December 16, 2025

สมาคมโรงแรมไทย สมาคมภัตตาคารไทย และ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผสานพลังสร้างกลยุทธ์ สร้างการท่องเที่ยวมูลค่าสูงขับเคลื่อนเร็ว จับกระแส Maga Trend ส่งเสริม Soft Power อาหารไทย พร้อมร่วมมือจัดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 ดึงผู้ผลิตสินค้า บริการและโซลูชั่นระดับโลก ร่วมโชว์ผลิตภัณฑ์ใหม่ นวัตกรรม-เทคโนโลยีล่าสุด คาดปีนี้มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 28,000 คน

ในงานเสวนาพิเศษ “รวมพลังสร้างกลยุทธ์เพิ่มมูลค่า เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย” ซึ่งร่วมกันจัดขึ้นโดย สมาคมโรงแรมไทย สมาคมภัตตาคารไทย และ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย พร้อมแถลงความร่วมมือการจัดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 โดยเนื้อหาในการเสวนากล่าวถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ขับเคลื่อนได้รวดเร็ว เป็นอีกกลยุทธ์สำคัญของการท่องเที่ยวไทย โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ประกอบการในภาคท่องเที่ยวทั้งระบบ

นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวถึงแนวโน้มของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตขณะนี้ว่า เป็นกลุ่มการท่องเที่ยวพร้อมทำงาน (Work from Anywhere) ซึ่งเป็นวิถีชีวิตและการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ยึดติดกับสถานที่ คนเหล่านี้เรียกว่า Digital Nomad มักเลือกแหล่งท่องเที่ยวที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ ค่าครองชีพไม่สูง อากาศดี มาตรการวีซ่าไม่ยุ่งยาก และจะใช้เวลาการท่องเที่ยวนานกว่านักท่องเที่ยวปกติ ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในจุดหมายของการท่องเที่ยวของคนกลุ่มนี้ ส่วนแนวโน้มการท่องเที่ยวของโลกนั้น การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Travel) กลายเป็นกระแสหลักที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตระหนักถึงและช่วยกันผลักดันให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าสู่ระบบนิเวศ (Ecosystem) เดียวกัน ดังนั้นภาครัฐและผู้ประกอบการไทยต้องเร่งส่งเสริมเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดขยะ ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า รักษาแหล่งท่องเที่ยวและธรรมชาติให้สมบูรณ์ หากเราทำได้ดีก็จะมีแต้มต่อในการสนับสนุนการท่องเที่ยวไทยจากทั่วโลกและยังส่งผลดีต่อทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวด้วย

สำหรับการสนับสนุนและร่วมจัดงาน Food & Hospitality Thailand นั้น ถือเป็นวาระสำคัญของสมาคมฯ เพราะนอกจากจะได้ติดตามแนวโน้มการท่องเที่ยว พบกับสินค้าและบริการจากบริษัทชั้นนำแล้ว ปีนี้ยังเป็นปีพิเศษฉลองครบรอบ 60 ปี ของสมาคม พร้อมมีการจัดประชุมใหญ่ประจำปีและกิจกรรมให้ความรู้กับสมาชิกและผู้สนใจ โดยร่วมกับ มูลนิธิใบไม้สีเขียว ในหัวข้อเกี่ยวกับการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การคำนวณคาร์บอนในการเข้าพัก การลดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน รวมถึงการจัด Hospitality Digital Day ที่พูดถึง Digital Marketing สำหรับธุรกิจโรงแรมทุกแง่มุม การแข่งขัน Thailand & AHRA ASEAN Hotel Bartenders’ Championships 2023 เพื่อพัฒนาทักษะพนักงานบาร์เทนเดอร์โรงแรมด้วย

 

นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวถึง การส่งเสริมอาหารไทยให้เป็น Soft Power ด้านการท่องเที่ยวไทยว่า อาหารไทย (Food) เป็นหนึ่งใน 5F ของ Soft Power เป้าหมายที่ ททท. วางไว้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านความอุดมสมบูรณ์ของวัฒนธรรมอาหารไทย หรือ การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) ซึ่ง 20% ของค่าใช้จ่ายที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจ่ายในการท่องเที่ยวไทยมาจากอาหาร โดยในปี 2562 นักท่องเที่ยวต่างชาติมีการใช้จ่ายด้านอาหารในไทยสูงถึง 6 แสนล้านบาท ซึ่งในการการพัฒนาอาหารไทยให้เป็น Soft Power นั้น ต้องร่วมกันสร้างมาตรฐานพัฒนาทั้งระบบ ทั้งด้านสาธารณสุข ความสะอาด ปลอดภัย รสชาติ ฯลฯ รวมถึงประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อที่เข้าถึงง่าย อาทิ ภาพยนตร์ ซีรีย์ ดารานักร้อง รายการอาหาร และรางวัลอาหารระดับโลก อาหารไทยมีข้อได้เปรียบหลายด้าน ทั้งอาหารไทยแท้และเกิดจากการผสมผสานหลายวัฒนธรรมดัดแปลงร่วมกับวัตถุดิบท้องถิ่นจนมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ โดยปีนี้อาหารไทยติด 10 Best Rated Curries ถึง 5 อันดับ ได้แก่ แกงพะแนง ข้าวซอย แกงเขียวหวาน แกงมัสมั่น และแกงส้ม ความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นเสน่ห์ที่ชวนให้หลงไหลและทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพื่อสัมผัสกับรสชาติที่แท้จริงของอาหารเหล่านี้

ส่วนการจัดงาน Food & Hospitality Thailand นั้น สมาคมฯ ให้การสนับสนุนมาตลอด มีการเชิญสมาชิกให้เข้าร่วมงานเพื่อหาความรู้รับทราบแนวโน้มธุรกิจใหม่ๆ พร้อมร่วมประชุมและร่วมกิจกรรม โดยกิจกรรมที่น่าสนใจปีนี้ คือ การเชิญวิทยากรที่เป็นนักธุรกิจอาหาร ซึ่งประสบความสำเร็จ มาสร้างแรงบันดาลใจ แนะนำการบริหารและการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ จึงขอเชิญให้ผู้สนใจติดตามและเข้าร่วมกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในครั้งนี้

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า งาน Food & Hospitality Thailand มีเป้าหมายการในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้เป็นกำลังสำคัญของธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวของโลก แต่เราจะสร้างความประทับใจ สร้างแรงดึงดูดใจ และรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้อย่างไร การจัดงาน Food & Hospitality Thailand แต่ละครั้งผู้จัดงานจึงต้องทำงานกันอย่างหนัก ทั้งรวบรวมฐานข้อมูลการจัดงานและผู้ประกอบการจากทั่วโลกมาประมวลผลสรุปเป็นแนวทางจัดงาน พร้อมนำเสนอแนวโน้ม ทิศทาง และโอกาสใหม่ๆ ของธุรกิจการท่องเที่ยวให้แก่ผู้เข้าร่วมงานได้รับทราบ เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ธุรกิจก่อนเสมอ

สำหรับแนวคิดในการจัดงานฯ ครั้งนี้ คือ เชื่อมโยงสู่อนาคต (Connecting the Future) เนื่องจากปีนี้การท่องเที่ยวมีการเดินหน้าต่อเนื่องหลังฟื้นตัวจากช่วงโควิด ทำให้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยถึง 30 ล้านคน ด้วยสัญญาณบวกนี้ส่งให้งานฯ ปีนี้มีความสำคัญมากขึ้น ผู้ประกอบการต่างมองหาผลิตภัณฑ์ บริการ และโซลูชั่นระดับพรีเมียมไว้รองรับและสร้างความพึ่งพอใจให้กับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามามากขึ้นในช่วงปลายปีนี้และปีหน้า ทั้งยังเป็นการขานรับและดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกันกับกลยุทธ์ที่ทาง ททท. และ องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยววางไว้

ดังนั้นงาน Food & Hospitality Thailand 2023 จึงได้รับความสนใจจากผู้ผลิตสินค้าและบริการระดับพรีเมียมในการเข้าร่วมจัดแสดงงานกว่า 2,000 แบรนด์ จาก 20 ประเทศทั่วโลก ในโซนต่างๆ ของการจัดงานฯ ได้แก่ Coffee & Bakery Thailand (CBT), Restaurant & Bar Thailand (RBT) และ 2 โซนใหม่ Shop & Retail Thailand (SRT), และ Cleaning

Hygiene Thailand (CHT) ที่เกิดขึ้นครั้งแรก ส่วนความพิเศษในปีนี้ คือ การจับมือกับพันธมิตรรายใหญ่ยักษ์ใหญ่จากจีน ที่นำงาน Hotel & Shop Plus Thailand งานแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์สำหรับการออกแบบตกแต่งอาคาร โรงแรมและพื้นที่เชิงพาณิชย์ มาร่วมจัดแสดง นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมงานสัมมนา การประชุม เวิร์กชอป และการแข่งขันที่น่าสนใจมากมาย อาทิ สัมมนาพิเศษจาก ททท. หัวข้อ “โอกาสการเติบโตของธุรกิจอาหารออร์แกนิกและความเป็นคลังอาหารของประเทศไทย รวมถึงการเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism)”, การแข่งขันทำอาหาร Thailand's 27th International Culinary Cup (TICC), การแข่งขัน Latte Art และ Coffee in Good Spirits, การทำเบเกอรี่ ไอศกรีม ศิลปะการตกแต่งอาหาร บาริสต้าและบาเทนเดอร์เวิร์กชอป ฯลฯ โดยการจัดงานฯ ครั้งนี้คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 28,000 คน

