

30 พฤศจิกายน 2566 - บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด มหาชน หรือ BDMS คว้ารางวัล “สุดยอดนายจ้างดีเด่นแห่งประเทศไทย” ประจำปี 2566 (Kincentric Best Employer Thailand 2023) พร้อมได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำที่สร้างความผูกพันในองค์กร ประจำปี 2566 (Kincentric Thailand's Engaging Leaders Special Recognition 2023) จัดโดย บริษัท คินเซนทริค (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลชั้นนำระดับโลก ร่วมกับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการนี้ แพทย์หญิงปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหารอาวุโส กลุ่ม 1 บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย ดร. ดวงใจ สินธุสังข์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สายการบริหารทรัพยากรบุคคลกลาง BDMS และ แพทย์หญิงเมธินี ไหมแพง ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม 1 BDMS และผู้อำนวยการ โรงพยาบาลกรุงเทพ ร่วมพิธีมอบรางวัล ฯ ในงาน Kincentric Best Employers Learning Conference 2023 ณ ห้องฉัตราบอลรูม โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ
รางวัล “สุดยอดนายจ้างดีเด่นแห่งประเทศไทย ประจำปี 2566” เป็นเครื่องยืนยันว่า BDMS ให้ความสำคัญและใส่ใจในการดูแลพนักงาน อีกทั้งยังมีการพัฒนาความสามารถอย่างต่อเนื่อง นับเป็นการสะท้อนวิสัยทัศน์ของ BDMS ในการบริหารจัดการองค์กรที่พัฒนาสู่ความยั่งยืน ผ่านกระบวนการต่าง ๆ ตามมาตรฐานสากล ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการบริหารธุรกิจ นโยบายด้านการจัดการทรัพยากรบุคคลที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนให้องค์กร อันจะแสดงให้เห็นถึงองค์กรที่มีการบริหารทรัพยากรบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการดูแลสุขภาพ และการดำเนินงานธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ของประเทศ
นอกจากนั้น รางวัลพิเศษด้านการเป็นผู้นำที่สร้างความผูกพันในองค์กร ประจำปี 2566 (Kincentric Thailand's Engaging Leaders Special Recognition 2023) ยังสะท้อนว่าองค์กรสามารถทำให้พนักงานเห็นภาพทิศทางที่จะขับเคลื่อนไปในอนาคต สื่อสาร และสร้างแรงบันดาลใจ รวมถึงมีส่วนร่วมในการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีภายในองค์กร เพื่อให้พนักงานส่งต่อการบริการที่ดีต่อไป
![]()
แพทย์หญิงปรมาภรณ์ กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในการดำเนินธุรกิจ BDMS ให้ความสำคัญกับการดูแลและเอาใจใส่พนักงาน ให้มีความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ รวมทั้งพัฒนาศักยภาพและทักษะในวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พนักงานสามารถส่งต่อการดูแลเอาใจใส่เหล่านี้ไปยังผู้รับบริการอย่างเข้าอกเข้าใจและมีประสิทธิภาพ ในฐานะผู้ให้บริการธุรกิจด้านสุขภาพและการแพทย์อย่างครบวงจร BDMS ตระหนักอยู่เสมอว่าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ทุกภาคส่วนล้วนมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะขับเคลื่อนให้องค์กรให้มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ BDMS จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้นำองค์กร อีกทั้งยังได้บรรจุให้ People Strategy เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะนำพาองค์กรไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน เราเชื่อมั่นว่ายังไม่มีเครื่องมือ ไม่มี AI หรือเทคโนโลยีใหม่ใด ๆ ที่จะมาทดแทนพลังบุคลากรของเราได้ และ BDMS จะดูแลพนักงานของเราอย่างดีที่สุด”
ในโอกาสนี้ แพทย์หญิงปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ ยังได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ “Culminating Courageous Leaders to Realign People-Centric Commitment” หรือสุดยอดผู้นำที่ต้องปรับตัวจากการเป็นผู้สั่งการไปเป็นผู้สนับสนุน เพื่อให้พนักงานในองค์กรรู้จักถึงพลังในตัวเอง
แพทย์หญิงปรมาภรณ์ อธิบายถึงแนวคิดในฐานะผู้บริหารว่าการบริหารงานของ BDMS ผู้บริหารทุกกลุ่มจะให้ความสำคัญกับพนักงานทุกส่วน และทำให้การสื่อสารเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ตลอดจนจะต้องเชื่อมั่นในแนวคิด และให้โอกาสพนักงานทุกระดับชั้น เนื่องจากผู้บริหารอาจไม่ทราบถึงปัญหา และข้อเท็จจริงดีเท่ากับพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่หน้างาน ซึ่งจะเห็นถึงกระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบัน คนรุ่นใหม่นั้นมีศักยภาพในการเรียนรู้มากกว่าอดีต บางท่านมีความสามารถและต้องการโอกาสที่จะพัฒนาต่อยอดทางความคิด ซึ่งหลายไอเดียสามารถนำมาปรับใช้ได้จริงภายในองค์กร ตราบใดที่ผู้บริหารให้ความสำคัญกับการสื่อสารต่อพนักงาน กระบวนการนี้จะทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า และอยากมีส่วนร่วม (Engagement) กับองค์กรของตัวเองมากยิ่งขึ้น
SCB WEALTH เปิดสินทรัพย์การลงทุน แม้ปีนี้เต็มไปด้วยความท้าทายจากเศรษฐกิจที่ผันผวนด้วยปัจจัยต่างๆที่กดดันตลาด สินทรัพย์ด้านการลงทุนของ SCB WEALTH ยังเติบโตกว่า 7% เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่โต 4% ด้านสินเชี่อ Wealth Lending เติบโตกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตั้งเป้าหมายใน3 ปีข้างหน้า มุ่งครองอันดับหนึ่งใน3แกนหลัก ได้แก่ 1) เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า 2) ผู้นำด้านสินทรัพย์ภายใต้บริหารจัดการ และ 3) ผู้นำการบริหารภาพรวมพอร์ตโฟลิโอสร้างผลตอบแทนให้ยั่งยืนแก่ลูกค้าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ด้าน SCB CIO แนะปีหน้าให้ระมัดระวังการลงทุน ควรแบ่งเงินลงทุนในต่างประเทศ จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าไทย เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง ทยอยลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้ Investment Grade ส่วนตลาดหุ้น ทยอยสะสมหุ้นกลุ่ม Quality Growth เช่น 7 บริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปมากที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐ ญี่ปุ่น และ อินเดีย หุ้นไทย มีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจที่ได้แรงหนุนจากการส่งออก ท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นภาครัฐฯ ท่ามกลาง Valuation ที่อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมนำAIวิเคราะห์ข้อมูลเสนอผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้าและยกระดับ WPlan แพลตฟอร์มดูแลความมั่งคั่งแบบครบวงจร InnovestXมองเศรษฐกิจไทยปีหน้าขยายตัว3-4% ดัชนีหุ้นไทยพุ่งแตะ1,750 จุด
ดร. ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ WEALTH ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปีนี้เป็นอีกหนึ่งปีที่มีความท้าทายท่ามกลางภาวะการลงทุนในตลาดโลกที่มีความผันผวนตลอดปี ทั้งในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งสงครามที่ยังมีความไม่แน่นอนว่าจะลุกลามหรือยืดเยื้อนานเท่าใด แต่ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง SCB WEATH ยังคงมุ่งมั่นปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อตอบโจทย์การลงทุนให้แก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันธนาคารมีฐานลูกค้า Wealth และลูกค้าที่มีศักยภาพที่จะเป็น Wealth อยู่มากกว่า 1 ล้านคน ด้วยความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำตลาด ได้มีการคัดสรรและนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบ
โจทย์ตามสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา ที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย เช่น ผลิตภัณฑ์การลงทุนในสกุลเงินดอลล่าร์ ในกลุ่มตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำระยะสั้นหรือกองทุนกลุ่มตราสารตลาดเงิน (Money Market) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ Capped Floored Floater Note หรือ Callable Note เป็นต้น สำหรับผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์ลงทุนและสามารถรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือ ผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ไม่ผันผวนจนเกินไปและให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจในภาวะดอกเบี้ยสูง เช่น กองทุนตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุโครงการ (Term Fund) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้สินทรัพย์การลงทุนภายใต้การบริหารจัดการของกลุ่มลูกค้า SCB WEALTH เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 7% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 4%
นอกจากนี้ ธนาคารยังมีความพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกัน และสินเชื่อเพื่อต่อยอดความมั่งคั่ง (Wealth Lending ประเภท Property Backed Loan และ Lombard Loan) ที่มียอดสินเชื่อเติบโตขึ้นมากกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน Regular Unit-linked ยังครองอันดับ 1 ในตลาดประกันผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance) เป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปีซ้อน ด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% ในปีนี้ และธนาคารยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนในการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ นำมาซึ่งผลการดำเนินงานที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่า รายได้จากกลุ่มธุรกิจ Wealth ในปี2566 จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ในปีนี้ SCB WEALTH ยังคว้ารางวัลได้สูงถึง 11 รางวัลระดับโลก เป็นรางวัลที่โดดเด่นในการเป็น Digital Banking ที่มีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรม และแพลตฟอร์มอัจฉริยะ มีการนำData มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลการลงทุน และดูแลพอร์ตลูกค้าที่ออกแบบเป็นพิเศษให้เฉพาะลูกค้าแต่ละราย ซึ่งสามารถการันตีความเป็น "Digital Wealth with Human Touch" ได้อย่างแท้จริง
