December 20, 2025

มีหลายเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโลกไปอย่างสิ้นเชิง และดูเหมือนว่าโลกอนาคตจะอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด 

ซีไอโอต้องใช้เวลาเพื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ “จะเกิดอะไรขึ้นถ้า… (หรือ What If)” เพื่อไม่ให้เป็นการปิดหูปิดตาตัวเองจากกระแสดิสรัปชั่นทางสังคม พฤติกรรม และเทคโนโลยี ที่มีผลต่อการเติบโตขององค์กร

การดิสรัปชั่นเป็นพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อเนื่องอย่างถาวร และองค์กรที่ประสบความสำเร็จคือองค์กรที่พร้อมรับมือกับมัน โดยเราต้องตั้งคำถาม “จะเกิดอะไรขึ้นถ้า…” ต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อเปิดรับโอกาสที่มาพร้อมกับการดิสรัปชั่น”

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 7 อย่างที่ผู้บริหารด้านเทคโนโลยีทั้งหลายควรใส่ใจพิจารณาในอีก 5 ปีข้างหน้านี้ ได้แก่

1. ประสบการณ์การทำงานกับ Metaverse

ในปัจจุบัน มีองค์กรมากมายใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Metaverse ไม่ว่าจะเป็นการสร้างการมีส่วนร่วม การทำงานร่วมกัน และการเชื่อมต่อที่ดีขึ้นกับพนักงานในสถานที่ทำงานที่มอบประสบการณ์สมจริงยิ่งขึ้นในสำนักงานเสมือน และการใช้ประสบการณ์ Metaverse ภายในองค์กรหรือที่เรียกว่า Intraverses

การ์ทเนอร์ คาดการณ์ว่าการสร้างพื้นที่ทำงานเสมือนจริงเต็มรูปแบบ (Fully Virtual Workspaces) จะคิดเป็น 30% ของการเติบโตด้านการลงทุนในเทคโนโลยี Metaverse และจะพลิกโฉมประสบการณ์การทำงานในสำนักงานไปจนถึงปี 2570

2. รถบินได้ (Flying cars)

ยานยนต์ไร้คนขับหรืออากาศยานไร้คนขับ (UAV) ที่ใช้รับส่งผู้โดยสารเป็นระยะทางสั้น ๆ ตามเขตเมือง โดยอากาศยานที่บินได้ประเภทนี้หรือที่บางครั้งเรียกว่า "รถบินได้" หรือโดรนสำหรับผู้โดยสาร ถูกออกแบบให้ทำงานโดยไม่มีนักบินที่เป็นมนุษย์ บริษัทหลายแห่งกำลังทำงานเกี่ยวกับเครื่องบินรุ่นใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเพื่อสร้างวิถีการเดินทางทางอากาศที่เร็วกว่า ถูกกว่า ปลอดภัยกว่า และลดการปล่อยคาร์บอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่แออัด ซึ่งบริการแท็กซี่บินได้แห่งแรกมีกำหนดเปิดตัวในปี 2567  แม้จะมีความท้าทายด้านกฎระเบียบที่อาจเกิดขึ้น แต่ผู้บริหารไอทีควรพิจารณาและประเมินเกี่ยวกับปัญหาในด้านการขนส่ง การเคลื่อนย้ายคนและสินค้าขององค์กร ซึ่งอาจแก้ไขได้โดยใช้ยานพาหนะเหล่านี้แทน

3. ระบบเศรษฐกิจของมนุษย์ดิจิทัล

ตั้งแต่การดูแลทางการแพทย์ การให้บริการลูกค้า เวอร์ชวลอินฟลูเอนเซอร์ (Virtual Influencer) และการฝึกอบรมของฝ่ายบุคคล ไปจนถึงการกู้คืนชีวิตผู้ตาย ล้วนเป็นความเป็นไปได้ของการใช้งานมนุษย์ดิจิทัลที่ไม่สิ้นสุด โดยระบบเศรษฐกิจมนุษย์ดิจิทัลนั้นนำเสนอโอกาสให้แก่ระบบนิเวศดิจิทัลใหม่ ๆ ซึ่งอาศัยศักยภาพของเทคโนโลยีที่นำบุคคลและองค์กรมารวมตัวกันเพื่อสร้างสรรค์และโต้ตอบในรูปแบบใหม่

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2578 ระบบเศรษฐกิจมนุษย์ดิจิทัล (The Digital Human Economy) จะมีมูลค่าตลาดสูงถึง 125 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

4. “องค์กรอิสระแบบกระจายอำนาจ” (The “Decentralized Autonomous Organization”)

องค์กรอิสระแบบกระจายอำนาจ (Decentralized Autonomous Organizations หรือ DAO) เป็นองค์กรรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นในตลาดบริการด้านไอที การ์ทเนอร์ได้ให้คำจำกัดความ DAO ว่าเป็นหน่วยงานดิจิทัลที่ดำเนินงานบนบล็อกเชน และยังมีส่วนร่วมในการโต้ตอบทางธุรกิจกับองค์กร DAO อื่น ๆ หรือตัวแทนดิจิทัลและตัวแทนที่เป็นมนุษย์ โดยไม่ต้องมีการบริหารจัดการบุคลากรในแบบเดิม ๆ พนักงานที่มีความรู้ความสามารถด้านดิจิทัลระดับสูงจำนวนมากจะถูกดึงดูดให้ทำงานในองค์กร DAO แม้ตอนนี้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ DAOs มีศักยภาพที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อบรรทัดฐานของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีหลายประการที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน

5. การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แบบไร้สาย

เมื่อการชาร์จแบบไร้สายพร้อมให้บริการแล้ว จะเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับยานพาหนะในกลุ่มรถประจำทางและรถแท็กซี่ ซึ่งยานพาหนะเหล่านี้สามารถใช้การชาร์จแบบไดนามิก (Dynamic Charging) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มระยะทางขับขี่ได้ไกลขึ้นและลดต้นทุนต่าง ๆ นอกจากนั้นการติดตั้งสถานีชาร์จไฟในที่พักอาศัยจะกลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการชาร์จรถยนต์แบบไร้สาย เนื่องจากเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะสะดวกขึ้นโดยไม่ต้องเสียบสายเคเบิลให้ลำบาก อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปไกลกว่านั้น

การ์ทเนอร์คาดว่าโครงการบ้านจัดสรรของภาคเอกชนและพื้นที่ว่างแบบแคมปัสของสถาบันการศึกษาจะมีปริมาณการติดตั้งสถานีชาร์จไร้สายแซงหน้าการติดตั้งที่บ้านพักอาศัย

