December 18, 2025

 

ไมโครซอฟท์ และ ซีเมนส์ ผนึกความร่วมมือต่อเนื่อง นำประสิทธิภาพ Generative AI มาสู่ภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก โดยทั้งสองบริษัทฯ เตรียมเปิดตัว Siemens Industrial Copilot ซึ่งเป็นผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่พัฒนาร่วมกัน มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรในภาคการผลิต

นอกจากนี้การผนวกซอฟต์แวร์ Teamcenter ของซีเมนส์ที่ใช้สำหรับการบริหารจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (หรือ PLM) เข้ากับ Microsoft Teams ยังสนับสนุนการสร้างเมตาเวิร์สในภาคอุตสาหกรรม ลดความซับซ้อนในการทำงานร่วมกันแบบเสมือนจริงให้แก่วิศวกรออกแบบ ผู้ปฏิบัติงานหน้างานและทีมอื่น ๆ ตลอดสายงานธุรกิจ

สัตยา นาเดลลา ประธานและซีอีโอของไมโครซอฟท์ กล่าวว่า “ด้วยศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ยุคใหม่นี้ เรามีโอกาสพิเศษในการเร่งสร้างนวัตกรรมให้กับภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด เรากำลังพัฒนาต่อยอดจากความร่วมมือที่ยาวนานกับซีเมนส์ รวบรวมความก้าวหน้าด้าน AI ใน Microsoft Cloud มาผนวกรวมกับความเชี่ยวชาญทางด้านอุตสาหกรรมของซีเมนส์ เพื่อเสริมศักยภาพให้แก่ผู้ปฏิบัติงานหน้างานและพนักงานที่มีทักษะเฉพาะทาง ด้วยเครื่องมือใหม่ ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังปัญญาประดิษฐ์ โดยเริ่มต้นด้วยโครงการ Siemens Industrial Copilot

 

โรแลนด์ บุช ซีอีโอของซีเมนส์ กล่าวว่า “เราและไมโครซอฟท์มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการส่งเสริมศักยภาพของลูกค้าด้วยการนำ Generative AI มาใช้งาน เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพมหาศาลที่จะปฏิวัติวิธีการที่บริษัทต่าง ๆ ใช้ออกแบบ พัฒนา ผลิตและดำเนินการ ด้วยการส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรที่เชื่อมต่อกันในวงกว้างมากขึ้น ช่วยให้เหล่าวิศวกรสามารถเร่งพัฒนาโค้ด เพิ่มนวัตกรรม และรับมือกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะได้

ยุคใหม่ของการทำงานร่วมกันของมนุษย์และเครื่องจักร

Siemens Industrial Copilot จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้าง เพิ่มประสิทธิภาพ และแก้ไขโค้ดอัตโนมัติที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว พร้อมลดระยะเวลาการจำลองสถานการณ์ลงอย่างมาก ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยลดงานที่ก่อนหน้านี้ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ให้เหลือเป็นหน่วยนาที โดย Copilot จะนำข้อมูลของระบบอัตโนมัติและกระบวนการการจำลองจากแพลตฟอร์ม Siemens Xcelerator ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มธุรกิจดิจิทัลแบบเปิดของซีเมนส์ และเพิ่มประสิทธิภาพด้วย Azure OpenAI Service ของไมโครซอฟท์ โดยลูกค้ายังคงควบคุมข้อมูลตนเองได้ทั้งหมด ระบบจะไม่มีการนำข้อมูลไปใช้กับการฝึกโมเดล AI พื้นฐาน

Siemens Industrial Copilot มีความสามารถเพิ่มผลผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพครบวงจรในอุตสาหกรรม โดยเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงจะได้รับคำแนะนำการซ่อมแซมอย่างละเอียดด้วยภาษาปกติอย่างเป็นธรรมชาติ ขณะที่วิศวกรจะสามารถเข้าถึงเครื่องมือแบบจำลองได้อย่างรวดเร็ว

Copilots สำหรับทุกอุตสาหกรรม

ทั้งซีเมนส์และไมโครซอฟท์ต่างเล็งเห็นว่า AI Copilots มีความสามารถในการช่วยเหลือผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมการผลิต โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการดูแลสุขภาพ โดย Copilot จำนวนมากกำลังถูกวางแผนที่จะนำมาใช้ในภาคการผลิต เช่น ยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค และการผลิตเครื่องจักร Schaeffler AG ซัพพลายเออร์ยานยนต์ชั้นนำเป็นหนึ่งในบริษัทรายแรก ๆ ของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่นำ Generative AI ไปใช้ในงานด้านวิศวกรรม ช่วยให้ทีมวิศวกรสามารถพัฒนาโค้ดที่มีความน่าเชื่อถือสำหรับการโปรแกรมระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม เช่น หุ่นยนต์ นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมนำ Siemens Industrial Copilot มาใช้ในระบบการดำเนินงาน โดยวางเป้าหมายเพื่อลดการหยุดชะงักของ

การทำงาน (Downtime) ของเครื่องจักรอย่างมีนัยสำคัญ และเตรียมพัฒนาขั้นต่อไปสำหรับลูกค้าในภายหลัง

เคลาส์ โรเซนเฟลด์ ซีอีโอของกลุ่มแชฟฟ์เลอร์ กล่าวว่า “เรากำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและนวัตกรรมในโครงการนำร่องร่วมกันนี้ ซึ่ง Siemens Industrial Copilot จะช่วยให้ทีมงานของเราทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังลดภาระงานซ้ำซ้อน และเพิ่มไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับซีเมนส์และไมโครซอฟท์ในโครงการนี้”

Generative AI เพิ่มความสะดวกการทำงานร่วมกันในแบบเสมือน

เพื่อยกระดับการทำงานร่วมกันแบบเสมือนระหว่างทีม ซอฟต์แวร์ Teamcenter ของซีเมนส์ สำหรับ Microsoft Teams พร้อมเปิดให้ใช้งานได้โดยทั่วไปตั้งแต่เดือนธันวาคมปีนี้ โดยแอปพลิเคชันนี้จะใช้ศักยภาพล่าสุดของ Generative AI เชื่อมต่อฟังก์ชั่นการทำงานต่าง ๆ ของวงจรการออกแบบผลิตภัณฑ์และวงจรการผลิต ตั้งแต่ผู้ปฏิบัติงานหน้างานไปจนถึงทีมวิศวกร โดยจะเชื่อมต่อซอฟต์แวร์ Teamcenter ของซีเมนส์ที่ใช้สำหรับการบริหารจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (หรือ PLM) เข้ากับ Microsoft Teams ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันของไมโครซอฟท์ เพื่อให้พนักงานในโรงงานและพนักงานภาคสนามสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ สิ่งนี้จะช่วยให้พนักงานหลายล้านคนที่เข้าไม่ถึงเครื่องมือ PLM ในปัจจุบันสามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการออกแบบและผลิตได้ง่ายยิ่งขึ้นเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของงานประจำวัน

ซีเมนส์จะแบ่งปันรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Siemens Industrial Copilot ที่งาน SPS expo ที่จะจัดขึ้น ณ เมืองนูเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2566