SCB Wealth มีเป้าหมายที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า และธนาคารวางเป้าหมายในการเป็น “ดิจิทัลแบงก์อันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่ง” จะเป็น Thought partners ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าและจะอยู่กับลูกค้าทุกช่วงจังหวะการลงทุนอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ได้ตั้งเป้าหมายในการสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้า ใน 3 ปีข้างหน้าไว้ดังนี้ คือ 1) เป็นอันดับหนึ่งในใจลูกค้าด้วยการส่งมอบประสบการณ์การบริหารความมั่งคั่ง ภายใต้กลยุทธ์ Digital Wealth with Human Touch 2) ผู้นำอันดับหนึ่งสินทรัพย์ภายใต้บริหารจัดการในเชิงของผู้ให้คำปรึกษา (Advisory) เพื่อนำมาซึ่งการได้รับความไว้วางใจและเพื่อเป็น Main Wealth Bank ของลูกค้า และ 3) ผู้นำในการบริหารภาพรวมพอร์ตโฟลิโอเพื่อก้าวข้ามทุกความท้าทายและสร้างผลลัพธ์ด้านผลตอบแทนให้แก่ลูกค้าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA SCB Wealth Chief Investment Officer ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย Investment Office and Product Function กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปี 2566 นี้เป็นปีแห่งความผันผวน เริ่มต้นปีด้วยความกังวลเศรษฐกิจถดถอย มาสู่ปลายปีด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวแบบจัดการได้ ขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงและค้างนาน (Higher for longer) กำลังนำไปสู่ความคาดหวังว่าธนาคารกลางหลักจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย (Rate pause expectation) ส่วนประเด็นสงคราม ก็ยังมีทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ขณะที่การไหลออกของเงินทุนจากตลาดไทยไปต่างประเทศยังคงมีอยู่และความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยหลังการเลือกตั้งส่งผลให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ชัดเจน และล่าช้าออกไป
ปัจจัยเหล่านี้จะนำไปสู่เศรษฐกิจปี2567ที่มีแนวโน้มชะลอตัวไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศ (Uneven slowdown) ทำให้นักลงทุนคาดหวังเห็นการปรับลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ส่วนความเสี่ยงที่ต้องจับตา ได้แก่ ภาวะ Stagflation หรือ เศรษฐกิจเติบโตช้า แต่เงินเฟ้อสูง, ธุรกิจที่มีหนี้ใกล้ครบกำหนดจำนวนมาก อาจมีความเสี่ยงที่ต้องกู้ยืมใหม่ (rollover) ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมาก, ความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการเลือกตั้งในประเทศหลักๆ ที่จะทำให้ตลาดการลงทุนมีความผันผวน และสภาพคล่องทั่วโลกมีแนวโน้มลดลงจากการใช้นโยบายดูดเงินในระบบกลับออกมา (Quantitative Tightening : QT)
ด้วยเหตุผลนี้ เราแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุน แบ่งเงินลงทุนในต่างประเทศ ที่มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าไทย โดยควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็น การทยอยลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้คุณภาพสูง (Investment Grade) หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูง (High Yield) ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้น ควรทยอยสะสมหุ้นกลุ่ม Quality Growth ที่มีงบดุลที่แข็งแกร่ง มีกำไรเติบโตสม่ำเสมอ สามารถรองรับธุรกิจชะลอตัว และรักษาอัตรากำไรได้ดี เช่น 7 บริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) มากที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนตลาดหุ้นอื่นที่แนะนำ ได้แก่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และ อินเดีย ขณะที่ ตลาดหุ้นไทย มีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจที่ได้แรงหนุนจากการส่งออก ท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นภาครัฐฯ ท่ามกลาง Valuation ที่อยู่ในระดับที่เหมาะสม
พอร์ตลงทุนที่แนะนำเพื่อคาดหวังผลตอบแทน 7-10% กรณีเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง (Wealth) รับความเสี่ยงได้สูง เข้าใจผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อน คือ แบ่งเงิน 15% ไว้ในบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ (FCD) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือเลือกรับผลตอบแทนระหว่างรอแลกอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องการ ด้วยผลิตภัณฑ์ Dual Currency Note Pricing (DCI) ที่ให้ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนที่ลูกค้าต้องการ เลือกลงทุนตราสารหนี้ 15% เน้นตราสารหนี้ระยะยาว ลงทุนในหุ้น 30% ทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่เป็นกลุ่มคุณภาพ เติบโตสูง โดยควรมีหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสร้างผลบวกด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในพอร์ตด้วย พร้อมกันนี้ควรลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์ Capped Floored Floater Noted ที่จำกัดผลตอบแทนต่ำสุด แลกกับการจำกัดผลตอบแทนสูงสุด 10% หุ้นกู้อนุพันธ์อื่นๆ 10% สินทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Asset) 10% และสินค้าโภคภัณฑ์อีก 10% เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนต่างๆ
ด้านการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาการลงทุนให้ลูกค้า ในส่วนของ SCB Easy เราได้นำเสนอบริการ Wealth4U โดยมีการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI)มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้คำแนะนำผลิตภัณฑ์กองทุนที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าแต่ละบุคคล พร้อมเปรียบเทียบทางเลือกการลงทุนที่ลูกค้าสนใจ เพื่อแนะนำทางเลือกที่ดีที่สุดให้ลูกค้า นอกจากนี้ เรายังพัฒนาบัญชีหุ้นกู้ SCB Easy-D ซึ่งสามารถเสนอขายครั้งแรก (IPO) ให้บุคคลธรรมดาบนสมาร์ทโฟน และรับฝากหุ้นกู้ผ่านช่องทางดิจิทัลแบบ 100% พร้อมกันนี้ เรายังเป็นธนาคารที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สามารถเสนอขายพันธบัตรรัฐบาลกับนักลงทุนผ่านแพลตฟอร์ม และสามารถซื้อขายกองทุนรวมจากหลากหลาย บลจ. ได้
ไม่เพียงเท่านี้เรายังมีแผนยกระดับ wPlan แพลตฟอร์มสำหรับให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลลูกค้าใช้งาน ใน 4 ด้าน ได้แก่ 1) การนำเสนอโซลูชันดูแลความมั่งคั่งของลูกค้าแบบครบวงจรในแบบเฉพาะบุคคล เช่น การทำ Portfolio Allocation ออกแบบการจัดสรรสัดส่วนสินทรัพย์ในพอร์ตลงทุนตามแต่ระดับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล 2) การพัฒนาความสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละบุคคลมากขึ้น 3) การเพิ่มขีดความสามารถในการนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนจากช่องทางการลงทุนที่หลากหลาย (Omni-Channel) ให้ลูกค้าแบบไร้รอยต่อ และ 4) การยกระดับควบคุมระดับความเสี่ยงให้เหมาะสมกับลูกค้า ควบคู่กับการมี 2 ช่องทางดิจิทัล ให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลการลงทุนได้สะดวกและง่าย ในการเรียกดู Statement การลงทุนได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านแพลตฟอร์ม WealthDIY และ Line โดย SCB WEALTH ซึ่งในอนาคตจะมีการยกระดับขีดความสามารถของ Line SCB WEALTH ให้ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละท่านมากขึ้นและสามารถรับสิทธิพิเศษเหนือระดับต่างๆ สำหรับลูกค้า Wealth ของธนาคารได้ผ่านช่องทางนี้
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (INVX) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 2024 ยังคงมีความผันผวนแต่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าปี 2023 เนื่องจากระดับ SET Index ในปัจจุบัน ถือว่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน (undervalue) โดยคาดว่า ตลาดยังมีความผันผวนสูงในช่วงครึ่งปีแรก และ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยประเมินเป้าหมาย SET Index ณ สิ้นปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 1,750 จุด
ปัจจัยที่คาดว่าจะสร้างความผันผวนให้กับตลาด ได้แก่ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่รุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะปี 2024 จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันและ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมถึง ความรุนแรงที่
เกิดขึ้นในรัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-ฮามาส ซึ่งมีความเสี่ยงกระทบต่อราคาอาหารและพลังงานให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ความแปรปรวนของภูมิอากาศโลกและปรากฏการณ์เอลนีโญในประเทศไทยมีโอกาสสร้างผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม ในขณะที่ประเด็นความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอย เป็นปัจจัยที่ตลาดมีการคาดการณ์ว่าผลกระทบไม่รุนแรงมากเป็นเพียง Soft Landing หรือ Mild Recession ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯมีโอกาสปรับลดลงในช่วงครึ่งหลังปี 2024 ช่วยสร้างโอกาสให้เงินทุนต่างชาติไหลกลับมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ จากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า
ส่วนปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทย มาจากปัจจัยในประเทศ ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน เนื่องจาก คาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น ส่งผลให้ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นและกลับมาลงทุนเพิ่ม แม้ว่าจะยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน Digital wallet อยู่บ้างก็ตาม เนื่องจากโดยภาพรวมคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3-4% สูงกว่าปี 2023 ที่ขยายตัวต่ำกว่า 3% ในขณะเดียวกัน คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวได้ 10-15% ซึ่งถือว่าดีกว่าปี 2023 ที่ชะลอตัว 10%
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าลงทุนในปี 2024 แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) กลุ่มที่ผลการดำเนินงานเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ย ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มการแพทย์ กลุ่มขนส่ง 2) กลุ่มที่ราคาลดลงจากการที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง ได้แก่ ธุรกิจโรงไฟฟ้า และ REIT/IFF 3) หุ้นที่ได้ ESG Score สูง ระดับ AAA จาก SET แต่ราคาลดลงมามาก
