December 16, 2025

สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล และ สยามจุลละมณฑล ผู้จัดงาน “45 ปี ซีไรต์มาไกลมาก” เชิญผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมประกวดโปสเตอร์นิทรรศการ 45 ปี ซีไรต์มาไกลมาก ภายใต้แนวคิด “ซีไรต์ใน “ภาพจำ” กับ “จินตนาการ” ของฉัน” เพื่อสะท้อนความรู้สึกและความคิดเห็นในฐานะผู้อ่านที่มีต่อวรรณกรรมรางวัลซีไรต์ตลอด 45 ปีที่ผ่านมา รวมถึงความมุ่งหวังที่ต้องการเห็นพัฒนาการของวรรณกรรมรางวัลซีไรต์ที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต โดยสามารถสมัครและส่งผลงานได้แล้วตั้งแต่วันนี้ - 30 มิถุนายน 2566 ที่ https://forms.gle/Kcbc581XCNZkvjQu5

การประกวดแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทบุคคล และ ประเภททีม ประกอบไปด้วยกลุ่มเด็ก-เยาวชน และกลุ่มประชาชนทั่วไป ผู้สนใจสามารถสมัครได้โดยไม่จำกัดอายุและอาชีพ โดยต้องส่งผลงานในรูปแบบภาพนิ่ง (A3) โปสเตอร์ ไฟล์นามสกุล JPG, PNG ฯลฯ จำนวน 1 ไฟล์ และไฟล์ต้นฉบับนามสกุล AI, PSD, PPT ฯลฯ จำนวน 1 ไฟล์

ความละเอียดไม่ต่ำกว่า 300 dpi โดยระบุชื่อ-นามสกุล สถานศึกษา (ถ้ามี) ช่องทางการติดต่อ พร้อมคำอธิบายที่สื่อถึงแนวคิดของโปสเตอร์นิทรรศการฯ ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ที่อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. ระบุหัวเรื่อง: ส่งผลงานเข้าร่วมกิจกรรม 45 ปีซีไรต์ (นิทรรศการ)

โดยคณะกรรมการจะพิจารณาคัดเลือกผลงานที่ผ่านเข้ารอบ เพื่อจัดแสดงผ่านช่องทางออนไลน์ที่ www.siamclmt.com และ Facebook Page : สยามจุลละมณฑล พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมโหวตโปสเตอร์ที่เข้าประกวดได้ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2566 ถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2566 โดย 20 ผลงานที่ได้รับการโหวตสูงสุดทางออนไลน์จะถูกนํามาจัดแสดงในงานกิจกรรมพิเศษ 45 ปี ซีไรต์มาไกลมาก และประกาศผลผู้ได้รับคะแนนโหวตสูงสุด 3 อันดับแรกของแต่ละประเภทในวันที่ 27 สิงหาคม 2566 พร้อมร่วมพิธีมอบเกียรติบัตรและเงินรางวัล ในวันเดียวกัน ซึ่งรางวัลชนะเลิศมีทั้งหมด 4 รางวัล ได้แก่ ประเภทบุคคล และ ประเภททีม ในกลุ่มเด็กและเยาวชน และ กลุ่มประชาชนทั่วไป

กิจกรรมการประกวดโปสเตอร์นิทรรศการฯ เป็นหนึ่งในกิจกรรมของการจัดงาน “45 ปีซีไรต์มาไกลมาก” ในโอกาสที่รางวัลซีไรต์เดินทางมาครบ 45 ปี โดยต้องการปลุกกระแสแวดวงวรรณกรรมไทยและอาเซียนให้กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง พร้อมดึงเยาวชนและนักอ่านรุ่นใหม่ให้สร้างงานเขียนและการอ่านอย่างมีคุณค่า เพื่อพัฒนาศักยภาพพัฒนาความคิดและการเติบโตทางสังคม ซึ่งการจัดงานฯ มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม2566 สำหรับการจัดงาน “45 ปี ซีไรต์มาไกลมาก” ได้รับความร่วมมือจากสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กรมส่งเสริมการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ธนาคารออมสิน และแอปพลิเคชันสอบติดจูเนียร์

ผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดงาน “45 ปีซีไรต์มาไกลมาก” สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.siamclmt.com, Facebook: สยามจุลละมณฑล, Line Oa: @siamclmt หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.063-451-9359, 061-519-3641, 092-425-5229

นวัตกรรมใหม่ครอบคลุมระบบเครือข่าย ระบบรักษาความปลอดภัย และแอปพลิเคชัน สอดรับกับกลยุทธ์ของซิสโก้ ช่วยให้ลูกค้ารับมือกับความท้าทายด้านเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุด

 

 

ซิสโก้ (CSCO) ผู้นำด้านระบบเครือข่ายและความปลอดภัยระดับองค์กรได้เปิดตัวเทคโนโลยีและความก้าวหน้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของระบบเครือข่าย ระบบรักษาความปลอดภัย และแอปพลิเคชัน พร้อมกันนี้ ซิสโก้ได้เผยวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการนำเสนอประสบการณ์แบบครบวงจรที่เรียบง่ายมากขึ้นสำหรับลูกค้าและคู่ค้า โดยครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของซิสโก้

ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นนับเป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญของอนาคตเกือบทุกองค์กร และด้วยเหตุนี้ เครือข่ายที่ปลอดภัยจึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นสำหรับองค์กรยุคใหม่ ผู้บริหารของซิสโก้ รวมถึง ชัค ร็อบบินส์ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอของซิสโก้ ขึ้นกล่าวบรรยายบนเวทีในงานเพื่อบอกเล่าเกี่ยวกับโซลูชั่นใหม่ๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความปลอดภัยให้แก่คู่ค้าและลูกค้า เพื่อให้สามารถรับมือกับอนาคตที่มีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว

 

ชัค ร็อบบินส์ ประธานกรรมการและซีอีโอของซิสโก้ กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับนวัตกรรมที่ก้าวล้ำ และความสามารถใหม่ๆ ของพอร์ตโฟลิโอของซิสโก้ให้กับลูกค้าของเราที่งาน Cisco Live เราเชื่อว่ามีโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่รอเราอยู่ในอนาคตเพราะเราได้ช่วยลูกค้าแก้ปัญหาและจัดการความท้าทายทางธุรกิจที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย การเชื่อมต่อ แอปพลิเคชัน หรือความยั่งยืน ซิสโก้คือพันธมิตรที่มีความพร้อมในการช่วยให้ลูกค้าทรานส์ฟอร์ม และนำไปใช้ พวกเราพร้อมที่จะนำเสนอทุกสิ่งที่ทีมงานร่วมกันพัฒนา ตลอดจนวิสัยทัศน์ของพอร์ตโฟลิโอของซิสโก้ เพราะเราทำทุกอย่างให้ง่ายขึ้น ครอบคลุมมากขึ้น และยั่งยืนมากกว่าเดิม”

วิช ไอเยอร์ รองประธานฝ่ายสถาปัตยกรรมของซิสโก้ ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ญี่ปุ่น และจีนแผ่นดินใหญ่ กล่าวว่า “สภาพแวดล้อมดิจิทัลในปัจจุบันมีการทรานส์ฟอร์มอย่างต่อเนื่อง และรวดเร็ว องค์กรธุรกิจต่างๆ จึงต้องการโซลูชั่นแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง เป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีความยืดหยุ่นและปลอดภัย เพื่อให้งานเหล่านี้เป็นไปอย่างราบรื่น ผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอที และนักพัฒนาได้ให้ความสำคัญถึงวิธีที่ง่ายและรวมศูนย์ในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่กำลังขยายตัวและพัฒนาอย่างรวดเร็ว เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้นำเสนอเทคโนโลยีใหม่และความก้าวหน้าของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้แก่ลูกค้าและคู่ค้าของเราในภูมิภาคนี้ และช่วยให้พวกเขาเติบโตบนเส้นทางดิจิทัลด้วยประสบการณ์ที่ครบวงจรในรูปแบบใหม่เพื่อรับมือกับความท้าทาย และความซับซ้อนต่างๆ ได้มากขึ้น”

นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ของซิสโก้เพื่อรับมือกับความท้าทายที่สำคัญของลูกค้า

รายงาน State of Global Innovation ของซิสโก้ พบว่า 85% ของบุคลากรฝ่ายไอทีให้ความสำคัญกับความเรียบง่ายของระบบไอทีในองค์กร เทคโนโลยีใหม่ที่เปิดตัวที่งาน Cisco Live ปีนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของซิสโก้ในการปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานให้ง่ายขึ้น และช่วยขับเคลื่อนอนาคตของทุกคน โดยเทคโนโลยีที่เปิดตัวในวันนี้ได้แก่:

วิสัยทัศน์สำหรับ Cisco Networking Cloud 

ซิสโก้มุ่งมั่นที่จะลดความยุ่งยากซับซ้อนของระบบไอที โดยบริษัทฯ ได้ประกาศวิสัยทัศน์สำหรับ Cisco Networking Cloud ซึ่งเป็นประสบการณ์ด้านแพลตฟอร์มการจัดการแบบบูรณาการสำหรับโมเดลการจัดการคลาวด์ทั้งภายในและภายนอกองค์กร