เคทีซีผนึกมาสเตอร์การ์ดและลาซาด้า ประเทศไทย จัด 3 แคมเปญการตลาด มอบความคุ้มค่าให้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี-มาสเตอร์การ์ด ส่งท้ายปี รับส่วนลดทันที ไม่ต้องใช้คะแนน ไม่ต้องลงทะเบียน พร้อมแนะวิธีช้อปออนไลน์ผ่านบัตรเครดิตให้ปลอดภัย

 

นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ภาพรวมของการใช้จ่ายบัตรเครดิตผ่านช่องทางออนไลน์ยังเป็นไปในทิศทางเชิงบวก โดยเฉพาะการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ซึ่งสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันได้อย่าง รอบด้าน สำหรับเคทีซีในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีมีการใช้จ่ายผ่านลาซาด้า (Lazada) มากขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2565 ทั้งยอดการใช้จ่ายที่เติบโต 23% และจำนวนครั้งในการใช้จ่ายผ่านบัตรที่มากขึ้นถึง 25%”

“ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เคทีซีจึงได้ผนึกความร่วมมือกับมาสเตอร์การ์ด บริษัทเทคโนโลยีการชำระเงินระดับโลก และลาซาด้า ประเทศไทย ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดแคมเปญการตลาดถึง 3 แคมเปญในเดือนพฤศจิกายน เพื่อส่งมอบความคุ้มค่าสุดพิเศษเฉพาะสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี-มาสเตอร์การ์ด เมื่อช้อปสินค้าผ่านเว็บไซต์ www.lazada.co.th หรือแอปพลิเคชันลาซาด้า 1) แคมเปญ KTC Lazada 11.11 The Big Sale of the Year รับส่วนลด 190 บาท เมื่อช้อปตั้งแต่ 1,999 บาทขึ้นไปต่อยอดซื้อสุทธิ และใช้รหัสส่วนลด “KTCMCMG1123” ก่อนการชำระเงิน ระหว่างวันที่ 11-13 พฤศจิกายน 2566 พิเศษ ลูกค้าใหม่ที่ช้อปสินค้าครั้งแรกผ่านแอปพลิเคชันลาซาด้า ตั้งแต่ 50 บาทขึ้นไปต่อรายการซื้อสุทธิ จะได้รับส่วนลด 50 บาท ทันที เพียงระบุรหัสส่วนลด “KTCMCMGN1123 โดยสมาชิกไม่ต้องลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม 2) แคมเปญ Mid Month Sale รับส่วนลด 140 บาท เมื่อช้อป 999 บาทต่อยอดซื้อ และใช้รหัสส่วนลด “KTCMCMM1123” ก่อนการชำระเงิน เฉพาะวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 (เริ่มเที่ยงคืนเป็นต้นไป) และ 3) แคมเปญ Pay Day Sale รับส่วนลด 150 บาท เมื่อ ช้อป 1,499 บาท และใช้รหัสส่วนลด “KTCMCPD1123” ก่อนการชำระเงิน ระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566 – 1 ธันวาคม 2566 (ปล่อยโค้ดส่วนลดเที่ยงคืนวันที่ 25 พฤศจิกายนเป็นต้นไป) ดูรายละเอียดโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/online/shopping/lazada-all "

“สำหรับการใช้จ่ายบัตรเครดิตผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีความสะดวก รวดเร็ว สิ่งที่ผู้เริ่มต้นช้อปออนไลน์ หรือนักช้อปออนไลน์ควรให้ความสำคัญคือเรื่องของความปลอดภัยในการใช้งาน โดย 1) เมื่อจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์สาธารณะ ควรเปิดใช้งานโหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito) ในเบราว์เซอร์ (Browser) เพื่อป้องกันการถูกบันทึกข้อมูลของบัตรเครดิตในระหว่างการใช้งาน เช่น หมายเลขบัตรเครดิต รหัสผ่านหรือข้อมูลสำคัญอื่นๆ เป็นต้น 2) สมาชิก

บัตรเครดิตเคทีซีสามารถสมัครใช้บริการ Secured e-pay บริการด้านความปลอดภัยสำหรับทำรายการชำระค่าสินค้าหรือบริการออนไลน์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่มีการพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล และรองรับระบบ Verified by Visa (VbV) ของวีซ่า / Mastercard Securecode (MCSC) ของมาสเตอร์การ์ด และ J/Secure ของเจซีบี รวมถึงกลไกป้องกันข้อมูลในการยืนยันตัวตนถึง 2 ขั้นตอน ด้วยการใช้รหัสและข้อความส่วนตัว และเพิ่มความปลอดภัยในการชำระค่าสินค้าด้วยการใช้รหัสผ่าน (Password) และข้อความยืนยันส่วนตัว (Personal Assurance Message: PAM) ซึ่งเป็นการยืนยันทำรายการจากเจ้าของบัตรเครดิตเท่านั้น”

“สำหรับสมาชิกที่เปิดใช้งานบัตรเครดิตเคทีซีครั้งแรกควรปฏิบัติดังนี้ 1) เซ็นชื่อบริเวณด้านหลังบัตรเครดิตใหม่ทันทีที่ได้รับ (เซ็นชื่อตรงแถบสีขาว) 2) ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “KTC Mobile” และลงทะเบียนเข้าใช้งาน เพื่อให้สามารถเช็คยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตได้ตลอดเวลา และหากพบความผิดปกติสามารถอายัดบัตรผ่านแอปฯ ได้ทันที 3) หลีกเลี่ยงการเปิดเผยหมายเลข CVV ด้านหลัง อย่าเก็บหมายเลขบัตรเครดิตและเลข CVV ไว้ด้วยกัน และควรจำหมายเลข CVV บัตรเครดิต เพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นสามารถนำไปใช้งาน”

LINE SHOPPING ผู้ให้บริการโซเชียลคอมเมิร์ซของไทย ประกาศเปิดเวที LINE SHOPPING INCUBATOR 2024 เฟ้นหาสุดยอดนักพัฒนาไทย ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์และพัฒนาแพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซของไทยภายใต้ธีม “Reshaping a new paradigm for social commerce growth” เปิดโอกาสให้นักพัฒนาทั่วไทยร่วมโชว์ศักยภาพผ่านการสร้างสรรค์โซลูชั่นใหม่ พร้อมดันออกสู่ตลาดจริง เพื่อตอบโจทย์เทรนด์การช้อปปิ้งออนไลน์ และยกระดับประสบการณ์การใช้งานที่ดีกว่าเดิม ผ่าน LINE SHOPPING API เปิดรับสมัครเข้าร่วมแข่งขันแล้ว ตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 พ.ย. 2566 พร้อมชิงเงินรางวัลสูงสุด 100,000 บาท

 

