

กรุงเทพฯ 21 มิถุนายน 2566 – มิตรผล ไบโอเทค หนึ่งในกลุ่มธุรกิจใหม่ ‘ไบโอเบส’ (Bio-based) ภายใต้ มิตรผล ร่วมทัพองค์กรต่างๆ โชว์สุดยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตระดับอุตสาหกรรมในงาน Manufacturing Expo 2023 โดยงานนี้ มิตรผล ไบโอเทค ยกนวัตกรรมการพัฒนาเม็ดพลาสติกสลายตัวได้ทางชีวภาพ (Compostable Compound) ที่ผลิตจากมันสำปะหลังและอ้อย มาจัดแสดงภายใต้แบรนด์ PlaneX (แพลนเน็กซ์) และสามารถนำมาต่อยอดเพิ่มคุณค่าสู่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์อาหารสลายตัวได้ทางชีวภาพ (Compostable Food Packaging) ภายใต้แบรนด์ CaneX (เคนเอ็กซ์) ผลิตภัณฑ์ทางเลือกใหม่ที่รักษ์โลก เพราะผลิตจากวัสดุธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี จึงปลอดภัยต่อผู้บริโภค แถมยังสามารถสลายตัวได้ทางชีวภาพ ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลาสติกของไทยให้เติบโตอย่างเป็นมิตร สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต
สำหรับผู้ที่สนใจและอยากสัมผัสประสบการณ์จริงกับผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพจากแบรนด์ PlaneX และ CaneX สามารถเยี่ยมชมได้ที่บูธ “บริษัท มิตรผล ไบโอเทค จำกัด” 3D16 Hall 103 และในส่วนแสดงพิเศษ “Sustainovation Showcase” Hall 102 ซึ่งเป็นโซนจัดแสดงกระบวนการผลิตสินค้าจากพลาสติกชีวภาพ ในงาน Manufacturing Expo 2023 ณ ไบเทค บางนา ตั้งแต่วันนี้ – 24 มิถุนายน 2566
● ผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิก 49% ในขณะนี้เชื่อว่าประเทศของตนกำลังประสบปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก โดยชาติที่วิตกมากที่สุดคืออินโดนีเซียที่ 60%
● กิจกรรมเชิงอนุรักษ์สร้างแรงกระเพื่อมในหมู่ผู้บริโภคของภูมิภาคนี้อย่างมาก กว่า 58% กล่าวว่ากิจกรรมเชิงอนุรักษ์กระตุ้นให้พวกเขาตระหนักรู้ถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ในขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 46%
● มลภาวะพลาสติกหลุดจาก 3 อันดับแรก ของรายการปัญหาที่น่าวิตกเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในหมู่ผู้บริโภคทั่วโลก
ข้อมูลงานวิจัยใหม่จาก Mintel’s annual Global Outlook on Sustainability* ชี้วิกฤติการณ์ขาดแคลนน้ำเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ผู้บริโภครู้สึกวิตกเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
จำนวนผู้บริโภคทั่วโลกที่จัดอันดับให้วิกฤติการณ์ขาดแคลนน้ำติด 3 อันดับแรกของปัญหาสิ่งแวดล้อม เพิ่มขึ้นจาก 31% ในปี 2022 เป็น 35% ในปี 2023 ซึ่งถือเป็นประเด็นที่ผู้คนหันมาวิตกเพิ่มขึ้นถึง 13% และนับเป็นความกังวลที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ในปีที่ผ่านมา โดยในปี 2021 มีผู้บริโภคทั่วโลกไม่ถึง 3 ใน 10 (หรือ 27%) ที่วิตกเรื่องการขาดแคลนน้ำ
ความกลัวต่อการขาดแคลนน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มลภาวะพลาสติกหลุดจากความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม 3 อันดับแรก โดยความกังวลต่อปัญหามลภาวะพลาสติก (เช่น ขยะพลาสติกในมหาสมุทร) ลดลงจาก 36% ในปี 2021 มาเป็น 32% ในปี 2023
สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จีน (37%), เกาหลีใต้ (34%), และอินโดนีเซีย (32%) เป็นประเทศที่แสดงความวิตกสูงสุดในเรื่องการขาดแคลนน้ำ ในขณะเดียวกัน ความวิตกเรื่องการขาดแคลนอาหารจากภัยแล้งหรือผลผลิตตกต่ำยังมีอัตราสูงอย่างมีนัยสำคัญทั้งในญี่ปุ่นและออสเตรเลีย (28%) สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 25%
แม้ความวิตกต่อการขาดแคลนน้ำจะเพิ่มสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นปัญหาที่ผู้คนทั่วโลกกังวลมากที่สุด โดยไทยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับทั่วโลกอยู่ที่ 47% ในปี 2023 ส่วนอินเดียมีความวิตกในอัตราที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในภูมิภาคจาก 31% ในปี 2021 เป็น 44% ในปี 2023
ผู้บริโภคทั่วโลกมากกว่าครึ่ง (51%) เชื่อว่าประเทศของตนกำลังเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก โดยเพิ่มขึ้นจาก 44% ในปี 2021 โดยชาวอินโดนีเซียคิดว่าประเทศของตนกำลังประสบปัญหามากที่สุด (60%) ในขณะที่คนญี่ปุ่นมีความวิตกลดลงจาก 44% ในปี 2022 มาเป็น 40% ในปี 2023
![]()
ริชาร์ด โคป ที่ปรึกษาอาวุโสด้านเทรนด์โลก แห่ง Mintel Consulting กล่าวว่า “การให้ความสำคัญกับการขาดแคลนน้ำเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อม 3 อันดับแรกสำหรับผู้บริโภค สะท้อนให้เห็นว่าความตึงเครียดเรื่องน้ำกำลังเกิดขึ้นจริงทั่วโลก การที่ปัญหาการขาดแคลนน้ำไต่จากอันดับ 5 ขึ้นมาที่ 3 ในรายการปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นตัวบ่งชี้ว่าผลกระทบนั้นเกิดขึ้นโดยตรงกับผู้คนจริง ๆ
ซึ่งตรงกันข้ามกับปัญหาอื่น ๆ ที่เราได้รับฟังข่าวสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก สิ่งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่ความวิตกด้านสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นประเด็นเร่งด่วนเพื่อการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ อย่างการขาดแคลนน้ำและอาหาร และเกิดเป็นแรงปรารถนาที่จะอนุรักษ์ทรัพยากรเพื่อการฟื้นฟูโลกในอนาคต ในขณะที่มลภาวะพลาสติกยังคงเป็นข้อกังวลหลัก แต่ผู้บริโภคก็เริ่มกังวลเรื่องนี้น้อยลง เนื่องจากพวกเขาให้ความสำคัญกับการขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับตนเองมากกว่า ทั้งยังได้รับทราบว่ายังมีปัญหาอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดการปล่อยมลพิษมากกว่าอีกด้วย”
กิจกรรมเชิงอนุรักษ์สร้างแรงกระเพื่อมในหมู่ผู้บริโภคของภูมิภาค
อีกหนึ่งหัวข้อที่มีการโต้เถียงกันบ่อยครั้ง โดยงานวิจัยของมินเทลได้สำรวจถึงผลกระทบของกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ พบว่า 46% ของผู้บริโภคทั่วโลก** ยอมรับว่านักเคลื่อนไหวเชิงอนุรักษ์สามารถสร้างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมของพวกเขาได้มากขึ้น กิจกรรมโลกร้อนเพื่อสร้างการตระหนักรู้ ส่งผลกระทบที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค โดยประเทศที่รายงานผลกระทบสูงสุดคืออินโดนีเซีย (80%) ไทย (74%) และอินเดีย (69%) และในขณะที่ผู้บริโภคจำนวนมากให้ความสำคัญแก่กลุ่มนักเคลื่อนไหว ชาวออสเตรเลียเกือบครึ่ง (48%) ระบุว่านักเคลื่อนไหวเชิงอนุรักษ์ที่สร้างความปั่นป่วน (เช่น ปิดกั้นการจราจร) ควรถูกลงโทษโดยหน่วยงานรัฐบาล
