December 18, 2025

เคทีซีตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีบัตรเครดิต เปิดตัว “บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล” ครั้งแรกในไทยกับนวัตกรรมความปลอดภัยขั้นกว่าทั้งโลกออนไลน์และออฟไลน์ เอาใจสมาชิกสายออนไลน์ด้วยฟีเจอร์ Digital First และ Dynamic CVV เปิดให้สมาชิกเลือกรับบัตรพลาสติกใสไม่มีหมายเลขบนหน้าบัตรและแถบแม่เหล็ก ไร้กังวลจากการถูกโจรกรรมข้อมูลสำคัญ พร้อมพัฒนาช่องทางสมัครบัตรฯ ด้วยตัวเองผ่านแอป KTC Mobile และช่องทางออนไลน์ มั่นใจสิ้นปีมีจำนวนสมาชิกถือบัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัลไม่ต่ำกว่า 100,000 ใบ นางประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการศึกษาพฤติกรรมสมาชิกพบว่ามีการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์สูงขึ้นทุกปีและคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีสัดส่วนจำนวนรายการใช้จ่ายออนไลน์ทั้งสิ้นประมาณ 55% ของยอดรายการใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ทั้งพอร์ต และสิ่งที่เป็นกังวลที่สุดของสมาชิกคือเรื่องความปลอดภัยในการใช้บัตรฯ ที่สมาชิกต้องกรอกข้อมูลสำคัญบนหน้าบัตรฯ ให้กับร้านค้าออนไลน์ หรือเมื่อต้องยื่นบัตรฯ ให้กับร้านค้ากรณีชำระค่าสินค้าและบริการ เพื่อให้สมาชิกผู้ถือบัตรฯ รู้สึกปลอดภัยเมื่อมีการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เคทีซีจึงได้เปิดตัว “บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล” (KTC DIGITAL CREDIT CARD) นวัตกรรมของความปลอดภัยขั้นกว่าครั้งแรกในประเทศไทยด้วย 3 จุดเด่น ดังนี้

1) Digital First สมาชิกสามารถใช้จ่ายได้ทันทีหลังได้รับการอนุมัติกับการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงการสแกนจ่ายด้วย QR Pay และผูกบัตรฯ กับระบบชำระเงินบนอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กูเกิล เพย์ (Google Pay) หรือสวอทช์ เพย์ (Swatch Pay) เป็นต้น

2) Dynamic CVV ตัวเลขหลังบัตรฯ ที่เป็นรหัสความปลอดภัย จะเปลี่ยนแปลงทุกครั้งที่มีการร้องขอ และสามารถใช้งานได้ภายใน 24 ชั่วโมงต่อการขอ 1 ครั้ง (ไม่จำกัดจำนวนการขอ) เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสมาชิกเมื่อใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์หรือผูกบัตรฯ ที่ร้านค้าออนไลน์ ด้วยเลขหลังบัตร (CVV) เพื่อยืนยันการชำระค่าสินค้าหรือบริการ

3) Numberless Card บัตรพลาสติกใสโปร่งแสง ไม่มีหมายเลขบนหน้าบัตร และไร้แถบแม่เหล็ก เพื่อเสริมความปลอดภัยเมื่อสมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ที่ร้านค้าทั่วไป โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวบนหน้าบัตรฯ ขณะที่นางสาวสุชชวี บรรจบดี ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดดิจิทัล “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเปิดตัว “บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล” ในครั้งนี้ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับสมาชิก ด้วยจุดเด่นความเป็น Digital First จึงสามารถตอบโจทย์สมาชิกที่นิยมใช้จ่ายออนไลน์ด้วยความปลอดภัยขั้นสุด แต่หากสมาชิกต้องการบัตรพลาสติกก็สามารถแสดงความประสงค์ขอรับบัตรฯ ผ่านแอป KTC Mobile ได้ด้วยตนเอง ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่โหลดแอป KTC Mobile ทั้งสิ้น ประมาณ 2.2 ล้านราย คิดเป็น 88% ของจำนวนสมาชิกทั้งพอร์ต โดยแอป KTC Mobile จัดเป็นช่องทางที่สมาชิกเข้ามาใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนพฤติกรรมของสมาชิกที่มีความคุ้นชินกับดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ดังนั้นแอป KTC Mobile จึงถูกออกแบบให้เป็นช่องทางในการขอเพิ่ม “บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล” สำหรับสมาชิกปัจจุบัน เพียงกดปุ่มสมัครบัตรฯ และเมื่อได้รับการอนุมัติ ก็สามารถใช้จ่ายทางออนไลน์ได้ทันที

ด้านนางสาวสิริกัลยา สุธัญญพฤทธิ์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายบริหารช่องทางขายออนไลน์ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เคทีซีมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการตอบสนองประสบการณ์ของสมาชิก (Customer Experience) เป็นหลัก สำหรับกลยุทธ์การรับสมัครสมาชิก “บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล” ซึ่งกลุ่มเป้าหมายคือ คนรุ่นใหม่ที่คุ้นชินกับการทำธุรกรรมดิจิทัลด้วยตนเอง เคทีซีจึงได้พัฒนาช่องทาง Electronic Application บุคคลที่สนใจสามารถยื่นเอกสารสมัครบัตรฯ ด้วยตัวเองทางออนไลน์ ผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยสามารถดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ทุกที่ทุกเวลา ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของมนุษย์เงินเดือน หรือคนทำงานรุ่นใหม่ที่มีเวลาน้อย สามารถเลือกที่จะดำเนินการทุกอย่างด้วยตนเอง อีกทั้งยังเสริมความมั่นใจเรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะเอกสารที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนตัว สามารถสมัครผ่านเว็บไซต์ของเคทีซีหรือที่ KTC LINE Official account (@ktc_card) ขั้นตอนการสมัครบัตรฯ ง่ายและกระชับ ลดระยะเวลาการส่งเอกสาร เพียงกรอกข้อมูลและโหลดเอกสารครบถ้วน ฝ่ายอนุมัติก็พร้อมที่จะพิจารณาใบสมัครทันทีและจะส่งผลการพิจารณาผ่าน SMS ตามเบอร์ที่ได้แจ้งไว้ หรือสามารถเข้ามาตรวจสอบผลด้วยตนเองผ่านช่องทางที่ได้สมัครไว้

สำหรับการเปิดตัวในครั้งนี้ สมาชิกสามารถเลือกสมัคร “บัตรเครดิต เคทีซี ดิจิทัล แพลทินัม วีซ่า” (KTC DIGITAL PLATINUM VISA) หรือ “บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล แพลทินัม มาสเตอร์การ์ด” (KTC DIGITAL PLATINUM MASTERCARD) ได้ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2567 เป็นต้นไป โดยเคทีซีมั่นใจว่า

เทคโนโลยีและความปลอดภัยขั้นกว่าของบัตรเครดิตดังกล่าวจะแก้ปัญหาด้านความกังวลต่างๆ ให้กับสมาชิก และส่งผลให้มีจำนวนผู้ถือ “บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล” รวม 100,000 ใบภายในสิ้นปีนี้

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE 02 123 5000 หรือติดตาม โปรโมชันของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th

การ์ทเนอร์เผยการคาดการณ์เชิงกลยุทธ์สำคัญของปี 2567 และถัดจากนั้น โดยได้สำรวจผลกระทบของ Generative AI (GenAI) ที่เปลี่ยนแนวคิดของผู้นำและผู้บริหารในทุกมิติ พร้อมกลยุทธ์การสร้างองค์กรที่ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้เพื่อพร้อมรับมือกับอนาคตได้ดียิ่งขึ้น

แดริล พลัมเมอร์ รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “GenAI ให้โอกาสแก่เราในการบรรลุผลสำเร็จในสิ่งที่มนุษย์ไม่เคยทำได้มาก่อน โดย CIO และผู้บริหารอื่น ๆ ในองค์กรจะยอมรับความเสี่ยงของการนำ GenAI มาใช้เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน”

“ปีนี้เป็นปีเต็ม ๆ ปีแรกที่ GenAI เป็นหัวใจสำคัญของทุกการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ และการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนผ่านเทคโนโลยีอื่น ๆ โดย GenAI ยังทลายกรอบเดิม ๆ และสร้างความตื่นตัวต่ออุตสาหกรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ”

ในปี 2570 มูลค่าและประสิทธิภาพการสร้างสรรค์ผลงานจาก AI จะได้รับการยอมรับว่าเป็นปัจจัยบ่งชี้การเติบโตทางเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ รัฐบาลหลายประเทศมีความมุ่งมั่นและกำลังจัดลำดับความสำคัญของกลยุทธ์และแผนงานด้าน AI โดยยอมรับว่า AI กลายเป็นเทคโนโลยีหลักของภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งการรวม AI เข้าไว้ในการวางแผนระยะยาวระดับชาติกำลังได้รับแรงหนุนจากการออกกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมแนวคิดริเริ่มด้าน AI

 

“การนำ AI มาไว้ในแผนพัฒนาระดับชาติจะทำให้ AI นั้นมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นและกลายเป็นตัวเร่งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจดิจิทัล การนำ AI มาใช้ในโครงการขนาดใหญ่ให้ประสบความสำเร็จนั้นจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลากหลายภาคส่วน แสดงให้เห็นถึงความสามารถของประเทศในการระดมสรรพกำลังและทรัพยากรต่าง ๆ” แดริล กล่าว

ในปี 2570 เครื่องมือ GenAI ต่าง ๆ จะถูกนำไปใช้เพื่ออธิบายการทำงานของแอปพลิเคชันทางธุรกิจแบบเดิมและทำงานทดแทนได้อย่างเหมาะสม ช่วยลดต้นทุนของการปรับให้ทันสมัยลงถึง 70%

ประสิทธิภาพและความสามารถของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ทำให้ CIO มีโอกาสค้นหากลไกที่น่าเชื่อถือและการปรับปรุงแอปพลิเคชันทางธุรกิจแบบเดิมให้ทันสมัยอย่างคุ้มค่า ผู้บริหาร CIO สามารถสร้างบททดสอบเฉพาะเพื่อทดสอบผลลัพธ์ที่สร้างโดย GenAI LLMs ในขณะเดียวกันการพัฒนาการจัดการการเปลี่ยนแปลงและพัฒนากระบวนการยกระดับทักษะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้พนักงานได้สูงสุดตลอดวงจรการปรับปรุงให้ทันสมัย”