นายเลอทัด ศุภดิลก ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจอีคอมเมิร์ซ LINE ประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซ LINE SHOPPING มีความเชี่ยวชาญด้านพัฒนาออกแบบเครื่องมือให้ตรงกับพฤติกรรมการซื้อขายที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยผ่านการแชทหรือการพูดคุยที่สร้างให้เกิดความสัมพันธ์และความเป็นมนุษย์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่คุ้นเคยกัน การให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสบการณ์การใช้งานแพลตฟอร์ม ถือเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่เรามุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง วันนี้จึงเปิดเวที LINE SHOPPING INCUBATOR 2024 เพื่อเฟ้นหานักพัฒนาไทยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาแพลตฟอร์มผ่าน LINE SHOPPING API เพื่อสร้างสรรค์โซลูชั่นใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจและคนไทย ภายใต้ธีม “Reshaping a new paradigm for social commerce growth” โดยมีจุดประสงค์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการช้อปปิ้งยุคใหม่ พร้อมยกระดับประสบการณ์ในการใช้งานของคนไทยที่ดีขึ้นอย่างไร้รอยต่อ สอดคล้องกับความตั้งใจของ LINE

SHOPPING ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซของไทย ที่ต้องการปลดล็อกทุกข้อจำกัดในการช้อปปิ้งออนไลน์”

“เราจึงต้องการเชิญชวนนักพัฒนาไทย รวมไปถึงผู้ให้บริการ API มาเข้าร่วม LINE SHOPPING INCUBATOR 2024 นอกจากจะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาบริการและโซลูชั่นไปพร้อมกับเราแล้ว LINE SHOPPING นักพัฒนายังจะได้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกจากแพลตฟอร์มเพื่อนำข้อมูลไปต่อยอดสร้างสรรค์โซลูชั่นใหม่ ๆ และหากโซลูชั่นนั้นผ่านการคัดเลือกจากกรรมการ จะได้รับการต่อยอดโอกาสทางธุรกิจในการเป็นพันธมิตรกับ LINE SHOPPING เพื่อผลักดันโซลูชั่นสู่การใช้งานจริงโดยร้านค้าซึ่งปัจจุบันมีอยู่ถึง 576,000 ร้านบน LINE SHOPPING และสร้างอิมแพคต่อผู้ใช้งานกว่า 54 ล้านคนบนแอปฯ LINE อีกด้วย

นอกจากนี้เราคาดหวังว่า LINE SHOPPING INCUBATOR 2024 จะเป็นโอกาสใหม่ที่ทำให้ตลาดได้เห็นโซลูชั่นใหม่ ๆ ด้านอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในตลาดอื่น ๆ และสามารถทำได้อย่างรวดเร็วโดย commerce infrastructure จาก LINE SHOPPING”

LINE SHOPPING INCUBATOR 2024 จัดขึ้นเป็นครั้งแรกของเมืองไทย และเป็นโอกาสสำคัญที่เหล่านักพัฒนาไทยและผู้ให้บริการ API ไม่ควรพลาด เปิดรับสมัครบุคคลอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ในรูปแบบทีม ซึ่งแต่ละทีมมีสมาชิกได้สูงสุด 5 คน ซึ่งทุกทีมจะได้รับประสบการณ์การทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้เชี่ยวชาญจาก LINE ประเทศไทยตลอดการทำงาน ตั้งแต่การให้คำปรึกษา คิดค้น ลงมือทำ พร้อมชิงรางวัลมูลค่าสูงสุด 100,000 บาท

ผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมประชันไอเดียได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2566 และสามารถเข้าฟังรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมกันได้ในกิจกรรม Openhouse Webinar ในวันที่ 10 พฤศจิกายน นี้ ติดตามและดูรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมสมัครได้ที่ https://lineshoppingincubator.landpress.line.me/landingpage

ทรู คอร์ปฯ มั่นใจคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่สั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคำฟ้องกรณีพิพาทระหว่างมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กับ กสทช. ไม่มีผลต่อการควบรวมของบริษัทที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ และถูกต้องครบถ้วนตามกระบวนการทางกฎหมายเเล้ว

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกัน (ข้อมูลจาก https://www.trisrating.com/th/) รวมถึงหุ้นกู้ชุดปัจจุบันของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ("ทรู”) ที่กำลังเสนอขายอยู่ ที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ด้วยเหตุที่ว่าคำสั่งศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท และสถานะความเสี่ยงด้านธุรกิจและความเสี่ยงด้านการเงินของบริษัทยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “คำสั่งศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวเป็นเพียงการสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคำฟ้องข้างต้นของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ได้ยื่นฟ้องโดยขาดอายุความไปแล้วเท่านั้น โดยที่ศาลปกครองชั้นต้นยังจะต้องพิจารณาประเด็นของคดีดังกล่าวต่อไปว่ามติรับทราบการควบรวมธุรกิจของ กสทช. ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  การฟ้องคดีดังกล่าวเป็นข้อพิพาทระหว่างมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกับ กสทช. และไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจใดๆ ของบริษัทฯ การควบรวมของ ทรู (เดิม) และดีแทค ได้เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว และเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและเหมือนกับกระบวนการควบรวมธุรกิจที่ผ่านมาของบริษัทมหาชนซึ่งประกอบธุรกิจโทรคมนาคม อีกทั้งคดีที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ยื่นฟ้อง กสทช. ดังกล่าวเป็นคดีที่มีประเด็นเดียวกันกับคดีที่ศาลปกครองชั้นต้นได้เคยมีคำสั่งยกคำขอคุ้มครองชั่วคราวโดยศาลเห็นว่า มติรับทราบการควบรวมบริษัทของ กสทช. ได้อาศัยอำนาจตามที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว จีงไม่มีเหตุรับฟังได้ว่ามติรับทราบการควบรวมธุรกิจของ กสทช. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”

ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่นกำลังเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนจำนวน 5 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี กำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.15-4.60% ต่อปี เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้ลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทโทรคมนาคมชั้นนำที่มีศักยภาพ และความน่าเชื่อถือระดับ A+ (แนวโน้มอันดับเครดิต คงที่) โดยสามารถจองซื้อได้แล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2566 เท่านั้น โดยมีธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ กรุงศรีอยุธยา ซีไอเอ็มบี ไทย และยูโอบี เป็นผู้จัดจำหน่าย รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้

ดีลอยท์ ประเทศไทย เผยผลสำรวจการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทย ประจำปี 2566 ซึ่งเป็นการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับมุมมองและแนวโน้มการใช้งานดิจิทัลขององค์กรธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทย 

การสํารวจการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในประเทศไทย (Thailand Digital Transformation Survey) เป็นการสำรวจที่ดีลอยท์ประเทศไทย ให้ความสำคัญและทำการศึกษาอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่สี่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติขององค์กรต่อการปรับตัวสู่ดิจิทัล (Digital transformation) ผลการสำรวจดังกล่าวสะท้อนแนวคิดและมุมมองของผู้บริหารระดับสูง (C-suite) และพนักงานระดับอื่นๆ ในห้ากลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมผู้บริโภค (Consumer) กลุ่มทรัพยากรพลังงานและอุตสาหกรรม (Energy Resources and & Industrials: ER&I) บริการการเงิน (Financial Services) ชีววิทยาศาสตร์และสุขภาพ (Life Science & Healthcare) และเทคโนโลยี สื่อ และ โทรคมนาคม (Technology, Media and Telecommunications: TMT) ผลการสำรวจในปีนี้สะท้อนถึงพัฒนาการของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลภายใต้ 3 หัวข้อหลัก ดังนี้

1. การสำรวจยุคของดิจิทัล ดิสรัปชั่น

2. การปลดล็อกความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

3. ภาพรวมอุตสาหกรรม

 

