไทยมีแนวโน้มเที่ยวเมืองรองที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเมืองหลักเพิ่มขึ้น เช่น จังหวัดเชียงราย น่าน แพร่ ในพื้นที่ภาคเหนือมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% และจังหวัดสตูล และนราธิวาส ในพื้นที่ภาคใต้มีตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 30-40% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 3) การปรับลดคืนค้างแรมลงโดยเฉพาะกลุ่มจังหวัดห่างไกล ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายที่ลดลงต่อทริป
โดยเฉพาะในกลุ่มภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สะท้อนผ่านเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวเทียบก่อนสถานการณ์โควิด-19 กลับมาที่ 58% และ 72% ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวในอัตราที่สูงกว่าที่ 100% และ 92% ตามลำดับ
2) ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในปี 2567 คาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 33.1 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1.75 ล้านล้านบาท จากค่าเฉลี่ยในการใช้จ่ายต่อทริปที่คาดสูงขึ้นจากราคาที่พักที่ปรับตัวรับอุปสงค์ และแนวโน้มวันท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น โดยในรายละเอียดพบว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวไม่นับรวมชาวจีน (Non-Chinese Travelers) คาดกลับมาใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 แต่ปัจจัยที่น่าจับตา คือการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวจีน (Chinese Travelers) ที่คาดยังไม่ฟื้นตัวสมบูรณ์ด้วยอัตราการกลับมาที่ราว 5.7 ล้านคน คิดเป็น 52% เมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 เนื่องจากแรงกดดันดังต่อไปนี้
2.1) แรงกดดันจากเศรษฐกิจภายในประเทศของจีน เช่น ปัญหาการว่างงานในคนอายุ 16-24 ปี ที่สูงเกินกว่า 20% ส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ที่จะเดินทางออกนอกประเทศที่ลดลง ซึ่งตามสถิติจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชี้นักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออกกว่า 63% มีอายุต่ำกว่า 35 ปี รวมถึงความมั่งคั่งสุทธิที่ลดลงจากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาคการเงินที่ยังน่ากังวล ที่ส่งผลให้สินทรัพย์หรือรายได้ของชาวจีนบางกลุ่มลดลงจนอาจกระทบต่อการตัดสินใจท่องเที่ยวต่างประเทศ
2.2) จำนวนนักท่องเที่ยวที่ส่งสัญญาณเติบโตชะลอตั้งแต่ช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงปี 2560-2562 นักท่องเที่ยวชาวจีนเข้าไทยเพิ่มขึ้นที่ 6.5% ต่อปี ในขณะที่ ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ ยังรักษาอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวชาวจีนได้สูงถึง 14% และ 20% ต่อปีตามลำดับ กอปรกับในปี 2566 พบนักท่องเที่ยวชาวจีนขาออกนอกประเทศภาพรวมฟื้นตัวกว่า 60%-65% ในขณะที่การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนในไทยกลับฟื้นตัวเพียง 32% ของภาวะปกติ