“แน่นอนว่านักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมสามารถสร้างผลกระทบได้จริง และได้รับการมองว่าเป็นนักประท้วงที่ถูกต้องตามกฎหมายในหลายประเทศ โดยการวิจัยของเราชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่านักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมได้รับการต้อนรับในหลายประเทศในฐานะผู้ให้การศึกษาแก่ผู้คน โดยเฉพาะประเทศในเอเชียแปซิฟิกและละตินอเมริกา นักเคลื่อนไหวยังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการฟอกเขียวธุรกิจแบรนด์ต่าง ๆ ในขณะที่นักเคลื่อนไหวพยายามให้ความรู้ด้านพลังงาน การจัดหาทรัพยากร และสัดส่วนการปล่อยมลพิษ เหล่าผู้บริโภคก็เริ่มหันมาพิจารณากลั่นกรองข้อมูลของผลกระทบที่เคยได้รับมาอย่างรอบด้านมากขึ้นด้วย” ริชาร์ด โคป กล่าวเสริม
ผู้บริโภคไม่เชื่อว่าการชดเชยคาร์บอนเป็นการแก้ไขปัญหาที่แท้จริง
ในขณะเดียวกัน เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภคและของบริษัทต่าง ๆ ก็เริ่มไม่สัมพันธ์กัน โดยผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกเกือบสองในสาม (65%) ต้องการให้บริษัทต่าง ๆ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนของตนเอง
แทนที่จะพึ่งพาโปรแกรมชดเชยคาร์บอนที่อยู่นอกเหนือจากธุรกิจของตนเอง นอกจากนี้ ผู้บริโภคจำนวนมากในออสเตรเลียและเกาหลีใต้ (41% และ 37% ตามลำดับ) รู้สึกไม่เชื่อถือในความซื่อสัตย์ของบริษัทต่าง ๆ ในเรื่องข้อมูลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เมื่อถามบรรดาผู้บริโภคถึงสิ่งที่จะกระตุ้นให้พวกเขาพิจารณาซื้อผลิตภัณฑ์ที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผู้บริโภคทั่วโลกราว 41% ระบุว่าพวกเขามองหาคะแนนที่บ่งชี้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพียงใด (เช่น รหัสสี หรือคะแนน 1-5) ซึ่งทำให้เห็นว่าระบบการติดฉลากรหัสสีแบบ Nutriscore
ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภคในเรื่องนี้
“การวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่า เมื่อพิจารณาในระดับโลก ผู้บริโภคไม่ต้องการให้แบรนด์ต่าง ๆ ใช้วิธีการชดเชยคาร์บอน แม้โครงการป้องกันการตัดไม้ทำลายป่าจะถือเป็นเกณฑ์พื้นฐานของโครงการคาร์บอนเครดิตที่บริษัทส่วนใหญ่ใช้ในการยืนยันความเป็นกลางทางคาร์บอนของธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ของตน แต่รายงานข่าวของสื่อมวลชนที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาในการตรวจสอบความถูกต้องของโครงการเหล่านี้ ทำให้สาธารณชนเรียกร้องให้บริษัทต่าง ๆ ลงมือทำและลงทุนเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนโดยตรงด้วยตนเอง
“สืบเนื่องจากความสำเร็จของระบบสีสัญญาณไฟจราจรเพื่อบ่งชี้ข้อมูลโภชนาการของอุตสาหกรรมอาหาร ทำให้ผู้บริโภคเรียกร้องให้แบรนด์ต่าง ๆ หันมาใช้ระบบที่คล้ายคลึงกัน เพื่อสร้างความเข้าใจถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาคิดจะซื้อได้อย่างง่ายดาย และช่วยให้พวกเขาสามารถตัดสินใจเลือกซื้อได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น” ริชาร์ด โคป กล่าว
ผู้บริโภคเรียกร้องรัฐบาลสร้างแรงจูงใจในเรื่องนี้
ผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกราว 4 ใน 10 (44%) ยอมรับว่าประเทศที่พวกเขาอาศัยอยู่มีแรงจูงใจทางการเงินมากพอในการติดตั้งนวัตกรรมด้านพลังงานใหม่ ๆ ในบ้านของตน (เช่น เงินอุดหนุนเพื่อติดตั้งปั๊มความร้อน ฉนวน หรือแผงโซลาร์เซลล์) เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 34% โดยผู้บริโภคในภูมิภาคนี้ ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน (46%) ยังเชื่อว่าประเทศของตนเสนอสิ่งจูงใจทางการเงินมากพอในการเช่า/ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (เช่น เงินอุดหนุนสำหรับการซื้อรถยนต์/วงเงินกู้ การติดตั้งเครื่องชาร์จที่บ้าน) โดยจีนและอินเดียถือเป็นผู้นำในเรื่องนี้ที่ 61% ซึ่งมีสัดส่วนสูงกว่าตลาดอื่น ๆ ทั้งหมดในงานวิจัยของมินเทล
“แม้ผู้บริโภคจำนวนมากยังสนับสนุนกฎระเบียบและข้อห้ามของรัฐบาล แต่ส่วนใหญ่ยังรู้สึกว่ารัฐบาลไม่ได้ทุ่มเทในการจูงใจให้เกิดพฤติกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมมากพอ โดยเฉพาะในเรื่องการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานสะอาดและการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น” ริชาร์ด โคป กล่าวสรุป
ข้อมูลสำหรับบรรณาธิการ
*ข้อมูลลำดับความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม พฤติกรรมการซื้อ การมีส่วนร่วม และระดับความเข้าใจในเรื่องความยั่งยืนของผู้บริโภคใน 16 ประเทศทั่วโลก โดยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไทย
**ไม่รวมประเทศจีน
การศึกษา Global Outlook on Sustainability: A Consumer Study ประจำปี 2023 ของมินเทล อธิบายถึงลำดับความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม พฤติกรรมการซื้อ การมีส่วนร่วม และระดับความเข้าใจในเรื่องความยั่งยืนของผู้บริโภคใน 16 ประเทศ ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการวิจัยและแนวทางที่มินเทลสามารถช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพที่นี่ สามารถขอเอกสารงานวิจัยและบทสัมภาษณ์เพิ่มเติมของริชาร์ด โคป ได้ที่ Mintel Press Office
· บริการจัดส่งต้นไม้ประเภทที่เน่าเสียได้ยากไปยังสหรัฐอเมริกาในเวลารวดเร็วเพียง 3-5 วัน ช่วยให้ผู้ประกอบการในไทยสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างมากในตลาดต่างประเทศ
· ปัจจุบัน ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทย ให้บริการส่งออกแคคตัสหรือกระบองเพชรจากไทยไปยังสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และกัมพูชาถึงในวันถัดไป (Next-Day Delivery)
· ผู้ค้าในประเทศสามารถส่งออกต้นไม้ประเภทที่เน่าเสียได้ยาก เช่น กระบองเพชรและไม้ใบจากไทยไปยังสหรัฐฯ ได้อย่างสะดวกง่ายดายด้วยความช่วยเหลือจากฝ่ายบริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง และความเชี่ยวชาญด้านพิธีการศุลกากรของดีเอชแอล
กรุงเทพฯ 21 มิถุนายน 2566: ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส เปิดให้บริการขนส่งด่วนสำหรับต้นไม้ที่เน่าเสียได้ยาก เช่น กระบองเพชร (แคคตัส) และไม้ใบจากประเทศไทยไปยังสหรัฐอเมริกา โดยเพิ่มประเทศในการให้บริการปัจจุบันที่ส่งแคคตัส และไม้ใบบางประเภทไปยังสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และกัมพูชา การให้บริการนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถมีโอกาสในการทำธุรกิจจากความต้องการต้นไม้ของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในตลาดสหรัฐฯ
ผู้ประกอบการส่งออกต้นไม้ประเภทที่เน่าเสียได้ยาก (non-perishable plant) เช่น กระบองเพชร (แคคตัส) และไม้ใบในประเทศไทยจะสามารถเข้าถึงลูกค้าในสหรัฐอเมริกาผ่านการจัดส่งด่วนของดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ภายในระยะเวลา 3-5 วันโดยผู้ส่งสามารถติดตามสถานะการจัดส่งในกระบวนการซัพพลายเชนตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางผู้รับ ผ่านเครือข่ายการขนส่งด่วนทั้งทางอากาศและภาคพื้นดิน และบริการด้านลอจิสติกส์ที่ครอบคลุมของดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส
ระยะเวลาในการขนส่งขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์และครบถ้วนของเอกสารสำคัญที่ผู้ส่งต้องเตรียม รวมถึงกระบวนการตรวจสอบและพิธีการศุลกากรในประเทศที่เป็นทางผ่านและประเทศปลายทาง
เฮอร์เบิต วงษ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทย และหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า “เรายินดีที่จะประกาศให้ทราบเกี่ยวกับการขยายความสามารถในการให้บริการขนส่งด่วนข้ามประเทศเพื่อการค้าระหว่างประเทศสำหรับต้นไม้ประเภทที่เน่าเสียได้ยาก เช่น กระบองเพชรและไม้ใบ จากประเทศไทยไปยังสหรัฐฯ ความก้าวหน้าครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำเทรนด์ตลาด และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เรามองเห็นการเติบโตของตลาดต้นไม้ทั่วโลก และภูมิใจที่ได้เป็นผู้นำในการให้บริการส่งออกระดับมืออาชีพ และใช้ความเชี่ยวชาญของเราในการสนับสนุนผู้ค้าและเอสเอ็มอีในประเทศเพื่อให้เข้าถึงตลาดสหรัฐฯ การขยายการให้บริการในครั้งนี้นับเป็นการ
ตอกย้ำความพยายามของเราในการส่งมอบบริการที่เป็นเลิศ รวดเร็ว และไว้ใจได้ และเรามุ่งมั่นที่จะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ เติบโตในอุตสาหกรรมต้นไม้ให้มากขึ้น”
“ต้นไม้ที่เน่าเสียได้ยาก” หรือ Non-perishable plant คือคำจำกัดความสำหรับต้นไม้ที่สามารถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องอาศัยดินหรือน้ำเป็นเวลา 3-5 วัน ต้นไม้ประเภทนี้ครอบคลุมไม้กระถางและไม้ใบที่ไม่จัดอยู่ในสายพันธุ์ต้องห้าม ไม่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เช่น การควบคุมอุณหภูมิ ตัวอย่างพันธุ์ไม้ที่จัดว่าเน่าเสียได้ยาก เช่น ชวนชม มอนสเตอร่า พลูด่าง ฟิโลเดนดรอน และแคคตัสหรือกระบองเพชร
ตลาดต้นไม้ทั่วโลกมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมูลค่าการนำเข้าต้นไม้และพืชอื่นๆ ทั่วโลกมีมูลค่าราว 23,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2565 โดยสหรัฐฯ จัดเป็นตลาดระดับแนวหน้าซึ่งมีมูลค่าการนำเข้าสูงถึง 4,000 ล้านดอลลาร์ และครองตำแหน่งประเทศที่นำเข้าต้นไม้สูงที่สุดในปี 25651 โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์รายสำคัญที่จัดส่งต้นไม้ไปยังสหรัฐฯ และเป็นประเทศที่ส่งออกไม้ประดับและพันธุ์ไม้ตกแต่งแถวหน้าของอาเซียนโดยครองอันดับ 1 ของภูมิภาคและอันดับที่ 16 ของโลกในปี 2565 มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 124.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดสำคัญในการส่งออก2
การส่งออกต้นไม้ที่เน่าเสียได้ยากจากไทยไปยังสหรัฐฯ ต้องใช้ใบรับรองปลอดศัตรูพืช (Phytosanitary Certification) เพื่อรับรองว่าต้นไม้ที่ส่งออกปลอดศัตรูพืช และเป็นไปตามเงื่อนไขของประเทศปลายทาง
ใบรับรองปลอดศัตรูพืชช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้ส่งออกปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนดโดยกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (USDA) สำหรับการนำเข้าพืช และผู้รับปลายทางต้องติดต่อกระทรวงฯ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนสินค้าจะถูกจัดส่งเพื่อเตรียมเอกสารการนำเข้าสินค้า และช่วยให้สามารถจัดส่งถึงมือผู้รับได้อย่างรวดเร็ว ส่วนใบอนุญาตส่งออกไซเตส (CITES: อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์) ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของประเทศต้นทางว่าชิปเมนต์ดังกล่าวมีต้นไม้สายพันธุ์ที่ได้รับการคุ้มครองโดย CITES หรือไม่
ลูกค้าที่สนใจสามารถใช้บริการส่งออกต้นไม้จากไทยไปสหรัฐอเมริกาได้โดยดูข้อมูลที่นี่ หรือติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส โทร. 02-345-5000 (24 ชั่วโมง) เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้บริการส่งออกต้นไม้
เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนที่สภาพอากาศเย็นลงและมีความชื้นสูง เป็นช่วงเวลาที่เชื้อไวรัสและแบคทีเรียสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคติดเชื้อต่างๆ ตามมามากมาย แม้ในยุคนี้ที่ทุกคนตื่นรู้กับโรคระบาดมากขึ้น แต่สำหรับเด็กเล็กที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายยังไม่สมบูรณ์เพียงพอ อาจมีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อและนำมาซึ่งอาการเจ็บป่วยได้ง่าย โดยสังเกตได้จากความหนาแน่นของหอผู้ป่วยเด็กในโรงพยาบาลหลายแห่งตลอดช่วงหน้าฝน ดังนั้น การรู้เท่าทันโรคที่มาพร้อมฤดูฝนในเด็กเล็ก ทั้งสาเหตุและวิธีป้องกัน จะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถสังเกตอาการและหาทางป้องกันได้อย่างทันท่วงที โดย 6 โรคที่มักพบการระบาดในช่วงฤดูฝน ได้แก่
1) โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เด็กเล็กจำนวนมากต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลช่วงหน้าฝน คงหนีไม่พ้นชื่อของเชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) ซึ่งเป็นไวรัสที่แพร่ระบาดในกว่า 90% ของเด็กช่วงวัยสองปีแรก1 2 3 และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง (LRTI) ในเด็กทั่วโลก4 แม้ว่าส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง ลักษณะคล้ายหวัดทั่วไป มีไข้ต่ำ ไอ คัดจมูก แต่หากเป็นเด็กกลุ่มเสี่ยง อาทิ ทารกที่คลอดก่อนกำหนด (เกิดก่อนอายุครรภ์ 35 สัปดาห์) หรือเด็กที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับปอดหรือหัวใจ จะมีความเสี่ยงสูงในการเกิดอาการรุนแรงจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรืออาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ และสิ่งที่ทำให้พ่อแม่หลายคนเป็นกังวล