ตลอดช่วงเวลาในปี 2564-2566 ทัศนคติต่อผลกระทบของ ดิจิทัล ดิสรัปชั่น ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในระดับปานกลาง โดยธุรกิจสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทกว้าง ๆ ตามการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินงาน ได้แก่

· ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีเป็นหลักในการดำเนินงาน: ธุรกิจเหล่านี้มีการดำเนินงานโดยใช้เทคโนโลยีเป็นหลัก มองว่าได้รับผลกระทบจาก ดิจิทัล ดิสรัปชัน น้อยกว่า เนื่องจากการดําเนินงานของธุรกิจเหล่านี้จําเป็นต้องติดตามและปรับตัวต่อการเปลี่ยนของนวัตกรรมดิจิทัลเป็นปกติอยู่เสมอ

· ธุรกิจแบบดั้งเดิม หรือไม่ได้ใช้เทคโนโลยีเป็นหลัก: ธุรกิจเหล่านี้มักจะนําเทคโนโลยีมาใช้อย่างจํากัด โดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลการปรับปรุงกลไกภายในองค์กรเพื่อให้สามารถรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในภาคธุรกิจได้

เมื่อพิจารณาในเชิงการวิเคราะห์การนำเทคโนโลยีดิจิทัลในแต่ละปี พบว่า ข้อมูลแต่ละปีแตกต่างกัน ในช่วงปี 2564-2566จากรายงานการสำรวจ ปี 2564 พบว่า องค์กรมีการปรับตัวสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็วในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระยะแรก อย่างไรก็ตาม การขาดประสบการณ์และการดำเนินการปรับตัวสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ผลลัพธ์ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังในหลายธุรกิจ จากประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ในปีที่ผ่านมาทำให้ร้อยละ 43 ของบริษัทยังคงอยู่ในระยะ "Doing Digital" เนื่องจากพวกเขาได้ปรับตัวเชิงกลยุทธ์และเลือกใช้แนวทางที่เหมาะกับองค์กรของตนมากขึ้น ส่งผลให้การปรับตัวสู่ดิจิทัลประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นในปี 2565-2566 จากการสั่งสมประสบการณ์และการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมมากขึ้น

เมื่อพิจารณาข้อมูลเชิงลึกในด้านธุรกิจ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ใช้แอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือและเว็บไซต์ในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยแอปพลิเคชันแชทและระบบส่งข้อความ (Instant Messaging) เป็นเครื่องมือการสื่อสารที่ได้รับความนิยม กลุ่มผู้ค้ามีแนวโน้มที่จะปรับโมเดลธุรกิจและเสริมทักษะในการเข้าใจลูกค้า ในขณะที่กลุ่มผู้ให้บริการ เน้นวิธีการให้บริการที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ความปลอดภัยด้านไซเบอร์ และการพัฒนาระบบนิเวศทางดิจิทัล

เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรม ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีเป็นหลัก โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี สื่อและโทรคมนาคม (TMT) และกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องแข่งขันเพื่อส่วนแบ่งในตลาด ประสบความสำเร็จในการปรับตัวสู่ดิจิทัลได้ดีกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างปี 2565 และ 2566 พบว่า องค์กรมีความสนใจที่จะลงทุนในเทคโนโลยีเป็นจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูล

ดร. นเรนทร์ ชุติจิรวงศ์ ผู้อำนวยการบริหาร Clients & Markets ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “เมื่อองค์กรมีขนาดใหญ่ขึ้น องค์กรมักจะใช้เทคโนโลยีที่หลากหลายมากขึ้น โดยส่วนใหญ่เนื่องจากองค์กรขนาดใหญ่มีงบประมาณและความซับซ้อนในการบริหารจัดการภายในองค์กรสูงกว่าองค์กรขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม ทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดเล็กหรือใหญ่ มีการนำเทคโนโลยีด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ”

การลดต้นทุนและเพิ่มผลิตภาพ เป็นผลสำเร็จสองอันดับแรกในการปรับองค์กรสู่ดิจิทัล อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้บริหารระดับสูงและพนักงานในระดับอื่นๆ มีมุมมองที่ต่างกันผลสำเร็จอันดับที่สาม โดยกลุ่มผู้บริหารระดับสูง มองว่า ความเสี่ยงในด้านการดำเนินการที่ลดลง เป็นอันดับที่สาม ในขณะที่พนักงานในระดับอื่นๆ มองว่าเป็นการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า เนื่องจากพวกเขาอาจมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างใกล้ชิดมากกว่า

เมื่อพิจาณาในส่วนความท้าทาย ร้อยละ 60 ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าความสามารถของบุคลากรยังเป็นความท้าทายอันดับแรก โดยมีประเด็นด้านงบประมาณและทรัพยากรที่ไม่เพียงพอ และวัฒนธรรมองค์กรแบบดิจิทัลที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ เป็นความท้าทายในอันดับรองลงมา ที่ร้อยละ 57 และ 47 ตามลำดับ ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำภายหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เกิดข้อจำกัดในการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ดำเนินการปรับองค์กรสู่ดิจิทัล ทั้งนี้ มีแนวโน้มที่จะนำโซลูชั่นมาใช้ในอนาคต เช่น การเปิดใช้ระบบไอทีผ่านแพลตฟอร์มในคลาวด์ ที่ให้บริการโดยหน่วยงานภายนอกเพื่อช่วยลดต้นทุน นอกจากนี้ การบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ยังเป็นความท้าทายอีกประเด็นหนึ่ง เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลอีกด้วย

 

โกบินทร์ รัตติวรากร ผู้อำนวยการบริหาร ดีลอย์ คอนซัลติ้ง กล่าวว่า “ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าองค์กรที่มีความก้าวหน้าในดำเนินการปรับตัวสู่ดิจิทัล สามารถจัดการกับความท้าทายในด้านทรัพยากรได้ดีขึ้น พวกเขาจึงมุ่งให้ความสนใจกับการจัดการความท้าทายเกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล”

การปรับองค์กรสู่ดิจิทัล นับเป็นกระบวนการที่ยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ภาคธุรกิจจำต้องเปิดรับนวัตกรรมใหม่ๆ และปรับตัวให้เท่าทันกับเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ช่วงเวลานี้จึงเป็นเวลาเหมาะสมที่องค์กรต่างๆ จะเปิดรับโอกาสใหม่ๆ เพื่อเปิดทางไปสู่อนาคตที่ดีต่อธุรกิจมากยิ่งขึ้น และการปรับองค์กรสู่ดิจิทัลเป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญ ระหว่างธุรกิจในปัจจุบันและธุรกิจแห่งอนาคต

“บมจ.ไมโครลิสซิ่ง หรือ MICRO” โชว์ความแข็งแกร่งของสภาพคล่องทางการเงิน ประกาศไถ่ถอนหุ้นกู้ MICRO23OA จำนวน 349.3 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ตรงตามเวลาที่กำหนด ซึ่งเป็นแหล่งเงินจากสภาพคล่องคงเหลือของบริษัทเอง โดยไม่ได้ออกหุ้นกู้ชุดใหม่มาไถ่ถอน หรือเบิกวงเงินจากธนาคารเพื่อชำระคืน