2.3) ความดึงดูดในเรื่องของอัตราการท่องเที่ยวซ้ำ เนื่องจากตลาดท่องเที่ยวไทยเป็นตลาดที่เข้าถึงง่ายจากค่าใช้จ่ายต่อทริปที่ไม่สูง ส่งผลให้ตลาดไทยอยู่ในฐานะจุดหมายแรกของการเริ่มเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ (Entry Level) ที่อาจได้ประโยชน์ในระยะแรกแต่อาจเริ่มถูกตั้งคำถามถึงอัตราการท่องเที่ยวซ้ำ (Revisit Intention) เมื่อนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นตามช่วงเวลาอาจมีทางเลือกในการเดินทางไปยังประเทศอื่นเพิ่มมากขึ้น สะท้อนผ่านสัดส่วนของจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวจีนในปี 2562 มีสัดส่วนที่เท่ากันที่ 28% ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวจีนในฝรั่งเศสที่มีสัดส่วนเพียง 3% แต่สามารถสร้างรายได้ให้การท่องเที่ยวเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 7%
โดยสรุป ttb analytics คาดว่าปี 2567 มูลค่าการท่องเที่ยวไทยจะมีมูลค่า 2.75 ล้านล้านบาทต่ำกว่าเป้าที่ภาครัฐได้วางไว้ที่ 3.5 ล้านล้านบาทหรือห่างจากเป้าหมายเกือบ 8 แสนล้านบาท แต่มองว่ายังมีศักยภาพดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้นในเชิงคุณภาพ หากมีการกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์ให้ตรงตามกลุ่มให้ชัดเจน เช่น นักท่องเที่ยวจากเอเชียที่ไทยได้ประโยชน์จากการเดินทางที่สะดวกและค่าใช้จ่ายต่อทริปที่ต่ำ ภาครัฐควรตั้งเป้าหมายในการดึงดูดให้เกิดการท่องเที่ยวซ้ำ เช่น สิทธิประโยชน์ที่อาจมอบให้เมื่อมีการกลับมาท่องเที่ยวซ้ำ ในกรอบระยะเวลาที่กำหนด รวมถึงเร่งพัฒนาโครงข่ายคมนาคมให้สะดวก ปลอดภัย ที่สามารถเชื่อมกับภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมีความต้องการท่องเที่ยวซ้ำในภูมิภาคอื่น ๆ และในกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ที่มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวที่อยู่อาศัยระยะยาวสูงโดยเปรียบเทียบอาจให้เป็นในรูปแบบสิทธิประโยชน์เรื่องการจัดหาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ จัดหาบริการระบบประกันสุขภาพที่
ครอบคลุม รวมถึงในภาพรวมควรจัดตั้งหน่วยงานสายด่วนรับเรื่องร้องเรียนที่สามารถแก้ปัญหานักท่องเที่ยวต่างชาติถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างจริงจัง เพื่อยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวไทยให้ก้าวไปอีกระดับเพื่อสามารถส่งต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวที่เป็นมิตร เพิ่มโอกาสการกลับมาเที่ยวซ้ำสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวอายุน้อย และโน้มน้าวให้นักท่องเที่ยวมีความประสงค์ที่จะอยู่อาศัยระยะยาว เพื่อโอกาสในการยกระดับให้การท่องเที่ยวไทยเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว
เพาเวอร์บาย ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ขานรับนโยบายรัฐกับโครงการ “Easy E-Receipt” ช้อปเครื่องใช้ไฟฟ้าลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท ได้ทุกช่องทางทั้งที่ร้านเพาเวอร์บาย ทุกสาขาทั่วประเทศ และออนไลน์ ตั้งแต่วันนี้ – 15 กุมภาพันธ์นี้ พร้อมสร้างความคึกคักให้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ารับต้นปี 67 ด้วยแคมเปญฉลองปีมังกรทอง “ช้อปดีมีเฮง” รับโชคเฮง 3 ชั้น เฮง 1 รับส่วนลดเพิ่มรวมกว่า 50,000 บาท เฮง 2 ลุ้นรับฟรี! มังกรทองคำ รวมมูลค่ากว่า 480,000 บาท เฮง 3 ร่วมทริปมงคลเสริมดวงรับตรุษจีนกับ หมอช้าง-ทศพร ศรีตุลา ตั้งแต่วันนี้ – 29 กุมภาพันธ์ 2567