นอกจากนี้ INVX มีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อนำมาให้บริการนักลงทุนบุคคล โดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้างความสะดวก รวดเร็ว ในการเข้าถึงบริการด้านการลงทุนแบบครบวงจร เช่น การสร้าง Application ที่สามารถลงทุนได้ครบทุกสินทรัพย์เพียงแอปเดียวหรือตัวช่วยแจ้งข้อมูลข่าวสาร (Personalized Wealth Alert) ผ่านแอป InnovestX และ Streaming สำหรับการลงทุนในหุ้นไทย และทาง INVX research ได้มีการนำเทคโนโลยี ChatGPT- Open AI มาช่วยพัฒนาการทำงานวิจัยทั้งในเชิงคุณภาพและเพิ่มปริมาณให้ครอบคลุมจำนวนหุ้นได้มากขึ้น โดยใช้ระยะเวลาจัดทำลดลง ล่าสุดประสบความสำเร็จในการจัดทำบทวิเคราะหุ้นต่างประเทศโดยใช้ ChatGPT ช่วยเขียนบทวิเคราะห์
นายอิษฎา หิรัญวิวัฒน์กุล กรรมการและหุ้นส่วนอาวุโส บริษัท บอสตันคอนซัลติ้ง กรุ๊ป (BCG) กล่าวว่า จากการศึกษาของ BCG พบว่าตลาด Wealth Management ของประเทศไทยทั้ง onshore และ offshore จะมีอัตราการเจริญเติบโตประมาณ 4.5% ต่อปีในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า เราพบว่ามี 4 เทรนด์หลักในธุรกิจ Wealth Management ที่พบในภูมิภาคเอเชียรวมถึงประเทศไทย ได้แก่ 1) ลูกค้ากลุ่ม High Net Worth (HNW) มีความต้องการที่จะได้รับคำปรึกษาเกี่ยวกับการวางแผนส่งต่อมรดกให้ทายาทรุ่นถัดไปและการวางแผนเพื่อเตรียมการเกษียณ 2) สถาบันการเงินข้ามชาติ ทั้ง ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ และบริษัทFintech ต่างๆเข้ามาประกอบการในธุรกิจนี้ส่งผลให้การแข่งขัน ในธุรกิจนี้ร้อนแรงขึ้นมาก 3) ลูกค้าต้องการคำแนะนำ ที่ครบถ้วนและหลากหลายมากขึ้นรวมไปถึง การเข้าถึงผลิตภัณฑ์ ที่เมื่อก่อนเข้าถึงได้แต่เฉพาะกลุ่มลูกค้า Ultra High Net Worth (UHNW) เท่านั้น และ4) ลูกค้าต้องการประสบการณ์ในการใช้บริการการบริหารความ มั่งคั่งแบบไร้รอยต่อ (seamless experience) เช่น การจัดพอร์ตการลงทุน การค้นหาข้อมูลอัพเดทเกี่ยวกับการตลาดและผลิตภัณฑ์หรือหรือการทำรายการซื้อขายและมอนิเตอร์พอร์ตการลงทุน
ทั้งนี้ BCG ได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารความมั่งคั่ง มีการทำงานร่วมกับสถาบันการเงินชั้นนำทั่วโลกและทำการวิจัยกับผู้บริโภคในหลายประเทศ ซึ่งพบว่า เทคโนโลยีจะมีบทบาท มากขึ้นในการบริหารความมั่งคั่ง ทั้งนี้ เครื่องจักรหรือสมองกลจะไม่ได้มาแทนที่คนทั้งหมด ลูกค้า High Net Worth ต้องการการผสมผสานกันระหว่างการใช้เทคโนโลยีและการได้รับความดูแลจากคนอย่างเช่น relationship manager (RM) ซึ่งเทคโนโลยีสามารถเข้ามาช่วยใน 5 เรื่องใหญ่ดังต่อไปนี้
1. ทำให้ลูกค้าและผู้ใช้สามารถใช้บริการ wealth managementได้อย่างง่ายที่สุด (effortless) เช่น การทำ digital KYC, การประเมินความเสี่ยงของลูกค้า
2. สร้างความโปร่งใส (transparent) เช่น wealth dashboard, family wealth view, benchmarks
3. ทำให้การบริหารความมั่งคั่งตรงใจและเฉพาะเจาะจง กับลูกค้าแต่ละท่าน (personalized) เช่นการสร้างเป้าหมายในการบริหารความมั่งคั่งการจัดวางพอร์ตการลงทุน
4. ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในเชิงรุก (proactive) เช่น การส่ง alert และข้อความต่างๆ ให้ตรงกับลูกค้าแต่ละท่าน (personalized content)
5. ทำให้การใช้งาน ง่ายและสนุก (delightful) เช่น dynamic scenario planning, และเครื่องมือต่างๆที่ใช้ในการคำนวณ เป็นต้น
ดร. สาธิต ผ่องธัญญา ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เทรนด์กฎหมายในปีหน้า ยังคงต้องติดตามกฎหมายต่างๆ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น การเก็บภาษีการรับมรดกที่อาจมีการปรับปรุงกฎหมายและภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้การจัดเก็บภาษีสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
ส่วนกฎหมายภาษีการลงทุนต่างประเทศ ตามที่กรมสรรพากรได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.161/2566 เมื่อเดือนกันยายน 2566 และ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 ได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.162/2566 ซึ่งมีผลให้นักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย 180 วันขึ้นไป หากมีเงินได้จากต่างประเทศ เช่น เงินปันผล กำไรจากการขายหุ้น ดอกเบี้ย และได้นำเงินเข้ามาในประเทศไทยไม่ว่าจะนำเข้ามาในปีใดก็ตาม จะต้องนำมารวมเสียภาษีในประเทศไทยในปีนั้น ซึ่งตามหลักแล้วจะต้องเสียภาษีตามอัตราภาษีก้าวหน้า โดยหลักเกณฑ์ใหม่นี้จะใช้สำหรับเงินได้ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์นี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนที่ได้ไปลงทุนในต่างประเทศ ทั้งนี้ Wealth Planning and Family office จึงขอแนะนำนักลงทุนไทยที่ลงทุนต่างประเทศ อาจจะพิจารณาลงทุนผ่านกองทุนรวมไทยที่ไปซื้อสินทรัพย์ในต่างประเทศหรือกองทุนไทยที่ไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศ ข้อดีคือผู้ลงทุนได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหากได้กำไรจากการลงทุน แต่หากมีปันผลจะต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10
ในปีนี้ลูกค้ากลุ่มHNWให้ความสนใจเรื่องการสร้างความมั่งคั่งผ่าน Family Holding Company เพราะช่วยในการเก็บรวบรวมทรัพย์สินของครอบครัวเพื่อการส่งต่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนรวมทั้งยังช่วยแก้หรือลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจโดยสมาชิกครอบครัว การจัดโครงสร้าง Family Holding Company ที่ดีก็เหมือนการวางรากฐานของบ้านให้แข็งแกร่ง หากในอนาคตธุรกิจครอบครัวเจริญเติบโตขึ้น และวางอยู่บนฐานของโครงสร้างที่ดีก็จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวมีความแข็งแกร่ง
ธนาคารไทยพาณิชย์ ตระหนักถึงภัยทางการเงินที่มีความซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น โดยจากสถิติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 12 - 18 มีนาคม 2566 มีการรับแจ้งความออนไลน์ จากคดีหลอกลวงทางโทรศัพท์ที่เป็นขบวนการ หรือ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” จำนวน 529 เคส มูลค่าความเสียหายกว่า 65 ล้านบาท ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย รายงานว่ามีภัยทุจริตทางการเงิน เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์, SMS หลอกลวง, แอปดูดเงิน ฯลฯ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแอปดูดเงินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในเดือน มิถุนายน 2566 ที่มีรายงานความเสียหายจากแอปดูดเงินในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (ธันวาคม 2565 - มิถุนายน 2566) อยู่ที่ 1,152 ล้านบาท
![]()
แม้ว่าจะมีมาตรการต่างๆ ออกมาป้องกันอย่างเข้มข้นแล้วก็ตาม แต่เพราะมิจฉาชีพมีการปรับปรุงเทคนิคการหลอกลวงและพัฒนาเครื่องมือใหม่ๆ ที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ธนาคารจึงเดินหน้าสานต่อโครงการ “แก้ เกม กล โกง” เปิดตัวเว็บไซต์ศูนย์รวมคอนเทนต์คู่มือป้องกันมิจฉาชีพยุคใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยให้คนไทย ตื่นตัว รับรู้ เข้าใจ และรู้ทันวิธีป้องกันภัยทุจริตทางการเงิน และภัยคุกคามทางไซเบอร์ด้วยตนเอง ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับภัยจากมิจฉาชีพทั้งภาคธุรกิจ และผู้บริโภคภายใต้ 3 แกนหลัก ได้แก่ 1. อัปเดตกลโกง 2. วิธีป้องกันกลโกง 3. ถ้าโดนโกงแล้วต้องทำอย่างไร รวมถึงการแจ้งข่าวสาร ประกาศจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับภัยมิจฉาชีพ พร้อมส่ง “น้องเอ๊ะ เดอะซีรีส์” ผู้ช่วยเตือนภัยยุคใหม่ มาพร้อมคาแรกเตอร์ที่น่าเชื่อถือและเป็นกันเอง ถ่ายทอดประสบการณ์ภัยจากมิจฉาชีพจากการรับเคสต่างๆ ที่ลูกค้าเจอเป็นหลัก รวมถึงเคสจริงจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธปท. และข่าวบนโซเชียลมีเดีย นำมากลั่นกรองและนำเสนอผ่านวีดีโอคอนเทต์ที่เข้าใจง่าย มุ่งหวังสร้างความตระหนักรู้แก่คนไทยให้เท่าทันภัยมิจฉาชีพ
ธนาคารให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า โดยมีการพัฒนายกระดับความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันและจัดการภัยทางการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้ จะสามารถสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนให้รู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพได้ อย่างไรก็ตาม ลูกค้าและประชาชน ควรต้องติดตามข้อมูลและปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันภัยทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงการตกเป็นเหยื่อจากมิจฉาชีพ
![]()
สามารถติดตามเนื้อหาป้องกันภัยจากมิจฉาชีพจากเว็บไซต์โครงการ “แก้ เกม กล โกง” ได้ที่ https://link.scb/49pv2cw รวมถึง Social media ของธนาคารไทยพาณิชย์ และ The Standard ทุกช่องทาง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ในยุคที่มีการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจ B2B ได้ยืนอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ซึ่งได้รับแรงหนุนจากดิจิทัลดิสรัปชั่น พฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนไป การปรับแต่งแบบ personalization รวมถึงพลังของคนรุ่นใหม่ (Gen M) ทำให้การมองเทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเชิงกลยุทธ์จำเป็นสำหรับธุรกิจ B2B ซึ่งไม่ใช่เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น แต่เพื่อความสำเร็จของธุรกิจด้วย
DHL Express Thailand ได้เผยบทความเเพื่อชี้ถึงแนวโน้มของอีคอมเมิร์ซ B2B เพื่อที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจก้าวทันเทรนด์และความเปลี่ยนแปลง ฟันฝ่าวิกฤต และยกระดับสู่การเป็นผู้นำยุคอีคอมเมิร์ซ B2B โดยอ้างอิงข้อมูลจากรายงาน ‘The Ultimate Guide On B2B E-Commerce Trends in APAC’ โดย ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรสได้ รวบรวมเทรนด์ที่น่าจับตา คือ
![]()
ยอดขายอีคอมเมิร์ซ B2B ล็อตใหญ่จะเพิ่มสูงขึ้น
