December 16, 2025

ธุรกิจกลุ่มท่องเที่ยว-บริการ ยังยกการ์ดสูง พร้อมเข้มด้านมาตรฐานความสะอาด ปลอดเชื้อ สร้างความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวและผู้ใช้บริการ ส่งผลอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับทำความสะอาดเป็นที่ต้องการสูง ด้าน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 ร่วมจับมือชมรมผู้บริหารงานแม่บ้านประเทศไทย และกลุ่มธุรกิจอุปกรณ์ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เปิดโซนใหม่ Cleaning & Hygiene Thailand (CHT) เตรียมขนนวัตกรรมล่าสุดด้านการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ พร้อมกิจกรรมสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมใหม่ในการทำความสะอาด

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 กล่าวถึงการเติบโตและความต้องการอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมด้านความสะอาด ปลอดเชื้อ ปลอดภัยของกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและบริการว่า จากยุคโควิดเป็นต้นมา การจัดการด้านความสะอาดและการดูแลเรื่องการปลอดเชื้อของธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและธุรกิจบริการ ได้ถูกยกระดับให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้น จากมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยสำหรับสถานประกอบการ SHA และ SHA Plus ที่ภาครัฐกำหนดขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจต่อนักท่องเที่ยวและผู้ใช้บริการ จนวันนี้มาตรการดังกล่าวกลายเป็นมาตรฐานที่ผู้ประกอบการธุรกิจยังคงเข้มปฏิบัติตามและให้ความสำคัญอย่างเข้มแข็ง ส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีของการท่องเที่ยวไทยที่ได้รับการถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก ในเรื่องการดูแลสุขอนามัยของนักท่องเที่ยว จากการที่ผู้ประกอบการให้ความสำคัญต่อมาตรฐานด้านสุขอนามัยมาอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งผลต่อธุรกิจอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ซึ่งได้รับอานิสงค์ร่วมไปกับการเติบโตของการท่องเที่ยวด้วย

การจัดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 ในครั้งนี้ ทางบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับชมรมผู้บริหารงานแม่บ้านประเทศไทย และกลุ่มธุรกิจอุปกรณ์ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ได้เปิดโซน Cleaning & Hygiene Thailand (CHT) ซึ่งเป็นโซนใหม่ขึ้น เพื่อให้เป็นงานแสดงสินค้าและเทคโนโลยี ด้านอาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์ เครื่องใช้ในโรงแรม ภัตตาคาร การจัดเลี้ยงและการบริการนานาชาติที่ครบวงจรที่สุดอย่างแท้จริง โดยในโซน CHT นี้จะเป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการธุรกิจอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์รายใหญ่ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่พร้อมนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อใหม่ล่าสุด ที่มีประสิทธิภาพสูงมาร่วมจัดแสดง อาทิ เครื่องขัดพื้นอัตโนมัติแบบนั่งขับ น้ำยาทำความสะอาด เทคโนโลยีชีวภาพ (Ecologo) สำหรับธุรกิจอาหาร เครื่องซักผ้ามาตรฐานระดับโลก เครื่องฟอกอากาศระบบไฟฟ้าสถิตสำหรับห้องครัว ระบบฟอกอากาศภายในอาคาร, ฆ่าเชื้อพื้นผิว เครื่องกรองน้ำระดับพรีเมียมสำหรับธุรกิจ

ร้านอาหารและคาเฟ่ รวมถึงกิจกรรมให้ความรู้ต่างๆ อาทิ นวัตกรรมอากาศสะอาดด้วยเซลาฟิวชั่นเทคโนโลยี ความรู้เบื้องต้นและวิธีการทำความสะอาดพรม

นางจรีวรรณ หอมบุบผา ประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ ชมรมผู้บริหารงานแม่บ้านประเทศไทย กล่าวถึงความสำคัญของการรักษามาตฐานด้านสุขอนามัยในสถานประกอบการว่า ในฐานะองค์กรตัวแทนของผู้ปฏิบัติงานแม่บ้านยังยึดมั่นในข้อปฏิบัติและกฎระเบียบด้านความสะอาด ปลอดเชื้อ ปลอดภัยไว้อย่างเข้มแข็ง วันนี้โควิดยังไม่หมดไปและอาจมีโรคใหม่เกิดขึ้นอีก การป้องจึงเป็นทางที่ดีที่สุดทางหนึ่ง ซึ่งบทบาทของชมรมฯนอกจากจะสนับสนุน ให้ความรู้ พัฒนาการทำงานของพนักงานแม่บ้านแล้ว ยังรวมถึงการจัดหา ฝึกอบรม พัฒนาบุคลากร เพื่อป้อนสู่สถานประกอบการโรงแรมด้วย ส่วนความร่วมมือกับงาน Food & Hospitality Thailand นั้น ทางชมรมฯ ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ซึ่งกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ มีทั้งการสัมมนาเกี่ยวกับนวัตกรรมใหม่ในการทำความสะอาด การปรับใช้อุปกรณ์และน้ำยาทำความสะอาดให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด กิจกรรมแฟชั่นโชว์จากวัสดุเหลือใช้ เป็นการแสดงความคิดสร้างสรรค์ สร้างความตระหนักถึงคุณค่าของการนำกลับมาใช้ใหม่

นายสุกานต์ อินทรสูต ผู้จัดการอาวุโส (ช่องทางจัดจำหน่าย) บริษัท พีรพัฒน์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำยาฆ่าเชื้อและทำความสะอาดหลังการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวว่า เริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติมากขึ้น มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าพักในโรงแรม การใช้บริการร้านอาหาร และบริการอื่นๆ รวมถึงยังได้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ อาทิ สปา ฟิตเนส โรงพยาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัย ศูนย์ราชการ ทำให้ไตรมาส 1 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 30% ใกล้เคียงกับก่อนเกิดสถานการณ์โควิด โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำยาฆ่าเชื้อ ลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่มโรงแรม 60% ร้านอาหาร 20% และอื่นๆ อีก 20% ซึ่งการเข้าร่วมงาน Food & Hospitality Thailand ถือเป็นการสร้างความรู้จักและตอกย้ำในความเป็นผู้นำเทคโนโลยีทำความสะอาด Cleaning Hygiene Solutions แก่ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการอื่นๆ โดยไฮไลท์การจัดแสดงงานในปีนี้นอกจากจะมี Solutions ที่ครบวงจรแล้ว ยังมีการจัดแสดงหุ่นยนต์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ เครื่องล้างจานที่เป็นดิจิตอลทั้งหมด และเคมีภัณฑ์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นางสาวพนิดา มหชวโรจน์ กรรมการ บริษัท เค.เอช.ที.เซ็นทรัลซัพพลาย จำกัด กล่าวว่า การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวส่งผลดีต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก โดยเราเป็นผู้จัดจำหน่ายและผู้ให้บริการครบวงจรเกี่ยวกับอุปกรณ์ซัก อบ รีด สำหรับโรงแรม รีสอร์ท โรงพยาบาล โรงซักผ้า และร้านสะดวกซักต่างๆ ซึ่งสัญญาณการฟื้นตัวเริ่มเห็นชัดว่าตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา (2565) จากการที่ผู้ประกอบการโรงแรม ที่พัก ได้ติดต่อเรียกทีมบริการของบริษัทฯ ให้เข้าไปตรวจเช็คระบบและอุปกรณ์ของเครื่องซัก อบ รีด เพื่อเตรียมรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเครื่องซักผ้านั้น ลูกค้ามีความต้องการเครื่องที่สามารถซักน้ำร้อนและอบผ้ามากขึ้น เพื่อใช้ความร้อนมาเป็นตัวฆ่าเชื้อ ซึ่งทางบริษัทฯ คาดว่าในปีนี้จะเติบโตได้ถึง