6.กราฟีนจะมาแทนที่ซิลิกอน

ในอีก 7 ถึง 10 ปีข้างหน้านี้ เราจะเห็นศักยภาพมหาศาลของอุปกรณ์ทรานซิสเตอร์แบบฟิลด์เอฟเฟกต์ที่ใช้คาร์บอนเป็นโครงสร้างหลักทดแทนซิลิคอนในทรานซิสเตอร์แบบเดิมที่มาถึงขีดจำกัดเรื่องขนาดที่เล็กสุด ตัวอย่างหนึ่งคือ กราฟีน ซึ่งเป็นวัสดุคาร์บอนบริสุทธิ์ความหนาหนึ่งอะตอม เรียงต่อกันเป็นโครงสร้างแบบรังผึ้งหกเหลี่ยม ซึ่งกราฟีนสามารถแทนที่อุปกรณ์ซิลิกอนในปัจจุบันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้สำหรับการสื่อสารไร้สาย โดยที่อุปกรณ์ FET ที่ทำมาจากคาร์บอนเหล่านี้สามารถเก็บกระแสไฟฟ้าที่สูงกว่าได้มากในพื้นที่ขนาดเล็กลง ทำให้สามารถประมวลผลได้รวดเร็ว

ซีไอโอควรพิจารณาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่เกิดจากเทคโนโลยีที่ใช้ “กราฟีน” และเริ่มค้นหาซัพพลายเออร์ที่เกิดใหม่ สำหรับเตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

7. เทคโนโลยีกลายเป็นของใช้แล้วทิ้ง

จะเกิดอะไรขึ้นหากวงการเทคโนโลยีจะกลายเป็นแบบเดียวกับวงการแฟชั่น ด้วยการออกแบบแอปพลิเคชันที่ “ใช้แล้วทิ้ง” อย่างรวดเร็ว? ขณะที่องค์ประกอบต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจที่เน้นความคล่องตัวเป็นหลัก (Business Composability) ได้รับการยอมรับในวงกว้าง ถือเป็นโอกาสของผู้บริหารไอทีที่จะดำเนินการไปอีกขึ้นและเตรียมพร้อมสร้างความยืดหยุ่นให้แก่เทคโนโลยีแบบที่ใช้แล้วทิ้ง

 # Gartner IT Symposium /Xpo 2022

บทความ   :  เดวิด ยอดเคลสัน  รองประธานฝ่ายวิจัย / การ์ทเนอร์

 

 

ZORT สตาร์ตอัปแพลตฟอร์มบริหารจัดการออเดอร์และสต๊อกครบวงจรของไทย จับมือ Investree สตาร์ตอัป ให้บริการ คราวด์ฟันดิงแพลตฟอร์ม เสริมศักยภาพแพลตฟอร์ม ปลดล็อกสภาพคล่องทางการเงิน ติดปีก SMEs ให้ขยายธุรกิจได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น เพิ่มสภาพคล่องได้สูงสุด 5 ล้านบาท ด้วยรูปแบบการระดมทุนรูปแบบใหม่ แบบคราวด์ฟันดิง ด้วยการใช้ฐานข้อมูลการขายของออนไลน์มาประกอบการพิจารณา มั่นใจการให้บริการระดมทุนรูปแบบใหม่ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ช่วยปลดล็อก SMEs ไทยเติบโตได้ไกลขึ้น หลังพบ 80 % ขาดแหล่งเงินทุนใช้หมุนเวียนทำธุรกิจ

 

นายธนัทพันธุ์ ธนเศรษฐ์สกุล ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซอร์ทเอาท์ จำกัด เปิดเผยว่า ล่าสุด ได้ลงนามความร่วมมือกับ บริษัท อินเวสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ Investree บริษัทสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีการเงินที่มีฐานการทำธุรกิจอยู่ในภูมิภาคอาเซียน ในรูปแบบคราวด์ฟันดิง (Crowdfunding) เพื่อผสานทั้งสองแพลตฟอร์มทำงานร่วมกันเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs) ที่ใช้บริการแพลตฟอร์ม ZORT เข้าถึงแหล่งเงินทุนระดมทุนรูปแบบใหม่ แบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SME ที่ใช้บริการ ZORT Platform ที่ปัจจุบันมีอยู่ 4,500 ร้านค้า มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส สามารถระดมทุนขั้นต่ำจากบริการนี้เริ่มต้นที่ 100,000 บาทต่อราย สูงสุดที่ 5 ล้านบาท นับเป็นครั้งแรกที่ SMEs จะสามารถใช้ข้อมูล ธุรกรรมทางการเงินสถิติด้านการซื้อขายและบัญชีบน Marketplace ของ ZORT มาใช้เป็นประโยชน์ในการขอเงินทุน โดยความร่วมมือครั้งนี้เป็นครั้งแรกของไทย ที่ถือกำเนิดจุดเริ่มต้นแห่งการสร้าง Ecosystem แพลตฟอร์มบริหารจัดการออเดอร์และสต๊อกครบวงจรให้มีศักยภาพและสมบูรณ์ เพื่อกลายเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจของผู้ใช้บริการสามารถเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพในตลาด

จากการเก็บรวบรวมข้อมูล ( Data) ของผู้ใช้แพลตฟอร์มพบ อุปสรรค (Pain Point) ของผู้ประกอบการ SMEs ขาดแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องเนื่องจากธุรกิจที่เติบโตเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ตามแผนส่งผลให้สภาพคล่องเงินทุนไม่เพียงพอต่อการขยายธุรกิจ รวมทั้งผู้ประกอบการไม่มีหลักทรัพย์ในการค้ำประกัน ซึ่งในระบบเงินกู้โดยเฉพาะธนาคารและสถาบันการเงินจำเป็นต้องใช้ประกันสินเชื่อ ซึ่งส่วนใหญ่เพิ่มเริ่มดําเนินธุรกิจไม่มีสภาพคล่องทางการเงินมากพอ ประกอบกับระบบธนาคารไม่รองรับการใช้ข้อมูลประวัติ สถิติด้านการเงินและบัญชี จากการทำธุรกิจบน Marketplace มาประกอบการพิจารณา และยังพบว่ารูปแบบเงินเชื่อที่ไม่ตอบโจทย์กับความต้องการ เช่นการอนุมัติเงินกู้ระยะสั้นที่มีดอกเบี้ยสูงหรือ การอนุมัติเงินกู้ในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม สสว. ที่ระบุว่าผู้ประกอบการ SMEs มากกว่าร้อยละ 80 เผชิญกับปัญหาด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และมีอุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากหลายปัจจัย เช่น ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกันและประวัติธุรกรรมทางการเงิน” นายธนัทพันธุ์ กล่าว

