

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีการประกาศคะแนน PISA ของปี 2022 ซึ่งเป็นการประเมินสมรรถนะของนักเรียนในแต่ละประเทศตามมาตรฐานสากล ผลคะแนน PISA ของไทยในปีล่าสุดเป็นที่น่าตกใจเพราะคะแนนของไทยตกต่ำลงในทุกหมวด ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2012 จำนวนนักเรียนที่ได้คะแนนในระดับต่ำกว่าคะแนนพื้นฐานที่ผ่านเกณฑ์การทดสอบเพิ่มขึ้นถึง 19% ในหมวดคณิตศาสตร์ 32% ในหมวดการอ่าน และ 19% ในหมวดวิทยาศาสตร์ แม้ว่าคะแนน PISA อาจจะไม่ได้เป็นเครื่องชี้วัดคุณภาพการศึกษาได้ดีที่สุดหรือได้ในทุกมิติ แต่ก็นับว่าเป็นวิธีการวัดผลการเรียนการสอนในเชิงเปรียบเทียบได้ดีระดับหนึ่งตามมาตรฐานสากล ทั้งในมิติของการเปรียบเทียบระหว่างประเทศ และการเปรียบเทียบเพื่อแสดงพัฒนาการของประเทศหนึ่ง ๆ ซึ่งผลการทดสอบคุณภาพการศึกษาของไทยในช่วงที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าไทย “ใช้เงินมากขึ้นกับการศึกษา จำนวนนักเรียนน้อยลง แต่คุณภาพยังพัฒนาไม่ถึงที่สุด” KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ชวนดู 10 เหตุผลว่าทำไมคุณภาพการศึกษาไทยจึงลดลง รากฐานของปัญหาอยู่ที่ไหน และภาครัฐควรจะดำเนินการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ?
![]()
1) การศึกษาไทยเน้นปริมาณ : งบประมาณด้านการศึกษาของไทยไม่ใช่ปัญหา โดยมีงบอุดหนุนต่อนักเรียน 1 คนที่ระดับประมาณ 20% ของรายได้เฉลี่ยประเทศ ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงประเทศพัฒนาแล้ว แต่มักเป็นการใช้จ่ายไปกับสิ่งที่ไม่ได้ใช้งานจริง เช่น อุปกรณ์ช่วยการสอนที่ครูอาจไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ หรือการเพิ่มเวลาเรียนให้กับเด็กโดยไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพการสอนควบคู่กัน
2) การจัดสรรงบประมาณที่ไม่ตรงจุด : ขาดการวิจัยและพัฒนาและการปรับปรุงคุณภาพบุคลากร วิธีการจัดสรรงบประมาณในปัจจุบันอาจซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ คือ จัดสรรงบประมาณตามจำนวนหัว โดยนำงบทั้งหมดหารด้วยจำนวนนักเรียน แล้วให้งบแก่โรงเรียนตามจำนวนนักเรียนทั้งหมด ทำให้โรงเรียนขนาดเล็กเสียเปรียบและได้รับเงินอุดหนุนไม่เพียงพอ
3) ครูมีจำนวนไม่เพียงพอ : ครูไทยขาดแคลนกว่า 30,000 คนในโรงเรียนขนาดเล็ก เพราะการจัดสรรครูที่ขาดประสิทธิภาพ โดยการกำหนดจำนวนครูตามขนาดโรงเรียนทำให้ครูในโรงเรียนเล็กมีภาระหนักเกินความจำเป็น ครู 1 คนต้องรับภาระสอนนักเรียนมากกว่า 1 ห้องเรียนและอาจเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนครูที่รุนแรงและทำให้คุณภาพโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลตกต่ำลงเรื่อย ๆ
4) ความเหลื่อมล้ำยังสูง : โรงเรียนต่างจังหวัดคุณภาพต่ำ พบว่าคะแนน ONET กรุงเทพฯ สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศประมาณ 23% ในหมวดคณิตศาสตร์ และ 40% ในหมวดภาษาอังกฤษ โรงเรียนใหญ่ในเมืองคุณภาพสูงกว่ามาก ในขณะที่ผลคะแนน PISA ชี้ว่ามีนักเรียนจำนวนมากในไทยที่ไม่ผ่านการทดสอบตามเกณฑ์ สะท้อนว่านักเรียนสัดส่วนใหญ่ในไทยยังมีคุณภาพที่ต่ำกว่าเกณฑ์และเด็กเก่งส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเมือง
5) คุณภาพครูไม่พร้อม : จากตัวเลขการสำรวจความเพียงพอของบุคลากรในรายงานของ PISA ไทยขาดแคลนบุคลากรที่ผ่านมาตรฐานทั้งในกลุ่มวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษา โดยจากผลสำรวจมีสัดส่วน
ผู้อำนวยการโรงเรียนมากเกิน 40% ที่ตอบคำถามว่าขาดแคลนครูที่ได้มาตรฐาน งานศึกษาของ OECD ยังชี้ให้เห็นว่าคุณภาพครูไทยเป็นปัญหามาจากวิธีการคัดเลือก หลักสูตร และการประเมินผลของครูไทยที่ยังไม่ได้มาตรฐานเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ส่งผลให้ครูไทยอาจขาดความเข้าใจหลักสูตรและสอนตามเป้าหมายของหลักสูตรได้ไม่เต็มที่
6) เงินเดือนครูไม่พอ แรงจูงใจไม่ตรงเป้า : ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศเริ่มต้นจากการกำหนดให้เงินเดือนครูอยู่ในระดับที่แข่งขันได้กับวิชาชีพอื่น ในกรณีของไทยเงินเดือนครูยังไม่สามารถดึงดูดผู้มีศักยภาพระดับสูงที่สุดมาทำสายอาชีพนี้ได้มากนักแม้ว่ารายได้ครูจะอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของประเทศแล้วก็ตาม ปัญหาที่สำคัญกว่านั้น คือปัญหาด้านแรงจูงใจ เนื่องจากในการพิจารณาขึ้นเงินเดือน น้ำหนักกว่า 70% คือจริยธรรมและผลการปฏิบัติงานมากกว่าทักษะการสอน ทำให้ครูไทยใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่องานนอกห้องเรียน เช่น การอบรมจากหน่วยงานต่าง ๆ หรือการทำรายงานเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะ มากกว่าการพัฒนาคุณภาพการสอน
7) ครูไทยชีวิตแย่ เป็นหนี้สูง : หนี้ของครูเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านบาท เทียบกับหนี้ครัวเรือนเฉลี่ยที่ 5 แสนล้านบาทเท่านั้น สะท้อนว่าคุณภาพชีวิตครูไทยค่อนข้างอยู่ภายใต้ข้อจำกัดอย่างน้อยในทางการเงิน เมื่อครูอยู่ภายใต้ภาระหรือข้อกังวลของปัญหาในชีวิตส่วนตัวก็อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการสอนในห้องเรียน
8) ปัญหาของการประเมินผลการศึกษา : แบบทดสอบที่ใช้วัดมาตรฐานการศึกษาของไทยมีข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวางเรื่องคุณภาพของแบบทดสอบในหลายประเด็น 1) ข้อสอบ ONET ไม่ส่งเสริมให้เกิดการคิดวิเคราะห์ถูกตั้งคำถามว่าหลายข้อไม่มีคำตอบที่ถูกต้องชัดเจน 2) ข้อสอบวัดความถนัดเฉพาะ เช่น PAT ที่ใช้สำหรับการเข้ามหาวิทยาลัยมีปัญหาในเรื่องความยาก การไม่ยึดโยงกับหลักสูตร และมาตรฐานที่ไม่เท่ากันในข้อสอบแต่ละปี ทำให้การสอบวิชาคณิตศาสตร์มีคะแนนเฉลี่ยไม่ถึง 50 คะแนนจาก 300 คะแนน ผลักให้นักเรียนต้องหาความรู้เพิ่มเติมจากโรงเรียนกวดวิชาซึ่งซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาในไทย
9) โครงสร้างหลักสูตรและการจัดสรรเวลาเรียน หลักสูตรของไทยเน้นการให้เด็กเรียนเยอะแต่บังคับการศึกษาในกลุ่มวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์น้อย มีลักษณะเน้นสอนเนื้อหาให้ครบถ้วนเป็นหลัก เน้นการประเมินผลจากส่วนกลาง และขาดการสอนทักษะใหม่ ๆ เช่น ความรู้ทางการเงิน ทักษะความรู้ด้านดิจิทัล และการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการเรียนรู้ เป็นต้น ปัญหาที่เกิดขึ้นยังส่งผลไปถึงการสอนที่ต้องการให้ครบตามเนื้อหาที่เยอะ ทำให้มีการเน้นการท่องจำไม่กระตุ้นให้เห็นความสำคัญและเกิดการคิดวิเคราะห์
