

รัฐบาลไทยและไมโครซอฟท์ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือภายใต้วิสัยทัศน์ในการยกระดับประเทศไทยให้มุ่งสู่ก้าวต่อไปกับนวัตกรรมดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยข้อตกลงฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะนำเทคโนโลยีคลาวด์และ AI ที่เปี่ยมประสิทธิภาพจากไมโครซอฟท์มาเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศไทย สร้างโอกาสใหม่ๆ ในการจ้างงานที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย และปูทางให้ประเทศไทยมุ่งสู่ความเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค ทั้งในด้านนวัตกรรมดิจิทัลและความยั่งยืน
ในโอกาสนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายสัตยา นาเดลลา ซีอีโอของไมโครซอฟท์ ได้ร่วมพบปะหารือกันที่เมือง ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมพูดคุยถึงจุดประสงค์ของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับดังกล่าว ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
· ขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยนวัตกรรมดิจิทัล
ไมโครซอฟท์จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สอดคล้องกับนโยบายด้านรัฐบาลดิจิทัลและการใช้บริการระบบคลาวด์ภาครัฐ หรือ Cloud First ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนภาคการเกษตร สาธารณสุข การท่องเที่ยว และการศึกษา นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังจะร่วมพิจารณาแผนการลงทุนก่อสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในประเทศไทย เพื่อยกระดับการใช้งานคลาวด์และ AI ต่อไปในอนาคต และพร้อมกันนี้ ไมโครซอฟท์จะให้การสนับสนุนกับรัฐบาลไทยในด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ด้วยการนำเสนอแนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุด พร้อมด้วยความเชี่ยวชาญจากบุคลากรชั้นนำของบริษัท
· ปูทางสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI
ไมโครซอฟท์จะทำงานร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการพัฒนาและผสมผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับโครงการด้านรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) และบริการสาธารณะต่างๆ เพื่อประโยชน์แก่คนไทย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังมีแผนที่จะร่วมกันจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศเชิงกลยุทธ์ด้าน AI (AI Center of Excellence) เพื่อยกระดับโครงการที่ใช้เทคโนโลยี AI ของภาครัฐ จัดทำโรดแมปที่จะช่วยให้การนำเทคโนโลยี AI มาใช้งานเกิดขึ้นได้จริง และส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมในภาคส่วนและอุตสาหกรรมต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยังจะร่วมหารือกับไมโครซอฟท์เกี่ยวกับการกำหนดทิศทางนโยบายและกรอบการกำกับดูแล เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถนำ AI มาใช้งานได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ
· เสริมทักษะคนไทยเพื่อชีวิตในยุคหน้า
ไมโครซอฟท์จะสานต่อพันธกิจในการยกระดับทักษะแห่งอนาคตสำหรับคนไทยกว่า 10 ล้านคน ผ่านทางความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานอื่นๆ โดยครอบคลุมทักษะสำคัญในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาษาที่สองเพื่อการสื่อสารหรือความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงการฝึกฝนนักพัฒนานวัตกรรมรุ่นใหม่ในทุกสายอาชีพ (Citizen Developers) ในรูปแบบที่เปิดให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสในการเรียนรู้ได้อย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น
· ยกระดับประเทศไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
หน่วยงานภาครัฐของไทยจะทำงานร่วมกับไมโครซอฟท์เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2608 ผ่านทางการสร้างพื้นที่ทดสอบสำหรับการพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Sandbox) เพื่อให้เกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วน นับตั้งแต่ภาครัฐ องค์กรเอกชนขนาดใหญ่ ไปจนถึงผู้ประกอบการรายย่อย นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังมีแผนที่จะนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้งานเต็ม 100% ในโครงการและแผนการลงทุนในอนาคตอีกด้วย
![]()
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “พันธกิจของประเทศไทย นับตั้งแต่ด้านการสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนไปจนถึงการใช้พลังงานหมุนเวียน นับว่ามีทิศทางที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของไมโครซอฟท์ โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างทั้งความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและศักยภาพเชิงดิจิทัลของประเทศไทยไปพร้อมกัน”
นายอาเหม็ด มาซารี ประธาน ไมโครซอฟท์ เอเชีย กล่าวเสริมอีกว่า “เทคโนโลยี AI มีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางและวิธีการทำงานของทั้งผู้คนและองค์กรทั่วโลก สำหรับประเทศไทยนั้น แผนปฏิบัติการของรัฐบาลได้วางเป้าหมายในการนำ AI มาขับเคลื่อนให้เกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วนเป็นมูลค่ากว่า 48,000 ล้านบาท ภายในปี พ.ศ. 25701 และเราก็มีความยินดีอย่างยิ่งที่จะได้ทำงานอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับรัฐบาลไทยเพื่อมุ่งสู่อนาคตที่มี AI เป็นนวัตกรรมคู่คิดของประเทศไทย”
ผลการศึกษาของซิสโก้ชี้ องค์กรในไทยเพียง 20% มีความพร้อมในการปรับใช้และใช้ประโยชน์จาก AI โดย 74% เป็นกังวลอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบต่อธุรกิจหากไม่เตรียมพร้อมในอีก 12 เดือนข้างหน้า
![]()
ประเด็นข่าว:
· องค์กรเกือบทั้งหมดในไทย (99%) ระบุว่าความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับใช้เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้เพิ่มสูงขึ้นช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
· มีช่องว่างที่สำคัญใน 6 เสาหลักของธุรกิจ ซึ่งได้แก่ กลยุทธ์ โครงสร้างพื้นฐาน ข้อมูล การกำกับดูแล บุคลากร และวัฒนธรรมองค์กร โดยบริษัท 80% กล่าวว่าพวกเขายังไม่พร้อมอย่างเต็มที่ในการบูรณาการ AI เข้ากับธุรกิจของตน
· บริษัทต่างๆ กำลังแข่งกับเวลา โดย 74% กล่าวว่าพวกเขามีเวลาสูงสุดแค่ “หนึ่งปี” ในการปรับใช้กลยุทธ์ AI มิฉะนั้นจะส่งผลเสียต่อธุรกิจ