นั้นเพราะในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาเฉพาะทาง ดังนั้น การป้องกันจึงจำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเด็กกลุ่มเสี่ยง ทั้งการหมั่นล้างมือ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และรักษาสุขอนามัยอย่างสม่ำเสมอ แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัส RSV ในเด็ก แต่หลายประเทศได้เริ่มอนุมัติการใช้ยาแอนติบอดีที่สามารถป้องกันการเกิดโรครุนแรงในเด็กกลุ่มเสี่ยงจากเชื้อ RSV ได้แล้ว5 นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญทางการแพทย์เพื่อช่วยปกป้องประชากรกลุ่มนี้
2) โรคมือเท้าปาก
แม้โรคมือเท้าปากในเด็กจะเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี แต่พบการระบาดที่มากขึ้นในฤดูฝน โดยอาการส่วนใหญ่จะมีไข้ ร่วมกับผื่น ตุ่มน้ำใสขึ้นตามฝ่ามือ-เท้า มีแผลในปาก พบบ่อยในเด็กเล็กตั้งแต่อายุ 6 เดือนถึง 3 ปี ซึ่งสามารถติดต่อกันได้โดยตรงจากการสัมผัสน้ำมูกหรือน้ำลายของผู้ป่วย การไอจาม หรือโดยอ้อมผ่านของใช้หรืออาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยเป็นโรคที่สามารถหายได้เอง แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงสถานที่แออัดและงดใช้ภาชนะร่วมกับผู้อื่น เด็กควรมีกระติกน้ำหรือแก้วส่วนตัวสำหรับใช้ที่โรงเรียน รวมถึงการฝึกให้เด็กใช้ช้อนกลาง สำหรับเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 6 ปี อาจพิจารณาฉีดวัคซีนป้องกันโรคมือเท้าปากตามคำแนะนำของแพทย์
3) โรคไข้เลือดออก
อีกหนึ่งโรคติดต่อที่ระบาดหนักเมื่อเข้าสู่ฤดูฝน เพราะมีพื้นที่น้ำขังให้ฟักตัวยุงลายซึ่งเป็นพาหะนำโรคนี้ โดยอาการของโรคไข้เลือดออกจะแตกต่างจากไข้หวัดชนิดอื่นตรงที่เมื่อเด็กได้รับเชื้อแล้วจะมีไข้สูงต่อเนื่อง แม้ทานยาลดไข้แล้วแต่อาการจะยังคงไม่บรรเทา หากสังเกตว่าใบหน้าและตาเริ่มแดง มีอาการปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย และเป็นไข้ติดต่อกันเกิน 3 วัน ให้สันนิษฐานได้ว่าเป็นไข้เลือดออก ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ ไม่ควรรอจนอาการเริ่มรุนแรง เพราะหากไข้ขึ้นสูงอาจทำให้เกิดอาการช็อคหรือมีจุดเลือดออกได้ สำหรับการป้องกันที่ดีที่สุดคือระวังอย่าให้ยุงกัด และคอยตรวจสอบพื้นที่น้ำขังเพื่อทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายบริเวณที่พักอาศัยและสถานศึกษา นอกจากนี้ ผู้ปกครองอาจพิจารณาให้เด็กเข้ารับวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกตามคำแนะนำของแพทย์
4) โรคไข้หวัดใหญ่
เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น จึงสามารถพบโรคไข้หวัดใหญ่ได้เกือบทั้งปี แต่ฤดูกาลระบาดหนักมักเกิดในช่วงฤดูฝนเช่นเดียวกัน โดยอาการไข้ที่เกิดขึ้นจะเป็นแบบเฉียบพลัน และเนื่องจากโรคนี้สามารถเป็นได้ทุกวัย จึงแพร่กระจายได้ง่ายในครอบครัวที่อยู่ใกล้ชิดกัน ความแตกต่างจากไข้หวัดธรรมดานั้นคือโรคไข้หวัดใหญ่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น โรคปอดอักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อาการส่วนใหญ่ที่พบจะมีไข้สูง ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว ไอหรือเจ็บคอ ทั้งนี้ สำหรับเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี หรือผู้สูงอายุ รวมถึงผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่น โดยสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งควรเข้ารับช่วงประมาณ 1-2 เดือนก่อนเข้าฤดูกาลระบาดหรือหน้าฝนของทุกปี สามารถฉีดได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป6
5) โรคท้องเสียหรืออุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้า
ไวรัสโรต้า (Rotavirus) คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญของโรคท้องร่วงเฉียบพลันในเด็ก โดยเฉพาะกับเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี โดยติดต่อผ่านการรับประทานอาหารหรือสิ่งปนเปื้อนเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นของเล่น ของใช้ หรือนำมือที่สัมผัสเชื้อเข้าปาก เมื่อได้รับเชื้อแล้วจะทำให้เกิดการอักเสบในกระเพาะอาหารและลำไส้ อาการส่วนใหญ่ที่พบคือ คลื่นไส้อาเจียน อุจจาระถ่ายเหลวต่อเนื่อง บางรายอาจมีไข้สูง ทานได้น้อย หากท้องเสียติดต่อกันเป็นเวลานานอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ ซึ่งอาจส่งผลรุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะช็อคและเสียชีวิตได้ ดังนั้น การดูแลสุขอนามัยที่ดีของเด็กจึงสำคัญมาก รวมถึงการเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการเข้ารับวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้าตั้งแต่วัยทารก ซึ่งเป็นชนิดรับประทาน (หยอด) เริ่มให้กับทารกได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือนเป็นต้นไป7
6) โรคไอพีดี (Invasive Pneumococcal Disease)
โรคไอพีดี (IPD) คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรครุนแรงหลายชนิดในเด็กขึ้นอยู่กับอวัยวะที่มีการติดเชื้อ เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคปอดอักเสบ หรือการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งล้วนเป็นภาวะที่ร้ายแรงและอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี และมีความเสี่ยงสูงในกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคปอด โรคหัวใจ โรคตับ โรคธาลัสซีเมีย หรือภาวะไม่มีม้าม เป็นต้น แบคทีเรียนิวโมคอคคัสสามารถแพร่กระจายผ่านการไอ จาม หรือการสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ โดยจากข้อมูลการประเมินขององค์การอนามัยโลกพบว่า มีเด็กที่เสียชีวิตจากโรคนี้ถึงราว 1 ล้านคนต่อปี8 วัคซีนจึงเป็นตัวช่วยสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อและลดอาการเจ็บป่วยที่รุนแรงได้ โดยแนะนำให้ฉีดในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และสามารถเริ่มฉีดได้เมื่ออายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป9 เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันควบคู่ไปกับการดูแลสุขอนามัยที่ดีให้กับเด็ก
เพราะเด็กเล็กทุกคนมีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน การป้องกันและหมั่นสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญ หรือหากบุตรหลานมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้สูง เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที เพราะการวินิจฉัยโรคได้เร็วจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาและลดความรุนแรงของโรคได้มากขึ้น