ภายในปี 2571 องค์กรธุรกิจจะใช้เงินมากกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปกับการรับมือกับข้อมูลอันตรายต่าง ๆ โดยเป็นการแบ่งงบประมาณการตลาดและความปลอดภัยทางไซเบอร์ 10% เพื่อสู้กับภัยคุกคามรอบด้าน

ข้อมูลที่สร้างความเสียหายเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อกลไกการตัดสินใจของมนุษย์และเครื่องจักร และอาจตรวจจับและปิดระบบได้ยากยิ่ง โดยข้อมูลนี้จัดเป็นภัยคุกคามการทำงานที่แตกต่างกันสามส่วนด้วยกันคือ งานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ด้านการตลาดและด้าน AI

“การเติบโตอย่างรวดเร็วของ GenAI ได้กระตุ้นให้หน่วยงานกำกับดูแลรวมข้อมูลพวกนี้ไว้เป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับพลังและความพร้อมที่มีมากขึ้นของ GenAI กับผู้ไม่ประสงค์ดี ซึ่งองค์กรที่เฝ้าระวังผู้หวังร้าย ติดตามหน่วยงานกำกับดูแล รวมถึงผู้ให้บริการเครื่องมือและเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิดเพื่อรับมือกับข้อมูลอันตรายนี้ มีแนวโน้มที่จะได้เปรียบคู่แข่งอย่างมาก” พลัมเมอร์ กล่าวเพิ่ม

 

ในปี 2570 ผู้บริหารระดับสูงด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูล (Chief Information Security Officers หรือ CISO) ประมาณ 45% จะเพิ่มขอบเขตการทำงานนอกเหนือจากความปลอดภัยไซเบอร์ เนื่องจากแรงกดดันด้านกฎระเบียบและการขยายพื้นที่การโจมตีเพิ่มมากขึ้น  ความรับผิดชอบในการจัดการความปลอดภัยและสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นกระจัดกระจายไปตามแผนกและทีมงานส่วนต่าง ๆ โดยผู้บริหาร CISO จะต้องดูแลพอร์ตโฟลิโอสินทรัพย์ดิจิทัลในภาพรวม ประเด็นนี้ไม่สอดคล้องกับการสนับสนุนการเปิดเผยตามกฎหมายรวมถึงการรับประกันความปลอดภัยทางดิจิทัล และการจัดการเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพที่ส่งผลให้ประสิทธิภาพองค์กรโดยรวมลดลง การขยายพอร์ตโฟลิโอของผู้บริหาร CISO จะสามารถรวมการจัดการความปลอดภัยเข้าไว้ด้วยกัน โดยให้การควบคุมดูแลกระบวนการจัดการเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยแบบรวมศูนย์ทั่วทั้งองค์กร

ในปี 2571 อัตราการทำงานในรูปแบบสหภาพของพนักงานที่มีทักษะจะเพิ่มขึ้น 1,000% โดยได้แรงกระตุ้นจากการนำ GenAI มาปรับใช้ในการทำงาน

ผู้บริหารมักบอกว่า AI เป็นเหตุให้ต้องปรับลดตำแหน่งงาน ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริหารต้องสื่อสารชัดเจนกับพนักงานถึงความตั้งใจในการนำ AI มาปรับใช้ภายในองค์กร ซึ่งแนวทางนี้จะหลีกเลี่ยงผลที่ตามมาโดยไม่ได้ตั้งใจจากการสร้างความวิตกกังวลของ AI ในหมู่พนักงาน โดยองค์กรที่ใช้ GenAI และไม่วางแผนจัดการกับความกังวลด้าน AI อย่างชัดเจนกับพนักงานที่มีทักษะ จะต้องเผชิญกับอัตราการลาออกเพิ่มสูงขึ้น 20%

องค์กรควรให้ความสำคัญกับความพยายามในการนำ AI มาเสริมประสิทธิภาพและคุณภาพการทำงานของพนักงานมากกว่านำมาใช้เป็นระบบอัตโนมัติ ผู้บริหารต้องเข้าใจสิ่งที่เทคโนโลยีสามารถทำได้และทำไม่ได้ เนื่องจากยังมีการโอ้อวดประสิทธิภาพ AI เกินจริง ที่ไปสร้างความคาดหวังให้กับบอร์ดผู้บริหาร” พลัมเมอร์ กล่าว

ในปี 2569 พนักงาน 30% จะใช้ประสิทธิภาพของตัวชี้วัดความสามารถด้านดิจิทัล หรือ Digital Charisma Filter เพื่อบรรลุความก้าวหน้าในอาชีพจากที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

Digital Charisma Filter จะแจ้งเตือนและกรองการสื่อสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางสังคมมากขึ้นตามสถานการณ์ที่หลากหลาย ทั้งการเตือนก่อนและหลังเพื่อทำให้การโต้ตอบสื่อสารมีประสิทธิภาพแก่ผู้บริหารและผู้ร่วมงานในสถานการณ์ทางสังคมที่พวกเขาต้องการความแม่นยำ Digital Charisma Filter จะปรับปรุงความสามารถองค์กรในการขยายการจ้างงานครอบคลุมพนักงานที่มีความหลากหลายมากขึ้น

“องค์กรสามารถขยายกลุ่มผู้สมัครที่มีทักษะความสามารถได้โดยการใช้ Digital Charisma Filter เป็นผู้ช่วยปรับปรุงความความสัมพันธ์กันของการโต้ตอบทุกขั้นตอนของการสรรหาและว่าจ้างบุคลากร ซึ่งการเร่งนำผู้ช่วย Digital Charisma มาใช้งานทำได้โดยการเน้นย้ำถึงความสำคัญกับผู้จำหน่ายแอปพลิเคชันองค์กรและการผนวกรวมเครื่องมือนี้เหล่านี้ไว้ในแผนของผลิตภัณฑ์” พลัมเมอร์ กล่าวว่า

 

ภายในปี 2570 25% ของบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 จะรับบุคลากรที่มีทักษะหลากหลายด้านระบบประสาท หรือ Neurodivergent Talent มาร่วมงาน อาทิ บุคคลออทิสติก บุคคลสมาธิสั้น และบุคคลดิลเล็กเซีย เพื่อพัฒนาผลการดำเนินงานของธุรกิจ

“องค์กรธุรกิจที่ว่าจ้างและรักษาบุคลากร Neurodivergent Talent จะได้ประสบการณ์การมีส่วนร่วมของพนักงาน รวมถึงมีผลิตผลและนวัตกรรมเพิ่มขึ้นทั่วทั้งองค์กร” พลัมเมอร์ กล่าว

บริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 ที่ลงทุนในโครงการจ้างงานบุคคลที่มีความหลากหลายในด้านระบบประสาทและรับรู้ถึงผลจากการมีส่วนร่วมและผลลัพธ์ทางธุรกิจ องค์กรต้องจัดทำโครงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการค้นพบบุคลากรที่มีทักษะในกลุ่ม Neurodivergent ซึ่งมีความพยายามเร่งด่วนจากการใช้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดของผู้เชี่ยวชาญและใช้องค์ความรู้จากองค์กรชั้นนำที่ทำงานในด้านความหลากหลายทางระบบประสาท

“องค์กรควรรวมเอาบุคคลด้านระบบประสาทที่มีพรสวรรค์ไว้ในตำแหน่งระดับหัวหน้า เนื่องจากการมีหัวหน้าที่มีคุณสมบัติ Neurodivergent อยู่ในองค์กรจะช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมความเท่าเทียมและไม่แบ่งแยก ทั้งยังเป็นการดำเนินงานที่มีคุณค่ามากที่สุดต่อมุมมองของพนักงาน Neurodivergent” พลัมเมอร์ กล่าว

ในปี 2569 บริษัทขนาดใหญ่ 30% จะมีหน่วยธุรกิจหรือช่องทางการขายเฉพาะเพื่อเข้าถึงตลาด Machine Customer ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว Machine Customer จะบังคับให้เกิดการปรับเปลี่ยนของฟังก์ชันหลัก ๆ อาทิ ห่วงโซ่อุปทาน การขาย การตลาด การบริการลูกค้า การค้าดิจิทัล และประสบการณ์ของลูกค้า และภายในปี 2568 ศูนย์การขายและบริการมากกว่า 25% ในองค์กรขนาดใหญ่จะได้รับการติดต่อจาก Machine Customer

“Machine Customer จะต้องการช่องทางการขายและบริการเป็นของตน เนื่องด้วยลูกค้าประเภทนี้จะทำธุรกรรมด้วยความเร็วสูง และมีปริมาณตัวแปรของการตัดสินใจที่สูงเกินขีดความสามารถมนุษย์อย่างมาก Machine Customer จะต้องการพนักงานที่มีทักษะความสามารถ และมีกระบวนการรับมือที่แตกต่างออกไป ซึ่งอาจไม่มีอยู่ในแผนกดูแลกลุ่มลูกค้าที่เป็นมนุษย์” พลัมเมอร์ กล่าว

 ในปี 2571 จะมีหุ่นยนต์อัจฉริยะมากกว่ามนุษย์ปฏิบัติงานในสายการผลิต ค้าปลีก และลอจิสติกส์ เนื่องจากภาวะการขาดแคลนแรงงาน

บริษัทในอุตสาหกรรมการผลิต ค้าปลีกและลอจิสติกส์ส่วนใหญ่ไม่สามารถค้นหาหรือรักษาบุคลากรไว้เพียงพอเพื่อรองรับการดำเนินงานในแต่ละวัน ทำให้ในทศวรรษหน้าองค์กรด้านซัพพลายเชนจะประสบปัญหาในการสรรหาพนักงานให้เพียงพอ ซึ่งหุ่นยนต์จะมาช่วยเติมเต็มช่องว่างดังกล่าวนี้ จากการสำรวจของการ์ทเนอร์ในเดือนธันวาคม 2565 พบว่า 96% ของผู้ปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีซัพพลายเชนได้ปรับใช้หรือวางแผนที่จะปรับใช้ระบบอัตโนมัติทางกายภาพไซเบอร์ หรือ Cyber-Physical Automation และ 35% ได้นำหุ่นยนต์มาใช้งานแล้ว โดย 61% ยังอยู่ในขั้นทดลองหรืออยู่ระหว่างการใช้งานหุ่นยนต์เป็นครั้งแรก

“เทคโนโลยีหุ่นยนต์กำลังรุดหน้าอย่างรวดเร็ว สามารถทำงานในระดับปฏิบัติการได้ในจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่โรงงาน คลังสินค้า ไปจนถึงร้านค้าปลีก และอื่น ๆ อีกมากมาย” พลัมเมอร์ กล่าว

