December 15, 2025

 

ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับพลาสติกที่มุ่งเน้นความยั่งยืนโดยเฉพาะผลิตจากวัตถุดิบที่มีสัดส่วนของวัสดุรีไซเคิลหรือวัสดุชีวมวลสูง เพราะทิ้งร่องรอยมลพิษหรือคาร์บอนฟุตพริ้นท์น้อยลง

 เพื่อตอบโจทย์ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนและความเป็นกลางทางสภาพภุมิอากาศ โดยโคเวสโตรพร้อมนำเสนอโพลีคาร์บอเนตที่มีส่วนประกอบของ พลาสติกรีไซเคิลจากสิ่งเหลือทิ้งหลังบริโภคถึง 90% (PCR หรือ Post–Consumer Recycled) ซึ่งเหมาะ สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือการใช้งานแบบอื่นเช่นกัน ทั้งนี้ อัตราการสร้างคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ของเรซินโพลีคาร์บอเนต Makrolon® PCR ใหม่จะต่ำกว่าพลาสติกบริสุทธิ์ที่ผลิตจากฟอสซิลถึง 70%2 และได้ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในรายการสินค้า CQ ในฐานะโซลูชั่นหมุนเวียน โดยช่วงแรกบริษัทมีแผนจำหน่ายพลาสติกเกรดใหม่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก่อน

"เราภาคภูมิใจกับโซลูชั่นที่ก้าวล้ำนี้ นับว่าเป็นการช่วยปลดล็อกให้ลูกค้าของเราก้าวไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะภาคส่วนอุตสาหกรรม อาทิ ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องเสียง และอุปกรณ์เครือข่าย ซึ่งพร้อมเดินตามความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนขององค์กร” คุณลิลลี่ หวัง Global Head of Engineering Plastics ประจำโคเวสโตร กล่าว "ผลผลิตนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวในการสะท้อนวิสัยทัศน์ ของเราที่มุ่งสู่หมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบ และยังเป็นส่วนสำคัญในการเร่งผลักดันให้อุตสาหกรรมมุ่งไปสู่อนาคตแห่งการรีไซเคิลและการเป็นกลางทางคาร์บอนได้อย่างรวดเร็ว”

พลาสติกประเภทนี้สามารถย้อมเป็นสีขาว และสีที่มีความอิ่มตัวสูงได้ดีเยี่ยม ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพลาสติก PCR ที่มีปริมาณของวัสดุรีไซเคิลมาก เนื่องจากเราเลือกใช้วัสดุรีไซเคิลคุณภาพสูง และปรับองค์ประกอบให้เหมาะสมระหว่างกระบวนการผสม พลาสติกเกรด PCR นี้ ผลิตขึ้นโดยใช้สารหน่วงการ ติดไฟที่ปราศจากฮาโลเจนและเป็นไปตามข้อกำหนดด้านประสิทธิภาพ โดยไม่เพิ่มผลกระทบต่อ

สิ่งแวดล้อม นอกจากนี้เมื่ออิงจากมาตรฐาน UL 94 ของ Underwriters Laboratories ความสามารถในการติดไฟจะอยู่ที่ V-0ความร่วมมือกับ Jabraหนึ่งในตัวอย่างการนำโพลีคาร์บอเนต Bayblend® FR3010 R75 ของโคเวสโตรในการผลิตที่ครอบหูของชุดหูฟังซีรีส์ล่าสุด Evolve2 ของแบรนด์เดนมาร์กอย่าง Jabra ซึ่งเป็นอุปกรณ์ด้านระบบเสียงและระบบการประชุมผ่านวิดีโอ โดยพลาสติกประเภทนี้ประกอบด้วยวัสดุรีไซเคิล 75% และมีปริมาณคาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำกว่า 50%2 เมื่อเทียบกับวัสดุที่ผลิตจากฟอสซิลแบบเดิม โดยประสิทธิภาพยังเป็นไปตามความต้องการของข้อกำหนด เพื่อตอบรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ขณะนี้โคเวสโตรกำลังสร้างโรงงานสำหรับการผสม โพลีคาร์บอเนต PCR โดยเฉพาะ ที่ศูนย์การผลิตในเซี่ยงไฮ้ โดยวางแผนพร้อมเดินเครื่องในช่วงปลายปีนี้ โรงงานแห่งใหม่นี้จะทำให้บริษัทสามารถผลิตโพลีคาร์บอเนต PCR คุณภาพสูงได้มากกว่า 25,000 เมตริกตันต่อปี

โซลูชั่นที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ1 ผ่านกระบวนการแบบสมดุลมวลสาร นอกจากพลาสติกเกรด PCR ที่ใช้เทคนิคการรีไซเคิลเชิงกล โคเวสโตรได้ก้าวล้ำขึ้นไปอีกขั้นด้วยโพลีคาร์บอเนตที่มาจากการใช้วิธีสมดุลมวลสารของขยะชีวภาพและวัสดุเหลือทิ้ง ซึ่งได้รับการรับรอง ตามมาตรฐาน ISCC PLUS โดยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

ปัจจุบัน โคเวสโตรคือผู้ผลิตและจำหน่ายโพลีคาร์บอเนต Makrolon® RE รายใหญ่ โดยพลาสติกตัวนี้มีส่วนผสมของวัตถุดิบหมุนเวียนที่มากถึง 89%3 นอกจากนี้ สินค้าบางประเภทของโคเวสโตรยังผลิตโดยใช้พลังงานไฟฟ้าแบบหมุนเวียน 100% หนึ่งในนั้นคือโพลีคาร์บอเนต1 ที่มีความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ ด้วยระบบที่ได้รับการรับรองจาก TÜV4 นับตั้งแต่สิ้นปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัทได้จำหน่ายโพลีคาร์บอเนตที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ1 ครั้งแรกของโลกแก่ลูกค้าในภูมิภาคยุโรป โดยซีรีส์ RE เป็นอีกหนึ่งสินค้าขึ้นแท่นในรายการ CQ ตอกย้ำความเป็นโซลูชันหมุนเวียนของโคเวสโตร

 

กรุงเทพฯ 24 พฤษภาคม 2566 – วันนี้อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com ประกาศเปิดตัวโครงการ AWS re/Start ในประเทศไทย โปรแกรม AWS re/Start เป็นโปรแกรมพัฒนาทักษะบุคลากรโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งจะเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ว่างงานหรือบุคคลที่ประกอบอาชีพไม่เต็มเวลา ให้มีความพร้อมสำหรับอาชีพใหม่ในด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง และมอบโอกาสในการสัมภาษณ์งานกับผู้ว่าจ้างที่สนใจให้แก่ผู้เรียน โปรแกรมนี้เปิดสอนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และผู้เรียนไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีมาก่อนในการสมัคร

การวิจัยของ Gallup ซึ่งดำเนินการโดย AWS แสดงให้เห็นว่า 94% ของพนักงานที่ไม่ได้ทำงานด้านเทคโนโลยีในประเทศไทย มีความสนใจอย่างมากหรือมากที่สุดในการรับการฝึกอบรมในทักษะดิจิทัลอย่างน้อยหนึ่งทักษะ เช่น ความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ (cybersecurity) ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) และวิทยาการหุ่นยนต์ (robotics) อย่างไรก็ตาม 53% ของพนักงานที่ไม่ได้ทำงานด้านเทคโนโลยีกล่าวถึงอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับการไม่มี เพื่อแก้ไขอุปสรรคนี้ AWS re/Start ให้การฝึกอบรมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งแบบเข้าห้องเรียนหรือแบบออนไลน์เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ และสนับสนุนผู้เรียนในช่วงเริ่มต้นอาชีพใหม่ด้านคลาวด์