ซึ่งเป็นการตอกย้ำ!!! ความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจมีความผันผวนและไม่มีความแน่นอน พร้อมแจ้งขอบคุณผู้ถือหุ้นกู้ที่คอยติดตามและให้การสนับสนุนบริษัทมาโดยตลอด และขออภัยที่ไม่สามารถออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อให้ลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง และจากกลยุทธ์ของบริษัทที่เน้นคัดคุณภาพลูกหนี้ใหม่อย่างเข้มงวด รักษาฐานพอร์ตลูกค้าดีของบริษัท ส่งผลให้บริษัทมีสภาพคล่องคงเหลือค่อนข้างมาก รวมทั้งบริษัทยังมีวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้กับสถาบันการเงินอีก โดยบริษัทคาดว่าจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 และคาดหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนและการตอบรับที่จากนักลงทุนอีกครั้ง

ทั้งนี้สำหรับแผนธุรกิจไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 MFIN หรือ บริษัท ไมโคร ฟิน จำกัด เตรียมปล่อยสินเชื่อจำนำเล่มทะเบียน (Title Loan) โดยเน้นขยายจากฐานลูกค้าเดิมของ MICRO เป็นหลัก เสริมโอกาสสร้างพอร์ตรายได้ให้เติบโตยั่งยืน พร้อมกับบริษัทฯยังคงมุ่งเน้นคุณภาพของสินเชื่อเป็นหลัก โดยพยายามดูแลฐานลูกค้าเดิมที่มีศักยภาพและมีคุณภาพหนี้ที่ดีไว้

นางสาวดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงมาเนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศเช่นเดียวกันตลาดอื่นๆ ทั้งประเด็นสงคราม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) ที่ปรับตัวสูงขึ้น และภาวะเศรษฐกิชะลอตัวแบบ Soft Landing ขณะที่ปัจจัยในประเทศ การปรับประมาณกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ). ลงอย่างต่อเนื่องของนักวิเคราะห์ที่ยังไม่สิ้นสุด กดดัชนีลง ประกอบกับช่วงเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งยังไม่มีการใช้จ่ายหนุนเศรษฐกิจ โดยมอง Downside ดัชนีหุ้นไทยแถว 1,300-1,350 จุด ซึ่งระดับ 1,300 จุด กรณีที่สงครามอิสราเอลและกลุ่มฮามาลขยายวงกว้างมากขึ้น

สำหรับการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย และรอดูการส่งสัญญาณอัตราดอกเบี้ย โดยประเด็นที่ต้องติดตาม คือ การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจ ตัวเลขการจ้างงาน ที่จะเป็นทริกเกอร์ว่าเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลงและราคาหุ้นก็จะปรับตัวลง ซึ่งจะเป็นจังหวะให้เข้าซื้อ

"อเบอร์ดีนมองราคาหุ้นไทยลงมามาก เป็นจังหวะทยอยสะสม จากช่วงก่อนเลือกตั้งดัชนีอยู่แถว 1,570 จุด ตอนนี้ลงมากว่า 200 จุด หลักๆ จากกำไรบจ.ที่ถูกหั่นลง กดดัชนีปัจจุบันอยู่แถว 1,370-1,380 จุด อยู่ในระดับที่น่าสนใจมากกว่าเดิม ขณะที่ P/E ตอนนี้ 14 เท่า เมื่อเทียบกับในอดีต 17-18 เท่า ซึ่ง Discount เยอะมาก มอง Dowside ไม่มากแล้ว ซึ่ง 6 เดือนข้างหน้าต้องติดตามกำไรบจ. เป็นหลัก"นางสาวดรุณรัตน์ กล่าว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนโฟกัสที่ปัจจัยพื้นฐาน หุ้นต้องเติบโตไปต่อได้ ไม่มีความเสี่ยงหรือได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงหรือหากต้นทุนเพิ่มขึ้นสามารถส่งผ่านไปได้ โดยมองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 3/66 จะออกมาค่อนข้างดี เพราะคนไข้ที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้นจากการระบาดของไข้หวัด และหากดูมูลค่าหุ้ Valuation มากกว่าครึ่งของกลุ่มใน SET ทั้งหมดเทรดต่ำกว่า PE ค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ระดับ 30-50% แล้ว

นอกจากนี้ในกลุ่มท่องเที่ยว จากประมาณการณ์นักท่องเที่ยวปี 2566 ทั้งหมด 28 ล้านคน อาจลดลงเล็กน้อย จากนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในประเทศน้อยกว่าที่คาดไว้ แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น ๆ เข้ามาชดเชย เช่น อินเดีย รัสเซียและมาเลเซีย รวมทั้งจากการพูดคุยกับผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจยังเห็นการเติบโตของค่าห้องพัก และยังไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามในตะวันออกกลาง เนื่องจากมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากอิสราเอลค่อนข้างน้อยมาก

ขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้า อาจต้องหลีกเลี่ยงไปก่อน เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายในการลดค่าครองชีพ ส่งผลให้รายได้กลุ่มโรงไฟฟ้าถูกจำกัด ในขณะที่ต้นทุนยังผันผวนอยู่ ยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการทำกำไร ส่วนกลุ่มค้าปลีกจากประมาณการของนักวิเคราะห์ยังไม่ได้ให้น้ำหนักกับนโยบาย Digital Wallet กับกลุ่มที่เป็นบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในนโยบาย ซึ่งมองว่าหากมีการปรับเงื่อนไขและใช้วงเงินน้อยลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 4-5 แสนล้านบาท และมีการลงทุนระยะยาวเพื่อผลักดันจีดีพีเติบโตน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี

"อเบอร์ดีนมองว่าราคาหุ้นที่ลงมาถึงระดับหนึ่ง นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุน และเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเอเชียถือว่าหุ้นไทยไม่ได้แพง เมื่อเทียบกับเสถียรภาพโดยรวม แต่ต้องรอดูจุดขายของรัฐบาลเพื่อดึงดูดนักลงทุนหรือหากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นข่าวดี ดัชนีน่าจะมี Sentiment ที่ดี โดยอเบอร์ดีนปรับประมาณการ 6-12 เดือนข้างหน้า จากเดิมกรอบดัชนีอยู่ที่ 1,530-1,663 จุด เป็น 1,444-1,560 จุด กรณี Best Case อยู่ที่ 1,494-1,618 จุด"นางสาวดรุณรัตน์ กล่าว

พร้อมกันนี้แนะนำกองทุน ABSM ลงทุนหุ้นไทยขนาดกลางและเล็ก ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ดี โดยกองทุนจะเน้นลงทุน 4 ธีม ท่องเที่ยว เฮลธ์แคร์ EV อาหารและเครื่องดื่ม

ด้านนายจอช ดิวทซ์ รองหัวหน้าทีมโกลบอลเอคควิตี้ อเบอร์ดีน เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวแบบ Soft landing เงินเฟ้อเริ่มลดลง สถานการณ์ดีขึ้นเมื่อเทียบปีก่อนที่กังวลเศรษฐกิจอาจเกิด Hard landing ขณะที่สงครามในตะวันออกกลางมีความกังวลอยู่บ้าง แต่มองกำไรบริษัทจดทะเบียนเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีและคาดว่าไตรมาส 4/66 กำไรน่าจะดีขึ้น ในแง่ของการลงทุนมองราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาเป็นโอกาสลงทุน โดยเฉพาะหุ้นปันผล