โดยงาน Food & Hospitality Thailand 2023 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-26 สิงหาคม 2566 ณ ฮอลล์ 1-3 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจรายละเอียดการจัดงานฯ สามารถติดตามข้อมูลได้ที่ www.fhtevent.com

บริษัท จีไอเอส จำกัด ในกลุ่มบริษัทซีดีจี (CDG) ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ บริษัท การ์มิน (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าสร้างความสัมพันธ์สมาชิก ผนึก MAAI by KTC สร้างสรรค์ระบบ Loyalty Program แพลตฟอร์มพร้อมใช้แบบครบวงจร ตอบโจทย์สมาชิกยุคดิจิทัล และไลฟ์สไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของ GARMIN ด้วย 3 โซลูชั่น มัดใจสมาชิกนักกีฬาพร้อมขยายฐานสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจใน Active Lifestyle ด้วยสิทธิพิเศษและกิจกรรมมากมาย เพิ่มความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้ GARMIN by GIS เป็นเพื่อนข้างกายตามติดไปในทุกที่ ทุกกิจกรรม ตอกย้ำผู้นำสมาร์ทวอทช์อันดับหนึ่งของเมืองไทยอย่างแท้จริง

 

นายไกรรพ เหลืองอุทัย ประธานบริษัท “GIS” หรือ บริษัท จีไอเอส จำกัด ในกลุ่มบริษัทซีดีจี (CDG) กล่าวว่า “GIS ในฐานะที่เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการของแบรนด์ GARMIN ผู้นำสมาร์ทวอทช์สำหรับกีฬาและไลฟ์สไตล์อันดับหนึ่งของเมืองไทย เดินหน้าพัฒนาจุดแข็งตลอดระยะเวลา 28 ปีที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เปิดกลยุทธ์ขยายฐานตลาดฐานการตลาดแบรนด์ GARMIN ให้กว้างขึ้น สู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจใน Active Lifestyle พร้อมกันนี้ยังให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าหลักที่ให้ความไว้วางใจ และมุ่งตอบแทนความมั่นใจที่ลูกค้ามีให้แก่เรามาอย่างยาวนาน จึงได้ร่วมมือกับ MAAI by KTC เปิดตัว Loyalty Program เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้าและผู้ใช้งาน GARMIN ด้วยเป้าหมายที่ต้องการทำความรู้จักลูกค้าในมุมมองต่างๆ ให้ลึกซึ้งมากขึ้น รวมไปถึงศึกษาทำความเข้าใจไลฟ์สไตล์ ความชื่นชอบ และความสนใจ อาทิ เทรนด์ด้านสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยม เพื่อพัฒนากิจกรรมหรือออกแบบสร้างสรรค์งาน และผลิตภัณฑ์ ที่มอบประสบการณ์พิเศษตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงใจที่สุด”

“สำหรับความร่วมมือกับ MAAI by KTC ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ดำเนินธุรกิจบัตรเครดิตมาอย่างยาวนาน มีความโดดเด่นด้านความแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญเรื่องการทำระบบคะแนนสะสม ได้ขยายขอบเขตธุรกิจมาสู่การสร้างระบบ Loyalty Platform GIS จึงมีความมั่นใจมอบหมายให้ MAAI by KTC ช่วยในการจัดการ Platform เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างครบวงจร ซึ่งถือว่าตอบโจทย์ในทุกๆ ด้าน อาทิ การใช้งานที่

สะดวก และสิทธิพิเศษที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ และทุกพื้นที่ทั่วประเทศ Platform นี้จะเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญในการเชื่อมความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน และเปิดโอกาสให้ลูกค้า GARMIN by GIS พบประสบการณ์พิเศษผ่านกิจกรรมต่างๆ และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์สมาร์ทวอทช์ชั้นนำ พร้อมอัพเดท เทรนด์เทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ด้าน Active Lifestyle ในหมู่ลูกค้าและผู้สนใจที่รักในการดูแลสุขภาพ ที่เชื่อมั่นและให้ความไว้วางใจให้ GARMIN by GIS เป็นเพื่อน (buddy) ข้างกาย ที่ติดตัวได้ในทุกที่ ทุกกิจกรรมที่ทำ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของชีวิตอย่างครบถ้วน”

 

นางประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “MAAI by KTC” เป็นระบบที่ช่วยธุรกิจสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าสมาชิกในการสะสมคะแนน และเป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนในการทำ CRM ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในยุคดิจิทัล ด้วย One Stop Service ที่ให้บริการด้านการสร้างสรรค์แพลตฟอร์มแบบพร้อมใช้ครบวงจรในกระบวนการแบบ end-to-end ที่มาพร้อมกับเครือข่ายร้านค้าที่รองรับการแลกคะแนนมากมาย บนช่องทางที่หลากหลาย ทั้งรูปแบบ B Scan C อาทิ QR Code / Barcode หรือช่องทางออนไลน์ e-Commerce ต่างๆ และรูปแบบ C Scan B ที่ลูกค้าสามารถแลกคะแนนเพื่อเป็นส่วนลด ณ ร้านค้า ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของการช้อปปิ้ง ทั้งหมดนี้สะท้อนความแข็งแกร่งของเครือข่ายพันธมิตรของ MAAI by KTC ที่จะทำให้ Ecosystem ทั้งหมดสมบูรณ์แบบ สร้างความแข็งแกร่งให้ระบบ Loyalty Platform ที่จะสามารถต่อยอดกันได้ไม่สิ้นสุด ด้วย 3 โซลูชั่น ได้แก่ Membership Management Point System Management และ E-Coupon Management โดยบริการที่ให้ GARMIN by GIS เป็นโซลูชั่นที่ Customize ให้เฉพาะทาง เพื่อตอบโจทย์รูปแบบธุรกิจที่ต้องการออกแบบสร้างสรรค์งาน และเลือกสรรผลิตภัณฑ์ ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างสูงที่สุด การทำ Loyalty Platform น่าจะเป็นอีกทางเลือก ที่ช่วยให้การต่อยอดธุรกิจได้เป็นอย่างดี ตอบโจทย์การทำธุรกิจที่ต้องเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ พร้อมสร้างความสำเร็จให้กับองค์กรอย่างรวดเร็วและยั่งยืน”

 

นางสาววรรณกร มัณฑนาจารุ แฟนพันธุ์แท้ GARMIN ตัวแทนคนรุ่นใหม่สายสปอร์ตและไลฟ์สไตล์ กล่าวว่า “GARMIN เป็นแบรนด์ที่มีจุดแข็งเรื่องของสินค้าที่มีคุณภาพ มีฟีเจอร์ที่ตรวจวัดค่าต่างๆ ของร่างกาย และฟังก์ชันการออกกำลังกายที่ครบครัน สามารถประมวลผลออกมาได้ถูกต้องแม่นยำ ที่สำคัญเรื่องที่ยืน 1 ในใจ คือของระยะเวลาแบตเตอรี่ที่อยู่ได้นานไม่ต้องชาร์จทุกวัน ที่เคยใช้มา 3 เรือน ก็อยู่ได้เกิน 1 สัปดาห์ มีหลากหลายรุ่นให้เลือกตามลักษณะการใช้งาน รวมถึงการออกแบบคอลเล็คชันใหม่ๆ มาได้ทันสมัยและตอบโจทย์การใช้งานมากยิ่งขึ้นด้วย จากที่มีโอกาสทดลอง Membership Program ผ่าน Line OA : @GarminByGIS ก็ไม่ยุ่งยาก เข้าไปตรง Membership กดลงทะเบียน ก็เริ่มสะสมคะแนนจากการสั่งซื้อตั้งแต่ครั้งแรกได้เลย ตอบโจทย์การใช้งานที่ง่าย รวดเร็ว มีกิจกรรม และสิทธิพิเศษที่โดนใจสาวก GARMIN อย่างแน่นอน”

อุตสาหกรรมกระดาษฝ่ากระแสคลื่นดิจิทัล หลังสัญญาณดี ความต้องการเพิ่ม สร้างการเติบโตต่อเนื่อง จากภาคการผลิตที่มีกระดาษเป็นส่วนประกอบ การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ การขนส่งและบรรจุภัณฑ์ ฯลฯ ล่าสุดองค์กรที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกระดาษทั้งไทยและนานาชาติร่วม อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย จัดงานใหญ่ระดับภูมิภาค ASEAN Paper Bangkok 2023 ดึงผู้ประกอบการทั่วโลกแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ เจรจาการค้า พร้อมโชว์ศักยภาพอุตสาหกรรมกระดาษไทย ภายใต้แนวคิด เทคโนโลยีการผลิตกระดาษเพื่อความยั่งยืนและโซลูชั่นสำหรับธุรกิจในอนาคต