โปรแกรมนี้ครอบคลุมทักษะพื้นฐานด้านคลาวด์ของ AWS และทักษะอาชีพที่จำเป็นอื่น ๆ เช่น เทคนิคการเขียนประวัติส่วนบุคคลและการสัมภาษณ์งาน ผ่านการฝึกปฏิบัติในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สถานการณ์จำลอง การนำไปใช้งานจริง การเรียนรู้ในห้องปฏิบัติการและผ่านหลักสูตร ให้ผู้เรียนสร้างความรู้และทักษะเกี่ยวกับ Linux, Python, ระบบเครือข่าย, ความปลอดภัย และฐานข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน โปรแกรมนี้จะเตรียมความพร้อมให้พวกเขาเข้าสู่บทบาทในงานด้านคลาวด์ในระดับเริ่มต้น เช่น การใช้งาน ความเสถียรของเว็บไซต์ การดูแลโครงสร้างพื้นฐาน และอื่น ๆ

โปรแกรม AWS re/Start ยังครอบคลุมค่าใช้จ่ายสำหรับผู้เข้าร่วมในการสอบใบรับรอง AWS Certified Cloud Practitioner เพื่อให้พวกเขาสามารถรับรองทักษะด้านคลาวด์ของตนเองด้วยประกาศนียบัตรที่เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรม ตามข้อมูลจาก Gallup มีองค์กรผู้ว่าจ้างในประเทศไทย 92% กล่าวว่าการรับรองด้านดิจิทัลหรือหลักสูตรการฝึกอบรมเป็นทางเลือกที่ยอมรับและสามารถทดแทนปริญญาตรีได้

โปรแกรม AWS re/Start ในประเทศไทย จะเปิดรับไปทั่วประเทศโดยความร่วมมือขององค์กร xLab ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ บริษัทนี้เป็นที่รู้จักในด้านการช่วยให้ธุรกิจไทยแบบดั้งเดิมค้นพบโอกาสทางดิจิทัล และเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัล AWS re/Start จะทำงานร่วมงานกับ xLab เพื่อเชื่อมโยงผู้เรียนที่สำเร็จการฝึกอบรมในโปรแกรมกับผู้จ้างงานที่มีความสนใจ

 

คุณวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ Country Manager ของ AWS ประเทศไทย กล่าวว่า “เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยขยายตัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ความต้องการในการนำคลาวด์มาใช้งานยังคงเพิ่มขึ้นมากกว่าจำนวนบุคลากรใหม่ ๆ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านคลาวด์ ส่งผลให้องค์กรต่าง ๆ มีความยากลำบากในการหาบุคคลากรที่มีความรู้และทักษะในการใช้คลาวด์ ผลการศึกษาของ Gallup เปิดเผยว่า 94% ของธุรกิจในประเทศไทย กล่าวว่าการว่าจ้างพนักงานด้านดิจิทัลที่ต้องการนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทาย ซึ่งโปรแกรม AWS re/Start จะนำผู้ที่มีความสามารถใหม่ ๆ จากอุตสาหกรรมต่าง ๆ มาพัฒนาความรู้และทักษะให้กับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีหรือมีประสบการณ์เพียงเล็กน้อย และช่วยให้พวกเขาเริ่มต้นอาชีพด้านคลาวด์ เรามีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับ xLab ในการมอบโอกาสนี้ให้แก่คนไทยได้มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมที่น่าตื่นเต้นและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง”

 

คุณลอยด์ วัฒนโฆวรุณ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ xLab กล่าวว่า “เป้าหมายสูงสุดของ xLab คือการกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศไทยด้วยการบ่มเพาะกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่มีทักษะมากพอที่จะรับมือกับปัญหาการขาดแคลนทักษะในปัจจุบันได้ เรามีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับโปรแกรม AWS re/Start ในการฝึกอบรมทักษะด้านคลาวด์ ให้การสนับสนุน และโอกาสในการจ้างงานแก่คนไทยที่มีความสามารถทั่วประเทศ”

G-Able และ NTT Thailand ซึ่งเป็น AWS Partners มีแผนที่จะสัมภาษณ์และว่าจ้างผู้สำเร็จการศึกษาจากโปรแกรม AWS re/Start เข้ามาทำงานในตำแหน่งงานต่าง ๆ บริษัททั้งสองจะร่วมมือกับ xLab เพื่อมองหาผู้มีความสามารถและหาโอกาสในการจ้างงานให้พวกเขา

 

คุณฐิติกานต์ กฤษณวิภาคพร รองประธานบริหารอาวุโสฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ G-Able กล่าวว่า “เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในประเทศไทย เราจึงมุ่งมั่นที่จะมอบโอกาสในการพัฒนาทักษะให้กับผู้ที่มีความสามารถที่หลากหลาย และเชื่อว่าโปรแกรมอย่าง AWS re/Start จะช่วยเร่งการเติบโตและเป็นแนวทางสู่อนาคตของเทคโนโลยีและระบบคลาวด์ เราตั้งตารอที่จะร่วมมือกับ AWS เพื่อสร้างกลุ่มบุคลากรที่มีความสามารถในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทยในปัจจุบันและอนาคต”

คุณสุทัศน์ คงดำรงเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NTT ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ที่ NTT (Thailand) Limited เราทราบดีว่าเราต้องมุ่งเน้นการระบุและสนับสนุนผู้ที่ต้องการเปลี่ยนมาทำงานในด้านคลาวด์ เพื่อเร่งการเติบโตของอุตสาหกรรมคลาวด์ เรามีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับ AWS เพื่อช่วยลดช่องว่างด้านทักษะดิจิทัลในประเทศไทย โปรแกรม AWS re/Start เป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดผู้ที่มีความสามารถจากกลุ่มที่ขาดโอกาสและนำพาพวกเขาไปสู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี”

ปัจจุบันโปรแกรม AWS re/Start ได้เปิดตัวไปแล้วในกว่า 180 เมืองใน 60 ประเทศทั่วโลก ในช่วงระยะเวลา 18 เดือนที่ผ่านมา AWS ได้มุ่งเน้นไปที่การเติบโตของโปรแกรมในภูมิภาคอาเซียน และมีการเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ด้วยความร่วมมือกับเครือข่ายองค์กรต่าง ๆ ในแต่ละประเทศ

 

คุณสุทธิกานต์ สุรนันท์ นักออกแบบกราฟิกและผู้ดูแลสำนักงานจากกรุงเทพฯ ที่ปัจจุบันเป็นผู้ว่างงาน กล่าวว่า “ดิฉันสนใจที่จะเข้าร่วมโปรแกรม AWS re/Start เนื่องจากเป็นโอกาสสำหรับตัวเอง ที่ไม่ได้เรียนด้านไอทีหรือทำงานในสายงานด้านเทคนิคมา ที่จะได้รับความรู้และประสบการณ์ใหม่ ๆ และมีโอกาสก้าวหน้าไปสู่การพัฒนาอาชีพในด้านคลาวด์ได้ ดิฉันมั่นใจว่างานในสายงานนี้เป็นที่ต้องการสูงและจะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปในอนาคต สิ่งที่ดีที่สุดคือโปรแกรมนี้ให้การฝึกอบรมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ดังนั้นดิฉันจึงตัดสินใจใช้โอกาสนี้เพื่อเรียนรู้ทักษะด้านคลาวด์และลงทุนในตัวเอง”