7-10% ส่วนการร่วมจัดแสดงงานกับทาง Food & Hospitality Thailand นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่ทำให้เราได้พบกับผู้ประกอบการในธุรกิจโรงแรม ท่องเที่ยว โรงพยาบาล และธุรกิจบริการทั้งในประเทศและกลุ่ม CLMV ที่ล้วนแต่เป็นกลุ่มลูกค้าของเราโดยตรง โดยไฮไลท์ในปีนี้ที่ทาง เค เอช ที เซ็นทรัลซัพพลาย ได้นำเครื่องซัก อบ รีด รุ่นยอดนิยม ที่มีดีไซน์ใหม่ พร้อมฟังชั่นที่น่าสนใจจากประเทศอเมริกามาร่วมออกงานในครั้งนี้ด้วย

นายปวัน เอี่ยมเจริญยิ่ง ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจ บริษัท แมททีเรียล เวิลด์ จำกัด ได้กล่าวเสริมถึงการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ส่งผลต่อธุรกิจอุปกรณ์ทำความสะอาดว่า การกลับมาของนักท่องเที่ยวทำให้ธุรกิจโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร และธุรกิจบริการไปต่อได้ ส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจอุปกรณ์ทำความสะอาด ตั้งแต่ถังขยะไปจนถึงอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่ง แมททีเรียลเวิลด์ มีแผนกที่ดำเนินธุรกิจผู้นำเข้าสินค้ากลุ่มธุรกิจบริการ (Hospitality) เป็นอุปกรณ์ Premium จากหลายประเทศ โดยเฉพาะ Rubbermaid ที่ถือว่าเป็นแบรนด์ผู้นำตลาด การร่วมจัดแสดงงานกับ Food & Hospitality Thailand ถือเป็นงานสำคัญที่เราจะได้สื่อสารกับลูกค้าที่ตรงกลุ่ม เพราะผู้เยี่ยมชมงานส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการและผู้อยู่ในธุรกิจตัวจริง ส่วนการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ในปีนี้จะมีความหลากหลายและครอบคลุมในทุกกลุ่มมากขึ้น ตั้งแต่ประเภทลูกค้าโรงงาน โรงแรม ไปจนถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือน

สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล และ สยามจุลละมณฑล ผู้จัดงาน “45 ปี ซีไรต์มาไกลมาก” เปิด 3 กิจกรรมใหม่ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างนักอ่านและผู้สนใจในวรรณกรรมรางวัลซีไรต์ พร้อมเป็นกิจกรรมเพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสที่รางวัลซีไรต์เดินทางมาครบ 45 ปี ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการจัดงาน “45 ปีซีไรต์มาไกลมาก” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 27 สิงหาคม 2566 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดยทั้ง 3 กิจกรรม ประกอบด้วย

1. การแข่งขัน The S.E.A. Write Quiz การแข่งขันตอบคำถามเพื่อค้นหากูรูตัวจริงรางวัลวรรณกรรม ซีไรต์ออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันสอบติดจูเนียร์ โดยการแข่งขันจะจัดขึ้นพร้อมกันในวันที่ 27 สิงหาคม 2566 เวลา 13.20 - 14.20 น. ผู้สนใจสามารถสมัครได้ที่ https://forms.gle/sQ2e4ZD1HqxPxUtt8

2. การประกวดสุนทรพจน์ ภาษาอังกฤษ หัวข้อ Moving Forward : 45 Year of the S.E.A. Write Awardเพื่อส่งเสริมให้นักอ่านและผู้สนใจในวรรณกรรมรางวัลซีไรต์ แสดงความรู้และทรรศนะเกี่ยวกับรางวัลซีไรต์ ทั้งความประทับใจที่มีต่อวรรณกรรมซีไรต์และการก้าวต่อไปของรางวัลซีไรต์ จากความคิดและมุมมองของนักอ่าน โดยหัวข้อการประกวดรอบที่ 1 คือ "ความประทับใจในหนังสือซีไรต์" ผู้เข้าประกวดต้องส่งเป็นคลิปวีดีโอความยาว 3-4 นาที ผ่านทาง E-mail: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. พร้อมระบุหัวเรื่อง "ส่งผลงานเข้าร่วมกิจกรรม 45 ปีซีไรต์ (สุนทรพจน์)" ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 ส่วนหัวข้อการประกวดรอบที่ 2 คือ "45 Years of S.E.A. Write Award and Still Moving Forward" ผู้เข้าประกวดต้องกล่าวสุนทรพจน์ความยาว 3 - 4 นาที ผ่านระบบออนไลน์

Zoom Meeting ในวันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม 2566 และแข่งขันรอบตัดสิน 10 คนสุดท้าย ผู้เข้าประกวดต้องกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีการจัดงานฯ ในวันที่ 27 สิงหาคม 2566 ผู้เข้าร่วมการประกวดสามารถค้นหารายละเอียดและติดตามผลการประกวดได้ที่เว็บไซต์ www.siamclmt.com ผู้สนใจสามารถสมัครได้ที่ https://forms.gle/rM3e64Gjh8cVbpJy6

3. การประกวดคอสเพลย์ "ใครเป็นใครในวรรณกรรมซีไรต์" ผู้เข้าประกวดสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการตีความตัวละครจากวรรณกรรมซีไรต์เล่มใดก็ได้ โดยอธิบายแนวคิดของการตกแต่ง เสื้อผ้า และนำเสนอบุคลิกของตัวละครให้ออกมาได้อย่างน่าสนใจ ผู้สมัครต้องส่งคลิปวีดีโอสั้นประกวดในชุดคอสเพลย์ 15 - 30 วินาที พร้อมอธิบายแนวความคิดของการตกแต่งเสื้อผ้าและบุคลิกลักษณะของตัวละคร ส่งมาที่ E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. พร้อมระบุหัวเรื่อง “ส่งผลงานเข้าร่วมกิจกรรม 45 ปีซีไรต์ (คอสเพลย์)” ภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2566 ผู้สนใจสามารถสมัครได้ที่ https://forms.gle/aJrSoDKYXDGjYWYz9

ทั้ง 3 กิจกรรม เปิดโอกาสให้ผู้สนใจเข้าร่วมประกวดและแข่งขันได้ทุกเพศ ทุกวัย โดยสมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้ - 31 กรกฎาคม 2566

งาน “45 ปีซีไรต์มาไกลมาก” เกิดจากความร่วมมือของภาครัฐ สมาคม สถาบันการศึกษา และบริษัทเอกชนที่ต้องการสนับสนุนการอ่าน วรรณกรรมรางวัลซีไรต์ และแวดวงวรรณกรรมของไทยให้มีการพัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปลุกกระแสแวดวงวรรณกรรมซีไรต์ไทยและอาเซียนให้ได้รับความสนใจอีกครั้ง พร้อมทั้งดึงเยาวชนและนักอ่านรุ่นใหม่ให้สร้างงานเขียนและการอ่านอย่างมีคุณค่า เพื่อพัฒนาศักยภาพ ความคิดและการเติบโตทางสังคม

โดยงาน “45 ปีซีไรต์มาไกลมาก” มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 27 สิงหาคม 2566 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กรมส่งเสริมการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ธนาคารออมสิน และแอปพลิเคชันสอบติดจูเนียร์