ก่อนหน้านี้ องค์กรธุรกิจต่างๆ ลังเลที่จะลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัล เนื่องจากลูกค้าไม่สะดวกที่จะซื้อสินค้าล็อตใหญ่ผ่านทางออนไลน์ นอกจากนี้ การจัดซื้อในรูปแบบดิจิทัลมักเป็นแบบ B2C มากกว่า B2B แต่มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดขึ้นเมื่อมีการชำระเงินแบบเข้ารหัส (encrypted payment) ทำให้การทำธุรกรรมโดยรวมมีความสะดวกมากขึ้น องค์กรธุรกิจต่างๆ จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการชำระเงินออนไลน์อีกต่อไป โดย 35% ระบุว่าพวกเขายินดีใช้จ่ายเงิน 500,000 ดอลลาร์ขึ้นไปสำหรับการทำธุรกรรมหนึ่งครั้งผ่านช่องทางดิจิทัล และ 15% ของผู้มีอำนาจตัดสินใจในองค์กรรู้สึกสบายใจที่จะซื้อสินค้าที่มีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ผ่านทางออนไลน์1 อีคอมเมิร์ซจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับองค์กรธุรกิจที่ต้องการซื้อขายสินค้าล็อตใหญ่ การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกเร่งให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากภาวะการแพร่ระบาด ส่งผลให้ธุรกรรมออนไลน์ขนาดใหญ่กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ด้วยระบบการชำระเงินแบบเข้ารหัสและความแพร่หลายของธุรกรรมออนไลน์ของธุรกิจ B2B องค์กรจึงรู้สึกมั่นใจในการใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเพื่อสั่งซื้อสินค้าจำนวนมาก
สำหรับประเทศไทย มีการปรับตัวให้เข้ากับวิวัฒนาการทางดิจิทัลของเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยในปี 2560 รัฐบาลไทยได้พัฒนาระบบ ‘พร้อมเพย์’ ซึ่งเป็นแผนแม่บทสำหรับการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ รองรับการริเริ่มใช้ระบบชำระเงินดิจิทัลระดับประเทศอย่างกว้างขวาง โดยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงวิธีการชำระเงินที่ครอบคลุมทุกธนาคารและเข้าถึงได้สะดวก ระบบนี้ช่วยให้ผู้บริโภคและองค์กรธุรกิจในไทยมีส่วนร่วมในธุรกรรมอีคอมเมิร์ซได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลลัพธ์ของโครงการดังกล่าวแสดงให้เห็นได้จากขนาดการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซ B2B ในประเทศที่
เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งมีมูลค่า 0.84 ล้านล้านบาทในปี 25632 และคิดเป็น 27% ของธุรกรรมอีคอมเมิร์ซทั้งหมดในปี 25653
![]()
ประสบการณ์แบบ Personalization จะเพิ่มมากขึ้นเพราะคนรุ่นมิลเลนเนียล
ทุกวันนี้ บุคลากรส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นมิลเลนเนียล ซึ่งคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางและรูปแบบการดำเนินธุรกิจขององค์กร โดย 73% ของกลุ่มมิลเลนเนียลมีหน้าที่ให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้าของบริษัท และ 34% เป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ4 ด้วยเหตุนี้ การปรับแต่งแบบ Personalization จึงเพิ่มมากขึ้นในธุรกรรมและการดำเนินงานของธุรกิจ B2B ซึ่งอาศัยประสบการณ์จากการทำธุรกรรม B2C สมัยใหม่ เนื่องจากคนรุ่นมิลเลนเนียลคุ้นเคยกับการมีส่วนร่วมของลูกค้าแบบ B2C พวกเขาจึงใช้แนวทางเดียวกันนี้ในการทำธุรกิจ B2B
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีผลกับประสบการณ์ของผู้ซื้อที่ต้องเป็นส่วนตัว เป็นมิตร และกระตุ้นให้เกิดความภักดีต่อแบรนด์มากขึ้น ธุรกรรมอีคอมเมิร์ซ B2B ได้เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่มุ่งเน้นความได้เปรียบด้านราคาแต่ตอนนี้มุ่งเน้นการมอบประสบการณ์ส่วนบุคคลที่เหมาะกับความต้องการเชิงกลยุทธ์มากขึ้น
โซลูชั่นดิจิทัลแบบบริการตนเอง (Self-serve digital solutions) จะแพร่หลายมากขึ้น
องค์กรธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกคาดหวังว่าจะได้เห็นตัวเลือกในการบริการตนเองสำหรับลูกค้าเพิ่มมากขึ้น การแพร่ระบาดทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้แนวทางแบบ ‘hands-off’ มากขึ้น โดยจำกัดการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการและการจัดการสินค้า การบริการตนเองช่วยสร้างโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจในการลดต้นทุนการขาย โดยไม่กระทบต่อการบริการลูกค้าและประสบการณ์ความสัมพันธ์แบบ B2B
![]()
ด้วยการเปลี่ยนแคตตาล็อก รายการราคาสินค้า เครือข่ายตัวแทนจำหน่ายให้เป็นรูปแบบดิจิทัล และเปิดให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว องค์กรธุรกิจต่างๆ จะสามารถลดภาระงานด้านธุรการ และมอบประสบการณ์ที่ราบรื่นยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า จากการสำรวจของ CRM Magazine พบว่าโซลูชั่นแบบ self-serve มีความสำคัญมากขึ้น โดยเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าองค์กรธุรกิจของตนใช้ช่องทางการบริการตนเองในระบบ CRM และคาดว่าแนวทางนี้จะมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น5
การทำแผนผังเครือข่ายซัพพลายเชนมีความสำคัญมากขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว
ผลจากการแพร่ระบาดทำให้ธุรกิจจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงร้านค้าที่มีหน้าร้านจริงได้ และต้องพึ่งพาช่องทางอีคอมเมิร์ซในการทำธุรกรรม ความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับข้อจำกัดที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับการจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศต่างๆ ทำให้องค์กรธุรกิจจำนวนมากในภาค B2B เริ่มตระหนักถึงจุดอ่อนในห่วงโซ่อุปทานและระบบการจัดการโลจิสติกส์ของตน ด้วยเหตุนี้ องค์กรธุรกิจจึงจำเป็นต้องสร้างระบบใหม่ที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
B2B International ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Merkel แนะนำให้องค์กรต่างๆ มุ่งเน้นไปที่การทำแผนผังเครือข่ายซัพพลายเชน โดยให้ความเห็นว่า “การรู้ว่าซัพพลายเออร์ ไซต์งาน ชิ้นส่วน และผลิตภัณฑ์ใดบ้างที่มีความเสี่ยงในช่วงวิกฤต จะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถเข้าถึงสินค้าคงคลังและกำลังการผลิตที่มีอยู่อย่างจำกัดในไซต์อื่นๆ เพื่อเป็นทางเลือกทดแทน”6 การแพร่ระบาดได้แสดงให้เห็นว่าเครือข่ายซัพพลายเชนที่หลากหลายจะช่วยยกระดับความมั่นคงปลอดภัยในช่วงที่เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ และช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถลดความสูญเสียที่เกี่ยวข้องกับการหยุดชะงักของซัพพลายเชนและโลจิสติกส์
มุ่งเน้นความยั่งยืนมากขึ้น
ลูกค้าในวันนีั้ให้ความสำคัญกับการซื้อขายอย่างมีจริยธรรมมากกว่าที่เคยเป็นมา ด้วยวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ลูกค้าในกลุ่ม B2B และ B2C จะยังคงเลือกใช้จ่ายเงินสำหรับทางเลือกที่ยั่งยืน อย่างไรก็ดี การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกที่ชาญฉลาดและมีจริยธรรมเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดผลดีต่อธุรกิจอีกด้วย
จากการศึกษาพบว่ามีลูกค้าจำนวนมากที่ระบุว่าความยั่งยืนเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ และลูกค้ายินดีที่จะจ่ายมากขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืน7 ซึ่งชี้ให้เห็นว่าบริษัทอีคอมเมิร์ซ B2B สามารถขยายช่องทางใหม่ในการสร้างรายได้และความร่วมมือ ด้วยการปรับใช้นโยบายที่ดึงดูดฐานลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การลดขยะและของเสียให้เหลือน้อยที่สุดตามแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนของระบบนิเวศจะช่วยธุรกิจต่างๆ ลดการสูญเสียรายได้ที่เป็นผลมาจากของเสียจากผลิตภัณฑ์อีกด้วย
เฮอร์เบิร์ต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด และหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า “อีคอมเมิร์ซ B2B มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และกลายเป็นกำลังสำคัญในระบบการค้าโลก โดยมีบทบาทในการรักษาความยั่งยืนของซัพพลายเชน การลงทุนอย่างต่อเนื่องของเราในด้านการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล ความยั่งยืน และโครงสร้างพื้นฐาน ตอกย้ำถึงความพร้อมและความมุ่งมั่นของเราในการช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ได้รับประสบการณ์อีคอมเมิร์ซที่ดีขึ้น ได้มีโอกาสใหม่ๆ พร้อมทั้งก้าวไปสู่ตลาดโลก เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง”
อิเกีย ประเทศไทย ประกาศเปิดตัว ‘อิเกีย สุขุมวิท’ สโตร์ อิเกียแห่งที่ 4 ในไทย ณ บริเวณชั้น 3 ศูนย์การค้าดิ เอ็มสเฟียร์ พร้อมให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป
ชูคอนเซ็ปต์ ‘City-Centre Store’ แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และร้านเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ โดยมุ่งตอบโจทย์ความสะดวกสบายในการเดินทางให้ชาวกรุง พร้อมประสบการณ์ช้อปปิ้งอย่างเต็มรูปแบบตามแบบฉบับของอิเกีย บนพื้นที่กว่า 12,000 ตร.ม. สานต่อวิสัยทัศน์ระดับโลกในการช่วยให้ชีวิตผู้คนทั่วโลกดีขึ้นทุกวัน ด้วยการตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของคนเมืองด้วยโซลูชันการตกแต่งบ้านที่ครอบคลุม โดยเฉพาะกลุ่มคนเมืองที่มีรูปแบบการใช้ชีวิตหลากหลาย พร้อมสินค้าที่มีให้เลือกมากมายถึง 8,254 รายการ โดยมีถึงกว่า 4,000 รายการที่สามารถช้อปและนำกลับบ้านได้เลย การสร้างโอกาสในการทำงานที่ส่งเสริมความหลากหลายและการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียมให้แก่ทีมงานกว่า 180 คน และความมุ่งมั่นในการพัฒนาชุมชนโดยรอบสู่ความยั่งยืน โดยการเปิดตัวซิตี้สโตร์แห่งแรกในประเทศไทยครั้งนี้ยังเป็นการพลิกโฉมอุตสาหกรรมค้าปลีกครั้งสำคัญ ด้วยการผสานประสบการณ์ช้อปปิ้งออฟไลน์และออนไลน์อย่างไร้รอยต่อมากขึ้น และการนำเสนอบริการที่สนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพิ่มขึ้น
![]()
ลีโอนี่ ฮอสกิ้น ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจค้าปลีก อิเกีย ประเทศไทย และเวียดนาม
ลีโอนี่ ฮอสกิ้น ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจค้าปลีก อิเกีย ประเทศไทย และเวียดนาม กล่าวว่า “แนวคิดซิตี้สโตร์ของอิเกียเริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2560 และถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการขยายการเติบโตของบริษัทในระดับโลก สำหรับ ‘อิเกีย สุขุมวิท’ ซิตี้สโตร์แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และร้านเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ มุ่งอำนวยสะดวกแก่ลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ใจกลางเมือง ด้วยการเดินทางที่