10) การศึกษาแบบเก่า ผลิตคนไม่ตรงทักษะที่ต้องการ : โครงสร้างการศึกษาไทยยังเผชิญกับปัญหาผลิตคนไม่ตรงกับความต้องการของตลาดในหลายมิติ 1) ระดับการศึกษา : คนจบปริญญาตรีทำงานที่ใช้ทักษะต่ำกว่าความสามารถมากถึงประมาณ 34% 2) อุตสาหกรรม : แรงงานในกลุ่มสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญ กฎหมาย ขาดแคลน ในขณะที่ภาคเกษตร ค้าปลีก มีมากเกินไป ซึ่งคนไทยมีความนิยมเรียนสาขาสังคมศาสตร์มากกว่าวิทยาศาสตร์ ทำให้ในปัจจุบันคนจบการศึกษาในกลุ่มบริหารธุรกิจมีจำนวนเกินกว่าความต้องการไปถึงประมาณ 35% ของแรงงานจบใหม่
![]()
5 ปัจจัยโลกเปลี่ยน หากไม่เร่งแก้การศึกษาเศรษฐกิจยิ่งทรุดหนัก
โครงสร้างเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปในอนาคตจะทำให้แรงงานได้รับแรงกดดันมากขึ้น เร่งความจำเป็นในการพัฒนาการศึกษา ในสถานการณ์ปัจจุบันแม้ไทยจะมีเป้าหมายในการพัฒนาอุตสาหกรรมให้เป็น Thailand 4.0 แต่กลับมีจำนวนนักศึกษาในกลุ่ม STEM ที่ต่ำ ขาดการสนับสนุนด้านการวิจัยอย่างจริงจัง KKP Research ประเมินว่าแนวโน้มสำคัญอย่างน้อย 5 ข้อที่จะยิ่งสร้างความท้าทายต่อระบบการศึกษาไทยและแรงงานไทยในปัจจุบัน คือ 1) การเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยีแบบใหม่จะทำให้แรงงานไทยมีทักษะไม่ตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น เช่น ขาดทักษะด้านการเขียนโปรแกรม 2) การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี Automation ที่จะมาทดแทนงานที่ทำซ้ำ ๆ และงานที่ไม่ต้องใช้การคิดวิเคราะหฺ์ ทำให้แรงงานไทยส่วนหนึ่งไม่สามารถปรับตัวเพื่อหางานใหม่ได้ 3) ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุเร็วที่สุดในอาเซียนทำให้ไทยมีปัญหาขาดแคลนแรงงานในอนาคต 4) Deglobalization กับเศรษฐกิจที่พึ่งพาภาคต่างประเทศ ภาคอุตสาหกรรมไทยมีโอกาสได้รับผลกระทบจากการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ 5) ประเทศคู่แข่งเริ่มมีการพัฒนาศักยภาพแรงงานได้เหนือกว่าไทย
ไทยจะทำอย่างไรต่อไป ?
งานศึกษาของ PISA ชี้ให้เห็นหลายปัจจัยที่มีความสำคัญต่อผลการศึกษาที่ดีขึ้น ซึ่งไม่สามารถสำเร็จได้จากเฉพาะการใช้จ่ายด้านการศึกษาที่มากขึ้น ตัวอย่างเช่น การเพิ่มการเข้าถึงการศึกษาในเด็กเล็กซึ่งจะส่งผลบวกต่อความสามารถในการเรียนรู้ในระยะยาวมากกว่า ความทั่วถึงในการสอนของครูที่ควรจะสะท้อนออกมาในแง่ของผลการเรียนของนักเรียนในห้องเรียนเดียวกันที่ไม่ควรแตกต่างกันมาก จำนวนครูที่ได้รับการรับรองมาตรฐานต้องมีจำนวนมากเพียงพอ จำนวนนักเรียนต่อห้องเรียนควรอยู่ในระดับต่ำเพื่อให้เกิดดูแลเอาใจใส่ได้อย่างทั่วถึง และความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรทางการศึกษาต้องไม่แตกต่างกันมากระหว่างโรงเรียนในเมืองและโรงเรียนห่างไกล
KKP Research ประเมินว่าไทยยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในการส่งเสริมการศึกษาอย่างจริงจังและต้องเร่งดำเนินการ การสนับสนุนการศึกษาไม่สามารถบรรลุได้จากการเพิ่มงบประมาณเพียงอย่างเดียวแต่ต้องมีการใช้จ่ายที่ตรงจุด ควบคู่ไปกับการพัฒนาเชิงคุณภาพเพื่อปฏิรูปการศึกษาไทยอย่างยั่งยืน คือ 1) แก้ไขปัญหาการจัดสรรงบประมาณที่ทำให้โรงเรียนขนาดเล็กเสียเปรียบ เพิ่มประสิทธิภาพของโรงเรียนขนาดเล็กผ่านการกระจายอำนาจสู่ระดับท้องถิ่น และพิจารณาควบรวมโรงเรียนหากจำเป็น 2) ออกแบบกลไกให้เกิดแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพการสอนเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด การประเมินผลในระดับอาจารย์และผู้บริหารการศึกษาต้องยึดโยงกับผลลัพธ์ด้านการศึกษาของนักเรียน 3) ปรับปรุงระบบคัดเลือกและเตรียมการสอนบุคลากรที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อยกระดับคุณภาพบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ 4) ปรับปรุงหลักสูตรการสอนให้มีความทันสมัย และระบุถึงวิธีการและเป้าหมายของหลักสูตรอย่างชัดเจน 5) การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว
SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 เป็น 2.6% จากข้อมูลไตรมาส 3 ต่ำกว่าคาดมาก การใช้จ่ายภาครัฐหดตัวแรงขึ้น และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มลดลงจากประมาณการเดิม ส่วนหนึ่งจากนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวช้า ในปี 2567 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่อเนื่องที่ 3.0% การส่งออกจะกลับมาขยายตัวได้จากแนวโน้มการค้าโลกที่ขยายตัวสูงขึ้น และการลงทุนภาคเอกชนจะฟื้นตัวดีตามการฟื้นตัวของการส่งออก แนวโน้มมูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะฟื้นตัวได้ช้าและขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ จากแรงส่งเศรษฐกิจที่ชะลอลงทั้งการบริโภคภาคเอกชนที่เติบโตสูงในปี 2566 และรายได้ครัวเรือนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย นักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์ และการลงทุนภาครัฐที่ยังขยายตัวต่ำจากความล่าช้าของ พ.ร.บ. งบประมาณประจำปี 2567

SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะคงอยู่ในระดับปัจจุบันที่ 2.5% ไปตลอดปี 2567 เนื่องจากเป็นระดับที่เหมาะสมต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่ระดับศักยภาพในระยะยาว (Neutral rate) และช่วยเอื้อให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายได้ และช่วยสร้างความสมดุลในระบบการเงินจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงกลับเป็นบวกได้ โดยเป็นการลดแรงจูงใจในการก่อหนี้ใหม่ของครัวเรือนและลดการประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป (Underpricing of risks) จากภาวะดอกเบี้ยต่ำนาน ทั้งนี้มองว่าเงินเฟ้อจะเร่งขึ้นบ้างในปี 2567 จากแรงกดดันด้านอุปทาน ทำให้เกิดการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการไปยังราคาสินค้าเพิ่มขึ้น และโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลที่อาจกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงกว่าระดับศักยภาพและอาจสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ได้อีกทาง แต่จะเป็นเพียงผลชั่วคราว โดยเศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวในระดับศักยภาพได้ดังเดิม โครงการนี้จึงส่งผลต่อเงินเฟ้อต่ำ ทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% ได้ สำหรับเงินบาทจะทรงตัวในกรอบ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงที่เหลือของปีนี้ และจะแข็งค่าต่อเนื่องอยู่ที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2567 จากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมของภาครัฐ และแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ย
![]()
สำหรับเศรษฐกิจโลกในปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงเป็น 2.5% จาก 2.7% ในปี 2566 จากผลของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงเงินออมส่วนเกินที่ใกล้หมด โดยเฉพาะสหรัฐฯ นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มชะลอลงทั้งในระยะสั้นและระยะปานกลางจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่กดดัน ในระยะปานกลางเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น แต่จะขยายตัวต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดจากปัจจัยกดดันรอบด้าน โดยเฉพาะปัญหาภูมิรัฐศาสตร์
วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรปจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วขึ้นเป็นไตรมาส 2 ปี 2567 จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงเร็วกว่าคาด ธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินผ่านการยกเลิกมาตรการควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวในช่วงครึ่งแรกของปี และยกเลิกนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในช่วงครึ่งหลังของปี
![]()
ในระยะยาว SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยยังน่าห่วง เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำบนศักยภาพการเติบโตที่ลดลง อันเป็นผลจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน ทั้งการลงทุนต่ำ ผลิตภาพการผลิตลดลง และแผลเป็นจากวิกฤตโควิด ซึ่งชัดเจนว่าไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิดได้ช้าติดอันดับรั้งท้ายในโลก นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังเปราะบางและอ่อนแอจากภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยและธุรกิจขนาดเล็กที่ยังมีหนี้สูง แต่รายได้เติบโตช้า อีกทั้ง เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น ทั้งจากปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น
ปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยภายในประเทศที่ยังต้องจับตานโยบายรัฐบาลที่มีความไม่แน่นอนสูง ส่งผลให้ทรัพยากรภาครัฐมีจำกัดในการใช้จ่ายเพิ่มเติมเพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการลงทุนเพิ่มศักยภาพประเทศในระยะยาว
SCB EIC เสนอแนวทางแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยด้วยชุดนโยบาย “4 สร้าง” ได้แก่ (1) สร้างภูมิคุ้มกันให้ครัวเรือน ผ่านการสร้างกลไก Social assistance และ Social insurance ที่ครอบคลุมและเพียงพอ (2) สร้างความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย ผ่านการส่งเสริมการแข่งขันทางการค้า ปฏิรูปกฎระเบียบภายในประเทศ และผลักดันไทยให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งจะช่วยเร่งให้ไทยเข้าถึงองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีของ OECD ได้ (3) สร้างกลยุทธ์การลงทุนของประเทศให้เหมาะสมกับพลวัตโลกที่เปลี่ยนไป และ (4) สร้างความยั่งยืนของภาคการผลิตไทย ผ่านการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญเอื้อให้ภาคธุรกิจปรับตัวรับมือการเปลี่ยนแปลงตามกระแสโลกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
เคทีซีเปิดโครงการ “KTC FACTORANT” พัฒนาประสิทธิภาพกระบวนการอนุมัติสินเชื่อ นำหุ่นยนต์ทำงานร่วมกับคน ลดขั้นตอนงานซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิผลในการรับสมัครและพิจารณาสินเชื่อ ปรับพื้นที่ทำงานเป็นโซนพิเศษป้องกันความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า ตามมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยของข้อมูล ISO/IEC 27001: 2013 และมาตรฐานการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล ISO/IEC 27701: 2019 รองรับการอนุมัติบัตรได้เพิ่มขึ้นกว่า 600,000 รายต่อเดือน
![]()
นางสาวชนิดาภา สุริยา ผู้บริหารสูงสุด สายงานบริการลูกค้าและสนับสนุนธุรกิจ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การขยายฐานสมาชิกไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ กระบวนการรับสมัครและพิจารณาอนุมัติมีส่วนสำคัญมาก และมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานที่ต้องทำงานต่อเนื่องกัน เคทีซีจึงต้องการยกระดับกระบวนการทำงาน โดยเน้นความสามารถในการทำงาน ความเร็วและความถูกต้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพิจารณาอนุมัติ โดยได้ริเริ่มโครงการ “KTC FACTORANT” ปรับปรุงพื้นที่สำนักงานชั้น 17 ที่อาคารไทยซัมมิท ถนนเพชบุรีตัดใหม่ เป็นโซนพิเศษ โดยรวมหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอนุมัติบัตรเข้ามาทำงานในพื้นที่เดียวกัน จัดลำดับหน่วยงานตาม Process Flow รวมทั้งนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์เข้ามาทำงานแทนคนในบางขั้นตอน เช่น การเคลื่อนย้ายเอกสารต่างๆ เพื่อให้เกิดการไหลของกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง ลดระยะเวลาการรอคอย (Waiting Time) และระยะเวลาการเคลื่อนย้าย (Transportation Time) ที่เกิดขึ้นในกระบวนการ และออกแบบการดำเนินการให้เป็นแบบสายพานการผลิต (Belt Conveyor Design) เพื่อให้งานไหลไปตามขั้นตอนอย่างต่อเนื่องรวมถึงการสร้าง Visualized Information Dashboard เพื่อให้ได้ประสิทธิผลสูงสุด”
“การยกระดับกระบวนการรับสมัครและพิจารณาสินเชื่อในโครงการ “KTC FACTORANT” นี้ มีเป้าหมายจะลดเวลาการทำงานที่ไม่จำเป็นในแต่ละขั้นตอนรับสมัครลงอย่างน้อย 85% และเพิ่มประสิทธิภาพการส่งต่องานระหว่างหน่วยงานให้เกิดความต่อเนื่องสูงขึ้น โดยคาดว่าโครงการฯ นี้จะช่วยให้เคทีซีสามารถรองรับการอนุมัติบัตรใหม่เพิ่มขึ้นได้ไม่ต่ำกว่า 600,000 รายต่อเดือน”
บริษัท มาโครมิลล์ เซาท์ อีสต์ เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินการวิจัยออนไลน์ ได้จัดทำแบบสำรวจด้านอาชีพเสริม
โดยแบบสำรวจนี้มีเป้าหมายคือผู้บริโภคชาย-หญิงในประเทศไทยจำนวน 2,065 คน ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ซึ่งดำเนินการสำรวจตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2023 จนถึงวันที่ 6 กันยายน 2023 พบว่าเกือบ 50% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดนิยมรับคะแนนผ่านการตอบแบบสำรวจและทดลองสินค้า
เมื่อถามถึงช่องทางหรือวิธีการให้ได้มาซึ่งรายได้เสริมหรือรางวัลตอบแทนในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนมากใช้วิธีการรับงานตอบแบบสอบถามและทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งคิดเป็น 53.5% ส่วนอันดับที่ 2 ได้แก่การทำงานพาร์ทไทม์ชั่วคราว ทั้งนี้ คำตอบของอันดับ 1 และอันดับ 2 นั้นห่างกัน 30 คะแนน และสำหรับอันดับ 3 นั้นได้แก่การลงทุนทางการเงิน เกือบ 40% ของผู้ตอบแบบสอบถามมักใช้เงินสดไปกับการใช้จ่ายส่วนตัว และต้องการเก็บออมเงินสำหรับใช้จ่ายในอนาคต