4 กรกฎาคม 2566, - บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ร่วมกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) สานต่อเจตนารมณ์ด้านความยั่งยืนของทั้งสององค์กรในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ลงนามความร่วมมือสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) และสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จำนวน 20,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์ให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวระดับโลก (Mega global destination) ร่วมนำมาตรฐานใหม่เสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่มุ่งเน้นการลดการใช้ทรัพยากร และส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ สร้างคุณค่าองค์รวมแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) รวมถึงสนับสนุนโครงการริเริ่มต่างๆ เพื่อพัฒนาความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเล และการพัฒนาสังคมในอนาคต พร้อมร่วมสร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การลงทุนอย่างต่อเนื่องของ AWC ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แถวหน้าของประเทศ เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงอนาคตทางเศรษฐกิจไทยที่กำลังดีขึ้น ธนาคารไทยพาณิชย์ ตระหนักถึงบทบาทในการร่วมขับเคลื่อนความยั่งยืนให้เกิดขึ้นแก่สังคมไทยในทุกมิติ จึงมีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) และสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จำนวน 20,000 ล้านบาท แก่ AWC เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการใหม่ๆ และการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ AWC อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมของธนาคาร และธุรกิจภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ โดยมีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จากการดำเนินงานภายในปี 2030 และจากการให้สินเชื่อและการลงทุนภายในปี 2050 ธนาคารมีความเชื่อมั่นในศักยภาพทางธุรกิจของ AWC และเชื่อมั่นว่าการสนับสนุนทางการเงินจำนวน 20,000 ล้านบาทในครั้งนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพทางธุรกิจให้แก่ AWC ผ่านการพัฒนาโครงการคุณภาพมากมาย ที่จะสร้างความน่าตื่นเต้นให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ และเพื่อสนับสนุนประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่ยั่งยืนระดับโลก”

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “AWC มีความประทับใจ SCB ต่อความมุ่งมั่น วิสัยทัศน์ที่ร่วมกันด้านความยั่งยืน ที่ได้ออกสินเชื่อด้านความยั่งยืนเป็นรายแรกของประเทศ ควบคู่การเดินหน้าผนึกกำลังร่วมสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน ทั้งนี้ AWC มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ SCB ในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศ โดย AWC มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์ให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก (Mega sustainable destination) อาทิ โครงการเอเชียทีค ที่จะสร้างเป็นแลนด์มาร์คความยั่งยืนริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้กับกรุงเทพฯ โครงการอควอทีค กลางเมืองพัทยา และโครงการเวิ้ง นาครเกษม ศูนย์กลางคุณค่าประวัติศาสตร์วัฒนธรรมกลางไชน่า ทาวน์ รวมถึงโครงการลานนาทีค ที่มีคุณค่าของเสน่ห์ศิลปวัฒนธรรมล้านนากลางเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่ง AWC เชื่อมั่นว่าการพัฒนาโครงการต่างๆ ให้เป็นจุดหมายปลายทางด้านความยั่งยืนระดับโลกนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสานต่อนโยบายและกลยุทธ์หลักของประเทศสู่การเป็นผู้นำการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

AWC ยังมุ่งพัฒนาอาคารตามมาตรฐานอาคารสีเขียวในระดับสากล อาทิ โรงแรมอินน์ไซด์ บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน EDGE (Excellence in Design for Greater Efficiencies) และโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ได้รับการรับรอง LEED & WELL PRECERTIFIED รวมถึงอีกหลากหลายโครงการ โดยใช้สินเชื่อยั่งยืนแรกที่ได้รับการสนับสนุนจาก SCB เมื่อปีที่แล้ว โดยปัจจุบัน AWC ได้ร่วมมือกับพันธมิตรสถาบันการเงินชั้นนำจัดวงเงินสินเชื่อระยะยาวที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนกว่าร้อยละ 75 และตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนวงเงินสินเชื่อระยะยาวเชื่อมโยงความยั่งยืนเป็นร้อยละ 100 เพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ”

AWC มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 เสาหลัก 9 มิติ หรือ 3 BETTERs ประกอบไปด้วย 1) การสร้างคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม (BETTER PLANET) เพื่อโลกที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น 2) การสร้าง

คุณค่าด้านสังคม (BETTER PEOPLE) เพื่อผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 3) การสร้างคุณค่าด้านเศรษฐกิจ (BETTER PROSPERITY) เพื่อเศรษฐกิจของประเทศที่ดีขึ้น โดยที่ผ่านมา AWC ได้ดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง อาทิ โรงแรม เชอราตัน สมุย ดำเนินโครงการธนาคารปู เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และโรงแรมบันยันทรี กระบี่ ที่ได้ร่วมมือกับมูลนิธิอันดามัน เพื่อนำร่องโครงการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน รวมถึงการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านแนวคิดธุรกิจ reConcept ที่ส่งเสริมการนำเฟอร์นิเจอร์และวัสดุเก่า รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งของโรงแรมที่ไม่ได้ใช้งาน กลับมารีไซเคิลและใช้ซ้ำ เพื่อลดปริมาณขยะฝังกลบ ตลอดจนการลงทุนพัฒนาบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ที่ส่งเสริมการสร้างงานและสร้างรายได้สู่ชุมชนรอบโครงการ และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยท้องถิ่นเพื่อสร้างโอกาสรายได้ที่ยั่งยืนผ่านโครงการ เดอะ GALLERY เป็นต้น

AWC ยังคงดำเนินงานตามแผนแม่บทอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan: EEP) สอดคล้องกับกรอบสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและสินเชื่อสีเขียว เพื่อมุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านโครงการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาหรือชั้นดาดฟ้าของอาคาร การเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพระบบทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศ ครอบคลุมโรงแรมในเครือที่มีการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2019 นอกจากนี้ AWC จะพัฒนาโครงการในเครือตามกรอบเพื่อขอรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียวสากล อาทิ มาตรฐาน EDGE LEED หรือ WELL เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและคํานึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด

“การลงนามสัญญาในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ร่วมกันของ AWC และ SCB ในการดำเนินธุรกิจ โดย AWC จะยังคงดำเนินการตามกลยุทธ์ความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการริเริ่มต่างๆ ของ AWC เพื่อร่วมสร้างคุณค่าในระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งต่ออุตสาหกรรม ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ภายใต้พันธกิจ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” พร้อมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก” นางวัลลภา กล่าวเสริม

AWC ดำเนินงานภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมาตรฐานสากลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ การได้รับการประเมินจาก MSCI ESG Rating ในระดับ "AA" ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่รายชื่อหุ้นยั่งยืน Thailand Sustainability Investment (THSI) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ติดอันดับรายงานความยั่งยืน S&P CSA Yearbook 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P

Global ESG Score 2022” ได้รับรางวัล “Industry Mover” ในฐานะบริษัทที่มีความยั่งยืนของกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ ได้รับการจัดอันดับรายงานการกำกับดูแลกิจการ ในระดับ “ดีเลิศ” (Excellence CG Scoring) ได้รับการรับรองให้เป็นแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) และได้รับการจัดอันดับในฐานะองค์กรที่มีการกำกับกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในอาเซียนของปี 2564 (ASEAN CG Scorecard)

กรุงเทพฯ, (27 มิถุนายน 2566) - ทรูมันนี่ ผู้นำด้านการให้บริการทางการเงินแบบดิจิทัลชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศยกระดับการปกป้องบัญชีลูกค้าด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เปิดตัวระบบป้องกันการ ดูดเงิน 3 ชั้น ‘TrueMoney 3 x Protection’ ตรวจ-จับ-หยุด ธุรกรรมแปลกปลอม เพิ่มความมั่นใจให้ผู้ใช้ได้มากกว่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีอัจฉริยะภายใต้ความปลอดภัย TrueMoney Secure

 

นางสาวมนสินี นาคปนันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “นอกเหนือจากความมุ่งมั่นในการมอบบริการทางการเงินที่ใช้งานง่ายและช่วยเพิ่มคุณค่าในทุกการใช้งานให้กับผู้ใช้ ทรูมันนี่ ยังให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาเทคโนโลยีที่มอบความปลอดภัย ให้ความมั่นใจกับผู้ใช้ใน ทุกการใช้งาน ระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น ‘TrueMoney 3 x Protection’ ที่พัฒนาโดยบริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ร่วมกับผู้ให้บริการระบบความปลอดภัยชั้นนำของโลก อาทิ ‘ชิลด์’ (SHIELD) ซึ่งเป็นบริษัทดูแลความปลอดภัยทาง ไซเบอร์ระดับโลก และ ‘โซลอส’ (ZOLOZ) ผู้เชี่ยวชาญด้านโซลูชั่นและเทคโนโลยีการยืนยันตัวตนแบบ Biometric ระดับโลก”