ผู้เรียนที่เข้าร่วมในโปรแกรม AWS re/Start Thailand กลุ่มแรกในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม หลังจากการประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ AWS Asia Pacific (Bangkok) Region เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ที่ประกาศแผนการลงทุนในประเทศไทยประมาณ 190,000 ล้านบาท (5 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในระยะเวลา 15 ปี การฝึกอบรมทักษะดิจิทัลเป็นส่วนสำคัญของการลงทุนครั้งนี้ด้วย เพื่อให้ผู้ว่าจ้างและบุคลากรทั้งในภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคลาวด์ได้อย่างเต็มที่ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจและอาชีพ เพิ่มผลผลิตและนวัตกรรม และสนับสนุนความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศในยุคดิจิทัล ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นมา AWS ได้ฝึกอบรมทักษะด้านคลาวด์ให้แก่บุคลากรในประเทศไทยไปแล้วกว่า 50,000 คน และมุ่งมั่นที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถลดช่องว่างด้านทักษะด้วยโปรแกรมการฝึกอบรมและการรับรองของ AWS

สามารถเรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AWS re/Start หรือสมัครเข้าร่วมโปรแกรมนี้ในประเทศไทยได้ที่นี่

ตลาดไอศกรีมผลไม้ไทยรับอานิสงค์โลกร้อน แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป เผยต่างชาติติดใจไอศกรีมผลไม้ไทย ทั้งยุโรป เอเชีย ออสเตรเลีย แห่ออเดอร์เพิ่มไม่หยุด ล่าสุดทุ่ม 50 ล้าน เร่งลงทุนขยายโรงงาน เพิ่มกำลังการผลิต พร้อมคุยเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้คุณภาพเตรียมส่งตรงเข้าโรงงาน เพื่อเป็นวัตถุดิบการผลิตเพิ่ม 1 หมื่นตัน ล่าสุดดัน โมจิ ไอศกรีม เจาะตลาดต่างประเทศรอบใหม่ คาดปีนี้กวาดรายได้ 500 ล้านบาท

นายฐานพงศ์ จุ้ยประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึงความสำเร็จหลังเปิดตัวไอศกรีมในลูกผลไม้ในปีที่ผ่านมา (2565) ว่า ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากทำยอดขายได้สูงถึง 330 ล้านบาท จากที่ตั้งเป้าไว้ 250 ล้านบาท จากปัจจัยของตลาด การบริโภค และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวหลังโควิดที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยนอกจากคู่ค้าเดิมจากประเทศเกาหลีที่มีการออเดอร์เพิ่มขึ้นแล้ว ยังได้ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นลูกค้าในฝั่งยุโรปอย่างฝรั่งเศส ออสเตรเลีย ซาอุดิอาระเบีย และจีน ซึ่งต่างมีการสั่งสินค้าโดยเฉพาะไอศกรีมในกลุ่มไอศกรีมซอร์เบในลูกผลไม้ที่มีสัดส่วนสูงถึง 90% โดยส่วนใหญ่นำไปจำหน่ายทั้งในร้านอาหาร คาเฟ่ บาร์ โรงแรมและซูเปอร์มาร์เก็ต นอกจากนั้นยังเกิดจากเอกลักษณ์ของรสชาติความอร่อยของผลไม้ไทย ที่เมื่อนำมาแปรรูปเพิ่มมูลค่าด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเฉพาะของ แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป จนกลายเป็นไอศกรีมผลไม้ ทำให้ถูกปากถูกใจคนทั่วโลก

จากการขยายตลาดเพิ่มในหลายประเทศและคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ทางบริษัทฯ มีการขยายโรงงานที่ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต โดยใช้เงินลงทุนครั้งนี้กว่า 60 ล้านบาท ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิมเดือนละ 60 ตู้คอนเทนเนอร์ เป็น 80 ตู้คอนเทนเนอร์ (1 ตู้คอนเทนเนอร์ ประมาณ 25,000 ชิ้น) คาดว่าเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าและการขยายตลาดในอนาคต

ส่วนอีกปัจจัยที่ต้องมีการวางแผนอย่างดี คือ ผลไม้ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตหลัก โดยบริษัทฯ ได้มีการพูดคุยและประกันราคาให้กับเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรในการผลิตผลไม้คุณภาพเพื่อป้อนเข้าสู่โรงงาน ซึ่งปีนี้ได้เตรียมสต๊อกผลไม้เพื่อเข้าไลน์ผลิตไว้สูงถึง 1 หมื่นตัน ส่วนผลไม้หลักที่เราต้องการจะเป็นสับปะรด 95% นอกจากนั้นจะเป็นเสาวรส แตงโม มะพร้าว มะม่วง และแก้วมังกร แผนงานดังกล่าวนอกจากจะเป็นผลดีกับโรงงานที่จะไม่ขาดวัตถุดิบสำคัญแล้ว ยังส่งผลดีและเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรง ไม่เกิดภาวะผลไม้ล้นตลาด หรือผลผลิตถูกกดราคา เพราะหากผลผลิตเป็นไปตามมาตรฐานของโรงงานเราสามารถรับซื้อไว้ได้ทั้งหมด

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของ แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป มีทั้งหมด 3 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มไอศกรีมซอร์เบในลูกผลไม้

กลุ่มไอศกรีมผลไม้แท่ง

และกลุ่มโมจิ ไอศกรีม โดยมีจุดเด่นของผลิตภัณฑ์อยู่ที่การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการพัฒนาเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลไม้ไทยให้เป็นไอศกรีมซอร์เบผลไม้แท้ รสชาติดี ที่สามารถบรรจุลงในผลไม้สดได้เก็บได้นานถึง 2 ปี ในอุณหภูมิ -25 องศา ปลอดภัยและปลอดเชื้อ ทำให้สามารถผ่านมาตรฐานอาหารได้รับอนุญาตให้นำเข้าและจัดจำหน่ายได้ในหลายประเทศ

โดยปีนี้ทางบริษัทฯจะนำโมจิไอศกรีมกลับมาทำตลาดอย่างจริงจังมากขึ้น หลังจากการศึกษาและทดลองตลาด โดยนำเสนอลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มยุโรปพบว่ามีความสนใจ โมจิ ไอศกรีม เป็นอย่างมาก เพราะเป็นมิติใหม่ของการกินไอศกรีมที่มีรูปแบบซับซ้อนขึ้น ด้านนอกเป็นแป้งสูตรเฉพาะที่ทางแม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป คิดค้นขึ้นและ ผลิตด้วยเครื่องจักรที่ถูกออกแบบพิเศษจากประเทศญี่ปุ่นต้นตำหรับของขนมโมจิ สอดไส้ด้วยไอศกรีมผลไม้ไทยที่ให้ความสดชื่น โดย โมจิ ไอศกรีม ที่เราผลิตมีทั้งหมด 13 รสชาติ ประกอบด้วย รสงาดำ, วานิลลา, มะม่วงเชอร์เบท, สตรอเบอร์รี่เชอเบท, ช็อคโกแลต, ชาเขียว, มะพร้าว, เผือก, มะม่วงเบสกะทิ, มะนาว, เมล่อน, ลาเต้ และ เสาวรสเชอร์เบท