เมื่อถามถึงเหตุผลของการรับทำอาชีพเสริมหรือรับรางวัลตอบแทนในปัจจุบันหรือมีความสนใจที่จะรับรายได้ดังกล่าวในอนาคต พบว่า เหตุผล 5 อันดับแรกมีดังนี้ อันดับที่ 1 คือเพื่อให้ได้เงินสดสำหรับใช้จ่ายส่วนตัวหรือเงินที่สามารถใช้ได้อย่างอิสระ คิดเป็น 44.0% อันดับที่ 2 คือเพื่อเก็บออมเงินสำหรับใช้ในอนาคต คิดเป็น 40.2% และ อันดับที่ 3 จำนวน 30% พบว่าการใช้ชีวิตโดยอาศัยเพียงเงินเดือนหรือรายได้หลักของตนเองอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ
เกือบ 85% ตั้งใจที่จะหารายได้เสริมหรือของรางวัลตอบแทนผ่านอาชีพเสริม การลงทุน หรือสะสมคะแนนในแอปพลิเคชั่นในอนาคต
เมื่อถามว่าผู้ตอบแบบสอบถามว่ามีความสนใจในการหารายได้เสริมหรือรับรางวัลตอบแทนผ่านการทำอาชีพเสริม การลงทุน การสะสมคะแนนในแอปพลิเคชั่น ฯลฯ ในอนาคตหรือไม่ คนจำนวน 243 คนได้ตอบคำถามดังกล่าว โดยมี 2 คำตอบอันดับต้นๆ ได้แก่ “สนใจมาก” และ “สนใจอยู่บ้าง” ซึ่งรวมแล้วคิดเป็น 85.6%
![]()
(2 อันดับต้น: สัดส่วนที่รวมทั้งผู้ที่สนใจมากและผู้ที่สนใจอยู่บ้างไว้ด้วยกัน)
จากผลสำรวจข้างต้น ทำให้เข้าใจถึงข้อมูลความสนใจในอาชีพเสริมของผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างชัดเจน ซึ่งข้อมูลรายวันที่ทางบริษัทฯ ได้รับจากผู้บริโภค อาทิเช่น ผลตอบแบบสำรวจ จะกลายเป็นหัวข้อหลักในการปรับปรุงและพัฒนาสินค้าและบริการของหลายบริษัท อันนำไปสู่การสร้างอนาคตที่สะดวกสบายและเอื้อต่อการใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
ร่วมตอบแบบสำรวจออนไลน์เพื่อรับของรางวัลและร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประโยชน์ต่อสังคม
คลิกที่นี่เพื่อลงทะเบียนเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ตอบแบบสำรวจออนไลน์ของ Yimresearch> https://yimresearch.net/public/
หลังจากที่ ‘อิเกีย สุขุมวิท’ สโตร์อิเกียแห่งที่ 4 ในไทย ณ บริเวณชั้น 3 ศูนย์การค้าดิ เอ็มสเฟียร์ ได้เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนคงมีโอกาสได้เดินทางไปสัมผัสประสบการณ์ร้านเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ที่ ชูคอนเซ็ปต์ ‘City-Centre Store’ แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอิเกียแห่งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และด้วยผลตอบรับที่ดีเยี่ยมทั้งจากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ใจกลางเมือง ในระยะเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังการเปิดตัว ระหว่างวันที่ 1-7 ธันวาคม พ.ศ. 2566 เรายังได้พบเห็นพฤติกรรมการช้อปปิ้งของคนเมืองและสถิติที่น่าสนใจมากมาย อิเกีย ประเทศไทย จึงได้รวบรวม 8 เรื่องราว fun facts ภายหลังการเปิดตัว ‘อิเกีย สุขุมวิท’ มานำเสนอ
![]()
1. ถุงหิ้ว FRAKTA/ฟรัคต้า เป็นสินค้าที่มียอดขายสูงสุดที่ 7,121 ชิ้น สะท้อนถึงความเป็นมาที่ยาวนานกว่า 30 ปีของถุงหิ้วที่ทนทานมากที่สุดในโลกใบหนึ่ง ในขณะที่สินค้าที่มียอดขายดีเป็นอันดับสองคือจานสีขาวและภาชนะอาหารจากคอลเล็คชัน
OFTAST/ออฟตาสท์ ที่มียอดขายที่ 5,661 ชิ้น ตามมาด้วยถุงซิปล็อก ISTAD/อีสสตัด ที่มียอดขาย 4,649 ชิ้น โดยที่อิเกีย สุขุมวิท มีสินค้าให้เลือกมากมายถึง 8,206 รายการ โดยมีถึงกว่า 4,000 รายการที่สามารถช้อปและนำกลับบ้านได้เลย
2. 3 อันดับสินค้าขายดี ประเภท non-cash & carry หรือสินค้าประเภทที่ไม่สามารถซื้อและนำกลับได้ทันที ได้แก่ ตู้เสื้อผ้า PAX/พักซ์ ที่ช่วยสร้างพื้นที่เก็บของได้อย่างมากมาย ตามมาด้วยโซฟา EKTORP/เอียคทอร์ป ที่ทนทานต่อการใช้งานและสามารถเปลี่ยนผ้าหุ้มโซฟาได้อย่างง่ายดาย และชุดตู้เก็บของ BESTÅ/เบสตัว ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการ
![]()
3. อิเกีย สุขุมวิท มียอดผู้เยี่ยมชมสโตร์รวมกว่า 120,000 คน ภายใน 7 วันแรก และมียอด ผู้เยี่ยมชมสโตร์มากที่สุดในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา โดยมีจำนวนผู้เยี่ยมชมทั้งหมด 22,490 คน ที่เดินทางเข้ามาสัมผัสประสบการณ์ช้อปปิ้งอย่างเต็มรูปแบบตามแบบฉบับของอิเกีย บนพื้นที่กว่า 12,000 ตร.ม. ณ ใจกลางเมือง ที่มาพร้อมการเดินทางที่สะดวกสบาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองโดยเฉพาะ
4. 3 อันดับเมนูยอดฮิต ณ ร้านอาหารอิเกีย สุขุมวิท คือ มีทบอลสไตล์สวีเดน (หมูผสมเนื้อ) เสิร์ฟพร้อมมันบด และบรอกโคลี 8 ชิ้น โดยมียอดขาย 3,153 จาน น่องไก่อบเสิร์ฟพร้อมข้าว บรอกโคลี และบราวน์ซอส ซึ่งมียอดขาย 2,920 จาน และฟิชแอนด์ชิปส์เสิร์ฟพร้อมเฟรนช์ ฟรายส์และบรอกโคลีที่มียอดขาย 1,500 จาน นอกจากนี้ ร้านอาหารอิเกีย สุขุมวิท ยังโอบล้อมด้วยวิวของสวนเบญจสิริในมุมกว้างและพร้อมให้บริการถึง 530 ที่นั่ง ให้ผู้ที่มาเยือนได้ผ่อนคลายกับบรรยากาศความร่มรื่นใจกลางเมือง ขณะดื่มด่ำไปกับเมนูอาหารสวีเดนมื้อโปรด
5. 2 เมนูยอดนิยมที่มาจากเมนูพิเศษที่อิเกีย สุขุมวิท มียอดขายรวมราว 1,500 จาน ประกอบด้วยเมนูไส้กรอกรวม เสิร์ฟพร้อมมันบด ผักดอง หน่อไม้ฝรั่ง และซอสเกรวี จำนวน 849 จาน และเมนูแซลมอนเสิร์ฟพร้อมบรอกโคลี เมดัลเลียนผัก และซอสครีมหัวหอม จำนวน 632 จาน โดยเมนูเหล่านี้เป็นอาหารจานพิเศษที่รังสรรค์ขึ้นโดยเฉพาะ สำหรับช่วงเปิดอิเกีย สุขุมวิท และจะให้บริการจนถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2567 เท่านั้น

6. 4 บริการยอดนิยมของคนเมือง บริการที่ได้รับนิยมมากที่สุดในสัปดาห์แรกของลูกค้าอิเกีย สุขุมวิท คือการจัดส่งสินค้าไปที่บ้าน และเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบายและรวดเร็ว อิเกีย สุขุมวิท ยังมีบริการส่งสินค้าถึงบ้านภายในวันเดียว (same-day delivery) ด้วยรถพลังงานไฟฟ้า จะให้บริการอยู่ภายในรัศมี 8 กิโลเมตร สำหรับสินค้าที่มีอยู่ในสโตร์และลูกค้าเดินทางมาช้อปด้วยตัวเอง โดยมีค่าบริการเริ่มต้นที่ 129 บาท นอกจากนี้ บริการที่ได้รับความนิยมอันดับถัดมาคือ บริการประกอบเฟอร์นิเจอร์ บริการ Click & Collect และบริการ Order & Collect ตามลำดับ
7. เมนูขายดีของบิสโทรที่อิเกีย สุขุมวิท ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังเปิดตัว ไอศกรีมมียอดขายถึง 8,310 โคน ตามมาด้วยฮอทดอกทั้งหมด 5,283 ชิ้น และไอศกรีมทูโทน คอตตอนแคนดี้ อีกเป็นจำนวน 2,550 ชิ้น นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกลิ้มลองอาหารและเครื่องดื่มแบบเบา ๆ อื่น ๆ ที่บิสโทรของอิเกีย สุขุมวิท เช่นเดียวกับที่อิเกีย บางนา และบางใหญ่
8. 3 ขนมสวีเดนยอดนิยม อร่อยฟินกินเพลิน ประกอบด้วย CHOKLAD LJUS/ช็อกโกแลตนมผสมเฮเซลนัท ที่มียอดขาย 980 ชิ้น CHOKLAD LJUS/ช็อกโกแลตนมชนิดแท่ง ที่มียอดขาย 861 ชิ้น และ Pick & Mix/เยลลี่หลากรส ที่มียอดขาย 780 ชิ้น ภายในสัปดาห์แรก