นายวัชชระ ชินเศรษฐวงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษไทย กล่าวถึง สถานการณ์ของอุตสาหกรรมกระดาษและเยื่อกระดาษของไทยและต่างประเทศในปีนี้ว่า ยังเป็นไปในแนวทางเดียวกัน คือ ยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่ถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว เห็นได้จากปริมาณการใช้กระดาษของไทยในไตรมาส 3 และ 4 ของปีที่แล้ว (2565) เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 และ 2 ของปีนี้ มีการเติบโตขึ้นและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก โดยกลุ่มกระดาษที่นำมาทำบรรจุภัณฑ์ หรือ กระดาษคราฟท์ ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของการผลิต กว่า 80% มาจากวัตถุดิบที่ได้จากการรีไซเคิลกระดาษปีละหลายล้านตัน ซึ่งผู้ผลิตกระดาษไทยหลายรายมีการใช้วัตถุดิบที่ได้จากการรีไซเคิลสูงกว่า 90% แต่ยังไม่เพียงพอจนต้องนำเข้าเศษกระดาษเพื่อรีไซเคิลสูงถึง 40% ขณะที่กระดาษใช้แล้วของไทยได้รับคัดแยกเข้าระบบเพียง 60% ถ้ามีการปลูกฝังให้มีการแยกขยะได้ดียิ่งขึ้น ก็จะช่วยลดปริมาณขยะและนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น ด้วยเหตุนี้อุตสาหกรรมกระดาษควรได้รับการส่งเสริมมากขึ้น เพราะนอกจากจะสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

ส่วนการใช้งานกระดาษนั้น ประเทศที่มีการพัฒนาแล้วจะใช้มากกว่าประเทศที่ยังไม่พัฒนา ประเทศที่เจริญแล้วจะมีการใช้กระดาษมากกว่า 100 กิโลกรัม / คน / ปี ส่วนในอาเซียนอย่างสิงคโปร์และมาเลเซียมีการใช้กระดาษเกือบ 100 กิโลกรัม / คน / ปี แต่ในไทยมีการใช้งานกระดาษอยู่เพียง 75 กิโลกรัม / คน / ปี จึงยังมีช่องว่างในการพัฒนาตลาดอีกมาก แต่ก็ถือเป็นโชคดีที่เรามีการผลิตกระดาษที่ครบวงจร เพียงพอต่อการใช้งาน และการแข่งขันไม่สูง ทำให้ราคากระดาษภายในประเทศไม่สูงจนเกินไป

สำหรับงาน ASEAN Paper Bangkok 2023 ที่จะเกิดขึ้นนั้น เป็นงานสำคัญของอุตสาหกรรมกระดาษโลก มีผู้ประกอบการ บริษัทชั้นนำ และผู้มีบทบาทสำคัญมาร่วมงานจำนวนมาก เป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการที่จะได้พบกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก ได้แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ เจรจาธุรกิจ และนำเสนอความสามารถ

ในการผลิตผลิตภัณฑ์ และบริการแก่ลูกค้าที่มาร่วมงานด้วย ซึ่งสมาคมฯ ได้สนับสนุนการจัดงานฯ โดยเชิญสมาชิกสมาคมซึ่งมีกำลังการผลิตรวมแล้วกว่า 90% ของกำลังการผลิตกระดาษทั้งประเทศให้เข้าร่วมงาน รวมถึงทางสมาคมยังได้ร่วมออกบูทจัดแสดงงาน นำเสนอศักยภาพ และเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนสำหรับอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษไทยอีกด้วย

นายปณิธาน มีสวัสดิ์ ผู้จัดการฝ่ายขายส่วนภูมิภาค บริษัท วอยท์ เปเปอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด หนึ่งในบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมกระดาษระดับโลก ซึ่งดำเนินธุรกิจอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ กล่าวถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมกระดาษว่า วันนี้กระดาษเป็นคำตอบและทางออกของโลกในความต้องการลดการใช้พลาสติกลง เป็นอีกเหตุผลที่เสริมให้อุตสาหกรรมกระดาษมีการเติบโต สำหรับประเทศไทยแม้ตลาดจะมีความอิ่มตัว แต่ผู้ประกอบการไทยได้รุกอีกก้าวในการเข้าไปขยายธุรกิจและขยายตลาดในต่างประเทศ โดยเข้าไปลงทุนในประเทศกลุ่มอาเซียนที่มีศักยภาพสูงอย่าง อินโดนีเซีย เวียดนาม ซึ่งนอกจากจะมีจำนวนประชากรมากแล้ว ยังสามารถผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าของประเทศที่เข้าไปลงทุนได้อีกด้วย

ดังนั้น งาน ASEAN Paper Bangkok 2023 จึงไม่ใช่แค่งานสำคัญของไทยหรือภูมิภาค แต่เป็นงานสำคัญระดับโลกที่คนในอุตสาหกรรมให้ความสำคัญ เพราะอาเซียนเป็นแหล่งผลิตกระดาษอันดับต้นของโลก โดยมีไทยเป็นฮับ (Hub) หรือ ศูนย์กลางของภูมิภาคและอุตสาหกรรม ส่วนอีกกิจกรรมที่น่าสนใจภายในงาน คือ การบรรยายในหัวข้อ New standards in dewatering with FloWing disc filter ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตกระดาษ โดยเฉพาะทรัพยากรน้ำ รวมถึงการลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต

การจัดงาน ASEAN Paper Bangkok 2023 นั้น นายธัชพล วงษ์รักษา รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า งานนี้เป็นการพัฒนาและขยายการจัดงาน Tissue & Paper Bangkok ที่จัดขึ้นในปีที่ผ่านมา (2565) และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทำให้ในปีนี้มีการขยายพื้นที่การจัดงานให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับผู้ต้องการเข้าร่วมจัดแสดงงานและเยี่ยมชมงานที่มากขึ้น รวมถึงเปลี่ยนชื่อการจัดงานเป็น ASEAN Paper Bangkok เพื่อให้ครอบคลุมทุกส่วนของอุตสาหกรรมกระดาษ พร้อมยกระดับการจัดงานให้เป็นงานสำคัญระดับภูมิภาค โดยสิ่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้ คือ พื้นที่จัดแสดงงานในกลุ่มกระดาษลูกฟูกและกระดาษรีไซเคิล (Corrugated and Paper Recycling) ที่สอดคล้องกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมและทิศทางการเติบโตของความต้องการผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในการจัดงานครั้งนี้ จะมีบริษัทชั้นนำจากทั่วโลกเข้าร่วมจัดแสดงงานกว่า 200 ราย และมีผู้เข้าร่วมชมงานมากกว่า 3,000 ราย

สำหรับแนวคิดการจัดงานครั้งนี้ คือ “เทคโนโลยีการผลิตกระดาษเพื่อความยั่งยืนและโซลูชั่นสำหรับธุรกิจของอนาคต” (Sustainable Paper Production Technology & Solution for Future Business) เนื่องจาก

อุตสาหกรรมกระดาษเป็นหนึ่งของอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของโลก แม้สองทศวรรษที่ผ่านมีความกังวลว่ากระดาษจะถูกลดความสำคัญลงจากกระแสดิจิทัล แต่จากการเติบโตและความต้องการกระดาษเพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์และชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่องเป็นข้อพิสูจน์ว่ากระดาษยังมีความสำคัญ โดยได้พัฒนาปรับตัวไปในหลายรูปแบบสอดคล้องไปกับวิถีชีวิตใหม่ เทคโนโลยี และสังคมที่มีความเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งแนวคิดของการผลิตและการใช้งานของกระดาษยุคใหม่ นอกจากจะต้องตอบสนองในเชิญพาณิชย์แล้ว ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

สำหรับงาน ASEAN Paper Bangkok 2023 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม - 1 กันยายน 2566 ณ ฮอลล์ 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.aseanpaperbangkok.com

จากเหตุการณ์คานสะพาน ข้ามแยกลาดกระบังถล่มระหว่างการก่อสร้าง ตามที่เป็นข่าวดัง เมือวันที่ 10 กรกฏาคม 2566 นั้น  ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย เผยว่า สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่และซากสะพานที่ถล่มลงมา เพื่อรวบรวมข้อมูลและตั้งสมมุติฐานสาเหตุที่เป็นไปได้ในทางวิชาการ ซึ่งจากข้อมูลที่ได้รับ นำไปสู่สมมุติฐานทฤษฎีการพังถล่มของสะพาน โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็น ได้แก่

1. จุดตั้งต้นหรือโดมิโนตัวแรก

2. สมมุติฐานสาเหตุของการพังถล่ม และ

3. บทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์ 

ประเด็นที่ 1 จุดตั้งต้นหรือ โดมิโนตัวแรก คือจุดตั้งต้นของการพังถล่ม เนื่องจากการพังถล่มเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรุนแรง โดยเริ่มจากจุดใดจุดหนึ่งก่อน แล้วลุกลามไปสู่ส่วนอื่นๆเป็นทอดๆ จนโครงสร้างทั้งหมดถล่มลงมา สำหรับในประเด็นนี้ คาดว่าน่าจะเกิดจากการพังถล่มของคานสะพานก่อน จากนั้นนำไปสู่การพังทลายของเสาต้นกลาง ทำให้โครงเหล็กเสียจุดรองรับและร่วงลงมา และดึงรั้งให้เสาต้นหน้าหักลงมาในท้ายที่สุด

ประเด็นที่ 2 ข้อสมมุติฐานสาเหตุการพังถล่ม ในประเด็นนี้มีการตั้งสมมุติฐานไว้เป็น 2 แนวคิด โดยแนวคิดแรกเห็นว่า การวิบัติเกิดขึ้นในขณะดึงลวดอัดแรง ซึ่งขั้นตอนนี้จะสร้างแรงอัดมหาศาลเข้ากับตัวสะพาน ทำให้เกิดการวิบัติของคอนกรีตที่บริเวณรอยต่อ (Wet Joint) ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดอ่อน เพราะขณะนั้นคอนกรีตอาจจะยังพัฒนากำลังรับน้ำหนักไม่เต็มที่ เมื่อรอยต่อพังทลาย ก็จะทำให้เกิดการกระจายแรงมหาศาลไปสู่บริเวณอื่นแทน ซึ่งเกินกว่าที่สะพานจะรับน้ำหนักได้ จึงเกิดการพังทลายต่อเนื่องไปในลักษณะคล้ายการล้มของโดมิโน (Domino Effect)