ประสบการณ์ด้านไอทีที่เรียบง่ายจะส่งผลดีต่อการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า การดึงดูดพนักงาน และการสร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่ง ซิสโก้ตระหนักถึงปัญหาเรื่องระบบที่แยกเป็นส่วนๆ ไม่ต่อเนื่องกัน ขาดการตรวจสอบอย่างทั่วถึง ปัญหาภัยคุกคามด้านความปลอดภัย และการบูรณาการระบบที่ยุ่งยาก ต้องใช้เวลานาน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีกว่า นอกจากนี้ ซิสโก้ยังเข้าใจดีว่าการพัฒนาไปสู่ความเรียบง่ายขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น เป้าหมายทางธุรกิจของผู้ให้บริการแต่ละราย ความจำเป็นด้านฟังก์ชั่นการทำงาน และรูปแบบการใช้งานที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่ากรณีการใช้งานนั้นๆ จะต้องอาศัยระบบที่ติดตั้งภายในองค์กร ระบบที่รองรับคลาวด์ หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้อง ซิสโก้ก็พร้อมตอบสนองทุกความต้องการด้านไอทีในทุกๆ ที่

ภายใต้แผนการพัฒนาสู่ความเรียบง่าย ซิสโก้ได้ทำงานอย่างจริงจังเพื่อสร้างประสบการณ์ด้านแพลตฟอร์มการจัดการเครือข่ายที่ง่ายขึ้น เพื่อช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงได้โดยง่าย และใช้หลายๆ แพล็ตฟอร์มในการจัดการผลิตภัณฑ์เครือข่ายของซิสโก้ทั้งหมดจากที่เดียว Cisco Networking Cloud นำเสนอระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วยคลาวด์ ข้อมูลเชิงลึกที่หลากหลายเกี่ยวกับเครือข่าย และนวัตกรรมผ่านอีโคซิสเต็มส์ของพันธมิตร ซึ่งจะช่วยเร่งการส่งมอบประสบการณ์ที่เป็นหนึ่งเดียว และขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจที่สามารถวัดผลได้

นวัตกรรมที่นำเสนอในงาน Cisco Live ประกอบด้วยอินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่มีการเข้าถึงแบบ Single Sign-On (SSO), API Key Exchange/Repository, การทำ navigation ข้ามแพลตฟอร์ม, การรับรองเครือข่ายที่กว้างมาก

ขึ้นด้วย Cisco ThousandEyes, การตรวจสอบระบบคลาวด์สำหรับอุปกรณ์ Catalyst, โซลูชั่นเครือข่ายพลังงานที่ยั่งยืนสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ และอื่นๆ

นอกจากนี้ ซิสโก้ยังลดความซับซ้อนของธุรกิจเพื่อให้ลูกค้าทำงานได้ง่ายขึ้น ด้วยสแต็กสวิตช์ Cisco Catalyst ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยปรับปรุงการตรวจสอบประสิทธิภาพและการใช้พลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์ และยังมี blueprint ใหม่สำหรับ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและความสามารถในการตรวจสอบสำหรับผู้ให้บริการเครือข่าย

นวัตกรรม Security Cloud ที่ขับเคลื่อนด้วย AI

ซิสโก้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาในการนำเสนอ Cisco Security Cloud ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อลดความยุ่งยากซับซ้อนของการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และช่วยให้ผู้คนสามารถทำงานได้ดีที่สุดจากทุกที่ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยคุกคามที่มีความก้าวหน้ามากขึ้น

การเปิดตัว Cisco Secure Access ซึ่งเป็นโซลูชั่น Secure Service Edge (SSE) ใหม่ล่าสุด เพื่อช่วยประสบการณ์การทำงานแบบไฮบริดที่เหนือกว่า และทำให้การเข้าถึงสามารถทำได้จากทุกที่ ทุกอุปกรณ์ และทุกแอปพลิเคชันง่ายขึ้นอย่างมาก

จุดเด่นของ Cisco Secure Access ได้แก่:

· Common Access Experience: มอบวิธีการที่ง่ายในการเข้าถึงแอปพลิเคชันและทรัพยากรทั้งหมด (ไม่ใช่เพียงบางส่วน) โดยควบคุมการรับส่งข้อมูลอย่างชาญฉลาดและปลอดภัยไปยังปลายทางส่วนตัวและสาธารณะโดยไม่มีการแทรกแซงของผู้ใช้งานปลายทาง

· Single, Cloud-Managed Console: ลดความซับซ้อนของการดำเนินงานด้านความปลอดภัยโดยการรวมฟังก์ชันต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันในโซลูชันเดียวที่ใช้งานง่ายซึ่งป้องกันการรับส่งข้อมูลทั้งหมด โดยแทนที่จะต้องจัดการชุดเครื่องมือจำนวนมาก ผู้ดูแลระบบและนักวิเคราะห์สามารถไปที่เดียวเพื่อดูการรับส่งข้อมูลทั้งหมด กำหนดนโยบายทั้งหมด และวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพ การลดต้นทุน และสภาพแวดล้อมด้านไอทีที่ยืดหยุ่น

· การตรวจจับและการตอบสนองที่รวดเร็ว: จัดให้มีการวิเคราะห์เพื่อเร่งความเร็วในการสืบสวน และได้รับการสนับสนุนจาก ซิสโก้ ทาลอส (Cisco Talos) เครือข่ายข่าวกรองภัยคุกคามเชิงพาณิชย์ที่มีฐานข้อมูลใหญ่ที่สุดด้วยระบบ Threat Intelligence ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อตรวจจับและบล็อกภัยคุกคามเพิ่มเติม

ในส่วนของวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ ซิสโก้ยังได้สาธิตความสามารถของ Generative AI ของ Cisco Security Cloud ซึ่งจะช่วยให้นักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยสามารถตรวจจับ และแก้ไขภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งจัดการนโยบายในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยอย่างเหมาะสม

ซิสโก้บรรลุความก้าวหน้าในการพัฒนาแพลตฟอร์ม Security Cloud ด้วยการเปิดตัว Cisco Multicloud Defense, อุปกรณ์ Cisco Secure Firewall 4200 Series และซอฟต์แวร์ 7.4 รวมถึงการปรับปรุงความปลอดภัยของแอปพลิเคชันคลาวด์เนทีฟในพาโนปติกา (Panoptica) นวัตกรรมล่าสุดของซิสโก้ทั้งหมดจะช่วยปกป้องโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริดและมัลติคลาวด์ พร้อมทั้งมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้แก่ผู้ใช้งาน

เปิดตัว Cisco Full-Stack Observability Platform เพื่อขับเคลื่อนองค์กรดิจิทัลที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น

ซิสโก้เปิดตัว Full Stack Observability (FSO) Platform โซลูชั่นที่สามารถใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีของทุกบริษัท ทำหน้าที่ควบคุมผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของซิสโก้ และถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในการเร่งปรับใช้กลยุทธ์ FSO ของซิสโก้ ด้วยการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกตามบริบทที่สัมพันธ์กัน และคาดการณ์ได้ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและเพิ่มประสบการณ์ที่ดี ในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงทางธุรกิจให้น้อยที่สุด

โซลูชั่นระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมนี้จะช่วยให้เกิดอีโคซิสเต็มส์สำหรับการตรวจสอบ ซึ่งนำเอาข้อมูลมาจากหลายส่วนเข้าด้วยกัน รวมถึง แอปพลิเคชัน เครือข่าย โครงสร้างพื้นฐาน การรักษาความปลอดภัย คลาวด์ ความยั่งยืน และข้อมูลธุรกิจ

FSO Platform ของซิสโก้มุ่งเน้นไปที่ OpenTelemetry และยึดอยู่กับ Metrics, Events, Logs และ Traces (MELT) ช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล MELT ที่สร้างจากแหล่งที่มาต่างๆ ได้อย่างราบรื่น Cisco FSO Platform ได้รับการออกแบบให้เป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่รองรับการต่อขยาย ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างโซลูชั่น observability ได้ด้วยตนเอง และเพิ่มศักยภาพให้กับอีโคซิสเต็มส์ของลูกค้าและคู่ค้า

โซลูชั่นชั้นนำที่นำเสนอบน Cisco FSO Platform คือ Cloud Native Application Observability ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าบรรลุผลลัพธ์ทางธุรกิจ ตัดสินใจเกี่ยวกับประสบการณ์ดิจิทัลได้อย่างถูกต้อง ตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานให้สอดคล้องกับความคาดหวังของผู้ใช้ จัดลำดับความสำคัญและลดความเสี่ยง พร้อมทั้งปกป้องเวิร์กโหลดให้ปลอดภัย นอกเหนือไปจาก Cloud Native Application Observability แล้ว โมดูลชุดแรกบน FSO Platform ของซิสโก้ประกอบไปด้วย Cost Insights, Application Resource Optimizer, Security Insights และ Cisco AIOps

ซิสโก้ร่วมมือกับพันธมิตรหลายราย รวมถึง CloudFabrix, Evolutio และ Kanari เพื่อพัฒนาและสร้างรายได้จากอีโคซิสเต็มส์ของโซลูชั่นที่หลากหลายสำหรับ Cisco FSO Platform ที่รองรับการใช้งานรูปแบบใหม่ๆ ที่มีประโยชน์ และสร้างมูลค่าให้แก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วด้วยระบบ Telemetry ที่สามารถตรวจสอบได้

บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด (SCB Julius Baer) เดินหน้าสานต่อกลยุทธ์ “The New Wave of Wealth” เร่งเครื่องเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าผู้มีความมั่งคั่งระดับสูงของเมืองไทยด้วยบริการแบบครบวงจร ล่าสุด เปิดหลักสูตรสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “The 45 Academia” ภายใต้แนวคิด “Leader of Tomorrow” มุ่งปั้นผู้นำแห่งอนาคตที่มีพลังและสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมในทุกมิติ ผ่านการปูพื้นฐานด้านการลงทุนและเตรียมความพร้อมให้กับกลุ่มทายาทธุรกิจรุ่นใหม่ (Next Generation) ให้เข้าใจถึงการบริหารความมั่งคั่งอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยโปรแกรมพัฒนาศักยภาพตนเองอย่างเข้มข้น เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างยั่งยืน โดยได้รับเกียรติจากซีอีโอและนักธุรกิจแถวหน้าของเมืองไทยและต่างประเทศนั่งแท่นที่ปรึกษาหลักสูตรอย่างใกล้ชิด พร้อมบิสซิเนสทริปบินลัดฟ้าสู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สัมผัสประสบการณ์เรียนรู้จริงกับธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูงของ “จูเลียส แบร์” (Julius Baer) และโอกาสเข้าร่วมเวิร์คชอปกับ IMD (International Institute for Management Development) สถาบันพัฒนาการจัดการด้านธุรกิจระดับโลก โดยกิจกรรมครั้งนี้นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่น “Your Legacy. Our Promise.” ของ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ อย่างแท้จริง ผ่านการรักษาคุณค่าและช่วยให้ลูกค้าคนสำคัญสามารถวางแผนส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ

นางสาวลลิตภัทร ธรณวิกรัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวว่า “ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ เล็งเห็นว่าการส่งต่อความมั่งคั่งนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้มีความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย โดยเรามีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะพัฒนาหลักสูตร “The 45 Academia” สำหรับกลุ่มทายาทธุรกิจรุ่นใหม่ (Next Generation) ภายใต้แนวคิด “Leader of Tomorrow” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสร้างผู้นำแห่งอนาคตที่มีพลังและสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมในทุกมิติ ผ่านการปูพื้นฐานด้านการลงทุนและเตรียมความพร้อมให้กับกลุ่มทายาทธุรกิจรุ่นใหม่ (Next Generation) ให้เข้าใจถึงการบริหารความมั่งคั่งอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยโปรแกรมพัฒนาศักยภาพตนเองอย่างเข้มข้นจากข้อมูลเชิงลึกโดยตรง (Firsthand Insight) ทั้งในเรื่องของเทรนด์ในอนาคต เพื่อเห็นโอกาสใหม่ๆ และความท้าทาย ตลอดจนมุมมองของผู้นำที่หลากหลาย ผ่านการแชร์ประสบการณ์อันทรงคุณค่าจากซีอีโอชั้นนำในหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาทักษะการคิดในอนาคต

(Future Thinking Skills) ที่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกยุคปัจจุบัน นอกจากนี้เรายังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสืบทอดธุรกิจครอบครัว (Family Succession) และการพัฒนาศักยภาพของกลุ่มทายาทธุรกิจรุ่นใหม่ (Next Generation Development) ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จึงได้ร่วมกับ IMD (International Institute for Management Development) สถาบันพัฒนาการจัดการด้านธุรกิจระดับโลก ที่มีประสบการณ์คร่ำหวอดด้านการทำงานร่วมกับสถาบันชั้นนำระดับโลก ธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารจูเลียส แบร์ พัฒนาหลักสูตรที่ตั้งใจออกแบบให้เหมาะสมกับผู้เข้าร่วมโปรแกรมของเราได้มีโอกาสเรียนรู้จริงกับเวิร์คชอป ณ แคมปัสของ IMD ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยความร่วมมือครั้งนี้ สะท้อนความมุ่งมั่นขององค์กร “Your Legacy. Our Promise.” ที่ลูกค้าสามารถเชื่อมั่นและไว้วางใจได้อย่างแท้จริง”

 

ด้าน นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะ คณบดีหลักสูตร The 45 Academia เปิดเผยว่า “การเป็นผู้นำในยุคนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าท้ายเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม พฤติกรรมของผู้บริโภค หรือแม้แต่ climate change ทำให้ผู้นำต้องปรับตัว ตื่นตัวที่จะพัฒนาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เปรียบเสมือนน้ำที่ไม่เต็มแก้ว เพื่อนำพาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน และส่งต่อความยั่งยืนนี้กลับคืนสู่สังคม และโลกต่อไป โดยจุดประสงค์หลักของการพัฒนาหลักสูตร “The 45 Academia” คือ การร่วมกันสร้างผู้นำแห่งอนาคตรุ่นใหม่ “Leader of Tomorrow” ที่ไม่เพียงแต่สร้างความมั่งคั่งเฉพาะบุคคล แต่เป็นการต่อยอดศักยภาพของกลุ่มทายาทธุรกิจคนรุ่นใหม่ (Next Generation) ผ่านการรวมพลังเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่สามารถสร้างผลกระทบในเชิงบวกให้แก่สังคมและคนหมู่มากอย่างแท้จริง โดยเราได้รับเกียรติจากซีอีโอและนักธุรกิจแถวหน้าของเมืองไทยและต่างประเทศ ร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ครอบคลุมทุกด้านของ Leadership Skills อาทิ ความรู้ในการบริหารธุรกิจและเวลธ์แมเนจเม้นท์ กลยุทธ์และเทรนด์การลงทุน การลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ รวมถึงการพัฒนา Mindset ของตนเองอย่างเข้มข้น เพื่อช่วยให้กลุ่มทายาทคนรุ่นใหม่สามารถนำความรู้ ความเข้าใจไปใช้ต่อยอดในการขยายธุรกิจของตนเองและธุรกิจของครอบครัวให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และหลักธรรมาภิบาล (ESG) เป็นสิ่งสำคัญ”

 

หลักสูตร “The 45 Academia” นำทีมโดย นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะ คณบดีหลักสูตร The 45 Academia พร้อมด้วย ผู้อำนวยการหลักสูตร มร.เอเดรียน เมซนาวเออร์ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารฝ่ายการบริหารความมั่งคั่ง บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด และนางสาวไปรวรรณ ทังสุนันทน์ ผู้อำนวยการหลักสูตร ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ อะคาเดมี และทีมที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) ดร. การดี เลียวไพโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านอนาคตศาสตร์และสินทรัพย์ดิจิตัล กลุ่มบริษัทดีทีจีโอ (FutureTales Lab, DTGO Group) นายรวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด นายธนา เธียรอัจฉริยะ ประธานกรรมการ บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และนางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศอีกมากมายที่ร่วมแชร์ประสบการณ์ และแนวคิดในการสานต่อความมั่งคั่ง เพื่อเตรียมความพร้อมกลุ่มทายาทคนรุ่นใหม่สู่ “Leader of Tomorrow”

Q-CHANG (คิวช่าง) แพลตฟอร์มศูนย์รวมช่างคุณภาพและบริการดูแลบ้านครบวงจร หนึ่งในธุรกิจที่บ่มเพาะโดย Nexter Incubator เปิดตัวศูนย์ฝึกอบรมช่าง (Q-CHANG ACADEMY) ยกระดับมาตรฐานฝีมือและเพิ่มขีดความสามารถของช่างในแพลตฟอร์ม เพื่อส่งมอบประสบการณ์ ที่ประทับใจให้กับเจ้าของบ้านตามจุดยืน “แบ็คอัพทุกเรื่องบ้าน” เผยไตรมาสที่ผ่านมา ยอดจองบริการเติบโต 130% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ได้สร้างรายได้ให้ช่างในแพลตฟอร์มไปแล้วกว่า 385 ล้านบาท ด้วยทีมช่างที่มีมากถึง 1,600 ทีมทั่วประเทศ เสริมสร้างความแข็งแกร่งของเครือข่ายช่างในแพลตฟอร์ม ด้วยงานอีเวนท์ “I AM Q-CHANG: Home’s Calling ภารกิจเรียกรวมตัวคนคิวช่าง” ปีที่ 2 ในคอนเซ็ปต์ “ชีวิตทุกวันช่างง่าย”

นายศรัณย์วิศว์ ภักดีนอก ผู้บริหาร Q-CHANG (คิวช่าง) แพลตฟอร์มศูนย์รวมช่างคุณภาพและบริการดูแลบ้านครบวงจร เผยว่า Q-CHANG (คิวช่าง) เติบโตแบบก้าวกระโดดนับจากปี 2562 ด้วยยอดจองบริการ 6 ล้านบาท สู่ 250 ล้านบาทในปี 2565 และไตรมาสที่ผ่านมายอดจองบริการเติบโต 130% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดย Q-CHANG (คิวช่าง) สร้างรายได้ให้ช่างในแพลตฟอร์มไปแล้วกว่า 385 ล้านบาท พร้อมกันนี้ได้ตั้งเป้าหมาย ยอดจองบริการไว้ที่ 500 ล้านบาทในปี 2566 การเติบโตของ Q-CHANG (คิวช่าง) แบบก้าวกระโดดนี้กลยุทธ์หลักที่เราให้ความสำคัญอย่างมากคือการยกระดับมาตรฐานฝีมือและคุณภาพชีวิตของช่างในแพลตฟอร์ม เพื่อให้ช่างสามารถ ส่งมอบบริการที่ดีมีคุณภาพให้กับเจ้าของบ้าน พร้อมกันนี้ถือเป็นการช่วยลดความเลื่อมล้ำในสังคมตามแนวทาง ของ ESG ด้วย