ง่ายขึ้น พร้อมประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เต็มรูปแบบตามแบบฉบับของอิเกีย ไม่ว่าจะเป็น โชว์รูม มาร์เก็ตฮอลล์ คลังสินค้าบริการตนเอง ร้านอาหารอิเกีย รวมถึงมุมอาหารและขนมสวีเดน เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะได้สานต่อความสำเร็จตลอด 12 ปีที่ผ่านมาในประเทศไทย ด้วยการทำให้แบรนด์ของเราใกล้ชิดกับคนเมืองมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาประสบการณ์ช้อปปิ้งทั้งออนไลน์ และนำเสนอบริการเพิ่มเติมเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองโดยเฉพาะ พร้อมส่งเสริมการพัฒนาชุมชนโดยรอบในขณะเดียวกัน”
ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ อิเกีย สุขุมวิท พร้อมอำนวยความสะดวกในการเดินทางที่ง่ายขึ้นด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ส่งมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งอย่างเต็มรูปแบบตามแบบฉบับของอิเกีย ด้วยสินค้าที่มีให้เลือกมากมายถึง 8,254 รายการ โดยมีถึงกว่า 4,000 รายการที่สามารถช้อปและนำกลับบ้านได้เลย บนพื้นที่กว่า 12,000 ตร.ม. โดยแบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่ โชว์รูมที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อรองรับ วิถีชีวิตของชาวเมือง มาร์เก็ตฮอลล์ที่มีสินค้ากว่า 3,000 รายการให้เลือกช้อป ครบครันในทุกประเภทเช่นเดียวกับที่ อิเกีย บางนา และบางใหญ่ คลังสินค้าบริการตนเอง (self-serve) ที่มีสินค้าที่ซื้อและนำกลับได้เลยกว่า 300 รายการ พร้อมมุมสินค้าตามสภาพ (as-is corner) และร้านอาหารอิเกีย อีกหนึ่งมุมไฮไลท์ที่โอบล้อมด้วยวิวของสวนเบญจสิริในมุมกว้างและพร้อมให้บริการถึง 530 ที่นั่ง ให้ผู้ที่มาเยือนได้ผ่อนคลายกับบรรยากาศความร่มรื่นใจกลางเมือง ขณะดื่มด่ำไปกับเมนูอาหารสวีเดนมื้อโปรด โดยจะมี 3 เมนูใหม่ที่รังสรรค์ขึ้นโดยเฉพาะ สำหรับช่วงเปิด อิเกีย สุขุมวิท อีกด้วย
![]()
ศิรินทร์ อาศน์ศิลารัตน์ ผู้จัดการสโตร์ อิเกีย สุขุมวิท กล่าวว่า “อิเกีย สุขุมวิท เตรียมพร้อมเปิดให้บริการสำหรับคนที่รักแบรนด์อิเกียและคนที่ยังไม่เคยมีโอกาสเดินทางไปที่สโตร์บางนาและบางใหญ่ ให้ได้สัมผัสประสบการ์การช้อปปิ้งและบริการของอิเกียอย่างเต็มรูปแบบ และจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เร่งรีบของ คนเมือง เราจึงมีบริการที่รวดเร็วด้วยการจัดส่งภายในวันเดียว ในรัศมี 8 กิโลเมตรโดยรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าสะท้อนความสนใจในด้านการรักษ์สิ่งแวดล้อมของคนในย่านนี้ด้วย และยังเป็นบริการใหม่ซึ่งมีที่ อิเกีย สุขุมวิท เป็นแห่งแรก นอกจากนี้ เรายังได้เปิดตัวคอลเล็คชั่นพิเศษ AURTIENDE/ ออเทียนเด ครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทย เพื่อฉลองการเปิดตัวสโตร์อิเกียแห่งที่ 4 ในไทย ตอกย้ำคอนเซ็ปต์ ‘City-Centre Store’ ในครั้งนี้ด้วย”
บริการส่งสินค้าถึงบ้านภายในวันเดียว (same-day delivery) ด้วยรถพลังงานไฟฟ้า จะให้บริการอยู่ภายในรัศมี 8 กิโลเมตร สำหรับสินค้าที่มีอยู่ในสโตร์และลูกค้าเดินทางมาช้อปด้วยตัวเอง โดยมีค่าบริการเริ่มต้นที่ 129 บาท นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและรวดเร็วให้กับลูกค้า กับบริการเช็คเอาต์ด้วยตัวเองที่มีช่องให้บริการมากถึง 16 ช่อง ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมืองยุคดิจิทัล
ทั้งนี้ อิเกีย สุขุมวิท พร้อมต้อนรับทุกคนที่กำลังมองหาไอเดียและแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ในการตกแต่งห้อง คอนโด บ้าน หรือออฟฟิศ ด้วยประสบการณ์การช้อปปิ้งเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่สะดวกสบาย พร้อมด้วยดีไซน์ คุณภาพและในราคาที่เข้าถึงได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.IKEA.co.th
คณะกรรมการส่งออกผักผลไม้แห่งประเทศญี่ปุ่น (ต่อไปนี้จะเรียกว่า สมาคมญี่ปุ่น) ร่วมมือกับศูนย์ส่งเสริมผลิตภัณฑ์อาหารญี่ปุ่นไปยังต่างประเทศ (ต่อไปนี้จะเรียกว่า JFOODO) และ Japanese Food Export Platform ที่จัดตั้งโดยกระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงญี่ปุ่น จัดแคมเปญส่งเสริมการขายโดยเลือกใช้คาแรกเตอร์จากการ์ตูนชื่อดังอย่าง DORAEMON มุ่งหวังให้ผู้บริโภคชาวไทยได้รู้จักกับผลไม้รสชาติแสนอร่อยของญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น
รัฐบาลญี่ปุ่นมีความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ป่าไม้ และการประมง รวมถึงอาหาร โดยตั้งเป้าการส่งออกเป็น 2 ล้านล้านเยนในปี 2025 และ 5 ล้านล้านเยนในปี 2030 ทั้งนี้ ความนิยมของผลไม้ญี่ปุ่นในประเทศไทยเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี โดยเฉพาะแอปเปิ้ล และสตรอเบอร์รี่ จึงคาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกผลไม้จากประเทศญี่ปุ่นจะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผลไม้ญี่ปุ่นมีสีสันที่สดใส สวยงาม รสชาติหวานฉ่ำจึงทำให้เป็นที่ชื่นชอบของคนทุกเพศทุกวัย อีกทั้งอ้างอิงจากตัวเลขนักท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ทราบได้ว่าความต้องการทานผลไม้ที่เคยทานในประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะคนไทยเองนั้นก็เพิ่มมากขึ้นด้วย
ด้วยความปรารถนาของสมาคมญี่ปุ่น ที่ต้องการให้ “คนไทยทุกคนคุ้นเคยกับผลไม้ญี่ปุ่นที่แสนอร่อยมากขึ้น” สมาคมญี่ปุ่นจึงจัดแคมเปญประจำปี 2023 ขึ้นในคอนเซ็ปต์ “ผลไม้พรีเมียมสำหรับเด็กๆ” โดยนำคาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนอมตะที่เป็นที่รู้จักในไทยและทั่วโลกอย่าง DORAEMON มาสร้างสีสัน ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิ การติดป็อบอัพโปรโมทที่ร้านจำหน่ายผลไม้ญี่ปุ่น การเผยแพร่ข่าวสารผ่านทางเฟซบุ๊ก เว็บไซต์ และการให้ข่าวสารผ่านอินฟลูเอนเซอร์ การร่วมมือกับร้านค้าปลีกในไทยรวมถึงเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ รวมถึงการจัดอีเวนต์ชิมผลไม้ญี่ปุ่นในวันเด็กของไทยอีกด้วย
มร. โยชิฮิสะ ฮิชินุมะ ประธานสมาคมญี่ปุ่น กล่าวว่า “ผักและผลไม้ของญี่ปุ่นขึ้นชื่อในเรื่องของ ความอร่อย คุณภาพดี และความปลอดภัย จึงได้รับกระแสตอบรักจากลูกค้าทุกท่านจากทั่วทุกมุมโลกที่อย่างสูง ผลไม้ญี่ปุ่นที่เด็กๆ ชื่นชอบ จะช่วยเพิ่มสีสันการรับประทานอาหารให้ครอบครัวและเพื่อนฝูงคนสำคัญ จึงอยากให้ทุกคนได้ทานผักและผลไม้ตามฤดูกาลที่หลากหลายนี้”
![]()
รายละเอียดแคมเปญ
ชื่อแคมเปญ: Japanese Fruit -Color the Family Table
ระยะเวลาแคมเปญ: กันยายน 2023 ถึงมีนาคม 2024
รายละเอียดงาน: เผยแพร่ข่าวสารทางเว็บไซต์ และ เฟซบุ๊ค รวมถึงการเผยแพร่ข้อมูลโดยอินฟลูเอนเซอร์
ความร่วมมือกับร้านค้าปลีกในท้องถิ่นในไทยและเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ อีกทั้ง ยังจัดอีเวนท์ลองชิมผลไม้ญี่ปุ่นในวันเด็กของไทย เป็นต้น
อ้างอิง: เว็บไซต์โปรโมทผลไม้ญี่ปุ่น: https://japanese-fruit.jp/thailand/ Official Facebook ของ Japanese Fruit.: https://www.facebook.com/JapaneseFruitsTH
![]()
เกี่ยวกับคณะกรรมการส่งออกผักผลไม้แห่งประเทศญี่ปุ่น
Japan Fruit and Vegetables Export Promotion Council (JFEC)
คณะกรรมการส่งออกผักผลไม้แห่งประเทศญี่ปุ่น เป็นสมาคมจัดตั้งทั่วไป (General incorporated association) ที่รวบรวมและให้ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและข้อมูลเกี่ยวกับการส่งออกที่จำเป็นสำหรับการส่งออกผักผลไม้และผลิตภัณฑ์แปรรูปของประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังให้การสนับสนุนสมาชิกโดยส่งเสริมการเร่งขยายตัวของการส่งออกผักและผลไม้
เคทีซี หนึ่งในธุรกิจสินเชื่อชั้นแนวหน้าของประเทศไทย จับกระแสรักษ์โลก จัดงานเสวนา KTC FIT Talks ครั้งที่ 10 ในหัวข้อ “ถึงเวลาพลังงานทางเลือก เป็นพลังงานทางรอด” เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชน
โดยเชิญตัวแทนภาครัฐและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทน ร่วมเปิดมุมมองต่อพลังงานทางเลือก แนวโน้มของการใช้งานรถพลังงานไฟฟ้าและโซลาเซลล์ในประเทศไทย รวมถึงโอกาสในการเข้าถึงพลังงานทางเลือกในระดับครัวเรือน และสิทธิพิเศษเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายสมาชิกบัตรเครดิตและผู้บริโภค
![]()
นายวัชรินทร์ บุญฤทธิ์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ กรมพัฒนาพลังงานทดแทน และอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้เผยถึงประเด็นว่า “กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ดำเนิกนการส่งเสริม สนับสนุนการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง ตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2561-2580 (AEDP 2018) โดยกำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนที่ร้อยละ 30 ภายในปี พ.ศ. 2580 และมุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาพลังงานทดแทน ทั้งในส่วนของพลังงานไฟฟ้า พลังงานความร้อน และเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง ซึ่งขับเคลื่อนผ่านมาตรการต่างๆ”
“นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานยังจัดทำแผนพลังงานชาติฉบับใหม่ ที่มีเป้าหมายการมุ่งสู่ Carbon Neutrality 2050 หรือความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งหมายถึงการลด ดูดซับ หรือชดเชยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในปริมาณที่เท่ากับการปล่อย CO2 ตามกรอบแผนพัฒนาพลังงานชาติ (National Energy Plan) ซึ่งกำหนดเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนไว้ที่สัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 โดยมุ่งเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ส่งเสริมการประหยัดพลังงานให้เข้มข้นมากขึ้น รวมทั้งมีนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ภายใต้ขอบเขตของการร่วมมือในการพัฒนาส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกระหว่างภาครัฐและเอกชนที่สามารถร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนสังคม พร้อมส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกในบริบทต่างๆ เช่น การส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจสีเขียว การใช้พลังงานสะอาดให้มากขึ้น รวมถึงการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญและมุมมองความต้องการในเชิงธุรกิจ”