ส่วนแนวคิดที่สองเห็นว่า ตำแหน่งจุดรองรับของโครงเหล็ก (Launcher) ที่ตั้งอยู่บนสะพานคอนกรีตอาจจะไม่เป็นไปตามแบบ หรือโครงเหล็กมีการเคลื่อนที่ไปในตำแหน่งที่ไม่ได้มีการคำนวณ หรือรีบเคลื่อนที่ไปก่อนที่จะดึงลวดอัดแรงครบถ้วน เลยทำให้บางจังหวะ โครงเหล็กอาจจะไปเหยียบบนปลายยื่นของสะพานหรือตำแหน่งอื่นที่สร้างแรงดัดมหาศาลในคานสะพาน จนทำให้ทั้งคาน และ เสาหัก จากนั้นโครงเหล็กจึงร่วงตามลงมา  การจะสรุปสาเหตุที่แท้จริงว่าจะเป็นตามแนวคิดใด หรืออาจจะเป็นร่วมกันทั้งสองแนวคิด หรืออาจจะมีแนวคิดอื่นๆอีกหรือไม่ ต้องอาศัยหลักนิติวิศวกรรมศาสตร์ (Forensic Engineering) โดยเป็นการวิเคราะห์ย้อนกลับจากซากอาคาร แล้วเชื่อมโยงกับข้อมูลต่างๆ ได้แก่ แบบ รายการคำนวณ ขั้นตอนการทำงาน ขั้นตอนการเคลื่อนที่ของโครงเหล็ก ตลอดจนคุณภาพของวัสดุที่ใช้ เช่น คอนกรีต ลวดอัดแรง และอื่นๆ

ประเด็นที่ 3 บทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ คือ โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ มีความเสี่ยงและอันตรายในทุกขั้นตอนของการก่อสร้าง หลักปฏิบัติทางวิศวกรรมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการ

ก่อสร้างนั้นมีอยู่แล้ว แต่อาจมีปัญหาในเรื่องการบังคับใช้และการตรวจสอบ ในปัจจุบันยังมีการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ลักษณะนี้อีกมาก และการพังถล่มแบบนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้อีก ในเชิงนโยบาย ภาครัฐจึงควรร่วมมือกับภาควิชาชีพ สร้างกลไกการตรวจสอบโครงการก่อสร้างอย่างจริงจัง เช่น การจัดให้มีคณะผู้ตรวจอิสระ ที่มีความรู้และอำนาจในการเข้าตรวจสอบโครงการก่อสร้างต่างๆ โดยเฉพาะโครงการที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน และต้องบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างเข้มงวด อีกทั้งต้องเอาจริงกับผู้ที่ย่อหย่อนไม่ปฏิบัติตามหลักวิศวกรรมและหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ต้องยึดถือเอาความปลอดภัยของสาธารณะเป็นเป้าหมายสูงสุดของการดำเนินโครงการ

ตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอให้ NUSA ชี้แจงข้อมูลโดยอ้างถึงงบการเงินในไตรมาสที่ผ่านมา 3 ประเด็นนั้น ทาง NUSA ขอชี้แจงในเบื้องต้น ดังนี้

1. รายการเข้าซื้อโรงแรมที่เยอรมนี

ในการเปลี่ยนเป็นเงื่อนไขการซื้อเดิมจากการซื้อทรัพย์สิน (โรงแรม รวมถึงสิทธิในใบรับรองใบอนุญาตต่างๆ ที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจโรงแรม ซึ่งได้ออกให้ไว้โดยถูกต้องตามกฏหมายของประเทศเยอรมัน รวมตลอดถึงสิทธิ ลิขสิทธิ์ ทรัพย์สินทางปัญญา เครื่องหมายการค้า ตราสินค้าของทรัพย์สินที่ซื้อขาย) เป็นการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท พานาซี แฟร์วาลทุงส์ จึเอ็มบีเฮช จำกัด (PNCV) ผู้ถือหุ้นใน บริษัท บาดิชเชอร์ โฮเทลแฟร์วัลทุงส์ จีเอ็มบีเฮช จำกัด (BHV) (เป็นเจ้าของทรัพย์ตามสัญญาซื้อทรัพย์สินเดิม)

เหตุที่บริษัทฯ ไม่รับเงินมัดจำคืนทันที เนื่องจาก ผู้ขายหุ้นใน PNCV คือบุคคลเดียวกับผู้ขายทรัพย์เดิม และปัจจุบันบริษัทได้รับการโอนกรรมสิทธิในหุ้น PNCV (เจ้าของโรงแรม) มาเป็นของบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

2. รายการเกี่ยวกับบริษัท มอร์ มันนี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ในธุรกิจจัดคอนเสิร์ต Rolling Loud Thailand

ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาบริษัทได้รับชำระค่าหุ้นจำนวน 1.5 ล้านบาทแล้ว ยังคงเหลืออีกจำนวน 57.5 ล้านบาท โดยได้รับแจ้งขอขยายเวลาชำระคืนเงินเพิ่มทุนและเงินมัดจำ จำนวนรวม 57.5 ล้านบาท นั้น เนื่องจากทางมอร์ มันนี่ ใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบรายการค่าใช้จ่ายต่างๆในการจัดคอนเสิร์ต Rolling Loud Thailand 2023 ยังไม่แล้วเสร็จ ทางมอร์ มันนี่จึงขอขยายระยะเวลาออกไปอีก 90 วัน ทั้งนี้บริษัทยังมีการคิดดอกเบี้ยในเงินส่วนที่ให้มีการขยายระยะเวลาดังกล่าวด้วย

3. ความสามารถของกลุ่มบริษัทในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง กรณีเจ้าหนี้ค่างานก่อสร้างของบริษัท ณุศา เลเจนด์ สยาม จำกัด (Legend Siam) โดย China International Economic and Trade Arbitration Commission มีคำชี้ขาดข้อพิพาทให้บริษัทชำระหนี้ของ Legend Siam ซึ่ง ณุศา ถือหุ้น เพียง 50% นั้น

ข้อพิพาทในการชำระหนี้ข้างต้น ยังไม่เป็นเหตุให้ผิดนัดในมูลหนี้อื่น เนื่องจากยังไม่มีคำสั่งศาลเป็นที่สิ้นสุด โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างนัดสืบพยานทั้งสองฝ่ายในศาลแพ่ง หากคำพิพากษาสิ้นสุดให้บริษัทชำระหนี้ด้งกล่าว บริษัทฯมีแผนที่จะเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) ในวงเงินประมาณ 13,000 ล้านบาท ซึ่งจะเพียงพอในการชำระหนี้และการขยายงานในอนาคต ซึ่งอยู่ระหว่างการนำเสนอให้หน่วยงานเกี่ยวข้องพิจารณา

บริษัทมีความมั่นใจอย่างยิ่ง ว่า ภาระตามข้อพิพาทดังกล่าว มิได้กระทบต่อสภาพคล่องและการชำระคืนหนี้ต่าง ๆ ของบริษัทฯแต่อย่างใด

โรงพยาบาลวิมุต คิกออฟแคมเปญ “ViMUT Healthy 50Plus” สุขภาพในฝันหลังอายุ 50+เชิญชวนคนไทยวัยเก๋าเตรียมความพร้อมในเรื่องสุขภาพ เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างมีความสุข พร้อมจัดงาน “Healthy 50Plus Health Fair” เพื่อสร้างสุขภาพในฝันหลังอายุ 50+ ทั้งตระหนักรู้ถึงความสำคัญในการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ รู้เท่าทันโรคภัย พร้อมรับการรักษาได้อย่างทันท่วงที ช่วยลดปัญหาเรื่องการสูญเสีย ลดค่าใช้จ่าย และยกระดับคุณภาพชีวิตของทั้งผู้สูงวัยและสมาชิกในครอบครัว ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

กระทรวงสาธารณสุขไทยได้กำหนดให้ปี พ.ศ. 2566 เป็น “ปีแห่งสุขภาพสูงวัยไทย” เพื่อกระตุ้นเตือนให้ทุกคนทราบว่าประเทศของเราจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2572 จากรายงานของศูนย์วิจัยกสิกรไทย (Kasikorn Research Centre) การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนประชากรนี้ จะนำมาซึ่งความจำเป็นเร่งด่วนในด้านบริการสาธารณสุขและการสนับสนุนด้านสุขภาพที่ครอบคลุม

 

รพ.วิมุต จัดงาน Healthy 50Plus Health Fair ขึ้นเพื่อนำเสนอกิจกรรมต่างๆ มากมาย ทั้งการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงวัย การจัดบูธบริการให้คำปรึกษาและตรวจคัดกรองสุขภาพเบื้องต้นแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย อาทิ ตรวจวัดความดัน เจาะน้ำตาลปลายนิ้ว, ตรวจวัดลานสายตา, ตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก, ตรวจแสกนเท้า และตรวจวัดมวลไขมันในร่างกายด้วยเครื่อง Inbody (จำกัด 100 สิทธิ์/วัน) สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://register.vimut.com/healthy-50-plus นอกจากนี้ยังมีการบรรยายสุขภาพในหัวข้อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงวัยโดยแพทย์เฉพาะทางจากหลากหลายสาขา มาพร้อมกิจกรรมแจกของรางวัล และบูธจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพมากมาย และเอาใจวัยรุ่นยุค 90 ในวันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม เวลา 10.30 น. พบกับ มอส-ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ ที่จะมาร่วมสร้างความสุขและพูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพของคนวัยเก๋า บอกเลยว่าไม่ควรพลาด!