ด้านการจัดจำหน่ายนั้น ขณะนี้เริ่มส่งออกและวางจำหน่ายไปแล้วในบางประเทศ อาทิ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย เกาหลี จีน โดยผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในประเทศโซนยุโรปจะเน้นความเป็นสินค้าสุขภาพ เป็น Vegan เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป็นมังสวิรัติเยอะ รสชาติที่นิยมจะเป็นรสงาดำ แต่ในฝั่งเอเชียอย่างเกาหลีหรือจีนนั้น จะนิยมผลิตภัณฑ์ที่ให้ความสดชื่น ทานง่าย รูปแบบผลิตภัณฑ์มีความสวยงาม ทานแล้วถ่ายรูปโชว์ได้

ส่วนแผนการตลาดในปีนี้ ยังคงเน้นการขยายตลาดเพิ่มในประเทศฝั่งตะวันออกกลาง ยุโรป และอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ โดยส่งทีมการตลาดลงพื้นที่เพื่อศึกษาและเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม ตรงกับรสนิยม และความชอบของคนแต่ละประเทศ นอกจากนั้นในบางประเทศอย่างประเทศเกาหลีที่แต่เดิมจะเน้นขายกลุ่ม B2B ก็จะเปิดตลาดในกลุ่ม B2C ที่เป็นรีเทล ซุปเปอร์มาร์เก็ต อาทิ Costco, GS25, 7-ELEVEN มากขึ้น รวมถึงร่วมจัดแสดงสินค้าในงานแสดงสินค้าใหญ่ๆ อย่าง THAIFEX – Anuga Asia 2023 ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจจากลูกค้าที่มาจากประเทศใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น สำหรับเป้ารายได้รวมในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ถึง 500 ล้านบาท

FWD ประกันชีวิต รุกหนักอย่างต่อเนื่องกับกลยุทธ์ Brand Experience ผ่าน Music สร้างการจดจำแบรนด์เพื่อให้เข้าไปอยู่ในใจและไลฟ์สไตล์ของผู้คน เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ กับงาน “FWD Music Live Fest” ขนทัพศิลปินวัยรุ่นสุดฮอตสร้างความสุขกับเพลงฮิตติดชาร์ต ระเบิดความมันส์แบบจัดเต็ม พร้อมเปิดเวทีให้น้องๆ School Band ปล่อยพลังโชว์ความสามารถทั้งร้อง เต้น เล่นดนตรี เพื่อให้ทุกคนได้ Celebrate living ในทุกๆวัน พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรมอีกมากมายตลอด 4 วันเต็ม ตั้งแต่วันที่ 25 - 28 พฤษภาคม 2566 นี้ ณ ลานอัฒจันทร์ Siam Square One

นางสาวปวริศา ชุมวิกรานต์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (“FWD ประกันชีวิต”) กล่าวว่า งาน “FWD Music Live Fest” นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ Brand Experience ของ FWD ประกันชีวิต ที่ยังคงเน้นย้ำการเป็นบริษัทประกันชีวิตที่แตกต่าง สะท้อน vision การเปลี่ยนมุมมองของผู้คนที่มีต่อการประกันชีวิต โดยการสื่อสารแบรนด์ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือ 5 sensory ในคอนเซ็ปต์ “Experience of Celebrate living” ครั้งนี้เราใช้ Music Experience เป็นสื่อกลางในการคอนเนคให้ทุกคนได้ Celebrate living ในทุกๆวัน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เป็นนักเรียน นักศึกษา รวมทั้งบุคคลทั่วไปที่ young at heart มีความคิดสร้างสรรค์ มองโลกในแง่ดี และพร้อมเปิดใจให้กับประกันชีวิต ซึ่งสอดคล้องกับผลวิจัยที่เราศึกษามาอย่างต่อเนื่องจาก YPulse Survey* (2022) และ Facebook Business** (2023) ที่พบว่า ดนตรี (Music) เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่กลุ่มคน Young Generation สนใจ ชื่นชอบเป็นลำดับต้นๆ และพร้อมให้การสนับสนุนแบรนด์ที่จัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับดนตรี

“หลักสำคัญของการกลยุทธ์ในการสร้าง Brand Experience ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างการรับรู้เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องทำให้ แบรนด์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งที่จับต้องได้ และเข้าไปอยู่ในใจและไลฟ์สไตล์ของผู้คน ทำให้ผู้บริโภคเกิดความคุ้นเคย ใกล้ชิด และจดจำแบรนด์ได้อย่างชัดเจน โดยการจัดงาน “FWD Music Live Fest” มีแนวคิดการจัดงานที่สะท้อนความเป็นแบรนด์ FWD ประกันชีวิต คือ Innovative และ Differentiate ในการสร้างสรรค์จากความคิดริเริ่มที่ต้องการจัดงานเกี่ยวกับดนตรีที่มีเอกลักษณ์ แปลกใหม่ แตกต่าง และไม่เหมือนใคร จึงจัดงานเป็น Music Live Festival ที่มากกว่าการจัดคอนเสิร์ตแบบทั่วไป ด้วยการจัดงานต่อเนื่อง 4 วันเป็นครั้งแรกในธุรกิจประกันชีวิต พร้อมจัดเวที เต็มด้วย แสงสีเสียง สร้างพื้นที่เปิดเวทีให้น้องๆ School Band ได้แสดงออกในเชิงสร้างสรรค์อย่างรอบด้าน ทั้งร้อง เต้น เล่นดนตรี บนพื้นที่เดียวกับศิลปินชั้นนำ” นางสาวปวริศา กล่าว

กิจกรรม “FWD Music Live Fest” จัดขึ้นทั้งหมด 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 - 28 พฤษภาคม 2566 ณ ลานอัฒจันทร์ Siam Square One ลงทะเบียนรับสิทธิ์เข้างานเวลา 14:00 น. และคอร์นเสิร์ตเริ่มเวลา 15.00 น. เป็นต้นไป รวมถึงยังมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกเพื่อรับของรางวัลอีกมากมาย โดยภายในงานมีศิลปินนักร้องชื่อดัง ได้แก่

 

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม 2566 พบกับ PROUD (พราว) DISRUPTOR (ดิสรัพเตอร์) Yes Indeed (เยส อินดี้ด)

INK WARUNTORN (อิ้งค์ วรันธร) Club After Class (คลับอาฟเตอร์คลาส)

และ NONT TANONT (นนท์ ธนนท์)

 

วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 พบกับ LINISE (ลีนิช) SIXTH FLOOR (ซิกซ์ฟลอร์) Bonnadol (บอนซ์ ณดล) PiXXiE (พิกซี่) POLYCAT (โพลีแคท) และ MEAN (มีน)

วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม 2566 พบกับ I LOVE WEDNESDAY (ไอเลิฟเว้นส์เดย์) MARKET FEEL (มาร์เก็ตฟิล) New Country (นิวคันทรี่) Ally (แอลลี่) Season Five (ซีซันไฟฟ์) Lipta (ลิปตา)

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม 2566 พบกับ SG (เอสจี) NAÏVE (นาอีฟ) Zom Marie (ส้ม มารี) Atom Chanakan (อะตอม ชนกันต์) และ COCKTAIL (ค็อกเทล)

 

“FWD ประกันชีวิต หวังว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมของเราจะได้รับประสบการณ์ที่ดี มีความสุข ได้ Celebrate living ในทุกๆวัน และได้รับรู้และเข้าถึงแบรนด์ FWD ประกันชีวิต มากขึ้น เพราะ Music เป็นสื่อกลางที่มีประสิทธิภาพในการสร้างคอนเนคชั่นให้เกิดขึ้นร่วมกันระหว่างกลุ่มเป้าหมายและแบรนด์ได้เป็นอย่างดี และเรายังมีแผนสร้าง Brand Experience ในอีกหลากหลายรูปแบบที่อยากให้รอติดตาม เพื่อทำให้ FWD ประกันชีวิต ได้เข้าไปอยู่ในใจและใกล้ชิดกับทุกคนมากยิ่งขึ้น” นางสาวปวริศา กล่าวทิ้งท้าย