![]()
นายสุวัฒน์ เทพปรีชาสกุล ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่า “เคทีซีเป็นสถาบันการเงินไทยโดยคนไทยเพื่อคนไทย เราตระหนักและให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจภายใต้ ESG หรือแนวคิดการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืนมาตลอด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเรื่องของการร่วมสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับสังคมไทยเพื่อส่งต่อให้กับคนรุ่นหลัง และพลังงานทางเลือกจากธรรมชาติกำลังเป็นความจำเป็นที่เข้ามาทดแทนพลังงานแบบเดิม เราจึงพยายามวางแผนกลยุทธ์การตลาดต่างๆ เพื่อร่วมขับเคลื่อนให้คนไทยและสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่สนใจเรื่องของพลังงานทดแทน สามารถเข้าถึงและจับต้องได้ โดยจากการศึกษาพบว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ และฐานข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในหมวดรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า (Electronic Vehicle – EV) ตั้งแต่ ต้นปี 2566 ถึงปัจจุบัน ยังพบว่ามีการเติบโตต่อเนื่องถึง 60% และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ EV / เครื่องชาร์จระบบรถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนประกันภัย สำหรับรถยนต์ EV โดยเฉพาะ และพร้อมมองหาโอกาสในการต่อยอดเพื่อเป็นหนึ่งในการสรรค์สร้างสังคมสู่ความยั่งยืนต่อไป”
![]()
นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Smart System Solution Business ในธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า “จากเมกะเทรนด์ ที่ผลักดันให้ระบบโซลาร์ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความต้องการใช้รถไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประสิทธิภาพของวัสดุอุปกรณ์ของระบบดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนของระบบโซลาร์ต่ำลงและเข้าถึงง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบันระบบโซลาร์แบบออนกริด (On-Grid) ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจาก คืนทุนรวดเร็วที่สุด และสามารถขายคืนการไฟฟ้าในโครงการโซลาร์ภาคประชาชน หากต้องการติดตั้งระบบโซลาร์ นอกเหนือจากพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของเจ้าของบ้านแล้ว ควรพิจารณาถึงมาตรฐานของอุปกรณ์ในระบบ ผู้ให้บริการติดตั้งที่เชื่อถือได้ เพื่อการดูแลในระยะยาว”
“เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมระบบหลังคาโซลาร์สำหรับที่พักอาศัย พร้อมโซลูชันครบวงจร เรามุ่งมั่นพัฒนาสินค้านวัตกรรมให้มีคุณภาพ โดยเฉพาะระบบการยึดติดแผงโซลาร์โดยไม่ต้องเจาะหลังคา เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องหลังคารั่วด้วย Solar FIX การให้บริการแบบครบวงจร และการรับประกันตลอด 25 ปีโดยเอสซีจี ตลอดจนพัฒนาสินค้าและบริการให้เข้ากับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่างครอบคลุมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ เพื่อขับเคลื่อนและผลักดันให้พลังงานสะอาดสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายยิ่งขึ้น”
![]()
นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือในการทำการตลาดเพื่อร่วมสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในสังคมไทย “อีกมุมหนึ่งของการดำเนินธุรกิจที่เคทีซีคำนึงถึงมาโดยตลอด คือการบูรณาการกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน ภายใต้กรอบความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ ที่มีการดำเนินงานให้สอดคล้องสนับสนุนในทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรรมาภิบาล โดยเคทีซีได้คัดสรรสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม คุ้มค่าและตรงกับความต้องการของสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีเป็นสำคัญ ซึ่งเรื่องของที่พักอาศัยถือเป็นปัจจัยหลักพื้นฐานของมนุษย์ เคทีซีจึงจัดเตรียมสิทธิพิเศษที่ช่วยตอบโจทย์แนวคิดและวิถีชีวิตไลฟ์สไตล์ส่วนใหญ่ของสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่เป็นคนรุ่นใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมองหาความคุ้มค่าในการใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด เพื่อให้สมาชิก เคทีซีและผู้บริโภคสามารถเข้าถึงพลังงานทางเลือกได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลิตภัณฑ์โซลาร์รูฟ และการเข้าถึงผลิตภัณฑ์โซลาร์รูฟได้ง่ายขึ้น โดยในช่วงปีพ.ศ.2564 - 2566 ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในการติดตั้ง โซลาร์รูฟเติบโตเฉลี่ย 10%”
“เคทีซียังได้เตรียมสิทธิพิเศษในรูปแบบต่างๆ กับพันธมิตรชั้นนำเกี่ยวกับการติดตั้งโซลาร์รูฟ ทั้งการผ่อนชำระ 0% หรือรับเครดิตเงินคืนเพิ่มเติม เพื่อแบ่งเบาภาระให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี โดยสามารถติดต่อและหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-123-5000 หรือ โซลาร์ รูฟ (ktc.co.th) เราเชื่อว่าวันนี้พลังงานทางเลือกเป็นเรื่องสำคัญและจะได้รับความสนใจมากขึ้นจากกระแสของการรักษ์โลกและความยั่งยืน เคทีซีจึงต้องการเป็นส่วนหนึ่งที่นำเสนอความคุ้มค่าให้กับสมาชิกเคทีซี นึกถึงโซลาร์รูฟ นึกถึงบัตรเครดิตเคทีซี นอกจากนี้ ยังเปิดรับธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทางเลือก และสนใจจะเป็นพันธมิตร คู่ค้าร่วมกับเคทีซีในการมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิก โดยร้านค้าที่สนใจใช้บริการรับชำระของเคทีซี (KTC Merchant Acquiring) สามารถสมัครได้ที่ www.ktc.co.th/merchant หรือติดต่อ Call Center ธุรกิจร้านค้าเคทีซี โทร. 0-2123-5700”
นายสุวัฒน์กล่าวปิดท้าย “สำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจจะเปลี่ยนรถจากพลังงานแบบเดิม มาใช้รถพลังงานไฟฟ้า หรือรถ EV เคทีซียินดีมอบสิทธิพิเศษที่ครบวงจรสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี อาทิ ผ่อนชำระ 0% ค่าจองรถ และค่าดาวน์รถยนต์ EV รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 16% หรือ รับคะแนนสะสมพิเศษสูงถึง 1,000,000 คะแนน เป็นต้น ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โปรโมชั่นบัตรเครดิต KTC รับเครดิตเงินคืน ส่วนลด ของแถม โปร KTC เพียบ หรือโทร. 0-2123-5000”
KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจเกียรตินาคินภัทร ปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจปรับประมาณการ์เศรษฐกิจปี 2023 เหลือ 2.4% และประมาณการณ์ปีหน้าเป็น 3.7% หาก Digital Wallet ผ่านและ 2.9% กรณีไม่รวม Digital Wallet
ทั้งนี้ GDP ไตรมาส 3 ที่ได้รับการเผยแพร่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยโตในระดับค่อนข้างต่ำที่ 1.5% ในขณะที่ GDP ในฝั่งการอุปสงค์โตได้ถึง 5.6% ความแตกต่างกันค่อนข้างมากของ GDP ฝั่งอุปสงค์และอุปทานนำมาสู่ข้อสงสัยของหลายฝ่ายว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเป็นอย่างไรกันแน่ KKP Research ประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยในภาพรวมยังคงอ่อนแอกว่าที่ตัวเลขแสดง
เศรษฐกิจในประเทศอ่อนแอกว่าที่เห็น
การบริโภคของ GDP ไตรมาส 3 โตสูงถึง 8% ในภาวะที่หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงและภาคธนาคารชะลอการปล่อยกู้สินเชื่อภาคครัวเรือน อย่างไรก็ตาม KKP Research ประเมินว่าเมื่อพิจารณาประกอบกับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่น ๆ แล้ว การใช้จ่ายในประเทศน่าจะโตได้น้อยกว่าตัวเลขดังกล่าวมาก ภายใต้ข้อสังเกตดังต่อไปนี้
1) ยอดขายบ้านและรถยนต์ปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยเกิดจากทั้งรายได้ในประเทศที่ยังฟื้นตัวได้ช้า การปล่อยกู้ของสินเชื่อภาคธนาคารที่ตึงตัวขึ้นมาก และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นเร็วทำให้ภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้น
2) ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนออกมาอ่อนแอต่อเนื่องสวนทางกับเลข GDP ในฝั่งการใช้จ่าย โดยในช่วงที่ผ่านมา ทิศทางกำไรของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทยค่อนข้างแย่ และมีจำนวนหุ้นที่ถูกปรับการคาดการณ์รายได้ ( Earning) ลง มากกว่าจำนวนหุ้นที่ถูกปรับการคาดการณ์รายได้ ขึ้น ขณะที่กำไรต่อหุ้นหรือ EPS ของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ลดลงมากว่า 10% จากต้นปี 2023 ซึ่งลดลงมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะอยู่ในช่วงที่ชะลอตัวมากกว่าฟื้นตัวได้ดี
3) อัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (Same store sale growth) ของบริษัทจดทะเบียนมีทิศทางที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง โดยชะลอตัวลงทั้งในกลุ่มของสินค้าจำเป็นและสินค้าฟุ่มเฟือย และมีแนวโน้มปรับเป็นติดลบในไตรมาสที่ 3 ปี 2023 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
4) สินเชื่อในภาคธนาคารหดตัว สะท้อนว่าธนาคารพาณิชย์มีมุมมองที่ไม่ดีนักต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและคุณภาพสินเชื่อในระยะข้างหน้า จึงชะลอการปล่อยกู้ลง
5) ผลการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในปีภาษีที่ผ่านมา ภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งควรสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หดตัวประมาณ 3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าแม้ปรับมูลค่าการนำเข้าสินค้าที่ลดลงแล้ว ซึ่งผลการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดลงสะท้อนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง
จากทั้ง 5 ชุดข้อมูลสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจในประเทศไม่น่าจะขยายตัวได้ดีมากนัก โดยทั้งการบริโภคสินค้าคงทน สินค้าไม่คงทน และการลงทุนมีแนวโน้มชะลอตัวลงทั้งหมด