เกี่ยวกับ แอสตร้าเซนเนก้า
แอสตร้าเซนเนก้า (ชื่อย่อหลักทรัพย์ AZN ในตลาดหลักทรัพย์ LSE/ STO/ Nasdaq) เป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก มุ่งเน้นทางด้านการคิดค้น พัฒนา และจำหน่ายยาเพื่อการรักษาโรค โดยเฉพาะในกลุ่มยาโรคมะเร็ง กลุ่มยาโรคหัวใจ ไต และระบบเผาผลาญ และกลุ่มยาโรคทางเดินหายใจ แอสตร้าเซนเนก้า มีฐานอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร และดำเนินธุรกิจในกว่า 100 ประเทศ และมีผู้ป่วยหลายล้านคนทั่วโลกที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมยาต่างๆ จาก แอสตร้าเซนเนก้า สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาไปยังเว็บไซต์ astrazeneca.co และช่องทางทวิตเตอร์ @AstraZeneca
ธนาคารกรุงไทย เตรียมเสนอขายหุ้นกู้อนุพันธ์ชุดใหม่ “Krungthai UBS XRP 2.0” จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงดัชนี UBS XRP 2.0 ที่กระจายการลงทุนใน 3 สินทรัพย์หลากหลายทั่วโลก “หุ้น-อัตราดอกเบี้ย-สินค้าโภคภัณฑ์” เปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด คงจุดเด่นคุ้มครองเงินต้น 100% เสนอขาย 26-28 มิถุนายนนี้
นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เตรียมออกและเสนอขาย หุ้นกู้อนุพันธ์ Krungthai UBS XRP 2.0 อายุ 3 ปี โดยปีที่ 1 และปีที่ 2 จ่ายผลตอบแทนคงที่ในอัตรา 0.50% ต่อปี และปีที่ 3 จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงดัชนี UBS XRP 2.0 ที่ออกแบบโดยธนาคารยูบีเอส (UBS) ธนาคารระดับโลก เฉพาะกรณีดัชนีมีกำไร ด้วยอัตราการมีส่วนร่วม 80% เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนการลงทุนจากสินทรัพย์ต่างประเทศ ด้วยจุดเด่นของดัชนีที่มีการกระจายการลงทุนใน 3 กลุ่มสินทรัพย์ทั่วโลก คือ หุ้น อัตราดอกเบี้ย และสินค้าโภคภัณฑ์ ด้วยเงื่อนไขการคุ้มครองเงินต้น 100% จากธนาคารกรุงไทย ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ AAA โดย Fitch Rating
“ปีที่ผ่านมา ผู้ลงทุนเผชิญกับความไม่แน่นอนจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งการปรับขึ้นดอกเบี้ยจากธนาคารกลางทั่วโลก ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ธนาคารจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุน เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลก อ้างอิงดัชนีที่บริหารโดยมืออาชีพระดับโลก โดยยังคงจุดเด่นคุ้มครองเงินต้น”
ทั้งนี้ ดัชนี UBS XRP 2.0 ออกแบบกลยุทธ์การลงทุน 4 รูปแบบ คือ Carry Trend Value และ Specific ควบคุมความผันผวน ปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ มุ่งสร้างผลตอบแทนทุกสถานการณ์ โดยดัชนี UBS XRP 2.0 สามารถสร้างผลตอบแทนเป็นบวกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2004 แม้ในช่วงเกิดวิกฤตทางการเงิน
ธนาคารเตรียมเสนอขายหุ้นกู้อนุพันธ์ “Krungthai UBS XRP 2.0” ให้กับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ ลงทุนขั้นต่ำ 3 ล้านบาท เปิดจองซื้อผ่านสาขาธนาคารกรุงไทย ระหว่างวันที่ 26-28 มิถุนายน 2566 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือ อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือโทร. 02-208-4673, 02-208-4691, 02-208-4817, 02-208-4831, 02-208-4840
“PointX” (พอยท์เอกซ์) แพลตฟอร์มที่รวมทุกคะแนนสะสมไว้ในที่เดียว พัฒนาโดย “เอสซีบี เทคเอกซ์” (SCB TechX) บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลเทคโนโลยี ภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ล่าสุดจัดแคมเปญ “PointX แจกพอยท์กระหน่ำ” ต้อนรับหน้าฝนให้ชุ่มฉ่ำรับพอยท์แบบสุดพิเศษ สำหรับลูกค้าใหม่ 30,000 ท่านแรกเพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน PointX และสมัครใช้งาน รับพอยท์พิเศษ 600 PointX ตั้งแต่ 3 มิถุนายน 2566 – 4 สิงหาคม 2566 ใช้ PointX ช้อป-กิน-เที่ยว ให้คุ้ม เพียงเลือกสแกนจ่ายผ่าน QR Code ได้ทุกที่ทั่วไทย ช้อปสินค้า/e-Coupon แบบจุใจได้ที่ X STORE หรือ ซื้อของ/สั่งอาหารออนไลน์ก็ใช้พอยท์จ่ายได้ง่ายๆ โดยเลือกชำระเงินด้วย Mobile Banking (แอปฯ SCB EASY) แล้วเลือกแถบจ่ายด้วยคะแนน สนุกกับการใช้พอยท์แทนเงินสดได้ทุกที่กับ “PointX” ได้แล้ววันนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center 02-777-7777 หรือเว็บไซต์ https://www.pointx.scb/new-users-get-600/
![]()
รายละเอียดรอบการได้รับพอยท์พิเศษ 600 PointX ใช้แทนเงินสดได้ทุกที่ โดยแบ่งเป็น 9 รอบ
· รอบที่ 1 ลูกค้าที่สมัครระหว่างวันที่ 3 มิถุนายน 2566 – 8 มิถุนายน 2566 จะได้รับพอยท์พิเศษ 600 PointX ในวันที่ 9 มิถุนายน 2566
· รอบที่ 2 ลูกค้าที่สมัครระหว่างวันที่ 9 มิถุนายน 2566 – 15 มิถุนายน 2566 จะได้รับพอยท์พิเศษ 600 PointX ในวันที่ 16 มิถุนายน 2566
· รอบที่ 3 ลูกค้าที่สมัครระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2566 – 22 มิถุนายน 2566 จะได้รับพอยท์พิเศษ 600 PointX ในวันที่ 23 มิถุนายน 2566
· รอบที่ 4 ลูกค้าที่สมัครระหว่างวันที่ 23 มิถุนายน 2566 – 29 มิถุนายน 2566 จะได้รับพอยท์พิเศษ 600 PointX ในวันที่ 30 มิถุนายน 2566
· รอบที่ 5 ลูกค้าที่สมัครระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน 2566 – 6 กรกฎาคม 2566 จะได้รับพอยท์พิเศษ 600 PointX ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2566
· รอบที่ 6 ลูกค้าที่สมัครระหว่างวันที่ 7 กรกฎาคม 2566 – 13 กรกฎาคม 2566 จะได้รับพอยท์พิเศษ 600 PointX ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2566
· รอบที่ 7 ลูกค้าที่สมัครระหว่างวันที่ 14 กรกฎาคม 2566 – 20 กรกฎาคม 2566 จะได้รับพอยท์พิเศษ 600 PointX ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2566
· รอบที่ 8 ลูกค้าที่สมัครระหว่างวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 – 27 กรกฎาคม 2566 จะได้รับพอยท์พิเศษ 600 PointX ในวันที่ 2 สิงหาคม 2566*
· รอบที่ 9 ลูกค้าที่สมัครระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม 2566 – 4 สิงหาคม 2566 จะได้รับพอยท์พิเศษ 600 PointX ในวันที่ 9 สิงหาคม 2566*
*กรณีที่กำหนดการโอนพอยท์พิเศษ ตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือเป็นวันสุดท้ายของแคมเปญ ธนาคารจะโอนพอยท์พิเศษให้กับลูกค้าภายในวันพุธถัดไป
พอยท์มีอายุใช้งานถึงวันที่ 30 กันยายน 2566 เวลา 23.59 น.