ในส่วนแผนงานยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการทำงานของช่างนั้น (Q-CHANG) คิวช่าง มุ่งพัฒนาใน 3 ด้านหลัก ทั้ง Soft Skill , Hard Skill และ Business Skill ซึ่งเป็นหัวใจของความสำเร็จ จึงได้จัดตั้ง Q-CHANG ACADEMY ศูนย์ฝึกอบรมช่าง ขึ้นที่คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา) เพื่อเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ช่างในแพลตฟอร์มพร้อม “แบ็คอัพทุกเรื่องบ้าน” ให้กับเจ้าของบ้าน ได้อย่างประทับใจ

สำหรับแนวทางการอบรมของ Q-CHANG ACADEMY นั้นเตรียมเปิดให้ช่างได้เข้ามาเรียนรู้ทั้งช่องทางออนไลน์ (Online) และ ณ ศูนย์ฝึกอบรมช่าง (On-site) เพื่อพัฒนาทักษะและยกระดับอาชีพช่างในด้านต่าง ๆ โดยช่วงที่ผ่านมาได้เริ่มจัดสอนในช่องทางออนไลน์แล้วกว่า 35 คอร์สเรียน อาทิ คอร์สเสริมความรู้ด้านช่าง เช่น กลุ่มบริการงานแอร์ บริการงานหลังคา บริการติดตั้ง EV Charger คอร์สอบรมความรู้ด้านการทำบัญชี เป็นต้น โดย Q-CHANG (คิวช่าง) ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมสอนอย่างต่อเนื่อง อาทิ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa), บริษัทกรี อิเลคทริค ประเทศไทย (ผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศแบรนด์ Gree), เพจคุยกับลุงช่าง และ CONTAX (ผู้ให้บริการด้านบัญชีและภาษี) เป็นต้น คาดว่าจะ

สามารถรองรับการอบรมช่างได้ประมาณ 2,000 คนต่อปี ทั้งนี้ในการสร้างศูนย์ฯ ทาง Q-CHANG (คิวช่าง) ได้จ้าง ช้าการช่าง โดยมูลนิธิกระจก ซึ่งเป็นกลุ่มอดีตช่างผู้สูงอายุที่ไร้บ้านหรือเป็นคนจนเมือง มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทาสีบางส่วนของศูนย์ฯ เพื่อเป็นการส่งเสริมการสร้างรายได้ให้ผู้สูงอายุ รวมถึง Q-CHANG (คิวช่าง) ได้เปิดโอกาสให้ กลุ่มช้าการช่างนี้เข้ามาอบรมได้ที่ศูนย์ฯ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายอีกด้วย

โดยในงานเปิดตัว Q-CHANG ACADEMY ศูนย์ฝึกอบรมช่าง ได้รับเกียรติจาก นางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มาร่วมแสดงความยินดี ในฐานะพาร์ทเนอร์ที่ร่วมพัฒนาและอบรมเครือข่ายช่างของ Q-CHANG (คิวช่าง) อีกทั้งกิจกรรมอีเวนท์ “I AM Q-CHANG: Home’s Calling ภารกิจเรียกรวมตัวคนคิวช่าง” ปีที่ 2 ด้วยคอนเซ็ปต์ “ชีวิตทุกวันช่างง่าย” ซึ่งมีช่างและแม่บ้านในแพลตฟอร์มเข้าร่วมงานกว่า 300 คน พร้อมมอบทุนการศึกษาให้บุตรของช่าง และประกาศรางวัล Q-CHANG of the Year เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ สร้างการรับรู้เป้าหมายร่วมกัน ตอกย้ำความเข้มแข็งของเครือข่ายช่างที่มีมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีสปอนเซอร์ต่าง ๆ จาก คอนแทกซ์ คอนซัลติ้ง ,Makita (มากีต้า) และ พร้อมดี ร่วมสร้างรอยยิ้มให้กับงานเหล่าช่างและแม่บ้านผ่านกิจกรรม ต่าง ๆ ภายในงานอีกด้วย โดยงานกิจกรรมอีเวนท์ “I AM Q-CHANG: Home’s Calling ภารกิจเรียกรวมตัวคนคิวช่าง” นี้จะดำเนินการจัดขึ้นทั่วทุกภาคทั่วประเทศหลังจากนี้

“การเพิ่มทักษะความรู้ใหม่ ๆ จะทำให้ช่างสามารถรับงานได้หลายประเภทมากขึ้นและสามารถเพิ่มโอกาส ในการมีรายได้ที่มากขึ้นด้วย ทั้งที่เป็น Soft Skill การสนทนาและเจรจากับลูกค้า, Hard Skill มาตรฐานฝีมือช่าง และ Business Skill เช่น ความเข้าใจด้านบัญชีภาษี ซึ่งช่วยยกระดับฝีมือช่างให้มีคุณภาพและมาตรฐาน ส่งผลต่อ ความพึงพอใจและการใช้บริการซ้ำของลูกค้า ซึ่งจะทำให้ช่างมีรายได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง”

ในส่วนของการพัฒนาช่องทางการให้บริการ นายศรัณย์วิศว์ กล่าวว่า ในปัจจุบันเรามี Q-CHANG Shop Service หรือจุดให้บริการคิวช่างในร้านวัสดุก่อสร้างชั้นนำทั่วประเทศ แล้วกว่า 80 สาขา และมีแผนขยายสาขา Q-CHANG Shop Service ให้ครบ 100 สาขาทั่วประเทศภายในปี 2566 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจ Q-CHANG (คิวช่าง) เติบโตได้แบบก้าวกระโดด พร้อมตั้งเป้ายอดจองบริการกว่า 600 ล้านบาท ในปี 2566

ผู้ที่สนใจใช้บริการ Q-CHANG (คิวช่าง) แพลตฟอร์มศูนย์รวมช่างคุณภาพและบริการดูแลบ้านครบวงจร ครอบคลุมทุกบริการเรื่องบ้าน...ครบจบในที่เดียว “ล้าง ซ่อม ติดตั้ง ต่อเติม” สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือนัดหมายจองใช้บริการ Q-CHANG (คิวช่าง) ได้ทางเว็บไซต์ www.q-chang.com โทร. 02-821-6545 หรือ Line : @q-chang หรือติดต่อทาง Q-CHANG Shop Service ทั่วประเทศ

บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จํากัด ผู้นำด้านการให้บริการแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย เปิดตัว “เฮดไลเนอร์ ไทยแลนด์” (HEADLINER THAILAND) ธุรกิจบริหารจัดการและพัฒนานักแสดง-ศิลปินแบบครบวงจร เปิดโอกาสให้กับคนมีฝัน ได้ตามความฝันในการเป็นศิลปินทำงานในวงการบันเทิงไทยและต่างประเทศ ประเดิมจับมือ กองทัพ โปรดักชั่น พันธมิตรผู้ผลิตคอนเทนต์ชื่อดัง เฟ้นหานักแสดงหน้าใหม่ร่วมแสดงในโปรเจกต์ซีรีส์วาย เรื่อง “12th Night” ออกอากาศทาง WeTV ตั้งเป้าผลิตศิลปินที่มีคุณภาพและศักยภาพรอบด้านป้อนวงการบันเทิง และเตรียมขยายความร่วมมือกับพันธมิตรด้านต่างๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับการดำเนินงานเฮดไลเนอร์ ไทยแลนด์อย่างต่อเนื่อง

นางสาวปรภาว์ สมบัติเปี่ยม ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาศิลปิน เฮดไลเนอร์ ไทยแลนด์ กล่าวว่า “ปัจจุบันศิลปิน ดารา นักร้องไทยนั้นนอกจากจะเป็นที่ยอมรับทั้งในวงการบันเทิงไทยและต่างประเทศแล้ว ยังถือเป็นซอฟท์พาวเวอร์ที่สร้างอิมแพคให้กับประเทศไทยผ่านผลงานต่างๆ นอกจากนี้การมีส่วนร่วมของแฟนๆ ชาวไทยในการให้การสนับสนุนศิลปินก็เป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งในการผลักดันศิลปินเข้าสู่ตลาดทั้งในประเทศและตลาดสากล ธุรกิจ Talent Agency จึงเป็นหนึ่งในกลไก ขับเคลื่อนที่มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานให้กับวงการบันเทิงไทยในการผลิตศิลปินเข้าสู่ตลาดอย่างมีคุณภาพ จึงเป็นที่มาของการเปิดตัว “เฮดไลเนอร์ ไทยแลนด์” ธุรกิจบริหารจัดการและพัฒนานักแสดง-ศิลปินแบบครบวงจรภายใต้บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่จะเน้นการเฟ้นหาคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพและความสามารถที่โดดเด่นทั้งด้านการแสดง การร้องเพลง และการเต้น ป้อนเข้าสู่วงการบันเทิง พร้อมใช้จุดแข็งของการอยู่ภายใต้เทนเซ็นต์ ประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้นำ ด้านการให้บริการแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย เปิดโอกาสให้ศิลปินได้โชว์ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ผ่านการนำเสนอผลงานที่หลากหลายผ่านบริการต่างๆ ทั้งบนแพลตฟอร์มของบริษัท รวมถึงจากบริษัทพันธมิตรต่างๆ ในอนาคต รวมถึงการผลักดันและสร้างโอกาสเติบโตบนเส้นทางบันเทิงในระดับภูมิภาคให้กับศิลปินในสังกัด”