อิเกีย สุขุมวิท พร้อมต้อนรับทุกคนที่กำลังมองหาไอเดียและแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ในการตกแต่งห้อง คอนโด บ้าน หรือออฟฟิศ ด้วยประสบการณ์การช้อปปิ้งเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่สะดวกสบาย พร้อมด้วยดีไซน์ คุณภาพและในราคาที่เข้าถึงได้แล้ววันนี้ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.IKEA.co.th
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics มองว่า เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังไม่กลับสู่ระดับศักยภาพจากการฟื้นตัวที่ล่าช้าและไม่ทั่วถึงในหลายภาคส่วน โดยได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2566 ลงจาก 2.8% เหลือ 2.4% สำหรับปี 2567 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 3.1% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว ประกอบกับผลบวกชั่วคราวจากมาตรการกระตุ้นการบริโภค อย่างไรก็ดี มองว่าเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังเผชิญความไม่แน่นอนสูงทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ยังไม่แน่นอนสูง ตลาดการเงินผันผวนทั่วโลก ความเสี่ยงจากความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ รวมถึงความเปราะบางของเสถียรภาพด้านต่างประเทศที่อาจกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน
มองเศรษฐกิจไทยฟื้นช้า ชี้ปี 2567 ยังมีความเสี่ยงรออยู่ข้างหน้า
ttb analytics ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยตลอดทั้งปี 2566 ว่าจะเติบโต 2.4% จากเดิมที่ 2.8% แม้เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันกลับเข้าสู่ระดับก่อนวิกฤตได้แล้ว แต่ยังไม่กลับสู่ระดับศักยภาพ (Potential Output) จากการฟื้นตัวที่ล่าช้าและไม่ทั่วถึงในหลายภาคส่วน (Slow and Uneven) เห็นได้จากเศรษฐกิจไทยช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 ขยายตัวได้เพียง 1.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งต่ำกว่าที่ประเมินไว้ค่อนข้างมาก จากการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการท่องเที่ยวที่ล่าช้ากว่าคาด การบริโภคในประเทศถูกกดดันจากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงเรื้อรัง ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐหดตัวต่อเนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณต่ำกว่าที่ประเมินไว้
ทั้งนี้ ttb analytics ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้ 3.1% (จากประมาณการเดิมที่ 3.2%) ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะจากมาตรการลดภาระค่าครองชีพครัวเรือนและกระตุ้นการบริโภคในภาพรวม อาทิ มาตรการลดหย่อนภาษี (Easy E-receipt) นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ มาตรการแก้หนี้นอกระบบ ตลอดจนแรงส่งจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
อย่างไรก็ดี การลงทุนภาครัฐในปี 2567 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง หลังการลงทุน Mega Project โครงการใหม่ ๆ คาดว่าจะล่าช้าออกไปจากกรอบปีงบประมาณปกติราว 6 เดือน จากความล่าช้าในกระบวนการจัดทำ พ.ร.บ. งบประมาณปี 2567 ซึ่งจะทำให้สามารถเบิกจ่ายเงินงบประมาณได้ราวปลายไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 และจะเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 3 ก่อนสิ้นสุดปีงบประมาณ
ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าคาดว่าจะพลิกกลับมาขยายตัว ส่วนหนึ่งจากอานิสงส์ของฐานต่ำในปีนี้ รวมถึงปริมาณการค้าโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น และวัฎจักรการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่เริ่มกลับมาขยายตัวได้ดี
เช่นเดียวกับมูลค่าการนำเข้าสินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวเช่นกันจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่าจะมีแนวโน้มต่ำกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยน้อยกว่าคาด รวมถึงจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศที่ยังไม่กลับเข้าสู่ระดับปกติ ซึ่งแม้ว่าจะมีนโยบายการยกเว้นการขอวีซาเข้าประเทศไทยแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ (Visa Free) แต่อาจยังไม่เพียงพอที่จะทดแทนนักท่องเที่ยวจีนได้ ทำให้อัตราการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีหน้าจะยังไม่กลับเข้าสู่ระดับปกติเหมือนเช่นปี 2562
ด้านเสถียรภาพทางการเงิน แม้ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะต่ำกว่ากรอบล่างเป้าหมาย แต่ยังมีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะกลับมาเร่งขึ้นบ้างในระยะต่อไป ตามราคาน้ำมันดิบที่อาจผันผวนสูงขึ้นจากความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์และการเข้าควบคุมกลไกด้านราคาในตลาดโลก ขณะที่การชดเชยราคาพลังงานจากมาตรการลดค่าครองชีพจะทยอยหมดลงในปีหน้า อีกทั้งยังมีแรงกดดันด้านราคาอาหารที่อาจกลับมาเร่งตัวอีกครั้งจากผลพวงของปรากฎการณ์เอลนีโญ ตลอดจนแรงกดดันด้านอุปสงค์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราว ทำให้ ttb analytics ยังคงประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะทรงตัวที่ 2.5% ตลอดทั้งปี 2567 เพื่อรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) รองรับกับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ttb analytics ชี้ 4 ปรากฎการณ์ที่อาจเห็นในปี 2567
“เศรษฐกิจและการค้าโลกมีความไม่แน่นอนสูง” แม้เศรษฐกิจโลกจะผ่านพ้นจุดต่ำสุด (Bottom Out) ไปแล้ว แต่ในระยะต่อไปเศรษฐกิจทั่วโลกยังมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่น่าจะเผชิญโมเมนตัมเศรษฐกิจแผ่วลง (Soft Landing) เช่นเดียวกับเศรษฐกิจจีนที่กำลังซื้อในประเทศยังอ่อนแอ และยังมีความเปราะบางเชิงโครงสร้างในภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังครุกรุ่นในหลายภูมิภาคทั่วโลก เหล่านี้ถือเป็นความเสี่ยงด้านต่ำที่อาจลดทอนกำลังซื้อในตลาดโลกและการส่งออกของไทย
“ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนมากขึ้น” โดยตลอดทั้งปี 2567 จะมีการเลือกตั้งครั้งใหญ่หลายแห่งทั่วโลก อาทิ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป อินเดีย รัสเซีย อินโดนีเซีย และไต้หวัน ซึ่งอาจทำให้ตลาดกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในการดำเนินโยบายด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการค้าระหว่างประเทศในระยะต่อไป นอกจากนี้ นักลงทุนในตลาดบางส่วนคาดหวังว่าจะเห็นการทยอยผ่อนคลายการดำเนินนโยบายทางการเงิน (Dovish) ของประเทศหลักในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2567 ซึ่งอาจกดดันตลาดการเงินทั่วโลก รวมไปถึงค่าเงินบาทอาจจะมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ผันผวนมากขึ้นได้เช่นกัน