ปรับ GDP ปี 2024 เป็น 3.7% หลังรวมผลของนโยบาย Digital Wallet แม้ KKP Research จะประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในภาพรวมยังคงอ่อนแอและไม่สามารถฟื้นตัวได้ดีมากนัก อย่างไรก็ตาม ได้ปรับ GDP เพิ่มขึ้นเป็น 3.7% จาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ (Digital Wallet) ที่คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ 0.8% ของ GDP โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีหน้า 2) การท่องเที่ยวที่ยังคงฟื้นตัวได้โดยคาดจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 35 ล้านคนในปี 2024 และ 3) การส่งออกที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวตามวัฏจักรการผลิตและการส่งออกโลก
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่ายังมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่รัฐบาลอาจไม่สามารถผลักดันมาตรการ Digital Wallet เพราะข้อจำกัดด้านการคลังและกฎหมาย ในกรณีที่ไม่รวมผลจากมาตรการนี้ คาดว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะชะลอลงเหลือ 2.9% ในปี 2024 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่กดดันการเติบโตในระยะยาวมาอย่างต่อเนื่อง
นโยบายแจกเงินส่งผลต่อเศรษฐกิจค่อนข้างจำกัด และกระตุ้นการบริโภคได้เพียงชั่วคราว
KKP Research ประเมินว่าหากนโยบาย Digital Wallet สามารถออกใช้ได้ตามที่รัฐบาลแถลง จะมีต้นทุนสูงถึง 5 แสนล้านบาท ในขณะที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น แต่ผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะมีค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับต้นทุน โดยประเมินตัวคูณทางการคลัง (fiscal multiplier) ที่ 0.3 เท่า ซึ่งจะส่งผลบวกต่อ GDP ประมาณ 0.8% ในปี 2024 โดยผลดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีหน้าหากมีการออกใช้จริง และเศรษฐกิจอาจจะชะลอตัวลงอย่างมากหลังจากนั้น (ดู KKP Research นโยบายรัฐได้ไม่คุ้มเสีย) เนื่องจากสถานการณ์การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้ไทยแข่งขันในเวทีโลกได้ยากขึ้น มากกว่าประเด็นการลดลงของรายได้ชั่วคราว นอกจากนี้ ผลกระทบด้านลบยังรวมไปถึงต้นทุนทางอ้อมต่อเศรษฐกิจที่จะเพิ่มขึ้น จากการที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดจะปรับตัวสูงขึ้นจากการที่รัฐบาลจำเป็นต้องกู้เพิ่มอีกด้วย
เศรษฐกิจโลกยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย ท่องเที่ยวฟื้นช้ากว่าคาด
KKP Research คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสชะลอตัวแต่น่าจะยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องในปีหน้า แม้มีความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสขยายตัวได้ จากแรงสนับสนุนทั้งวัฏจักรการผลิต การย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ (Reshoring) จากภาวะการย้อนกลับของโลกาภิวัฒน์ (Deglobalization) และมาตรการกระตุ้นการลงทุนซึ่งส่งผลให้ผลิตภาพของแรงงานปรับตัวดีขึ้น และน่าจะทำให้การส่งออกของไทยในปี 2024 มีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้เล็กน้อยสอดคล้องกับการส่งออกของประเทศในภูมิภาค โดยคาดว่าการส่งออกของไทยจะเติบโตได้เล็กน้อยที่ 2.0%
อย่างไรก็ตาม KKP Research ปรับลดตัวเลขนักท่องเที่ยวในปี 2024 จาก 38 ล้านคน เหลือ 35 ล้านคนในปีหน้า จากนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวกลับมาได้ช้ากว่าที่คาด ซึ่งเกิดจากทั้งปัญหาภายในของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง ความเชื่อมั่นในการท่องเที่ยวไทยที่แย่ลงหลังเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมา และความกังวลด้านความปลอดภัยที่ทำให้คนจีนลดความสนใจในการมาท่องเที่ยวประเทศไทย
เงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยสูง
KKP Research ประเมินว่าจากทิศทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างอ่อนแอจะทำให้อัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำที่ 1.7% เท่านั้น โดยในช่วงที่ผ่านมาเงินเฟ้อไทยลดลงอย่างรวดเร็วและเริ่มเติบโตติดลบในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเริ่มคงที่ ซึ่งเงินเฟ้อในไทยถือว่าปรับตัวลดลงเร็วที่สุดประเทศหนึ่งในโลกต่างจากหลายประเทศที่เงินเฟ้อค้างอยู่ในระดับสูงยาวนาน ในขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจส่งสัญญานทิศทางไม่ชัดเจน ทำให้การประเมินเศรษฐกิจเพื่อดำเนินนโยบายทำได้ยากขึ้น โดยคาดว่าธนาคารแห่งประเทศจะยังคงดอกเบี้ยที่ 2.5% ไปตลอดทั้งปี 2024 ทำให้สถานการณ์ปัจจุบันมีความเสี่ยงที่นโยบายการเงินไทยจะอยู่ในภาวะที่เริ่มตึงตัวมากเกินไป ซึ่งปัจจุบันดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยสูงขึ้นที่ประมาณ 2.5% ซึ่งมากกว่าสหรัฐ ฯ ที่ประมาณ 2% ในกรณีที่นโยบาย digital wallet ไม่เกิดขึ้นได้จริง โอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะมีสูงขึ้น
ประเด็นสุดท้าย การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะอุปสงค์ในประเทศไม่ได้เกิดจากเฉพาะปัจจัยชั่วคราวแต่มีส่วนสำคัญจากปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวที่ทำให้ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยตกต่ำลงต่อเนื่อง โดยศักยภาพการเติบโตของไทยในปัจจุบันอาจลดลงเหลือประมาณ 2.4% ตามแนวโน้มการเติบโตใหม่ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นแต่จำเป็นที่จะต้องมีนโยบายปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาวเพื่อยกระดับศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้สามารถเติบโตต่อเนื่องได้อย่างยั่งยืน
การ์ทเนอร์ ประกาศ 10 เทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่องค์กรต้องจับตาและศึกษาในปี 2567
บาร์ท วิลเลมเซ่น รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การรับมือกับความปั่นป่วนทางเทคโนโลยีและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและสังคมต้องอาศัยความกล้าที่จะมุ่งมั่นอย่างตรงไปตรงมาและเพิ่มความยืดหยุ่นในการตอบสนองอย่างเฉพาะเจาะจง ผู้นำไอทีอยู่ในสถานะที่ต่างจากผู้อื่นในการวางโรดแมปเชิงกลยุทธ์ โดยการลงทุนเทคโนโลยีจะช่วยให้ธุรกิจยังคงประสบความสำเร็จได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนและแรงกดดันเหล่านี้”
คริส ฮาวเวิร์ด รองประธานและหัวหน้าฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ผู้นำไอทีและผู้บริหารในส่วนงานอื่น ๆ ต้องประเมินผลกระทบและประโยชน์จากเทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อพิจารณาจากจำนวนนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น Generative AI และ AI ประเภทอื่น ๆ ที่นำเสนอโอกาสและขับเคลื่อนเทรนด์ต่าง ๆ แต่การจะได้มาซึ่งคุณค่าทางธุรกิจจากการใช้ AI อย่างต่อเนื่องนั้น ต้องมีแนวทางที่เป็นขั้นเป็นตอนเพื่อการนำไปใช้ได้อย่างครอบคลุม ควบคู่กับการใส่ใจในความเสี่ยง”
![]()
10 เทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ในปี 2567 ได้แก่
Democratized Generative AI
Generative AI (หรือ GenAI) กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีสาธารณะด้วยการผสานรวมรูปแบบจำลองที่ได้รับการฝึกฝนล่วงหน้าไว้จำนวนมาก เข้ากับการประมวลผลคลาวด์และระบบโอเพ่นซอร์ส ทำให้ผู้ใช้งานทั่วโลกสามารถเข้าถึงโมเดลเหล่านี้ได้ การ์ทเนอร์คาดว่าภายในปี 2569 องค์กรมากกว่า 80% จะใช้ GenAI API และโมเดลต่าง ๆ และ/หรือปรับใช้แอปพลิเคชันที่เปิดใช้งาน GenAI ในสภาพแวดล้อมการผลิต เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปี 2566 ที่น้อยกว่า 5%
แอปพลิเคชัน GenAI ต่าง ๆ ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงแหล่งข้อมูลมากมายจากภายในและภายนอกองค์กรเพื่อใช้ในทางธุรกิจได้ ซี่งหมายความว่าการนำ GenAI มาใช้อย่างรวดเร็วจะทำให้เกิดองค์ความรู้และทักษะในองค์กรอย่างเสรีและมีนัยสำคัญ โดยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) จะช่วยให้องค์กรเชื่อมโยงพนักงานกับความรู้ในรูปแบบการสนทนาพร้อมเข้าใจความหมายที่หลากหลาย
AI Trust, Risk and Security Management การเข้าถึง AI แบบเสรีทำให้ต้องมีการกำหนดกลยุทธ์สำหรับจัดการด้านความน่าเชื่อถือ ความเสี่ยง และการรักษาความปลอดภัย (หรือ TRiSM) อย่างเร่งด่วนและชัดเจนมากยิ่งขึ้น หากไม่มีกลยุทธ์ที่ตีกรอบโมเดลการใช้ AI จะสร้างผลลบแบบทบต้นที่ควบคุมไม่ได้ บดบังประสิทธิภาพเชิงบวกและประโยชน์ที่สังคมควรได้รับจาก AI ทั้งนี้ AI TRiSM มอบเครื่องมือสำหรับ ModelOps, การป้องกันข้อมูลเชิงรุก, ความปลอดภัยเฉพาะของ AI, การมอนิเตอร์โมเดล (รวมถึงการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของข้อมูล - Data Drift หรือของโมเดล - Model Drift และ/หรือผลลัพธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ) และการควบคุมความเสี่ยงของการอินพุตและเอาต์พุตไปยังโมเดลและแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการรายอื่น ๆ
การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2569 องค์กรที่ใช้การควบคุม AI TRiSM จะเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ โดยกำจัดข้อมูลผิดพลาดและผิดกฎหมายได้มากถึง 80%
AI-Augmented Development
การพัฒนาเสริมด้วย AI คือการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เช่น GenAI และ Machine Learning เพื่อช่วยในการออกแบบ เขียนโค้ด และทดสอบแอปพลิเคชันให้กับวิศวกรซอฟต์แวร์ โดยการทำวิศวกรรมซอฟต์แวร์ที่ใช้ AI มาช่วย (AI-assisted Software Engineering) จะปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของนักพัฒนา และช่วยให้ทีมพัฒนาตอบสนองความต้องการซอฟต์แวร์ที่เพิ่มขึ้นสำหรับการดำเนินธุรกิจ เครื่องมือที่พัฒนาขึ้นโดยใช้ AI (AI-Infused Development Tools) เหล่านี้ช่วยให้วิศวกรซอฟต์แวร์ใช้เวลาเขียนโค้ดน้อยลง จึงสามารถใช้เวลามากขึ้นกับงานเชิงกลยุทธ์มากขึ้นเช่นการออกแบบและจัดวางองค์ประกอบของแอปพลิเคชันทางธุรกิจที่น่าสนใจ
Intelligent Applications
การ์ทเนอร์ให้คำจำกัดความของแอปพลิเคชันอัจฉริยะที่มีความชาญฉลาด ว่าเป็นความสามารถในการเรียนรู้ปรับตัวให้ตอบสนองอัตโนมัติอย่างเหมาะสม โดยข้อมูลอัจฉริยะนี้สามารถนำไปใช้ในหลายเคสการใช้งานเพื่อเพิ่มหรือทำงานอัตโนมัติได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากความสามารถพื้นฐาน ความชาญฉลาดในแอปพลิเคชันประกอบด้วยบริการต่าง ๆ ที่ใช้ AI เช่น การเรียนรู้ของเครื่อง การเก็บเวกเตอร์และข้อมูลที่เชื่อมต่อ ด้วยเหตุนี้แอปพลิเคชันอัจฉริยะจึงมอบประสบการณ์ที่ปรับเข้ากับผู้ใช้แบบไดนามิก