 

สำหรับโปรโมชันงาน Healthy 50Plus Health Fair เริ่มจำหน่ายตั้งแต่ 21 ก.ค. – 31 ส.ค. 2566 และสามารถใช้บริการได้ตั้งแต่ 21 ก.ค. – 30 ก.ย. 2566 หรือติดตามข่าวสารจากโรงพยาบาลวิมุตได้ที่เว็บไซต์ www.vimut.com; เฟซบุ๊ก: www.facebook.com/vimuthospital; อินสตาแกรม: vimut_hospital; ไลน์: @vimuthospital หรือโทร. 02-079-0000

 

LINE Corporation ประกาศได้รับการผ่านการรับรองมาตรฐาน OpenChain ISO/IEC 5230 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการปฏิบัติตามกฎข้อกำหนดด้านซอฟต์แวร์บนระบบโอเพนซอร์ส โดยโครงการ OpenChain เป็นหนึ่งในแคมเปญที่พัฒนาขึ้นโดย Linux Foundation ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกําไรชั้นนําที่มุ่งเน้นการส่งเสริมนวัตกรรมผ่านโอเพนซอร์สและเพื่อร่วมพัฒนาแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด รวมถึงกำหนดมาตรฐานต่าง ๆ สําหรับซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส ฮาร์ดแวร์ เกณฑ์มาตรฐาน และการจัดการข้อมูล

จากการได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 5230 ทำให้ LINE ได้รับการยอมรับทั่วโลกว่ามีการใช้งานที่มีการจัดการที่เป็นระบบและน่าเชื่อถือ โดยนักพัฒนาของ LINE จำนวนหลายพันคนทั่วโลก ที่ทำงานอยู่ในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม ต่างใช้งานและพัฒนาระบบโอเพนซอร์สตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ ทีมงานโอเพนซอร์สของ LINE ยังยึดหลักปฏิบัติงานตามกฎระเบียบหลักในการจัดการด้านโอเพนซอร์สอย่างเคร่งครัด

ก่อนหน้านี้ LINE ยังเคยนำเอาเทคโนโลยีที่พัฒนาเองภายในมาออกเป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สให้นักพัฒนาภายนอกได้ใช้งานอย่างเช่น Armeria ซอฟต์แวร์เฟรมเวิร์คที่ทำงานแบบ Asynchronous (ทำงานแบบไม่เป็นลำดับ) ซึ่งเป็น

เทคโนโลยีหลักของระบบแชทของ LINE นอกจากนี้ LINE ยังเป็นผู้สนับสนุนระดับซิลเวอร์ของ Apache Software Foundation ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกําไรของอเมริกาที่สนับสนุนด้านการพัฒนาโอเพนซอร์สตั้งแต่ปี 2022 โดยตั้งแต่ปี 2021 LINE ได้จัดงาน LINE Open Source Sprint ซึ่งเป็นกิจกรรมภายในที่นักพัฒนาระบบของ LINE สามารถเข้าร่วมในโครงการโอเพนซอร์สต่าง ๆ ได้เป็นเวลาถึงหนึ่งเดือน การจัดกิจกรรมเช่นนี้ไม่เพียงช่วยให้ LINE ได้มีโอกาสสนับสนุนการเติบโตของนักพัฒนาแบบรายบุคคล แต่ยังช่วยตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะสร้างวัฒนธรรมด้านโอเพนซอร์สที่เต็มไปด้วยความร่วมมือกับผู้ให้บริการระบบนิเวศโอเพนซอร์สต่าง ๆ ในทั่วโลก

สโนว์ ควอน CTO แห่ง LINE Plus กล่าวว่า “LINE มีประวัติความสำเร็จอันยาวนานในการบุกเบิกเทรนด์เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในทุกสาขา ได้แก่ ด้าน การส่งข้อความ, ปัญญาประดิษฐ์, บล็อกเชน และฟินเทค ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ เราจึงรักษามาตรฐานสูงสุดในการปฏิบัติตามข้อกําหนดและกฎเกณฑ์ของโอเพนซอร์สอย่างเคร่งครัด โดยการผ่านการรับรอง OpenChain ในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่แสดงถึงการยอมรับในความสามารถที่เรามีมาอย่างยาวนานในด้านนี้ และยังเป็นสัญญาณความมุ่งมั่นของเราในการก้าวไปข้างหน้าสู่การพัฒนาระบบโอเพนซอร์สที่ดียิ่งขึ้น”

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics มองว่า ผลจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงเป็นประวัติการณ์ในรอบหลายปี ทำให้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางที่มีอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมายังคงต่ำกว่าตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) อยู่ในระดับต่ำจนอาจติดลบได้ในหลายประเทศ รวมถึงไทยด้วย อย่างไรก็ดี การเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อให้เพียงพอที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงกลับมาเป็นบวกได้นั้น อาจจำเป็นต้องพิจารณาตัวแปรหรือองค์ประกอบด้านเศรษฐกิจและสังคมอื่นร่วมด้วย เพื่อรักษาสมดุลระหว่างระดับราคา เสถียรภาพทางการเงิน และการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว

ทั่วโลกขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่ทันเงินเฟ้อ ฉุดดอกเบี้ยที่แท้จริงต่ำถึงติดลบ

หลังจากเศรษฐกิจทั่วโลกส่งสัญญาณฟื้นตัวอีกครั้งจากภาวะอุปทานชะงักงัน (Supply Constraint) ของห่วงโซ่ผลิตหลักเริ่มคลี่คลาย ตลาดแรงงานฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังทรงตัวสูงต่อไปจากผลพวงความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน เหล่านี้มีส่วนสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อสูงกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารกลางทั่วโลก ส่งผลให้การดำเนินนโยบายจำเป็นต้องกลับทิศอย่างรวดเร็วหลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปได้ไม่นาน

นับแต่ต้นปี 2565 ธนาคารกลางหลายแห่งมีความพยายามใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อเนื่องเพื่อหยุดยั้งความร้อนแรงของเงินเฟ้อ แต่ผลจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงเป็นประวัติการณ์ในรอบทศวรรษ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (อัตราดอกเบี้ยหักลบอัตราเงินเฟ้อ) หรือ Real Interest Rate ยังอยู่ในระดับต่ำ เห็นได้จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันเทียบกับอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ทั้งปี 2566 พบว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในหลายประเทศต่ำจนติดลบ เช่น ญี่ปุ่น (-3.1%) เยอรมนี (-2.2%) อังกฤษ (-1.8%) และไทย (-0.5%) เป็นต้น

สำหรับประเทศไทย ล่าสุดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ซึ่งเป็นการขึ้นติดต่อกันเป็นครั้งที่ 6 สู่ระดับ 2.00% ในรอบการประชุมเดือนพฤษภาคม 2566 อีกทั้งยังส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 0.25% ในรอบการประชุมที่เหลืออีก 3 ครั้งในปีนี้ เพื่อให้เพียงพอที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงกลับมาเป็นศูนย์ (Neutral Rate) หรือเป็นบวก (Positive Rate) ได้อีกครั้ง

การเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อให้ Real Rate กลับมาเป็นบวก จะช่วยลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินจริงหรือ?

แท้ที่จริงแล้ว ไทยเคยประสบปัญหาอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5-6 ครั้งในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องหลังปี 2523 และเริ่มติดลบมาตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา สอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของพันธบัตร

รัฐบาลระยะยาวสหรัฐฯ ที่เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 0% ขณะที่อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นกลับติดลบอย่างมาก ส่วนในเยอรมนีและอังกฤษ อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของพันธบัตรรัฐบาลยังคงติดลบในทุกช่วงอายุที่ครบกำหนดไถ่ถอน (Maturity)

ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว สินทรัพย์ที่มีคุณภาพหรือมีความเสี่ยงต่ำอย่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มักให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงเฉลี่ยติดลบอยู่แล้วราว 0.5-2.0% ส่วนอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างกองทุนที่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) จะอยู่ที่ราว 1.0 -2.0% จึงไม่แปลกที่นักลงทุนจะมีพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทน (Search for Yield) ในภาวะตลาดการเงินตึงตัว จนอาจนำไปสู่ความกังวลที่จะเกิด “ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงิน” หรือ Financial Stability Risk

อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับสูงก็อาจทำให้สินทรัพย์เสี่ยงน่าสนใจขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นมากจากสภาพคล่องล้นระบบ ก่อนจะผันผวนและปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว หลังแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นเพิ่มความน่าสนใจให้กับผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ แต่ในทางกลับกัน อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงก็อาจทำให้ราคาต่อกำไรที่แท้จริงของหุ้นมีแนวโน้มต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็น (Undervalued) อันเนื่องจากมูลค่าที่แท้จริงของรายได้บริษัทจดทะเบียนจะลดลงตามการนำอัตราดอกเบี้ยมาเป็นตัวคิดลด (Discount) เพื่อทอนการเติบโตของรายได้และกระแสเงินสดในอนาคต บวกกับราคาหุ้นที่ปรับฐานลงไปมาก โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีที่เจอแรงเทขายอย่างหนักก่อนหน้านี้ ยิ่งทำให้สินทรัพย์เสี่ยงน่าสนใจมากขึ้น