ภายในปี 2569 ประเทศสมาชิกในกลุ่ม G20 ประมาณ 50% จะประสบกับการจัดสรรไฟฟ้าทุกเดือน ส่งผลให้การดำเนินงานที่ต้องอาศัยพลังงาน กลายเป็นทั้งข้อได้เปรียบทางการแข่งขันและความเสี่ยงการล้มเหลวครั้งใหญ่

โครงสร้างพื้นฐานที่เป็นโครงข่ายไฟฟ้าดั้งเดิมกำลังจำกัดความสามารถของการเพิ่มกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ความต้องการไฟฟ้ายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง องค์กรต่าง ๆ กำลังประเมินราคาพลังงานและการเข้าถึงแหล่งพลังงานว่าเป็นความสามารถในการแข่งขัน หมายความว่าการเข้าถึงไฟฟ้าอย่างมีเสถียรภาพสำหรับลูกค้าจะกลายเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน ด้วยเหตุนี้ผู้บริหารจึงสร้างแนวทางการดำเนินงานที่คำนึงถึงพลังงานผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพและการลงทุนโดยตรงในการผลิตพลังงาน

“ต้องดึงประโยชน์จากประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันระยะยาว โดยลดการใช้พลังงานเชิงโครงสร้างลง และประเมินการลงทุนขององค์กรโดยรวมต้นทุนพลังงานทั้งที่คาดการณ์ไว้ในปัจจุบันและอนาคต” พลัมเมอร์ กล่าวสรุป

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป - ประเทศไทย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เผยมุมมองที่มีต่อเศรษฐกิจไทยในปี 67 ว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อโลกที่ผ่อนคลายลง สัญญาณการส่งออกที่ดีขึ้น การลงทุนจากต่างประเทศที่ให้ความสนใจประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น การพัฒนาและการเปลี่ยนของเทคโนโลยีในหลายอุตสาหกรรมทำให้เกิดการลงทุนเครื่องจักรและเครื่องมือในการผลิตใหม่ๆ รวมถึงนโยบายภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่พร้อมให้การสนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้สูงในกลุ่มไมซ์ (MICE)

จากมุมมองที่เป็นบวกดังกล่าวทำให้ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย วางเป้าหมายรายได้รวมในปีนี้น่าจะสูงแตะ 1,180 ล้านบาท จากการเตรียมจัดงานแสดงสินค้าไว้มากถึง 15 งาน ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญไม่ว่าจะเป็น กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตและบรรจุภัณฑ์ (ProPak Asia) กลุ่มพลังงานและสิ่งแวดล้อม (ASEAN Sustainable Energy Week) กลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร (Food & Hospitality Thailand) กลุ่มเทคโนโลยีเครื่องจักรกลและอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิต (INTERMACH, MTA Asia) กลุ่มเครื่องประดับ (Jewellery & Gems ASEAN Bangkok) กลุ่มเครื่องสำอางและอาหารเสริม (Cosmoprof CBE ASEAN) ฯลฯ

ส่วนอีกกลุ่มที่มีศักยภาพสูง คือ กลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพ (Health and Wellness) เนื่องจากอุตสาหกรรมกลุ่มนี้ได้กลายเป็นกระแสหลักของโลกอย่างชัดเจนขึ้นตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด ที่เป็นตัวเร่งให้การดำเนินชีวิตและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของคนทั่วโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพไม่ว่าจะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์มีการเติบโตอย่างสูง โดยข้อมูลจาก Global Wellness Institute รายงานว่ามูลค่าของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพในปี 2022 อยู่ที่ประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ และคาดว่าตั้งแต่ปี 2022 - 2024 มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นได้อีกประมาณ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์

ด้านการจัดงานในกลุ่มนี้ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย มีทั้งหมด 4 งาน ประกอบด้วย CPHI South East Asia, Medlab Asia, Vitafoods Asia และ Fi Asia (Food Ingredients Asia) ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทั้งส่วนประกอบอาหารสุขภาพ ยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้เข้าร่วมจัดแสดงานและผู้เข้าร่วมชมงานเป็นอย่างดี

ด้านนางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการภูมิภาคอาเซียน และ ผู้จัดการทั่วไป - ฟิลิปปินส์ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ผู้บริหารการจัดงานในกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพทั้งประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ กล่าวถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพว่า งานในกลุ่มนี้มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมโลก โดยมีหลายปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการเติบโตไม่ว่าจะเป็นการใส่ใจเรื่องสุขภาพ ความ

ต้องการมีสุขภาพที่ดี การมีอายุที่ยืนยาวขึ้น และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในหลายประเทศ ในส่วนของ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย งานในกลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 10-15% แต่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเสริมอาหารยังสามารถเติบโตได้ถึง 100% ทั้งในส่วนของผู้ร่วมจัดแสดงงาน (Exhibitor) และผู้เข้าร่วมชมงาน (Visitor) พื้นที่การจัดแสดงงาน และมูลค่าการค้าการเจรจาธุรกิจ

ในปี 2024 อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ได้มีการเตรียมจัดงานใหญ่ในกลุ่มนี้ไว้ถึง 3 งานคือ

- CPHI South East Asia งานแสดงสินค้าเทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมการประชุมด้านวัตถุดิบ ส่วนผสม บรรจุภัณฑ์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่องในการผลิตยา

- Medlab Asia งานแสดงเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และห้องปฏิบัติการทางการแพทย์

- Vitafoods Asia งานแสดงสินค้า เทคโนโลยี และนวัตกรรมส่วนผสมสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

ทั้ง 3 งานครอบคลุมทุกส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพ ซึ่งนอกจากจะมีส่วนช่วยในการส่งเสริมนโยบายภาครัฐที่ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพ (Medical Hub) และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourist) แล้ว ในส่วนของภาคธุรกิจยังช่วยพัฒนาศักยภาพและการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ของไทย เนื่องจากภายในงานฯ มีทั้งการจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยตลอดทั้งกระบวนการผลิต การแปรรูปวัตถุดิบ และการผลิตผลิตภัณฑ์จากบริษัทชั้นนำของโลก การถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับผู้ประกอบการ พร้อมมีส่วนในการสร้างโอกาสและแสดงศักยภาพความพร้อมของประเทศไทยให้ผู้ร่วมจัดแสดงงานและผู้เข้าร่วมงานจากทั่วโลกได้เห็น ด้านภาคสังคมนั้น คนไทยจะได้ประโยชน์จากการจัดแสดงงานสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้เป็นอย่างมาก เพราะเมื่อผู้ประกอบการผลิตยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ในประเทศมีความสามารถในการผลิต การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์เองแล้ว ก็จะช่วยทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ ส่งผลให้การเข้าถึงการรักษาและบริการทางการแพทย์ง่ายและดียิ่งขึ้นด้วย

นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ นางสาวณัฐภรณ์ เปล่งรัตน์ และนายนวินธร จันทร์เจริญ ผู้ก่อตั้งกลุ่มล่าโปรบัตรเครดิตและเจ้าของเพจเฟรชมันนี่ จัดกิจกรรมแฟนมีทติ้ง “KTC x ล่าโปรบัตรเครดิต ep.2” พบปะสมาชิกกลุ่มล่าโปร บัตรเครดิตกว่า 45 ท่าน โดยปิดรอบเหมาโรงภาพยนตร์ SF First Class เซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อร่วมชมภาพยนต์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ เรื่อง “Aquaman 2” ซึ่งเข้าฉายวันแรก พร้อมร่วมสัมผัสประสบการณ์ “ชิมช็อปชิลกับเคทีซี” ในหมวด กิน ช็อป เที่ยว กับแคมเปญ "คะแนนน้อยอร่อยมาก" "สุขไม่จำกัด" "เที่ยวสบาย ครบ จบที่เดียว" โดยในงานได้รับเกียรติจากนางสาวเจนจิต ลัดพลี ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายสื่อสารและประชาสัมพันธ์องค์กร “เคทีซี” ให้การต้อนรับ

หลังจาก ‘ช้อปปี้’ ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน เปิดตัวโครงการ Certified Shopee Expert Program (CSEP) ประจำปี 2566 ไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ในเวลานี้ ช้อปปี้ได้คัดสรรผู้ขายช้อปปี้ที่มีความสามารถมากประสบการณ์ทั้ง 8 ท่าน เพื่อมาร่วมส่งต่อความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และสร้างโลกอีคอมเมิร์ซให้เป็นพื้นที่แห่งโอกาสสำหรับทุกคน

สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังดำเนินธุรกิจอยู่บนช้อปปี้และกำลังจะเริ่มทำธุรกิจบนช้อปปี้ ผู้ขายทั้ง 8 ท่านจากโครงการ CSEP ประจำปี 2566 ได้แบ่งปันกลยุทธ์สู่ความสำเร็จไว้ 8 เรื่อง ที่รวบรวมเทคนิคการทำธุรกิจบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซให้อย่างครอบคลุม เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ค้าออนไลน์ได้พัฒนาและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับร้านค้าของตนบนโลก อีคอมเมิร์ซที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง ในฐานะช่องทางการซื้อสินค้าได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจากผู้บริโภคยุคดิจิทัล

8 กลยุทธ์ยกระดับเกมการตลาดให้ร้านค้าบนช้อปปี้

1. เลือกสินค้ามาขายแบบไม่มโน ด้วยการดูข้อมูลสถิติบนช้อปปี้

เลือกสินค้าดีมีชัยไปกว่าครึ่ง และการใช้ Data มาประกอบการตัดสินใจจะช่วยให้ร้านตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น ร้านค้าจึงควรเปรียบเทียบความน่าสนใจของสินค้าแต่ละประเภท ด้วยการนำสถิติจากอันดับสินค้าขายดีประจำสัปดาห์ 10 อันดับแรกบนช้อปปี้ มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้

· ประเมินมูลค่าตลาดของสินค้าคร่าว ๆ ผ่านการนำมูลค่ายอดขายต่อเดือนของ 10 อันดับแรกมารวมกัน เพื่อดูว่าตลาดของสินค้านี้มีขนาดใหญ่เท่าไหร่ และนำใช้ตั้งเป้ายอดขายต่อได้ว่าร้านค้าต้องการส่วนแบ่งทางการตลาดกี่เปอร์เซ็นต์

· ประเมินมูลค่ายอดขายต่อเดือนของผู้ที่ได้อันดับ 1 เพื่อดูความแข็งแกร่งของเจ้าตลาดว่าครองส่วนแบ่งทางการตลาดไว้เท่าไหร่ และมีพื้นที่ให้ร้านค้าใหม่ ๆ เข้ามาแข่งขันมากน้อยแค่ไหน