![]()
นางมัลลิกา เหลืองนิมิตรมาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า “ที่ผ่านมา เพาเวอร์บาย ได้ตอบรับมาตรการช้อปดีมีคืนของภาครัฐบาลในทุกๆ ปี ซึ่งได้รับกระแสตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยบริษัทฯ ได้เล็งเห็นความสำคัญของมาตรการนี้ที่นอกจากช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงต้นปีอีกด้วย ถือเป็นมาตรการที่ส่งผลดีกับประชาชนในวงกว้าง สำหรับปีนี้ได้เข้าร่วมโครงการ “Easy E-Receipt” ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 67 เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย ลูกค้าสามารถนำใบเสร็จ E-Receipt จากการซื้อสินค้าเพาเวอร์บายในทุกช่องทาง ทั้งที่ร้านเพาเวอร์บายทุกสาขา และออนไลน์ ร่วมลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 50,000 บาท พร้อมกันนี้ยังได้เพิ่มความคุ้มค่าให้เหล่านักช้อปแบบจัดเต็มด้วยแคมเปญฉลองปีมังกรทอง “ช้อปดีมีเฮง” ตั้งแต่วันนี้ – 29 ก.พ. 67 รับโชคเฮง 3 ชั้น ดังนี้
· เฮง 1: รับส่วนลดเพิ่มรวมสูงสุด 50,000 บาท เมื่อช้อปสินค้าครบตามเงื่อนไข พร้อมร่วมโครงการ “เก่าแลกใหม่ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่ากลุ่มทีวี แอร์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า-อบผ้า มีค่าสามารถแลกรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 10,000 บาท
· เฮง 2: สำหรับสมาชิก เดอะวัน ลุ้นรับฟรี! รางวัลทองคำหนัก 2 บาท พร้อมจี้มังกรทองคำหนัก 2 สลึง จำนวน 2 รางวัล หรือ รางวัลจี้มังกรทองคำหนัก 2 สลึง จำนวน 16 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 480,000 บาท เพียงช้อปครบทุก 3,000 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ รับลุ้น 1 สิทธิ์
· เฮง 3: รับสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก เดอะวัน...ร่วมเอ็กซ์คลูซีฟทริปไห้วพระขอพรเสริมศิริมงคล กับหมอช้าง ทศพร ศรีตุลา ที่วัดเล่งเน่ยยี่ (วัดมังกรกมลาวาส) เมื่อเป็นสุดยอดนักช้อปสะสมยอดซื้อสูงสุด 8 ท่าน (พร้อมผู้ติดตาม)
![]()
นอกจากนี้ เพาเวอร์บาย ได้ร่วมกับ กฟผ. จัดแคมเปญส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์เบอร์ 5 มอบส่วนลดมูลค่าสูงสุด 1,000 บาท จำนวน 15,555 สิทธิ์ เมื่อซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 (จำกัด 1 คน 1 สิทธิ์) ตั้งแต่วันนี้ – 15 ก.พ. 67 เป็นการสนับสนุนให้ประชาชนหันมาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เบอร์ 5 เพื่อช่วยลดการใช้ไฟในบ้าน และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนอีกด้วย มั่นใจว่าแผนการตลาดที่เพาเวอร์บายได้จัดเตรียมไว้ในช่วงต้นปี 2567 นี้ จะสามารถมัดใจเหล่านักช้อปทั้งชาวไทยและเทศได้อย่างแน่นอน และคาดว่าจากแคมแปญต่างๆ จะช่วยเพิ่มทราฟฟิกภายในร้านขึ้นกว่า 10%”
เพลิดเพลินกับการช้อปสินค้าและรับสิทธิประโยชน์สุดคุ้มได้ที่ เพาเวอร์บาย ทุกสาขาทั่วประเทศ ที่สาขา หรือออนไลน์ เมื่อซื้อสินค้าที่ หรือช้อปผ่านช่องทางออนไลน์ เว็บไซต์ www.powerbuy.co.th, Call & Shop กับ Power Guru โทร.1324 กด 8, Line @powerbuy และ เฟซบุ๊ก Power Buy สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพาเวอร์บาย คอลล์เซ็นเตอร์ 1324