“การบริโภคในประเทศอ่อนแอกว่าที่เห็น” โดยระดับรายได้ของครัวเรือนไทยฟื้นตัวได้ค่อนข้างช้า สวนทางกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ด้านอัตราดอกเบี้ยก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนอ่อนแอลง ส่งผลให้การปล่อยกู้สินเชื่อภาคธนาคารมีความเข้มงวดขึ้น เห็นได้จากการ
ขยายตัวของสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเช่าซื้อยานยนต์ที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2566 ขณะที่คุณภาพหนี้ภาคครัวเรือนก็ย่ำแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตัวเลขหนี้เสีย (NPL) และความเสี่ยงที่จะเป็นหนี้เสีย (Stage 2) ของสินเชื่อเช่าซื้อรถในไตรมาสล่าสุดที่เร่งขึ้นอย่างมีนัย
“เสถียรภาพเศรษฐกิจเปราะบางขึ้น” คาดว่าโครงการเงินดิจิทัล (Digital Wallet) จะออกมาช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศได้ในช่วงปลายไตรมาส 2 และ 3 ของปี ซึ่งประเมินเบื้องต้นว่าจะก่อให้เกิดการหมุนเวียนต่อระบบเศรษฐกิจได้ราว 0.4-0.7% ของจีดีพี และหนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.6% ในปีหน้า ทั้งนี้ แม้จะยังไม่เห็นความชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งที่มาของงบประมาณที่จะนำมาใช้ อย่างไรก็ตาม ภาครัฐก็จำเป็นต้องกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) ที่มีข้อจำกัดมากขึ้นทุกขณะ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในสายตาของนักลงทุนต่างชาติจากเสถียรภาพเศรษฐกิจต่างประเทศที่เปราะบางขึ้น
โดยสรุป เศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่จะเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำจากความไม่แน่นอนรอบด้าน หากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกแผ่วลงกว่าคาด ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ภาคส่งออกและภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้อย่างจำกัด ท่ามกลางอุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนซึ่งต้องรอความชัดเจนจากกลไกสนับสนุนของภาครัฐ
รู้หรือไม่? 11 ปีที่แล้ว หรือในปี 2012 LINE GAME ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อเติมเต็มประสบการณ์อันแปลกใหม่จากแอปฯ แชท สู่การสร้างปรากฏการณ์ความสนุก ความเพลินเพลิด ให้กับผู้คนทั่วโลกอย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบัน โดยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ถือเป็นเดือนแห่งความพิเศษยิ่งในโอกาสครบรอบ 11 ปี LINE GAME จึงขอชวนทุกคนมาร่วมย้อนวันวานถึงช่วงเวลาอันมีค่าในความทรงจำกับ 11 เรื่องราวน่ารู้ในแบบฉบับของ LINE GAME
![]()
1. LINE GAME เปิดตัวในไทยปี 2012 ด้วย 6 เกมสุดป๊อป
ยุคเริ่มต้นของ LINE GAME เปิดตัวด้วยเกมเพียงแค่ 4 เกมเท่านั้น ได้แก่ LINE POP เกมที่ต้องใช้ความเร็วในการเลื่อนลูกแก้วให้ครบเพื่อพิชิต Mission, LINE Cartoon Wars เกมป้องกันฐานสนุกๆ กับเจ้าคนไม้ขีด, LINE Homerun Battle Burst เกมตีลูกเบสบอลที่ยิ่งตีได้ไกลเท่าไหร่ยิ่งดี LINE PATAPOKO ANIMAL เกมกระต่ายยิ่งจรวด LINE PLAY – Our Avatar World โซเชียลเกมให้ทุกคนได้พบปะพูดคุยกันในคอมมูนิตี้สุดคูล และ LINE Bubble! ต้นฉบับเกมยิงบับเบิลในตำนาน ที่ขยายต่อเป็นหลายภาคในเวลาต่อมาถึงปัจจุบัน ซึ่งเกมเหล่านี้ถือเป็นเกมในตำนานที่เก่าแก่ที่สุดของ LINE GAME เลยก็ว่าได้
2. คาแรกเตอร์ LINE FRIENDS สุดฮิต สู่การสร้างสรรค์ตัวละครในเกม หลายคนที่ใช้แอปฯ LINE จะรู้กันดีอยู่แล้วว่านอกจากการสื่อสารผ่านข้อความต่างๆ แล้ว หนึ่งในจุดเด่นของ LINE คือคาแรคเตอร์ LINE FRIENDS ตั้งแต่บราวน์ ช็อกโก โคนี่ ไปจนถึงน้องแซลลี่ ทุกตัวได้ถูกนำมาเป็นหนึ่งในตัว
ละครใน LINE GAME ที่ช่วยเพิ่มสีสันและความมีชีวิตชีวาให้ และเพิ่มความสนุกให้กับผู้เล่น พร้อมสร้างความผูกพันใกล้ชิดยิ่งกว่าที่เคย
3. LINE GAME มีการคอลแลปกับการ์ตูนเรื่องดังไปแล้วกว่า 60 เรื่อง นอกจากการสร้างความสนุกในรูปแบบเกมแล้ว LINE GAME ยังได้มีการคอลแลปกับการ์ตูนเรื่องดังไปแล้วกว่า 60 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น มหาศึกคนชนเทพ, Sailor Moon, Disney, อินุยาฉะ, โตเกียวรีเวนเจอร์, Attack on Titan และเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายที่ถูกนำมาทำเป็นตัวละครหรือด่านพิเศษในเกม
4. LINE GAME มอบประสบการณ์ความสนุกให้คนไทยมาแล้วทั้งหมดกว่า 14 เกม ปัจจุบันในปี 2023 LINE GAME ได้เปิดให้บริการทั้งหมด 14 เกม มีให้เลือกหลากหลายแนว ทั้งพัซเซิล, RPG, แต่งตัว, ทำฟาร์ม และเกมการ์ด ตอบโจทย์การเล่นที่ให้เพลิดเพลินได้ทุกช่วงเวลา
5. เกมท็อปฮิตขวัญใจผู้เล่นชาวไทยตลอดกาล ตั้งแต่ปี 2012 ที่ LINE GAME ได้เปิดตัวจนถึงปัจจุบัน มีจำนวนเกมไม่น้อยที่กลายเป็นท็อปฮิตขวัญใจผู้เล่นชาวไทยตลอดกาล ได้แก่ LINE Let's Get Rich หรือเกมเศรษฐี เกมที่ผู้เล่นต้องทอยลูกเต๋าเพื่อซื้อบ้านและที่ดิน, LINE Rangers เกมวางแผนผสมแอ็คชั่นสุดมันส์, LINE Bubble 2 เกมยิงลูกแก้วภาคต่อของ LINE Bubble, LINE Chef เกมทำอาหารโดยคาแรกเตอร์เชฟบราวน์ และ LINE Brown Farm เกมฟาร์มมิ่งที่มีคาแรกเตอร์อย่างลุงบราวน์เป็นตัวเดินเรื่อง ซึ่งทั้ง 5 เกมนี้ ถ้าใครไม่เคยเล่น ก็ต้องเคยมีเพื่อนส่งคำเชิญมาชวนเล่นผ่าน LINE อย่างแน่นอน
6. สายการบินทั่วโลกก็ต้องแพ้ให้ LINE Let's Get Rich รู้หรือไม่? ว่าเกมสุดฮิตตลอดกาลอย่าง LINE Let's Get Rich หรือเกมเศรษฐี ไม่ใช่แค่เกมเล่นสนุกๆ ธรรมดาที่ชวนใช้เวลาไปกับหน้าจอเท่านั้น แต่เกมนี้เป็นเกมที่มีผู้เล่นเดินรอบแผนที่โลกแล้วเฉลี่ยกว่า 3 แสนครั้งต่อวัน มากกว่าจำนวนเที่ยวบินทั่วโลกรวมกันโดยเฉลี่ยถึง 3 เท่าเลยทีเดียว
7. แซลลี่ถูกจับตัวทุก 2 วิ! ในเกม LINE Rangers LINE Rangers เกมวางแผนผสมแอ็คชั่นสุดมันส์ เรียกได้ว่าเป็นอีกเกมที่ฮิตมากๆ ในหมู่ผู้เล่นชาวไทย สายโจมตีแบบคิวท์ๆ ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจ ระบุว่าเมื่อปี 2023 มีผู้เล่นช่วยชีวิตน้องแซลลี่ไปแล้ว 12 ล้านครั้ง นั่นเท่ากับว่าน้องแซลลี่ถูกจับตัวมากที่สุดในทุก 2.6 วินาทีที่เกมเริ่ม
8. LINE Bubble 2 น่ารักแค่ไหนก็โดนเธอทุบ LINE Bubble 2 เกมยิงลูกแก้วภาคต่อของ LINE Bubble เรียกได้ว่าเป็นเกมผ่อนคลายแนวพัซเซิลที่ขึ้นชื่อว่ามีตัวละครน่ารักสดใส แต่ผู้เล่นส่วนใหญ่กลับดันชอบใช้ค้อนเป็นอาวุธและใช้มันทุบบอสเพื่อชิงเหรียญทองวันละเกือบล้านครั้ง!