 

เคทีซีเดินหน้ารุกกลยุทธ์การตลาด เน้นขยายฐานสมาชิกไปยังกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ประกอบกับสมาชิกนิยมเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น จึงได้ร่วมมือกับ เดอะ บิสเตอร์ คอลเลคชัน (The Bicester Collection) แหล่งช้อปปิ้งที่รวบรวมแบรนด์แฟชั่นชั้นนำกว่า 1,300 ร้าน ใน 9 วิลเลจ อาทิ สหราชอาณาจักร เยอรมนี อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน ไอร์แลนด์ และ เบลเยียม มอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต เคทีซี วีซ่า ทุกประเภท ด้วย VIP Pass หวังสร้างประสบการณ์ระดับพรีเมียมให้สมาชิก พร้อมดันยอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ในต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้น

นางประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สำหรับในปี 2566 เคทีซีเน้นกลยุทธ์ขยายฐานสมาชิกบัตรเครดิตไปยังกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงมากขึ้น สืบเนื่องจากตัวเลขการใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ในกลุ่มดังกล่าวปรับตัวสูงขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับภาพรวมของพอร์ตสมาชิกทั้งหมด นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว ยอดรวมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต KTC ในหมวดนักท่องเที่ยวได้มีการปรับตัวสูงขึ้นมาเป็นสามอันดับแรกในไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 และยอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ในกลุ่มผู้มีรายได้สูงสำหรับร้านค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้นถึง 360% เคทีซีจึงสบโอกาสจับมือกับพันธมิตร “เดอะ บิสเตอร์ คอลเลคชัน” (The Bicester Collection) แหล่งช้อปปิ้งชื่อดังระดับโลกที่ผสมผสานแบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก เพื่อมอบเอกสิทธิ์พิเศษแก่ สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี วีซ่า ทุกประเภท ให้ได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งระดับพรีเมียม ด้วย VIP Pass ซึ่งรวมถึงส่วนลด 10% เมื่อซื้อสินค้าและบัตรกำนัลเครื่องดื่มมูลค่า £/€5 เมื่อใช้ควบคู่กับบัตรเครดิตเคทีซี วีซ่า ที่ เดอะ บิสเตอร์ คอลเลคชัน 9 วิลเลจที่ร่วมรายการได้แก่ บิสเตอร์ วิลเลจ ลอนดอน (Bicester Village, London) กิลดาร์ วิลเลจ ดับลิน (Kildare Village, Dublin) ลา วาเล วิลเลจ ปารีส (La Vallée Village, Paris) แวไธม์ วิลเลจ แฟรงก์เฟิร์ต (Wertheim Village, Frankfurt) อินโกสตัช วิลเลจ มิวนิค (Ingolstadt Village, Munich) มาสเมสเซเลน วิลเลจ บรัสเซลส์ (Maasmechelen Village, Brussels) ฟิเดนซา วิลเลจมิลาน (Fidenza Village, Milan) ลา โรกา วิลเลจ บาเซโลนา (La Roca Village, Barcelona) และลาส โรซาส วิลเลจ มาดริด (Las Rozas Village, Madrid) ตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2565 – 31 ธันวาคม 2566”

สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี วีซ่า สามารถดาวน์โหลด VIP Pass เพื่อรับส่วนลด 10% ได้ที่ ktc.promo/thebicestercollection และแสดงQR Code ที่เก็บไว้ใน eWallet ให้กับร้านค้าหรือร้านอาหารที่ร่วมรายการเดอะ บิสเตอร์ คอลเลคชัน

เดอะ บิสเตอร์ คอลเลคชัน เป็นจุดหมายปลายทางที่โดดเด่นอย่างมากในแถบประเทศยุโรปตะวันตกและประเทศจีนรวมทั้งสิ้น 11 แห่ง ซึ่งทำเลที่ตั้งจะอยู่ไม่ไกลจากเมืองศูนย์กลางสำคัญของโลก อาทิ ลอนดอน ปารีส เซี่ยงไฮ้ มิลาน บาร์เซโลนา มาดริด บรัสเซลส์ แอนต์เวิร์ป โคโลญจน์ ดุสเซลดอร์ฟ มิวนิก แฟรงก์เฟิร์ต และซูโจว ลูกค้าสามารถช้อปสินค้าได้ด้วยตนเองหรือผ่านช่องทางออนไลน์ เดอะ บิสเตอร์ คอลเลคชัน เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการผสมผสานแบรนด์แฟชันและไลฟ์สไตล์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก จึงอยากเชิญชวนให้ลูกค้าได้มาเยือนเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศ ความงดงามของวิลเลจชานเมือง เพลินเพลิดกับบริการเหนือระดับ พร้อมรับส่วนลดสูงสุดถึง 60% เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สุดแสนประทับใจมิรู้ลืม ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.TheBicesterCollection.com

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ KTC PHONE 02 123 5000 หรือที่เว็บไซต์ ktc.promo/thebicestercollection สมัครบัตรเครดิตได้ที่ศูนย์บริการสมาชิก เคทีซี ทัช ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือคลิกลิงค์ http://bit.ly/apply-ktc

“PointX” (พอยท์เอกซ์) แพลตฟอร์มที่รวมทุกคะแนนสะสมไว้ในที่เดียว เปลี่ยนประสบการณ์การใช้และสะสมพอยท์แบบไร้ขีดจำกัด ให้สามารถใช้พอยท์ได้เหมือนเงินสด โดย “เอสซีบี เทคเอกซ์” (SCB TechX) บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลเทคโนโลยี ภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ล่าสุด ส่งแคมเปญ “ช้อปซูเปอร์ฯ เปย์ด้วยพอยท์ เรทคุ้มเว่อร์ 9 PointX = 1 บาท” ที่ร้านค้าวิลล่า มาร์เก็ท (Villa Market) เมื่อชำระสินค้าหรือบริการด้วย PointX แทนเงินสด ผ่านฟีเจอร์สแกนจ่ายผ่าน QR Code (Scan & Pay) ที่วิลล่า มาร์เก็ททุกสาขาที่ร่วมรายการ รับอัตราแลกพอยท์เรทพิเศษ 9 PointX = 1 บาท ได้สูงสุด 14,400 คะแนนต่อรายการ หรือเทียบเท่ายอดใช้จ่าย 1,600 บาท รวม 1,200 สิทธิ์ ตลอดระยะเวลาส่งเสริมการขาย รวมทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2566 – 31 กรกฎาคม 2566 นี้ เท่านั้น ช้อปซูเปอร์ฯ ใช้พอยท์จ่ายแทนเงินสดเพลินๆ ได้ทุกวันแบบสุดคุ้มกับ PointX ได้แล้ววันนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center 02-777-7777 หรือเว็บไซต์ https://www.pointx.scb/villamarket-special-rate-mayjul23/

ขั้นตอนการใช้คะแนน PointX จ่ายแทนเงินสดที่ ร้านค้าวิลล่า มาร์เก็ท (Villa Market)

1. โอนคะแนนจากบัตรเครดิต SCB / CardX หรือพาร์เนอร์อื่นๆ เข้าสู่แอปพลิเคชัน PointX เพื่อเริ่มใช้จ่าย