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับ ดิเอ็ม ดิสทริค และ AEG เตรียมเปิดตัว ยูโอบี ไลฟ์ (UOB LIVE) ศูนย์รวมการจัดงานที่ก้าวล้ำแห่งล่าสุด ภายใต้การบริหารงานโดย เออีจี (AEG) และยังเป็นการเปิดตัวก่อนอารีน่าแห่งอื่นๆ ของเออีจีในเอเชียอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อีกด้วย แน่นอนว่าหลายคงเฝ้ารอชมไลน์อัพความบันเทิงจากทั่วโลกเมื่อ ยูโอบี ไลฟ์ เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ 2567
ยูโอบี ไลฟ์ เป็นศูนย์รวมการจัดงานแห่งใหม่ล่าสุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของ ดิ เอ็มสเฟียร์ (THE EMSPHERE) ศูนย์การค้าแห่งใหม่ในย่าน ดิ เอ็มดิสทริค (The EM District) ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ยูโอบี ไลฟ์ มุ่งยกระดับให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการจัดอีเวนท์และการแสดงระดับโลกของภูมิภาคนี้ โดยรองรับผู้ชมได้ถึง 6,000 ที่นั่ง และยังเพียบพร้อมด้วยแหล่งช้อปปิง และตัวเลือกร้านอาหารที่หลากหลาย รวมถึงพื้นที่สำหรับความบันเทิงที่ครอบคลุม จึงเป็นนิยามใหม่ที่ยกระดับประสบการณ์ความบันเทิงได้อย่างแท้จริง ทั้งคอนเสิร์ต การแสดง และอีเวนท์ของศิลปินทั้งไทยและเทศที่ได้รับความนิยม
ภายใต้ความร่วมมือของ 3 พันธมิตร ที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการผลักดันให้กรุงเทพฯ กลายเป็นศูนย์กลางชั้นนำของนวัตกรรมการช้อปปิง อีเวนท์ความบันเทิง และประสบการณ์ด้านไลฟ์สไตล์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หัวใจสำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้ คือการผนึกความเชี่ยวชาญของทั้งสามภาคธุรกิจมาผนวกไว้เป็นหนึ่งเดียว ได้แก่ เออีจี ผู้นำด้านธุรกิจความบันเทิงและกีฬาระดับโลกกว่าสองทศวรรษ ดิ เอ็มดิสทริค ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศูนย์การค้ามาอย่างยาวนาน และ ยูโอบี ในฐานะธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาค ที่ก้าวเข้ามาในธุรกิจศูนย์กลางไลฟ์เอนเตอร์เทนเมนต์ระดับพรีเมียร์เป็นครั้งแรก เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ ยูโอบี ไลฟ์ กลายเป็นไอคอนของนวัตกรรมและวัฒนธรรมความบันเทิงแห่งใหม่
เพื่อเผยนิยามใหม่ของความบันเทิงที่กำลังจะมาถึง ยูโอบี ไลฟ์ ได้เปิดตัววิดีโอที่แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของเออีจีผ่านอารีน่าในเมืองหลักทั่วโลก อาทิ L.A. LIVE ในลอสแอนเจลิส, Mercedes-Benz Arena และ Mercedes-Benz Platz ในเบอร์ลิน, T-Mobile Arena ในลาสเวกัส และ The O2 arena ในกรุงลอนดอน นับเป็นการจุดกระแสอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ได้เปิดตัวโลโก้ UOB LIVE อย่างโดดเด่นบนศูนย์การค้า ดิ เอ็มสเฟียร์ เพื่อสื่อถึงประสบการณ์ความบันเทิงสุดยิ่งใหญ่ ที่กำลังจะมาถึงกรุงเทพฯ ในอีกไม่นานนี้
เตรียมสัมผัสนิยามใหม่ของความบันเทิงที่จะมาพลิกโฉมประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางการจัดงานไลฟ์เอนเตอร์เทนเมนต์ระดับชั้นนำของโลกในภูมิภาคนี้ พร้อมเตรียมพบกับศิลปินจากทั่วโลกที่เตรียมตบเท้ามาจัดเต็มสีสันและความสนุกที่กรุงเทพฯ ณ ยูโอบี ไลฟ์