 

นางสาวณัทสุดา พุกกะณะสุต ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเวสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด( Investree) เปิดเผยว่า Investree จะเข้ามาเสริม Ecosystem ของ ZORT ให้แข็งแรงด้วยบริการด้านการเงิน เพิ่มโอกาสให้ลูกค้า ZORT มีช่องทางการระดมทุนแบบใหม่ที่แตกต่างจากเดิม และสามารถนำข้อมูลการซื้อขายของตนเองผ่าน ZORT Platform มาประกอบคำขอระดมทุน โดยผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสมัครขอระดมทุนสะดวกและรวดเร็ว ผ่านช่องทางเว็บไซต์ Investree คราวด์ฟันดิง แพลตฟอร์ม (Crowdfunding platform) ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการระดมทุน สามารถผ่านช่องทางออนไลน์ อย่างสะดวก รวดเร็วใช้งานง่ายเพียงไม่กี่ขั้นตอน และทราบผลอนุมัติ เร็วสุดภายใน 3 วันหลังจากส่งเอกสารครบ โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นพันธกิจของทั้งสององค์กรที่ต้องการให้ส่งเสริม SMEs มีศักยภาพสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงยั่งยืนเพราะเป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทยผลผลิตจาก SMEs คิดเป็น 35% ของ GDP รวมทั้งประเทศมีการจ้างงานถึง 12.6 ล้านคน คิดเป็น 72% ของการจ้างงานทั้งหมดจากบริษัท SMEs กว่า 3 ล้านบริษัท ซึ่งคิดเป็น 99 % ของจำนวนบริษัททั้งหมดในประเทศ

 

“Investree ใช้คะแนนเครดิต ที่เป็น Data-Driven Model มาเป็นตัวกำหนดวงเงินระดมทุนให้สอดคล้องกับรายได้ และสถานะทางธุรกิจของผู้ประกอบการ ดังนั้น จำนวนเงินที่ระดมทุนของบริษัทแต่ละรายจะแตกต่างกัน สำหรับผู้ที่ต้องการระดมทุนจะต้องเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบ บริษัทจำกัด ใน กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ที่ใช้ ZORT PLATFORM มาแล้วไม่ต่ำกว่า 24 เดือน และมี ยอดขายจาก Marketplace Integration เฉลี่ย 100,000 บาทต่อเดือน อัตราดอกเบี้ย 6%-26% ผ่อนชำระสูงสุด 12 เดือน ซึ่งตอบโจทย์และแก้ Pain Point ของ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ สะดวกรวดเร็ว สร้างสภาพคล่องทางการเงินทันต่อการขยายธุรกิจและการแข่งขันส่งผลให้เติบโตได้อย่างมั่นคง นำไปสู่การระบบเศรษฐกิจประเทศให้มีเสถียรภาพอย่างยั่งยืนต่อไป” นางสาวณัทสุดา กล่าว

กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED FUND) กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดงานแถลงข่าวความสำเร็จ “โครงการส่งเสริมการขยายตลาดและธุรกิจของผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Market Scaling up) ปี 2565” พร้อม Kick Off เปิดรับสมัครผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สนใจขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศในปี 2566 เป็นการสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการให้สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดและต่อเนื่อง พร้อมทั้งเป็นการผลักดันผลงานนวัตกรรมที่พัฒนาแล้วเสร็จภายใต้การสนับสนุนของกองทุนฯ และหน่วยงานสนับสนุนทุนภาครัฐอื่นๆ ให้สามารถขยายผลสู่เชิงพาณิชย์ได้

นายวิเชฐ ตันติวานิช ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองและคัดเลือกผู้ประกอบการฯ (TED Market Scaling Up) กล่าวว่า TED Fund มีนโยบายภารกิจในการสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการทั้งในด้านการดำเนินธุรกิจ การพัฒนาศักยภาพ และการขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง และได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรมสามารถขยายตลาดได้ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเป็นการผลักดันผลงานนวัตกรรมที่พัฒนาแล้วเสร็จภายใต้การสนับสนุนของกองทุนฯ และหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ให้สามารถขยายผลสู่เชิงพาณิชย์ได้ TED Fund จึงได้ริเริ่มโครงการ TED Market Scaling Up ขึ้นในปีที่ผ่านมา โดยความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้น ในปี 2566 นี้ เชิญชวนให้ผู้ประกอบการที่สนใจ สมัครเข้าร่วมโครงการ เพื่อร่วมสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมให้แก่ประเทศ โดยหวังเป็นอย่างยิ่ง โครงการที่มีประโยชน์ต่อผู้ประกอบการเช่นนี้ จะสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของภาครัฐในการที่จะช่วยสนับสนุนส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการให้มีศักยภาพ พร้อมรับกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมอย่างแท้จริง

ดร.ชาญวิทย์ ตรีเดช ผู้จัดการกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Fund) กล่าวว่า โครงการ TED Market Scaling Up เป็นอีกกลไกหนึ่งของ TED Fund ที่มุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถขับเคลื่อนและนำผลงานนวัตกรรมไปสู่การขยายผล เพื่อสร้างผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมให้แก่ประเทศได้ และเพื่อให้การสร้างธุรกิจของผู้ประกอบการบรรลุตามวัตถุประสงค์และสามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน โดยขอบเขตการดำเนินงานของโครงการดังกล่าว ประกอบด้วยการจัดสรรเงินสนับสนุนผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปพร้อมๆ กัน และผลจากการดำเนินงานโครงการ TED Market Scaling Up ในปี 2565 พบว่า มีผู้ประกอบการที่สนใจยื่นสมัครขอรับการสนับสนุนจำนวนถึง 74 ราย และโครงการที่เสนอเข้ามานั้นล้วนแล้วแต่มีความน่าสนใจและมีศักยภาพค่อนข้างสูง ส่งผลให้กองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินสนับสนุนทุนจำนวนถึง 23 โครงการ รวมเป็นวงเงินจำนวนมากกว่า 35 ล้านบาท ซึ่งจากการสนับสนุนดังกล่าว คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้รวมถึง 566,590,345 บาท หรือประมาณ 15.8 เท่าของวงเงินสนับสนุน