กรุงเทพฯ, 16 พฤศจิกายน 2566 — มีเพียง 20% ขององค์กรในประเทศไทยเท่านั้นที่มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการปรับใช้และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ตามรายงานฉบับแรกเกี่ยวกับดัชนีความพร้อมด้าน AI (AI Readiness Index) ของซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) ซึ่งได้ตีพิมพ์เผยแพร่ในวันนี้ ดัชนีดังกล่าวซึ่งเป็นการสำรวจข้อมูลจากบริษัททั่วโลกมากกว่า 8,000 แห่ง ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อการปรับใช้ AI อย่างรวดเร็ว ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและชีวิตประจำวันในเกือบทุกแง่มุม รายงานดังกล่าวเน้นย้ำถึงความพร้อมของบริษัทต่างๆ ในการปรับใช้และใช้ประโยชน์จาก AI โดยแสดงให้เห็น “ช่องว่างที่สำคัญ” ในเสาหลักของธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างร้ายแรงในอนาคตอันใกล้นี้
ผลการศึกษาล่าสุดชี้ว่า ถึงแม้การปรับใช้ AI จะมีความคืบหน้าอย่างช้าๆ มานานหลายทศวรรษ แต่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี Generative AI ประกอบกับการเปิดให้ใช้งานอย่างกว้างขวางสำหรับผู้ใช้ทั่วไปในช่วงปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีความสนใจเพิ่มมากขึ้น รวมถึงความท้าทาย ความเปลี่ยนแปลง และความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่เกิดจากเทคโนโลยีนี้ ขณะที่ 63% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่า AI จะมีผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินธุรกิจของพวกเขา และอาจก่อให้เกิดประเด็นใหม่ๆ เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและความปลอดภัย รายงานดัชนีดังกล่าวพบว่า บริษัทต่างๆ เผชิญกับความท้าทายมากที่สุดเมื่อใช้ประโยชน์จาก AI ควบคู่ไปกับข้อมูลของพวกเขา ที่จริงแล้ว ผู้ตอบแบบสอบถาม 75% ยอมรับว่าสาเหตุเป็นเพราะข้อมูลถูกจัดเก็บอย่างกระจัดกระจายไว้ในระบบต่างๆ ทั่วทั้งองค์กร
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือ รายงานดัชนีดังกล่าวเปิดเผยว่า บริษัทต่างๆ ในไทยกำลังใช้มาตรการเชิงรุกในหลายๆ ด้านเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่มุ่งเน้น AI เป็นหลัก เมื่อพูดถึงการกำหนดกลยุทธ์ด้าน AI องค์กร 97% มีกลยุทธ์ด้าน AI ที่แข็งแกร่งอยู่แล้วหรืออยู่ระหว่างการพัฒนา องค์กรมากกว่า 8 ใน 10 (81%) ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Pacesetters (มีความพร้อมอย่างเต็มที่) หรือ Chasers (มีความพร้อมปานกลาง) โดยมีเพียง 1% เท่านั้นที่จัดอยู่ในกลุ่ม Laggards (ไม่ได้เตรียมพร้อม) ซึ่งนับเป็นการบ่งบอกว่าผู้บริหารระดับสูงและผู้บริหารฝ่ายไอทีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ตอบแบบสอบถามเกือบทุกคน (99%) กล่าวว่าความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับใช้เทคโนโลยี AI ในองค์กรของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา โดยมีการรายงานว่า ‘โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีและการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์’ เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการปรับใช้ AI
![]()
ลิซ เซนโทนี่ รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายแอปพลิเคชั่น และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของซิสโก้ กล่าวว่า “ขณะที่บริษัทต่างๆ เร่งการปรับใช้โซลูชั่น AI ก็จะต้องมีการประเมินว่าควรจะลงทุนในส่วนใดบ้างเพื่อให้แน่ใจว่าโครงสร้างพื้นฐานของพวกเขาจะสามารถรองรับความต้องการของเวิร์กโหลด AI ได้ดีที่สุด นอกจากนี้ องค์กรยังต้องสามารถตรวจสอบว่า AI ถูกใช้งานอย่างไร เพื่อให้แน่ใจเกี่ยวกับ ROI, ความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ความรับผิดชอบ’ ”
ข้อมูลสำคัญที่พบในผลการศึกษา
ผลการศึกษาพบว่า โดยรวมแล้วมีบริษัทเพียง 20% เท่านั้นที่จัดอยู่ในกลุ่ม Pacesetters (มีความพร้อมอย่างเต็มที่) โดยที่ 36% ของบริษัทในไทยจัดอยู่ในกลุ่ม Laggards (ไม่ได้เตรียมพร้อม) ที่ 1% และกลุ่ม Followers (มีความพร้อมอย่างจำกัด) ที่ 35% นอกจากนี้ ยังพบข้อมูลที่สำคัญที่สุดได้แก่:
· ความเร่งด่วน: สูงสุด “หนึ่งปี” ก่อนที่บริษัทต่างๆ จะเริ่มเห็นผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจ โดย 74% ของผู้ตอบแบบสอบถามในไทยเชื่อว่าพวกเขามีเวลาสูงสุดไม่เกินหนึ่งปีในการปรับใช้กลยุทธ์ AI ก่อนที่องค์กรของพวกเขาจะเริ่มได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจ
· กลยุทธ์ : ขั้นตอนแรกคือการกำหนดกลยุทธ์ และองค์กรต่างๆ ดำเนินการได้ด้วยดี โดย 81% ขององค์กรในไทยจัดอยู่ในกลุ่ม Pacesetters หรือ Chasers โดยมีเพียง 1% เท่านั้นที่จัดอยู่ในกลุ่ม Laggards นอกจากนี้ 97% ขององค์กรมีกลยุทธ์ AI ที่ชัดเจนอยู่แล้วหรืออยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งนับเป็นสัญญาณเชิงบวก แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก
· โครงสร้างพื้นฐาน: เครือข่ายยังไม่มีความพร้อมที่จะรองรับเวิร์กโหลด AI โดย 95% ขององค์กรธุรกิจทั่วโลกตระหนักดีว่า AI จะก่อให้เกิดเวิร์กโหลดเพิ่มมากขึ้นต่อโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในประเทศไทย มีองค์กรเพียง 29% เท่านั้นที่มองว่าโครงสร้างพื้นฐานของตนสามารถปรับขนาดได้อย่างยืดหยุ่น ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (56%) ระบุว่าพวกเขามีความสามารถในการปรับขนาดอย่างจำกัด หรือไม่มีเลยเมื่อต้องรับมือกับปัญหาหรือความท้าทายด้าน AI ใหม่ๆ ภายในโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่มีอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ เพื่อรองรับความต้องการด้านพลังงานและการประมวลผลที่เพิ่มสูงขึ้นของ AI บริษัทมากกว่าสองในสาม (71%) จะต้องใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์มากขึ้น เพื่อรองรับเวิร์กโหลด AI ในอนาคต
· ข้อมูล: องค์กรไม่สามารถละเลยความสำคัญของการมี ‘ข้อมูลที่พร้อมสำหรับ AI’ แม้ว่าข้อมูลจะทำหน้าที่เป็นแกนหลักที่สำคัญสำหรับการดำเนินการของ AI แต่กลับเป็นส่วนที่มีความพร้อมน้อยที่สุด โดยมีจำนวน Laggards มากที่สุด (10%) เมื่อเทียบกับเสาหลักอื่นๆ ทั้งนี้ 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดระบุว่า ข้อมูลต่างๆ ถูกแยกส่วนหรือกระจัดกระจายอยู่ในองค์กรของตน ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาท้าทายที่สำคัญ เพราะความยุ่งยากซับซ้อนในการบูรณาการข้อมูลที่อยู่ในระบบต่างๆ และการทำให้ข้อมูลดังกล่าวพร้อมใช้งานสำหรับแอปพลิเคชัน AI สามารถส่งผลกระทบต่อความสามารถในการใช้ประโยชน์จากแอปพลิเคชันเหล่านี้