นอกจากนี้ ภาวะการเงินโลกที่ตึงตัวขึ้นก็กลายเป็นความเสี่ยงต่อตลาดเกิดใหม่จากการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ (Outflow) โดยเงินทุนเคลื่อนย้ายมักแสวงหาผลตอบแทนที่ดีขึ้นจากการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางข้อจำกัดทางเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่หรือประเทศกำลังพัฒนาที่อาจยังไม่พร้อมจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ทันตามกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยยังค่อนข้างกว้าง จึงอาจเห็นเงินทุนไหลออกทั้งจากตราสารหนี้และแรงเทขายหุ้น จากความเปราะบางทางการเงินที่ยังคงเพิ่มขึ้นในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดเกิดใหม่ที่มีปัจจัยพื้นฐานอ่อนแอ เช่น เศรษฐกิจฟื้นช้า หนี้ต่างประเทศสูง ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบต่อเนื่อง หรือ ทุนสำรองระหว่างประเทศต่ำ เป็นต้น

ttb analytics ประเมินว่า เงินเฟ้อไทยได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา และเริ่มลดลงต่อเนื่องจนเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2566 นี้ ซึ่งล่าสุดในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานก็ปรับลดลงมาอยู่ที่ 0.23% และ 1.32% ตามลำดับ ทั้งนี้ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยในระยะต่อไปจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงมากในไตรมาสที่ 3 ตามผลของฐานสูงในปีก่อนหน้า (แม้มีแรงกดดันจากความเสี่ยง

ปรากฎการณ์เอลนีโญ) รวมไปถึงการผ่อนมาตรการดูแลค่าครองชีพของภาครัฐ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากทั้งปัจจัยภายในและนอกประเทศ ทำให้มีการส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 0.25% ในปีนี้ ซึ่งอาจดึงให้เศรษฐกิจไทยทั้งปีมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้าที่ 3.4%

มอง 3 ประเด็นความเสี่ยงเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางการส่งสัญญาณขึ้นของอัตราดอกเบี้ย

ประเด็นที่ 1 : เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า และยังไม่กลับมาเท่ากับระดับศักยภาพ (เดิม) โดยเศรษฐกิจไทยกลับมาอยู่ในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 แล้วตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่กลับเข้าสู่ระดับศักยภาพเดิมในอดีตจากแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่เกิดจากผลกระทบของโรคระบาด โดยปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างช้า ๆ จากอานิสงส์ของภาคบริการที่ฟื้นตัวได้ตามการท่องเที่ยว ซึ่งส่วนหนึ่งถูกสนับสนุนด้วยปัจจัยด้านราคาจากการปรับขึ้นค่าพักแรมไปแล้วกว่า 10-30% จากปีก่อน ขณะที่ความหวังจากนักท่องเที่ยวจีนที่จะกลับมาฟื้นภาคท่องเที่ยวก็ต่ำกว่าเป้าค่อนข้างมาก ส่วนการบริโภคสินค้าคงทนที่ยังฟื้นตัวได้มาจากอุปสงค์คงค้าง (Pent-up Demand) แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวลงบ้าง และอีกส่วนจากกระแสความนิยมรถไฟฟ้า (EV) ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดผลต่อเศรษฐกิจเพิ่มเติมเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากจีน นอกจากนี้ การส่งออกไทยยังชะลอตัวต่อเนื่องตามทิศทางเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะโมเมนตัมจากอุปสงค์จีนที่ค่อนข้างแผ่ว ตลอดจนปัจจัยหนุนด้านราคาพลังงานที่น้อยลง ทำให้การส่งออกเผชิญแรงกดดันทั้งปัจจัยด้านปริมาณ (Quantity Effect) จากกำลังซื้อที่ชะลอตัวและด้านราคา (Price Effect) จากราคาสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานปรับตัวลดลง

ประเด็นที่ 2 : หนี้เสียพุ่ง-หนี้ครัวเรือนสูงเรื้อรัง โดยล่าสุดหนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาส 1 ปี 2566 แตะ 16 ล้านล้านบาท หรือ 90.6% ของจีดีพี ซึ่งแม้ว่าจะลดลงจากจุดสูงสุดในไตรมาส 1 ปี 2564 ที่ระดับ 95.5% ของจีดีพี แต่หนี้ที่อยู่ในระดับสูงเกิน 70% ต่อจีดีพีก็เป็นตัวบั่นทอนความสามารถในการจับจ่ายของครัวเรือนอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้ คุณภาพหนี้ก็มีแนวโน้มแย่ลงและเป็นอุปสรรคต่อการก่อหนี้ใหม่ โดยสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ต่อสินเชื่อรวมของครัวเรือนในไตรมาส 1 ปี 2566 อยู่ที่ 2.68% เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 2.62% และสิ่งที่ต้องจับตาเพิ่มเติมคือ ยอดหนี้ที่ยังไม่ใช่หนี้เสีย แต่ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน (หนี้ที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ) ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทำให้มูลหนี้ครัวเรือนที่ขยายตัวปีละ 3-4% อาจต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปีในการปรับลดให้อยู่ในระดับเหมาะสม

ประเด็นที่ 3 : ต้นทุนการกู้ยืมที่ปรับสูงขึ้นเริ่มเป็นอุปสรรคต่อการระดมทุนของภาคเอกชน จากข้อมูลไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่า ภาพรวมสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ขยายตัวได้เพียง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 2.1%YoY ด้านสินเชื่อภาคธุรกิจก็เติบโตชะลอลง ขณะที่สินเชื่อ SMEs หดตัวต่อเนื่องติดต่อกัน 3 ไตรมาส อีกทั้งธนาคารพาณิชย์ยังมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อจากภาวะการเงินตึงตัวและความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ที่จะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตาม ยิ่งกว่านั้น สภาพคล่อง

ธนาคารพาณิชย์ยังถูกดึงออกไปบางส่วนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ปรับตัวสูงขึ้น เห็นได้จากปริมาณเงินฝากจากภาคธุรกิจและบุคคลธรรมดาในระบบธนาคารพาณิชย์ที่สูงถึง 14.2 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะยอดเงินฝากในบัญชีฝากประจำที่ขยายตัวถึง 13.0%YoY ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่ธุรกิจขนาดใหญ่ดึงสภาพคล่องส่วนเกินมาพักไว้กับธนาคารพาณิชย์ หลังเร่งระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้อย่างต่อเนื่อง (ทั้งออกหุ้นกู้ใหม่และต่ออายุหุ้นกู้เดิม) เพื่อล็อกต้นทุนทางการเงินในช่วงที่ดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้นเช่นนี้

ttb analytics มองว่า ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญบริบทของเงินเฟ้อสูงเรื้อรัง แน่นอนว่า Policymaker จำเป็นต้องดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดขึ้นเพื่อสกัดการเร่งขึ้นของเงินเฟ้อ แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อตระหนักว่าอัตราเงินเฟ้อ "ชั่วคราว" มีแนวโน้มเรื้อรังกว่าที่คาดไว้มากนั้น จำเป็นต้องพิจารณาร่วมกับตัวแปรทางเศรษฐกิจและสังคมอื่นๆ (อาทิ ผลิตภาพทางเศรษฐกิจ โครงสร้างประชากร การลงทุน) ฉะนั้นแล้ว ท่ามกลางความหวังที่เศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวได้ในระดับศักยภาพต่อไป อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจึงเป็นเครื่องสะท้อนระหว่างสมดุลในการรักษาระดับราคา เสถียรภาพทางการเงิน และการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว

แม้ปัจจุบันแวดวงการท่องเที่ยวจะเปิดกว้างมากขึ้น และเดินหน้านำเสนอประสบการณ์ที่หลากหลายให้แก่ผู้เดินทาง LGBTQ+ แต่ยังคงมีผู้เดินทาง LGBTQ+ อีกมากที่ต้องเผชิญอุปสรรคและข้อควรระวังมากมายระหว่างทริปของพวกเขา ด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการให้ทุกคนไม่ว่าจะรักใครหรือระบุตัวตนอย่างไรก็ตาม ได้ออกไปสัมผัสโลกกว้างอย่างราบรื่นและง่ายดายยิ่งขึ้น Booking.com จึงได้จัดทำแบบสำรวจประสบการณ์ด้านการเดินทางของ LGBTQ+ เพื่อเผยถึงความกังวลใจและความท้าทายที่ชาว LGBTQ+ ต้องเจอระหว่างการท่องเที่ยว และความสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างพันธมิตรในแวดวงการเดินทางเพื่อสนับสนุนชุมชน LGBTQ+ และมอบบริการที่เป็นมิตร ซึ่งมีส่วนทำให้ความเชื่อมั่นของผู้เดินทาง LGBTQ+ จากทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยมีเพิ่มมากขึ้น

 