เฮดไลเนอร์ ไทยแลนด์ วางแผนการดำเนินงานธุรกิจด้วยการมุ่งเน้น 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1. การพัฒนาศักยภาพของศิลปิน ในสังกัด เริ่มตั้งแต่การค้นหาศิลปินหน้าใหม่เพื่อร่วมโปรเจกต์ซีรีส์ที่มีการวางแผนผลิตไว้แล้ว และค้นหาศิลปินมาเป็นเด็กฝึกในสังกัด ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะ ศักยภาพ ของศิลปินในสังกัดด้วยคลาสเรียนการแสดง การสื่อสาร การปรับบุคลิกภาพ เพื่อให้ศิลปินพร้อมทำงานในวงการบันเทิงทุกรูปแบบ 2. การสร้างคอมมูนิตี ส่งเสริมความชื่นชอบในตัวศิลปินทั้งกับ กลุ่มคนทั่วไปและสื่อมวลชน ผ่านการจัดกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ เพื่อเข้าถึงคอมมูนิตีที่ชื่นชอบในตัวตนของศิลปินได้ทุกกลุ่ม

3. การจับมือพันธมิตรในหลากหลายแวดวง ทั้งแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งชั้นนำในไทย เช่น WeTV การจับมือกับกลุ่ม ผู้ผลิตไทยที่กำลังมาแรง รวมถึงการร่วมมือกับเครือข่ายสายการพัฒนาศิลปิน เช่น โรงเรียนสอนการแสดง โรงเรียน สอนบุคลิกภาพ และคลินิกเสริมความงาม เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้ศิลปินในสังกัดครบรอบด้าน

สำหรับการเปิดรับศิลปินในช่วงแรก เฮดไลเนอร์ ประเทศไทย จะเฟ้นหาคนรุ่นใหม่ทั้งชายและหญิง อายุ 15 - 25 ปี ที่มีใจรักการแสดง รักการเป็นศิลปิน พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มีวินัย ต้องการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ สื่อสารได้สองภาษาขึ้นไป เพื่อมาร่วมเป็นนักแสดงในสังกัด และเดินหน้าเฟ้นหาศิลปินและนักร้องต่อไปในอนาคต เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายในด้านธุรกิจ ทั้งฝั่งผู้ผลิต สตูดิโอที่มองหานักแสดงร่วมแสดงในผลงานต่างๆ และกลุ่มแบรนด์สินค้าต่างๆ รวมไปถึงบริษัทจัดงาน อีเวนต์ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยในปี 2566 นี้ เฮดไลเนอร์ ประเทศไทย ประเดิมการคัดเลือกศิลปินเข้าสังกัดด้วยการ หานักแสดงหน้าใหม่ลงจอในโปรเจกต์ใหญ่ซีรีส์เรื่อง “12th Night” ผลิตโดยกองทัพ โปรดักชั่น และ ออดิชันศิลปินเพื่อ เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับโปรเจกต์ที่น่าสนใจในอนาคต”

นางทักษญา ธีญานาถธนันชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท กองทัพ โปรดักชั่น จำกัด พาร์ทเนอร์ผู้ผลิตซีรีส์เรื่อง 12th Night กล่าวว่า "หลังจากสร้างผลงานคุณภาพอย่าง ซีรีส์ เล่ห์แค้น WeTV ORIGINAL ในปี 2022 กองทัพ โปรดักชั่น เตรียมเดินหน้าสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยในครั้งนี้จะร่วมมือกับ เฮดไลเนอร์ ไทยแลนด์ ในการเฟ้นหานักแสดงและการผลิตซีรีส์ เรื่องใหม่ เพื่อที่จะต่อยอดความฝันให้กับคนรุ่นใหม่ที่มีฝัน เพราะทางกองทัพ โปรดักชั่นเอง เชื่อมั่นในศักยภาพของนักแสดงไทย และโอกาสก็เป็นสิ่งที่สำคัญ จึงอยากสนับสนุนและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฟ้นหานักแสดงคุณภาพเข้าสู่วงการบันเทิง สำหรับโปรเจกต์ในครั้งนี้จะเป็นการตามหานักแสดงหน้าใหม่ที่จะมาร่วมแสดงในซีรีส์เรื่อง 12th Night ซีรีส์แนว Boy Love ที่หยิบยกเอาประเด็นความสัมพันธ์ของวัยรุ่นชายชายในปัจจุบันมาเล่าพร้อมควบคู่ไปกับ การให้ความรู้เรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ (Sex edutainment) อย่างถูกต้อง”

“เฮดไลเนอร์ ไทยแลนด์ ตั้งเป้าในการผลิตศิลปินที่มีคุณภาพและศักยภาพครบถ้วนส่งเข้าสู่วงการบันเทิงไทยและต่างประเทศ เพื่อตอบโจทย์ทั้งในแง่ธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ผลิตที่มองหานักแสดงร่วมแสดงในละคร ซีรีส์ ภาพยนตร์ แบรนด์สินค้าต่างๆ ที่มองหาพรีเซนเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์ เพื่อช่วยส่งเสริมการขายสินค้าและบริการ และ บริษัทจัดงานอีเวนต์ทั้งของไทย และต่างประเทศ เพื่อต่อยอดในการจัดกิจกรรมแฟนมีตติงเพื่อสร้างความแข็งแกร่งของคอมมูนิตีในอนาคต รวมถึงในแง่มุมของผู้บริโภคที่เป็นการเปิดโอกาสสำคัญให้กับคนมีฝัน ได้ตามความฝันในการเป็นศิลปินทำงานในวงการบันเทิงไทย และต่างประเทศ นอกจากนี้เราจะเตรียมขยายความร่วมมือกับพันธมิตรด้านต่างๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับ การดำเนินงานของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง” นางสาวปรภาว์ กล่าวสรุป

 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เดินหน้าตอกย้ำ การเป็น “ศูนย์ฯ ประชุม สีเขียว” จับมือเอไอเอส (AIS) สนับสนุนการจัดการขยะ E-Waste อย่างถูกวิธี ตั้งจุดรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ภายในศูนย์ฯ สิริกิติ์ พร้อมชวนคนไทยยุคดิจิทัล กำจัดขยะอย่างถูกวิธี เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชน และรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ศูนย์ฯ สิริกิติ์ เป็นศูนย์การประชุมแห่งแรกในประเทศไทยที่เข้าร่วมโครงการ ‘คนไทย ไร้ E-Waste’ กับ AIS เพื่อแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ออกจากขยะประเภทอื่นๆ และส่งต่อไปยังหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี โดยเปิดจุดรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Waste บริเวณเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ชั้น LG

 

สุทธิชัย บัณฑิตวรภูมิ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กล่าวว่า “ทางศูนย์ฯ สิริกิติ์ มีความยินดีที่ได้เข้าร่วมโครงการ ‘คนไทยไร้ E-Waste’ กับ AIS ซึ่งเป็นโครงการ ที่ให้ความสำคัญกับการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี สอดรับกับพันธกิจหลัก ของศูนย์ฯ สิริกิติ์ ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในการรักษาสิ่งแวดล้อม และพัฒนาชุมชน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยผู้เข้ามาใช้บริการที่ศูนย์ฯ สิริกิติ์ หรือชุมชนใกล้เคียง สามารถนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต สายชาร์จ หูฟัง แบตเตอรี่มือถือ มาทิ้ง ได้ที่จุดรับขยะภายในศูนย์ฯ สิริกิติ์ นอกจากนั้นเรายังได้จัดวางถังแยกขยะประเภทต่างๆ เพื่อให้ผู้มาใช้บริการภายในศูนย์ฯ สิริกิติ์ ได้รับความสะดวก และง่ายต่อการทิ้งขยะอย่างถูกวิธี ซึ่งขยะที่ผ่านการคัดแยกจะเข้าสู่กระบวนการ Recycle และ Upcycle เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติ ตามระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยจัดสรรให้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์ มากที่สุด”

 