และในปีงบประมาณ 2566 ทางกองทุนฯ ได้เตรียมเปิดรับสมัครผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการขยายตลาดและธุรกิจของผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Market Scaling up) ให้การสนับสนุนทุนไม่เกินมูลค่า 2 ล้านบาท/โครงการ โดยตั้งเป้าจะสนับสนุนจำนวน 30 ราย ในวงเงินงบประมาณ 60 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจากการสนับสนุนในปีนี้จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทยได้สูงถึง 948 ล้านบาท ซึ่งการเปิดรับสมัครรอบที่ 1 จะอยู่ในระหว่างวันที่ 15 - 30 เดือนพฤศจิกายน 2565 และรอบที่ 2 จะเปิดรับสมัครในเดือนเมษายน 2566 ดร.ชาญวิทย์ฯ กล่าว

สำหรับโครงการส่งเสริมการขยายตลาดและธุรกิจของผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Market Scaling up) ที่จะเปิดรับสมัครนั้น นอกจากโครงการจะให้การสนับสนุนในด้านเงินทุนอุดหนุนแล้ว โครงการยังได้สนับสนุนการบ่มเพาะองค์ความรู้ทางด้านธุรกิจและการตลาด โดยเพิ่มพูนความรู้และเสริมกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจแบบเชิงลึก ควบคู่ไปกับการให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด การเชื่อมโยงและต่อยอดเครือข่ายความร่วมมือทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อให้สามารถนำไปปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจจริงอีกด้วย โดยผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารการเปิดรับสมัครได้ผ่านเว็บไซต์ www.tedfund.mhesi.go.th หรือแอดไลน์กองทุนฯ ได้ที่ : @tedfund หรือโทร 02 333 3700 ต่อ 4072-4075

SCN โชว์กำไร 9 เดือน เติบโต 666 % สะท้อนความแข็งแกร่งของธุรกิจ ที่คาดว่าจะสร้างผลตอบแทนอย่างก้าวกระโดดในอนาคต ชูธุรกิจพลังงานทดแทนและก๊าซ ยังได้รับอานิสงส์ต่อเนื่อง คาดการณ์รายได้ปีนี้โตตามเป้า

ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สแกน อินเตอร์ หรือ SCN ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจก๊าซธรรมชาติ พลังงานทดแทน และขนส่งแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 21.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 637.94% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2564 ที่มีกำไรสุทธิ 2.9 ล้านบาท และมีรายได้ 343.4 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือน บริษัทมีรายได้ 1,058.95 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 324.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 666.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 41.41 ล้านบาท

โดยการเติบโตที่เพิ่มขึ้นเกิดจากความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการและการเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตในทุกมิติของ SCN จากการลงทุนในธุรกิจต่างๆ ทั้งธุรกิจก๊าซที่ยังได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่พุ่งส่งขึ้น ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ธุรกิจพลังงานทดแทน (Renewable Energy) ที่เริ่มรับรู้รายได้และได้รับกำไรส่วนแบ่งจากการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

ผลประกอบไตรมาส 3 นี้ถือว่ามีความโดดเด่น เติบโตในทิศทางที่ดีในทุกธุรกิจ และสะท้อนภาพรวมของการดำเนินธุรกิจของ SCN ได้เป็นอย่างดี ซึ่งคาดว่าจะทำให้ทิศทางแนวโน้มทั้งรายได้และกำไรจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้” ดร.ฤทธี กล่าว

สำหรับภาพรวมธุรกิจของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา มีการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ ธุรกิจพลังงานทดแทน (Renewable Energy) ที่ดำเนินการโดยบริษัทสแกน แอดวานซ์ เพาเวอร์ จำกัด (SAP) ได้รับโครงการผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาเพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มขึ้นอีก 2 โครงการ ทำให้ปัจจุบันมี COD ทั้งสิ้น 22 โครงการและมีขนาดกำลังผลิตรวม 19 เมกะวัตต์

ขณะที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาตินั้น ก็ถือว่ายังมีการเติบโตที่ดี ปริมาณความต้องการใช้ก๊าซยังอยู่แนวโน้มที่ดี จากราคาน้ำมันที่ยังคงปรับตัวขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เริ่มให้ความสนใจหันมาใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นพลังงานทางเลือก และที่สำคัญ

บริษัทน่าจะได้รับอานิสงส์ด้านการตลาดและขยายกลุ่มลูกค้า ภายหลังจากการที่ บริษัท TOHO GAS ซึ่งเป็นบริษัทก๊าซธรรมชาติอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น ตัดสินใจเข้าร่วมลงทุน โดยผ่านการถือหุ้นในบริษัท Thai ST Energy Investment Company ซึ่งถือหุ้นร่วมกันระหว่าง TOGO GAS และ Shizuoka Gas และลงทุนในบริษัทเครือข่ายก๊าซ ไทย-ญี่ปุ่น จำกัด (TJN) โดยทั้ง 2 บริษัทจากญี่ปุ่นถือว่าเป็นผู้นำในธุรกิจก๊าซและมีฐานลูกค้าในประเทศไทยที่แข็งแกร่ง โดยตั้งเป้าจะมี่ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 MMbtu ต่อวัน

ด้านธุรกิจอื่นๆ ถือว่าเป็นไปตามที่บริษัทคาดการณ์ไว้ โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่น่าพอใจและสะท้อนให้เห็นถือทิศทางการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน ทำให้แนวโน้มรายได้และกำไรมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

 

วีซ่า (VISA) ผู้ให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก ประกาศเปิดตัว Google Wallet สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตวีซ่าในประเทศไทยที่ออกโดยธนาคารกรุงเทพ และบัตรกรุงไทย (เคทีซี) โดยผู้ถือบัตรสามารถใช้จ่ายได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยด้วย Google Wallet ที่ติดตั้งบนอุปกรณ์ที่รองรับระบบปฏิบัติการ Android และ WearOS ไม่ว่าจะในร้านค้า การช้อปออนไลน์ ใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ และยังสามารถจัดเก็บบัตรเครดิตไว้ภายใน Google Wallet ได้อีกด้วย

การเปิดตัวในครั้งนี้สอดรับกับพฤติกรรมการใช้จ่ายผู้บริโภคชาวไทยที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเปิดรับวิธีการชำระเงินแบบดิจิทัลและลดการใช้เงินสดลง จากการศึกษาเรื่องทัศนคติการชำระเงินของผู้บริโภคประจำปีของวีซ่า (Visa Consumer Payment Attitudes Study)1 เผยให้เห็นว่าเกือบเก้าในสิบ (88%) ของชาวไทยในปัจจุบันที่ไม่ได้ชำระเงินแบบโมบายคอนแทคเลสต่างรับทราบเกี่ยวกับการชำระเงินด้วยวิธีนี้ และมีถึง 87% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่สนใจที่จะเริ่มใช้การชำระเงินในรูปแบบดังกล่าว

พิภาวิน สดประเสริฐ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “การเกิดโรคระบาดเป็นตัวขับเคลื่อนการชำระเงินแบบคอนแทคเลส เพราะผู้บริโภคต่างมองหาช่องทางที่ปลอดภัยและสะดวกในการใช้จ่าย อุปกรณ์เคลื่อนที่ต่าง ๆ ได้กลายมาเป็นหนึ่งในสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของผู้คนทั้งในเรื่องการติดต่อ ทำธุรกิจ และให้ความบันเทิงไปในตัว เป้าหมายของวีซ่าคือการเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการชำระและรับเงินสำหรับทุกคน การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นส่วนหนึ่งในดีเอ็นเอของเรา และเราเองภูมิใจที่ได้ส่งมอบประสบการณ์การชำระเงินที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคชาวไทย ถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับเราที่ได้ร่วมสนับสนุนกูเกิ้ล ธนาคารกรุงเทพ และเคทีซี เพื่อมอบ Google Wallet และอีกหนึ่งประสบการณ์การชำระเงินที่ไร้รอยต่อและปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการช้อปปิ้งออนไลน์หรือแตะอุปกรณ์สวมใส่ของพวกเขาที่จุดรับชำระเงิน”

แจ็คกี้ หวาง Country Director, Google ประเทศไทย กล่าวว่า “จากรายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ e-Conomy SEA 2022 พบว่าการชำระเงินแบบดิจิทัลได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และคาดว่าการชำระเงินแบบดิจิทัลในไทยจะมีมูลค่าธุรกรรมรวม (Gross Transaction Value: GTV) สูงถึง 1.61 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 เนื่องจากปัจจุบันคนไทยหลายล้านคนนิยมชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ เราจึงรู้สึกตื่นเต้นที่ได้นำ Google Wallet มาให้บริการในประเทศไทย ด้วย Google Wallet ผู้ใช้งานในไทยสามารถแตะเพื่อจ่ายเงินในร้านค้า หรือเช็คเอาท์ผ่านช่องทางออนไลน์ รวมทั้งเข้าถึงบอร์ดดิ้งพาสสำหรับการเดินทางที่เร่งรีบในช่วงเทศกาลวันหยุดส่งท้ายปลายปีได้อย่างง่ายดาย เปรียบเสมือนการรวมทุกกระเป๋าไว้ในที่เดียวในทุกการเดินทาง ซึ่งทั้งสะดวกและปลอดภัย

แจ็คกี้ หวาง (ซ้าย) Country Director, Google ประเทศไทย และ พิภาวิน สดประเสริฐ (ขวา) ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย

วิธีการชำระเงินผ่านโมบายคอนแทคเลสไม่ต่างจากการชำระแบบผ่านบัตรคอนแทคเลส ที่ผู้บริโภคเพียงแค่แตะเพื่อจ่ายด้วยสมาร์ตโฟนที่เครื่องอ่าน ณ จุดรับชำระเงิน  ซึ่งจากข้อมูลพบว่าผู้บริโภคชาวไทยบอกว่าข้อดีห้าอันดันแรกของการชำระเงินผ่านโมบายคอนแทคเลส คือ   ช่วยลดความเสี่ยงจากการติดต่อของเชื้อไวรัสโควิด (68%) ไม่จำเป็นต้องพกเงินสด (65%) เป็นรูปแบบการชำระเงินที่ทันสมัย (59%) ง่ายต่อการใช้งานและติดตั้งระบบ (58%) และไม่จำเป็นต้องพกบัตรเพื่อการชำระเงิน (56%)2

Google Wallet ได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างประสบการณ์การชำระเงินที่รวดเร็วและปลอดภัย แอปจะทำงานโดยมีหน่วยประมวลผลร่วมที่ช่วยให้การชำระเงินมีความปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยระบบการรักษาความปลอดภัยแบบหลายชั้นที่ออกแบบให้สามารถเก็บข้อมูลส่วนตัวที่เป็นความลับของผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ Google Wallet ยังใช้โทเค็น ซึ่งเป็นชุดข้อมูลชั่วคราวแทนข้อมูลเลขบัญชีจริงที่จะช่วยรักษาข้อมูลของเจ้าของบัตรให้ปลอดภัย โดยชุดข้อมูลจะถูกสร้างขึ้นเมื่อมีการเพิ่มบัตรไปที่ Google Pay หรือในแอปของธนาคารที่ติดตั้ง เพื่อให้ข้อมูลของผู้บริโภคนั้นถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ในขณะที่ชุดข้อมูลตัวเลขโทเค็นที่สร้างขึ้นมาทดแทนเลขบัญชีจริงจะถูกส่งไปยังร้านค้าแทน

ผู้ถือบัตรวีซ่า จะสามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ บนอุปกรณ์ที่รองรับระบบปฏิบัติการ Android และ WearOS ตั้งแต่เวอร์ชั่น Android 5.2 เป็นต้นไป โดยสามารถดาวน์โหลดแอป Google Wallet ได้ที่ Play Store

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Google Wallet สามารถดูได้ที่ https://wallet.google. และสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการชำระเงินแบบคอนแทคเลสของวีซ่าได้ที่ www.visa.co.th

ธุรกิจอาหารกำลังมาแรงและได้รับการลงทุนสูงเป็นลำดับต้นๆ จากชาร์คนักลงทุน ในรายการ Shark Tank Thailand ซีซั่น 3 สอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่ประเทศไทยได้กลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง ทำให้สถานการณ์ท่องเที่ยวมีความคึกคักมากขึ้น เป็นผลดีต่อธุรกิจอาหารของประเทศไทย ที่ตลาดรวมมีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท

สำหรับขาร์คนักลงทุนที่นอกจากจะเข้ามาลงทุนในธุรกิจอาหารแล้ว  เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจในการทำธุรกิจร้านอาหาร จาก 5 ทริคที่เคยนำไปสู่ความสำเร็จที่ผ่านมา ประกอบด้วย

การทำร้านอาหารต้องสร้างเอกลักษณ์ (Signature) ช่วยสร้างการจดจำ

“ชาร์คประพล มิลินทจินดา” ประธาน คอมมูนิตีมอลล์ พีเพิล พาร์ค อ่อนนุช ให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจร้านอาหารจะต้องวางระบบมาตรฐานของบริษัท เพื่อดูแลบริหารจัดการร้านให้มีประสิทธิภาพ และบริหารต้นทุนได้อย่างรอบคอบ พร้อมกับการมุ่งสร้างแบรนด์ร้านอาหารให้มีลายเซ็นของตัวเอง หรือเอกลักษณ์ของร้าน (Signature) ทั้งร้านที่เปิดขายเฉพาะช่องทางออนไลน์ หรือเปิดสาขาให้มีหน้าร้าน เพื่อช่วยเพิ่มความโดดเด่น สร้างการรับรู้แก่ลูกค้าสามารถจดจำร้านได้และกลายเป็นลูกค้าประจำของร้านที่เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง

การรักษามาตรฐานคุณภาพสินค้า (Quality Standard) ช่วยเปิดโอกาสขยายธุรกิจ

“ชาร์คเต้-ภูริต ภิรมย์ภักดี” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจร้านอาหาร จะต้องเริ่มต้นจากการสร้างเมนูอาหารที่มีความสร้างสรรค์ และทำการทดลองตลาดด้วยการเปิดให้คนใกล้ตัวได้ชิมเมนูอาหารแต่ละอย่าง เพื่อให้ได้สูตรอาหารที่มีมาตรฐานและรสชาติที่อร่อยเหมือนกันในทุกครั้ง โดยไม่ควรเปลี่ยนแปลงเมนูในร้านอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ลูกค้าจดจำและเพิ่มความหลงไหลในรสชาติอาหาร ส่วนการขยายสาขาใหม่ที่ต้องว่าจ้างให้มีผู้ผลิตสินค้า (โออีเอ็ม) ในบางรายการ เช่น ผลิตวัตถุดิบต่างๆ จะต้องควบคุมคุณภาพและควรจัดทำระบบให้มีมาตรฐานดีที่สุด

การสร้างแบรนด์ดิ้ง (Branding) ช่วยเพิ่มสปอร์ตไลท์ให้ฮิตติดตลาด

“ชาร์คกฤษน์ ศรีชวาลา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟิโก้ กรุ๊ป และ ฟิโก้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เน้นย้ำว่า ผู้ประกอบการร้านอาหารจะต้องมุ่งมั่นสร้างแบรนด์ดิ้งให้ชัดเจน มุ่งต้องสร้างความแตกต่างและมี

ความสร้างสรรค์ให้แก่สินค้าและบริการ เพื่อสร้างจุดแข็งให้โดดเด่นกว่าร้านอื่นๆ เพราะหากสร้างสินค้าเหมือนกันในตลาดและก็จะเกิดโอกาสทำให้มีการลอกเลียนแบบได้ง่าย

การจัดทำแผนการตลาดให้ชัดเจน (Marketing Strategy) ช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้า

“ชาร์คจิง-ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ” รองประธานกรรมการอาวุโส กลุ่มบริษัท ไทยซัมมิทฯ ให้คำแนะนำว่า การทำธุรกิจร้านอาหารจะต้องเข้าใจธุรกิจร้านอาหาร เพื่อประเมินทิศทางภาพรวมตลาดโดยรวมและโอกาสในการขยายธุรกิจ ผสมผสานด้วยการมีความเข้าใจกลุ่มลูกค้าและมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อจัดทำแผนตลาดและวางกลยุทธ์ทำตลาด (Marketing Strategy) ให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด และช่วยสร้างจุดที่แข็งแกร่งให้แก่แบรนด์ในระยะยาว

จัดทำแผนช่องทางในการจำหน่ายสินค้าและมุ่งสู่ออนไลน์ (online) เพิ่มโอกาสการโตเร็ว

“ชาร์คหมู-ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อุ๊คบี จำกัด ผู้บริหารกองทุน 500 TukTuks กล่าวย้ำว่า การทำตลาดภายหลังโควิด-19 มีการเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด โดยการสร้างแบรนด์จะต้องมีไอเดียและจัดทำแผนธุรกิจให้มีความแตกต่าง มีความแปลกใหม่ มุ่งรักษาคุณภาพสินค้า และมีแผนการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการให้ความสำคัญกับการวางกลยุทธ์ขยายช่องทางจำหน่ายสินค้า ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ที่เป็นเทรนด์กำลังเติบโตในปัจจุบัน เพื่อสร้างแบรนด์ให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

คือ 5 กลยุทธ์การทำธุรกิจร้านอาหารให้มีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางภาพรวมตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรง และมีแบรนด์ร้านอาหารจำนวนมากในตลาด โดยผู้ประกอบการไทย และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ สามารถติดตามกลยุทธ์การทำธุรกิจ และการดีลธุรกิจสุดเข้มข้น จากนักธุรกิจแนวหน้าได้ในรายการ “Shark Tank Thailand ซีซั่น 3” ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ที่ เวลา 13.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมของรายการ Shark Tank Thailand ได้ที่ Website : https://www.sharktankthailand.com Youtube : https://www.youtube.com/c/MEDIAtank Facebook : https://www.facebook.com/sharktankTH Instagram : https://www.instagram.com/sharktankthailand/ TikTok : https://www.tiktok.com/@sharktankthailand

#sharktank #sharktankthailand #mediatank

เอสซีจี จัดแสดงนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บนเวทีผู้นำโลก APEC 2022 Thailand โชว์ศักยภาพ พร้อมเชื่อมโยงทุกภาคส่วน ร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด 19 ปรับตัวรับมือความท้าทายโลก ด้วยโซลูชันเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และนวัตกรรมพลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตไบโอ-เอทิลีนเพื่อผลิตพลาสติกชีวภาพ ชูโครงการฝึกอาชีพ สร้างรายได้มั่นคง ลดสังคมเหลื่อมล้ำ พร้อมเปิดตัวผลงานชะลอม APEC 2022 Thailand จากนวัตกรรม CPAC 3D Printing หนึ่งเดียวในโลก สานต่อแนวทาง BCG

นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจี มีความตั้งใจนำความเชี่ยวชาญของเรา มาผสานศักยภาพกับทุกภาคส่วน เพื่อทำงานร่วมกัน เชื่อมโยงโอกาสใหม่ ๆ ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด 19 ที่สมดุลทั้งสังคม สิ่งแวดล้อม ซึ่งเราหวังว่าจะช่วยให้เกิดการรวมพลังทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่ง ต่อเนื่อง ยั่งยืน โดยเอสซีจีได้จัดแสดงโซลูชันเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด (Energy Transition Solutions) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาทิ “พลังงานชีวมวล (Biomass)” จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร สำหรับทดแทนพลังงานฟอสซิลในกระบวนการผลิต และ “SCG Cleanergy โซลูชันพลังงานสะอาดครบวงจร” ในรูปแบบ Smart Grid เครือข่ายอัจฉริยะจัดการพลังงานสะอาด เพื่อการซื้อ-ขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้อย่างง่ายดาย

ดร.สุรชา อุดมศักดิ์ รองผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่สายงานนวัตกรรม SCGC กล่าวเสริมว่า “เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC พร้อมสานต่อแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG (Bio–Circular–Green Economy) โดยพัฒนานวัตกรรมพลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้แบรนด์ “SCGC GREEN POLYMER” เพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก มุ่งใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้ง “ร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตไบโอ-เอทิลีนสำหรับการผลิตพลาสติกชีวภาพ” โดยร่วมมือกับ Braskem (บราสเคม) ผู้นำด้านพลาสติกชีวภาพระดับโลกจากประเทศบราซิล ตอบโจทย์ความต้องการใช้พลาสติกรักษ์โลกที่กำลังเติบโต

เอสซีจี นำเสนอหลากหลายนวัตกรรมและความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด 19 ภายใต้แนวคิด “Together to Sustainable Future” ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค 14-19 พฤศจิกายน 2565 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยได้เปิดตัว “ผลงานชะลอม ตราสัญลักษณ์ APEC 2022 Thailand” หนึ่งเดียวในโลก ผลิต

จากนวัตกรรม CPAC 3D Printing Solution เทคโนโลยีการพิมพ์ได้อย่างอิสระ สวยงาม ซึ่งเป็นการนำเครื่องพิมพ์แบบ 3 มิติ ขนาดใหญ่ ขึ้นรูปด้วยปูนงานโครงสร้าง เอสซีจี สูตรไฮดรอลิก คาร์บอนต่ำ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล สร้างเสร็จไว ช่วยลดวัสดุเหลือทิ้งอย่างน้อย 70% สามารถสร้างสรรค์ได้หลายรูปแบบ ทั้งงานก่อสร้าง และงานตกแต่ง ทั้ง เฟอร์นิเจอร์ หรือชิ้นงานตกแต่งแลนด์สเคป รวมทั้งสามารถพริ้นท์เป็นวัสดุฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง ซึ่ง “ผลงานชะลอม ตราสัญลักษณ์ APEC 2022 Thailand” นี้ จะร่วมมือกับ APEC 2022 Thailand นำไปวางเป็นบ้านปะการังเพื่อฟื้นฟูแนวปะการังที่เสียหาย เพิ่มความหลากหลายระบบนิเวศทางทะเล ส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างรายได้ยั่งยืนให้ชุมชนต่อไป

นอกจากนี้ เอสซีจี ยังนำเสนอ “โครงการพัฒนาทักษะอาชีพที่ตลาดต้องการ” เช่น วิสาหกิจชุมชน ช่างประจำบ้าน คนขับรถบรรทุก เพื่อเปิดกว้างโอกาส สร้างอาชีพรายได้มั่นคงให้ชุมชนและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ

นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า “การประชุม APEC 2022 Thailand ได้นำแนวคิด BCG มาสานต่อ เพื่อเปิดกว้างการค้าการลงทุน ส่งเสริมให้คนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ซึ่งทุกเขตเศรษฐกิจให้ความสำคัญ โดยวางเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ส่งเสริมการรวมตัวทางเศรษฐกิจ การจัดการทรัพยากรยั่งยืน ซึ่งจะสำเร็จได้จำเป็นต้องรวมพลังและศักยภาพจากทุกภาคส่วน โดยภาคเอกชนไทยซึ่งมีความสามารถได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ จะเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการเชื่อมโยงโอกาสใหม่ ๆ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว หลังยุคโควิด 19”

ผู้สนใจสามารถติดตามนวัตกรรมและข่าวสารอื่นๆ ของเอสซีจีได้ที่ https://www.scg.com/esg/ https://scgnewschannel.com

นายระเฑียร ศรีมงคล (กลางซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยตัวแทนสายงานหลัก รับมอบ 2 ใบรับรองมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยของข้อมูล ISO/IEC 27001: 2013 และมาตรฐานการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล ISO/IEC 27701: 2019 โดยเป็นสถาบันการเงินรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ที่ต่ออายุการรับรองมาตรฐานทั่วองค์กร ครอบคลุมทั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) และทุกกระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของธุรกิจหลัก บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคลและการรับชำระเงิน ซึ่งการได้รับมาตรฐานสำคัญต่อเนื่องนี้ ช่วยตอกย้ำความเชื่อมั่นและเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าเคทีซีมุ่งเน้นความสำคัญกับระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ในการปกป้องข้อมูลของลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนให้ปลอดภัยจากการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต โดยนายบุคลากร ใจดี (กลางขวา) ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัท บีเอสไอ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด สถาบันรับรองมาตรฐานแห่งชาติของประเทศอังกฤษ ให้เกียรติมอบใบรับรองฯ ณ “เคทีซี” อาคารสมัชชาวาณิช 2

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เอาใจสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีและครอบครัวที่โคลัมเบีย พิคเจอร์ส อควาเวิร์ส สวนสนุกและสวนน้ำในธีมภาพยนตร์ของโคลัมเบีย พิคเจอร์ส แห่งใหม่และแห่งแรกของโลก โดยสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีรับสิทธิพิเศษ ดังนี้

1) รับ e-Coupon Starbucks มูลค่า 100 บาท จำนวน 1 ใบ (จำกัดสูงสุด 6 ใบ / ท่าน / วัน) ผ่านทางแอพพลิเคชัน KTC Mobile เมื่อใช้จ่าย หรือ ซื้อบัตรเข้าสวนสนุกในธีมภาพยนตร์ โคลัมเบีย พิคเจอร์ส อควาเวิร์ส ผ่านช่องทาง https://ktc.promo/Aquaverse ครบทุก 4,000 บาท

2) แลกรับเครดิตเงินคืน 12% เมื่อใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่าย/เซลส์สลิป

โดยสามารถลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษได้ที่ https://www.ktc.co.th/Aquaverse ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2565 - วันที่ 31 ธันวาคม 2565 นอกจากนี้ โคลัมเบีย พิคเจอร์ส อควาเวิร์ส ได้ออกบัตรเที่ยวสวนสนุกในธีมภาพยนตร์ได้ตลอดทั้งปี (Year Pass) ในราคาเริ่มต้นที่ 6,980 บาท พร้อมแบ่งชำระ 0% นานถึง 10 เดือน ที่ https://ktc.promo/Aquaverse-PR ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 - วันที่ 31 ธันวาคม 2565 สำหรับสวนสนุกในธีมภาพยนตร์ โคลัมเบีย พิคเจอร์ส อควาเวิร์ส มีโซนเครื่องเล่นสุดล้ำถึง 11 โซน พร้อมสัมผัสคาแร็คเตอร์ภาพยนตร์ฮอลลีวูดยอดนิยมตลอดกาล ที่ครองใจแฟนๆ ทุกยุคทุกวัย จัดเต็มกับเครื่องเล่นมากมาย อาทิ โซน Ghostbusters (บริษัทกำจัดผี) / โซน Jumanji / The Emoji Movie มินิกอล์ฟ / โซน Zombieland / มหัศจรรย์ลูกชิ้นตกทะลุมิติ (Cloudy with a Chance of Meatballs) และโฮเทล ทรานซิลเวเนีย (Hotel Transylvania)

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC World 02 123 5050 หรือติดตามโปรโมชัน ของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th/Aquaverse สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ

มหาวิทยาลัยซีอาน เจียวทง-ลิเวอร์พูล (XJTLU) และมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล สร้างความร่วมมือเพื่อร่วมกันเปิดตัวศูนย์ด้านเภสัชวิทยาและการบำบัดที่เมืองซูโจว ประเทศจีน โดยมีการจัดอีเวนต์เปิดตัวแบบออนไลน์และออฟไลน์ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2022 ที่ผ่านมา บนเป้าหมายของความร่วมมือ เพื่อที่จะดึงดูดนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำจากทั้งสองประเทศ ร่วมกันส่งเสริมการทำวิจัยเกี่ยวกับกลไกการเกิดโรคและพัฒนายาตัวใหม่สำหรับการรักษาโรคในปัจจุบัน

ในฐานะศูนย์กลางการวิจัยระดับโลกสำหรับการวิจัยแบบสหวิทยาการที่มีความทันสมัย ศูนย์ร่วมแห่งนี้จะมีการจัดทำแพลตฟอร์มที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ และการสร้างบุคลากรผู้มีความสามารถระหว่างห้องปฏิบัติการทางวิชาการร่วมกับพันธมิตรทางอุตสาหกรรมและการแพทย์ ในการวิจัยขั้นพื้นฐานและการวิจัยทางคลินิกด้านวิทยาศาสตร์เพื่อความปลอดภัยของยา เภสัชวิทยาภูมิคุ้มกัน การแพทย์แม่นยำ เภสัชกรรมระดับนาโน และวิทยาการกำกับดูแล

สมาชิกของศูนย์ร่วมแห่งนี้ประกอบด้วยนักวิจัยอาวุโสจากมหาวิทยาลัยซีอาน เจียวทง-ลิเวอร์พูล ภาควิชาเภสัชวิทยาและการบำบัดมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในด้านการวิจัยเภสัชวิทยาและพิษวิทยา นอกจากนี้ยังมีเหิงรุ่ย ฟาร์มาซูติคัล เซี่ยงไฮ้ (Hengrui Pharmaceutical Co., Ltd (Shanghai)) ยักษ์ใหญ่ด้านเภสัชกรรมในประเทศจีน และโรงพยาบาลจิตเวชซูโจวกวงจี้ (Suzhou Guangji Psychiatric Hospital)

กิจกรรมการวิจัยและพัฒนาของศูนย์ร่วมแห่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเมืองซูโจว ซึ่งมีบริษัทสตาร์ทอัพด้านชีวเภสัชภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงมากกว่า 400 แห่งในนิคมอุตสาหกรรมไบโอเบย์ (BioBAY) และตั้งเป้าที่จะเป็น "ศูนย์กลางด้านเภสัชกรรมแห่งประเทศจีน" และเป็นประโยชน์ต่อเมืองลิเวอร์พูลด้วย

ดร.เหมิง เหว้ หลี่ (Meng Huee Lee) ผู้อำนวยการร่วมประจำศูนย์ร่วมฯ ในสังกัดมหาวิทยาลัยซีอาน เจียวทง-ลิเวอร์พูล กล่าวว่า "การผสมผสานความเชี่ยวชาญ ทักษะ สิ่งอำนวยความสะดวก และทรัพยากรระหว่างมหาวิทยาลัยซีอาน เจียวทง-ลิเวอร์พูล กับมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล จะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับทั้งสองมหาวิทยาลัยในการสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภาคส่วนนี้ และส่งเสริมพื้นที่การวิจัยใหม่ ๆ"

ศูนย์ร่วมแห่งนี้จะใช้อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกล้ำสมัยในด้านวิทยาศาสตร์เภสัชกรรม ชีววิทยาระดับโมเลกุล เคมี และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม พร้อมกับกิจกรรมที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาล ภาคเอกชน และอุตสาหกรรมยา

นักศึกษาระดับปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยซีอาน เจียวทง-ลิเวอร์พูล ซึ่งได้รับคำปรึกษาร่วมจากมหาวิทยาลัยซีอาน เจียวทง-ลิเวอร์พูล และมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล จะได้รับประโยชน์จากความสัมพันธ์ด้านการวิจัยและพัฒนาที่เข้มแข็ง นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ที่ชิดระหว่างศูนย์ร่วมฯ และบริษัทยาในท้องถิ่น จะช่วยสร้างนักวิจัยที่ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมยาในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างมั่นคง

ศาสตราจารย์ คริสโตเฟอร์ โกลด์ริง (Christopher Goldring) จากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล ผู้อำนวยการร่วมประจำศูนย์ร่วมฯ กล่าวว่า "ด้วยพันธมิตรของเราที่มหาวิทยาลัยซีอาน เจียวทง-ลิเวอร์พูล การสอนและการวิจัยของเราจะสร้างผู้นำด้านการวิจัยที่มีความสามารถ ตลอดจนสร้างความร่วมมือและการลงทุนระดับนานาชาติที่น่าตื่นเต้น"

 

 

X

Right Click

No right click