· บุคลากร: ความต้องการทักษะด้าน AI เผยให้เห็นถึงช่องว่างหรือความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลในยุคใหม่ คณะกรรมการ (93%) และผู้บริหาร (91%) มีแนวโน้มที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก AI มากที่สุด โดยมีการตอบรับในระดับสูงหรือปานกลาง อย่างไรก็ตาม ยังมีงานที่ต้องทำอีกมากเพื่อดึงดูดผู้บริหารระดับกลาง โดย 19% ยอมรับ AI อย่างมีข้อจำกัดหรือไม่ยอมรับเลย และในส่วนของพนักงาน องค์กรเกือบหนึ่งในห้า (22%) รายงานว่าพนักงานไม่ค่อยเต็มใจที่จะปรับใช้ AI หรือต่อต้านการใช้ AI ความต้องการทักษะด้าน AI เผยถึงช่องว่างทางดิจิทัลยุคใหม่ ผู้ตอบแบบสอบถาม 95% กล่าวว่าพวกเขาได้ลงทุนเพื่อยกระดับทักษะของพนักงานที่มีอยู่ ขณะที่ 10% เห็นถึงความเหลื่อมล้ำด้าน AI ที่กำลังเกิดขึ้น โดยตั้งข้อสงสัยว่าจะมีบุคลากรเพียงพอต่อการยกระดับทักษะหรือไม่
· การกำกับดูแล: การปรับใช้นโยบาย AI เริ่มต้นช้า 57% ขององค์กรไม่มีนโยบาย AI ที่ครอบคลุม ซึ่งนับเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข ขณะที่บริษัทต่างๆ พิจารณาและกำกับดูแลปัจจัยทั้งหมดที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการทำลายความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ ปัจจัยที่ว่านี้ได้แก่ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล อธิปไตยด้านข้อมูล หรือสิทธิของการเป็นเจ้าของข้อมูล (Data Sovereignty) และความเข้าใจต่อการปฏิบัติตามกฎระเบียบโลก นอกจากนั้น จะต้องให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องอคติ ความยุติธรรม และความโปร่งใส ทั้งในส่วนของข้อมูลและอัลกอริธึม
· วัฒนธรรมองค์กร: มีการเตรียมการน้อยมาก แต่มีแรงจูงใจสูงในการให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เสาหลักนี้มีจำนวน Pacesetters ต่ำที่สุด (13%) เมื่อเทียบกับหมวดหมู่อื่นๆ โดยส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากข้อเท็จจริงที่ว่า 3.4% ของบริษัทยังไม่ได้จัดทำแผนการจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management Plans) และสำหรับบริษัทที่ทำแผนไว้แล้ว 76% ยังคงอยู่ระหว่างดำเนินการ ผู้บริหารระดับสูงเปิดรับการเปลี่ยนแปลงด้าน AI ภายในองค์กรมากที่สุด และจะต้องเป็นผู้นำในการจัดทำแผนงานที่ครอบคลุมและมีการสื่อสารอย่างชัดเจนไปยังผู้บริหารระดับกลางและพนักงานที่มีอัตราการยอมรับ AI ค่อนข้างต่ำ ข่าวดีก็คือ พนักงานมีแรงจูงใจอยู่ในระดับสูง โดยมากกว่า 8 ใน 10 (81%) กล่าวว่าองค์กรของพวกเขากำลังเปิดรับ AI โดยมีความเร่งด่วนในระดับปานกลางถึงระดับสูง
ดัชนีความพร้อมด้าน AI ของซิสโก้
ดัชนีความพร้อมด้าน AI ของซิสโก้ (Cisco AI Readiness Index) อ้างอิงการสำรวจความคิดเห็นแบบปกปิดสองทาง (Double Blind) สำหรับผู้บริหารฝ่ายธุรกิจและฝ่ายไอทีภาคเอกชนจำนวน 8,161 คนใน 30 ประเทศ ซึ่งดำเนินการโดยหน่วยงานอิสระ และเป็นการสอบถามความเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามจากบริษัทที่มีพนักงาน 500 คนขึ้นไป ดัชนีดังกล่าวประเมินความพร้อมด้าน AI ของผู้ตอบแบบสอบถาม ใน 6 เสาหลักที่สำคัญ ได้แก่ กลยุทธ์ โครงสร้างพื้นฐาน ข้อมูล บุคลากร การกำกับดูแล และวัฒนธรรมองค์กร
บริษัทต่างๆ ได้รับการตรวจสอบโดยใช้เกณฑ์ชี้วัดที่แตกต่างกัน 49 รายการ ครอบคลุมเสาหลักทั้งหก เพื่อกำหนดคะแนนความพร้อมสำหรับแต่ละด้าน รวมถึงคะแนนความพร้อมโดยรวมสำหรับองค์กรของผู้ตอบแบบสอบถาม ตัวบ่งชี้แต่ละรายการได้รับการถ่วงน้ำหนักตามความสำคัญสำหรับความพร้อมในส่วนของเสาหลักที่เกี่ยวข้อง และจากคะแนนโดยรวม ซิสโก้ได้จำแนกองค์กรเป็น 4 กลุ่มตามระดับความพร้อมที่แตกต่างกัน ได้แก่ Pacesetters (มีความพร้อมอย่างเต็มที่), Chasers (มีความพร้อมปานกลาง), Followers (มีความพร้อมอย่างจำกัด) และ Laggards (ไม่ได้เตรียมพร้อม)
เมื่อเร็วๆ นี้ นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช (กลางขวา) ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนมอบเงินจำนวน 38,067,065 บาท สมทบทุนให้กับ มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผ่านดร. บรรจงเศก ทรัพย์โสภา (กลางซ้าย) ผู้อำนวยการมูลนิธิฯ ซึ่งเงินบริจาคดังกล่าว สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีได้ร่วมกันใช้คะแนน KTC FOREVER และบริจาคผ่านบัตรเครดิตเคทีซี เพื่อมอบชีวิตใหม่ให้กับเด็กยากไร้ได้ไปโรงเรียน มีอาหารรับประทานอิ่มท้อง และเติบโตเป็นกำลังสำคัญของชาติต่อไป
ดร. บรรจงเศก กล่าวว่า “มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ.ฯ เป็นองค์การพัฒนาเอกชน ที่ดำเนินพันธกิจในการพัฒนาเด็กด้อยโอกาสในประเทศไทย ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นมาตลอด 65 ปี โดยมีเด็กและเยาวชนกว่า 100,000 คน ได้รับโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผ่านการดำเนินงาน “โครงการอุปการะเด็ก” และ “โครงการพิเศษ” อื่นๆ ของมูลนิธิ ”
โนเกีย นำเสนอกลยุทธ์เทคโนโลยี 2573 ที่ระบุถึงเทรนด์และเทคโนโลยีที่กำลังจะเกิดขึ้นอันมีผลต่อการกำหนดเทคโนโลยี เครือข่าย และโลกใบนี้ในอีกเจ็ดปีข้างหน้า
อ้างอิงจากรายงานด้านปริมาณการใช้งานเครือข่ายทั่วโลกปี 2573 ของโนเกีย (Nokia Global Network Traffic 2030 Report) ชี้ให้เห็นว่าปริมาณการใช้งานข้อมูลในเครือข่าย (Network traffic) กำลังเติบโตและจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงทศวรรษนี้ การขับเคลื่อนการเติบโตที่เป็นเทรนด์ล่าสุด อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning: ML) เทคโนโลยีความจริงขยาย (Extended reality: XR) คู่แฝดดิจิทัล (Digital twins) ระบบอัตโนมัติ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็นดิจิทัลอีกนับพันล้านอย่าง โดยการใช้ศักยภาพแบบทวีคูณของเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อรับมือกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอนาคต เครือข่ายจำเป็นต้องปรับแต่งและเปลี่ยนแปลงด้วยการส่งมอบนวัตกรรมที่ยั่งยืน คงทน และเข้าถึงได้ ซึ่งล้วนต้องอาศัยเครือข่ายที่น่าเชื่อถือ ปลอดภัย และมีความเฉลียวฉลาด