9. โคบี้จาก LINE Chef ต้องกินช็อกโกแลต 3 พันชิ้นต่อวัน
เชื่อหรือไม่ LINE Chef เกมทำอาหารโดยคาแรกเตอร์เชฟบราวน์นั้น ใน 1 ปี มีผู้เล่น LINE Chef ส่งช็อกโกแลตให้โคบี้มากถึง 1,277,500 ชิ้น ทำให้โคบี้จำใจต้องกินช็อกโกแลตประมาณวันละ 3,000 กว่าชิ้น นับรวมแล้วต้องวิ่งลดน้ำหนักกี่ล้านกิโลกันละเนี่ย!
10. ผลผลิตนมใน LINE Brown Farm ไม่แพ้ยอดส่งออกไทย
หนึ่งไฮไลท์ของเกม LINE Brown Farm หรือ เกมฟาร์มมิ่งที่มีคาแรกเตอร์อย่างลุงบราวน์เป็นตัวเดินเรื่อง ที่นอกจากการปลูกผัก ทำสวนแล้ว หนึ่งกิจกรรมที่ไม่พลาด คือ การเก็บนมวัว ซึ่งที่ผ่านมาผู้เล่น LINE Brown Farm เก็บนมได้กว่า 28 ล้านขวดในปี 2023 ไม่น้อยหน้าไปกว่าการส่งออกนมของไทยในปีนี้ที่เป็นอันดับ 1 ในอาเซียน
11. LINE GAME CLUB จัดกิจกรรมแลกของรางวัลเด็ดๆ ที่หลายคนไม่รู้ หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ว่า หนึ่งในบริการจาก LINE GAME อย่าง LINE GAME CLUB นั้น เป็นแหล่งรวมข่าวสารและจัดกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับเกม เพื่อให้ผู้เล่นได้ร่วมทำภารกิจแลกรับของรางวัลหรือสิทธิประโยชน์มากมาย และสามารถสร้างอวตารของตัวเองได้ตามใจชอบอีกด้วย
เรียกได้ว่าเป็น 11 ปี LINE GAME ที่ครบจบทุกความสนุก และบันเทิงที่มอบให้กับผู้คน และเพื่อเป็นการฉลองช่วงเวลาดีๆ เหล่านี้ LINE GAME ขอมอบกิจกรรมสุดพิเศษมากมายให้สนุกกันยาวๆ ไปจนถึงสิ้นปี อาทิ ชาเลนจ์ใช้ฟิลเตอร์สุดน่ารักจากเกมดังแล้วโพสต์บน LINE VOOM เพื่อร่วมลุ้นรับของรางวัลพรีเมียมมากมาย มูลค่ารวมกว่า 1,500,000 บาท พร้อมแคมเปญทำภารกิจง่ายๆ เอาใจชาวแฟนคลับ LINE GAME เพียงเล่นเกมครบตามจำนวนที่กำหนด รับฟรี LINE Prepaid Card มูลค่ารวมกว่า 400 บาท และ LINE POINTS อีกเพียบ! ร่วมสนุกและติดตามกิจกรรมฉลองครบรอบ 11 ปี LINE GAME ได้ที่ https://game.line.me/th/linegame11thanniversary
การ์ทเนอร์เปิดเทรนด์สำคัญของวงการการควบรวมและซื้อกิจการ หรือ Mergers and Acquisitions - M&A ในปี 2567 ซึ่งรวมถึงการปลดล็อกโอกาส M&A ทางเทคโนโลยี ท่ามกลางความคลุมเครือทางเศรษฐกิจระดับมหภาคด้วยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาปรับปรุงกระบวนการ M&A การเข้าซื้อกิจการในธุรกิจกลุ่ม AI และสำรวจสภาพแวดล้อมของกฎระเบียบที่ซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น
มาร์ค แครอล รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การควบรวมกิจการทั่วโลกยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งลดลง 50% จากจุดสูงสุดที่เป็นประวัติการณ์ในปี 2564 โดยความท้าทายทางเศรษฐกิจมหภาคและกฎระเบียบเป็นแรงเสริมของแนวโน้มดังกล่าว แต่การมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีใหม่ ๆ ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ AI ที่ช่วยให้ผู้บริหารสามารถพาองค์กรกลับเข้าสู่ตลาด M&A อย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งในปีหน้านี้”
คริส แกนลี่ รองประธานทีมผู้จัดการของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การควบรวมกิจการยังเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กรส่วนใหญ่ ดังนั้นปีหน้าเราจะเห็นความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าผู้บริหารจะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์รับมือกับแนวโน้มตลาดนี้อย่างไร โดยความสำเร็จของการควบรวมกิจการหมายถึงการที่ผู้บริหารสามารถวางตำแหน่งองค์กรของตนให้เป็นผู้นำตลาดต่อไปได้ในอีกหลายปีข้างหน้า”
เทรนด์ที่ 1: ความคลุมเครือทางเศรษฐกิจมหภาคปลดล็อกโอกาสการควบรวมกิจการทางเทคโนโลยี
การ์ทเนอร์ระบุว่าความคลุมเครือทางเศรษฐกิจมหภาคจะยังคงมีอยู่ในปีหน้า โดยมีสัญญาณบวกและลบปะปนกัน ซึ่งส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย การจ้างงาน ต้นทุนของเงินลงทุน และความเชื่อมั่นของธุรกิจและผู้บริโภค
ก่อนหน้านี้บริษัทเทคโนโลยีสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าสูงจะต้องต่อสู้เพื่อการระดมทุนรอบถัดไป และจะมองหาทางเลือกอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงการเปิดให้เข้าซื้อกิจการโดยบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเงินทุนและอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือ Strategic Buyers การ์ทเนอร์แนะนำว่าองค์กรที่มีเงินทุนควรใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ โดยการเข้าซื้อกิจการธุรกิจเทคโนโลยีขนาดเล็กหรือที่เรียกว่า Techquisitions ด้วยความที่มีมูลค่าต่ำกว่าและเข้าถึงเงินทุนได้น้อยกว่าที่โดยทั่วไปมักจะเปิดให้เข้าซื้อกิจการได้ในสภาวะเศรษฐกิจสดใส
เทรนด์ 2: การใช้ AI จะเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ
การ์ทเนอร์ระบุว่า การใช้ AI จะมีผลอย่างมากต่อความเร็ว ประสิทธิภาพ และประสิทธิภาพโดยรวมของกระบวนการควบรวมกิจการ อย่างไรก็ตามความเฉพาะของวิธีการและตำแหน่งที่ AI ถูกนำไปใช้นั้นกำลังเกิดขึ้นเพื่อระบุสิ่งที่ใช้ได้จริงในปัจจุบันเทียบกับความเป็นไปได้ในระยะยาว
การ์ทเนอร์แนะนำให้ใช้ AI ในกระบวนการ M&A แบบภายในก่อน โดยพัฒนาและทดสอบเคสการใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะด้านการวิเคราะห์สัญญาที่เป็นการประยุกต์ใช้ AI ที่ทรงประสิทธิภาพในตอนนี้ เพื่อปรับปรุงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับหนังสือแสดงเจตจำนง สัญญาการตรวจสอบประเมินสถานะของกิจการ สัญญาหลักที่มีผลผูกพันตามกฎหมาย และการเจรจาข้อตกลงร่วมกันในการโอนย้ายธุรกิจหรือ TSA รวมถึงการต่ออายุและการรวมสัญญา