สำหรับกองทุนเปิดอเบอร์ดีน โกลบอล ไดนามิค ดีวิเดนด็น ฟันด์ (ABGDD) เน้นลงทุนหุ้นปันผลทั่วโลก ซึ่งกองทุนเน้นหุ้น Value มากกว่าหุ้น Growth เนื่องจากมีความสม่ำเสมอและมีความมั่นคง ซึ่ง 3 ปีล่าสุดราคาหุ้นปรับตัวลงมาเมื่อเทียบ หุ้น Growth เมื่อเทียบหลายวิกฤตที่ผ่านมาหุ้น Value มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งรอบนี้หุ้น Growth ปรับตัวขึ้นมามากจากหุ้นบิ๊กเนม 7 ตัว มีขนาด 1 ใน 3 ของมาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นสหรัฐดึงหุ้นกลุ่มเทคขึ้นมา แต่มองในฝั่งหุ้น Value โอกาสในการลงทุนกำลังมา

"อเบอร์ดีนมองโอกาสลงทุนหุ้นปันผลดี สม่ำเสมอและมีโอกาสเติบโต จากสถิติหุ้นตัวไหนที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและโอกาสเติบโตได้ ภาพระยะยาวจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นตัวที่ลดการจ่ายเงินปันผลหรือไม่จ่ายปันผล สะท้อนภาพ 10 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งการลงทุนหุ้นปันผลยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และหากเลือกหุ้นที่ดีมีโอกาสเพิ่มผลตอบแทนจากเงินปันผล เป็นความเซ็กซี่ของหุ้นกลุ่มนี้ ขณะที่ราคาหุ้น Value ปรับตัวลงมามาก ถึงจุดน่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อเทียบอดีตใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดโควิด จึงมองเป็นจังหวะเข้าลงทุนหุ้นดี ราคาเหมาะสมและถูก"นายจอช กล่าว

นอกจากนี้ในภาวะตลาดขาลง หุ้น Value ก็ปรับตัวลงน้อยกว่าตลาด เนื่องจากบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลระดับสูงมักมีโมเดลธุรกิจที่มีความมั่นคง กระแสเงินสดดี งบดุลแข็งแกร่งและบริษัทมีการบริหารจัดการภายใน เพื่อเตรียมเงินไว้จ่ายปันผล ซึ่งจากสถิติหุ้นที่มีการจ่ายปันผลดี สม่ำเสมอและมีโอกาสเติบโตให้ผลตอบแทนที่ดีและความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นอื่นๆ

นายจอช กล่าวว่า ภาพรวมมูลค่าการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกเพิ่มขึ้นตอเนื่องอยู่ที่ 1.93 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 8.4% ต่อปี ซึ่งเติบโตทุกภูมิภาค ส่วนหนึ่งมาจากหลายบริษัทมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง กระแสเงินสดดีสามารถจ่ายเงินปันผลได้และมีแนวโน้มการเติบโต

สำหรับกองทุน ABGDD เน้นลงทุนหุ้นพื้นฐานดีที่ปันผลสม่ำเสมอและมีโอกาสเติบโต สัดส่วน 95% ของพอร์ต ส่วน 5% ที่เหลือมองหาเงินปันผลที่มากกว่ากองทุนอื่นๆ โดยจะหาหุ้นบริษัทที่ดีเพื่อเข้าซื้อหุ้นก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD และบางจังหวะจะใส่เงินเพิ่มเพื่อรับเงินปันผลเพิ่มมากขึ้น หรือหาหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลแบบพิเศษ ซึ่งบางบริษัทอาจปรับโครงสร้างงบดุลภายในให้สถานการณ์ดีหรือมีการขายสินทรัพย์หรือบริษัทลูกมีเงินสดเข้ามาก็สามารถจ่ายเงินปันผลพิเศษได้

"กองทุน ABGDD มุ่งสร้างผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ 7% ต่อปี เพื่อให้ Stable มั่นคงและยั่งยืน สะท้อนได้จากการจ่ายเงินปันผลทุกเดือน ในอดีตสามารถปันผลได้ในระดับ 5-7% ต่อปีและในปี 2565 ที่ตลาดปรับตัวลงกองทุนยังสามารถจ่ายผลตอบแทนได้ 8.04% เนื่องจากบริษัทที่ลงทุนแม้จะจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่มีรายได้จากยุโรปและเอเชียด้วย"นายจอช กล่าว

 

 

รายงาน Digital Lives Decoded ของเทเลนอร์ เอเชีย ระบุว่า 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทยนั้นมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็นด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล

ซึ่งแม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะฟังดูสูง แต่ก็ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียซึ่งอยู่ที่ 93%

มนตรี สถาพรกุล Head of Data Protection แห่งบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)  เผยความเห็นว่า Data Privacy กับ Data Security คือเรื่องเดียวกัน

"ความเป็นส่วนตัวหรือ privacy นั้นหมายถึงการเคารพขอบเขตที่เจ้าของข้อมูลที่แท้จริงเป็นผู้กำหนด ถ้าคุณเล่าอะไรที่เป็นส่วนตัวกับใครก็ตาม บุคคลนั้นไม่ได้รับอนุญาตจากคุณในการนำเรื่องนั้นๆ ไปบอกต่อกับคนอื่นๆ เช่นเดียวกันกับข้อมูลดิจิทัล คุณในฐานะเจ้าของข้อมูลมีสิทธิในข้อมูลนั้นๆ และบริษัทที่ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลดังกล่าวมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งาน ที่ทรู เราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ถือเป็นส่วนหนึ่งของเจตนารมณ์ของเราในฐานะผู้นำด้านโทรคมนาคม-เทคโนโลยี” มนตรีกล่าว

ปัจจุบัน ทรูมีผู้ใช้งานบนเครือข่ายมือถือจำนวนกว่า 51 ล้านคน ไม่นับรวมบริการอื่นๆ อาทิ บริการเก็บข้อมูลบนคลาวด์ คอนเทนต์ อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ โซลูชัน IoT ทำให้ทรูถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในมิติด้านข้อมูลของประเทศไทย

“เมื่อลูกค้าทรูเปิดโทรศัพท์มือถือ จะมีการรับและส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์ของพวกเขา ข้อมูลดังกล่าวไม่ได้หมายรวมถึงเพียงคอนเทนต์อย่างข้อความเอสเอ็มเอสหรือวิดีโอเท่านั้น แต่ยังรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นในการระบุว่าใครคือผู้ส่งข้อมูลดังกล่าว และส่งจากที่ใดด้วย” มนตรีกล่าว

นี่ถือเป็นความรับผิดชอบใหญ่หลวงสำหรับผู้ให้บริการโทรคมนาคม กล่าวคือ ผู้ให้บริการต้องดูแลให้การรับส่งข้อมูลนั้นเป็นไปอย่างปลอดภัย และป้องกันไม่ให้ข้อมูลนั้นถูกเข้าถึงโดยบรรดาแฮกเกอร์หรือผู้ไม่ประสงค์ดี ขณะเดียวกัน ผู้ให้บริการโทรคมนาคมต้องบังคับใช้มาตรการในการควบควมดูแลเพื่อให้การเก็บและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นไปตามขอบเขตและเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล

“บิ๊กดาต้านั้นเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากในการช่วยให้เราออกแบบบริการที่ดียิ่งขึ้น และทำให้บริการเหล่านั้นเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น อย่างไรก็ดี เราไม่เคยประนีประนอมเมื่อเป็นเรื่องสิทธิความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูลของลูกค้า เราเก็บรักษาข้อมูลให้ปลอดภัย ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยไซเบอร์ที่เข้มข้น เราจะเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าเฉพาะกรณีที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของข้อมูลเท่านั้น และเราจะเข้าถึงเฉพาะข้อมูลที่มีความจำเป็นจริงๆ” เขาอธิบาย

 

การขอ Consent จำเป็นแค่ไหน? ตามมาตรฐานด้านข้อมูลส่วนบุคคลของทรู และกฎหมายของประเทศไทยว่าด้วย พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วน

บุคคล ผู้ใช้บริการโทรคมนาคมสามารถเลือกให้ความยินยอมในด้านความเป็นส่วนตัวกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมได้ 2 ระดับ ซึ่งการให้ความยินยอมในระดับแรกนั้นมีความจำเป็นเพื่อจุดประสงค์การให้บริการด้านโทรคมนาคม โดยจะจำกัดการใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าเพื่อจุดประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการโทรคมนาคมเท่านั้น

สำหรับการให้ความยินยอมในระดับที่สองถือเป็นทางเลือก โดยผู้ใช้บริการสามารถเลือกให้ความยินยอมในการเข้าถึงและใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อรับข้อเสนอหรือสิทธิประโยชน์ที่ออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชันของทรูหรือดีแทคอาจมีการแจ้งเตือนไปยังลูกค้าเกี่ยวกับโอกาสในการแลกสิทธิประโยชน์บางอย่างได้ฟรี โดยขึ้นอยู่กับระดับสถานะ loyalty program และตำแหน่งที่ตั้ง (location) ของผู้ใช้งาน

“เรามีการพิจารณาในสองแง่มุม คือหนึ่ง เราได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้งจากลูกค้าหรือไม่ และสอง การใช้งานข้อมูลลูกค้านั้นนำมาซึ่งประโยชน์สำหรับลูกค้าหรือเปล่า เพื่อให้การเข้าถึงข้อมูลนั้นเป็นไปตามจุดประสงค์เหล่านี้ เรามีการกำหนดกลไก (control point) และมีการติดตามทุกครั้งที่มีการเข้าถึงข้อมูลของลูกค้า และดูแลให้การเข้าถึงข้อมูลนั้นๆ เป็นไปตามวัตถุประสงค์” มนตรีกล่าว

ในการจะเข้าถึงคลังข้อมูลของทรูนั้น บุคคลที่เป็นผู้ใช้งานภายใน (internal user) ต้องสามารถชี้แจงได้ว่าคำร้องขอของตนนั้นเป็นไปตามกฎหมายและวัตถุประสงค์การใช้งาน ซึ่งมาตรการนี้มีการบังคับใช้กับผู้ใช้งานภายในทุกคน รวมทั้งผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและรับรองคุณภาพ (audit and quality assurance) รวมทั้งยังครอบคลุมถึงกรณีคำขอต่างๆ จากหน่วยงานภาครัฐด้วย

“หน่วยงานภาครัฐไม่มีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าโดยตรง และต้องยื่นคำร้องขอการเข้าถึงข้อมูลในกรณีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงหรือผลประโยชน์แห่งชาติ เรามีการประเมินคำร้องขอทุกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าคำร้องขอนั้นๆ มาจากหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจทางกฎหมาย และคำร้องขอนั้นเป็นไปตามข้อกำหนด เฉพาะในกรณีดังกล่าว เราจึงจะอนุญาตให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลได้” มนตรีกล่าว

 

ข้อมูลส่วนบุคคลคือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ? มนตรียังเล็งเห็นด้วยว่าผู้บริโภคชาวไทยนั้นมีความกังวลในเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และคาวมแพร่หลายของเทคโนโลยีอย่าง AI, IoT และบิ๊กดาต้า ก็ยิ่งเร่งให้หลายฝ่ายหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นการยกระดับธรรมาภิบาลของข้อมูล (data governance) ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อปกป้องสิทธิของผู้บริโภค

“จุดมุ่งหมายของทรูในการก้าวไปเป็นผู้นำด้านโทรคมนาคม-เทคโนโลยีนั้น ไม่ได้ถึงเพียงการเป็นผู้นำด้านโทรคมนาคมเท่านั้น แต่เราต้องการเป็นผู้นำด้านบริการดิจิทัลอื่นๆ ด้วย หากการจะไปถึงจุดนั้นได้ เราต้องเริ่มต้นจากการสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าของเราก่อน จึงเป็นสาเหตุที่เรามีเจตนารมณ์แรงกล้าในการก้าวไปเป็นผู้นำด้านความเป็นส่วนตัว ผู้ใช้งานของเราต้องได้รับการชี้แจงเกี่ยวกับสิทธิความเป็นส่วนตัวของตนอย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันเราต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใช้งานในการเข้าถึงข้อมูลของพวกเขา และเราจะเข้าถึงข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ในการมอบบริการที่ดีที่สุดและนำเสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆ เท่านั้น” เขากล่าว

เพื่อให้ก้าวทันกับความเปลี่ยนแปลงในมิติความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ปัจจุบัน มนตรีกำลังประเมินถึงผลกระทบของเทคโนโลยีใหม่ๆ ต่อการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล ยกตัวอย่างเช่น TrueX ซึ่งให้บริการโซลูชันบ้านอัจฉริยะ หรือบริการ telemedicine จากหมอดี ซึ่งล้วนเป็นบริการที่เข้าไปอยู่ในชีวิตส่วนตัวของลูกค้า

“ถึงแม้จะเป็นประเด็นเรื่อง AI หรือ IoT เราก็ยังคงยึดถือหลักการเดียวกันในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เราต้องดูแลให้การใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจำเป็นในการให้บริการ และสร้างประโยชน์ให้กับลูกค้า หากเรารักษามาตรฐานนี้ไว้ได้ ผมเชื่อมั่นว่าการมาถึงของเทคโนโลยีใหม่ๆ จะไม่ส่งผลกระทบต่อสิทธิด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานของเราอย่างแน่นอน” มนตรีทิ้งท้าย

เคทีซีร่วมฉลองการเปิดตัวสถานีบริการน้ำมันแบรนด์ใหม่ ไซโนเปค ซัสโก้ (SINOPEC SUSCO) แห่งแรกของประเทศไทย

โดย “ไซโนเปค ซัสโก้” เป็นบริษัทพลังงานชั้นนำยักษ์ใหญ่จากจีน ที่มีเครือข่ายสถานีให้บริการน้ำมันมากเป็นอันดับ 2 ของโลก พร้อมจัดโปรโมชัน เมื่อเติมน้ำมันและชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซี ที่สถานีบริการน้ำมันไซโนเปค ซัสโก้ (สาขารัชดาภิเษก ขาเข้า) ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2566 – 31 ธันวาคม 2566