อายาน เดคก์ รองประธานอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Booking.com กล่าวว่า “ที่ Booking.com เราเชื่อมั่นว่าทุกคนควรได้ออกไปสำรวจโลกกว้างในแบบที่เป็นตัวเองมากที่สุด และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านนี้มาชุมชน LGBTQ+ ได้รับความสนใจ การยอมรับ รวมถึงได้รับความเข้าใจมากขึ้น เราจึงไม่ควรพลาดโอกาสของความก้าวหน้านี้ แวดวงการท่องเที่ยวควรมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียม โดยการพัฒนาและมอบประสบการณ์เดินทางอันเป็นมิตรเพื่อให้ทุกคนสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มภาคภูมิในทุก ๆ การออกเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจสถานที่ใหม่ ๆ ใกล้บ้าน หรือออกไปท่องโลกกว้างก็ตาม”

อุปสรรคที่ LGBTQ+ ต้องเผชิญระหว่างการเดินทาง

การถูกเลือกปฏิบัติยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ผู้เดินทาง LGBTQ+ ต้องเผชิญระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว โดย 76% ของผู้เดินทาง LGBTQ+ ชาวไทยเปิดเผยว่า พวกเขาล้วนเคยถูกเลือกปฏิบัติระหว่างเดินทาง ซึ่งผลสำรวจได้เผยให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงแบบมีนัยสำคัญ ที่งานแข่งกีฬาและงานดนตรีระดับโลก รวมถึงการสนับสนุนผู้มีชื่อเสียงและองค์กรต่าง ๆ ที่มีส่วนร่วมในงาน มีผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าร่วมกิจกรรมในวันพักผ่อนของผู้เดินทาง LGBTQ+ จากการหยิบยกประเด็นกฎหมายและมุมมองเกี่ยวกับการเลือกปฎิบัติออกมานำเสนอต่อสาธารณชน

นอกจากนี้ 30% ของผู้เดินทาง LGBTQ+ ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเคยเผชิญการถูกตัดสินหรือเหมารวม ขณะที่ 22% เคยโดนจ้องมอง หัวเราะเยาะ หรือทำร้ายจิตใจด้วยวาจาจากผู้เดินทางคนอื่น และ 21% ถูกกระทำแบบเดียวกันจากคนในท้องถิ่น ส่วนอีก 15% ระบุว่าเคยถูกผู้บังคับใช้กฎหมายในท้องถิ่นข่มขู่หรือคุกคามระหว่างเดินทางท่องเที่ยว

ความก้าวหน้าที่เดิน ‘ถอยหลัง’

การเดิน ‘ถอยหลัง’ ที่ว่านี้หมายถึง การที่ผู้เดินทาง LGBTQ+ ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยส่วนบุคคลมากขึ้นเมื่อต้องวางแผนเดินทาง หรือแม้กระทั่งหลังจองการเดินทางเรียบร้อยแล้วก็ตาม พวกเขายังคงต้องระวังตัวอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มคนข้ามเพศ (Transgender) ซึ่งปัจจุบันมีถึง 64 ประเทศทั่วโลกที่กำหนดให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันเป็นอาชญากรรม และ 11 ประเทศในจำนวนดังกล่าวกำหนดโทษประหารชีวิตสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันอีกด้วย จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้เดินทาง LGBTQ+ จะได้มีโอกาสไปเยือนจุดหมายปลายทางเหล่านี้แบบเปิดเผยตัวตน ถึงแม้มีการจัดอีเวนต์สำคัญระดับโลกขึ้นในเมืองนั้น ๆ ก็ตาม

· 85% ของผู้เดินทาง LGBTQ+ ชาวไทยกล่าวว่า พวกเขาพิจารณาเรื่องความปลอดภัย และความเป็นอยู่ ที่ดีในฐานะผู้เดินทางชาว LGBTQ+ เป็นหลัก เมื่อต้องตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยว (เพิ่มขึ้นจาก 73% ในปี 2565)

· 76% ยอมรับว่าข่าวสารเกี่ยวกับความขัดแย้งด้านทัศนคติ การเลือกปฏิบัติ และการใช้ความรุนแรงต่อ LGBTQ+ มีผลต่อการตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทางในทริปการเดินทางของพวกเขาเป็นอย่างมาก

· 62% เคยยกเลิกทริปการเดินทางในปีที่ผ่านมาหลังทราบว่าจุดหมายปลายทางที่วางแผนไปเยือนไม่สนับสนุน ชุมชน LGBTQ+ โดยเฉพาะผู้เดินทางที่เป็นกลุ่มคนข้ามเพศมีแนวโน้มยกเลิกทริปถึง 63%

สิ่งที่ผู้เดินทาง LGBTQ+ ต้องเผชิญ

แม้การท่องเที่ยวยังคงเป็นประสบการณ์ที่ช่วยจุดประกายความรู้สึกเป็นอิสระและการแสดงออกถึงตัวตนอย่างเต็มที่ แต่ผู้เดินทาง LGBTQ+ จำนวนมากยังคงรู้สึกถึงข้อจำกัดในการนำเสนอตัวตนและแสดงออกถึงอัตลักษณ์ทางเพศของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้เดินทางที่เป็นกลุ่มคนข้ามเพศ พวกเขาต้องเจออุปสรรคที่ยากจะข้ามผ่าน ยกตัวอย่างเช่น พวกเขามักจะโดนตั้งคำถามเสมอ เมื่ออัตลักษณ์ทางเพศ ชื่อ และรูปลักษณ์ภายนอกไม่ตรงกับข้อมูลที่ระบุในหนังสือเดินทาง

· โดย 68% ของผู้เดินทาง LGBTQ+ ชาวไทย ยอมรับว่าการเป็น LGBTQ+ ส่งผลต่อการนำเสนอตัวตนของพวกเขา ในแง่ของการเลือกเสื้อผ้าและการแต่งหน้าเมื่อออกเดินทางท่องเที่ยว (ซึ่งมีอัตราเพิ่มขึ้นเป็น 75% สำหรับกลุ่มคนข้ามเพศ)

· 35% ระบุว่าพวกเขาจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือกิริยาท่าทางเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตัดสินหรือมีปฏิสัมพันธ์ที่ชวนอึดอัดกับผู้อื่น ในขณะที่ 32% รู้สึกว่าพวกเขาต้องเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์เหล่านี้เช่นเดียวกัน

เปลี่ยนความ ‘ระแวดระวัง’ ให้เป็นความ ‘มั่นใจ’

อย่างไรก็ตามตรงข้ามกับความรู้สึกกลัว ระแวดระวัง หรือไม่มั่นใจ 89% ของผู้เดินทาง LGBTQ+ ชาวไทย มองว่าการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน LGBTQ+ ทำให้พวกเขารู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้นในฐานะผู้เดินทาง (เพิ่มขึ้นจาก 83% ในปี 2565) สะท้อนให้เห็นว่าประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจจากบริการที่เป็นมิตรและพร้อมต้อนรับทุกคน ทำให้ผู้เดินทาง LGBTQ+ รู้สึกมั่นใจที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น

· แม้ความกังวลเรื่องความปลอดภัยส่วนบุคคลจะยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจในการเลือกจุดหมายปลายทางสำหรับการออกท่องเที่ยวของ LGBTQ+ (40%) แต่ยังมีแรงจูงใจเชิงบวกอื่น ๆ ที่ทำให้พวกเขาอยากเดินทางท่องเที่ยว ได้แก่ ทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม (35%) อาหารท้องถิ่นแสนอร่อย (31%) และชายหาดที่งดงาม (32%) ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ส่งผลต่อการเลือกจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวของพวกเขา

· 94% ของผู้เดินทาง LGBTQ+ เผยว่าพวกเขารู้สึกมั่นใจมากขึ้นที่จะมีส่วนร่วมกับกิจกรรมใดก็ตามที่ตัวเองต้องการ เมื่อได้ออกเดินทางท่องเที่ยว

· 89% มีแนวโน้มที่จะไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยว หรือทำกิจกรรมที่ถูกออกแบบมาสำหรับชุมชน LGBTQ+ โดยเฉพาะ

แวดวงการท่องเที่ยวกับการเป็น ‘พันธมิตร’ ของชาว LGBTQ+

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและมุมมองของผู้คนทั่วไปที่มีต่อผู้เดินทาง LGBTQ+ โดย 85% ของผู้เดินทาง LGBTQ+ ชาวไทยรู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อต้องออกทริป เมื่ออุตสาหกรรมการเดินทางมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่เท่าเทียมเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวจึงควรทำหน้าที่เป็นพันธมิตรคนสำคัญให้กับผู้เดินทาง LGBTQ+ ผ่านการปรับใช้นโยบายที่ครอบคลุมคนทุกกลุ่ม พร้อมนำเสนอการบริการที่เป็นมิตรและพร้อมต้อนรับทุกคนไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครหรือระบุตัวตนอย่างไรก็ตาม โดยจากผลสำรวจของ Booking.com เผยให้เห็นถึงหลากหลายประเด็นสำคัญที่ผู้ให้บริการด้านการเดินทางต้องทำความเข้าใจ และปรับตัวเพื่อตอบสนองกับความต้องการของผู้เดินทาง LGBTQ+ ดังนี้

· 44% ของผู้เดินทาง LGBTQ+ ชาวไทย อยากทราบข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานภาพของ LGBTQ+ ในจุดหมายปลายทางนั้น ๆ เช่น กฎหมายท้องถิ่น หลักความเชื่อทางศาสนา และเคล็ดลับว่าควรไปที่ไหนที่พวกเขาจะปลอดภัย

· 87% ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์และประสบการณ์ที่ผู้อื่นมีต่อแบรนด์ เพื่อทำความเข้าใจบทบาทในการสนับสนุนชุมชน LGBTQ+ ของแบรนด์นั้น ๆ