2. เลือกสัญลักษณ์ “สแกน” ที่เมนูด้านล่าง เพื่อสแกน QR Code ที่ร้านค้า

3. หรือเข้าไปที่ “จ่ายที่ร้านค้า” เพื่อ “สแกนจ่ายด้วยคะแนน” ในแอปฯ PointX

4. สแกน QR Code ที่ร้านค้า เพื่อจ่ายด้วยคะแนน PointX

5. ชำระเงินด้วยคะแนน PointX ผ่านแอปฯ SCB EASY สามารถเลือกจ่ายด้วย “คะแนนทั้งหมด” หรือ “คะแนนบางส่วน”

6. ตรวจสอบข้อมูลการจ่าย จากนั้นเลือก “ยืนยัน”

สำหรับผู้ที่สนใจดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “PointX” โลกใหม่ของการใช้และสะสมพอยท์แบบไร้ขีดจำกัด สามารถดาวน์โหลดได้ที่ · ลิงก์สำหรับดาวน์โหลด https://www.pointx.scb/get/

· QR Code สำหรับดาวน์โหลด

 

· รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.pointx.scb/

ไซเบอร์จีนิคส์ (CyberGenics) ประกาศศักยภาพผู้นำด้าน "Tech Enabler" ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ภายใต้เครือบริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) จัดทัพมืออาชีพ เตรียมถ่ายทอดกลยุทธ์และองค์ความรู้ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ พร้อมโชว์เคสโซลูชั่นล้ำหน้าเพื่อองค์กรยุคดิจิทัล ในงาน “Smart Cybersecurity Summit, Thailand

นายสุธี อัศวสุนทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซเบอร์จีนิคส์ จำกัด เปิดเผยว่า ด้วยบทบาทของที่ปรึกษาในการเป็น Tech Enabler ที่มีความเชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ พร้อมประสบการณ์ดูแลลูกค้ามายาวนาน หนึ่งในความมุ่งมั่นขององค์กร คือการเร่งเตรียมความพร้อมให้กับองค์กรในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ทุกรูปแบบได้อย่างยั่งยืน บริษัทฯ จึงได้จัดเตรียมผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ เข้าร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย ในงาน Smart Cybersecurity Summit, Thailand ที่จัดขึ้นโดย ClosterStill และ ExpoSis พร้อมด้วย สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคง ปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) หรือ NCSA ซึ่งเป็นงานที่ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ทั้งในประเทศไทยและระดับโลกมากมายต่างมารวมตัวกันให้ความรู้แก่องค์กรธุรกิจ

“แต่ละองค์กรมีการดำเนินงานและระบบที่แตกต่างกัน ความต้องการด้านความปลอดภัยจึงมีความแตกต่างกัน ไซเบอร์จีนิคส์ มีความเข้าใจธรรมชาติของระบบโครงสร้างเทคโนโลยี โดยเฉพาะเรื่องของไซเบอร์ซีเคียวริตี้ และเตรียมพร้อมที่จะถ่ายทอดความโดดเด่นของเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยระดับโลกเพื่อสนับสนุนการใช้งานได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นโซลูชั่น คลาวด์ซีเคียวริตี้ เอดจ์ซีเคียวริตี้ และซีเคียวริตี้สำหรับอุตสาหกรรม4.0 และอื่นๆ อีกมาก ที่จะมาเติมเต็มความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้รัดกุมยิ่งขึ้น เพื่อเป็นแรงสนับสนุนที่แข็งแกร่ง เพื่อช่วยยกระดับความปลอดภัยจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ให้กับองค์กร ในการรับมือกับภัยเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายสุธี กล่าว

ทั้งนี้ ไซเบอร์จีนิคส์ พร้อมมอบความรู้เพื่อช่วยองค์กรยกระดับการรับมือกับทุกภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างทันท่วงที และสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้ธุรกิจในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน โดยพบกันได้ในงาน Smart Cybersecurity Summit, Thailand วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2566 เวลา 8.15 – 18.00 น. ณ ห้อง MR208-209 ชั้น 2 บูธ C03 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

อินเดียเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 10 อันดับแรก โดยมีอัตราคาดการณ์เติบโตเฉลี่ยสูงถึง 6.1% ต่อปีในช่วงปี 2566-2571 ซึ่งปัจจัยการเติบโตมาจากโครงสร้างประชากรในวัยแรงงานที่อยู่ในช่วงกำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกกว่า 180 ล้านคน ทำให้สัดส่วนครัวเรือนที่มีรายได้ปานกลางในระดับสูง (Upper Middle-Income) ขึ้นไป เพิ่มขึ้นเป็น 51% ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมด ส่งผลให้อินเดียเป็นตลาดส่งออกที่น่าจับตา โดยเฉพาะในปี 2566 นี้ ตลาดอินเดียมีโอกาสขยับเป็นตลาดส่งออกอันดับ 5 ของไทยด้วยมูลค่าส่งออกถึง 4.2 แสนล้านบาท

อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง จากการประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่คาดว่าเศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัว 5.9% ในปี 2566 ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2565 สำหรับในระยะต่อไปบนศักยภาพของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดี โดย IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอินเดียจะสามารถรักษาการเติบโตเฉลี่ยที่ 6.1% ในช่วงปี 2566-2571 หนุนด้วยการเติบโตของกำลังซื้อในประเทศในอัตราเร่ง ทำให้อินเดียเริ่มนำเข้าสินค้าหลายรายการเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นตามกำลังซื้อ ส่งผลให้อินเดียขยับจากการเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 10 ของไทยในปี 2562 ด้วยมูลค่า 2.28 แสนล้านบาท และเร่งตัวขึ้นเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 7 ในปี 2565 ด้วยมูลค่า 3.64 แสนล้านบาท หรือเติบโต 34.2% จากปี 2564 สำหรับในปี 2566 เมื่อพิจารณาบนพื้นฐานของการเติบโตในอัตราเร่งของเศรษฐกิจ ทำให้อินเดียมีโอกาสขยับสถานะเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 5 ของไทย ด้วยมูลค่าการส่งออก 4.2 แสนล้านบาท หนุนด้วยโครงสร้างประชากร โดยเฉพาะวัยแรงงานที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเพิ่มกำลังซื้อในประเทศในระยะยาว ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 มิติดังนี้

1) มิติเชิงปริมาณ ประเทศอินเดียปัจจุบันพบว่ามีประชากรอยู่ในวัยแรงงานจำนวน 874.5 ล้านคน ซึ่งคาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเพิ่มสูงถึง 1,054 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 178.6 ล้านคน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดส่งออกหลักอันดับ 4-6 เช่น ประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม พบโครงสร้างประชากรอยู่ในวัยแรงงานที่ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นที่ 2.0 ล้านคน 14.9 ล้านคน และ 4.9 ล้านคน ตามลำดับ และเมื่อเทียบกับตลาดส่งออกลำดับ 3 ของไทย เช่น ประเทศญี่ปุ่น พบโครงสร้างประชากรอยู่ในกำลังแรงงานที่ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะลดลงถึง 6.0 ล้านคน ซึ่งในมิติการเพิ่มขึ้นของจำนวนแรงงานในจำนวนมหาศาลของอินเดียเป็นปัจจัยเร่งต่อกำลังซื้อในมิติของปริมาณ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