นิชันต์ ภัทรา ประธานเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และเทคโนโลยีของโนเกีย กล่าวว่า “กลยุทธ์เทคโนโลยี 2573 ของโนเกียเป็นการตอบสนองโดยตรงต่อความแพร่หลายของเทคโนโลยีล้ำสมัยที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือความจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตอนนี้เพื่อพัฒนาเครือข่ายให้ตอบรับกับความท้าทายในอนาคตและที่จะเกิดต่อไปในวันข้างหน้า องค์กรต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมการสื่อสารต้องเผชิญกับเทรนด์สามประการที่กำลังจะเกิดขึ้น อย่าง เอไอ คลาวด์ และวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องของการเชื่อมต่อ โดยกลยุทธ์เทคโนโลยี 2573 ของเราจะชี้ให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมเครือข่ายแห่งอนาคตสำหรับลูกค้าของเรารวมถึงภาคอุตสาหกรรม ที่จะนำมาซึ่งโอกาสสำหรับนวัตกรรม ความยั่งยืน ผลิตภาพ และความร่วมมือ ที่มีเพียงเครือข่ายที่เปี่ยมด้วยพลังแบบทวีคูณเท่านั้นที่จะสามารถทำให้มันเป็นจริงได้”
กลยุทธ์เทคโนโลยี 2573 ของโนเกีย ยังระบุถึงเทรนด์และเทคโนโลยีที่กำลังจะเกิดขึ้นอันจะส่งผลกระทบต่อเครือข่ายของผู้ให้บริการ องค์กร และอุตสาหกรรมในช่วงทศวรรษนี้ รวมถึงวิธีการที่โนเกียจะให้ความช่วยเหลือในด้านการพัฒนาเครือข่าย โดยเทรนด์สำคัญที่มีอิทธิพลต่อกลยุทธ์เทคโนโลยี 2573 ของโนเกีย ได้แก่ เอไอ ระบบคลาวด์แบบครบวงจร (Cloud continuum) เมตาเวิร์ส เศรษฐกิจดิจิทัลด้วย API (API economy) อุตสาหกรรม 5.0 อินเทอร์เน็ตสร้างมูลค่า (Internet of Value) ความยั่งยืน และความปลอดภัย โดยเทรนด์ทั้งหมดเหล่านี้ต่างต้องอาศัยเครือข่ายที่มีการตอบสนองและความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม
ในรายงานด้านปริมาณการใช้งานเครือข่ายทั่วโลกในปี 2573 โนเกียแสดงให้เห็นว่าความต้องการด้านปริมาณการใช้งานข้อมูลของผู้ใช้ปลายทางจะเพิ่มขึ้นที่อัตราการเติบโตของพอร์ตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 22% ถึง 25% นับจากปี 2565 ตลอดไปถึงปี 2573 และความต้องการปริมาณการใช้เครือข่ายทั่วโลกถูกคาดการณ์ว่าจะสูงถึง 2,443 ถึง 3,109 เอกซะไบต์ (EB) ต่อเดือนในปี 2573 กรณีที่มีอัตราการใช้งานของคลาวด์เกมมิ่งและ XR ที่สูงขึ้น ในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษนี้ โนเกีย ระบุว่าอัตรา CAGR จะสูงถึง 32% และสำหรับเครือข่ายที่จะตอบรับกับความต้องการใช้งานที่เพิ่มขึ้นในอนาคต เครือข่ายเหล่านั้นจะต้องมีความชาญฉลาดและเป็นอัตโนมัติยิ่งขึ้นผ่านการใช้ประโยชน์จาก AI และ ML ตลอดจนตอบสนองความต้องการและรูปแบบการดำเนินงานที่จะเปลี่ยนแปลงขององค์กรและลูกค้า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่าง XR และคู่แฝดดิจิทัล ผนวกเข้ากับ Web3 และนวัตกรรมอื่น ๆ ที่ได้รับการกล่าวขานมากมายกำลังถือกำเนิดขึ้น จะเป็นจุดเปลี่ยนให้กับธุรกิจ สังคม และโลกใบนี้
เจอร์รี่ แครอน หัวหน้าด้านการวิจัยและวิเคราะห์ระดับโกลบอล ของ โกลบอลดาต้า เทคโนโลยี กล่าวว่า “ภายในปี 2573 ความรุดหน้าของความล้ำสมัยด้านเทคโนโลยีที่เรากำลังประจักษ์กันอยู่ในขณะนี้จะเพิ่มปริมาณการใช้งานบนเครือข่ายอย่างมีนัยสำคัญ กลยุทธ์เทคโนโลยี 2573 ของโนเกีย เน้นความสำคัญกับการใช้งานเอไอ คลาวด์ การเชื่อมต่อ และเศรษฐกิจดิจิทัลด้วย API ซึ่งถือเป็นกรอบการทำงานแบบหนึ่งที่ผู้ให้บริการและองค์กรจะต้องยอมรับ อุตสาหกรรมผู้ให้บริการจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองจากการทำงานแบบเดิม ๆ ที่มีโครงสร้างบูรณาการแบบดั้งเดิมในแนวตั้งไปเป็นโครงสร้างการทำงานแห่งอนาคตที่เป็นโครงสร้างแบบแนวนอนและขับเคลื่อนด้วย API ที่จะช่วยในการส่งมอบบริการที่ยั่งยืน ง่ายดาย สามารถปรับเปลี่ยน มีความเป็นอัตโนมัติ และมีความยืดหยุ่นมากขึ้นได้ ทั้งนี้ โนเกียและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสากรรมนี้จะต้องแสดงให้เห็นว่าเข้าใจถึงปัญหาและศักยภาพด้วยแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถตามที่ระบุไว้ในกลยุทธ์เทคโนโลยี 2573 ของโนเกีย”
“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยนางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต กล่าวว่า เคทีซีพร้อมขับเคลื่อนการท่องเที่ยวช่วงปลายปี เดินหน้าจัดกิจกรรมทางการตลาดที่ตอบโจทย์สมาชิกบัตรฯ ในหลากหลายกลุ่ม อาทิ ครอบครัว เพื่อน หรือคู่รัก โดยนอกเหนือจากหมวดโรงแรมหรือสายการบินแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวในหมวดสวนสนุก สวนน้ำ และอื่นๆ ก็ยังเป็นแม่เหล็กสำคัญในการกระตุ้นการใช้จ่ายของสมาชิกบัตรฯ ที่สำคัญเป็นการพักผ่อนที่ใช้เวลาไม่มาก แต่คุ้มค่าในทุกความสนุก เดินหน้าทำการตลาดร่วมฉลองครบรอบ 43 ปี “สยามอะเมซิ่งพาร์ค” หรือที่รู้จักกันในนาม “สวนสยาม ทะเลกรุงเทพ” ตำนานของสวนสนุกและสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ส่งมอบความสุขให้สมาชิกบัตรฯ ไปกับโปรโมชันในช่วงวันเกิดของสยามอะเมซิ่งพาร์ค รับฟรี ถุงซิปล็อค 1 ชุด มูลค่า 120 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ตั้งแต่ 800 บาทขึ้นไป / เซลส์สลิป (จำกัดจำนวน 1 ชิ้น ต่อ 1 เซลส์สลิป) โดยสามารถรับสิทธิ์ได้ที่จุดแลกรับของสมนาคุณ ณ เคาท์เตอร์จำหน่ายตั๋ว ตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 – วันที่ 19 พฤศจิกายน 2566

นอกจากนี้ สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซียังสามารถรับสิทธิพิเศษ ดังนี้
1. ค่าบัตรผ่านประตูในราคาพิเศษ: บัตรผ่านประตูและสวนน้ำสำหรับผู้ใหญ่รายวันราคา 900 บาท สำหรับ 2 ท่าน (ราคาปกติ 1,000 บาท) / บัตรผ่านประตูและเครื่องเล่นสวนสนุกสำหรับผู้ใหญ่ ไม่จำกัดรอบ 1 วัน สำหรับ 2 ท่าน ราคา 1,300 บาท (ราคาปกติ 1,400 บาท) โดยราคานี้ไม่รวมบัตรผ่านประตูสวนน้ำ จำกัด 1 สิทธิ์แลกซื้อได้สูงสุด 2 แพ็ค ต่อวัน รวม 4 ใบ / วัน
2. รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 12% เมื่อใช้คะแนน KTC FOREVER จำนวนเท่ายอดชำระต่อเซลส์สลิป สามารถลงทะเบียนร่วมรายการได้ที่ www.ktc.co.th/ktctravel ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 – วันที่ 31 ธันวาคม 2566
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 หรือติดตามโปรโมชันของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ
“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งว่าเคทีซีได้รับการประเมิน SET ESG Rating ระดับเรตติ้งสูงสุด AAA ในกลุ่มธุรกิจการเงิน และเป็นสมาชิกของดัชนี SETTHSI เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง และให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน โดยเคทีซีจะมุ่งพัฒนาการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในทุกมิติ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาลที่ดี (Environmental, Social and Governance: ESG) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่อไป