· 86% กล่าวว่าพวกเขาสนใจที่จะจองทริปเดินทาง รวมถึงบริการด้านการท่องเที่ยวกับแบรนด์ที่มี LGBTQ+ เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้บริหารมากกว่า (เพิ่มขึ้นจาก 71% ในปี 2565)

· 86% เห็นด้วยว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะชื่นชอบและเลือกใช้บริการสายการบินและแบรนด์ที่มีนโยบายด้านความเท่าเทียมและพร้อมต้อนรับทุกคน (เช่น การมีนโยบายให้พนักงานใส่ชุดยูนิฟอร์มที่ไม่แบ่งแยกเพศสภาพ)

นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2564 เป็นต้นมา โปรแกรม Travel Proud ของ Booking.com ได้จัดฝึกอบรมการให้บริการอย่างเท่าเทียมให้กับที่พักคู่ค้าของเราฟรี ซึ่งช่วยให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่ผู้ให้บริการด้านการเดินทางเกี่ยวกับอุปสรรคในการเดินทางที่ผู้เดินทาง LGBTQ+ กำลังเผชิญ รวมถึงมอบทักษะและเทคนิคที่นำมาปฎิบัติตามได้ทันทีอย่างมีประสิทธิภาพในที่พักของตน เพื่อมอบการบริการที่เท่าเทียมและสะดวกสบายให้กับผู้เดินทาง ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากที่ไหน จะรักใคร หรือระบุตัวตนว่าเป็นอย่างไรก็ตาม โดยปัจจุบันโปรแกรมฝึกอบรมนี้จัดทำเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาอิตาเลียน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาสเปน ภาษาโปรตุเกสแบบบราซิลเลียน และภาษาเยอรมัน ซึ่งมีการฝึกอบรมในทุกภาษาข้างต้นอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

 

ซึ่งในปัจจุบันมีที่พักที่ได้ใบรับรอง Proud Certified แล้วกว่า 24,000 แห่งใน 7,030 เมืองจาก 118 ประเทศและดินแดนทั่วโลกแล้วบนแพลตฟอร์มของ Booking.com โดยที่พักคู่ค้าที่ผ่านการอบรมแล้วจะได้รับการรับรอง Proud Certified และได้รับป้ายสัญลักษณ์ Travel Proud บนหน้าข้อมูลที่พัก เพื่อแสดงให้ผู้เดินทางเห็นถึงความมุ่งมั่นของที่พักที่พร้อมมอบประสบการณ์เดินทางที่เป็นมิตร และต้อนรับผู้เดินทางทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม

Pirom Coffee (ภิรมย์ คอฟฟี่) แบรนด์กาแฟโรบัสต้าใหม่ จากแหล่งปลูกในภาคเหนือของไทย ชูผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ Fine Robusta เมล็ดกาแฟคุณภาพสูง ด้วยกระบวนการผลิตจากเทคโนโลยีชีวภาพ คงเอกลักษณ์ของความหนักแน่น เข้มข้น และรสชาติที่เป็นเสน่ห์ของกาแฟโรบัสต้า ชี้กาแฟโรบัสต้าจะเป็นอนาคตของกาแฟ ที่ปัจจุบันทั่วโลกหันมาให้ความสนใจ ตั้งเป้าสร้างกระแสความนิยมกาแฟโรบัสต้า ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพของเมล็ดกาแฟโรบัสต้าสายพันธุ์ไทยสู่สากล โดยส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าและพัฒนาสายพันธุ์ร่วมกับเกษตรกรไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อแก่นแท้ของรสชาติที่ดีในแบบของโรบัสต้าและอัดแน่นไปด้วยคุณภาพ ให้เป็นอีกทางเลือกสำหรับภาคอุตสาหกรรมเครื่องดื่มกาแฟและผู้บริโภคทั่วไป เปิดตัวครั้งแรกในงาน Thailand Coffee Fest 2023 บูธ M2 ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 5 - 8 เมืองทองธานี 13 - 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

 

นายจุลพีระ สายตระกูล กรรมการบริหาร บริษัท บี.บี.กรูพส์ เทรดดิ้ง จํากัด บริษัทในกลุ่ม พี บี พาร์ทเนอร์ กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกหันมาให้ความสนใจกาแฟตระกูลโรบัสต้า (Robusta) ที่ได้รับขนานนามว่าเป็นอนาคตของกาแฟ สืบเนื่องจากวิกฤตการณ์กาแฟอาราบิก้าที่มีราคาพุ่งขึ้นสูงทั่วโลก และขาดแคลนวัตถุดิบ รวมถึงจากการจุดประกายของการแข่งขัน WORLD BARISTACHAMPIONSHIP 2022 ที่มีการใช้กาแฟโรบัสต้า และชนะรางวัลที่ 4 ด้วยรสชาติที่น่าดึงดูด กลมกล่อม จนทำให้วงการกาแฟของโลกกลับมาให้ความสนใจกาแฟโรบัสต้าที่ไม่ใช่แค่กาแฟสำหรับผลิตเครื่องดื่มสำเร็จรูป จึงทำให้ความต้องการของกาแฟโรบัสต้ามีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าในหรือต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการเปิดตัว Pirom Coffee (ภิรมย์ คอฟฟี่) แบรนด์กาแฟโรบัสต้าใหม่

โดย Pirom Coffee เกิดจากความตั้งใจของ คุณปิยะ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการบริษัท ฯ ที่ต้องการสร้างกาแฟโรบัสต้าสายพันธุ์ไทยที่มีคุณภาพ ยกระดับคุณภาพของเมล็ดกาแฟโรบัสต้าสายพันธุ์ไทยสู่สากลอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งเป็นการสร้างโอกาสสร้างอาชีพให้กับเกษตรกรไทย และผู้ประกอบการไทย โดยที่ผ่านมา

ได้มีการส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าและพัฒนาสายพันธุ์ร่วมกับเกษตรกรไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดน่าน รวมถึงยกระดับกระบวนการผลิตตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟ โดยมีการคัดเมล็ด ซึ่งปกติแล้วเมล็ดกาแฟโรบัสต้าจะไม่มีการคัดแยกเมล็ด ซึ่งคัดแยกเมล็ดกาแฟที่เก็บเกี่ยวได้แล้ว ก็จะนำไปผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งทำให้ได้กาแฟที่มีคุณภาพสูง คงแก่นแท้ของรสชาติที่ดีในแบบฉบับของโรบัสต้าและอัดแน่นไปด้วยคุณภาพ ลบภาพจำเดิมของเมล็ดกาแฟโรบัสต้าที่มักจะมีกลิ่นหืน ไม่เหมาะสำหรับการชงกาแฟ หรือสร้างสรรค์เครื่องดื่มแบบสดใหม่

สำหรับผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ของ Pirom Coffee ประกอบด้วย Fine Robusta ผ่านกระบวนผลิตอย่างพิถีพิถัน ตอบโจทย์สำหรับการใช้งานที่หลากหลาย มีคุณภาพสูงสามารถใช้ทดแทนเมล็ดกาแฟอาราบิก้าชั้นดี ในราคาคุ้มค่าและเข้าถึงมากกว่า เหมาะสำหรับทั้งผู้ประกอบการธุรกิจคาเฟ่ ห้างร้านรีเทลและร้านค้ารายย่อย หรือแม้กระทั่งคอกาแฟและผู้บริโภคทั่วไป และนอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ Premium Robusta คุณภาพชั้นเลิศสำหรับการรังสรรค์เมนูเครื่องดื่มกาแฟชั่นเลิศ หรือแม้แต่ใช้ในการประกวดแข่งขัน และ Robusta มีคุณภาพสูงแตกต่างจากกาแฟโรบัสต้าโดยทั่วไป เหมาะสำหรับใช้ในการผลิตในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม

Pirom Coffee เป็นผู้เชียวชาญกาแฟโรบัสต้า มุ่งมั่นที่จะยกระดับการแฟโรบัสต้าทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้กาแฟโรบัสต้าเป็นไม้ผลตัวเลือกใหม่ที่เกษตรกรนำมาปลูกทดแทนพืชชนิดอื่น อีกทั้งยังเป็นทางเลือกใหม่ของภาคอุตสาหกรรมเครื่องดื่มกาแฟ ผู้ประกอบการธุรกิจคาเฟ่ ห้างร้านรีเทลและร้านค้า รายย่อย หรือแม้กระทั่งคอกาแฟและผู้บริโภคทั่วไป ด้วยเมล็ดกาแฟมีคุณภาพสูง พร้อมเอกลักษณ์ของ ความหนักแน่น เข้มข้น และรสชาติที่เป็นเสน่ห์ของกาแฟโรบัสต้า ไม่ว่าจะดื่มแบบ Single Origin หรือการ Blend เพื่อมิติในการดื่มที่ดีกว่า

Pirom Coffee เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรก ภายในงาน Thailand Coffee Fest 2023 พร้อมให้ทุกคนมาได้ร่วมเปิดประสบการณ์สัมผัสรสชาติแก่นแท้จากกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าของ Pirom coffee และพบกับกิจกรรมชิมกาแฟจาก Special Barista อย่าง ทาริค อัลฮูลี แชมป์ World Es Yen Championship 2021 และ ปิยชาติ ไตรถาวร Drip King Thailand ณ บูธ M2 ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 5 - 8 เมืองทองธานี 13 - 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

X

Right Click

No right click