สำหรับผู้ที่สนใจดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “PointX” โลกใหม่ของการใช้และสะสมพอยท์แบบไร้ขีดจำกัด สามารถดาวน์โหลดได้ที่ · ลิงก์สำหรับดาวน์โหลด https://www.pointx.scb/get/
· QR Code สำหรับดาวน์โหลด
![]()
· รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.pointx.scb/
มูลนิธิรามาธิบดีฯ นำโดย ศ.ดร.พญ.อติพร อิงค์สาธิต รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี และ คุณพรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ชุดใหม่ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของประสบการณ์จริงสู่ “นาทีชีวิต” พร้อมแถลงการณ์ความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี พร้อมทีมนักแสดงช่อง 3 จากละครเรื่อง “รักสุดใจยัยตัวแสบ” นำโดย ออกัส-วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์, พีพี-ปุญญ์ปรีดี คุ้มพร้อม รอดสวาสดิ์, กัปตัน-ชลธร คงยิ่งยง และ เบส-ชนิดาภา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์ พร้อมร่วมจำหน่ายเสื้อยืดสุขใจ เพื่อระดมเงินบริจาคให้กับโครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี พร้อมเต็มอิ่มไปด้วยความสนุกกับมินิคอนเสิร์ตจาก 8 ศิลปิน The Star ค้นฟ้าคว้าดาว รุ่นปี 2022 ในวันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2566 ณ ลาน Central Court บริเวณข้างลิฟท์แก้ว ชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ตั้งแต่เวลา 13:30 – 18:00 น.
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ เฟลชแมน ฮิลลาร์ด ประเทศไทย คุณญาณิสา พวงรัตน์ (กิฟท์) โทร 063-914-1999 อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ฝ่ายประชาสัมพันธ์มูลนิธิรามาธิบดีฯ คุณอรอุมา รัตนรุ่งเรืองชัย (โอ๋) โทร. 086-369-7980 อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. FB มูลนิธิรามาธิบดีฯ LINE @RamaFoundation IG @RamaFoundation www.ramafoundation.or.th
· ยูสเคส (Use Case) ใหม่ 63 แบบของGenerative AI สามารถเพิ่มผลผลิตให้กับเศรษฐกิจทั่วโลกได้ประมาณ 2.6 - 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเทียบได้กับ GDP ของสหราชอาณาจักรในปี 2564
· เทคโนโลยี AI อื่นๆ อาจมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากถึง 40% จากการนำยูสเคสของ Generative AI ไปปรับใช้
· Generative AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานได้กว่า 0.1 - 0.6% ทุกปี จนถึงปี 2586 ซึ่งช่วยชดเชยการเติบโตของการจ้างงานที่ลดลง เนื่องจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุได้
· ศักยภาพปัจจุบันของ Generative AI เมื่อใช้ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ สามารถทำให้กิจกรรมการทำงานต่างๆ เป็นไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดเวลาการทำงานของพนักงานลงได้ 60 - 70 % จากเดิมอยู่ที่ 50%
กรุงเทพ 20 มิถุนายน 2566 — รายงานฉบับใหม่ที่เผยแพร่โดย McKinsey & Company เรื่อง The economic potential of generative AI: the next productivity frontier พบว่า Generative AI สามารถเพิ่มผลผลิตต่อปีได้ประมาณ 2.6 – 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ทั่วโลก โดยรายงานดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์ยูสเคสใหม่ 63 แบบใน 16 สายงานธุรกิจที่สามารถให้ผลตอบแทนเหล่านั้นได้ ซึ่งเทียบได้กับ GDP ของสหราชอาณาจักรในปี 2564 ที่ 3.1 ล้านล้านดอลลาร์
McKinsey ประมาณการว่าปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และยูสเคสจาก analytics โดยไม่รวมผลลัพธ์ของ Generative AI นั้นจะสามารถสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจโลกได้ประมาณ 11 ล้านล้าน - 17.7 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และการเพิ่ม Generative AI เข้ามาในยูสเคสเหล่านี้อาจเพิ่มตัวเลขดังกล่าวได้ประมาณ 15 - 40%
Generative AI กับอนาคตของการทำงาน: ผลกระทบต่อการทำงาน อาชีพ และผลผลิต
รายงานระบุว่าการช่วยให้พนักงานทั่วทั้งภาคเศรษฐกิจใช้งาน Generative AI ได้ แม้จะอยู่นอกเหนือยูสเคสทั้ง 63 แบบนั้นจะช่วยเพิ่มผลผลิตได้ประมาณ 0.1 - 0.6% ทุกปีจนถึงปี 2586 ซึ่งสามารถชดเชยการจ้างงานที่มีอัตราการเติบโตลดลง อันเนื่องมาจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุได้
มูลค่านี้เกิดขึ้นได้เมื่อ Generative AI พลิกโฉมการทำงานและเพิ่มขีดความสามารถให้กับพนักงานโดยการปรับเปลี่ยนบางกิจกรรมให้เป็นอัตโนมัติ ความสามารถของ Generative AI ในปัจจุบันเมื่อใช้ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ จะช่วยลดเวลาการทำงานของพนักงานในปัจจุบันได้ถึง 60 - 70% อันเนื่องมาจากการปรับการทำงานดังกล่าวเป็นอัตโนมัติ โดยก่อนหน้านี้ McKinsey Global Institute เคยคาดการณ์ไว้ว่าการปรับเปลี่ยนกิจกรรมทางเทคนิคต่างๆ ให้เป็นอัตโนมัตินี้จะสามารถลดระยะเวลาประมาณครึ่งหนึ่งในการทำงานของพนักงาน แต่ Generative AI ได้เร่งตัวเลขการคาดการณ์นั้นให้เร็วขึ้นอีก
ถึงแม้ว่าการนำ AI มาปรับใช้จะเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่การปรับเปลี่ยนการทำงานเหล่านี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืนในภาคเศรษฐกิจทั่วโลก อย่างไรก็ตาม บางองค์กรอาจสามารถปรับใช้ AI ได้เร็วกว่า ด้วยเหตุนี้ อัตราการเปลี่ยนแปลงของแรงงานจึงถูกเร่งเครื่องตามไปด้วย รายงานคาดการณ์ว่าครึ่งหนึ่งของกิจกรรมการทำงาน ในปัจจุบันอาจกลายเป็นระบบอัตโนมัติภายในปี 2573 - 2603 ซึ่งจุดกึ่งกลางของช่วงเวลาดังกล่าว (ปี 2588) จะมาถึงเร็วกว่าการคาดการณ์ครั้งก่อนของ McKinsey Global Institute ถึงหนึ่งทศวรรษ
ลารีนา ยี, Senior Partner และ Chair of McKinsey Technology Council ให้ความเห็นว่า “Generative AI ทำให้องค์กรต่างๆ ต้องพลิกโฉมการทำงานกันอย่างเร่งด่วน ตำแหน่งงานต่างๆ จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และการพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่างๆ กลับใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนแทนที่จะนานนับปี Generative AI ทำให้มนุษย์มีพลังวิเศษในรูปแบบใหม่และอัดฉีดพลังการเพิ่มผลผลิตที่เศรษฐกิจของเรากำลังต้องการเป็นอย่างมาก”