ทั้งนี้ ในปี 2566 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ยกระดับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน (SET ESG Ratings) ในรูปแบบของการจัดเรตติ้งโดยแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ AAA, AA, A และ BBB โดยคัดเลือกบริษัทจดทะเบียนที่มีคะแนนจากการตอบแบบประเมินความยั่งยืนผ่าน 50% ในแต่ละมิติ และผ่านเกณฑ์คุณสมบัติตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด เช่น มีผลกำไรสุทธิ 3 ใน 5 ปีย้อนหลัง ไม่เป็นบริษัทที่ถูกกล่าวโทษหรือได้รับการตัดสินความผิดจากหน่วยงานทางการ เป็นต้น โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะนำผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ไปใช้เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกสมาชิกในดัชนี SETESG เพื่อส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืน และเพื่อช่วยให้ผู้ลงทุน นักวิเคราะห์การลงทุนและผู้จัดการกองทุน มีข้อมูลใช้ประกอบการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น
บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลดำเนินการไตรมาส 3/2566 รายได้รวมปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากผลจากการเติบโตต่อเนื่องทั้งรายได้บริการและยอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น ขณะที่การดำเนินการบูรณาการเป็นไปตามแผนที่วางไว้โดยเฉพาะในเรื่องหลักที่นำไปสู่การผสานร่วมกัน สะท้อนถึงความพยายามที่เห็นผลสำเร็จอีกทั้งการรับรู้ด้านประสิทธิภาพเชิงโครงสร้างนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของ EBTIDA ในไตรมาสที่สามติดต่อกันหลังควบรวมกิจการ
นาย มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ผลประกอบการทางการเงินของทรู คอร์ปอเรชั่น ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่สามภายหลังจากการควบรวมทรูดีแทคผ่านไป 6 เดือน ซึ่งผลประกอบการดังกล่าวไม่เพียงทำได้ตามเป้าหมายแต่นับว่ามากเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ สะท้อนชัดถึงความมุ่งมั่นและความพยายามของเรา การกลับมาของกลุ่มนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ได้ส่งผลเชิงบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจระดับมหภาค ขณะที่สถานการณ์ภาพรวมอุตสาหกรรมดิจิทัลเทคโนโลยีคงการแข่งขันต่อเนื่อง โดยผู้ให้บริการโอเปอเรเตอร์ยังคงต่างมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มตอบโจทย์หลากหลายไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ทั้งนี้บริษัทยังคงดำเนินการเป็นไปตามแผนการรวมธุรกิจที่วางไว้ โดยเริ่มเห็นผลจากการผสานจุดแข็งของทั้งทรู-ดีแทค ตามที่ได้รายงานผ่านวันพบนักลงทุน (Capital Markets Day) ที่ผ่านมา
ในไตรมาสที่ 3/2566 ผลจากการรวมธุรกิจทำให้เรามีรายได้จากการให้บริการสุทธิ 4.4 พันล้านบาท ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ (ค่าใช้จ่ายการลงทุน) CAPEX และ EBITDA สำหรับโครงการดำเนินการรวมโครงสร้างเสาสัญญาณภายใต้โครงข่ายเดียว (Single Grid) มีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนหลังจากการเริ่มดำเนินการไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยภายในช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือน มีการบูรณาการเสาสัญญาณไปแล้วมากกว่า 300 แห่ง และปรับปรุงจุดที่ซ้ำซ้อน 100 แห่ง ทำให้มีส่วนช่วยลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากประสิทธิภาพการใช้พลังงานดีที่ยิ่งขึ้น อีกทั้งได้บริหารค่าเช่าได้ดียิ่งขึ้น โดยโครงการ Single Grid อัจฉริยะที่เพิ่มจำนวนสถานีฐาน ตอกย้ำความตั้งใจของบริษัทที่มุ่งส่งมอบบริการที่ดียิ่งกว่าให้แก่ลูกค้าของเราที่เติบโตขึ้นผ่านการบริหารจัดการจำนวนสถานีฐานและการขยายเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการดำเนินการ Single Grid จะเดินหน้าอย่างเต็มที่ในไตรมาสที่ 4 ตามแผนที่กำหนดไว้ ทั้งนี้เรายังคงเดินหน้าตามแผนงานที่สอดคล้องตามกลยุทธ์ของบริษัท บริษัทยังสามารถบรรลุรายได้ของการผสานพลังทรูดีแทคด้วยการนำเสนอบริการที่รวมเทคโนโลยีด้านการสื่อสารทั้งในแบบเคลื่อนที่และประจำที่ (FMC) ส่งผลให้มีผู้ใช้บริการ FMC เพิ่มขึ้น 8% หลังจากการควบรวม และมีรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ (ARPU) กลุ่มนี้เพิ่มขึ้น 10% ทรู คอร์ปอเรชั่นยังคงมุ่งมั่นให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ที่จะใช้ประโยชน์สูงสุดจากการผสานความแข็งแกร่งในการดำเนินการทางการตลาดร่วมกันตามแผน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการสร้างมูลค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วน"
นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ดีแทคและทรูยังคงเป็นแบรนด์ชั้นนำในใจของนักท่องเที่ยวและกลุ่มแรงงานต่างชาติ โดยเรายังคงนำศักยภาพเทคโนโลยีทั้งการวิเคราะห์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาออกแบบบริการให้ตรงใจเฉพาะแต่ละกลุ่มลูกค้า สามารถตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ซึ่งเราได้เห็นรายได้เฉลี่ยต่อวันของนักท่องเที่ยวเติบโตขึ้นถึง 3.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และคะแนนความพึงพอใจลูกค้าสูงขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการรวมธุรกิจ อันเป็นผลจากความพยายามร่วมกันที่จะให้บริการลูกค้ามุ่งเน้นการส่งมอบสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันได้มีการแลกสิทธิประโยชน์ไปแล้ว 120 ล้านรายการภายใต้โปรแกรมสิทธิพิเศษของทั้ง ทรูและดีแทค และ ณ สิ้นสุดของไตรมาสที่ 3/2566 ทรู คอร์ปอเรชั่นมีฐานผู้ใช้งานดิจิทัลรวมประมาณ 15 ล้านราย สะท้อนความเป็นผู้นำด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่ง
สำหรับการดำเนินงานเชิงพาณิชย์นั้น เราประสบความสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิภาพถึง 56% ด้วยการใช้แพลตฟอร์มอันหลากหลายเป็นช่องทางในการให้บริการลูกค้าในรูปแบบ Omni Channel ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปี 2566 ทำให้มีจำนวนช้อปที่สามารถนำเสนอสินค้าและบริการทั้งหมดแก่ลูกค้าทั้งดีแทคและทรูเพิ่มขึ้น อันนำไปสู่การยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้งนำมาซึ่งประสิทธิผลในการทำงานที่เพิ่มมากขึ้น สามารถบูรณาการได้อย่างไร้รอยต่อ รวมทั้งลดการดำเนินงานที่ซ้ำซ้อน ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความครอบคลุมของ 5G 90% และ 4G 99% ภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ทำให้ทรูยังคงเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ที่มีสัญญาณครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ โดยไตรมาสที่ 3/ 2566 มีจำนวนผู้ใช้งาน 5G มากที่สุดถึง 9.4 ล้านคน สะท้อนให้เห็นว่าเครือข่าย 5G ของทรูเป็นเครือข่ายที่ได้รับการชื่นชอบมากที่สุดในไทย ซึ่งความตั้งใจที่จะเพิ่มประสบการณ์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่องนำมาสู่การใช้งานดาต้าทั้ง 4G และ 5G ของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา พร้อมกับการเพิ่มรายได้ ARPU ของลูกค้า 5G มาโดยตลอด"
ดีแทคและทรูยังคงเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าไว้ใจอย่างต่อเนื่องทั้งประสบการณ์ใช้งานและตอบสนองความคุ้มค่าตรงความต้องการ ในไตรมาสที่สามนี้ มีจำนวนผู้ใช้บริการมือถือเพิ่มขึ้น 254,000 ราย รวมเป็น 51.4 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสที่ผ่านมา และ จำนวนผู้ใช้งาน 5G สูงถึง 9.4 ล้านราย เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสที่ 2/2566 โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในการใช้งานและการเพิ่มขึ้นของ ARPU 10-15% โดยมาจากปัจจัยหลักคือการจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารพร้อมกับบริการร่วมกัน
นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้นสำหรับไตรมาสที่ 3/2566 โดยได้แรงหนุนจากรายได้บริการที่เพิ่มขึ้นและจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง EBITDA ที่เป็นมาตรฐานดีขึ้นเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ โดยได้ประโยชน์จากการผสานรวมกัน และการริเริ่ม
ดำเนินการสู่การเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องตามแผนที่วางไว้ ตอกย้ำสถานภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท![]()
รายได้จากการดำเนินงานรวมปรับเพิ่มขึ้น 2.4% จากไตรมาสก่อน โดยได้แรงหนุนจากรายได้จากการบริการและยอดขายผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น รายได้จากการบริการเพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ) โดยได้แรงหนุนจากกลุ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่และโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (Pay TV) พร้อมกับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของจำนวนผู้ใช้บริการ ทั้งนี้ การเติบโตแบบแข็งแกร่งส่งผลให้มีจำนวนผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มเป็น 51.4 ล้านเลขหมาย ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ในขณะที่รายได้จากบริการมือถือเพิ่มขึ้น 1.4% (QoQ) ซึ่งได้ผลดีจากกลุ่มนักท่องเที่ยวและกลุ่มใช้แรงงานข้ามชาติ ควบคู่ไปกับการปรับข้อเสนออย่างเหมาะสม โดยรายได้จากโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (Pay TV) เพิ่มขึ้น 5.8% (QoQ) โดยได้แรงหนุนหลักจากคอนเสิร์ต สำหรับยอดขายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น 18.7% (QoQ) จากการเปิดตัว iPhone ใหม่ในไตรมาส 3/2566
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (D&A) เพิ่มขึ้น 7.7% จากไตรมาสที่ผ่านมา จากการเพิ่มขึ้นด้านต้นทุนขายควบคู่กับผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น 15.1% ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time positive impact) ในไตรมาส 2/2566 ทั้งนี้ มีการควบคุมค่าใช้จ่ายส่วนอื่นของการดำเนินงานเป็นอย่างดี จากการริเริ่มด้านประสิทธิภาพของโครงสร้างและประโยชน์จากการผสานรวมกัน ขณะที่การปรับปรุง (Normalized) EBITDA เพิ่มขึ้น 2.0% (QoQ) ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันของการเติบโตนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ การปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA ได้รับแรงหนุนจากรายได้ที่เติบโตขึ้น และการรับรู้ผลประโยชน์จากการผสานรวมอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลอัตรากำไร EBITDA รายได้รวมอยู่ที่ 54.1% โดยขาดทุนสุทธิหลังหักภาษี จำนวน 1,598 ล้านบาท ปรับฟื้นขึ้น 31.1% (QoQ) รวมค่าใช้จ่ายผสานรวมกันในไตรมาส เงินลงทุน หรือ CAPEX ในไตรมาส 3/2566 อยูที่ 3,481 ล้านบาท โดยได้รับประโยชน์จากการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพจากการควบรวมกิจการ ขณะเดียวกัน ในด้านความยั่งยืน ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงครองอันดับ 1 ดัชนีความยั่งยืนระดับโลก DJSI กลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมของโลก 5 ปีซ้อน และคงสถานะสมาชิกดัชนีความยั่งยืน DJSI ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 แสดงถึงความมุ่งมั่นด้านความรับผิดชอบครอบคลุมทั้ง 3 มิติ ทั้งมิติด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล
สำหรับการคาดการณ์ในปี 2566 บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงแนวโน้มสำหรับปี 2566 ซึ่งคิดเป็นระยะเวลา 10 เดือนของการดำเนินงานนับจากวันที่ควบรวมกิจการเสร็จสิ้น โดยคาดว่า EBITDA จะมีการเติบโตที่เป็นตัวเลขหลักเดียวในระดับต่ำ-ปานกลาง (low-to-mid single digit) และยังคงแนวโน้มที่ทรงตัวสำหรับรายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) ทั้งนี้ เงินลงทุน หรือ CAPEX ประมาณการณ์ไว้ที่ 25,000 – 30,000 ล้านบาท ตามที่เคยประกาศไว้
ตัวเลขสำคัญทางการเงินในไตรมาส 3 ปี 2566
· รายได้จากบริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC (การจัดประเภทใหม่) จำนวน 39,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.4% (QoQ)
· EBITDA อยู่ที่ 21,443 ล้านบาท ลดลงราว 3.9% (QoQ)
· อัตรากำไร EBITDA (เมื่อเทียบกับรายได้รวม) อยู่ที่ 54.1%
· ขาดทุนสุทธิ จำนวน 1,598 ล้านบาท
บรรเทิง ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการบริษัทและประธานคณะกรรมการบริหาร กลุ่มมิตรผล รับรางวัลสุดยอดผู้นำองค์กรแห่งปี “CEO of the Year 2023” ในสาขา Best CEO in Agricultural Sustainability Achievement หรือ ผู้บริหารองค์กรยอดเยี่ยมด้านการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความยั่งยืนในภาคเกษตรอุตสาหกรรม จัดโดยหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ตอกย้ำความสำเร็จที่เกิดจากความมุ่งมั่นและการลงมือทำจริงของกลุ่มมิตรผล เพื่อสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ขับเคลื่อนภาคเกษตรไทยให้ทันสมัยและสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล โดยมีคุณกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในการมอบรางวัล ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อเร็ว ๆ นี้