2) มิติเชิงคุณภาพ ผ่านการยกระดับสถานะทางรายได้ เนื่องจากในช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมา อินเดียมีการเพิ่มขึ้นของรายได้ต่อหัวสูงถึง 56% เป็นลำดับที่ 2 ของกลุ่มประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 10 อันดับแรกของโลก สอดคล้องกับงานศึกษาของ Bain & Company ที่ประมาณการว่าในปี 2573 จะมีประชากรอินเดียที่มีรายได้ปาน

กลางในระดับสูงขึ้นไป จำนวนมากกว่า 500 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 51% ของจำนวนประชากรทั้งหมด เร่งตัวขึ้นจากปี 2561 ที่มีสัดส่วนเพียง 24% ซึ่งผลการศึกษาไปในทิศทางเดียวกันกับงานศึกษาขององค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ที่ชี้ว่าในปี 2573 ประชากรอินเดียจะเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ปานกลางมากที่สุดหรือคิดเป็นสัดส่วน 25% ของกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ปานกลางทั่วโลก ซึ่งในมิติการเปลี่ยนสถานะทางรายได้ เป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยให้เพิ่มในอัตราเร่ง

ดังนั้น ด้วยการเติบโตของตลาดส่งออกอินเดียในปี 2566 คาดว่าจะขยับสถานะเป็นตลาดส่งออกอันดับ 5 ของไทย และบนทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะยาว ttb analytics ประเมินว่าภายในปี 2575 ประเทศอินเดียมีแนวโน้มขยับขึ้นเป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 3 ของไทยแทนที่ญี่ปุ่น ด้วยแรงผลักดันจากกลุ่มสินค้าทั้งกลุ่มมูลค่าส่งออกสูงและสินค้าที่มีศักยภาพขยายตัวสูง ดังต่อไปนี้

กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูง เช่น กลุ่มน้ำมันพืช เม็ดพลาสติก และ เคมีภัณฑ์โดยในปี 2565 มีมูลค่าการส่งออกรวม 1.16 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 31.8% ของการส่งออกรวมไปอินเดีย ซึ่งแนวโน้มสินค้ามูลค่าส่งออกสูงเป็นกลุ่มสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคที่มีการเติบโตตามกำลังซื้อของประชากรที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากโครงสร้างรายได้ในปี 2561 พบว่า สัดส่วนครัวเรือนรายได้ปานกลางในระดับต่ำ (Lower Middle-Income) อยู่ที่ 57% และมีสัดส่วนครัวเรือนรายได้ต่ำ (Low-Income) อยู่ที่ 43% แต่มีการประมาณการว่าในปี 2573 สัดส่วนครัวเรือนรายได้ต่ำจะลดลงเหลือเพียง 15% ขณะที่ครัวเรือนที่มีรายได้ตั้งแต่ปานกลางในระดับต่ำขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นเป็น 85%

กลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพการขยายตัวสูง เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนสถานะไปสู่สังคมที่มีรายได้เฉลี่ยสูงขึ้น โดยประมาณการว่าในปี 2573 จะมีสัดส่วนครัวเรือนรายได้ปานกลางในระดับสูงขึ้นไปอยู่ที่ 51% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากปี 2561 ที่มีสัดส่วนเพียง 24% ซึ่งการเพิ่มขึ้นของครัวเรือนที่มีกำลังซื้อสูงเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกของกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น กลุ่มสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องสำอาง และ อาหารกลุ่มพรีเมียม ในปี 2565 มีมูลค่าส่งออกไม่มากแต่มีอัตราการเติบโตสูง

กล่าวโดยสรุป อินเดียเป็นตลาดส่งออกที่น่าสนใจและมีศักยภาพการขยายตัวสูงที่สุดตลาดหนึ่งในตลาดเศรษฐกิจใหญ่ 10 อันดับแรกของโลก ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีข้อได้เปรียบจากทำเลที่ตั้งที่สามารถเชื่อมภาคการค้าของอินเดียไปยังตลาดใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา และจีน ส่งผลให้ไทยควรใช้ข้อได้เปรียบดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุดผ่านข้อตกลงการค้าที่สำคัญ อาทิ ความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-อินเดีย (AIFTA) และ ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (BIMSTEC) รวมทั้งพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าเพื่อเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ และเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างการคมนาคมขนส่งโดยเฉพาะท่าเรือฝั่งตะวันตก

ของไทยเพื่อพัฒนาให้ไทยเป็นจุดเชื่อมโยงการค้าสำคัญของภูมิภาค เพื่อเพิ่มโอกาสการยกระดับเป็นคู่ค้าสำคัญของตลาดอินเดียที่มีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง

23 พฤษภาคม 2566 - มูลนิธิแมค แฮปปี้ แฟมิลี่ ร่วมกับ มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย เดินหน้าสานต่อพันธกิจ “โครงการสุขภาพดีใต้ร่มพระบารมี” พร้อมพันธมิตรจิตอาสาบูรณาการความร่วมมือ จัดนำทีมหน่วยรถ ทันตกรรมเคลื่อนที่ (Mobile Care) ออกเดินทางให้บริการตรวจรักษาฟันแก่เด็กและเยาวชน ให้โอกาสการเข้าถึงทันตสุขภาพฟันที่ดีมาแล้วมากกว่า 42,000 คน จวบจนเป็นเวลากว่า 7 ปี ลงพื้นที่ให้บริการตรวจและรักษาสุขภาพฟันฟรีแก่เด็กๆ ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม นับเป็นครั้งที่ 3 ของปี ซึ่งในปี 2566 นี้มีแผนการดำเนินการอย่างต่อเนื่องอีก 3-4 จังหวัด คาดการณ์ส่งมอบสุขภาพฟันที่ดีแก่เด็กๆ ที่เข้าร่วมโครงการฯ ในครั้งนี้อีกประมาณกว่า 600 คน

ม.ร.ว. จิยากร อาภากร เสสะเวช กรรมการอำนวยการ มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย และนายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการ มูลนิธิแมค แฮปปี้ แฟมิลี่ นางสาวกิตติวรรณ อนุเวชสกุล รองประธานกรรมการ มูลนิธิแมค แฮปปี้ แฟมิลี่ และประธานกรรมการบริหารบริษัท แมคไทย จำกัด พร้อมด้วยนายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ตลอดจนคณะผู้บริหารจากบริษัท แมคไทย จำกัด ร่วมเปิดโครงการฯ และเยี่ยมชมให้กำลังใจเหล่าพันธมิตรจิตอาสาจาก โรงพยาบาลทันตกรรมมหาจักรีสิรินธร มูลนิธิ ทันตแพทย์เอกชน ประเทศไทย ที่ได้มาร่วมสร้างโอกาสแก่เด็กในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ด้านทันตกรรม ตรวจสุขภาพฟันฟรี ครอบคลุมไปจนถึงการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีความรู้ความเข้าใจในการดูแลรักษาทันตอนามัยของตนเอง โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ณ โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ มหามงคล อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ซึ่งมีกำหนดการออกให้บริการแก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่ของจังหวัดนครปฐม ตั้งแต่วันที่ 23 – 26 พฤษภาคม 2566