เทรนด์ที่ 3: กลยุทธ์ AI จะต้องใช้แนวทางใหม่ ๆ เพื่อควบรวมธุรกิจ AI
แม้ว่าการควบรวมกิจการของธุรกิจ AI ยังไม่ได้รับความนิยมสำหรับองค์กรต่าง ๆ แต่การ์ทเนอร์เชื่อมั่นว่าการที่องค์กรต่างมุ่งให้ความสำคัญในด้านเทคโนโลยีจะนำไปสู่การสร้างข้อตกลงหรือดีลธุรกิจมากมายในปี 2567 จากการสำรวจความคิดเห็นของซีอีโอและผู้บริหารธุรกิจของการ์ทเนอร์ ประจำปี 2566 พบว่า AI เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่สุด การ์ทเนอร์แนะนำว่าการเข้าซื้อธุรกิจ AI จะเป็นกลยุทธ์ธุรกิจที่สำคัญในปีหน้า ส่วนองค์กรที่ขาดทักษะหรือมีเวลาจำกัดในการพัฒนาความสามารถด้วยตนเองสามารถเลือกใช้กลยุทธ์ M&A เพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีแทนได้
เทรนด์ที่ 4: กฎระเบียบและการตรวจสอบที่เข้มข้นขึ้นจะขีดขวางการควบรวมกิจการขนาดใหญ่
การ์ทเนอร์คาดว่า การตรวจสอบกฎระเบียบในดีล M&A โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านผูกขาดทางการค้าและความมั่นคงของชาติกำลังทวีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นและจะเป็นปัจจัยสำคัญขัดขวางดีล M&A ขนาดใหญ่ในปี 2567 อย่างไรก็ตามแนวโน้มนี้กลับเพิ่มความน่าสนใจในการดำเนินการดีลข้อตกลง M&A กับบริษัทขนาดเล็กและบริษัทหลากหลายในอุตสาหกรรมจำนวนมาก ที่สามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในสภาพแวดล้อมนี้
“แม้การตรวจสอบกฎระเบียบที่มีความเข้มงวดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อธุรกรรม M&A ขนาดใหญ่ แต่สามารถสร้างโอกาสทางการแข่งขันให้กับองค์กรที่เป็นผู้นำในการบรรลุดีลขนาดเล็ก ๆ มากขึ้น สำหรับผู้ที่มุ่งเน้นดีลที่ใหญ่กว่า สิ่งสำคัญคือต้องใช้แนวทางเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลในปีหน้า” แกนลี่ กล่าวเพิ่มเติม
ทิพยประกันภัย ร่วมกับ ทิพยประกันชีวิต ออกบูธ ในงาน Money Expo Year-End 2023 โดยได้รับเกียรติจาก คุณกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง คุณสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดงาน คุณภาคนี วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดร่วม พร้อมด้วย ดร.พลรัตน์ เอกโยคยะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการขายและการตลาด 2 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และผู้บริหารบริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมเปิดบูธอย่างเป็นทางการ
ภายในงาน ทิพยประกันภัย ได้ยกทัพประกันภัยดีลดีส่งท้ายปี เพื่อฉลองครบรอบ 72 ปี จัดเต็มโปรโมชันสุดคุ้ม รวบรวมผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยมาให้เลือกหลากหลาย อาทิ ประกันภัยรถยนต์, ประกันภัยสุขภาพและอุบัติเหตุ, ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย ประกันสำหรับธุรกิจ SMEs และประกันภัยประเภทอื่น ๆ อีกมากมาย ที่บูธทิพยประกันภัย (E6) ณ ฮอลล์ 7 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 17 ธ.ค. 66
✅ ลดเบี้ยประกันภัย สูงสุด 23%
✅ รับของสมนาคุณ รวมมูลค่ากว่า 300,000 บาท
✅ สิทธิ์ชิงทองคำ 3 สิทธิ์/กรมธรรม์ กับแคมเปญ “72nd Anniversary TIP แจกจริงชิงทอง ฉลองยิ่งใหญ่ 72 รางวัล” รวมมูลค่ากว่า 400,000 บาท
✅ ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน (ขึ้นอยู่กับประเภทประกันภัยที่กำหนด)
![]()
บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเกินคาด มั่นใจศักยภาพธุรกิจเจ้าของเวทีประกวดนางงามก้องโลก “มิสแกรนด์ ไทยแลนด์” และ “มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล” โดย MGI ราคาเปิดเทรดวันแรก 6.25 บาท เพิ่มขึ้น 26.26% จากราคาไอพีโอ 4.95 บาทต่อหุ้น ราคาปิดเทรดวันแรกสูงสุดที่ 8.50 บาท เพิ่มขึ้น 71.72% จากราคาไอพีโอ มูลค่าการซื้อขายกว่า 1,329.38 ล้านบาท
![]()
ด้านนายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI ขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่น ทำให้ MGI ได้รับการตอบรับที่ดีในการเข้าซื้อขายวันแรก เราวางแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกิจการ ภายในปี 2566-2567 รองรับการเติบโตและการขยายธุรกิจของ MGI โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการประกวดนางงามทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติ ให้เป็นเวทีนางงามที่ได้รับกระแสนิยมมากที่สุด ภายใต้คำขวัญขององค์กร “นับจากนี้ทุกพื้นที่มีแต่แกรนด์” ตอกย้ำการเป็นบริษัทแรกที่นำเวทีนางงามเข้าสู่มหาชน ครบเครื่องทั้งธุรกิจพาณิชย์ การจัดประกวดนางงาม ธุรกิจสื่อและบันเทิง ธุรกิจบริหารจัดการศิลปิน เป็นโมเดลที่ไม่เหมือนใครในโลก
การเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ครั้งนี้ จึงไม่เพียงแต่สนับสนุนโอกาสให้ MGI เท่านั้น แต่ยังสนับสนุนให้เราสามารถต่อยอดโอกาสไปยังลูกค้า ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้เติบโตก้าวกระโดดได้ในอนาคต รวมทั้งโปรเจกต์ในมือที่พร้อมเดินหน้าต่อทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งอยากให้นักลงทุนทุกท่านติดตาม เราจะใช้ความสามารถเต็มกำลังในการสร้างเม็ดเงิน ให้ MGI เป็นยูนิคอร์นของไทย ด้วยผลการดำเนินที่เติบโตต่อเนื่อง ไม่ต่ำกว่า 20% และมีนโยบายการจ่ายปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
“ในฐานะเจ้าของที่ปลุกปั้นบริษัทมาเป็นเวลายาวนานนับ 10 ปี วันนี้ MGI ได้ก้าวสู่มหาชน เข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ขอทำผลงานเต็มที่ให้ผู้ถือหุ้นทุกท่านได้เป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตไปพร้อมกับเรา” นายณวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย