

Booking.com เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ภายใต้โปรแกรมการเดินทางอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบหนึ่งปีหลังจากเปิดตัว ป้ายสัญลักษณ์ ‘ที่พักสำหรับเดินทางอย่างยั่งยืน’ ในปี 2564 เพื่อใช้รับรองความน่าเชื่อถือของที่พักรักษ์โลกที่มีเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก เพื่อให้ผู้เดินทางสามารถเข้าถึงข้อมูลที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐาน และเข้าใจง่าย สำหรับบ่งชี้ความเป็นที่พักรักษ์โลกได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น
โดยฟีเจอร์ใหม่ที่ Booking.com นำเสนอให้กับผู้เดินทางมีตั้งแต่ ป้ายสัญลักษณ์ที่พักสำหรับเดินทางอย่างยั่งยืน แบบหลายเลเวล การเพิ่มตัวกรองใหม่สำหรับตัวเลือกรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของที่พักและเที่ยวบินบนแพลตฟอร์ม
ป้ายสัญลักษณ์ที่พักสำหรับเดินทางอย่างยั่งยืนแบบหลายเลเวล
การเพิ่มระดับหรือเลเวลของการรับรองที่พักรักษ์โลก ด้วย ‘ป้ายสัญลักษณ์ที่พักสำหรับเดินทางอย่างยั่งยืนแบบหลายเลเวล’ นั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยนำเสนอและทำให้ที่พักที่มีความพยายามในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม แต่ยังไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการถูกมองเห็นมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ผู้เดินทางได้เห็นถึงความมุ่งมั่นของที่พักเหล่านี้บนเส้นทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ที่นำไปสู่การได้รับใบรับรองและป้ายกำกับพิเศษจากหน่วยงานด้านความยั่งยืนต่าง ๆ รวมถึงยกย่องที่พักที่มีความมุ่งมั่นและการลงทุนจำนวนมากเพื่อให้บรรลุหนึ่งในใบรับรองและป้ายกำกับพิเศษด้านความยั่งยืนที่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง
![]()
ฟีเจอร์ ‘ป้ายสัญลักษณ์ที่พักสำหรับเดินทางอย่างยั่งยืนแบบหลายเลเวล’ จะเป็นตัวช่วยแสดงให้เห็นถึงแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืนที่ชัดเจนขึ้นสำหรับที่พัก เพื่อดำเนินธุรกิจไปสู่เป้าหมายในการได้ใบรับรองมาตรฐาน และเป็นแรงบันดาลใจให้ที่พักอื่น ๆ ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความยั่งยืนด้วยเช่นกัน ซึ่งป้ายสัญลักษณ์ดังกล่าวจะมีทั้งหมด 3 ระดับ
โดยเรียงลำดับตามความก้าวหน้าในการดำเนินการด้านความยั่งยืนของที่พัก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหรือการดำเนินธุรกิจตามแนวทางปฎิบัติที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยผู้ให้บริการที่พักที่มีความมุ่งมั่นและการลงทุนจำนวนมากเพื่อให้ได้รับหนึ่งใน ‘ใบรับรองและป้ายกำกับพิเศษ’ จากหน่วยงานด้านความยั่งยืนที่มีมากกว่า 40 องค์กรที่ทำงานร่วมกับแพลตฟอร์ม Booking.com จะได้รับการยืนยันมาตรฐานการเป็นที่พักรักษ์โลกด้วยป้ายสัญลักษณ์ ‘ที่พักที่ผ่านการรับรอง’ หรือ Certified property
ข้อมูลเกี่ยวกับการเปิดตัวฟีเจอร์ ‘ป้ายสัญลักษณ์ที่พักสำหรับเดินทางอย่างยั่งยืนแบบหลายเลเวล’ และแนวทางแนะนำต่าง ๆ ได้ถูกนำเสนอให้กับที่พักคู่ค้าทั่วโลกของ Booking.com และจะเริ่มปรากฏบนแพลตฟอร์ม Booking.com ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า และจากการเปิดตัวป้ายสัญลักษณ์ใหม่นี้เอง ทำให้ล่าสุดมีที่พักมากกว่า 400,000 แห่งทั่วโลกได้รับการรับรองถึงความพยายามในการดำเนินธุรกิจบนเส้นทางแห่งความยั่งยืน สำหรับประเทศไทยมีที่พักกว่า 5,000 แห่งได้รับป้ายสัญลักษณ์ที่พักสำหรับเดินทางอย่างยั่งยืน
ตัวกรองใหม่สำหรับค้นหารถเช่าแบบไฟฟ้าและแบบไฮบริด
ตัวกรองใหม่สำหรับค้นหารถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% สำหรับเช่า รวมไปถึงรถยนต์แบบไฮบริดสำหรับเช่าบน Booking.com จะช่วยให้ผู้เดินทางสามารถเข้าถึงตัวเลือกการเดินทางด้วยรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้น ด้วยตัวเลือกรถเช่าแบบไฮบริดและรถไฟฟ้าที่มีให้บริการแล้วใน 60 ประเทศทั่วโลก และคาดว่าตัวเลือกเหล่านี้จะมีให้บริการในประเทศอื่น ๆ มากยิ่งขึ้นในปีหน้า
![]()
ข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับที่พักและเที่ยวบิน
ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง Booking.com และ CHOOOSE องค์กรด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของที่พักในทวีปยุโรปจะถูกนำเสนอผ่านแพลตฟอร์ม Booking.com เป็นครั้งแรก เพื่อนำร่องนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเลือกที่พักให้กับผู้เดินทางที่ต้องการเลือกเดินทางแบบยั่งยืนมากยิ่งขึ้น และเพื่อค้นหาแนวทางที่ดีที่สุดในการนำเสนอข้อมูลดังกล่าวให้กับผู้เดินทางทั่วโลก
นอกจากนี้เพื่อเป็นการต่อยอดความร่วมมือกับ CHOOOSE และกรอบความร่วมมือด้านการบินที่พัฒนาร่วมกับ Travalyst Coalition ทาง Booking.com จะเริ่มนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของเที่ยวบินที่มีให้บริการบนแพลตฟอร์ม ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ส่วนฟีเจอร์การแนะนำตัวเลือกเที่ยวบินที่ถูกจัดเรียงตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะเปิดให้ผู้เดินทางได้ใช้งานในปี 2566 ที่จะถึงนี้
“เราเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาโปรแกรมด้านการเดินทางอย่างยั่งยืนไปอีกขั้น เพื่อเป้าหมายในการทำให้ทุกคนเข้าถึงตัวเลือกด้านความยั่งยืนได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น สำหรับทริปเดินทางครั้งต่อไปของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นอพาร์ตเมนต์แบบรักษ์โลกสำหรับพักผ่อนในวันหยุด รถยนต์ไฟฟ้าสำหรับ Road Trip ที่กำลังจะมาถึง หรือข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของเที่ยวบินที่เขาจะจอง โดยเราจะคอยส่งเสริมลูกค้าและให้คำแนะนำพาร์ตเนอร์ไปตลอดเส้นทางแห่งความยั่งยืน เพื่อโลกของเราทุกคน” Danielle D’Silva ผู้ดำรงแหน่ง Head of Sustainability ของ Booking.com กล่าว
ในประเทศไทยมีคนพิการมากกว่า 1.7 ล้านคน แต่ มีเพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ มีงานทํา นั่นคือปัญหาที่เมธาวี ทัศนาเสถียรกิจ คิดว่าเธอจะช่วยแก้ปัญหาได้
![]()
เมธาวี ทัศนาเสถียรกิจ หรือ จูน ผู้ร่วมก่อตั้ง Vulcan Coalition ในปี 2563 ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับ คุณสัตยา นาเดลลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไมโครซอฟท์ ที่งาน Microsoft APAC Innovators Forum ที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อเร็วๆ นี้ เล่าว่า Vulcan Coalition มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบริการ AI ใหม่ๆ ที่เป็นภาษาไทยพร้อมๆไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการ จาก การศึกษาทางประสาทวิทยา พบว่า บุคคลที่มีความพิการทางการมองเห็นหรือการได้ยิน ในบางคนมีประสาทส่วนการรับรู้ที่พิเศษกว่าบุคคลทั่วไป ซึ่งเป็นการชดเชยความบกพร่องของระบบประสาทในส่วนที่เสียไป
"เราได้เรียนรู้ว่าคนพิการเสมือนจะมีพลังพิเศษ" จูนกล่าว "ดังนั้นเราจึงเห็นโอกาสที่จะจับคู่พวกเขากับงานประเภทนี้"
การจับคู่งานดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหาสําคัญในประเทศไทยซึ่งเป็นที่ตั้งของสตาร์ทอัพ และกำลังขาดแคลนพนักงานที่สามารถสอนจากการป้อนข้อมูลที่ถูกต้องจํานวนมากเพื่อสร้างออกมาเป็นรูปแบบภาษาไทย
การ label หรือการป้อนและกํากับข้อมูลเกี่ยวข้องกับการระบุข้อมูลดิบ เช่น ไฟล์เสียงหรือวิดีโอ และการเพิ่มป้ายกํากับข้อมูลสําหรับบริบท สิ่งนี้ทําให้โมเดลแมชชีนเลิร์นนิงเรียนรู้จากข้อมูล ซึ่งช่วยให้แอปต่างๆ เช่น บริการแชทบอท และการรับรู้จดจําเสียง (voice recognition)
![]()
จูน-เมธาวี ทัศนาเสถียรกิจ และ นิรันดร์ ประวิทย์ธนา ผู้ร่วมก่อตั้ง ได้พัฒนาหลักสูตรที่สามารถนําเสนอต่อรัฐบาลไทยเพื่อแสดงให้เห็นว่าคนพิการสามารถปฏิบัติงานได้ดีในฐานะผู้ป้อนข้อมูล หรือ data labeler หลังจากได้รับการพัฒนาทักษะ และสามารถป้อนข้อมูลที่ถูกต้อง วัลแคนร่วมมือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน 2,000 คน ฝึกสอนทักษะในการป้อนข้อมูล โดย Vulcan Academy ได้ทําหน้าในการฝึกอบรมและให้การทดสอบสําหรับผู้สมัครที่มีศักยภาพ
"ตอนที่เราบอกครั้งแรกว่าเราต้องการจ้างพวกเขาเป็นผู้ปรับคุณภาพข้อมูล พวกเขากลัวนิดหน่อยพวกเขาไม่เคยทำมาก่อน" จูนกล่าว "มีคนบอกพวกเขาว่าพวกเขาไม่สามารถทํางานหลายประเภทได้ เราต้องโน้มน้าวให้พวกเขาเรียนหลักสูตรนี้ แต่ตอนนี้มันเป็นสิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้พวกเขาเพราะเขาสามารถบอกคนอื่นว่าพวกเขาทํางานที่มีมูลค่าสูงนี้ได้สำเร็จ"
ปุณพจน์ เอื้อพลิศาน์ หรือวิน เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์อาวุโสที่พิการทางสายตา ทำงานเป็นพนักงานประจำที่ วัลแคน โคอะลิชั่น เขาช่วยสร้างแพลตฟอร์มที่บุคคลทั่วไปใช้ในการป้อนข้อมูลผ่านการแปลงคําพูดเป็นข้อความและกระบวนการอื่นๆ และนับเป็นส่วนสําคัญในการช่วยบริษัทที่กําลังพัฒนาโปรแกรม AI หลังจากนี้เป็นต้นไป
"ผมชอบพวกเรื่องคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก"วินกล่าว "ผมตั้งใจลงทะเบียนเรียนที่มหาวิทยาลัยในสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หลังจากสําเร็จการศึกษาผมก็ได้พบกับหัวหน้าเจ้าหน้าที่วิจัยที่วัลแคน และเขาบอกผมว่าเขาต้องการจัดตั้งแผนกวิศวกรรมของคนพิการ ดังนั้นผมจึงเข้าร่วมทีมและเราทําผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มมากมายโดยเปิดให้ผู้พิการที่ฝึกสอน AI ใช้ระบบของเรา นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโครงการที่เราทําร่วมกับองค์กรภายนอกอีกด้วยครับ"
ภารกิจระดับโลกของไมโครซอฟท์ในการช่วยให้ทุกคนและทุกองค์กรบนโลกใบนี้ให้ประสบความสําเร็จมากขึ้นได้หยั่งรากลึกผ่าน AI for Good ซึ่งเป็นแคมเปญระดับโลกของเรา โดยดึงเอาความสามารถทางเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบจากแพลตฟอร์ม Microsoft Cloud และ AI เพื่อทําให้โลกมีความยั่งยืนและเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยี
วัลแคน โคอะลิชั่น ไม่เพียงแต่ ได้รับการสนับสนุนจากไมโครซอฟท์ ในการนำ AI เข้ามาสร้างโอกาสให้ผู้พิการ แต่วัลแคนยังได้รางวัลชนะเลิศ Thailand Virtual Hackathon จากการพัฒนาฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้พิการสามารถตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย อาการป่วย และเช็คอินเมื่อเข้าสู่สถานที่หรืออาคารต่าง ๆ ได้โดยอัตโนมัติ ทั้งยังสามารถใช้กล้องตรวจสอบว่าแต่ละคนใส่หน้ากากอยู่หรือไม่ ด้วยระบบ AI ที่ทำงานอยู่บนแพลตฟอร์มคลาวด์ Microsoft Cloud
ทีมวัลแคน ได้ให้สมาชิกที่หูหนวกทำการสอน กํากับและฝึก AI โดยฝึกจากข้อมูลภาพ จากการเป็นผู้ชนะในครั้งนั้นไมโครซอฟท์ภายใต้โครงการสนับสนุนสตาร์ทอัพ ได้มอบ Cloud credit ให้เป็นมูลค่า 25,000 ดอลลาร์สหรัฐโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนทางวัลแคน ให้พัฒนาโครงการที่เหมาะสมต่อไป รวมถึงได้ให้คําปรึกษาและการสนับสนุนการสร้างแอปพลิเคชันบนโจทย์ AI for Good และตามด้วยการสนับสนุนให้ผู้พิการนำ IP มาขายอยู่บน Microsoft Azure Marketplace อีกด้วย
"ถ้าไม่มีความช่วยเหลือของไมโครซอฟท์ มันจะยากขึ้นมาก เพราะเราเป็นสตาร์ทอัพเล็กๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นและก็ยากที่จะได้รับการยอมรับจากองค์กรใหญ่ๆ" จูนกล่าว
ตอนนี้ วัลแคน มีงานที่กำลังทำให้กับธนาคาร แผนกบุคคลของหลายองค์กร และบริษัทรีเทลของแต่งบ้าน โดยการสร้าง AI แชทบอทและ กระบวนการการทำงานที่ใช้ AI เป็นผู้ช่วย โดยมีการใช้งานทั่วประเทศ ทั้งนี้ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของรายได้จากบริการ AI ของ Vulcan จะถูกแบ่งให้กับพนักงานเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
ในประเทศไทยรัฐมีนโยบายให้บริษัทจ้างพนักงานผู้พิการ 1 คนต่อพนักงานทุกๆ 100 คน ในบางกรณี ที่เนื้องานไม่ตรงกับผู้พิการ หลายๆบริษัท เพียงแค่จ่ายเงินให้กับบุคคลและไม่ได้เสนอโอกาสในการทํางานที่แท้จริง
สําหรับ Vulcan การเป็นพันธมิตรกับ บริษัท ที่กระตือรือร้นที่จะใช้แรงงานที่มีทักษะอย่างแท้จริง ทำให้สามารถประเมินได้ว่าภายในสองปีหลังจากเริ่มโปรแกรม บริษัทจะจับคู่คนพิการ 600 คนเข้ากับงาน AI สําหรับคนทำงานผู้พิการแล้วมันเป็นแหล่งรายได้ที่สง่างาม สร้างโอกาสมากมายจากการได้รับการฝึกฝนทักษะด้านเทคโนโลยีที่มีความต้องการสูง
"พนักงานของเรารู้สึกทึ่งกับโครงการของเรามาก พวกเขาต้องการรู้ว่ามันเป็นอย่างไรและผลงานจะถูกใช้อย่างไรในอนาคต" วิน กล่าว "พวกเขาสนใจและภูมิใจในสิ่งที่พวกเขากําลังทํามากๆ ครับ"
ตลาดแรงงานในยุคที่ประสบกับโควิด ดิสรัปชั่น (COVID disruption) ที่สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก วิถีการดำเนินชีวิตของผู้คน และโลกของการทำงานที่การเปลี่ยนแปลงไปอย่างเฉียบพลัน ผู้คนนิยมทำงานแบบไฮบริด(Hybrid Working) มากขึ้น องค์กรจำเป็นต้องปรับตัวครั้งใหญ่ โดยคำนึงถึงสภาพจิตใจ และขวัญกำลังใจของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญ
แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ในฐานะองค์กรหางาน-หาคนอย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น การบริการค้นหาพนักงานประจำ คอนแทร็คระยะสั้น การบริการ outsourcing ทุกตำแหน่งงาน ตั้งแต่ระดับล่างจนถึงผู้บริหารระดับสูงตามความต้องการของธุรกิจ Visa & Work Permit Payroll และ Outplacement ภายใต้แบรนด์ “แมนพาวเวอร์ (Manpower) เอ็กซ์พีริส (Experis®) และทาเลนท์ โซลูชันส์ (Talent Solutions)” โดยแมนพาวเวอร์กรุ๊ปได้ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งนี้เสมอมา เพราะเชื่อมั่นว่า ‘บุคลากรขององค์กร คือ ทรัพยากรที่มีค่าที่สุด’การสร้างคุณภาพชีวิต และพัฒนาทักษะจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และอีกสิ่งสำคัญในลำดับต้น ๆ ของการสร้างความสุข และรักษาสมดุลในการทำงานอย่างยั่งยืนคือ ความเข้าใจในความต่างของแรงงาน 3 เจนเนอร์ชั่น คือ Gen X, Y, และ Z คนรุ่นใหม่ไฟแรง คนหนุ่มคนสาว ที่มักจะมากับความคิดใหม่ ๆ ไฟแรงตลอดเวลา ในขณะเดียวกันก็ต้องการความมั่นคง และยืดหยุ่นในการทำงาน
ลิลลี่ งามตระกูลพานิช ผู้จัดการประจำประเทศไทย แมนพาวเวอร์กรุ๊ป เปิดเผยว่า “จากผลสำรวจตลาดแรงงานของแมนพาวเวอร์กรุ๊ปพบว่า ปัจจุบันอัตราการเปลี่ยนงาน (Turnover rate) พุ่งสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ทักษะทางด้านไอทีและเทคโนโลยีก็เป็นที่ต้องการกว่าก่อน เพราะผู้คนเริ่มทำงานแบบไฮบริดมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ส่งสัญญาณถึงผู้ประกอบการว่า ถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการ หรือองค์กรต่าง ๆ จะต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินธุรกิจและการทำงานอย่างจริงจัง เพื่อให้ตอบรับต่อความต้องการของพนักงาน การรักษาพนักงานที่มีศักยภาพให้คงอยู่ การเตรียมความพร้อมให้พนักงาน หรือระบบที่จะรองรับการทำงานแบบดิจิตัลมากขึ้น โดยเฉพาะทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง วิธีคิดแบบดิจิทัล และการทำการตลาดผ่านสื่อดิจิทัล การทำงานแบบ Hybrid working เป็นบทบาทความท้าทายใหม่ขององค์กรที่จะต้องปรับตัวเพื่อสร้างสมดุล และความสุขในการทำงานให้กับพนักงานที่มีความต่างกันใน แต่ละช่วงวัยที่ต้องทำงานร่วมกัน นั่นก็คือ
เจเนอเรชั่น เอ็กซ์ หรือ Gen-X เป็นผู้ที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2508 – 2523 เปรียบเสมือนพี่ใหญ่ เป็นผู้ที่ผ่านเหตุการณ์สำคัญ ๆ ในชีวิตการทำงานช่วงต้นมาอย่างหนักหน่วง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง หรือแฮมเบอร์เกอร์ รวมทั้งเห็นการทำงานแบบทุ่มเท ทั้งชีวิตของคนรุ่นพ่อแม่ ทำให้ Gen-X ให้ความสำคัญกับการทำงานแบบ Work-Life Balance เพื่อรักษาสมดุลย์ แต่ยังเน้นเรื่องความรับผิดชอบตามหน้าที่อย่างเต็มที่ รวมทั้งเริ่มเปิดกว้างทางความคิด หรือไอเดียใหม่ๆ และเน้นเป้าหมายของทีมเป็นหลัก
เจเนอเรชั่น วาย หรือ Gen-Y หรือผู้ที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2523 – 2537 เปรียบเสมือนน้องคนกลาง ซึ่งตอนนี้หลายคนเริ่มเติบโตขึ้นเป็นระดับ Middle Management ในหลายองค์กรแล้ว เราจะเห็นสไตล์การทำงานในรูปแบบที่แตกต่าง Gen-Y ชอบความชัดเจน เปิดรับความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมามากขึ้น กล้าแสดงความคิดเห็นและกล้าร้องขอในสิ่งที่คิดว่าตนเองสมควรได้รับ ดังนั้นเราจะเริ่มเห็นรูปแบบของหัวหน้างานที่นำทีมโดยสร้างความท้าทายให้ทีม พุ่งชนเป้าหมายมากขึ้น ดังนั้นความท้าทายขององค์กรคือ การรักษา Gen-Y ให้เผชิญเรื่องใหม่ๆ เสมอ เพราะเป็นเจเนอเรชั่นที่หากเบื่อ ก็มีโอกาสเปลี่ยนงานได้ตลอด
เจนเนอเรชั่น ซี หรือ Gen-Z ผู้ที่เกิดตั้งแต่พ.ศ. 2540 ขึ้นไป จึงเปรียบเสมือนน้องเล็ก เป็นคนเกิดยุคที่โลกหมุนเร็วมาก จึงมักจะเป็นคนที่วิเคราะห์และตัดสินใจรวดเร็ว ไม่กลัวกับปัญหาและพร้อมรับมือด้วยความสนุก เจนนี้สนุกกับการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว กล้าเสนอมุมมองใหม่ ๆ นอกกรอบ ซึ่งเราจะเห็นน้องๆ เจน Z กล้าตั้งคำถามกับรูปแบบและขั้นตอนการทำงานแบบเดิม ๆ เพื่อหา ทางใหม่ที่เร็วขึ้น ไม่ต้องยึดติดกับเวลาแบบเมื่อก่อน คน Gen-Z จึงเป็นความท้าทายใหม่ที่หนักหน่วงของผู้ประกอบการ ที่จะต้องรับมือกับ Turnover ที่สูงขึ้นของ Gen-Z หากองค์กรไม่เข้าใจธรรมชาติของ Gen-Z ซึ่งคน Gen-Z ไม่อยู่ในโลกของการทำงานเข้าเช้ากลับเย็นอีกต่อไป ความท้าทายและความสนุกในงานต่างหากคือสิ่งที่ยึด Gen-Z ไว้ได้ องค์กรควรจะรักษาสมดุลระหว่างความท้าทายของงานกับผลตอบแทนที่ดึงดูด เพราะคนเจนนี้พร้อมก้าวออกไปสู่ที่ทำงานที่สามารถ ๆ ตอบโจทย์มากกว่า
“Work from home ไม่ควรถูกจำกัดแค่ที่บ้านอีกต่อไป แต่ควรจะเป็น “ที่ไหนก็ได้” จากร้านกาแฟ จากชายหาด หรือบนเกาะ ตราบใดที่ยังทำงานในชั่วโมงที่ระบุไว้ สามารถทำงานหรือสื่อสารกับทีมได้ตลอด และประสิทธิภาพงานยังคงเดิมอยู่ แต่ทั้งนี้ต้องอิงกับหน้าที่ของตำแหน่งนั้น ๆ ด้วย”
ทั้งนี้ ด้วยระยะเวลาเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ดังกล่าวบังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น Work from home 100% สลับเข้าทำงานในบางวัน หรือการเข้าออฟฟิศ 100% แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย ในฐานะผู้นำใน การหางาน-หาคนอย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น การบริการค้นหาพนักงานประจำ คอนแทร็คระยะสั้น การบริการ outsourcing ทุกตำแหน่งงาน ตั้งแต่ระดับล่าง-ผู้บริหารระดับสูง ตามความต้องการของธุรกิจ Visa & Work Permit Payroll และ Outplacement ภายใต้แบรนด์ “แมนพาวเวอร์ (Manpower) เอ็กซ์พีริส (Experis®) และทาเลนท์ โซลูชันส์ (Talent Solutions) ได้เล็งเห็นถึงอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการทำงานในยุคดิจิทัลที่เพิ่งประสบกับโควิด ดิสรัปชั่น คือ การทำงานแบบไฮบริด วิถีการทำงานแบบใหม่ควบคู่กับการบริหารที่มีตัวชี้วัดความสำเร็จในการบริหารจัดการต้นทุนทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งตนเองเชื่อว่าหลายองค์กรทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เริ่มเห็นตรงกันว่า ผลกระทบสำคัญอย่างหนึ่งที่เราได้มาจากสถานการณ์โควิด 19 คือ การรักษาสมดุลชีวิตส่วนตัวและการทำงาน เราเห็นชีวิตคุณภาพจริงๆ ของคนทำงานคือ มีวันที่ได้เจอเพื่อนร่วมงาน ประชุม ปรึกษากัน เพื่อให้ทีมได้มีโอกาสวางเป้าหมายการทำงานร่วมกัน ในขณะที่เราก็ยังมีวันที่เคลียร์งานบางอย่างที่เราอาจจะไม่มีเวลาสะสาง หรือได้ใช้สมาธิในการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ กระทั่งทบทวนตัวเองเพื่อการพัฒนาแบบที่ไม่ต้องมีคนมารบกวน และลดเวลาการเดินทาง แต่เพิ่มเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัว คนทำงานไม่จำเป็นต้องทำงานที่ออฟฟิศทุกวันก็สามารถปฏิบัติงานได้ดีตามปกติ หรือ บางเคสดีกว่าปกติเสียอีก ความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น ทำให้คนจัดตารางชีวิตได้ดีขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ประหยัดค่าเดินทาง ไม่ต้องรอตอกบัตรเข้าออก สุขภาพจิตทุกคนก็จะดี มีผลดีต่องาน
ดังนั้น แนวคิดการทำงานแบบไฮบริด จึงกลายเป็นรูปแบบการทำงานที่หลายองค์กร รวมทั้งแมนพาวเวอร์ก็นำมาใช้ และได้รับการตอบรับเชิงบวกจากพนักงาน ซึ่งสอดคล้องกับวัฒนธรรมของเราที่เน้นเรื่องผลงานมาตลอด ในแต่ละเดือนก็ปรับเปลี่ยนจำนวนคนเข้าออฟฟิศตามความเหมาะสม ขึ้นกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในแต่ละช่วงด้วย
คุณลิลลี่ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อเร็ว ๆ นี้ แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย ได้มีการนำร่องนโยบายทำงานจากที่ไหนก็ได้ หรือ Work From Anywhere 4 วันต่อเดือน โดยเราน่าจะเป็นบริษัทแรก ๆ ในไทยที่มีนโยบายแบบนี้ เพราะเชื่อเสมอว่า สวัสดิการของพนักงานและความยืดหยุ่นขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญ หากดูแลทุกคนดี ทุกคนก็จะมีความสุขกับการทำงาน และนำมาซึ่งประสิทธิภาพ การทำงานที่ดี การทำงานแบบ Work From Anywhere ตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานทั้งในเชิงสวัสดิภาพ ความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตทำงาน หรือ Work Life Balance รวมถึงการสานสัมพันธ์ระหว่างพนักงานในออฟฟิศด้วย เราเพิ่มความยืดหยุ่น แต่ยังคงมาตรฐานของประสิทธิภาพงาน ด้วยเงื่อนไขที่แจ้งให้พนักงานทุกคนปฏิบัติตาม เพื่อให้แน่ใจว่าความยืดหยุ่นนี้ไม่ได้หมายถึง การหย่อนยานวินัย ส่วนหนึ่งคือเราก็กำหนดมาตรการที่ชัดเจน เช่น วันที่เข้าออฟฟิศ ต้องเข้ามาระหว่างช่วง 7-9 โมงเช้า และต้องอยู่ถึงอย่างน้อย 4 โมงเย็น นี่คือ นิยามของการทำงานแบบไฮบริด ของแมนพาวเวอร์กรุ๊ปประเทศไทย เพราะเราเชื่อมั่นว่า ‘บุคลากรขององค์กร คือ ทรัพยากรที่มีค่าสุด’ การสร้างคุณภาพชีวิต และพัฒนาทักษะจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและหากองค์กรหรือหน่วยงานไหน
สนใจบริการของแมนพาวเวอร์กรุ๊ป สามารถติดต่อพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เบอร์โทรศัพท์ 02 171 2399 https://www.manpowerthailand.com/th
สภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค 2022 ผู้จัดงาน APEC CEO Summit 2022 ได้ออกแถลงการณ์ในนามภาคเอกชนที่มีความภูมิใจสำหรับการรับหน้าที่การเป็นเจ้าภาพการประชุมครั้งสำคัญ ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ด้วย APEC CEO Summit 2022 นับเป็นเวทีคู่ขนานกับเวทีประชุมของภาคนโยบายหรือประชุมเอเปค 2022
อย่างคู่ขนานกันที่เวทีของภาคเอกชน ได้มีการจัดการเจรจา อภิปราย และแลกเปลี่ยนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระหว่างผู้นำทางธุรกิจ ตลอดจนผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ผู้กำหนดนโยบาย และนักวิชาการต่างๆ ในประเด็นทางธุรกิจที่ภูมิภาคกำลังเผชิญ โดยนับเป็นความพยายามอันมุ่งมั่นของเอเปคในการส่งเสริมการเจรจาและความร่วมมือภาครัฐ และภาคเอกชน
ทั้งนี้ การประชุม APEC CEO Summit 2022 มีความมุ่งเน้นการขับเคลื่อนทางด้านการค้า การลงทุน สังคม และเศรษฐกิจภายใต้แนวทาง "Embrace Engage Enable" ที่เน้นการเปิดโอกาส การสอดประสานความร่วมมือ และการผลักดันสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในชุมชนเอเชียแปซิฟิก โดยนอกจากความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน เวทีนี้ยังนับเป็นความร่วมมือกับภาครัฐและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ในการตอบสนองต่อความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นที่เราชุมชนเอเชียแปซิฟิกกำลังเผชิญ และนอกจากนี้ ยังนับเป็นเวทีต่อการเตรียมความพร้อมของมิติใหม่ทางการค้า การลงทุน และทางสังคม เพื่อให้ภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก สามารถขับเคลื่อนไปยังอนาคตข้างหน้าได้อย่างมีพลวัตและยั่งยืน
สำหรับเวทีการสนทนาของการประชุม APEC CEO Summit 2022 ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2565 นี้ ได้มีวาระการประชุมที่สำคัญ อันได้แก่
ประเด็นที่ 1: ผู้นำเขตเศรษฐกิจและผู้นำทางธุรกิจเห็นพ้องกันว่าจำเป็นต้องมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิด เพื่อส่งมอบการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุมสำหรับอนาคต
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนสีเขียว หรือ BCG ซึ่งประเทศไทยได้นำมาเป็นวาระแห่งชาติและเป็นยุทธศาสตร์ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการระบาดใหญ่
สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวในคำปราศรัยที่เตรียมไว้ว่า การเปิดกว้างเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความก้าวหน้า ในขณะที่การขัดขวางห่วงโซ่อุปทานที่เกิดขึ้นในเอเชียแปซิฟิก จะขัดขวางความร่วมมือทางเศรษฐกิจ จีนมุ่งมั่นที่จะ 'ส่งเสริมการสร้างชุมชนเอเชียแปซิฟิกที่มีอนาคตร่วมกัน'
นายจอห์น เดนตัน เลขาธิการสภาหอการค้านานาชาติ กล่าวว่า การหลอมรวมภาคธุรกิจเข้ากับการกำหนดนโยบายเป็นจุดแข็งที่สำคัญของเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก และความร่วมมือนี้มีความจำเป็นในอนาคต ด้วยเป็นภูมิภาคที่สร้างความยืดหยุ่นด้านห่วงโซ่อุปทาน ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านของพลังงานและคาร์บอน และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) สะท้อนความรู้สึกดังกล่าว โดยกล่าวว่า การดำเนินการและความร่วมมือร่วมกันเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยจัดการกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากความไม่เท่าเทียมกันที่เพิ่มขึ้น เพื่อนำเศรษฐกิจไปสู่การพัฒนาที่ทั่วถึงและยั่งยืน และให้ความสำคัญกับ 'การเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม'
ศาสตราจารย์เคล้าส์ ชวาป ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารสภาเศรษฐกิจโลก เรียกร้องให้บริษัทต่าง ๆ โอบรับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน การเปลี่ยนแปลงเป็นดิจิทัล การคิดเชิงกลยุทธ์ และแนวคิดเรื่องเงินทุนของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อสร้างความไว้วางใจจากสาธารณะ
ประเด็นที่ 2: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความครอบคลุม และความยั่งยืน จะเป็นประเด็นสำคัญสำหรับผู้กำหนดนโยบายและบริษัทต่างๆ
นายเหวียน ซวน ฟุก ประธานาธิบดีเวียดนาม กล่าวว่า การลงทุนทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และการดูแลสุขภาพและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถูกกำหนดให้เป็นตัวขับเคลื่อนกระแสการลงทุนจากต่างประเทศในอนาคต
นายแฟร์ดินันด์ โรมูอัลเดซ มาร์โคส จูเนีย ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เห็นพ้องต้องกันว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สุขภาพ และความมั่นคงทางอาหารเป็นความท้าทายสำคัญที่เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญ และเรียกการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศว่าเป็น 'ความท้าทายที่กดดันที่สุดต่อความอยู่รอดในยุคสมัยของเรา’
นายโรเบิร์ต มอริทซ์ ประธานบริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์ คูเปอร์ส (PwC) กล่าวว่า ความยืดหยุ่น ความยั่งยืน และความคล่องตัว จะมีความสำคัญต่อการเติบโตในอนาคต เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากสาธารณชน ผู้ประกอบการธุรกิจต้องมีความสามารถในการกำหนดแนวทางและดำเนินงานเพื่อรับมือกับสถานการณ์ในอนาคต
นายกาบริเอล โบริก ประธานาธิบดีสาธารณรัฐชิลี กล่าวว่าการปฏิรูปสังคมเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อจัดการกับความไม่เท่าเทียมและสนับสนุนการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม
นางดินา เอร์ซิเลีย โบลัวร์เต เซการ์รา รองประธานาธิบดีคนที่ 1 สาธารณรัฐเปรู ได้เห็นด้วยต่อประเด็นก่อนนี้ โดยเสริมว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นมีสามมิติ ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยกล่าวว่าความท้าทาย คือการตอบสนองความต้องการในปัจจุบันโดยไม่ประนีประนอมกับอนาคต
จาซินดา อาร์เดิร์น นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ กล่าวว่า การเติบโตจำเป็นต้องมีความครอบคลุม และไม่ทิ้งกลุ่มผู้ด้อยโอกาสไว้เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ธุรกิจขนาดเล็ก หรือชนพื้นเมือง เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดในช่วงการระบาดของโควิด-19
ธนาคารแห่งอเมริการ่วมพัฒนาสังคมจัดกิจกรรม Volunteer Day เปิดโอกาสให้บุคลากรธนาคารร่วมเป็นจิตอาสาพัฒนาโรงเรียนวัดปากช่อง (จันทรานุมาศวิทยาคาร) อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ภายใต้การประสานงานของมูลนิธิ EDF (มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา)
นางนิดา ภักดีกุลสัมพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ธนาคารแห่งอเมริกา กล่าวว่า “นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ในช่วงเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่บุคลากรธนาคารแห่งอเมริกาของเราได้มีโอกาสมาจัดกิจกรรมอาสาVolunteer Day พัฒนาโรงเรียนวัดปากช่อง (จันทรานุมาศวิทยาคาร) ในจังหวัดราชบุรี ด้วยการร่วมกันปลูกต้นไม้ จัดสวนหย่อม ทาสีอาคาร และอุปกรณ์สนามเด็กเล่น เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีงามร่วมกับนักเรียนและคณะครู รวมถึงทำกิจกรรมพิเศษงานประดิษฐ์อุปกรณ์ของใช้จากไม้ไอศกรีม การทำพวงกุญแจจากเรซิ่น และการเล่นเกมร่วมกับนักเรียน ภายใต้การประสานงานของมูลนิธิ EDF (มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา) ซึ่งเป็นพันธมิตรของเราที่ดำเนินโครงการพัฒนาอาชีพและรักษ์สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนในจังหวัดกาญจนบุรีและราชบุรี สำหรับกิจกรรมพิเศษ Volunteer Day 1 วัน ในโรงเรียนครั้งนี้ เป็นประสบการณ์ที่ดีงามของอาสาสมัครจากธนาคารแห่งอเมริกาทุกคน โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่มีแต่ความดีใจของนักเรียนถือว่าเป็นความสุขอย่างยิ่ง”
นางรุ่งทิวา ปรมัตถ์วิโรจน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดปากช่อง (จันทรานุมาศวิทยาคาร) จังหวัดราชบุรี กล่าวว่า “คณะครูและนักเรียนโรงเรียนวัดปากช่อง (จันทรานุมาศวิทยาคาร) ขอขอบคุณคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งอเมริกาที่ได้ร่วมแรงร่วมในกันมาจัดกิจกรรมจิตอาสา Volunteer Day ร่วมกับนักเรียนและครู และขอขอบคุณมูลนิธิ EDF (มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา) ที่เป็นสื่อกลางช่วยประสานงานจนเกิดกิจกรรมในครั้งนี้ ธนาคารแห่งอเมริกาเป็นองค์กรแรกที่มาจัดกิจกรรมในโรงเรียนของเรานับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง”
สำหรับมูลนิธิ EDF เป็นองค์กรสาธารณกุศลลำดับที่ 255 ของประเทศไทย ที่มุ่งมั่นดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่ด้อยโอกาสให้ได้รับการศึกษาเพื่อให้ได้มีอนาคตที่สดใส เป็นที่ยอมรับจากองค์กรทั้งในและต่างประเทศและได้รับรางวัล เช่น รางวัลประกาศนียบัตรองค์กรสาธารณกุศลระดับ 5 ดาว จากการดำเนินงานและบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาล มีประสิทธิภาพทางการเงิน และมีความโปร่งใสจากสมาคมกิฟวิ่ง แบค รางวัลยอดเยี่ยมองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งประเทศไทย ประเภทองค์กรขนาดใหญ่จากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ สถาบัน คีนันแห่งเอเชีย และ เดอะ รีซอร์ส อัลลิอันซ์ ประกาศนียบัตรรับรอง CAF International Vetted Organization จาก CAF International ที่มอบให้องค์กรสาธารณกุศลทั่วโลกที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานการดำเนินงานครอบคลุมหลักธรรมาภิบาล เป็นองค์กรสาธารณกุศลที่จดทะเบียนถูกต้อง รวมถึงมีรายงานการเงินประจำปีที่มีความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ และเงินบริจาคและเงินสนับสนุนที่ส่งมอบให้มูลนิธินำไปใช้อย่างถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณกุศลอย่างแท้จริง รางวัลคนดีต้นแบบคุณธรรมไทยจากสมาคมสหพันธ์คนพิการในประเทศไทย และรางวัลกัลปพฤกษ์ทองคำจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นในฐานะหน่วยงานที่ทำความดีอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นต้น
องค์กรหรือผู้สนใจที่มีความประสงค์จัดกิจกรรมเพื่อสังคม หรือสนับสนุนทุนการศึกษาให้นักเรียนด้อยโอกาสร่วมกับมูลนิธิ EDF รวมถึงสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินงานของมูลนิธิสามารถติดต่อได้ที่อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. โทรศัพท์ (02) 579 9209-11 ระหว่างวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 09.00-16.30 น. ไลน์แอปพลิเคชัน @edfthai เฟสบุ๊กแฟนเพจ https://www.facebook.com/edfthai หรือคลิกดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.edfthai.org
เนื่องจากการซื้อขายหุ้นไอพีโอมีการชะลอตัวลงจากปี 2564 ส่งผลให้เงินทุนจากการเสนอขายหุ้นครั้งแรกของบริษัทให้กับสาธารณะชน (IPO) มีมูลค่าลดลงทั่วทั้งตลาดทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วง 10.5 เดือนแรกของปีนี้ แม้ว่าจำนวนหุ้นไอพีโอและมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของหุ้นไอพีโอคาดการณ์ว่าจะยังมีการทรงตัวจากปีก่อนหน้า
ข้อมูลจากดีลอยท์ ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 แสดงให้เห็นว่า บริษัทต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถระดมทุนได้เป็นจำนวน 6.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากหุ้นไอพีโอของบริษัทจำนวน 136 บริษัท ในปีนี้ ซึ่งลดลง ร้อยละ 52 จากสถิติ 13.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากหุ้นไอพีโอของบริษัทจำนวน 152 บริษัท ในปี 2564
จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่ามีหุ้นไอพีโอรายย่อยจำนวนมากขึ้นในปีนี้ ส่วนใหญ่มาจากบริษัทขนาดเล็กที่ต้องการแพลตฟอร์มเพื่อระดมทุนในสภาพแวดล้อมของตลาดที่ท้าทายในปัจจุบัน
ในปีนี้มี PT, GoTo, Gojek, Tokopedia, Tbk และ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นหุ้นไอพีโอรายใหญ่เพียง 2 บริษัทเท่านั้น ซึ่งอาจหมายความว่าบริษัทขนาดใหญ่ ต่างรอเวลาและเลื่อนการเข้าจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ออกไปเพื่อรอช่วงเวลาที่สภาวะตลาดที่ดีขึ้น
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้กระตุ้นให้นักลงทุนรายย่อยรายใหม่หลั่งไหลเข้าสู่ตลาดหุ้น และส่งผลให้ตลาดหุ้นไอพีโอคึกคักทั่วโลกในปี 2564 โดยสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรมีจำนวนเงินทุนที่เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ ตลาดทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองก็ประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การซื้อขายหุ้นไอพีโอกลับชะลอตัวลงในปีนี้ แม้ว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดีขึ้นเล็กน้อย โดยมูลค่าการระดมทุนลดลง ร้อยละ 52 เมื่อเทียบกับหุ้นไอพีโอในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรที่ลดลง ร้อยละ 95 และ ร้อยละ 91 ตามลำดับ
นางสาว เท ฮวี ลิง Disruptive Events Advisory Leader ดีลอยท์ เซาท์อีสท์ เอเชีย และสิงค์โปร์ กล่าวถึงตลาดหุ้นไอพีโอในภูมิภาคนี้ว่า “ในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 การซื้อขายหุ้นไอพีโอมีความเคลื่อนไหวตามการเติบโตของเศรษฐกิจและจีดีพี แต่สองปีที่ผ่านมาสถานการณ์กลับเป็นตรงกันข้าม เช่นเดียวกับที่โลกกำลังเอาชนะการแพร่ระบาด การเปิดกว้างทางเศรษฐกิจโลกและเปิดพรมแดนใหม่อีกครั้งได้กระตุ้นให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.7 ในปี 2564 เป็นร้อยละ 8.8 ในปี 2565 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 4 ตลอดทั้งปีเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น เมื่อพิจารณาปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคเหล่านี้ ตลาดหุ้นไอพีโอในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเติบโตได้ดี ในขณะที่เรายังคงเห็นศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค”
ภาพรวมตลาดในประเทศไทย
ประเทศไทยยังคงรั้งตำแหน่งผู้นำที่สามารถระดมทุนจากไอพีโอได้สูงสุดในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยระดมทุนได้ทั้งหมด 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากหุ้นไอพีโอของบริษัท 28 บริษัท จำนวนเงินที่ระดมทุนได้ในปีนี้ค่อนข้างใกล้เคียงกับจำนวนเงินจากการระดมทุนในปี 2017 - 2019 (มากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี) เป็นสัญญาณว่าสิ่งต่างๆ กลับสู่สภาวะเดิมก่อนเกิดโรคระบาด ส่วนในปี 2020 และ 2021 เงินจากการระดมทุนในแต่ละปี มีมูลค่ามากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ นักลงทุนต่างชาติ ที่ส่วนใหญ่หายไปในช่วงปีที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้กลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง
“เรายังคงเห็นการเสนอขายหุ้นไอพีโอจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตั้งแต่ สินค้าอุปโภคบริโภค บริการทางการเงิน และธุรกิจก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ เราได้เห็น REIT ที่มีการลงทุนในการเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ในระยะยาวของท่าอากาศยานเป็นครั้งแรก และมีบริษัท 39 แห่งที่คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนภายในปี 2566” นางวิลาสินี กฤษณามระ Disruptive Events Advisory Leader ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าว
ภาพรวมตลาดประเทศอินโดนีเซีย
อินโดนีเซีย รั้งอันดับสองของภูมิภาคฯ ด้วยจำนวนเงินทุนที่ระดมทุนได้ถึง 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการเสนอขายหุ้นไอพีโอ 54 บริษัทในปี 2565 โดย PT GoTo Gojek Tokopedia Tbk เพียงบริษัทเดียวสามารถระดมทุนหุ้นไอพีโอได้ 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และครองตำแหน่งสูงสุดในกระดานผู้นำหุ้นไอพีโอของภูมิภาคในปีนี้ และ PT Global Digital Niagra
Tbk หรือที่รู้จักกันในชื่อ “BliBli” ตามมาเป็นอันดับสองด้วยการระดมทุนจำนวน 516 ล้านเหรียญสหรัฐ GoTo และ Blibli ได้เข้าร่วมกับกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีในอินโดนีเซียที่กำลังเติบโต ซึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
นางสาว อิเมลดา ออร์บิโต Disruptive Events Advisory Leader ดีลอยท์ อินโดนีเซีย กล่าวว่า "ตลาดทุนหุ้นไอพีโอของอินโดนีเซียเริ่มต้นได้ดีในช่วงครึ่งแรกของปี 2022 และถึงแม้จะมีการชะลอตัวในไตรมาสที่ 3 แต่อินโดนีเซียยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดไอพีโอในภูมิภาค การที่ GoTo และ BliBl สามารถระดมเงินทุนได้สูงเช่นนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดี ท่ามกลางภาวะตกต่ำของตลาดโลกอันเนื่องมาจากความกังวลทั่วโลก ซึ่งรวมถึงสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น เรายังคงมองในแง่ดีว่าหุ้นไอพีโอจากบริษัทด้านเทคโนโลยีจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีบริษัทเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอีกสองเดือนข้างหน้า เช่นเดียวกับบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคขั้นพื้นฐาน(Consumer non-cyclicals industry).
ภาพรวมตลาดประเทศมาเลเซีย
ตลาดหุ้นไอพีโอของมาเลเซียได้ผ่านพ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีจำนวนเงินที่ระดมทุนได้เพิ่มขึ้น 102% อยู่ที่ 681 ล้านเหรียญสหรัฐ การระดุมทุนที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการที่นักลงทุนมีความต้องการลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จำนวนของบริษัทจดทะเบียน ACE เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จากเดิม 11 บริษัทในปี 2564 เพิ่มเป็น 22 บริษัทในปี 2565 ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี เมื่อพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจผลักดันให้บริษัทพื้นฐานที่ดีเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ต้องการใช้ประโยชน์จากตลาดตราสารทุนเพื่อให้มีฐานเงินทุนที่มีความหลากหลายและถูกกว่า
“แม้ตลาดหุ้นไอพีโอจะได้รับผลกระทบจากการเลือกตั้ง แต่ก็ยังมีบริษัทต่างๆ ที่มองหาตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง ผลการดำเนินงานที่ดีในปี 2565 ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และภาวะเศรษฐกิจถดถอย เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าตลาดทุนมาเลเซียมีการปรับตัวและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว” นายหว่อง การ์ ชุน Disruptive Events Advisory Leader ดีลอยท์ มาเลเซีย กล่าว
ภาพรวมตลาดประเทศสิงคโปร์
สิงคโปร์มีการเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 9 บริษัท โดยสามารถระดมทุนได้ 421 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 10.5 เดือนแรกของปีนี้ ในจำนวนนี้ ประกอบด้วยบริษัทที่จดทะเบียนเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ (Special Purpose Acquisition Companies – “SPAC”) 3 บริษัท ซึ่งระดมทุนได้ 389 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และหุ้นไอพีโอในกระดาน Catalist 6 บริษัท โดยระดมทุนได้เป็นจำนวน 32 ล้านดอลลาร์ นับเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับการระดมทุนแบบ SPAC ที่เปิดตัวในประเทศสิงคโปร์ในเดือนกันยายน 2021 SPAC ในสิงคโปร์มีกำหนดระยะเวลาให้บริษัทระดมทุนได้ภายใน 24 เดือน โดยสามารถขยายระยะเวลาต่อได้อีก 12 เดือน จึงคาดการณ์ว่า บริษัทที่ผ่านการระดมทุนแบบ SPAC แล้ว (de-SPACs) จะสนับสนุนให้บริษัทอื่นๆ เข้ามาระดมุทนแบบ SPAC เพิ่มขึ้น
“ตั้งแต่ปี 2010 มี REIT หรือ Business Trust อย่างน้อยหนึ่งรายการในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) อย่างไรก็ตาม เราพบว่าไม่มี REIT ในช่วง 10.5 เดือนแรกของปีนี้ ถ้ามองในแง่ดี มีการเปลี่ยนแปลงในกระแสเงินทุนและการย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังประเทศสิงคโปร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการขยายโอกาสเพิ่มมากยิ่งขึ้นในตลาดหุ้นไอพีโอของสิงคโปร์ หากตลาดของเราสามารถใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ อีกสองถึงห้าปีข้างหน้าอาจเป็นปีทองสำหรับตลาดหุ้นไอพีโอของเรา นอกจากนี้ ปัจจัยอื่นๆ เช่น เสถียรภาพทางการเมืองของสิงคโปร์ การจัดการกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ประสบผลสำเร็จ และการเปิดประเทศอย่างราบรื่นจะช่วยให้สิงคโปร์ยังคงดึงดูดความสนใจให้ธุรกิจต่างๆ เข้ามาจัดตั้งสำนักงาน” นายดาร์เรน อึ้ง Disruptive Events Advisory Deputy Leader Deloitte Singapore กล่าว
คาดการณ์แนวโน้มภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับการคาดการณ์ในช่วงเวลาที่เหลือจนถึงปี 2566 นางสาวเทให้ความเห็นว่า “ยังคงมีช่องว่างให้ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถเติบโตได้อีกมาก เมื่อภูมิภาคผ่านพ้นวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เราคาดว่าการซื้อขายหุ้นไอพีโอจะผ่านพ้นช่วงเวลาที่มีความผันผวน เนื่องจากตลาดปรับโหมดจากสภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กลับสู่ “สภาวะปกติ” แม้ว่าบริษัทเทคโนโลยีอาจได้รับการประเมินมูลค่าต่ำกว่าปกติในปัจจุบัน แต่บริษัทที่มีพื้นฐานทางธุรกิจที่มั่นคงและความสามารถที่พิสูจน์ได้ว่าธุรกิจสามารถสร้างผลกำไรได้ จะยังคงได้รับการประเมินมูลค่าตลาดที่ดีที่สุดและยังคงได้รับประโยชน์จากตลาดทุนได้”
ข้อมูลทั้งหมดมีความถูกต้อง ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 และไม่รวมการเสนอซื้อขายหุ้นไอพีโอ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 14 ถึง 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 รายงานการซื้อขายหุ้นไอพีโอ ประจำปี 2565 จะเผยแพร่ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2566
บทความ : ดีลอยท์
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเมนูพิเศษเสิร์ฟงานเลี้ยงอาหารค่ำการประชุมผู้นำภาคเอกชนของเอเปค หรือ APEC CEO Summit Reception 2022 โดยนำสองผลิตภัณฑ์ยั่งยืน ได้แก่ เนื้อจากพืช Meat Zero และ ไก่เบญจา แบรนด์ U FARM ซึ่งมีห่วงโซ่การผลิตภายใต้แนวคิด BCG โมเดล ให้ผู้นำระดับโลกได้ลิ้มลองความอร่อย ตอกย้ำคุณภาพอาหารที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยโลกยั่งยืน
![]()
"Meat Zero" นวัตกรรมเนื้อจากพืช หรือ Plant Base ที่เป็นโปรตีนทางเลือกและอาหารแห่งอนาคต ที่มีเนื้อสัมผัส สีสัน และรสชาติเสมือนเนื้อสัตว์จริง ปราศจากคอเลสเตอรอล มีโปรตีนและไฟเบอร์สูง เหมาะกับผู้รักสุขภาพและใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพราะลดขั้นตอนการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและนวัตกรรมขั้นสูงมาใช้ในกระบวนการผลิต โดยนำเสนอในรูปแบบอาหารวีแกนหลากหลายเมนู ได้แก่ นักเก็ต เกี๊ยวซ่า โบโลน่า และ ข้าวตังมัสมั่น
![]()
ขณะที่ "ไก่เบญจา หรือ Benja Chicken" ปรุงอย่างพิถีพิถันพร้อมเสิร์ฟในเมนู ส้มตำไก่ย่าง ข้าวซอยไก่ และข้าวตังหน้าไก่ รังสรรค์ด้วยวัตถุดิบพรีเมียมจาก U FARM นวัตกรรมของซีพีเอฟ คัดเลือกไก่สายพันธุ์พิเศษมาเลี้ยงด้วย Superfoods ชั้นดี อย่าง ข้าวกล้อง และ Flax Seed ทำให้ได้เนื้อไก่มีสีอมชมพู หอม... นุ่ม... ฉ่ำ...กว่าเนื้อไก่ทั่วไปถึง 55% และมีโอเมก้า 3 สูง เป็นเนื้อไก่ 100% ปลอดสาร ปลอดภัย จากธรรมชาติ ไม่ใช้ฮอร์โมนและไม่ใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยงดู ซึ่งได้การรับรองมาตรฐานระดับโลกจาก NSF ที่สำคัญกระบวนการผลิตไก่สดของ CPF มีคาร์บอนฟุตพรินท์ต่ำกว่าเนื้อไก่สดทั่วไปถึง 50% ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Net-Zero
ไม่เพียงเป็นนวัตกรรมอาหารที่ดีต่อสุขภาพและต่อโลก ทั้ง Meat Zero และ ไก่เบญจา การันตีความอร่อยด้วยรางวัล “สุดยอดรสชาติอาหารระดับโลก ประจำปี 2022” หรือ Superior Taste Award 2022 โดยสถาบันชั้นนำของโลก International Taste Institute ณ กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม เป็นอีกความภาคภูมิใจของคนไทยและบริษัทไทยที่ได้แสดงศักยภาพ Soft Power ด้านอาหาร สร้างความประทับใจให้กับนานาชาติ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังแสดงศักยภาพผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจรของไทยและของโลก ภายใต้แนวคิด "Sustainable Kitchen of the World Towards Net-Zero" ในเวทีการค้าระดับโลก งาน APEC 2022 ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย ผลิตอาหารคุณภาพปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน ตอกย้ำเส้นทางสู่การเป็นครัวของโลก และเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมชมบูธซีพีเอฟ และมีคณะผู้บริหารซีพีเอฟ ร่วมให้การต้อนรับ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
![]()
ภายในงาน ซีพีเอฟ ชูการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่การผลิต ผ่าน CPF Smart Process ประกอบด้วย 1. SMART SOURCING การจัดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในส่วนของการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน 2. SMART PRODUCTION การจัดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในส่วนของโรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์ม และโรงงานแปรรูปอาหาร และ 3. SMART CONSUMPTION การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์เพื่อการบริโภค รวมถึงการบริโภคอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม./
การีนา (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นธุรกิจดิจิทัลเอ็นเตอร์เทนเมนต์ในเครือ Sea (ประเทศไทย) สานต่อความร่วมมือกับกรมสุขภาพจิต ในโครงการ “Game On: Digitally Safe and Sound” มุ่งสร้างสังคมออนไลน์สีขาวที่ปลอดภัยต่อใจทุกคน โดยได้ผลิตและส่งมอบบอร์ดเกม “The.Net Threat เกมกลโลกไซเบอร์” ให้แก่กรมสุขภาพจิต เพื่อกระจายให้กับหน่วยงานและโรงพยาบาลภายใต้กรมสุขภาพจิต รวมถึงโรงเรียนหรือร้านบอร์ดเกมที่มีความสนใจทั่วประเทศ เพื่อใช้กลไกของเกมให้การให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ Cyberbullying สร้างความเข้าใจและแยกแยะได้ว่าพฤติกรรมรูปแบบใดบ้างที่ถือเป็นการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ ผลกระทบจาก Cyberbullying ต่อสุขภาพจิตในด้านต่าง ๆ ไปจนถึงวิธีการรับมือเมื่อถูกกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์
โดยในโอกาสนี้ ดร.ศรุต วานิชพันธุ์ (ซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโส Sea (ประเทศไทย) ได้ส่งมอบบอร์ดเกม ให้แก่ กรมสุขภาพจิต นำโดย พญ. อัมพร เบญจพลพิทักษ์ (ขวา) อธิบดีกรมสุขภาพจิต ในงานสัปดาห์สุขภาพจิตแห่งชาติประจําปี 2565 ที่ผ่านมา
![]()
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เปิดตัว “ยูโอบี พลาซา กรุงเทพ” สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ตอกย้ำความมุ่งมั่นระยะยาวในการให้บริการลูกค้า พนักงาน คู่ค้าทางธุรกิจ และชุมชนในประเทศไทย
สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของ ยูโอบี ประเทศไทย ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจบนถนนสุขุมวิท โดยเป็นอาคาร 30 ชั้น ที่มีพื้นที่มากกว่า 27,000 ตารางเมตร เป็นสำนักงานที่มีพนักงานประมาณ 2,000 คน นอกจากนี้ยังเป็นอาคารสีเขียวที่สร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยซึ่งช่วยลดผลกระทบโดยรวมต่อสิ่งแวดล้อม ยูโอบี ประเทศไทย เป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับสองในเครือของกลุ่มธนาคาร ยูโอบี และเป็นธนาคารต่างประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย โดยมีพนักงานเกือบ 10,000 คนในประเทศ
นาย วี อี เชียง ประธานกรรมการ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย และรองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธนาคารยูโอบี กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญมากสำหรับยูโอบี ตั้งแต่ปี 2542 เราได้ช่วยเหลือเพิ่มความมั่งคั่งกับให้ลูกค้าและช่วยให้องค์กรธุรกิจในประเทศไทยขยายการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง”
“วันนี้เรายังเป็นธนาคารเดียวจากสิงคโปร์ที่มีการดำเนินธุรกิจด้านการธนาคารอย่างเต็มรูปแบบในประเทศ การลงทุนใน “ยูโอบี พลาซา กรุงเทพ” ถือเป็นตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราที่มีต่อประเทศไทย จากการผสมผสานความเชี่ยวชาญของเราทั้งในระดับภูมิภาคและในตลาดท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของยูโอบี เราพร้อมที่จะสนับสนุนลูกค้าในการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในระดับภูมิภาค ตลอดจนขยายธุรกิจของพวกเขาในภูมิภาคอาเซียนที่เปี่ยมไปด้วยพลวัตนี้
![]()
ภายในงานเปิดสำนักงานแห่งใหม่ของ ยูโอบี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศไทย นายกัน กิมหยง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ และนายเควิน ชุก เอกอัครราชทูตสิงคโปร์ประจำประเทศไทย ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ โดยมีลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจมากกว่า 200 รายเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับ
นายตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ปีนี้นับเป็นก้าวสำคัญของยูโอบีที่ได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาแล้ว 23 ปี และเรากำลังขยายธุรกิจให้เติบโตผ่านการลงทุนต่างๆ ซึ่งรวมถึงการเข้าซื้อกิจการธนาคารลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปในประเทศไทยที่เสร็จสมบูรณ์แล้วตามกฎหมายในวันที่ 1 พฤศจิกายน และการเปิดตัว ยูโอบี พลาซา กรุงเทพฯ”
“ในขณะที่เรากำลังวางรากฐานทางธุรกิจใหม่พร้อมๆไปกับการเสริมความแข็งแกร่งของฐานธุรกิจในประเทศไทย ยูโอบี ตอกย้ำจุดยืนของเราในฐานะธนาคารชั้นนำในประเทศไทยที่พร้อมนำเสนอโซลูชันทางการเงินที่เหมาะกับความต้องการของลูกค้า และด้านความยั่งยืน เพื่อสนับสนุนลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีดิจิทัลและการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ด้วยความเชี่ยวชาญและเครือข่ายที่แข็งแกร่งของธนาคาร เราพร้อมแล้วที่จะช่วยลูกค้าของเราเชื่อมต่อและขยายโอกาสทางธุรกิจทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน”
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เป็นธนาคารจากสิงคโปร์ที่ดำเนินการด้านการธนาคารเต็มรูปแบบในประเทศไทย นอกเหนือไปจากนั้น นับตั้งแต่ปี 2542 ธนาคารยังได้จัดกิจกรรมเพื่อคืนสู่สังคมมากมาย รวมถึงงานประกวดจิตรกรรมยูโอบี หรือ UOB Painting of the Year เพื่อส่งเสริมศิลปินไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับภูมิภาคมาต่อเนื่องทุกปี ซึ่งในปีนี้ศิลปินจากประเทศไทยได้รับรางวัลชนะเลิศ ในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมแสดงศักยภาพผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจรของประเทศไทยและของโลก ต้อนรับผู้มาเยือนจากนานาประเทศใน 21 เขตเศรษฐกิจ เชื่อมั่น เผยแพร่ภาพลักษณ์องค์กรมืออาชีพระดับโลกที่นานาชาติยอมรับ ตอกย้ำการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ช่วยโลกยั่งยืน ด้วยการนำนวัตกรรมมาใช้ตลอดห่วงโซ่การผลิต หรือ CPF Smart Process เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า ลดของเสียจากกระบวนการผลิต และลดการปล่อยคาร์บอน ไปจนถึงการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำและผลิตภัณฑ์ทางเลือกเพื่อผู้บริโภค
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า การที่ไทยได้เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมเอเปค 2022 หรือ การประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) ซึ่งมีผู้นำจากนานาประเทศใน 21 เขตเศรษฐกิจของโลกเดินทางเข้ามา เป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะแสดงศักยภาพทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความยั่งยืนให้โลก ภายใต้แนวคิดหลักของเอเปค 2565 “เปิดกว้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” (Open. Connect. Balance.) เพื่อเพิ่มโอกาสด้านการค้าการลงทุนที่เชื่อมโยงกันในทุกมิติ และสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยมีเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green- Economy Model -BCG) เป็นพื้นฐาน
“ซีพีเอฟ เป็นผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารชั้นนำของไทยและของโลก มุ่งมั่นพัฒนาอาหารคุณภาพปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน โดยมีกระบวนการบริหารจัดการองค์กรด้วย BCG และตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ในปี 2050 เพื่อร่วมขับเคลื่อนโลกสู่ความยั่งยืน บริษัทจึงมีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการโชว์ศักยภาพของประเทศไทยในงานระดับโลกนี้” นายประสิทธิ์ กล่าว
CPF ชูแนวคิด Sustainable Kitchen of the World Towards Net-Zero ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน ผ่าน CPF Smart Process ประกอบด้วย SMART SOURCING SMART PRODUCTION และ SMART CONSUMPTION
โดย SMART SOURCING จะเป็นเรื่องการจัดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในส่วนของการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบัน ซีพีเอฟ ใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้ง 100% จากแหล่งผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า ช่วยปกป้องพื้นที่ป่าไม้ได้ถึง 2 ล้านไร่ และภายในปี 2030 วัตถุดิบหลักอื่นๆ ได้แก่ น้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง และมันสำปะหลัง จะมาจากแหล่งผลิตที่ไม่ตัดไม้ทำลายป่าทั้งหมดเช่นกัน โดยสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอนตลอดกระบวนการ
SMART PRODUCTION เป็นการจัดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในส่วนของโรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์ม และโรงงานแปรรูปอาหาร โดยนำนวัตกรรมด้านการผลิตและด้านพลังงานมาใช้ ปัจจุบัน ซีพีเอฟ ใช้พลังงานหมุนเวียน ถึงร้อยละ 27 ของพลังงานทั้งหมด ซึ่งนับเป็น 1 ใน 5 องค์กรที่ดำเนินธุรกิจด้านอาหารที่มีการใช้พลังงานหมุนเวียนสูงที่สุดของไทย ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 680,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเทียบได้กับการปลูกต้นไม้จำนวน 73 ล้านต้น หรือการลดปริมาณรถบนท้องถนน 150,000 คัน ส่วนพลังงานหมุนเวียนที่นำมาใช้ในกระบวนการผลิต ได้แก่ พลังงานชีวมวล (Biomass) พลังงานชีวภาพ (Biogas) และพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังเป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียวในประเทศไทยที่ประกาศเป้าหมาย การยกเลิกใช้ถ่านหิน 100% ในปี 2022
สำหรับ SMART CONSUMPTION เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์เพื่อการบริโภคเป็นอีกหนึ่งมิติสำคัญของการผลิตและการบริโภคอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซีพีเอฟ ไม่เพียงแต่มุ่งมั่นผลิตอาหารที่ได้คุณภาพ มาตรฐานระดับโลก มีคุณค่าทางโภชนาการเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยมีผลิตภัณฑ์ที่ติดฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์และฉลากลดโลกร้อนที่ได้รับการรับรองมากกว่า 790 รายการ ซึ่งนับเป็นจำนวนมากถึง 1 ใน 4 ของผลิตภัณฑ์คาร์บอนฟุตพรินท์ที่ได้รับการรับรองในประเทศไทย และตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมไม่ต่ำกว่า 40% ของผลิตภัณฑ์รวมทั้งหมดของบริษัท นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ประกาศเป้าหมายการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน “100% Sustainable Packaging” โดยบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reusable), รีไซเคิล (Recycle) หรือย่อยสลายได้ (Compostable) ซึ่งปัจจุบันดำเนินการตามเป้าหมายไปแล้ว 99.9%
นอกจากกระบวนการผลิตอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่ ที่มุ่งเน้นการลด - เลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ซีพีเอฟ ยังดำเนินโครงการปลูกป่าเพื่อช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งป่าบกตามโครงการ “ซีพีเอฟรักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสักเขาพระยาเดินธง” และป่าชายเลนภายใต้โครงการ “ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน” รวมไปถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในสถานประกอบการทั่วโลก รวมพื้นที่กว่า 10,900 ไร่ ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 11,400 ตันต่อปี
“ซีพีเอฟ เป็นครัวของโลกที่มีส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้ทุกคน และยังมุ่งสร้างความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อม ด้วยการมีส่วนร่วมรักษาสมดุลธรรมชาติป่าไม้ และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ใช้คาร์บอนน้อยที่สุด และเราจะไม่หยุดพัฒนา พิถีพิถันในทุกขั้นตอน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนโลกใบนี้ไปสู่ Net-Zero เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน” นายประสิทธิ์กล่าวทิ้งท้าย
ในการประชุมผู้นำภาคเอกชนของเอเปค หรือ APEC CEO Summit ซึ่งมีผู้นำภาคเอกชนจากหลายเขตเศรษฐกิจของโลก ร่วมการรับรองอาหารเย็นภายในงาน APEC CEO Summit Reception ณ ไอคอนสยาม ซีพีเอฟ ได้นำสองผลิตภัณฑ์ยั่งยืน ได้แก่ เนื้อจากพืช Meat Zero และ ไก่เบญจา แบรนด์ U FARM ซึ่งมีห่วงโซ่การผลิตภายใต้เศรษฐกิจ BCG ให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ลิ้มลอง ตอกย้ำคุณภาพอาหารที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมีรสชาติความอร่อยเป็นเลิศระดับโลก การันตีรางวัล “สุดยอดรสชาติอาหารระดับโลก ประจำปี 2022” หรือ Superior Taste Award 2022 โดยสถาบันชั้นนำของโลก International Taste Institute ณ กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม ด้วยเมนูพิเศษ ได้แก่ ประเภทวีแกน อาทิ นักเก็ต เกี๊ยวซ่า โบโลน่า และ ข้าวตังมัสมั่น รวมถึง ส้มตำไก่ย่าง ข้าวซอยไก่ และข้าวตังหน้าไก่ นับเป็นอีกความภาคภูมิใจของคนไทยและบริษัทไทยที่ได้ร่วมแนะนำ Soft Power ด้านอาหาร ด้วยผลิตภัณฑ์ของไทยให้นานาชาติได้รู้จัก./
![]()
![]()