ทั้งนี้ ระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น ‘TrueMoney 3 x Protection’ ได้นำความชาญฉลาดของปัญญาประดิษฐ์ (AI - Artificial Intelligence) มาทำงานร่วมกับเทคโนโลยีวิศวกรรมข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Engineering) เพื่อรวบรวม จำแนก และจดจำ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้ พร้อมตรวจจับและสั่งการหากมีอะไรผิดปกติ และให้การปกป้องบัญชีผู้ใช้ถึง 3 ชั้น ได้แก่

ชั้นที่ 1 - ตรวจ : ว่าเป็นคุณตัวจริงที่เข้าใช้งานบัญชี

ตรวจ เพื่อยืนยันเข้าใช้งานบัญชีด้วยระบบยืนยันตัวตนหลากหลายรูปแบบ (secure log in) เช่น การเรียกสแกน หน้าเพื่อตรวจสอบข้อมูลชีวมิติ (Biometric - Face recognition) ถึงมีมิจฉาชีพที่ล่อลวงจนรู้ OTP หรือ Pin Code แต่ก็ไม่สามารถล็อกอินบัญชีคุณได้ เพราะถูกระบบสแกนตรวจใบหน้าป้องกันไว้ นอกจากนี้ ระบบ ‘TrueMoney 3 x Protection’ ยังสามารถตรวจจับค่า IP address หรือ Location หากมีการเข้าใช้งานจากอุปกรณ์ใช้งาน (secure device) ที่แตกต่างไปจากที่ผู้ใช้เจ้าของบัญชีได้ลงทะเบียนหรือใช้งาน

ชั้นที่ 2 - จับ – มัลแวร์หรือแอปต้องสงสัย

จับ มัลแวร์ แอปดูดเงิน และแอปแปลกปลอมที่ไม่ปลอดภัย หากติดตั้งบนอุปกรณ์ที่ใช้งานทรูมันนี่ และปฏิเสธการ อนุญาตเข้าใช้งาน

ชั้นที่ 3 - หยุด – การทำธุรกรรมที่ผิดปกติ

หยุด หากมีการทำรายการที่ผิดปกติ ระบบ AI จะจำแนกและกำหนดค่าความเสี่ยง (Risk score) เพื่อตรวจสอบ ความผิดปกติจากประวัติการทำรายการย้อนหลัง และให้ลูกค้าทำการยืนยันตัวตนหลากหลายรูปแบบ หรือหยุด ยั้งรายการที่มีความผิดปกติ เพื่อป้องกันการถูกดูดเงินออก

จากข้อมูลล่าสุดเดือน เมษายน 2566 ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) ระบุว่า ในช่วง 1 ปีที่ ผ่านมา มีปัญหาภัยออนไลน์แจ้งมายังเว็บไซต์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติกว่า 247,753 เรื่อง ขณะที่ผลการ อายัดบัญชีที่มีคำร้องทั้งหมด 74,129 บัญชี มีการขออายัด 54,017 บัญชี ยอดเงิน 6.9 พันล้านบาท และอายัดได้ ทัน 449 ล้านบาท หรือเพียง 6.4% ของยอดเงินที่มีการร้องขออายัด คิดเป็นมูลค่าความเสียหายสูงถึง 32,083 ล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้นสมาคมธนาคารไทย ยังพบอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มมีการล่อลวงติดตั้งแอปเพื่อเข้ามาดูด ข้อมูล รวมถึงปลอมเป็นแอปการเงิน เพื่อเข้ามาควบคุมอุปกรณ์และแอปการเงินของผู้เสียหาย (ATO - Account Take Over) เพื่อดูดเงินจากบัญชี ส่งผลให้มีผู้เสียหายจากการตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย ราว 500 ล้านบาท

 

นายอธิปัตย์ พลอยพรายแก้ว ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารความเสี่ยงและตรวจสอบทุจริต บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ทรูมันนี่ เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการรายแรกๆ ที่เดินหน้าพัฒนาการระบบเทคโนโลยีเพื่อ ปกป้องบัญชี ของลูกค้า ที่ผ่านมาเราได้กำหนดให้มีสแกนใบหน้ายืนยันตัวตนก่อนโอนและถอนเงินตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ เมื่อปลายปีที่แล้วเรายังได้จับมือกับ SHIELD ประกาศนำ ‘ระบบปฏิบัติ การความปลอดภัยอัจฉริยะสำหรับธุรกรรมการเงินบนอุปกรณ์มือถือ’ (Mobile Fintech Security Intelligence) มาใช้เป็นรายแรกของไทย”

“สำหรับการเปิดตัวระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น ‘TrueMoney 3 x Protection’ ถือว่าเป็นระบบเดียวที่มีในตลาด ขณะนี้ที่สามารถ ตรวจ-จับ-หยุด ธุรกรรมแปลกปลอมได้ครบวงจร เนื่องจากทรูมันนี่ตระหนักดีว่า ถึงเราจะสร้าง แอปการเงินที่มีเทคโนโลยีความปลอดภัยในระดับสูง แต่มิจฉาชีพก็อาจล่อลวงให้ผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อและ เผลอให้ ข้อมูลสำคัญที่ทำให้มิจฉาชีพเข้าถึงบัญชีได้ ดังนั้นการสร้างระบบที่สามารถผสานข้อมูลและระบบความปลอดภัย ให้ทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาดจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยปกป้องผู้ใช้ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการทำธุรกรรม พร้อมช่วยผู้ใช้จำกัดและหยุดความเสียหายแม้พลาดตกเป็นเหยื่อ"

โดยทรูมันนี่ยังมีการให้บริการสายด่วน 1240 กด 6 เพื่อรับแจ้งเหตุต้องสงสัยด้านภัยทางการเงิน และแจ้งอายัดบัญชี ตลอด 24 ชั่วโมง

นอกเหนือจากการเปิดตัวระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น ‘TrueMoney 3 x Protection’ เมื่อเร็วๆ นี้ ทรูมันนี่ยังได้ ออกแคมเปญเพื่อยกระดับการรับรู้ถึงการที่ทรูมันนี่เป็นแอปที่ปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้จ่าย ออนไลน์ เนื่องจากในผลการสำรวจลูกค้าล่าสุดพบว่า ลูกค้ามองทรูมันนี่เป็นบัญชีใช้จ่ายที่ให้การปกป้องที่ดี (Buffer Account) เนื่องจากสามารถเติมเงินเพื่อใช้จ่ายได้ในยอดที่พอใจ ไม่ต้องกังวลเพราะไม่ต้องแชร์เลขบัญชีธนาคาร หรือบัตรเครดิตเมื่อใช้จ่าย และสามารถเลือกใช้ TrueMoney Mastercard ซึ่งเป็นเวอร์ชวลการ์ดที่ตัดจ่ายเฉพาะเงิน ที่เติมในทรูมันนี่ สามารถเปิดปิดการใช้งานได้เลยในแอป ผู้ใช้จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกดูดเงินที่มีจนหมด โดยบริษัทฯ ยังได้ออกภาพยนตร์โฆษณาและเตรียมแคมเปญการสื่อสารต่างๆ ในเรื่องนี้ ขอให้ติดตาม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น ‘TrueMoney 3 x Protection’ ภายใต้ TrueMoney Secure และดูภาพยนตร์โฆษณา เปย์ออนไลน์ปลอดภัย ใช้ทรูมันนี่ ได้ที่ https://www.truemoney.com/secure-e-payment/