มรว.จิยากร อาภากร เสสะเวช กรรมการอำนวยการ มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย กล่าวว่า “มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย ได้ร่วมมือกับมูลนิธิแมค แฮปปี้ แฟมิลี่ พร้อมหน่วยงานภาครัฐและเอกชน อาทิ โรงพยาบาลทันตกรรมมหาจักรีสิรินธร และมูลนิธิทันตแพทย์เอกชน (ประเทศไทย) รวมถึงทีมบุคลากรทางการแพทย์ และหน่วยงานด้านสาธารณสุขของแต่ละจังหวัดที่เราเข้าไปดำเนินการ พร้อมเดินหน้าภารกิจหน่วยรถทันตกรรมเคลื่อนที่ฯ อย่างเต็มที่ ด้วยมุ่งหวังเห็นเด็กไทยได้เข้าถึงโอกาสในการมีสุขภาพปากและฟันที่แข็งแรง ซึ่งความสำเร็จของโครงการฯทั้งหมดจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากขาดความร่วมมือและช่วยเหลือจากพันธมิตรทุกฝ่าย ต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ยังคงสนับสนุนและขับเคลื่อนโครงการที่ดีนี้ไปด้วยกัน”

นางสาวกิตติวรรณ อนุเวชสกุล รองประธานกรรมการ มูลนิธิแมค แฮปปี้ แฟมิลี่ และประธานกรรมการบริหารบริษัท แมคไทย จำกัด เผยถึงการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ว่า “ปัญหาสุขภาพฟันกับเด็กไทยถือเป็นปัญหาต้นๆ ที่ควรได้รับการดูแลและแก้ไข มูลนิธิฯ เล็งเห็นถึงปัญหานี้ ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของ “โครงการสุขภาพดีใต้ร่มพระบารมี” จึงมีความ

มุ่งมั่นเดินหน้าพร้อมให้การสนับสนุนโครงการฯ นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้พนักงานของแมคไทยได้ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือสังคม มีจิตสาธารณะเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมที่อยู่ร่วมกัน ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณทางมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย ตลอดจนพันธมิตรผู้ที่ให้ความร่วมมือทุกภาคส่วนที่ทำงานร่วมกันด้วยดีกันมาโดยตลอด ด้วยความมุ่งหวังที่จะขับเคลื่อนสังคมที่ดีต่อไป”

กิจกรรมการออกหน่วยรถทันตกรรมเคลื่อนที่ฯ ในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ในการจัดเตรียมเจ้าหน้าที่คัดกรอง ทันตแพทย์ และผู้ช่วยทันตแพทย์ในพื้นที่ รวมถึงได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทุกภาคส่วนของจังหวัดนครปฐม นอกจากนี้ ยังมีจิตอาสาใจดีจากบริษัท แมคไทย จำกัด เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ และได้รับการสนับสนุนของเล่นเพื่อแจกแก่เด็กๆ จากแมคโดนัลด์

นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม กล่าวว่า “ตามที่มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย และมูลนิธิ แมค แฮปปี้แฟมิลี่ จัดโครงการ “สุขภาพดีใต้ร่มพระบารมี” ออกให้บริการทางทันตกรรม แก่เด็กนักเรียนในพื้นที่จังหวัดนครปฐมในครั้งนี้ เด็กและเยาวชนที่เข้ารับบริการ จะได้รับประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากเป็นบริการที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ต้องขอขอบคุณแทนนักเรียนในจังหวัดนครปฐม ที่มีโอกาสได้รับบริการต่าง ๆ จากหลายภาคส่วน ทั้งจากส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดนครปฐม และจากส่วนกลางที่ได้เดินทางมาทำงานร่วมกัน”

พันธกิจนี้จะยังคงขับเคลื่อนต่อไปเพื่อเติมเต็มรอยยิ้ม และสุขภาพฟันที่ดีแก่เด็ก และเยาวชนของไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เด็กในพื้นที่ห่างไกลได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย สามารถติดตามให้กำลังใจหน่วยรถทันตกรรมเคลื่อนที่ (Dental Care Unit) ภายใต้โครงการ “สุขภาพดีใต้ร่มพระบารมี” โดยมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย มูลนิธิ แมค แฮปปี้ แฟมิลี่ และคาราวานพันธมิตรผ่านทาง www.rmhc.or.th และ facebook/rmhcthailand หรือแบ่งปันและมอบโอกาสให้กับผู้ป่วยเด็กและครอบครัวให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้โดยบริจาคออนไลน์ผ่าน www.rmhc.or.th

 

กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน เตรียมจัดมหกรรม JOB EXPO THAILAND 2023 “คนหางาน งานหาคน” ชวนคนว่างงาน คนหางาน มาสมัคร มาสัมภาษณ์งานกับตำแหน่งงานว่างกว่า 500,000 อัตรา รวมโอกาสทำงานในต่างประเทศ พร้อมบริการเรื่องงานไว้ครบในงานเดียว ในวันที่ 8 – 10 มิถุนายนนี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ฮอลล์ 100 – 102 เวลา 10.00 – 20.00 น.

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานมีนโยบายส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ประชาชนวัยกำลังแรงงานทุกกลุ่มเป้าหมาย สนับสนุนการจ้างงานที่มั่นคงและต่อเนื่องตลอดวัยทำงาน และให้ผู้ต้องการทำงานได้ทราบความต้องการของตลาดแรงงาน ทักษะและเทคนิคเกี่ยวกับการสมัครงานเพิ่มขึ้น รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาความรู้ทักษะฝีมือแรงงานให้มีศักยภาพสูงขึ้น เตรียมตัวเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยภายใต้การจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2023 ในครั้งนี้ นับว่าเป็นมหกรรมการจัดหางานที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศ ได้มีการรวบรวมตำแหน่งงานทั้งในประเทศและต่างประเทศไว้มากกว่า 500,000 อัตรา จากหลากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ และ เอกชน สถานประกอบการชั้นนำกว่า 400 องค์กร ที่พร้อมเปิดโต๊ะต้อนรับสัมภาษณ์ผู้สมัครงานกันภายในงาน ควบคู่กับการสัมภาษณ์งานออนไลน์ผ่านระบบ Zoom อาทิ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และ บริษัท ฟอร์ท เวนติ้ง จำกัด เป็นต้น โดยงานนี้ได้รวบรวมตำแหน่งงานสำหรับ

นักศึกษาจบใหม่ ผู้ว่างงาน รวมถึงกลุ่มเปราะบาง ผู้พิการ และผู้สูงอายุ ทั้งงานประจำที่นายจ้างสถานประกอบการยินดีรับผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี และอาชีพอิสระสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการหารายได้เสริม

ภายในงาน ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจหางานทุกกลุ่ม อาทิ โซนนิทรรศการ ประกอบด้วย นิทรรศการเทิดพระเกียรติศาสตร์แห่งพระราชา “ศาสตร์แห่งความพอเพียง”, โครงการจิตอาสา 904 และ โคก หนอง นา โมเดล และหลากหลายโซนกิจกรรม อาทิ กิจกรรม คนหางาน งานหาคน Job matching, Show case application “ไทยมีงานทำ” , กิจกรรมสาธิต ฝึกปฏิบัติอาชีพอิสระ 30 อาชีพ และ ธุรกิจเฟรนไชส์ Food Truck กว่า 20 ธุรกิจ นอกจากนี้ กิจกรรมการแสดงบนเวที ยังอัดแน่นตลอด 3 วันงาน สนุกกับมินิคอนเสิร์ตจาก YOURMOOD (8 มิ.ย.), มีนตรา อินทิรา (9 มิ.ย.) และ ปราง ปรางทิพย์ (10 มิ.ย.)

“กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เตรียมงานไว้ให้แล้ว JOB EXPO THAILAND 2023 ระหว่างวันที่ 8 – 10 มิถุนายน 2566 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา Hall 100 – 102 กรุงเทพมหานคร”

X

Right Click

No right click