ยูสเคสของ Generative AI และการสร้างมูลค่าในอุตสาหกรรมและสายงานต่างๆ
ประมาณ 75% ของศักยภาพเชิงมูลค่าทั้งหมดจากการนำมูลค่าของ Generative AI มาปรับใช้จะเกิดขึ้นจริงในสายงานธุรกิจ 4 สายงาน ได้แก่ การบริการลูกค้า การตลาดและการขาย วิศวกรรมซอฟต์แวร์ และฝ่ายวิจัยและพัฒนาหรือ R&D
· การบริการลูกค้าเพื่อมอบบริการที่เฉพาะตัวและเป็นอัตโนมัติ: Generative AI สามารถเพิ่มมูลค่าผลผลิตได้ถึง 30 – 45% ของต้นทุนสายงานในปัจจุบัน ยูสเคสนี้รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการตนเองผ่านช่องทางอัตโนมัติ และการช่วยให้เจ้าหน้าที่ดูแลลูกค้าสามารถให้ข้อมูลแก่ลูกค้าได้ตรงจุดยิ่งขึ้น อันจะช่วยในการเพิ่มยอดขาย
· เพิ่มประสิทธิภาพด้านการตลาดและการขาย: ฝ่ายการตลาดสามารถเพิ่มมูลค่าผลผลิตได้ตั้งแต่ 5 -15% ของค่าใช้จ่ายด้านการตลาดทั้งหมด ในขณะที่ฝ่ายขายจะสามารถเพิ่มมูลค่าผลผลิตได้ตั้งแต่ 3 - 5% ยูสเคสตัวอย่างได้แก่ การหาไอเดียและร่างคอนเทนต์ได้รวดเร็วขึ้น ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณภาพสูงขึ้น การปรับแต่งการค้นหา และการจัดลำดับความสำคัญของลูกค้าเป้าหมาย
· วิศวกรรมซอฟต์แวร์จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการสร้างผลิตภัณฑ์ได้: ผลลัพธ์โดยตรงของ Generative AI ต่อผลผลิตทางวิศวกรรมซอฟต์แวร์อาจอยู่ในช่วง 20 – 45% ของค่าใช้จ่ายประจำปีในปัจจุบัน โดยการเพิ่มผลผลิตอาจมาจากการใช้เวลาในการเขียนโค้ดที่ลดลง การแก้ไขโค้ด และการวิจัยตลาดสำหรับสร้างโซลูชั่น
· R&D จะสร้างผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น: ผลผลิตมูลค่าระหว่าง 10 - 15% ของต้นทุนของ R&D โดยรวมนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยยูสเคสที่รวมถึงการปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์โดยรวม การเพิ่มประสิทธิภาพดีไซน์สำหรับการผลิต และการลดต้นทุนด้านขนส่งและการผลิต
โฉมหน้าของอุตสาหกรรมต่างๆ กำลังเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากมีการนำ Generative AI ไปปรับใช้อย่างรวดเร็ว
Generative AI สามารถสร้างคุณค่าได้มหาศาล เมื่อมีการนำไปปรับใช้ในยูสเคสในบางอุตสาหกรรม เช่น
· ธนาคารสามารถใช้ประโยชน์สูงสุดจากคุณค่าที่ Generative AI มอบให้นอกเหนือจากเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งรวมถึงการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 200 - 340 พันล้านดอลลาร์จากประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้น ประโยชน์ต่างๆ ยังรวมถึงความพึงพอใจของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น การปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจและประสบการณ์ของพนักงานให้ดีขึ้น และอาจลดความเสี่ยงในการฉ้อโกงได้ด้วยการตรวจสอบที่ดีขึ้น
· ธุรกิจค้าปลีกสามารถสร้างรายได้ 240 - 390 พันล้านดอลลาร์จากการใช้งาน Generative AI โดยการทำงานที่เป็นอัตโนมัติของสายงานหลัก เช่น การบริการลูกค้า การตลาดและการขาย และการจัดการสินค้าคงคลัง และซัพพลายเชน การปรับปรุงโซลูชั่น AI ที่มีอยู่เดิมจะช่วยปรับปรุงการบริการลูกค้าให้มีความเฉพาะตัวมากขึ้น รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการตลาดและการขาย
· อุตสาหกรรมยาและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ สามารถปลดล็อครายได้ถึง 60 - 110 พันล้านดอลลาร์ต่อปีผ่านการใช้ Generative AI ที่มีศักยภาพในการเร่งวงจรการผลิตยาให้เร็วขึ้นถึง10-15 ปีก่อนที่ยาจะออกสู่ตลาด ทั้งยังช่วยปรับปรุงคุณภาพส่วนผสมของยา และลดต้นทุนของการวิจัยและพัฒนาได้ด้วย
“เครื่องมืออันทรงพลังเหล่านี้มีศักยภาพมหาศาลต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับความท้าทายด้านประชากร แต่ความสามารถด้านภาษาของ AI ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เพราะนอกจากจะมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ได้ดีขึ้นแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายจากความเข้าใจผิด การชักจูงควบคุม และสร้างความขัดแย้งได้ด้วย" ไมเคิล ชุย Partner ของ McKinsey Global Institute กล่าว
“ด้วยเทคโนโลยี Generative AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ผู้นำทางธุรกิจจึงต้องเร่งดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อใช้ประโยชน์จากคุณประโยชน์ต่างๆ และจัดการความเสี่ยงให้ได้ รัฐบาลยังควรติดตามความคืบหน้าของการพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้ เพื่อรับมือกับความท้าทาย และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าว และด้วยผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อแรงงาน องค์กรต่างๆ จึงต้องเร่งการวางแผนกำลังคน และฝึกอบรมพนักงานด้วยความรู้ใหม่ๆ ในขณะที่พนักงานเองควรฝึกฝนการใช้งานเทคโนโลยีให้เชี่ยวชาญ และเรียนรู้ทักษะใหม่ๆด้วย” ชุยกล่าวสรุป
การศึกษานี้เป็นความร่วมมือระหว่าง McKinsey Global Institute (MGI), McKinsey Technology Council, McKinsey Growth Marketing & Sales และ QuantumBlack, AI โดย McKinsey
LINE ประเทศไทย ปักธงครบรอบ 12 ปี ตั้งเป้าขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็น Smart Country ด้วย LINE Economy ระบบเศรษฐกิจบนแอปพลิเคชั่น LINE ที่ปัจจุบันมีผู้ใช้กว่า 54 ล้านคน มุ่งผลักดันการพัฒนาและทำงานร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคเทคโนโลยีและภาคส่วนผู้ใช้งานต่าง ๆ บน 4 กลยุทธ์ ได้แก่
(1) ผสานจุดแกร่งระบบนิเวศเพิ่มขีดการแข่งขัน (2) ชูการเป็น Smart Platform ขับเคลื่อน Smart Country (3) สร้างคุณภาพชีวิต Life on LINE ที่ดีบนโลกดิจิทัล และ (4) ส่งเสริมการเติบโตยั่งยืนของเทคคอมพานี
![]()
ดร.พิเชษฐ ฤกษ์ปรีชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE ประเทศไทย กล่าวว่า “LINE ก้าวสู่ปีที่ 12 เราเติบโตจากแอปพลิเคชั่นสื่อสารมาเป็นแพลตฟอร์มสำหรับโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันที่สำคัญของผู้ใช้งานกว่า 54 ล้านคนในปัจจุบัน (ณ มิถุนายน 2566) โดยมีประชากรผู้ใช้หลากหลายภาคส่วน ธุรกิจ พันธมิตร คอมมูนิตี้ ที่ทำงานร่วมกันกับบริการและโซลูชันส์ต่าง ๆ บนระบบนิเวศจนเกิดเป็นระบบเศรษฐกิจบนแอป LINE (LINE Economy) นำไปสู่โจทย์ทางธุรกิจข้อถัดไปของเราในการสร้างความยั่งยืนบนแพลตฟอร์มที่เติบโตนี้ โดยมีหมุดหมายสำคัญคือการผลักดันแพลตฟอร์ม LINE ด้วยบทบาทในระดับมหภาค บนความมุ่งมั่นของเราที่อยากจะเห็นแอปพลิเคชั่น LINE มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็น Smart Country กล่าวคือ การที่เทคโนโลยีของ LINE มีบทบาท
สำคัญในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน สอดประสานเข้าด้วยกัน นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย”
4 กลยุทธ์สร้าง LINE Economy ระบบเศรษฐกิจบนแอป LINE ให้ยั่งยืน
1. ผสานจุดแกร่งระบบนิเวศเพิ่มขีดการแข่งขัน
หลังเสริมทัพแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงและจัดกลุ่มธุรกิจใหม่เพื่อปฏิบัติการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มพัฒนาแพลตฟอร์ม, กลุ่มธุรกิจ Consumer Business, กลุ่มธุรกิจ LINE For Business, กลุ่มธุรกิจคอนเทนต์และบริการใหม่ และกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ บริษัทฯ เดินหน้าสร้างพันธมิตร ไปพร้อมกับการผสานจุดแกร่งระหว่างบริการ – โซลูชันส์บนระบบนิเวศ เพื่อนำเสนอโซลูชันส์ในรูปแบบใหม่ ๆ ไปสู่การเพิ่มขีดการแข่งขันให้แก่ลูกค้าธุรกิจในทุกระดับ เป็นการดึงข้อได้เปรียบจากการเป็นแพลตฟอร์มที่มีโซลูชันส์ครบครัน สามารถตอบโจทย์ทางธุรกิจในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
2. ชูการเป็น Smart Platform ขับเคลื่อน Smart Country
หมุดหมายสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็น Smart Country คือการที่ทุกภาคส่วนในประเทศประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมาเพื่อยกระดับการดำเนินการในส่วนต่าง ๆ นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน ซึ่ง LINE มุ่งหวังให้เทคโนโลยีบนแพลตฟอร์มเป็นส่วนช่วยผลักดันในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ภาครัฐ ที่นำเสนอบริการ e-Service ให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าถึงและตรวจสอบการดำเนินการผ่านบัญชีทางการ LINE ได้ง่ายๆ ในไม่กี่ขั้นตอน ภาคเอกชน ที่นำโซลูชันส์ต่าง ๆ บนแพลตฟอร์ม LINE มาสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจที่ต้องการแข่งขัน อำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า และภาคประชาชน ด้วยประสบการณ์การใช้งานแอป LINE ในชีวิตประจำวันผ่านบริการและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่การสื่อสาร โซเชียลมีเดีย ช้อปปิ้ง คอนเทนต์ข่าวสาร สั่งอาหาร ฯลฯ มากไปกว่านั้น คือการส่งเสริมให้ผู้ใช้สามารถเป็นได้หลากหลายบทบาทในเวลาเดียวกัน ทั้งครีเอเตอร์ แอดมินของคอมมูนิตี้ ผู้ประกอบการ โดยมี LINE เป็นแพลตฟอร์มรองรับ
3. สร้างคุณภาพชีวิต Life on LINE ที่ดีบนโลกดิจิทัล
นอกจากบริการต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของผู้ใช้ บริษัทฯ ได้ริเริ่มแนวคิด LINE Digital Well-being ที่ต้องการปักหมุดในระยะยาวเพื่อให้ความสำคัญในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่น่าอยู่บนโลกดิจิทัล โดยที่ผ่านมาได้ทำแคมเปญรณรงค์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการบริหารเวลาเพื่อลดความเหนื่อยล้าบนโลกออนไลน์ ความเห็นอกเห็นใจและทัศนคติเชิงบวกบนโลกออนไลน์ การดูแลความสัมพันธ์รอบตัว ซึ่ง LINE ประเทศไทย ก็ได้หยิบยกแง่มุมใหม่ ๆ มานำเสนอเพื่อสร้างการตระหนักรู้ในประชากรผู้ใช้เพื่อสุขภาวะที่ดีบนโลกดิจิทัล
4. ส่งเสริมการเติบโตยั่งยืนของเทคคอมพานี
การดูแล Well-being ของพนักงาน ไปพร้อม ๆ กับการสร้างคนรุ่นใหม่ให้กับอุตสาหกรรมดิจิทัลเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้แก่บริษัทฯ จึงเดินหน้าพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ผ่านโครงการ LINE ROOKIE เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เข้ามาฝึกงานในโลกของการทำงานจริง ซึ่งได้รับความสนใจจากนักศึกษาเป็นจำนวนมากกว่าพันรายในแต่ละปี เพื่อสร้าง New Talent ให้กับตลาดงานและแลกเปลี่ยนแนวคิดจากคนรุ่นใหม่เพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมีแผนความร่วมมือที่จะนำความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมาพัฒนาหลักสูตรร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศเพื่อสร้างบุคลากรคุณภาพป้อนสู่ตลาดงานในประเทศภายในปี 2566 อีกด้วย
Happy Pride Month! เหมือนที่ผู้พันแซนเดอร์สเคยกล่าวไว้ว่า ที่เคเอฟซี เรามีพื้นที่ให้กับทุกคนเสมอ "Everyone can enjoy a seat at the table." ร้านเคเอฟซีของเรา จึงยินดีต้อนรับลูกค้าทุกคน รวมถึงยินดีเปิดรับพนักงานทุกคน เข้ามาแล้วรู้สึกปลอดภัย สบายใจและสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เคเอฟซี ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับความหลากหลายและความเท่าเทียมกันในองค์กร เราจึงมีการเปิดรับสมัครงานโดยไม่มีการแบ่งแยกและเลือกปฎิบัติ รวมทั้งเปิดโอกาส ให้กับทุกคนได้เติบโตในแบบของตัวเอง
![]()
ในปีนี้ กลุ่มเพื่อนๆ พนักงาน KFC ร่วมแสดงพลังสนับสนุน Pride Community ในงาน Proud to be Pride ร่วมกับ Muse by Metinee และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2566 ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ผ่านขบวนพาเหรดหลากสี เพื่อแสดงถึงการโอบรับความหลากหลายในองค์กรและร่วมผลักดันความสำคัญของความหลากหลายในสังคม และตั้งบูธ Work with Pride เปิดรับสมัครงาน Walk-in Application ภายในงาน เพื่อแสดงถึงการรับสมัครงานอย่างเท่าเทียม โดยภายในงาน ทุกคนสามารถสแกน QR Code เพื่อสมัครงานได้เลย เน้นย้ำนโยบายการเปิดรับทุกคนอย่างแท้จริง
![]()
สำหรับการเข้าร่วมในกิจกรรม Pride Month ในปีนี้ของ KFC ประเทศไทย คุณเศกชัย ชูหมื่นไวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงงานนี้ว่า “สำหรับ KFC ประเทศไทย เราตั้งใจจะสร้างสถานที่ทำงานที่ผู้คนรู้สึกปลอดภัย และสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ยอมรับความแตกต่างของกันและกัน เรามุ่งมั่นที่จะเป็นองค์กรยุคใหม่ ไม่มีการกีดกันหรือเลือกปฎิบัติในความแตกต่างระหว่างพนักงาน เพราะทุกคนควรได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกัน เราพร้อมสนับสนุนให้พนักงานในทุกระดับสามารถเติบโตในองค์กรตามความสามารถในแบบของตัวเองได้อย่างสวยงาม”
![]()