กรุงเทพฯ ประเทศไทย วันที่ 27 มิถุนายน 2566 — การ์ทเนอร์ อิงค์ คาดการณ์มูลค่าการใช้จ่ายด้านไอทีของบริการธนาคารและการลงทุนทั่วโลกจะสูงถึง 652.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 8.1% จากปี 2565 โดยในหมวดซอฟต์แวร์จะมีอัตราการเติบโตมากที่สุด เพิ่มขึ้น 13.5% ในปีนี้

เดบบี้ บัคแลนด์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า "ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันเปลี่ยนบริบทการลงทุนในเทคโนโลยีของภาคการธนาคารและการลงทุนในปีนี้ แทนที่จะปรับลดงบประมาณไอที องค์กรกำลังใช้จ่ายมากขึ้นกับประเภทเทคโนโลยีที่สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น การใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ที่กำลังเปลี่ยนจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้เองไปเป็นการซื้อโซลูชันที่สร้างมูลค่าจากการลงทุนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”

การลงทุนในคลาวด์ยังคงสำคัญเหมือนเดิม จากการสำรวจ CIO and Technology Executive Survey ประจำปี 2566 ของการ์ทเนอร์ พบว่าในปี 2566 CIO ในกลุ่มบริการธนาคารและการลงทุนจะใช้เงินก้อนใหม่หรือเพิ่มการลงทุนจำนวนมากที่สุดไปกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ ข้อมูลและการวิเคราะห์ เทคโนโลยีที่ใช้ร่วมกัน และคลาวด์

ผู้บริหารไอทีมากกว่าครึ่งวางแผนเพิ่มการลงทุนในคลาวด์และลดการใช้จ่ายด้านไอทีในดาต้าเซ็นเตอร์ของตนเอง สะท้อนให้เห็นจากยอดการเติบโตที่ช้าลงของการใช้จ่ายด้านระบบดาต้าเซ็นเตอร์ลดลงจาก 13.2% ในปี 2565 เป็น 5.7% ในปี 2566 (ดูตารางที่ 1) โดยธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ กำลังยกเลิกการลงทุนไปกับสินทรัพย์มีตัวตน (Tangible Assets) และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรขององค์กร (CAPEX) เพื่อหันมาใช้บริการและลงทุนกับสินทรัพย์ในรูปแบบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (OPEX) เพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าและตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

พีท เรดชอว์ รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ ระบุว่า "เพื่อรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบัน CIO ขององค์กรที่ให้บริการธนาคารและการลงทุนกำลังจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายอย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน เช่น การมอบประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น (CX) และการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขอบเขตพื้นที่ใหม่ ๆ กลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ และสายงานธุรกิจใหม่ ๆ ที่ซึ่งเปลี่ยนไปจากเมื่อปีก่อนที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและเคยเป็นเป้าหมายหลักของ CEO ของธุรกิจการเงินการธนาคาร”

บริการไอทียังเป็นกลุ่มที่มียอดการใช้จ่ายมากที่สุด

เนื่องจากการใช้บริการให้คำปรึกษาและการบริการ Infrastructure As A Service (IaaS) ที่เพิ่มขึ้น บริการไอทีจะเป็นกลุ่มที่มียอดการใช้จ่ายสูงที่สุด โดยคาดว่าจะสูงถึงเกือบ 270 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 9.3% จากปี 2565 สะท้อนถึงบทบาทที่สำคัญของผู้ให้บริการด้านไอทีที่มากขึ้นและมีส่วนช่วยเหลือองค์กรในกลุ่มบริการธนาคารและการลงทุนเพื่อรับมือกับโอกาสและความท้าทายใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น

“ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทำให้องค์กรต่าง ๆ ต้องแบ่งสัญญาระยะยาวออกเป็นโปรเจกต์สั้น ๆ หลาย ๆ โปรเจกต์” บัคแลนด์ กล่าวเพิ่ม “นอกจากนั้นยังลังเลที่จะเซ็นสัญญาใหม่ ยึดอยู่กับการริเริ่มระยะยาว หรือรับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งเป็นการผลักดันให้มีการใช้บริการที่ปรึกษาด้านไอทีเพิ่มขึ้น”

ปัญหา Talent Shortage ก่อให้เกิดต้นทุนใช้จ่ายภายในองค์กร

การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะความสามารถทั่วโลกส่งผลกระทบต่อองค์กรในกลุ่มบริการธนาคารและการลงทุน โดยทำให้มูลค่าการใช้จ่ายบริการภายในเพิ่มขึ้น 4.2% ในปี 2566 เนื่องจากมีต้นทุนการจ้างงานและการรักษาทีมงานที่มีทักษะความสามารถเพิ่มขึ้น

"แม้เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการปลดพนักงานของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หลายแห่งแต่บุคลากรที่มีทักษะความสามารถระดับสูงกลับไม่ได้มองว่าธนาคารเป็นจุดหมายปลายทางที่อยากมาทำงานด้วย หรือมอบรายได้ที่คุ้มค่า หรือน่าตื่นเต้นที่สุดที่ได้ทำงาน ดังนั้นองค์กรจำเป็นต้องมีโซลูชันที่เน้นนวัตกรรมเพื่อคัดสรรบุคลากรมากขึ้น อาทิ การลดข้อกำหนดของการศึกษาในมหาวิทยาลัย และเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่นๆ มากขึ้น เช่น การฝึกอบรมเพื่อสร้างทักษะใหม่ ๆ ตลอดชีวิต การสร้างทีมไฮบริด การเพิ่มวิธีการที่เน้นความคล่องตัว และการร่วมมือด้านฟินเทค” เรดชอว์ กล่าวเพิ่ม

ติดตามข่าวสารและข้อมูลอัปเดตจาก Gartner for High Tech ได้ทาง Twitter และ LinkedIn หรือเยี่ยมชม IT Newsroom สำหรับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม

 

นายดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้เกียรติเยี่ยมชมบูธธนาคารกรุงไทย ในงาน Thailand Future Careers 2023 ซึ่งจัดโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2566 ที่โรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ โดยมีผู้บริหารและพนักงานธนาคารกรุงไทยให้การต้อนรับ

ธนาคารกรุงไทย มุ่งเน้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน (Financial Innovation Technology) และเปิดกว้างให้คนรุ่นใหม่เข้ามาสร้างสรรค์ผลงานด้านนวัตกรรมอย่างเต็มที่ โดยมีการปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานด้านการบริหารบุคลากรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการ Upskill และ Reskill เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของพนักงานอยู่เสมอ โดยเฉพาะทักษะด้านเทคโนโลยีให้พร้อมก้าวสู่ยุคดิจิทัลมากขึ้น ด้วยโปรแกรมการฝึกอบรมและกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ โครงการ Krungthai Hackathon ที่มุ่งเน้นให้พนักงานจากทุกสายงานและกลุ่มอายุร่วมกันคิดค้นนวัตกรรมทางการเงินผ่านกระบวนการ Design Thinking ตลอดจนสนับสนุนให้พนักงานทุกคน กล้าเปลี่ยนเพื่อก้าวนำ โดยธนาคารเปิดรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความก้าวหน้า ด้วยงานที่ท้าทาย มีโอกาสร่วมงานกับบุคลากรชั้นนำ พร้อมความภาคภูมิใจที่ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ที่มีส่วนยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น ตลอดจนมีความยืดหยุ่นในการทำงานด้วยคอนเซ็ปต์ “Flexible Workplace” และสวัสดิการที่ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์ เช่น สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับพนักงาน และทุนศึกษาต่อต่างประเทศ ผู้ที่สนใจร่วมงานกับธนาคารกรุงไทย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://hr.krungthai.com/Home/JoinUs