· ประเมินมูลค่าเฉลี่ยต่อชิ้น โดยคำนวณจาก 10 อันดับแรก เพื่อวิเคราะห์ว่าช่วงราคาใดที่เหมาะสม และสอดคล้องกับเป้ายอดขายที่ตั้งไว้

ร้านค้าสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการเข้าถึงสถิติสินค้าขายดีประจำสัปดาห์ วิธีการคำนวณ และตัวอย่างการนำไปใช้จริงได้ที่นี่

2. เทคนิคสร้างแบรนด์บนอีคอมเมิร์ซ เพื่อสร้างความแตกต่างและการจดจำ

เริ่มต้นกำหนดทิศทางของแบรนด์ด้วยหลักการพื้นฐานอย่าง STP หรือ Segmentation, Targeting, และ Positioning เพื่อหา Winning Point ซึ่งเป็นจุดร่วมของ 3 สิ่ง ได้แก่ สิ่งที่แบรนด์เราทำได้ดี สิ่งที่ลูกค้าต้องการ และสิ่งที่แบรนด์คู่แข่งไม่มีนั่นเอง

เมื่อได้ Winning Point เรียบร้อยแล้ว ร้านค้าจะต้องนำมาสร้าง Brand Identity หรืออัตลักษณ์ของแบรนด์เพื่อใช้สื่อสารในแต่ละ Touch Point โดย 3 สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการทำแบรนด์บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ คือ การออกแบบหน้าร้าน การใช้คำ และการใช้ภาพ

· การออกแบบหน้าร้าน: การแต่งหน้าร้านออนไลน์ให้มีบรรยากาศที่สะท้อนความเป็นแบรนด์จะช่วยให้ลูกค้าสนใจและอยากเข้าไปดูสินค้าภายในร้านต่อ ภาพที่แบรนด์สามารถนำมาตกแต่งหน้าร้านได้มีมากมาย เช่น ภาพปกที่แสดงความเป็นแบรนด์ได้ชัดเจน ภาพแนะนำสินค้าหรือคอลเลคชั่นสินค้า ภาพให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า เช่น วิธีการใช้งาน คุณสมบัติพิเศษของสินค้า ตลอดจนภาพแนะนำโปรโมชั่นหรือแคมเปญ เป็นต้น

· การใช้คำ: สร้างถ้อยคำอธิบายสินค้าให้โดนใจด้วยหลักการ F-B-A

F – Feature บอกคุณสมบัติของสินค้าให้ครบครัน

B – Benefits บอกประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากคุณสมบัติต่าง ๆ ของสินค้า

A – Advantage บอกจุดเด่นที่ทำให้สินค้าหรือแบรนด์เหนือกว่าหรือต่างจากคู่แข่ง โดยจะน่าสนใจยิ่งขึ้นถ้าจุดเด่นนี้สามารถตอบโจทย์ Pain Point หรือปัญหาของลูกค้าได้อีกด้วย

· การใช้ภาพ: ใช้ภาพที่ลูกค้าดูออกได้ทันทีว่าขายอะไร ไม่ใส่รายละเอียดที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปให้รกภาพ คุมสีและโทนของภาพให้เป็นไปตามอัตลักษณ์แบรนด์ และใช้ภาพที่ช่วยสะท้อนไลฟ์สไตล์หรือความสนใจของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

3. ยิง Ads แบบประหยัดและเห็นผล

สิ่งแรกที่ร้านค้าควรทำเพื่อประสิทธิภาพในการทำโฆษณาหรือการยิง Ads บนช้อปปี้ คือ การสำรวจร้านค้าของตัวเองว่ามีสินค้ามากเพียงพอหรือไม่ เนื่องจากการยิง Ads ที่ทำให้ผู้ซื้อมองเห็นตัวเลือกหลากหลายในคราว

เดียว ทั้งสินค้าหลัก สินค้ารอง และสินค้าเกี่ยวเนื่อง จะช่วยเพิ่มโอกาสการขายได้มาก ทั้งยังควรเลือกใช้สินค้าที่มีกำไรมากพอ และทำควบคู่ไปกับโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจลูกค้า เช่น Add-on Deal, Bundle Deal, และ Seller Voucher

นอกจากนี้ ควรตั้งงบยิง Ads เอาไว้อย่างชัดเจน สำหรับมือใหม่และร้านที่งบน้อยควรเริ่มยิง Ads ทีละตัวเพื่อศึกษาการทำงานของโฆษณา พฤติกรรมลูกค้า คอยดูผลและปรับโฆษณาทุก ๆ 7 – 14 วันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความคุ้มค่า ที่สำคัญอย่าลืมประหยัดงบยิง Ads ด้วยการใช้ส่วนลดเครดิต Shopee Ads ที่ช้อปปี้มอบให้กับร้านค้า

ร้านค้ายังสามารถประเมินความคุ้มค่าของโฆษณาได้จาก Return on Ads Spend (ROAS) และ Advertising Cost of Sales (ACOS) โดยสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการประเมินผลการยิง Ads เพิ่มเติม ได้ที่นี่

4. การพิชิตอันดับสินค้าขายดีประจำสัปดาห์

การเป็นร้านค้าที่มีสินค้าติดแรงค์ขายดีประจำสัปดาห์ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้มาก เพราะอันดับการันตี, ยอดขายต่อเดือน, และคะแนนรีวิวจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้า นำไปสู่โอกาสการขายที่มากขึ้น โดยมีเช็คลิส 6 ข้อ ที่ผู้ขายควรกลับมาสำรวจและปรับปรุง เพื่อผลักดันสินค้าสู่การเป็นอันดับต้น ๆ ของสินค้าขายดีประจำสัปดาห์

· ภาพสินค้า: ภาพดึงดูดใจ ครบถ้วนและเหมือนสินค้าจริง ทำให้ลูกค้าเห็นการใช้งานในชีวิตประจำวัน

· ชื่อสินค้า: ควรใช้ชื่อที่ลูกค้าใช้เรียกสินค้านั้นจริง ๆ บ่งบอกคุณลักษณะสำคัญให้ครบ และการใส่โปรโมชั่นหรือโค้ดส่วนลดไว้ในวงเล็บ ยังช่วยดึงดูดลูกค้าได้เป็นอย่างดี

· รายละเอียดสินค้า: มีครบถ้วนทั้งคุณสมบัติ การใช้งาน เรื่องราวของสินค้าและแบรนด์ และบริการหลังการขาย โดยข้อมูลที่ครบครันจะช่วยเพิ่มการมองเห็นสินค้า เพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้า ลดคำถามเกี่ยวกับสินค้า และลดอัตราการคืนสินค้าได้อีกด้วย

· คะแนนและรีวิว: คะแนนสินค้ามากกว่า 4.5 (เต็ม 5) ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและโอกาสการเพิ่มยอดขาย

· Shopee Ads: ใช้โฆษณาภายในแพลตฟอร์มช้อปปี้เพิ่มการมองเห็นสินค้า

· Affiliate Marketing Solution (AMS): โปรโมทผ่านพันธมิตรอินฟลูเอนเซอร์เพื่อเพิ่มการมองเห็นนอกแพลตฟอร์ม

5. ใช้ Shopee Live ให้ปัง ปิดการขายให้เป็น

ฟีเจอร์ที่มาแรงในเวลานี้ต้องยกให้ Shopee Live ซึ่งสามารถช่วยร้านค้าให้เพิ่มจำนวนผู้มองเห็นร้านค้า เพิ่มผู้ติดตามร้านค้า และเพิ่มยอดขายได้เป็นอย่างดี โดยการสร้างไลฟ์ก็มีเพียง 4 ขั้นตอนง่าย ๆ ได้แก่

· เลือกภาพหน้าปก Shopee Live: ขนาด 720*720 pixel

· สร้างหัวข้อไลฟ์ให้น่าสนใจ เช่น การแจกโค้ดลด 50%

· เพิ่มสินค้าที่ต้องการจะขายใน Shopee Live: เพิ่มได้สูงสุดมากถึง 500 SKU

· เรียงลำดับสินค้า: สินค้าขายดีควรอยู่ด้านบนให้เห็นง่าย

สิ่งสำคัญในการไลฟ์ขายสินค้าให้ประสบความสำเร็จ คือ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมและนำเสนอเรื่องราวของสินค้าและแบรนด์ให้น่าสนใจ นอกจากนี้ ช้อปปี้ยังมีเคล็ดลับที่จะช่วยเพิ่มจำนวนผู้ชม เพิ่มการมีส่วนร่วม และช่วยปิดการขาย ได้แก่

· กดแจ้งเตือนไปยังลูกค้าบน Shopee และโปรโมทไลฟ์ไปยัง Social Media ของร้านค้า

· ใช้ฟีเจอร์แจก Coins ช่วยดึงดูดลูกค้า ทั้งนี้ ควรตั้งงบประมาณการแจก Coin ในแต่ละไลฟ์ไว้ก่อน

· ดึงดูดลูกค้าให้อยู่ในไลฟ์นานขึ้น ด้วยการแบ่งทำโปรโมชั่นเป็นช่วง ๆ เอนเตอร์เทนต์ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการเลือกสินค้ามานำเสนอ

· มัดใจด้วยโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะในไลฟ์ โดยควรบอกราคาพร้อมส่วนลด เปรียบเทียบส่วนต่างให้ลูกค้าทราบอย่างชัดเจน คำนวณราคาที่ลดแล้วเพื่อแสดงถึงความคุ้มค่า และควรบอกโปรโมชั่นที่ลูกค้าจะได้รับทั้งหมดภายในไลฟ์เป็นระยะ ๆ

· กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อ ด้วยการแจ้งให้ผู้ชมทราบถึงข้อจำกัดในการรับความคุ้มค่า เช่น ระยะเวลาการกดซื้อเฉพาะในไลฟ์ จำนวนสินค้าที่จะนำมาขายในไลฟ์ รวมถึงแจ้งจำนวนสินค้าที่ขายออกไปแล้วเป็นระยะ ๆ ให้เห็นว่าสินค้าเหล่านั้นกำลังได้รับความนิยม