ความต้องการใช้งานแอปพลิเคชันอัจฉริยะนั้นมีอยู่ โดย 26% ของผู้บริหารระดับซีอีโอ จากการสำรวจของการ์ทเนอร์ 2023 Gartner CEO and Senior Business Executive Survey ระบุว่าการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะความสามารถเป็นความเสี่ยงที่สร้างความเสียหายมากที่สุดต่อองค์กร โดยการดึงดูดและรักษาผู้มีความสามารถเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในด้านบุคลากรของผู้บริหาร ขณะที่ AI ได้รับเลือกให้เป็นเทคโนโลยีที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมในช่วงสามปีข้างหน้า
Augmented-Connected Workforce
Augmented-Connected Workforce (ACWF) เป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มมูลค่าที่ได้รับจากแรงงานมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ความจำเป็นในการเร่งและขยายทีมบุคลากรที่มีทักษะและความสามารถกำลังขับเคลื่อนกระแส ACWF กลยุทธ์ ACWF ใช้แอปพลิเคชันอัจฉริยะและการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของบุคลากรเพื่อสร้างบริบทและแนวทางการทำงานทุกวันเพื่อสนับสนุนประสบการณ์ ความเป็นอยู่ที่ดี และความสามารถในการพัฒนาทักษะของตนเองของทีมงาน ขณะเดียวกัน ACWF ยังใช้ขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจและผลกระทบเชิงบวกต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก
![]()
ในปี 2570 ผู้บริหารไอที (CIOs) 25% จะริเริ่มการเชื่อมโยงพนักงานให้ทำงานร่วมกันมากขึ้น (Augmented-Connected Workforce) เพื่อลดเวลาการทำงานในบทบาทสำคัญลง 50%
Continuous Threat Exposure Management
การจัดการความเสี่ยงต่อภัยคุกคามอย่างต่อเนื่อง (Continuous Threat Exposure Management หรือ CTEM) เป็นแนวทางเชิงปฏิบัติและเป็นระบบที่ช่วยให้องค์กรประเมินการเข้าถึง ความเสี่ยง และการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ดิจิทัลและสินทรัพย์ที่จับต้องได้ขององค์กรได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ การจัดวางขอบเขตการประเมินและการแก้ไข CTEM ให้สอดคล้องกับวิธีการสร้างภัยคุกคามหรือโครงการทางธุรกิจ แทนที่จะเป็นส่วนประกอบในโครงสร้างพื้นฐาน ไม่เพียงแต่จะเผยให้เห็นช่องโหว่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงภัยคุกคามที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วย
ภายในปี 2569 การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าองค์กรที่จัดลำดับความสำคัญการลงทุนด้านความปลอดภัยตามโปรแกรม CTEM จะพบว่าการละเมิดลดลง 2 ใน 3
Machine Customers
ลูกค้าที่เป็นเครื่องจักร (Machine Customers หรือที่เรียกว่า 'คัสโตบอท') จะเป็นผู้มีบทบาททางเศรษฐกิจในแบบที่ไม่ใช่มนุษย์ มีความสามารถเจรจา ซื้อสินค้าและบริการเพื่อให้เกิดเป็นการชำระเงิน ภายในปี 2571 ผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมต่อกัน 15 พันล้านชิ้นจะมีศักยภาพแสดงตนเป็นลูกค้าได้และจะมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกนับพันล้านชิ้นตามมาในปีต่อไป โดยแนวโน้มการเติบโตนี้สร้างรายได้นับล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2573 และในที่สุดจะมีความสำคัญมากกว่าเมื่อตอนเกิด Digital Commerce ทั้งนี้ผู้บริหารควรพิจารณากลยุทธ์รวมถึงโอกาสในการอำนวยความสะดวกให้กับอัลกอริธึมและอุปกรณ์เหล่านี้ หรือแม้แต่สร้างคัสโตบอทใหม่ ๆ
Sustainable Technology
เทคโนโลยีที่ยั่งยืน (Sustainable Technology) เป็นกรอบการทำงานของโซลูชันดิจิทัลที่ใช้เพื่อสร้างผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สนับสนุนสมดุลของระบบนิเวศและสิทธิมนุษยชนในระยะยาว ซึ่งการใช้เทคโนโลยี อย่าง AI, Cryptocurrency, Internet of Things และ Cloud Computing กำลังผลักดันให้เกิดข้อถกเถียงด้านการใช้พลังงานที่เกี่ยวข้องและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมั่นใจว่าการใช้ไอทีจะมีประสิทธิภาพ มีการหมุนเวียน และมีความยั่งยืนมากขึ้น การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2570 ผู้บริหารซีไอโอ 25% จะเห็นการเชื่อมโยงของค่าตอบแทนส่วนบุคคลกับผลกระทบทางเทคโนโลยีที่ยั่งยืน
![]()
Platform Engineering
วิศวกรรมแพลตฟอร์ม (Platform Engineering) เป็นหลักการสร้างและดำเนินการแพลตฟอร์มเพื่อการพัฒนาภายในด้วยตนเอง แต่ละแพลตฟอร์มเป็นชั้น ๆ ที่ถูกสร้างและดูแลโดยทีมงานผลิตภัณฑ์เฉพาะ โดยได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้ผ่านการเชื่อมต่อเครื่องมือและกระบวนการต่าง ๆ ซึ่งเป้าหมายของ Platform Engineering คือการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้ และเร่งการส่งมอบมูลค่าทางธุรกิจ
Industry Cloud Platforms
ภายในปี 2570 การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าองค์กรมากกว่า 70% จะใช้แพลตฟอร์มคลาวด์อุตสาหกรรม (ICP) เพื่อเร่งโครงการใหม่ ๆ ทางธุรกิจของตน เพิ่มขึ้นจากน้อยกว่า 15% ในปี 2566 ICP จัดการกับผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมโดยการรวมบริการ SaaS, PaaS และ IaaS พื้นฐานเข้าด้วยกัน ไปสู่การนำเสนอผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่มีความสามารถในการประกอบเข้ากันได้ โดยทั่วไปจะรวมถึงโครงสร้างข้อมูลอุตสาหกรรม คลังความสามารถทางธุรกิจแบบแพ็คเกจ เครื่องมือจัดองค์ประกอบ และนวัตกรรมแพลตฟอร์มอื่น ๆ ICP ได้รับการปรับแต่งข้อเสนอระบบคลาวด์โดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมและสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมให้ตรงกับความ
เคทีซีร่วมกับสายการบินแอร์ อัสตานา จัดเวิร์คช้อป Kazakhstan, at your first sight. . . "VERY NICE!" กิจกรรมวาดภาพสะท้อนความงดงามผ่านสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ของสาธารณรัฐคาซัคสถาน พร้อมรังสรรค์โปรแกรม “Explore Kazakhstan” ตอบโจทย์เทรนด์ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และวัฒนธรรม มอบประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกและคุ้มค่า ผ่านบริการจาก KTC World Travel Service เพื่อให้สมาชิกบัตรฯ ได้เข้าถึงธรรมชาติที่แตกต่าง รวมถึงเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นกับโปรแกรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ
![]()
นางสาวอุรฉัท ปัญญาวุธ ผู้จัดการ สายการบินแอร์ อัสตานาประจำประเทศไทยและกัมพูชา กล่าวว่า “สายการบินแอร์อัสตานา เป็นสายการบินแห่งชาติสาธารณรัฐคาซัคสถาน ปัจจุบันให้บริการทั้งเส้นทางในประเทศและเส้นทางระหว่างประเทศมากกว่า 60 เส้นทาง และเป็นสายการบินเดียวที่บินตรงจากประเทศไทยสู่สาธารณรัฐคาซัคสถาน ด้วยระยะเวลาบินเพียงแค่ 6 – 7 ชั่วโมง โดยปัจจุบันสายการบินได้มีการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ และภูเก็ตไปยังเมืองอัลมาตีเป็น 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวของสาธารณรัฐคาซัคสถาน โดดเด่นด้วยวิวธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์และสวยงาม รวมถึงสถาปัตยกรรมที่หลากหลายที่ยังรอคอยการมาเยือนของนักท่องเที่ยว อาทิ ทะเลสาบบิ๊กอัลมาตี้ (Big Almaty Lake ทะเลสาบที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองอัลมาตี / ชารีน แคนยอน (Charyn Canyon แกรนด์แคนยอนขนาดใหญ่ รวมถึงหอคอยเบย์เทเรค (Bayterek Tower) อาคารทรงกระบอกที่มียอดเป็นวัตถุทรงกลมสีทอง ถือเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ของประเทศ นับเป็นส่วนผสมลงตัวที่เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ที่มีความพร้อมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวแบบธรรมชาติ และความทันสมัยของตัวเมือง ด้วยความร่วมมือกับเคทีซีจัดกิจกรรมวาดภาพเพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว รวมถึงโปรแกรม “Explore Kazakhstan” ที่ให้บริการผ่าน KTC World Travel Service ในครั้งนี้ จะเป็นการเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวสุดประทับใจและเป็นอีกจุดหมายที่มีเรื่องราวหลากหลายมิติ รอคอยการมาเยือนของนักท่องเที่ยวได้อีกครั้ง”
![]()
นางสาวพัทธ์ธีรา อนันต์โชติพัชร ผู้บริหารสูงสุด KTC World Travel Service และการตลาดท่องเที่ยวหมวดสายการบิน กล่าวว่า “สำหรับในปีนี้ ยอดการใช้จ่ายของสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่ใช้บริการผ่าน KTC World Travel Service ศูนย์บริการการเดินทางและท่องเที่ยวสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี มี
ทิศทางที่ดีขึ้น อีกทั้งพฤติกรรมการเดินทางท่องเที่ยวได้มีการปรับเปลี่ยนสอดรับกับเทรนด์ของนักท่องเที่ยวที่นิยมวางแผนการเดินทางไปยังสถานที่พักผ่อนที่ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น (Slow Travel) มองหาประสบการณ์ในเส้นทางที่แปลกใหม่ รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ (Eco Tourism) รวมถึงกระแสการท่องเที่ยวในเชิงวัฒนธรรม (A Taste of Culture) ที่ผสมผสานในหลากมิติ ทั้งด้านอาหาร ขนบธรรมเนียมท้องถิ่น และภาษา เป็นจุดหมายปลายทางหนึ่งที่นักท่องเที่ยวเริ่มมองหาและปักหมุดการเดินทาง”

“KTC World Travel Service จึงได้ร่วมมือกับสายการบินแอร์ อัสตานา จัดกิจกรรมเวิร์คช้อปวาดภาพ Kazakhstan, at your first sight. . . "VERY NICE!" ให้กับสื่อมวลชนและอินฟลูเอนเซอร์ ได้ร่วมสะท้อนความงดงามผ่านการวาดภาพสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์ และรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวเส้นทางใหม่กับโปรแกรม “Explore Kazakhstan” เพื่อให้สมาชิกได้เปิดประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวที่ไม่ซ้ำใคร เข้าถึงธรรมชาติที่แตกต่าง รวมถึงเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น ด้วยการเดินทางที่สะดวกและคุ้มค่าผ่านโปรแกรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ 5 วัน 3 คืน ในราคาเริ่มต้นท่านละ 72,000 บาท พร้อมมอบสิทธิพิเศษ สมาชิกรับคะแนน KTC FOREVER 2 เท่า ตลอดโปรแกรม (เพียง 2 ท่านก็เดินทางได้) สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC World Travel Service โทรศัพท์ 02 123 5050 หรือที่เว็บไซต์ www.ktc.co.th/ktcworld จองแพ็กเกจได้ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2566 - วันที่ 15 มีนาคม 2567 ระยะเวลาเดินทาง 18 พฤศจิกายน 2566 – วันที่ 31 มีนาคม 2567”