![]()
รางวัล CEO of The Year 2023 นับเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จของกลุ่มมิตรผล ภายใต้การบริหารของคุณบรรเทิง ว่องกุศลกิจ ที่ได้สั่งสมประสบการณ์และเติบโตมากับธุรกิจในภาคเกษตรมากว่า 4 ทศวรรษ โดยมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและภาคการเกษตรของไทย นำมาสู่บทบาทสำคัญในการพลิกโฉมจากการทำไร่อ้อยแบบดั้งเดิม สู่การทำไร่อ้อยสมัยใหม่ในชื่อ “มิตรผล โมเดิร์นฟาร์ม” (Mitr Phol ModernFarm) ที่สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการทำไร่อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มผลกำไร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนภาคเกษตรไทยให้มีส่วนช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับโลกและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไร้ค่าให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า หรือ From Waste to Value Creation โดยภาคเกษตรสามารถต่อยอดสู่การผลิตพลังงานสีเขียว (Green Energy) และผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (Bio-based) ที่จะมีส่วนช่วยลดผลกระทบจากภาวะโลกรวน (Climate Change) เพื่อสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้แก่ภาคเกษตรของไทยต่อไป
ทั้งนี้ การจัดงาน Bangkok Post CEO of The Year 2023 ในปีนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจและสร้างการรับรู้ถึงเรื่องราวของผู้บริหารองค์กรไทยที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ท่ามกลางสถานการณ์อันท้าทายในโลกยุคปัจจุบัน รวมถึงมีศักยภาพและความโดดเด่นในด้านวิสัยทัศน์ การวางแผนกลยุทธ์ และการบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างยอดเยี่ยมในสาขาวิชาชีพและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งนอกเหนือจากความสำเร็จในเรื่องการดำเนินธุรกิจแล้ว การพิจารณายังรวมไปถึงการมีส่วนสำคัญในการส่งมอบคุณประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ซัมซุงเปิดงานซัมซุง AI ฟอรัม 2023 เพื่อเป็นพื้นที่นำเสนอความก้าวหน้าล่าสุดด้าน AI และวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างเทคโนโลยี เซมิคอนดักเตอร์ในยุคต่อไปของ ซัมซุง
โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และวิศวกรรมคอมพิวเตอร์จากทั่วโลกเข้าร่วมกว่า 1,000 คน
งานวันแรกของฟอรัมจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 7 ที่ศูนย์ประชุมซูวอน จังหวัดคยองกี ประเทศเกาหลี โดยจัดภายใต้หัวข้อหลัก “Large-scale AI for a better tomorrow” โดยมีสถาบันเทคโนโลยีขั้นสูงของซัมซุง SAIT (the Samsung Advanced Institute of Technology) เป็นเจ้าภาพ ในขณะที่งานวันที่สองนั้น จัดขึ้นโดยมีซัมซุงรีเสิร์ชเป็นเจ้าภาพ ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาของซัมซุงในกรุงโซล ประเทศเกาหลี
![]()
คเย ฮยุน คยุง ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแผนกโซลูชันอุปกรณ์ ซัมซุงอิเลคโทรนิคส์ กล่าวในตอนหนึ่งของคำกล่าวเปิดงานว่า “ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เทคโนโลยี Generative AI เป็นสิ่งที่กำลังถูกจับตามอง เนื่องจากเทคโนโลยีนี้ช่วยเสริมศักยภาพให้เราสามารถค้นพบโซลูชันใหม่ๆ หรือแก้ไขอุปสรรคที่แก้ไขไม่ได้มานาน อย่างไรก็ดีความต้องการในการวิจัยเชิงลึกทั้งด้านความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และความยั่งยืนของ AI นั้นก็เพิ่มสูงขึ้นไปพร้อมกันด้วย”
![]()
ผู้พูดหลักในงาน SAIF 2023 จากซ้ายไปขวา; ศาสตราจารย์โยชัว เบนจิโอ มหาวิทยาลัยมอนทรีออล,คเย ฮยุน คยุง ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แผนกโซลูชันอุปกรณ์ ซัมซุงอิเลคโทรนิคส์, จิม เคลเลอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เทนส์ทอร์เรนท์
งานในวันแรกนั้นได้พูดถึงสองหัวข้อหลัก ดังนี้ ความปลอดภัยของ AI โดยศาสตราจารย์โยชัว เบนจิโอ จากมหาวิทยาลัยมอนทรีออล เสนอแนวทางการใช้การเรียนรู้ของเครื่องจักรเพื่อปกป้องโมเดลภาษาขนาดใหญ่ไม่ให้พัฒนาไปสู่ทิศทางที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้พัฒนา และการพัฒนาสารกึ่งตัวนำโดยใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ โดย จิม เคลเลอร์ ประธาน
เจ้าหน้าที่บริหารของเทนส์ทอร์เรนท์ เสนอแนวทางการใช้สถาปัตยกรรมชุดคำสั่งระบบเปิด (open instruction set architecture) สำหรับหน่วยประมวลผลประเภท RISC-V เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมด้านการออกแบบฮาร์ดแวร์ของ AI

ในงานวันที่สองนั้นมีทีมงานของซัมซุงรีเสิร์ชเป็นผู้นำและมี Generative AI เป็นหัวใจหลักของงาน การเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี Generative AI ถือเป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ที่คาดหมายกันว่าจะปรับเปลี่ยนทั้งวิถีชีวิตและการทำงาน จึงได้มีการจัดฟอรัมที่มีผู้เชี่ยวชาญด้าน AI จากหลากหลายอุตสาหกรรมและจากแวดวงวิชาการมาร่วมอภิปรายแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนา นำเสนอเทรนด์ล่าสุดทางเทคโนโลยี และซัมซุงเกาส์ โมเดล Generative AI ที่พัฒนาโดยซัมซุงรีเสิร์ช
“เรายังคงมุ่งมั่นสนับสนุนและร่วมมือทางด้าน Generative AI กับทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาควิชาการ” แดฮยุน คิม รองประธานบริหารของศูนย์ AI สากล ซัมซุงรีเสิร์ช (the Samsung Research Global AI Center) กล่าวในตอนหนึ่งของคำกล่าวเปิดงาน
ในช่วงการอภิปรายช่วงแรกของภาคเช้า ดร. ฮยุง วอน ชุง จาก OpenAI บริษัทวิจัยและประยุกต์ใช้ AI อธิบายถึงกระบวนการทำงานของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (large language models - LLMs) ในช่วงหนึ่งของคำกล่าวหัวข้อ “โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (ในปี 2023)” อีกทั้งยังกล่าวถึงอุปสรรคที่ OpenAI พบในแต่ละขั้นตอน และยังคาดการณ์ทิศทางในอนาคต ตามด้วย
เจสัน เหว่ย นักวิจัยของ OpenAI และผู้เขียนบทความวิจัยเรื่อง “ห่วง-โซ่-ความคิด Chain-of-Thoughts” นำเสนอถึงเหตุผลที่โมเดลภาษาขนาดใหญ่จะช่วยผลักดันการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ด้านAI ในการนำเสนอหัวข้อ “กระบวนทัศน์ใหม่ในยุครุ่งเรืองของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ - New Paradigms in the Large Language Model Renaissance.”