นายสุวัฒน์ เทพปรีชาสกุล ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมแสดงความยินดีกับมร.หลี่ เว่ย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซโนเปค ซัสโก้ จำกัด พร้อมกล่าวว่า “ที่ผ่านมาเราได้สนับสนุนกิจกรรมทางการตลาดกับซัสโก้ด้วยดีมาตลอด และวันนี้นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทางซัสโก้ได้ขยายความร่วมมือในการลงทุนกับทางไซโนเปค ซึ่งจะทำให้คนไทยมีทางเลือกในการใช้น้ำมันที่มีคุณภาพจากไซโนเปค ซัสโก้ และเพื่อร่วมฉลองการเปิดตัวสถานีบริการน้ำมัน ไซโนเปค ซัสโก้ สาขาแรกของประเทศไทยที่ถนนรัชดาภิเษก ทางเคทีซีจึงมอบสิทธิพิเศษให้แก่สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่เติมน้ำมัน และชำระยอดใช้จ่ายตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป จะได้รับน้ำดื่มขนาด 1.5 ลิตร เพิ่มอีก 1 ขวด จากที่ทางสถานีบริการน้ำมันฯ ได้จัดโปรโมชันเติมน้ำมันครบทุก 900 บาท รับน้ำดื่ม 1 ขวด โดยสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี จะได้รับรวมทั้งสิ้นเป็น 2 ขวด หรือหากใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี ยูเนี่ยนเพย์ ยอดตั้งแต่ 900 บาทขึ้นไป รับ e-Coupon เครดิตเงินคืนสูงสุด 40 บาท โดยไม่ต้องทำการลงทะเบียนใดๆ ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2566 – 31 ธันวาคม 2566”

 

ฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำการเป็นองค์กรชั้นนำด้านดิจิทัลโซลูชัน เนรมิตนิทรรศการออนไลน์เสมือนจริง (Virtual Online Exhibition) ภายใต้แนวคิด “Power Up Your Work With Innovation To Drive Your Business Forward”

พร้อมขนทัพผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและโซลูชันด้านธุรกิจ (Business Solution) แบบครบวงจร รวมถึงเวทีสัมมนาสุดพิเศษโดยเหล่าวิทยากรจากบริษัทชั้นนำระดับประเทศ และกิจกรรมร่วมสนุกเพื่อรับของรางวัลพิเศษอีกมากมายภายในงานเดียว ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 2 พฤศจิกายน 2566

มร.มาซาอากิ ยานากิย่า ประธาน บริษัทฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น ประเทศไทย (จำกัด) เปิดเผยว่า สำหรับกิจกรรมนิทรรศการแสดงสินค้าเสมือนจริง จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนให้กับกลุ่มธุรกิจ และพันธมิตรของ ฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น มีความรู้ ความเข้าใจต่อเทรนด์แนวโน้มของเทคโนโลยี นวัตกรรมในยุคดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งเทคโนโลยี นวัตกรรมปัจจุบันมีส่วนสำคัญในการพัฒนาธุรกิจ องค์กร ในด้าน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และช่วยลดต้นทุนอีกด้วย

ฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนวชั่น เป็นหนึ่งในบริษัทภายใต้แบรนด์ฟูจิฟิล์ม โดยเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรม และผู้ให้คำปรึกษาด้านเอกสารสำนักงาน โดยเราต้องการให้ลูกค้าเราพบกับประสบการณ์การเข้าชมนิทรรศการสินค้ารูปแบบใหม่ เข้ากับยุคสมัยดิจิทัลอย่างแท้จริง ในรูปแบบของ Metaverse ช่วยให้คุณสามารถเข้าร่วมงาน ที่ไหน เมื่อไรก็ได้ ถ่ายทอดสดงานแบบเรียลไทม์ Live Streaming พร้อมทั้งงานสัมมนาออนไลน์ให้ลูกค้ารับฟังเนื้อหานวัตกรรมอย่างเต็มอิ่มในงาน โดยมีโซลูชั่น และ ซอฟต์แวร์จากทางฟูจิฟิล์มพร้อมนำเสนอเพื่อช่วยสนับสนุนธุรกิจต่างๆ” มร.มาซาอากิ กล่าว

ผู้เข้าร่วมนิทรรศการในปีนี้จะได้รับชมการนำเสนอกลุ่มโซลูชัน และผลิตภัณฑ์จากฟูจิฟิล์มที่จะช่วยส่งเสริมให้ การทำงานภายในองค์กรและการดำเนินธุรกิจสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยผู้เข้าร่วมงานสามารถเลือกเข้าชมนิทรรศการเสมือนจริงตามหมวดหมู่ที่ต้องการ และเข้าชมบูธนิทรรศการแสดงสินค้าด้านการพิมพ์ ที่รวบรวมนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่จากฟูจิฟิล์ม รวมถึงกลุ่มโซลูชันที่ช่วยอำนวยความสะดวก ตลอดจนยกระดับการบริหารจัดการงานในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ ระบบบริหารจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (Document Management Solution) กระบวนการจัดการทางธุรกิจ และกระบวนการขออนุมัติเอกสาร (Business Process Management Solution & e-Approval Workflow) ระบบอัตโนมัติ (Automation Solution) เทคโนโลยีโซลูชันคลาวด์ (Cloud Management Solution) และโซลูชันการจัดการต้นทุน (Cost Management Solution) นอกจากนี้ ฟูจิฟิล์มยังเสริมฟีเจอร์สร้างตัวละครสมมุติเพื่อเป็นตัวแทนในการเข้าร่วมนิทรรศการ ให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสประสบการณ์เสมือนอยู่หน้างานแสดงสินค้าจริง

ภายในงานสัมมนาออนไลน์ ผู้ที่สนใจจะมีโอกาสได้รับฟังประสบการณ์และเทคนิคการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม รวมถึงโซลูชันที่สำคัญในการยกระดับการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ และได้ร่วมอัปเดทเทรนด์ดิจิทัลที่มีแนวโน้มจะส่งผลต่อธุรกิจในปี 2024 กับเหล่าวิทยากรชั้นนำระดับประเทศจากหลากหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็น ดีลอยท์ ประเทศไทย, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน), บริษัท ซัมซุง ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าแห่งประเทศไทย, บริษัท กุดั่น แอนด์ พาร์ทเนอร์ส จำกัด, สายการบินไทยเวียตเจ็ท, บริษัท เอไอเอ ประเทศไทย, สมาคม MarTech Association ที่จะมาร่วมแบ่งปันกลยุทธ์การนำเทคโนโลยี นวัตกรรม และโซลูชันด้านธุรกิจมาประยุกต์ใช้ในองค์กรเพื่อให้อยู่รอด ตลอดจน ประสบความสำเร็จในยุคที่มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา

ผู้ที่สนใจร่วมสัมผัสประสบการณ์ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการพิมพ์แห่งอนาคตผ่านโลกเสมือนจริง พร้อมฟังสัมมนาออนไลน์ จากฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ระหว่างวันที่ 1 – 2 พฤศจิกายน

X

Right Click

No right click