สิงคโปร์—27 มิถุนายน 2566—พีอาร์นิวส์ไวร์/ดาต้าเซ็ต

เทียนหยู อินฟอร์เมชัน (Tianyu Information) (300205.SZ) “เทียนหยู” หรือ “บริษัทฯ” ผู้ผลิตสมาร์ทการ์ดและอุปกรณ์ชำระเงินรายใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก ได้ขนทัพนำผลิตภัณฑ์การเงินและการสื่อสารใหม่ล่าสุดขึ้นโชว์อย่างจัดเต็มที่งานซีมเลส เอเชีย (Seamless Asia) ประจำปี 2566 ซึ่งเป็นมหกรรมชั้นแนวหน้าของวงการ โดยจัดขึ้นที่สิงคโปร์ วันที่ 27 และ 28 มิถุนายน

เทียนหยูมีเป้าหมายในการขยายธุรกิจของบริษัทไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย โดยได้จัดแสดงผลิตภัณฑ์และบริการไว้มากมายในงานนี้ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทการ์ด เครื่องขายหน้าร้าน (POS) และโซลูชันการสื่อสาร

เทียนหยูได้ปรากฏตัวที่งานซีมเลส เอเชีย เพื่อให้ผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ เป็นที่รู้จักมากขึ้นในสายตาว่าที่พันธมิตรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยบริษัทฯ ได้สร้างฐานที่มั่นในหลายประเทศทั่วเอเชียแล้ว เพื่อให้สอดรับกับเศรษฐกิจดิจิทัลที่เฟื่องฟูในภูมิภาคนี้

“มหกรรมซีมเลส เอเชีย ประจำปี 2566 เปิดโอกาสอันมีค่าให้เทียนหยู นำเสนอความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีล่าสุดของเราและสร้างความร่วมมือใหม่ ๆ” วินเซนต์ อู่ (Vincent Wu) รองประธานฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศของเทียนหยู กล่าว “เทียนหยูสั่งสมประสบการณ์มากว่าสองทศวรรษในการให้บริการธนาคาร สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการโทรคมนาคม โดยมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันดิจิทัลชั้นยอด เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าของเรา”

เมื่อภูมิภาคนี้ยังคงเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมดิจิทัล เทียนหยูยังคงมุ่งมั่นที่จะหยั่งรากลึกและขยับขยายต่อไป โดยเทียนหยู อินฟอร์เมชัน เป็นบริษัทจดทะเบียนในเซินเจิ้น สั่งสมชื่อเสียงมาอย่างยาวนานในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันดิจิทัลที่ล้ำสมัย นอกจากนี้ เทียนหยูจัดส่งเครื่อง POS มากสุดเป็นอันดับสี่ของโลกด้วย ทั้งยังครองตำแหน่งผู้นำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ส่วนผลิตภัณฑ์สมาร์ทการ์ดของบริษัทฯ ก็ยังจัดส่งติดอันดับท็อป 10 ของโลกอย่างต่อเนื่องด้วย

ผลงานของเทียนหยูในตลาดเอเชียแปซิฟิกเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเอง โดยบริษัทฯ ได้จับมือเชิงกลยุทธ์กับธนาคารระดับประเทศและธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ ๆ ในอินโดนีเซีย ลาว เนปาล ศรีลังกา อินเดีย บังคลาเทศ ฯลฯ

ในขณะเดียวกัน อุปกรณ์ในกลุ่มการเงินของเทียนหยู ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง POS และ QR ยังมีผู้นำไปติดตั้งใช้งานในเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ อินเดีย บังกลาเทศ และเนปาลด้วย โดยบริษัทฯ มีทีมสนับสนุนเฉพาะในพื้นที่เหล่านี้ เพื่อให้บริการลูกค้าและดูแลการใช้งานได้อย่างราบรื่น

นอกจากนี้ การ์ดยูซิม (USIM) ของเทียนหยูยังเป็นที่สนใจด้วย โดยครอบคลุมเครือข่ายอย่างกว้างขวาง เช่น สมาร์ทเฟรน (Smartfren) ในอินโดนีเซีย ยูโมไบล์ (U-Mobile) ในมาเลเซีย สมาร์ท เอเซียต้า (Smart Axiata) ในกัมพูชา และอื่น ๆ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้สานความร่วมมือกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ ๆ ในอินเดียและบังคลาเทศ เพื่อขยายทีมสนับสนุนในท้องถิ่นต่อไป

LINE MAN Wongnai ผู้นำแพลตฟอร์มออนดีมานด์และข้อมูลร้านอาหารไทย เผยการทำโฆษณาบนแพลตฟอร์มต้องยึดวิธี Personalized เข้าใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง พร้อมชูจุดแข็ง O2O เชื่อมต่อผู้ใช้-ไรเดอร์-ร้านอาหาร ยกระดับ Customer Journey ทั้งโลกออนไลน์และออฟไลน์ ตอกย้ำจุดแข็งการเป็น End-to-end Food Ecosystem เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคแบบครบวงจร

ภายในงาน CREATIVE TALK CONFERENCE 2023 FESTIVAL นายจิโรจ โหราไทย Head of Business Development จาก LINE MAN Wongnai ได้ฉายภาพเกี่ยวกับแพลตฟอร์มโฆษณาแห่งอนาคต ในหัวข้อ "The Future of Ads Platforms" เมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยระบุว่า LINE MAN Wongnai ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์คนไทยทุกช่วงเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน เรียกได้ว่าเป็น Customer Journey ที่เชื่อมต่อโลกออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน มีมิติด้าน O2O หรือ Online & Offline Intergration เป็นจุดแข็งและกลยุทธ์สำคัญของ LINE MAN Wongnai ในฐานะแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีผู้ใช้คนไทยมากกว่า 10 ล้านคน เชื่อมต่อไปยังร้านค้าและไรเดอร์จำนวนมากทั่วประเทศ ซึ่งบริษัทได้เปิดช่องทางให้แบรนด์ต่าง ๆ เข้าถึงฐานลูกค้ากลุ่มนี้ผ่านรูปแบบการนำเสนอตำแหน่งของสื่อโฆษณาทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ที่เชื่อมโยงกัน ซึ่งไฮไลท์สำคัญในปีนี้จะสะท้อนให้เห็นภาพของการเป็น O2O ที่ชัดเจน

ทำโฆษณาให้สำเร็จในมุม LINE MAN Wongnai ต้อง Personalized เข้าใจลูกค้า

นายจิโรจ เผยถึงหัวใจหลักในการทำโฆษณาบนแพลตฟอร์มให้ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน ระบุว่า LINE MAN Wongnai มีการเก็บข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคในการค้นหาร้านอาหารบนแพลตฟอร์ม โดยใช้วิธี Personalized ตามประวัติการสั่งอาหารของผู้ใช้แต่ละคนเพื่อแนะนำร้านอาหารให้ตรงใจผู้บริโภคมากขึ้น โดยธรรมชาติของกลุ่มผู้ใช้งาน LINE MAN เป็นกลุ่มที่มีความต้องการซื้อแล้วได้สินค้าทันที (instant gratification) หากแพลตฟอร์มพัฒนาการแนะนำข้อมูลให้กับผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ ก็จะสามารถเปลี่ยนเป็นยอดขายจริงได้ทันที

สิ่งสำคัญสำหรับการโฆษณา คือ การไล่ตามให้ทันความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของผู้บริโภค ที่มองหาความสะดวกสบายและความเป็น Personalized เพิ่มมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญในการโฆษณาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากเมื่อก่อนมีร้านค้าปลีกที่ต้องไปเลือกซื้อของที่ร้าน ปัจจุบันถูกพัฒนามาสู่บริการ

แบบออนดีมานด์ที่เชื่อมโลกออฟไลน์กับออนไลน์เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ ผู้บริโภคที่เคยรอได้ กลายเป็นอยากได้เดี๋ยวนี้ จากเดิมคอนเทนต์เนื้อหากว้าง ๆ เข้าถึงทุกคน กลายเป็นต้องเฉพาะเจาะจงแบบบุคคล