นอกจากนี้ ฮองซุก เซา ศาสตราจาย์จากมหาวิทยาลัยเกาหลี ขึ้นกล่าวในหัวข้อ “ก้าวสู่ AI แบบมัลติโมเดลที่สนทนาได้ -- Towards multimodal conversational AI.” โดยนำเสนอเทรนด์ต่างๆ ด้าน AI แบบมัลติโมเดล ซึ่งสามารถประมวลผลข้อมูลหลากหลายประเภท รวมไปถึงข้อความและภาพได้พร้อมกัน
ซึง วอน ฮวาง ศาสตราจาย์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ได้นำเสนอกระบวนการค้นหาและกระบวนการสร้างโค้ดที่มีประสิทธิภาพโดยมีรากฐานจาก Generative AI โดยมีทีมของ ศาสตราจาย์กุนแฮ ร่วมสาธิตการใช้กระบวนการมัลติโมเดลเพื่อช่วยกระบวนการการให้เหตุผลเชิงปริภูมิ (spatial reasoning)
ร่วมด้วยศาสตราจาย์มินจอน โซ จากสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งเกาหลี (the Korea Advanced Institute of Science and Technology -- KAIST) แนะนำเกี่ยวกับขีดความสามารถทางการประเมินผลแบบละเอียดที่อยู่ในโมเดลภาษาต่างๆ นอกจากนี้ยังมีทีมงานนำโดย ศาสตราจาย์จองฮยุน ชอย จากมหาวิทยาลัยยอนเซ ขึ้นกล่าวเกี่ยวกับเทคโนโลยีการเปลี่ยนข้อความเป็นภาพ ซึ่งใช้เทคโนโลยีเพื่อทำความเข้าใจบริบทในหลากหลายประโยคที่ยาวและซับซ้อนให้เป็นภาพ
ผู้ร่วมงานจะได้รับชมการนำเสนอซัมซุงเกาส์และเทคโนโลยี AI ซึ่งโมเดลปัญญาประดิษฐ์ของซัมซุงประกอบด้วยส่วน โมเดลภาษา (Samsung Gauss Language) โมเดลโค้ด (Samsung Gauss Code) และโมเดลด้านภาพ (Samsung Gauss Image) โดยชื่อซัมซุงเกาส์มาจากชื่อของคาร์ล ฟริดริช เกาส์ นักคณิตศาสตร์ระดับตำนานผู้คิดค้นทฤษฎีการแจกแจงแบบปกติ (normal distribution theory) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการเรียนรู้ด้วยเครื่องจักรและAI การใช้ชื่อซัมซุงเกาส์ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์สูงสุดของซัมซุงสำหรับโมเดล AI เหล่านี้ โดยใช้ปรากฎการณ์และความรู้ทั่วมาช่วยยกระดับวิถีชีวิตของผู้บริโภคทั่วโลก
โมเดลภาษา (Samsung Gauss Language) เป็นโมเดล Generative ด้านภาษาที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานโดยช่วยเสริมการทำงานต่างๆ เช่น การเขียนอีเมล สรุปเอกสาร และแปลเนื้อหา นอกจากนี้ เมื่อผสานโมเดลนี้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ โมเดลนี้ยังช่วยเสริมประสบการณ์ให้กับผู้บริโภคโดยช่วยให้ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ได้แบบอัจฉริยะมากยิ่งขึ้น
โมเดลโค้ด Samsung Gauss Code และระบบช่วยโค้ด (code.i) ทำงานโดยใช้โมเดลซัมซุงเกาส์ โค้ดเป็นพื้นฐานเพื่อพัฒนาสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ของซัมซุง โมเดลนี้ช่วยให้นักพัฒนาสามารถเขียนโค้ดได้ง่ายและเร็วขึ้น โมเดลนี้รองรับฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การอธิบายโค้ด และการสร้างกรณีทดสอบต่างๆ โดยใช้ส่วนประสานผู้ใช้แบบอินเตอร์แอคทีฟ
โมเดลด้านภาพ Samsung Gauss Image เป็นโมเดล Generative ด้านภาพที่สามารถสร้างและแต่งภาพแบบครีเอทีฟได้ รวมถึงการเปลี่ยนสไตล์และแต่งเติมสิ่งต่างๆ นอกจากนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนภาพจากความละเอียดต่ำให้สูงขึ้นได้
ปัจจุบันซัมซุงนำซัมซุงเกาส์ มาใช้เพื่อเพิ่มผลิตภาพให้กับพนักงาน และพร้อมจะขยายการใช้งานไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ ซัมซุงเพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานใหม่ๆ ในอนาคตอันใกล้
ซัมซุงไม่เพียงแต่พัฒนาเทคโนโลยี AI แต่ยังพัฒนาโครงการต่างๆ ที่จะช่วยให้การใช้AIเป็นสิ่งที่ปลอดภัย โดยทีมเอไอเรดทีม (AI Red Team) ของซัมซุงจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถกำจัดหรือติดตามภัยคุกคามทั้งด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยที่อาจจะเกิดขึ้นในกระบวนการพัฒนาทุกขั้นตอน ทั้งการรวบรวมข้อมูลไปจนถึงการพัฒนาโมเดล AI การเริ่มประยุกต์ใช้โมเดล และผลลัพธ์ที่มาจาก AI โดยคำนึงถึงหลักการจริยธรรมด้าน AI
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนา An Afternoon with Howard Marks: Navigating Market Realities Through Sea Change ฉายภาพการลงทุนท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ (Sea Change) ผ่านมุมมองกูรูการลงทุนระดับโลกอย่าง Howard Marks และ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์ชั้นแนวหน้าของประเทศ โดยงานสัมมนานี้จัดขึ้นสำหรับกลุ่มลูกค้า Wealth Management แบบเอกซ์คลูซีฟ เพื่อยกระดับการลงทุนและการบริหารความมั่งคั่งไปสู่โอกาสระดับโลก ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา
![]()
นาย Howard Marks ผู้ก่อตั้งร่วมและประธานร่วม บริษัท โอ๊คทรี แคปิตอล แมเนจเมนท์ บริษัทจัดการสินทรัพย์ผู้นำด้านการลงทุนทางเลือก (Alternative Investment) ของโลกกล่าวว่าปัจจุบันตลาดทุนอาจกำลังประสบกับ “การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่” (Sea Change) ครั้งที่ 3 การเปลี่ยนผ่านครั้งแรกเกิดขึ้นในช่วงปี 1970-1980 ที่นักลงทุนได้เปิดรับแนวคิดว่าสามารถลงทุนในคุณภาพสินทรัพย์ระดับใดก็ได้ภายใต้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับความเสี่ยง การเปลี่ยนผ่านครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในช่วงปี 1980-1990 หลังจากอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูง และธนาคารกลางสหรัฐต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงร้อยละ 20 เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ก่อนจะปรับลดก่อให้เกิดยุคของอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่อง และทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดดมากว่า 40 ปี สำหรับในปัจจุบัน สภาวะเงินเฟ้อระดับสูง และอัตราดอกเบี้ยสูงอาจนับเป็นการเปลี่ยนผ่านสำคัญครั้งใหญ่ครั้งที่ 3 ที่นักลงทุนจำต้องปรับแนวคิดต่างไปจากเดิม อัตราส่วนระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยงที่เปลี่ยนไปสำหรับสินทรัพย์ทุกประเภท ทำให้กลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ (Debt Investing) มีความน่าสนใจ และบ่งบอกว่ากลยุทธ์การลงทุนที่สามารถใช้ได้ดีในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา อาจจะไม่ใช่กลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในอนาคตอีกต่อไป
ด้าน ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่าผลกระทบของการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ระดับโลกที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง ล้วนส่งผลกระทบมาถึงไทยไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากประเด็นการเปลี่ยนผ่านระดับโลก ประเทศไทยยังมีความท้าทายเฉพาะตัว อันเนื่องมาจากอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจที่ลดลง การพึ่งพาอุปสงค์จากภายนอกที่มากขึ้น และความสามารถในการแข่งขันลดลง ดังนั้น การรับมือกับปัจจัยภายนอกอย่างประเด็นภูมิรัฐศาสตร์โลก การทวงคืนตลาดการส่งออก การฟื้นคืนจำนวนนักท่องเที่ยว ตลอดจนการบริหารอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี และการปฏิรูปเชิงโครงสร้างในด้านการศึกษา พลังงาน สิ่งแวดล้อม การเกษตร การเมือง หรือโครงสร้างประชากรจึงเป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องพิจารณาเพื่อเตรียมรับกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้น