สายชล ทรัพย์มากอุดม รักษาการหัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์ และธุรกิจสัมพันธ์ เอไอเอส กล่าวว่า “AIS ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล นอกเหนือจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาเครือข่ายสื่อสารอัจฉริยะให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีหลักของประเทศแล้ว เรายังวางนโยบายในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกมิติ โดยเฉพาะในด้านสิ่งแวดล้อม ที่วันนี้ AIS เดินหน้าสร้าง Ecosystem ในการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้โครงการ ‘คนไทยไร้ E-Waste’ ตั้งแต่การสร้างองค์ความรู้ให้คนไทยตระหนักถึงปัญหา สร้างกระบวนการจัดเก็บเพื่อให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลแบบ Zero Landfill ตามมาตรฐานสากล ผ่านการสร้างการมีส่วนร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่หลากหลาย โดยครั้งนี้เราได้ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เข้ามาเป็นหนึ่งในเครือข่าย ด้าน Green Partnerships โดยมีเป้าหมายเดียวกันที่ต้องการแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน โดยผู้ที่เข้ามาใช้บริการที่ศูนย์ฯ สิริกิติ์ หรือมาเข้าร่วมงานประชุม งานแสดงสินค้า หรืองานแฟร์ต่างๆ สามารถนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ มาทิ้งได้ที่จุดรับขยะภายในศูนย์ฯ สิริกิติ์ เพื่อจะได้รวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปกำจัดอย่างถูกต้องต่อไป”

 

เพราะความยั่งยืนคือพันธกิจหลัก ศูนย์ฯ สิริกิติ์ จึงให้ความสำคัญตั้งแต่การออกแบบอาคาร ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้เพื่อประหยัดพลังงาน การควบคุมมลพิษ การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดภูมิทัศน์ที่ช่วยเชื่อมโยงอาคารเข้ากับพื้นที่สีเขียวของสวนเบญจกิติ และการจัดพื้นที่ส่วนกลางเพื่อจัดกิจกรรมสันทนาการ การร่วมมือ ในโครงการ ‘คนไทยไร้ E-Waste’ กับ AIS ในครั้งนี้ จึงเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนของศูนย์ฯ สิริกิติ์ อย่างแท้จริง”

นายสุทธิชัย บัณฑิตวรภูมิ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (ซ้าย) เดินหน้าตอกย้ำ การเป็น “ศูนย์ฯ ประชุม สีเขียว” จับมือ นางสายชล ทรัพย์มากอุดม รักษาการหัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์ และธุรกิจสัมพันธ์ เอไอเอส (ขวา) เข้าร่วมโครงการ ‘คนไทยไร้ E-Waste’ ตั้งจุดรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ภายในศูนย์ฯ สิริกิติ์ พร้อมชวนคนไทยยุคดิจิทัล กำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชน และรักษาสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืน

เพลงอินดี้สัญชาติไทยครองใจผู้ฟังจำนวนมาก เพราะมีเอกลักษณ์โดดเด่นทั้งในด้านซาวด์ดนตรี อารมณ์เพลง และเนื้อร้องที่แสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองและความคิดสร้างสรรค์ของศิลปิน วันนี้ Spotify จึงขอเดินหน้าสนับสนุนเพลงอินดี้สัญชาติไทยด้วยการปรับโฉมเพลย์ลิสต์เรือธง “อินดี้ศาสตร์” (Indieology) พร้อมทั้งเปิดตัว 2 เพลย์ลิสต์ใหม่สุดโดนใจชาวเพลงอินดี้อย่าง “อินดี้มานาน” (Indie Long Time) และ “อินดี้ เทสดี” (Indie Tasty) เริ่มกันที่ อินดี้ศาสตร์ (Indieology) เพลย์ลิสต์รวมเพลงอินดี้สุดฮิตติดชาร์ตที่คุณไม่ควรพลาด พร้อมเปิดฟังวนซ้ำๆ ได้ไม่มีเบื่อ Dept ศิลปินดูโอ้แนวอินดี้ป๊อป กล่าวหลังได้ขึ้นปกเพลย์ลิสต์ อินดี้ศาสตร์ (Indieology) ว่า “เพลย์ลิสต์ อินดี้ศาสตร์ (Indieology) ของ Spotify ไม่ได้เป็นพื้นที่ให้ผู้ฟังค้นพบตัวตนของเราในฐานะศิลปินเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเชื่อมต่อกับแฟนๆ จากทั่วโลกอีกด้วย เรารู้สึกขอบคุณ Spotify ที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้วงการเพลงอินดี้เติบโตในวงกว้างมากขึ้นกว่าเดิมครับ” ทั้งนี้ เพลง ถ้ารู้ว่าจะหายไป ของ Dept รวมอยู่ในเพลย์ลิสต์นี้ด้วย

เพลงอินดี้บนแพลตฟอร์มของ Spotify มียอดผู้ฟังเพิ่มขึ้นมากกว่า 70% ในปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าแฟนเพลงในประเทศไทยนิยมใช้แพลตฟอร์มของ Spotify เพื่อค้นหาเพลงอินดี้อย่างต่อเนื่อง คุณปิโยรส หลักคำ บรรณาธิการดนตรีอาวุโส Spotify ประเทศไทย กล่าวว่า “Spotify รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนสนับสนุนให้ศิลปินอิสระของไทยมีพื้นที่ของพวกเขามากขึ้น เราให้ความสำคัญกับดนตรีและผลงานเพลงที่ยอดเยี่ยมของศิลปินอินดี้ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้ฟังค้นพบและชื่นชอบผลงานเพลงที่โดดเด่นของพวกเขา ในช่วงเวลาที่วงการเพลงอินดี้กำลังเติบโตและก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง” อินดี้ เทสดี (Indie Tasty) เปิดหูเปิดใจลองฟังเพลย์ลิสต์ที่อัดแน่นไปด้วยศิลปินอินดี้หน้าใหม่ที่รอให้ทุกคนค้นพบ PAKBUNG ศิลปินหญิงเดี่ยวแนวอินดี้ป๊อป เผยความในใจหลังได้ขึ้นปกเพลย์ลิสต์ อินดี้ เทสดี (Indie Tasty) ว่า “สัญญา (can I?) เป็นเพลงที่บอกเล่าความรู้สึกของคนที่ต้องการสารภาพรัก และขอโอกาสให้ตัวเองได้เป็นคนเลือกบ้าง ผักบุ้งดีใจทุกครั้งที่มีคนค้นพบและฟังเพลงของผักบุ้ง แต่ที่เซอร์ไพรส์ที่สุดคือการสตรีมฟังเพลงของผักบุ้งจากต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผักบุ้งมีกำลังใจที่จะสร้างสรรค์ผลงานเพลง และทำให้รู้ว่าเพลงของผักบุ้งมีอิมแพ็คต่อผู้ฟังค่ะ” อินดี้มานาน (Indie Long Time) เพลิดเพลินไปกับเพลย์ลิสต์เพลงอินดี้ในอดีตที่ปล่อยมานาน แต่ยังคงฮิตติดหูโดนใจไม่ตกยุค ให้แฟนเพลงดื่มด่ำไปกับรากเหง้าของแนวเพลงอินดี้สุดคลาสสิก Safeplanet วงดนตรีแนวอินดี้ป๊อปที่ได้รับเลือกให้ขึ้นปกเพลย์ลิสต์ อินดี้มานาน (Indie Long Time) กล่าวว่า “พวกเรารู้สึกดีใจที่เพลงเก่าของเรายังคงมีผู้ฟังอยู่เรื่อยๆ บนแพลตฟอร์มของ Spotify เพลย์ลิสต์ของ Spotify ไม่เพียงช่วยให้แฟนเพลงทั้งเก่าและใหม่ได้ฟังอัลบั้มของเราเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เรามีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานเพลงต่อไปครับ”

นอกจากนี้ Spotify ยังมีฟีเจอร์ที่โดดเด่นอื่น ๆ อีก เช่น ฟีเจอร์ “Lyrics” และฟีเจอร์ “Playlist Stories” ที่ช่วยเชื่อมต่อแฟนเพลงอินดี้เข้ากับศิลปินคนโปรดให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ฟีเจอร์เหล่านี้ทำให้ผลงานเพลงของศิลปินมีชีวิตชีวา โดยเพลงต่าง ๆ ที่ได้รับการถ่ายทอดออกมาจากห้วงความคิด เส้นทางชีวิต และประสบการณ์ต่าง ๆ ของศิลปิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรักไปจนถึงเรื่องอกหัก ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มออกเดินทางเข้าสู่โลกของเพลงอินดี้กันเลย!