“ในฐานะแพลตฟอร์มออนดีมานด์ของไทย เราเล็งเห็นความสำคัญของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะวิวัฒนาการของธุรกิจค้าปลีกที่เข้าสู่การขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ มาสู่การส่งผ่านทาง เดลิเวอรี ที่ย่นระยะเวลาให้ของถึงมือผู้บริโภคได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ LINE MAN Wongnai มุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ที่ต้องการปรับตัวสู่ยุคเดลิเวอรีสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านแพลตฟอร์มของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายจิโรจ กล่าวทิ้งท้าย

LINE MAN Wongnai มีโซลูชันการตลาดที่ครบวงจรตอบโจทย์การทำการตลาดแบบ Full-funnel Marketing ตั้งแต่ Awareness สร้างการรับรู้ของผู้บริโภค ผ่านโฆษณาออนไลน์ In-app banner ในแอป LINE MAN และโฆษณาออฟไลน์บนกระเป๋าของไรเดอร์ Consideration สร้างปฏิสัมพันธ์ผ่านคอนเทนต์และ KOLs สายอาหาร ความงาม ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ของ Wongnai Activation ยกระดับประสบการณ์ร่วมของลูกค้ากับแบรนด์ผ่านกิจกรรมออฟไลน์ อย่างเทศกาลอาหารและเอ็กซ์คลูซีฟอีเว้นเฉพาะของแบรนด์ Conversion เพิ่มการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ด้วยการแจกสินค้าตัวอย่างผ่านออเดอร์ LINE MAN และ Loyalty กระชับความสัมพันธ์กับผู้ใช้ผ่านการมอบคูปองส่วนลดพิเศษ LINE MAN จากแบรนด์

จากรายงานฉบับล่าสุดของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ได้ตอกย้ำว่า เป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิโลกในปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้า โดย IPCC ระบุว่า โอกาสที่จะจำกัดอุณหภูมิโลกให้เพิ่มไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสนั้นมีความเป็นไปได้เพียง 50% เท่านั้น ในขณะที่จะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ลงให้ได้ครึ่งหนึ่งภายใน 10 ปี ซึ่งในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดนี้ มีความจำเป็นที่จะต้องนำเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปล่อย CO2 ต่ำมาประยุกต์ใช้อย่างหลากหลาย โดยหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญก็คือ การดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจสีเขียวได้มากยิ่งขึ้น

ดังนั้น เทนเซ็นต์ จึงเปิดตัวโครงการแฟล็กชิพ “คาร์บอนเอ็กซ์” (CarbonX Program) เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำแห่งอนาคต รวมถึงส่งเสริมการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้งานในสเกลระดับใหญ่ภายในปี 2030 โดยในระยะแรกของโครงการฯ จะให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี CCUS

นายเดวิส ลิน รองประธานอาวุโส เทนเซ็นต์ กล่าวว่า “นวัตกรรมเทคโนโลยีจะเป็นตัวแปรสำคัญในการเร่งขับเคลื่อนความเป็นกลางทางคาร์บอน เราจึงจำเป็นต้องส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำล้ำสมัยเหล่านี้ไปใช้ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและผลักดันการนำไปประยุกต์ใช้กับงานขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวให้มากยิ่งขึ้น”

โซลูชันการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS)

CCUS ไม่ใช่เรื่องใหม่ อีกทั้งยังเป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องหลายทศวรรษ เพื่อดักจับ CO2 ที่ถูกปล่อยออกมาจากกระบวนการทางอุตสาหกรรมทั้งในระยะก่อนหน้า หรือหลังจากเข้าสู่ชั้นบรรยากาศแล้ว และนำมาอัดฉีดลงไปกักเก็บในโพรงทางธรณีวิทยา (Geological Formation) ที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน เพื่อป้องกันไม่ให้สามารถกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศได้ หรือนำมาแปรสภาพเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าในเชิงพาณิชย์ เช่น เคมีภัณฑ์ เชื้อเพลิง ปูนซีเมนต์ และพลาสติก

นายหยงผิง ไจ๋ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านกลยุทธ์ความเป็นกลางทางคาร์บอนของเทนเซ็นต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เทคโนโลยี CCUS จะมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนในอนาคต แต่จะต้องได้รับการสนับสนุนตั้งแต่แรกเริ่ม เช่นเดียวกับที่เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมเคยได้รับ”

อย่างไรก็ตาม แม้การพัฒนา CCUS จะมีความซับซ้อนและใช้ต้นทุนสูง แต่ก็ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายขีดความสามารถในการประยุกต์ใช้และเพิ่มศักยภาพทางการตลาด โดยภาคเอกชนและภาครัฐทั่วโลกกำลังทุ่มทรัพยากร ต่าง ๆ เพื่อพัฒนาและเตรียมนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ เทนเซ็นต์มุ่งมั่นที่จะร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ โดยเราจะใช้ความชำนาญเพื่อเร่งสร้างสรรค์โซลูชันล้ำสมัยเพื่อที่จะแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่ง

ในพันธสัญญาที่จะสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนในการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่อุปทานภายในปี 2573 โดยเราเล็งเห็นว่า CCUS จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนให้เป็นผลสำเร็จ และปัจจุบันเรากำลังทำงานร่วมกับ Carbfix ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติไอซ์แลนด์ที่สามารถแปลง CO2 ให้กลายเป็นหินได้ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงาน โดยเรารู้สึกตื่นเต้นกับการเปิดตัวโครงการคาร์บอนเอ็กซ์ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ ที่มีวิสัยทัศน์เช่นเดียวกัน

 

การดำเนินงานของโครงการ “คาร์บอนเอ็กซ์”

คาร์บอนเอ็กซ์ เป็นโครงการที่ผสานทั้งการเร่งขับเคลื่อนพัฒนาการและการสร้างขีดความสามารถทางดิจิทัล เพื่อค้นหาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำแห่งอนาคต และส่งเสริมการประยุกต์ใช้งานในระดับใหญ่ภายในปี 2030 ด้วยการเร่งระดมเงินทุนและทรัพยากร โดยระยะแรกเริ่มของโครงการจะมุ่งเน้นไปที่โซลูชันและโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ CCUS เป็นหลัก โดยโครงการมี 3 ระดับหลักด้วยกัน ซึ่งเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัย สถาบัน องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และบริษัทสตาร์ทอัปสามารถส่งแผนงานธุรกิจเข้าร่วมโครงการได้

1. CarbonX Lab: ค้นหาและบ่มเพาะสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย หรือห้องปฏิบัติการที่มีศักยภาพในการสร้างเทคโนโลยีใหม่ที่จะเป็นตัวพลิกเกมในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและช่วยสนับสนุนให้สามารถเปิดตัวโครงการนำร่องเพื่อสาธิตการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม

2. CarbonX Accelerator: เร่งขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทสตาร์ทอัปที่มีศักยภาพในการนำเทคโนโลยีที่มีอยู่มาใช้ในเชิงพาณิชย์

3. CarbonX Infrastructure: สนับสนุนการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ฐานข้อมูลและเครื่องมือเพื่อการติดตามการแยกคาร์บอน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางอุตสาหกรรม

ตามรายงานของสหประชาชาติ หน้าต่างแห่งโอกาสในการรักษาอุณหภูมิ 1.5°C กำลังปิดลงอย่างรวดเร็ว โดยเทนเซ็นต์ จะมุ่งมั่นใช้ทักษะ ความเชี่ยวชาญ และทรัพยากรของเราเพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาความท้าทายระดับโลกนี้ต่อไป

 

ธุรกิจโรงแรมยิ้ม เที่ยวไทยฟื้นต่อเนื่อง ด้าน สมาคมโรงแรมไทย แนะเร่งเพิ่มเที่ยวบินต่างประเทศขนนักท่องเที่ยว ชี้ไทยยังครองอันดับต้นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยอดนิยม ส่วนผู้ประกอบการโรงแรมต้องเร่งปรับตัวให้ทันกระแสท่องเที่ยวโลก ทั้งร่วมเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และเดินหน้าสู่โรงแรมยุคดิจิตอล ร่วมกับอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย เตรียมจัดประชุมใหญ่ประจำปีและกิจกรรมฉลองครบรอบ 60 ปี ในงานฟู้ด แอนด์ ฮอสพิทาลิตี้ ไทยแลนด์ 2023 (Food & Hospitality Thailand 2023 (FHT2023)) ระหว่างวันที่ 23-26 สิงหาคม 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวถึงการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมว่า มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี การท่องเที่ยวไทยยังคงได้รับความนิยมและเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยท่องเที่ยวไทยเริ่มกลับมาคึกคักตั้งแต่ปลายปี 2565 จากนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งถือว่าเกินความคาดหมายจากการที่รัฐบาลจีนเปิดให้มีการออกมาท่องเที่ยวเร็วกว่ากำหนด โดยในครึ่งปีหลังที่เป็นไฮซีซั่น คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาอีกมาก ส่วนอุปสรรคสำคัญเวลานี้ คือ จำนวนของเที่ยวบินที่จะขนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีไม่เพียงพอ การออกวีซ่าที่ใช้เวลานานและเงื่อนไขเยอะ ซึ่งหากแก้ปัญหาในส่วนนี้ได้ จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นได้กว่า 25 ล้านคน ตามที่ตั้งเป้าไว้ เพราะแค่ 5 เดือน นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแล้วกว่า 10 ล้านคน

ด้านผู้ประกอบการโรงแรมก็ต้องพัฒนา เรียนรู้ ปรับตัวให้ทันกับแนวโน้มของการท่องเที่ยวโลก ที่เดินหน้าสู่ธุรกิจท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Travel) โดยผลักดันให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งระบบเข้าสู่ระบบนิเวศ (Ecosystem) เดียวกัน ซึ่งไทยมีข้อได้เปรียบด้านทรัพยากรการท่องเที่ยว แสงแดด ทะเล หาดทราย วัฒนธรรม เรามีครบ ต้องช่วยกันรักษาและบริหารจัดการให้เหมาะสม พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มในกลุ่มการท่องเที่ยวมูลค่าสูง อาทิ การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ (Wellness Tourism) หรือการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ (MICE) โดยภาครัฐควรเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนธุรกิจโรงแรมที่เน้นความยั่งยืนอย่างจริงจัง คนทำดีควรได้รับสิทธิพิเศษไม่ว่าจะเป็นการลดหย่อนภาษี การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่สะดวกขึ้น ฯลฯ นอกจากนั้นต้องพัฒนาการดำเนินธุรกิจสู่รูปแบบโรงแรมดิจิตอลที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในหลายด้านมากขึ้น หากทำได้ก็จะเป็นแต้มต่อในการแข่งขันมากขึ้น

สำหรับอีกภารกิจสำคัญของสมาคมฯ ในปีนี้ คือ การจัดกิจกรรมพิเศษฉลองครบรอบ 60 ปี และงานประชุมใหญ่ประจำปี โดยได้ร่วมมือกับ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย พันธมิตรหนึ่งเดียวอย่างเป็นทางการที่สมาคมฯ ให้การสนับสนุนร่วมมือในการจัดงานและจัดกิจกรรมของสมาคมฯ มากว่า 20 ปี โดยงานฟู้ด แอนด์ ฮอสพิทาลิตี้ ไทยแลนด์ 2023

 

จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-26 สิงหาคม 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งกิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้นจะมีทั้งการให้ความรู้เพื่อพัฒนาธุรกิจโรงแรมไทยให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับธุรกิจการท่องเที่ยวโลก โดยมูลนิธิใบไม้สีเขียว ซึ่งเป็นภาคีสมาชิกจะมาร่วมให้ความรู้ถึงเรื่องการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร แนวทางการคำนวณคาร์บอนในการเข้าพัก การลดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน พร้อมมีการจัด Hospitality Digital Day ซึ่งจะพูดถึง Digital Marketing สำหรับธุรกิจโรงแรมในทุกแง่มุม รวมถึงการพัฒนาทักษะพนักงานบาร์โรงแรมในการแข่งขัน Asean & Thailand Hotel Bartender Compettition ซึ่งคาดว่ากิจกรรมและการประชุมในปีนี้จะมีสมาชิกผู้ประกอบการโรงแรมจากทั่วประเทศกว่า 1,000 แห่ง รวมห้องพักแล้วประมาณ 20% ของห้องพักทั้งหมดของโรงแรมที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องเข้าร่วมงานในครั้งนี้

ด้านนายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงานฟู้ด แอนด์ ฮอสพิทาลิตี้ ไทยแลนด์ 2023 กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีอย่างยิ่งที่ทางสมาคมโรงแรมไทยมองเห็นถึงความสำคัญของการจัดงานฟู้ด แอนด์ ฮอสพิทาลิตี้ ไทยแลนด์ ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าและเทคโนโลยี ด้านอาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์ เครื่องใช้ในโรงแรม ภัตตาคาร การจัดเลี้ยง และการบริการนานาชาติ ที่มีวัตถุประสงค์สำคัญในการเป็นศูนย์รวมการแลกเปลี่ยนความรู้และความร่วมมือทางธุรกิจ แต่ละปีมีการนำเสนอแนวโน้มและเทรนด์ธุรกิจของโลกเพื่อให้ผู้ประกอบการได้นำมาพัฒนาและปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างเป็นประโยชน์สูงสุด

ทั้งนี้ ทุกครั้งของการจัดงานฯ ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และบริการจากทั่วโลกต่างให้ความสนใจร่วมงาน โดยในการลงทะเบียนร่วมงานปีที่ผ่านมา (2565) มีผู้เข้าร่วมงานสูงถึง 22,773 จาก 61 ประเทศ และมีผู้ร่วมจัดแสดงงานถึง 243 ราย จาก 12 ประเทศทั่วโลก และ 90% ของผู้ร่วมจัดแสดงงานและผู้เข้าร่วมงานยืนยันว่าจะกลับเข้าร่วมงานในปีนี้อีกครั้ง และที่น่ายินดีอย่างยิ่งคือเราได้รับการยืนยันจากผู้ร่วมจัดแสดงรายใหม่และพันธมิตรรายใหญ่จากหลายประเทศสนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานปีนี้ อาทิ ซิโนเอ็กซ์โป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ พันธมิตรใหม่ยักษ์ใหญ่จากจีน ที่จะนำงานสำคัญอย่าง Hotel & Shop Plus Thailand งานแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์สำหรับการออกแบบตกแต่งอาคาร โรงแรมและพื้นที่เชิงพาณิชย์ มาร่วมจัด ทำให้ต้องมีการขยายพื้นที่จัดงานเพิ่มขึ้นจาก 2 ฮอลล์ เป็น 3 ฮอลล์ สร้างความคึกคัก เพิ่มมูลค่าการเจรจาธุรกิจ และดึงดูดความสนใจจากผู้ประกอบการทั่วโลกได้อย่างแน่นอน

งานฟู้ด แอนด์ ฮอสพิทาลิตี้ ไทยแลนด์ 2023 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-26 สิงหาคม 2566 ณ ฮอลล์ 1-3 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจรายละเอียดการจัดงานฯ สามารถติดตามข้อมูลได้ที่ www.fhtevent.com ติดต่อ คุณสุภาภรณ์ อังศรีสุรพร อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือ โทร.02-036-0500

X

Right Click

No right click