 6. สร้างวิดีโอขายสินค้าให้น่าสนใจ

วิดีโอนำเสนอสินค้าเป็นอีกเครื่องมือที่สามารถจูงใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะสำหรับสินค้าที่มีราคาสูง มีอุปกรณ์จำนวนมาก มีคุณสมบัติหรือฟีเจอร์ที่มีความเฉพาะตัวซึ่งร้านค้าต้องการนำเสนอหรือลูกค้าต้องการทราบ หรือมีวิธีการใช้งานที่ลูกค้าต้องศึกษาใหม่เป็นพิเศษ โดยร้านค้าควรให้ความสำคัญกับคุณภาพที่คมชัดของภาพและเสียง เปิดคลิปช่วง 10 วินาทีแรกให้น่าสนใจ และไม่ขายตรงจนเกินไปนั่นเอง

7. ใช้ ‘ส่งฟรีร้านโค้ดคุ้ม’ และ ‘ส่วนลดร้านโค้ดคุ้ม’ ให้มีประสิทธิภาพ

‘ส่งฟรี’ เป็นปัจจัยอันดับ 1 ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ ด้านส่วนลด Cash Back หรือ Coin เป็นปัจจัยที่มีประสิทธิภาพไม่แพ้กัน และเมื่อเข้าร่วมโปรแกรม ‘ส่งฟรีร้านโค้ดคุ้ม’ และ ‘ส่วนลดร้านโค้ดคุ้ม’ แล้ว ร้านและสินค้าจะได้รับการติดป้ายแท็กพิเศษซึ่งช่วยดึงดูดลูกค้าและกระตุ้นยอดขายได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มโอกาสการมองเห็นของร้านค้า โอกาสเข้าร่วมแคมเปญ โอกาสรับสล็อต Flash Sale และยังได้รับส่วนลดเครดิตโฆษณา Shopee Ads อีกด้วย

ทั้งนี้ ร้านค้าควรพิจารณาเข้าร่วมแคมเปญต่าง ๆ ตามงบประมาณการทำการตลาดที่กำหนดเอาไว้ และคำนึงถึงการกระตุ้นให้ลูกค้าเพิ่มมูลค่าในการจ่ายเพื่อซื้อสินค้าใน 1 ครั้ง (Basket Size) ร่วมด้วย

8. แนวทางบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ฉบับพนักงานประจำ

หลาย ๆ คนต้องการสร้างรายได้จากหลายช่องทางทั้งเพื่อความมั่นคงและมั่งคั่ง และการขายของออนไลน์ก็เป็นอีก

อาชีพเสริมที่มีความยืดหยุ่นสูงและผู้ขายสามารถบริหารจัดการเวลาให้ไม่กระทบงานหลักได้ โดยสิ่งที่เจ้าของธุรกิจออนไลน์ต้องทำในแต่ละวัน และแต่ละสัปดาห์ มีดังนี้

กิจวัตรประจำวันของเจ้าของธุรกิจออนไลน์:

· จัดการคำสั่งซื้อ: ควรแบ่งเวลาก่อนทำงานและหลังทำงานเพื่อแพ็คสินค้าและนำส่งสินค้าเป็นประจำ

· โปรโมทสินค้า: ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการกดโปรโมทสินค้า ซึ่งทำได้ทุก ๆ 4 ชั่วโมง

· ตอบแชทลูกค้าและจัดการรีวิว: ในเวลาว่างควรเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความประทับใจที่ดี ทั้งนี้ หากร้านค้ามีการให้ข้อมูลที่ครบครันอยู่แล้วก็จะลดเวลาที่ร้านใช้ในการถามตอบได้

· ติดตามเป้าหมายประจำวัน: แบ่งเวลาตามความสะดวก เพื่อเข้ามาประเมินยอดขาย ค่าโฆษณา และสถิติต่าง ๆ เพื่อนำมาพัฒนาร้านค้าต่อไป

กิจวัตรประจำสัปดาห์ของเจ้าของธุรกิจออนไลน์:

· จัดการคลังสินค้า: เติมของให้พร้อมขายเสมอ

· ตกแต่งร้านค้าและพัฒนาสินค้า: จัดทำอาร์ตเวิร์กและแคปชั่นต่าง ๆ และอัปเดตร้านค้าให้สวยงามและน่าดึงดูดอยู่เสมอ

· วางแผนการโปรโมท: วางแผนแคมเปญ การทำโปรโมชั่น และการแจกโค้ดส่วนลด

· ติดตามเป้าหมายประจำสัปดาห์: ประเมินยอดขาย ค่าโฆษณา และสถิติต่าง ๆ

นี่เป็นเพียงสรุปประเด็นสำคัญที่ผู้ขายทั้ง 8 ท่านจากโครงการ Certified Shopee Expert Program (CSEP) ประจำปี 2566 นำมาแบ่งปันกับผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์ทุกท่าน ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://seller.shopee.co.th/edu/blog/400

หัวเว่ยและกระทรวงดิจิทัลร่วมยกระดับการใช้งานคลาวด์และ AI ในไทย เดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลาง AI แห่งอาเซียน

บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผนึกกำลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดงานประชุม Huawei Cloud AI Summit Thailand 2023 โดยมีทั้งผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐ ผู้เชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรม ลูกค้าและพันธมิตรในไทย รวมถึงจากองค์กรธุรกิจในจีนเข้าร่วมกว่าหลายร้อยคน เพื่อร่วมพูดคุยถึงการพัฒนาเทคโนโลยี AI พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของประเทศไทย ภายในงานครั้งนี้ หัวเว่ย คลาวด์ และกระทรวงดิจิทัล ยังได้ลงนามร่วมกันในบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อการพัฒนาทางดิจิทัล พร้อมเป้าหมายในการสนับสนุนการสร้างอีโคซิสเต็มด้านคลาวด์และ AI พร้อมการสร้างบุคลากรที่มีความสามารถให้กับประเทศไทย ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้าน AI ของภูมิภาค ผ่านการเปลี่ยนผ่านเชิงดิจิทัล

 

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า “กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมุ่งขับเคลื่อนนโยบาย คลาวด์-เฟิร์ส (Cloud-First policy) ซึ่งจะเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตรูปแบบใหม่ของไทย ซึ่งคลาวด์และ AI จะเป็นอนาคตของประเทศไทย ในนามของกระทรวงดิจิทัล ผมขอขอบคุณหัวเว่ย ประเทศไทย ที่รับหน้าที่ผู้นำภาคเอกชนจัดกิจกรรมครั้งสำคัญนี้ และยังได้นำประสบการณ์ระดับโลกที่มีความล้ำสมัยของหัวเว่ยและพันธมิตรมาสู่ประเทศไทย พร้อมรวมถึงสนับสนุนการสร้างอีโคซิสเต็มทางดิจิทัลสำหรับเทคโนโลยีคลาวด์และ AI ให้กับประเทศไทยอีกด้วย ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับเอกชนอย่างหัวเว่ยนี้ จะช่วยส่งเสริมประเทศไทยสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลางเทคโนโลยี AI ของภูมิภาค กระทรวงดิจิทัลมุ่งมั่นสนับสนุนประเทศไทยอย่างเต็มกำลังในการเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล พร้อมการสร้างบุคลากรที่มีความสามารถ และการยกระดับคุณภาพชีวิตโดยรวมของคนไทย”

 

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้เกียรติขึ้นกล่าวในงาน Huawei Cloud AI Summit Thailand 2023 ในประเทศไทย เพื่อประเทศไทย สู่การเป็นศูนย์กลาง AI แห่งอาเซียน 

AI เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีระดับโลกและการเปลี่ยนผ่านทางอุตสาหกรรม โดยมีผลกระทบในเชิงลึกต่อสังคมมนุษย์และการปรับเปลี่ยนของอุตสาหกรรม จึงทำให้ประเทศไทยตระหนักถึงศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงนี้และมุ่งมั่นยกระดับความสามารถในการแข่งขันระดับโลก โดยการเสริมสร้างความสามารถด้าน AI และเป็นศูนย์กลาง AI ในภูมิภาค หัวเว่ย คลาวด์ ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนวิสัยทัศน์นี้ ผ่านพันธกิจ “ในประเทศไทย เพื่อประเทศไทย” (In Thailand, for Thailand)

นายเดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นกล่าวในงาน Huawei Cloud AI Summit Thailand 2023

นายเดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวย้ำถึงพันธกิจของหัวเว่ย คลาวด์ ในการขับเคลื่อนการใช้งานเทคโนโลยีระบบคลาวด์และ AI ในประเทศไทยว่า “หัวเว่ย คลาวด์ มุ่งมั่นต่อพันธกิจ “ในประเทศไทย เพื่อประเทศไทย” พร้อมสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการพัฒนาดิจิทัลของประเทศตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการเปลี่ยนแปลงดิจิทัล หัวเว่ย คลาวด์ จึงยังคงมุ่งลงทุนในการสร้างอีโคซิสเต็มคลาวด์และเสริมประสิทธิภาพในประเทศ โดยการสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งในประเทศไทยและโครงสร้างพื้นฐาน AI สำหรับรัฐบาลและองค์กร หัวเว่ย คลาวด์ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านดิจิทัลของไทยผ่านเทคโนโลยี AI ซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้งาน AI อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมต่าง ๆ พร้อมสร้างประโยชน์อย่างยิ่งต่อคนไทยและส่งเสริมความก้าวหน้าทางดิจิทัลของประเทศ"

ภายในงานประชุมดังกล่าว หัวเว่ย คลาวด์ ยังเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงระหว่างองค์กรจีนและไทย เพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศไทยด้วยเทคโนโลยี AI ที่ทันสมัย แอปพลิเคชัน และความเชี่ยวชาญจากประเทศจีน โดยใช้ประสบการณ์การทำงานในระดับโลกกว่า 170 ประเทศและภูมิภาค หัวเว่ย คลาวด์ ยังได้ให้ข้อมูลในเชิงลึกที่มีคุณค่าเกี่ยวกับอุตสาหกรรมระดับโลกและภูมิภาค ด้วยเทคโนโลยีและโซลูชันที่ทันสมัย พร้อมเป็นพันธมิตรที่เหมาะสมสำหรับองค์กรไทยที่ต้องการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดโลกและองค์กรจีนที่ต้องการเข้าสู่ตลาดไทย

 

 

ศาสตราจารย์คลินิก นพ. สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ (ที่ 8 จากซ้าย) ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ให้เกียรติเข้าร่วมงาน Huawei Cloud AI Summit Thailand 2023 ในครั้งนี้ เพื่อเป็นสักขีพยานการพัฒนาเทคโนโลยีคลาวด์และ AI อย่างรวดเร็วในประเทศไทย โดยในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล กสทช. จะนำเทคโนโลยีคลาวด์และ AI เข้าร่วมพิจารณาในการร่างนโยบายเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเชิงดิจิทัลในภาคสังคมและภาคเศรษฐกิจของประเทศไทย