วัน แบงค็อก เมืองอัจฉริยะแห่งความยั่งยืนสมบูรณ์แบบใจกลางกรุงเทพฯ ตอกย้ำวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยหลักการของความยั่งยืน สอดรับกับเป้าหมายการลดปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกขององค์การสหประชาชาติ (UN) และกรุงเทพมหานครฯ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พร้อมส่งเสริมนโยบายวันสิ่งแวดล้อมโลก Reduce (ลด) และ Recycle (รีไซเคิล) ด้วยการนำวัสดุเหลือใช้และวัสดุที่ใช้แล้ว มาเปลี่ยนให้มีคุณค่าเป็นประโยชน์ในด้านต่างๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของผู้คนในเมือง

(3 แกนหลักด้านความยั่งยืนของ โครงการวัน แบงค็อก)

องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้ วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปีเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก World Environment Day เพื่อให้ทั่วโลกตื่นตัวกับวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น ร่วมกันหาแนวทางป้องกันและลงมือแก้ไข วัน แบงค็อก ในฐานะโครงการอสังหาริมทรัพย์ภาคเอกชนมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างจุดเปลี่ยนด้านสิ่งแวดล้อมพร้อมตั้งเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net-zero) และเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนในการสร้างอนาคตที่ดีขึ้น เพื่อสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ สะท้อนผ่านแนวคิด 3 แกนหลัก ได้แก่ การให้ความสำคัญกับผู้คน (People Centric) การยกระดับความยั่งยืน (Sustainability) และการใช้ชีวิตในเมืองอัจฉริยะ (Smart City Living)

เพื่อตอกย้ำการเป็นโครงการต้นแบบสีเขียวที่มุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนให้เทียบเท่าระดับสากล วัน แบงค็อก มุ่งสู่การเป็นโครงการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED for Neighborhood Development ระดับ Platinum แห่งแรกในประเทศไทย พร้อมมุ่งมั่นประหยัดพลังงาน จัดการของเสียและอากาศภายในอาคารได้อย่างมีคุณภาพ และมาตรฐานรับรองอาคาร WELL เพื่อให้ผู้ที่ใช้อาคารมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และยังจะดำเนินงานตามแนวปฏิบัติด้านการก่อสร้างที่ยั่งยืนภายใต้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การก่อสร้างไปจนถึงช่วงเปิดดำเนินการของโครงการ 

วัน แบงค็อก กำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนขึ้น พร้อมแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม นับตั้งแต่การออกแบบมาสเตอร์แพลนของโครงการฯ จนไปถึงขั้นตอนของการดำเนินงาน โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการ สนับสนุนการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด ภายใต้แนวคิด Reuse และ Recycle อาทิ

· การลดขยะจากการก่อสร้าง โดยตั้งเป้านำขยะจากการก่อสร้างมากกว่า 75% กลับมาใช้ใหม่และรีไซเคิล อาทิ การนำเทคโนโลยีบดย่อยเศษขยะคอนกรีตจากหัวเสาเข็มเพื่อนำไปสร้างผนังอาคารในโครงการฯ ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 5.94 ตันหรือเทียบเท่ากับปริมาณการผลิตก๊าซออกซิเจนจากต้นไม้ 540 ต้น อีกทั้งยังมีการนำเศษอิฐมวลเบาที่เหลือใช้จากการก่อสร้างมาผลิตเป็นแผ่นผนังกันเสียงในอุโมงค์ทางลอดเข้าโครงการฯ

· การรีไซเคิลขยะเศษอาหาร ที่เหลือจากการบริโภคของคนงานก่อสร้าง ให้กลายเป็นปุ๋ย ผ่านเครื่อง Food Waste Composter ทำให้สามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจก ได้ถึง 1.2 ตันคาร์บอนต่อวัน หรือ 367 ตันคาร์บอนต่อปี เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ จำนวน 40,815 ต้น

· การรีไซเคิลน้ำเสีย ด้วยระบบบริหารจัดการน้ำอัตโนมัติที่สามารถตรวจสอบคุณภาพน้ำ ลดการใช้น้ำ (Reduce) และนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่โดยผ่านเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสีย เพิ่มออกซิเจนให้กับน้ำทำให้มีคุณภาพดีขึ้น Wastewater Treatment Plant (Recycle) และนำไปใช้ในส่วนต่างๆ อาทิ ระบบรดน้ำต้นไม้ภายในโครงการฯ และระบบชำระล้างของสุขภัณฑ์ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังได้มีการนำเทคโนโลยีไอโอที (IoT) มาเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดแยกและจัดการขยะรีไซเคิล ทำให้โครงการสามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ปริมาณขยะแบบเรียลไทม์ เพื่อนำเศษวัสดุที่เหลือใช้กลับเข้าสู่กระบวนการผลิตช่วยให้สามารถลดปริมาณขยะที่สะสม และเมื่อโครงการเปิดดำเนินการ จะเพิ่มระบบเซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับปริมาณของขยะพร้อมแจ้งเตือนไปยังส่วนกลาง ทำให้ลดปัญหาขยะล้นถัง ส่งเสริมสภาพแวดล้อมด้านสุขอนามัย

(โครงการวัน แบงค็อก)

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการออกแบบพื้นที่สาธารณะ (Public Realm) ให้เป็นพื้นที่เปิดโล่งและพื้นที่สีเขียวมากถึง 50 ไร่ เทียบเท่ากับครึ่งหนึ่งของพื้นที่โครงการทั้งหมด เพื่อส่งเสริมให้ผู้คนหันมาใช้ทางเดินเท้าในโครงการ แทนการใช้รถยนต์ ลดมลภาวะทางอากาศ โดยพื้นที่ส่วนหน้าของโครงการตลอดแนวถนนพระรามสี่และถนนวิทยุ ถูกรังสรรค์ให้เป็นสวนสาธารณะสีเขียวขนาดใหญ่ (Linear Park) และมีระยะร่นจากทางเท้าเข้าไปยังตัวอาคาร 35 - 45 เมตร สร้างทัศนียภาพที่สวยงาม ร่มรื่น ช่วยกรองฝุ่น และลดอุณหภูมิ วัน แบงค็อก มุ่งมั่นสู่การเป็นส่วนหนึ่งในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยพัฒนาพื้นที่สาธารณะที่มีคุณภาพ พร้อมเป็นต้นแบบโครงการสีเขียวที่ยั่งยืน

"บลจ.อเบอร์ดีน" เปิดตัว "กองทุนเปิด อเบอร์ดีน ไชน่า A Share ซัสเทนเนเบิล เอคควิตี้ ฟันด์ (ABCA)" เน้นลงทุนอย่างยั่งยืนในหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ ชูจุดเด่นที่แตกต่าง กองทุนหลักเฟ้นหุ้นคุณภาพ วิเคราะห์เชิงลึก ผนึก ESG ในกระบวนการลงทุน หนุนผลงานติดชาร์ตแถวหน้า โฟกัสลงทุน 5 ธีมหลัก เน้นการบริโภคในประเทศ เทคโนโลยี พลังงานสะอาด การบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่ง และเฮลท์แคร์ที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตเศรษฐกิจจีน และนโยบายสนับสนุนของภาครัฐ เปิดขาย IPO ระหว่าง 6-16 มิ.ย.2566

นายโรเบิร์ต เพนนาโลซา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน จำกัด (ประเทศไทย) หรือ บลจ.อเบอร์ดีน เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นจีนถือเป็นอีกตลาดที่นักลงทุนให้ความสนใจ ท่ามกลางความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในฝั่งตลาดพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป ยิ่งทำให้ตลาดจีนโดดเด่น ด้วยเศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตได้ดี ในขณะที่ภาครัฐเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย อีกทั้งนโยบายการคลังก็ยังเอื้อต่อการขับเคลื่อนการเติบโต และช่วยให้การฟื้นตัวของจีนยั่งยืนมากขึ้น

"บลจ.อเบอร์ดีน มองว่าตลาดหุ้น A-Shares น่าสนใจจากปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน โดยเฉพาะภาคการบริโภคในประเทศจีนเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยคาดว่าครึ่งปีหลังนี้ การบริโภคจะเป็นแรงส่งหลักหนุนเศรษฐกิจจีนให้เติบโต และที่สำคัญ Valuation หุ้นจีน A-Share ยังคงอยู่ในระดับต่ำ สวนทางกับผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ในตลาด A-Shares ที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น จึงมองเป็นโอกาสให้นักลงทุนระยะยาวเข้าลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพที่ราคาน่าดึงดูดใจและเป็นทางเลือกสำหรับการจัดสรรพอร์ตการลงทุน" นายโรเบิร์ต กล่าว

บลจ.อเบอร์ดีนเตรียมเปิดขายกองทุนเปิด อเบอร์ดีน ไชน่า A Share ซัสเทนเนเบิล เอคควิตี้ ฟันด์ (ABCA) ลงทุนแตกต่างอย่างยั่งยืนในหุ้นจีน A Share ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารทุน Feeder Fund ความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนเป็นหลักโดยเฉลี่ยในรอบปีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยลงทุนผ่านหน่วยลงทุนของกองทุน Aberdeen Standard

SICAV I China A Share Sustainable Equity Fund (กองทุนหลัก) ที่ได้รับการจัดอันดับกองทุน overall rating 5 ดาวจาก Morningstar (ที่มา: Morningstar Direct, มีนาคม 2566)

จุดเด่นที่แตกต่างของกองทุนหลัก ประกอบด้วย 1.ESG embedded วิเคราะห์เชิงลึกในทุกกระบวนการลงทุน ตั้งแต่การคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ต ประเมินและให้คะแนน โดยใช้เกณฑ์ ESG ของอเบอร์ดีน รวมกับเกณฑ์มาตรฐานจากแหล่งที่มาอื่น ที่สำคัญอเบอร์ดีนยังเข้าไปมีส่วนร่วม (engage) สนับสนุนให้บริษัทที่ลงทุนมีการพัฒนาด้าน ESG ให้ดียิ่งขึ้น 2. High quality คัดเฉพาะหุ้นคุณภาพเข้าพอร์ต 30-40 ตัว ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์ในหุ้นจีนมากว่า 30 ปี 3. Diversified portfolio กระจายลงทุน 5 ธีมหลัก เน้นการบริโภคในประเทศ เทคโนโลยี พลังงานสะอาด การบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่ง และเฮลท์แคร์ 4. Strong track record: ผลการดำเนินงานโดดเด่นจากการจัดอันดับของ Morningstar อยู่ในอันดับต้นของกลุ่ม (Top-quartile) นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (ที่มา: Morningstar, abrdn, ธันวาคม 2565, จัดตั้งกองทุน 16 มีนาคม 2558)

ทั้งนี้ ด้วยจุดเด่นที่แตกต่างของกองทุนหลัก ส่งผลบวกต่อพอร์ตการลงทุน ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2566 มีอัตราตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ติดลบ 22% แสดงให้เห็นกลยุทธ์การเลือกหุ้นของกองทุนหลักที่เน้นหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่มีหนี้ ขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ในระดับสูงกว่าดัชนีชี้วัด สะท้อนหุ้นในพอร์ตที่เติบโตสูง แต่มีหนี้สินอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับดัชนีชี้วัด (ที่มา: abrdn, Factset ข้อมูล ณ มีนาคม 2566)

สำหรับธีมการลงทุนจะเน้นใน 5 ธีมหลักที่จะได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจจีน และนโยบายสนับสนุนของภาครัฐ ได้แก่ ธีม Aspiration กลุ่มการบริโภคในประเทศ จากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของคนจีนนำไปสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วของการบริโภคทั้งสินค้าและบริการในระดับพรีเมียม เช่น ภาคการท่องเที่ยว อาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล โดยมีน้ำหนักการลงทุนในธีมนี้ 36.6% ธีม Digital ปัจจุบันการเชื่อมต่อดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางการยอมรับด้านเทคโนโลยีอย่างแพร่หลาย สะท้อนอนาคตที่สดใสของธุรกิจความปลอดภัยทางไซเบอร์ ธุรกิจคลาวด์ ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ และบ้านอัจฉริยะ โดยมีน้ำหนักการลงทุนในธีมนี้ 16.3%

ธีม Green พลังงานสะอาด ซึ่งจีนเป็นหนึ่งในผู้นำขับเคลื่อนทั้งการใช้พลังงานหมุนเวียน การผลิตแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง และการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคต โดยมีน้ำหนักการลงทุนในธีมนี้ 11.4% ธีม Health เฮลท์แคร์ ด้วยแนวโน้มรายได้คนจีนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้คนมีกำลังซื้อและหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลดีต่อ

ธุรกิจโรงพยาบาลชั้นนำ ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อดูแลสุขภาพต่าง ๆ โดยมีน้ำหนักการลงทุนในธีมนี้ 12.2% และธีม Wealth อุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งในจีนเติบโตขึ้น ทั้งการเติบโตเชิงโครงสร้างต่างๆ ที่สำคัญ ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภค ธุรกิจบริการด้านการลงทุน และธุรกิจประกัน โดยมีน้ำหนักการลงทุนในธีมนี้ 15% (ที่มา: abrdn ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2023 ทั้งนี้ ธีมการลงทุนดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมในอนาคต)

สำหรับตัวอย่างหุ้นที่กองทุนหลักลงทุน ได้แก่ China Tourism Group Duty Free ผู้ให้บริการจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีชั้นนำในจีน ได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาลจีน ที่ต้องการดึงให้คนจีนที่เดินทางต่างประเทศ กลับมาใช้จ่ายภายในประเทศ , Nari Technology บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการที่ล้ำสมัย ซึ่งรวมถึงปัญญาประดิษฐ์ ระบบอัตโนมัติของหุ่นยนต์ และบริการคลาวด์

หุ้น CATL บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีนที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับต้นๆ ของโลก , หุ้น Shenzhen Mindray ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์รายใหญ่ที่สุดของจีน ด้วยผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพที่หลากหลาย มีมาร์เก็ตแชร์สูงทั้งในอเมริกาและยุโรป , หุ้น China Merchants Bank ผู้ให้บริการทางการเงินที่หลากหลาย โดยมีความแข็งแกร่งด้านธุรกิจธนาคารเพื่อรายย่อย อีกทั้งธุรกิจบริหารความมั่งคั่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย (ที่มา: abrdn, มีนาคม 2566 ทั้งนี้การลงทุนในหุ้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมในอนาคต)

เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสการลงทุนที่แตกต่างเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดหุ้นจีน กองทุน ABCA เสนอขายชนิดสะสมมูลค่า (ABCA-A) ลงทุนเพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหน่วยลงทุนในระยะยาวครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 6-16 มิถุนายน 2566

พิเศษ! นักลงทุนสามารถเปิดบัญชีเพื่อลงทุนผ่าน abrdn mobile application ได้แล้ววันนี้ เพียงค้นหา abrdn บน App Store หรือ Play Store สำหรับนักลงทุนที่เปิดบัญชีสำเร็จภายในวันนี้ - 30 มิถุนายน 2566 จะได้รับ Starbucks E-voucher มูลค่า 200 บาท (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)

หนึ่งในภารกิจหลักหลังการควบรวมทรู-ดีแทค คือ การส่งมอบเครือข่ายสัญญาณที่ดียิ่งกว่า ครอบคลุมยิ่งขึ้นทั่วไทย โดยที่ผ่านมา การติดตั้งเสาสัญญาณ นอกเหนือจากจะต้องเป็นไปตามกฎระเบียบที่กสทช.กำหนดไว้แล้ว ทุกพื้นที่ที่ทรูและดีแทคติดตั้งเสาสัญญาณจะมีการนำปัจจัยเรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ หรือ Biodiversity มาใช้ในการวางแผน โดยทีมปฏิบัติการจะทำการสำรวจสิ่งมีชีวิตนานาพันธุ์ในระบบนิเวศรอบพื้นที่เสาสัญญาณ ควบคู่กับการปลูกต้นไม้เพื่อให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยสมบูรณ์ของสัตว์และพันธุ์พืช เพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะไม่ก่อให้เกิดความสูญเสียคุณค่าด้านความหลากหลายทางชีวภาพสุทธิ และไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้สุทธิ ภายในปี 2573 สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ หรือ SDGs “เป้าหมายที่ 15 ปกป้อง ฟื้นฟู และส่งเสริมการใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน” โดยมีกระบวนการที่ชัดเจน ตั้งแต่

1. คัดกรองและคัดเลือกพื้นที่ตั้งเสาสัญญาณ หากพิจารณาว่าพื้นที่โดยรอบที่ตั้งเสาสัญญาณนั้นมีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็น สัตว์สายพันธุ์เล็ก สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ ความหลากหลายของพันธุ์พืช ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ ก็จะส่งประเมินความเสี่ยงต่อไป

2. ประเมินและจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่เสี่ยง โดยนำไปประเมินเชิงลึกผ่านโปรแกรมมาตรฐานระดับโลก คือ Biodiversity and Ecosystem Services Trends and Conditions Assessment Tool (BESTCAT) เพื่อทำการคัดกรองพื้นที่อ่อนไหว ซึ่งมีมาตรกำหนดวัดระดับความรุนแรงของผลกระทบตั้งแต่ต่ำสุดถึงสูงสุดที่ 0 – 100 อาทิ มีชนิดพันธุ์ถูกคุกคามมากน้อยแค่ไหนในพื้นที่รัศมี 10 ตารางกิโลเมตรจากเสาสัญญาณที่ติดตั้ง

3. ดำเนินตามแผนแก้ไข ป้องกัน เพื่อลดผลกระทบ โดยยึดหลักบรรเทาผลกระทบตามลำดับชั้น ตั้งแต่ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจส่งผลกระทบ ลดผลกระทบที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ฟื้นฟูสภาพพื้นที่ด้วยการปลูกพรรณไม้ท้องถิ่น และชดเชยด้วยการปลูกต้นไม้นอกพื้นที่โครงการ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ทั้งทรูและดีแทคได้ดำเนินการในพื้นที่ที่ใกล้ชิดแหล่งธรรมชาติ คือการจัดทำเสาสัญญาณที่ออกแบบเป็นเสาต้นไม้ เพื่อให้กลมกลืนกับทัศนียภาพ เข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบข้างและแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้อยใหญ่

4. สร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนโดยรอบ โดยชักชวนผู้มีส่วนได้เสียเข้าร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ส่งเสริมการปลูกต้นไม้ในสังคมยุคดิจิทัลเพื่อสร้างแหล่งที่อยู่อันอุดมสมบูรณ์ให้แก่สิ่งมีชีวิตผ่านแอป We Grow โดยในปี 2564 ได้สร้างพื้นที่สีเขียวได้ถึง 165 ไร่ และคาดว่าจะดูดซับก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ถึง 2,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2573

จากผลการศึกษาในปี 2564 พบว่ามีพื้นที่เสาสัญญาณที่อาจอยู่ในระดับเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพ คิดเป็นสัดส่วนที่ 0.38% ซึ่งจะต้องนำไปประเมินเพิ่มเติม พร้อมหารือผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนดำเนินการแก้ไข ป้องกัน และลดผลกระทบอย่างเคร่งครัด

X

Right Click

No right click