สำหรับโมเดลภาษาไทยนั้น ผ่านการฝึกฝนด้วยคลังข้อมูลของ AI ในภาษาไทย ผสานความรู้ ความเข้าใจในอุตสาหกรรมของหัวเว่ยที่สะสมมากว่าสามทศวรรษ ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องโดยการเรียนรู้ข้อมูลภาษาไทยจำนวนมาก การพัฒนานี้ช่วยกำจัดอุปสรรคในการเข้าถึงโมเดลพื้นฐาน ทำให้ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนจากผู้ใช้ AI เป็นผู้สร้าง AI ได้

ในด้านอุตุนิยมวิทยา หัวเว่ย คลาวด์ ได้ร่วมมือกับกรมอุตุนิยมวิทยาของไทย พัฒนาโมเดลพยากรณ์อากาศ ผานกู่ (Pangu) สำหรับประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมการเกษตรและการท่องเที่ยวของไทยในเชิงลึกยิ่งขึ้น โมเดลนี้เหนือกว่าการพยากรณ์อากาศเชิงตัวเลข (numerical weather prediction - NWP) ที่ได้รับการพัฒนาล่าสุด โดยความเร็วในการพยากรณ์มีหลายระดับและรวดเร็วยิ่งขึ้น ที่ผ่านมา การพยากรณ์เส้นทางของพายุไต้ฝุ่นในช่วง 10 วันข้างหน้า ใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมง แต่ด้วยโมเดลพยากรณ์อากาศ ผานกู่ สามารถทำได้ภายในเวลาเพียง 10 วินาทีเท่านั้น

สำหรับภาครัฐ หัวเว่ย คลาวด์ นำเสนอความอัจฉริยะในกระบวนการทำงานของรัฐบาลและภาคการปกครองเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การรับรู้แ ความเข้าใจไปจนถึงการจัดการและการตัดสินใจ คำร้องขอของประชาชนจะได้รับการมอบหมายโดยอัตโนมัติ

และจัดการได้ตลอดเวลา ทำให้รัฐบาลให้บริการที่มีคุณภาพสูงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องขาดแคลนบุคลากร

นายมาร์ค เฉิน ประธานกรรมการฝ่ายขายโซลูชันคลาวด์ บริษัท หัวเว่ย

ด้านความสามารถของบุคลากรเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี AI ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ในงานประชุมครั้งนี้ หัวเว่ย คลาวด์ กระทรวงดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) มหาวิทยาลัยต่าง ๆ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคม AI องค์กรธุรกิจและพันธมิตรได้ร่วมกันเปิดตัว Cloud & AI Community Thailand เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ด้วยเป้าหมายสูงสุดเพื่อสร้างบทบาทของประเทศไทยสู่ AI ระดับโลก

ด้วยโซลูชัน AI ที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมอันแข็งแกร่ง ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่กว้างขวาง และการบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม หัวเว่ย คลาวด์ พร้อมจะสนับสนุนประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลาง AI ที่สำคัญในภูมิภาค ผ่านการลงทุนต่อเนื่องทั้งใน อีโคซิสเต็มและอุตสาหกรรมในประเทศ พร้อมมุ่งมั่นสนับสนุนการเติบโตด้านเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีคุณภาพสูงของประเทศไทย

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เปิดตัวโซลูชันบริการสินเชื่อหมุนเวียนธุรกิจแบบดิจิทัล (Financial Supply Chain Management - FSCM) บนแพลตฟอร์ม e-banking สำหรับลูกค้าองค์กรของธนาคาร

ด้วยฟีเจอร์นี้ การบริหารซัพพลายเชนที่ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง (procurement to pay) การผลิตและจัดจำหน่าย (production to sales) รวมถึงการออกใบแจ้งหนี้และการชำระเงิน (invoice to collect) ทั้งหมดรวมอยู่บนแพลตฟอร์ม e-banking ของธนาคาร ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนในการประสานงานระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายทำให้การส่งเอกสารและการขอสินเชื่อจากธนาคารเป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและทำให้การบริหารซัพพลายเชนมีประสิทธิภาพได้อย่างครบวงจร

สอดคล้องกับรายงาน UOB Business Outlook Study 2023 ประเทศไทย1 ที่พบว่าเกือบร้อยละ 48 ของภาคธุรกิจมองว่าการบริหารซัพพลายเชนเป็นเรื่องสำคัญ โดยกว่าร้อยละ 69 พบว่าการบริหารซัพพลายเชนของบริษัทได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองระดับภูมิภาค และกว่าร้อยละ 40 ของธุรกิจในไทยมีต้นทุนที่สูงขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อซึ่งเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการบริหารซัพพลายเชน

 

นางพัชนี ว่องศิลป์วัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Head of Transaction Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ปัจจุบันมีลูกค้าหลายรายประสบความท้าทายที่หลากหลายในการบริหารซัพพลายเชน ดังนั้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยดิจิทัลโซลูชันแบบครบวงจรที่ธนาคารเสริมเข้ามาจะทำให้การขอสินเชื่อหมุนเวียน การบริหารเงินสด และบริหารความเสี่ยงที่อยู่ในระบบซัพพลายเชนของบริษัทให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

ลูกค้าองค์กรสามารถใช้ฟีเจอร์ใหม่ในการบริหารเงินสด ทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศและการบริหารซัพพลายเชนทั้งหมดด้วยการลงทะเบียนเข้าระบบแบบครั้งเดียว ซึ่งจะช่วยให้การทำธุรกรรมทางการเงินมีความสะดวก รวดเร็ว และส่งผลให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เช่น

· แสดงข้อมูลและตรวจสอบสถานการณ์ทำธุรกรรมแบบเรียลไทม์ ตั้งแต่ขั้นตอนการส่งเอกสารจนถึงการชำระเงิน

· ลดขั้นตอนด้วยการเปลี่ยนรูปแบบเอกสารทางการค้าจากกระดาษมาเป็นเอกสารการค้าดิจิทัล

· ปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทตั้งแต่กระบวนการออกใบแจ้งหนี้ การขอสินเชื่อ และการกระทบยอดบัญชีของบริษัท

· สามารถกำหนดอัตราส่วนในการเบิกใช้สินเชื่อ (financing advance ratio) ระยะเวลาในการเบิกใช้สินเชื่อสูงสุด (tenors) และวงเงินสินเชื่อสูงสุด (limits) ของบริษัทคู่ค้าเพื่อป้องกันความเสี่ยง

นางโซ เล ฮัว Head of Group Transaction Banking ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า “ฟีเจอร์ใหม่นี้จะช่วยให้ลูกค้าของธนาคาร ทั่วภูมิภาคอาเซียนเข้าถึงบริการสินเชื่อหมุนเวียนธุรกิจแบบครบวงจร (FSCM) ผ่านระบบดิจิทัลเพื่อบริหารซัพพลายเชนของบริษัทตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่การค้าระหว่างไทยและอาเซียนมีโอกาสเติบโตมากขึ้น หลายธุรกิจหันมาเล็งเห็นความสำคัญในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายกิจการในประเทศและรอบภูมิภาคมากขึ้น โดยฟีเจอร์ใหม่นี้สามารถใช้ได้ในทุกประเทศหลักที่ธนาคารดำเนินธุรกิจ จึงเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการการเงิน และบริหารระบบซัพพลายเชนของบริษัททั้งในประเทศและทั่วภูมิภาคได้อย่างทั่วถึง ช่วยลดความยุ่งยากในการแลกเปลี่ยนเอกสารการค้า การบริหารเงินทุนหมุนเวียน อีกทั้งยังช่วยบริหารความเสี่ยงในการเรียกชำระเงินได้ภายในแพลตฟอร์มเดียว”

ลูกค้าองค์กรสามารถใช้ฟีเจอร์บริการสินเชื่อหมุนเวียนธุรกิจแบบดิจิทัล ได้แล้ววันนี้ ทั้งในประเทศไทย และทุกประเทศที่ธนาคารยูโอบีดำเนินธุรกิจ ได้แก่ สิงค์โปร์ อินโดนิเซีย มาเลเซีย จีน และฮ่องกง

 

กรุงเทพฯ/ 15 ธันวาคม 2566 – นักเทคโนโลยีไทยโชว์ผลงานนวัตกรรมสุดสร้างสรรค์ “งานวิจัยนวัตกรรมการรักษามะเร็ง” คว้ารางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น 2566 และ “งานวิจัยเทคโนโลยีฐานในการสังเคราะห์ยา” และ “งานวิจัยวัสดุดูดซับโลหะหนักในผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม” คว้ารางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ประจำปี 2566 ในงาน Outstanding Technologist Awards and TechInno Forum 2023 ที่จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ร่วมกับมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งนอกจากการแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัลต่าง ๆ แล้ว ยังมีส่วนของงานสัมมนา TechInno Forum 2023 ภายใต้หัวข้อ “Healthy Living” ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญมากมายหลายด้านมาร่วมแบ่งปันเทรนด์และองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ร่วมกับมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงาน Outstanding Technologist Awards and TechInno Forum 2023 ในหัวข้อ “Healthy Living” เพื่อเป็นแพลตฟอร์มแบ่งปันความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากผู้เชี่ยวชาญและนักเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก รวมทั้งเชิดชูเกียรตินักเทคโนโลยีที่มีส่วนสำคัญในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศไทย ซึ่งผ่านเข้ารอบสุดท้ายของรางวัลพระราชทานนักเทคโนโลยีดีเด่นและรางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ประจำปี 2566 โดยงานครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนการจัดงานจากสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และเอสซีจี

 

ดร. ธัญญวัฒน์ เกษมสุวรรณ ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรม บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และประธานกลุ่มบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) กล่าวว่า “การจัดงานในปีนี้มุ่งเน้นต่อยอดงานวิจัยและพัฒนาไปสู่การใช้งานจริง เราจึงจัด TechInno Mart ให้นักวิจัยจากไทยและต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ รวมถึงนักเทคโนโลยีดีเด่นและนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ได้มาจัดแสดงผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ นวัตกรรมและเทคโนโลยี และสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ เพื่อนำองค์ความรู้และผลงานวิจัยเหล่านี้ไปต่อยอดพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป”

มอบรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่นและนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ได้ร่วมกับมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิธีมอบรางวัลและร่วมแสดงความยินดีแก่ผู้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายและผู้ชนะรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น และนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ประจำปี พ.ศ. 2566 โดยมีผู้ที่ได้รับรางวัลต่าง ๆ ดังนี้

รางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2566 จำนวน 1 รางวัล ได้แก่

1. ศาสตราจารย์ นพ. สุรเดช หงส์อิง, รองศาสตราจารย์ นพ. อุษณรัสมิ์ อนุรัฐพันธ์ และคณะ จากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ผลงาน: การค้นพบและวิจัยการพัฒนานวัตกรรมการรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดที่ผ่านการแปลงพันธุกรรมตัวรับแอนติเจนจำเพาะ chimeric antigen receptors T-cell (CAR-T) ด้วยเทคโนโลยีเซลล์และยีนบำบัด

 

รางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ประจำปี พ.ศ. 2566 จำนวน 2 รางวัล ได้แก่

1. ดร. ภก. นิติพล ศรีมงคลพิทักษ์ สังกัดศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ผลงาน: การวิจัยเทคโนโลยีฐานในการสังเคราะห์ยา

2. ผศ. ดร. กนกวรรณ กองพัฒน์พาณิชย์ สังกัดสำนักวิชาวิทยาการโมเลกุล สถาบันวิทยสิริเมธี ผลงาน: วิจัยโครงข่ายโลหะอินทรีย์เพื่อใช้เป็นวัสดุดูดซับโลหะหนักในผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม

โดยนักเทคโนโลยีดีเด่นและนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่จะเข้ารับรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 49 ในวันอังคารที่ 23 มกราคม 2567 ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา

 

ในโอกาสนี้ รศ.ดร. ศักรินทร์ ภูมิรัตน ประธานมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มอบช่อดอกไม้ พร้อมกล่าวแสดงความยินดีแก่ทุกท่านที่ได้รับรางวัลว่า “ในนามของมูลนิธิฯ ผมขอแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัลทุกท่าน และขอขอบคุณที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานอย่างต่อเนื่องจนประสบผลสำเร็จ ผลงานของทุกท่านจะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับนักวิทยาศาสตร์และนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาในวงการนี้ต่อไป รางวัลนี้ไม่เพียงเชิดชูเทคโนโลยีไทยที่ประสบความสำเร็จ และยังช่วยผลักดันความสามารถทางวิชาการของเยาวชนรุ่นใหม่ของไทยให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึง TMA ที่ให้การสนับสนุน สร้างเครือข่ายเชื่อมโยงนักวิจัยและธุรกิจ ให้สามารถนำนวัตกรรมเทคโนโลยีเหล่านี้ไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป”

ภายในงานยังเปิดโอกาสให้นักวิจัยที่ประสบความสำเร็จจากทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มานำเสนอผลงานและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อต่อยอดการค้นพบ จับคู่ธุรกิจและพัฒนาเพื่อประโยชน์ของคนในวงกว้างอีกด้วย อาทิ Breathology เครื่องเป่าวัดระดับน้ำตาลในเลือด, Biomede สตาร์ทอัพจากฝรั่งเศส ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการทำให้ดินที่ใช้ในการ

เพาะปลูกพืชที่ปนเปื้อนสารโลหะหนัก กลับมาสะอาดและมีคุณภาพดี, BlueTree เป็นบริษัทระดับโลกที่ทำการผลิตน้ำตาลทดแทนรสชาติเยี่ยม เพื่อลดการใช้น้ำตาลจากธรรมชาติในเครื่องดื่ม, Genfosis ให้บริการ Preventive Healthcare Solution โดยทดสอบวิเคราะห์จาก DNA เพื่อทราบถึงความเสี่ยง โอกาสในการเกิดโรค และแนวทางในการทำ Preventive Healthcare ไม่ให้เกิดโรค เป็นต้น

Inspiring the Future of Healthy Living

ในส่วนของงานสัมมนา TechInno Forum 2023 ภายใต้หัวข้อ “Healthy Living” เริ่มต้นด้วยการบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “เมกะเทรนด์” โดยคุณอนุชา มาจำปา Country Head ประจำประเทศไทย บริษัท ฟรอส์ท แอนด์ ซัลลิวัน (ไทยแลนด์) จำกัด ที่กล่าวถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนเราที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 รวมไปถึงภาวะวิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Permacrisis) ทำให้เกิดผลกระทบ 4 ประการ คือ 1) คนคิดมากขึ้นเมื่อจะใช้จ่ายเงินแต่ละครั้ง 2) ให้ความสำคัญกับสินค้าที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน 3) ให้การสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นมากขึ้น และ 4) ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้น ทำให้เกิดเมกะเทรนด์ ดังต่อไปนี้ เมกะเทรนด์ที่ 1 Traditional to Future Family พบว่าขนาดของครอบครัวลดลง เมกะเทรนด์ที่ 2 Pensioner Boom พบว่ามีแนวโน้มสัดส่วนผู้เกษียณอายุมากยิ่งขึ้น เมกะเทรนด์ที่ 3 Sustainable Living พบว่าคนพยายามสรรหาแนวทางในการลดผลกระทบเพื่อรักษาสภาพแวดล้อม เมกะเทรนด์ที่ 4 Preventative Health Models คือปรับก่อนป่วย การกินอาหารที่ดี ออกกำลังกาย อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เมกะเทรนด์ที่ 5 Personalized Nutrition มีการตรวจว่าขาดสารอาหารอะไร มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอะไร เพื่อจัดเตรียมยาสำหรับแต่ละคนโดยเฉพาะ และเมกะเทรนด์ที่ 6 Mental Health เรื่องของสุขภาพจิตมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

ทางด้านคุณอริยะ พนมยงค์ Co-CEO บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) และ CEO & Founder บริษัท ทรานส์ฟอร์เมชั่นนอล จำกัด ได้บรรยายถึงการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี และเน้นย้ำว่าไลฟ์สไตล์เป็นสิ่งสำคัญ และกล่าวอธิบายถึงเทคโนโลยีด้านสุขภาพว่า ความท้าทายในเรื่องนวัตกรรมและการทรานส์ฟอร์เมชั่น จำเป็นต้องให้ความสำคัญใน 3 เรื่อง คือ 1) Users First, Not you first ให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานเป็นลำดับแรก 2) Being a Platform ต้องเป็นแพลตฟอร์ม Universal เหมือน Google, Line, Facebook ไม่ยึดติดกับชื่อของโรงพยาบาล 3) Fixing the Obvious ต้องแก้ไขสิ่งที่จำเป็นและเห็นได้ชัดว่าเป็นปัญหา

ในการบรรยายหัวข้อ Food for Life: Innovation for Health and Environment ดร. อัลลัน ลิม (Dr. Allan Lim) Head of Open Innovation บริษัท ศูนย์วิจัยและพัฒนา เนสท์เล่ จำกัด สิงคโปร์ ได้กล่าวถึงความท้าทายสำคัญที่เกิดขึ้นด้านอาหารคือ จะทำอย่างไรให้มีอาหารเพียงพอกับการบริโภคของประชากร 10 พันล้านคนทั่วโลก ในปี ค.ศ. 2050 โดยเนสท์เล่พยายามสร้าง Sustainable foods ให้เกิดขึ้นตาม Net Zero Roadmap ของเนสท์เล่ ที่ครอบคุลมตั้งแต่ต้นน้ำ (Sourcing) ไปจนถึงกลางน้ำ การผลิตและบรรจุ (Manufacturing และ Packaging) ถึงขั้นสุดท้ายคือผู้บริโภค

ทั้งนี้ การวิจัยพัฒนา (R&D) ของเนสท์เล่ ให้ความสำคัญใน 5 แพลตฟอร์มหลัก ได้แก่ 1) แนวโน้มอาหารใหม่ (New Food Trends) 2) อาหารว่างเพื่อสุขภาพ (Healthy Snacking) 3) การมีชีวิตยืนยาวอย่างมีสุขภาพดี (Healthy Aging) 4) สารอาหารที่สามารถจ่ายได้ (Affordable Nutrition) และ 5) บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน (Sustainable Packaging) โดยการสำรวจผู้บริโภคของเนสท์เล่ เน้นการค้นพบ เช่น การทำ Social Listening เพื่อการ Track Sentiment และ Perception ของผู้บริโภคต่อ Ingredients รวมถึงมีการทำ Open Innovation ทำ R&D Accelerator ที่สามารถเร่งกระบวนการวิจัยและการผลิตภายใน 6 เดือน โดยเชื่อว่า “Test and Learn” คือแนวทางที่ควรปฏิบัติ รวมถึงร่วมมือกับบริษัทในท้องถิ่น เพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy ซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับเส้นทางแห่งนวัตกรรมนี้ร่วมกันได้

นอกจากนี้ ในงานยังได้มีการนำเสนอเรื่อง TechInno for Healthy Living โดยคุณวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Smart System Solution Business บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ซึ่งได้กล่าวถึงเรื่องมาตรฐานอากาศ ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของมาตรฐานการใช้ชีวิตของคนไทย ทำให้เอสซีจีได้พัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ด้านคุณภาพอากาศออกมาช่วยลดปัญหา เช่น เทคโนโลยี Air Filter ซึ่งเป็นอุปกรณ์กรองอากาศคุณภาพสูงที่ใช้ในอาคาร, ระบบไอออนกำจัด

เชื้อโรค (Ion Technology) ที่มีขึ้นมาในช่วงโควิด 19, เทคโนโลยีการหมุนเวียนอากาศ กรองฝุ่น PM 2.5 ลดกลิ่น และป้องกันเชื้อโรค เป็นต้น

ในส่วนของดร. สืบสกุล โทนแจ้ง ผู้จัดการฝ่ายนวัตกรรม บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ได้บรรยายถึงแนวโน้มเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลด้านเฮลธ์แคร์ว่า ปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อแนวโน้มเทคโนโลยีด้านเฮลธ์แคร์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น โลกาภิวัตน์ที่เกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงด้านประชากรศาสตร์ ทั้งผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้นและการอพยพข้ามถิ่นฐาน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และมลพิษและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้อุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ต้องมีการดำเนินงานที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วย เพิ่มประสิทธิภาพบุคลากร รวมถึงนำเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ มาใช้ทำ Preventive care ให้แก่ผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการรักษาทางไกล การเชื่อมต่ออุปกรณ์เทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ ของโรงพยาบาลเข้าด้วยกัน การนำ AI and Machine Learning มาใช้เพื่อประเมินอาการ AR/VR/MR การนำเทคโนโลยีภาพเสมือนมาใช้ในระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ทำให้วางแนวทางการรักษาได้รวดเร็วมากขึ้น Blockchain เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลทางการแพทย์ส่วนบุคคล และการทำ Big Data & Predictive Analytics ให้สามารถคาดการณ์อาการของคนไข้ในอนาคตที่จะเกิดขึ้น เพื่อใช้ทำ Preventive cares ได้

บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด มหาชน หรือ BDMS เครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนมาตรฐานคุณภาพระดับสากล ออกแสดงบูธในงาน “Thailand Mega Fair 2023” ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าและบริการของประเทศไทยที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 - 16 ธันวาคม 2566 ณ ดิ อารีนา ริยาด กรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย พร้อมหน่วยงานของภาครัฐ และเอกชนไทยจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวม 30 ราย นำโดยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสด้านการค้า และการลงทุน ระหว่างไทยและซาอุดิอาระเบีย

BDMS ได้ออกบูธแสดงสินค้าร่วมกับโรงพยาบาลในเครือ ฯ ที่มีความพร้อมรองรับกลุ่มลูกค้าจากภูมิภาคตะวันออกกลาง ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลพญาไท 2 โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต และ BDMS Wellness Clinic พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมบริการด้านสุขภาพและความเป็นเลิศทางการแพทย์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสนใจ โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ ดร. มาจิด บิน อับดุลลาห์ อัลกัสซาบี (H.E. Dr. Majid bin Abdullah Alkassabi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายดามพ์ บุญธรรม เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงริยาด นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เข้าเยี่ยมชม โดยมี นายบุรณัชย์ ลิมจิตติ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส ส่วนการตลาดต่างประเทศ โฆษณาและประชาสัมพันธ์ BDMS ให้การต้อนรับ

โอกาสนี้ BDMS ในฐานะที่เป็น Trusted Healthcare Partner หลักของงาน ได้จัดสัมมนาพิเศษภายใต้หัวข้อ “Wellness Tourism in Thailand” โดย นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานกรรมการผู้บริหาร BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resort และหัวข้อ “Wellness on Holiday” โดย ศาสตราจารย์นายแพทย์ จีรี ดโวชัค ที่ปรึกษาของคลินิกดูแลกล้ามเนื้อและศูนย์ฟื้นฟู BDMS Wellness Clinic เพื่อตอกย้ำศักยภาพด้านการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยให้กับบรรดานักธุรกิจที่เข้าร่วมงาน โดยได้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์เกี่ยวกับภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจของภูมิภาค อีกทั้งยังเน้นย้ำการท่องเที่ยวเพื่อเชิงสุขภาพในประเทศไทย และการใช้วันหยุดพักผ่อนเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วโลก ที่ปัจจุบันหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้นด้วย

บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด มหาชน หรือ BDMS เครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และอยู่ใน 5 อันดับแรกของโลก ประกอบด้วย 6 กลุ่มโรงพยาบาลหลัก ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท กลุ่มโรงพยาบาลเปาโล กลุ่มโรงพยาบาลรอยัล (ประเทศกัมพูชา) บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก นอกจากนี้ยังมีธุรกิจด้าน Healthcare แบบครบวงจร อาทิ บริษัท N Health ผู้ให้บริการด้านการวิเคราะห์ทางการแพทย์ บริษัท สหแพทย์เภสัช จำกัด ผู้ผลิตยา และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โรงงานผลิตยาและเวชภัณฑ์ ANB และร้านขายยา Save Drug เป็นต้น

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป – ประเทศไทย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ กล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจงานแสดงสินค้าและความสำเร็จของบริษัทฯ ในปี 2566 ว่า ปีนี้นับเป็นการฟื้นตัวของธุรกิจงานแสดงสินค้าหลังสถานการณ์โควิดอย่างแท้จริง การกลับมาจัดงานได้อย่างเต็มรูปแบบส่งผลให้การดำเนินงานของ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นรายได้รวมของบริษัทฯ ที่สูงถึง 1,300 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 900 ล้านบาท และดีกว่าปี 2562 ก่อนสถานการณ์โควิด ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 880 ล้านบาท

ผลสำเร็จดังกล่าวเกิดขึ้นจากการปรับตัว เปลี่ยนแปลงและพัฒนาองค์กรและธุรกิจตลอดเวลา แม้ในช่วงวิกฤตโควิดที่ไม่สามารถจัดงานได้เต็มรูปแบบ เราก็ไม่ได้มีการหยุดนิ่ง เราแทงสวนและสู้ตายกับการเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ทั้งการพัฒนาธุรกิจ การทำงานเชิงลึกด้านข้อมูลและเครื่องมือต่างๆ ร่วมกับบริษัทแม่ที่เป็นเบอร์หนึ่งผู้จัดงานแสดงสินค้าโลก เพื่อสร้างงานที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและเป็นงานที่จับใจคน รวมทั้งเพิ่มจำนวนงานให้ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้เกิด 7 งานใหม่ รวมกับ 6 งานเดิม เป็น 13 งานในปี 2566 พร้อมทั้งเร่งพัฒนาบุคลากรเพื่อเตรียมความพร้อมและดึงคนที่มีความสามารถมาทำงานร่วมกับเรา จากปัจจัยและการเตรียมการดังกล่าวทำให้นอกจากจะส่งผลให้เกิดการเติบโตอย่างก้าวกระโดดแล้ว ยังทำให้ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ขึ้นแท่นเป็นผู้จัดงานแสดงสินค้าอันดับหนึ่งของภูมิภาคอาเซียนทั้งจำนวนโชว์และรายได้

เป้าหมายในปีนี้เราจะไม่ยึดติดกับการแข่งขันด้านอันดับเพียงอย่างเดียว สิ่งที่เราพยายามทำ คือ การผลักดันให้ทุกโชว์ของ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ก้าวขึ้นเป็นโชว์ระดับภูมิภาค เป็นงานที่ทุกคนในอุตสาหกรรมที่ต้องการดำเนินธุรกิจกับคนในภูมิภาคนี้ต้องเข้าร่วม จำนวนงานแสดงสินค้าของอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทยในปี 2567 จะมีทั้งหมด 15 งาน ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ โดยมีงานที่เราจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี อาทิ Intermach, ProPak Asia, ASEAN Sustainable Energy, Thai Water Expo, CPHI, Food & Hospitality Thailand ฯลฯ และการร่วมมือกับบริษัทในเครือ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ในหลายประเทศมาจัดงานแบบร่วมทุน (Joint Venture) โดยนำงานแสดงสินค้าที่ประสบความสำเร็จ อาทิ งาน Jewellery & Gem Asean Bangkok, Cosmoprof CBE Asean Bangkok, APLF ASEAN และ Vitafoods Asia มาจัดขึ้นที่ประเทศไทยนอกจากนั้น ยังมีการจับมือกับพันธมิตรรายใหม่และคู่แข่งการจัดงานจากต่างประเทศ ร่วมกันจัดงานใหม่ในปีนี้เพิ่มอีก 3 งาน คือ Plastics & Rubber Thailand, Medlab Asia และ Tyrexpo

การเพิ่มขึ้นของจำนวนโชว์และการผลักดันการจัดงานให้เป็นงานสำคัญของภูมิภาค ส่งผลบวกต่อประเทศไทยทั้งในภาคอุตสาหกรรม การลงทุนและการท่องเที่ยว เนื่องจากจำนวนผู้เข้าร่วมงานทั้งผู้ร่วมจัดแสดงงานและผู้

เยี่ยมชมงานเป็นกลุ่มนักธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง โดยจำนวนผู้เข้าร่วมงานที่จัดขึ้นโดย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยรวมกันปีละประมาณ 20% สร้างมูลค่าการเจรจาการค้าและธุรกิจทั้งในการจัดงานและหลังการจัดงานปีละหลายหมื่นล้านบาท และยังส่งผลให้เกิดการจับจ่ายด้านการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจอีกจำนวนมาก

ส่วนเป้ารายได้ในปี 2567 นั้น คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,180 ล้าน เนื่องจากบางงานมีการจัด 2 ปีต่อครั้ง และปี 2568 คาดว่ารายได้จะกลับมาพุ่งสูงอีกครั้งประมาณ 1,450 ล้านบาท ด้านปัจจัยบวกที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจงานแสดงสินค้าในปีหน้านั้นอยู่ที่การฟื้นตัวของธุรกิจที่เพิ่มขึ้น แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของโลกที่ผ่อนคลายลง การพัฒนาและการเปลี่ยนของเทคโนโลยีในหลายอุตสาหกรรม ทำให้เกิดการลงทุนเครื่องจักรและเครื่องมือในการผลิตใหม่ๆ นโยบายการกระตุ้นการท่องเที่ยวและการสนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้าจากภาครัฐ ส่วนปัจจัยลบที่ยังส่งผลอยู่มีทั้งสงครามในบางพื้นที่ที่ยังไม่สงบ เศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้ติดต่อกันง่ายขึ้น

ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเป้าหมายของเราจึงเป็นการสร้างงานแสดงสินค้านานาชาติระดับภูมิภาค ที่นอกจากจะเป็นการสร้างเคลือข่ายเชื่อมโยงการค้ากันในอาเซียนแล้ว ด้วยกำลังซื้อจำนวนมากของภูมิภาคยังเป็นแรงดึงดูดนักธุรกิจและบริษัทต่างๆ ของโลกให้เข้ามาร่วมงานที่เราจัดขึ้นในประเทศไทย โดยในสายตาผู้จัดงานแสดงสินค้าและนักธุรกิจนั้น เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพอย่างมากในการเป็น HUB การจัดงานแสดงสินค้านานาชาติของภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมของสถานที่ ค่าใช้จ่ายในการจัดงานและการเดินทางมาร่วมงานไม่สูงมาก เป็นศูนย์กลางของอาเซียน มี Soft Power ที่มีเสน่ห์ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว อาหาร และวัฒนธรรม ที่สำคัญคือความเป็นมิตรและรอยยิ้มของคนไทยที่ทำให้ทุกคนอยากมาทำธุรกิจและร่วมงานในประเทศไทย แต่สิ่งที่อยากขอให้ภาครัฐสนับสนุนเพิ่มเติม คือ การปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นข้อจำกัดบางรายการ เช่น ส่วนสมอาหาร เครื่องสำอางค์ อัญมณีและเครื่องประดับ ในมาตรฐานการนำเข้าเพื่อมาจัดแสดง โดย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย พร้อมและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น HUB ของการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติของภูมิภาคอย่างแท้จริง

X

Right Click

No right click