

บริษัท วิโนน่า เฟมินิน จำกัด ย้ำจุดยืนผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของไทย ผนึกกำลังร่วมกับ สถาบันยุทธศาสตร์ทางปัญญาและวิจัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ลงนามสัญญาการถ่ายทอดเทคโนโลยีและอนุญาตให้ใช้สิทธิ ผลงานเชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ Bifidobacterium animalis TA-1 ซึ่งเป็นผลงานการพัฒนาสายพันธุ์ของ รองศาสตราจาร์ ดร.มาลัย ทวีโชติภัทร์ สังกัดคณะแพทยศาสตร์ และคณะนักวิจัย เพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์ กระตุ้นการใช้จุลินทรีย์โพรไบโอติกไทย ลดการนำเข้าโพรไบโอติกจากต่างประเทศ และเพิ่ม GDP ให้ประเทศไทยได้ดุลการค้าจากโพรไบโอติกสู่การต่อยอดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยสร้างสมดุลสุขภาพของคนไทย และลดภาระค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลในอนาคต
![]()
นางนพรัตน์ สุขสราญฤดี ผู้ก่อตั้ง บริษัท วิโนน่า เฟมินิน จำกัด กล่าวว่า “จากความร่วมมือในการลงนามสัญญากับทาง มศว เพื่อใช้สิทธิข้อมูลเทคโนโลยี จุลินทรีย์โพรไบโอติก (probiotics) สายพันธุ์ Lactobacillus paracasei MSMC 39-1 ซึ่งเป็นผลงานจากคณะนักวิจัยของ มศว ในปีที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์วิโนน่า และได้มีการเปิดตัวพร้อมวางจำหน่ายไปเมื่อเดือน พ.ค. 2565 นับว่าประสบความสำเร็จและได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยมจากผู้บริโภคเนื่องจากผลลัพธ์จากการบริโภคที่เห็นผลในแง่ของสุขภาพที่ดีขึ้นในหลายระบบโดยไม่ต้องใช้ยา อาทิเช่น ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ต้านอักเสบ ปรับภูมิคุ้มกัน ลดสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น ทำให้เราเชื่อมั่นต่อความสามารถของนักวิจัยไทย และเชื่อมั่นในคุณภาพของจุลินทรีย์ โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย ในโอกาสนี้ วิโนน่า ในฐานะผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ยังคงมีเจตนารมณ์ร่วมกับคณะนักวิจัยของ มศว ที่อยากเห็นคนไทย มีสุขภาพร่างกายที่สมดุล สมบูรณ์แข็งแรง ด้วยการบริโภคจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่มีคุณภาพในปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงเกิดความร่วมมือครั้งใหม่ในการลงนามเพื่อรับไลเซนส์ เพื่อใช้ผลงานจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ Bifidobacterium animalis TA-1 สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะช่วยสร้างสมดุลแก่สุขภาพในระยะยาวแก่ผู้บริโภค ตามเจตนารมณ์ของแบรนด์วิโนน่า ที่อยากช่วยให้คนไทยหลีกเลี่ยงการพึ่งพายา และสารเคมีเข้าในร่างกาย และลดภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาโรคในบั้นปลาย ซึ่งการดูแลสุขภาพองค์รวมด้วยสารอาหารตามธรรมชาติเช่นนี้ จะเป็นการรักษาสุขภาพอย่างยั่งยืนและทำให้ผู้บริโภคมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยไม่ต้องพึ่งพายาและสารเคมีเกินความจำเป็น”
![]()
รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย สันติวัฒนกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เปิดเผยว่า “ความร่วมมือครั้งนี้ บริษัท วิโนน่า เฟมินิน จำกัด ในฐานะพันธมิตรจากภาคเอกชน ได้เข้ามาร่วมมือกับ มศว ในการลงนามสัญญาการถ่ายทอดเทคโนโลยีและอนุญาตให้ใช้สิทธิ ผลงานเชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ Bifidobacterium animalis TA-1 โดย มศว มีนโยบายการส่งเสริมการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม อันเกิดจากองค์ความรู้ที่มีประโยชน์โดยการพัฒนาและทดลองของคณะนักวิจัย ซึ่งการเข้ามามีบทบาทของภาคเอกชน จะเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญที่ทำให้องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยนั้น ไม่สิ้นสุดเพียงแค่เป็นผลงานวิจัย เพราะด้วยศักยภาพด้านธุรกิจ อุตสาหกรรม และกลยุทธ์ทางการตลาดของภาคเอกชนนั้น จะช่วยผลักดันให้งานวิจัยขยายสู่ความเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้และมีคุณค่าในเชิงพาณิชย์ จากผลงานวิจัยจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถไปถึงมือผู้บริโภค ยิ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นการขยายขีดความสามารถในแข่งขันแก่สถาบันระดับอุดมศึกษาและในภาคอุตสาหกรรมของประเทศอีกด้วย”
![]()
รองศาสตราจารย์ ดร.มาลัย ทวีโชติภัทร์ สังกัดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ในฐานะเจ้าของผลงานวิจัยเชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติก กล่าวว่า “เชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ Bifidobacterium animalis TA-1 เป็นจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยที่มีการพิสูจน์คุณสมบัติแล้วว่าเป็นโพรไบโอติกที่ดี และอยู่ในการอนุญาตขององค์การอาหารและยา (อย. ) ซึ่งผ่านกระบวนการวิจัยและพัฒนาที่ได้มาตรฐานเพื่อหาข้อพิสูจน์ว่ามีคุณสมบัติจำเพาะที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย แม้จะพบว่ามีคุณสมบัติเด่นในการลดไขมันและคอเลสเตอรอล แต่สามารถกล่าวได้ว่าเชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์นี้ เป็นสายพันธุ์ที่ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยนั้น สามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องกังวลถึงผลข้างเคียง เนื่องจากเชื้อจุลินทรีย์ โพรไบโอติก ไม่ใช่ยาหรือสารเคมี หากแต่เป็นสารอาหารตามธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายของคนเรา หากบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อเติมสมดุลของเชื้อจุลินทรีย์ย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพองค์รวม”
นางนพรัตน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ด้วยเทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน ทำให้ในภาคอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของไทย มีผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ ที่สนใจในการนำจุลินทรีย์โพรไบโอติกมาพัฒนาเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร การสนับสนุนผลงานของนักวิจัยไทย ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเชื้อจุลินทรีย์ โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย นอกจากจะช่วยเพิ่มดุลการค้าและลดความสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการนำเข้าสายพันธุ์หรือผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์โพรไบโอติกจากต่างประเทศ
ในขณะที่จุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย มีการคัดแยก พัฒนา และทดสอบกับกลุ่มประชาการไทย จึงมีความคุ้นเคยกับคนไทยมากกว่า ดังนั้น สามารถกล่าวได้ว่า ผลงานวิจัยเชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย มีศักยภาพและขีดความสามารถเพียงพอที่จะแข่งขันกับผลิตภัณฑ์นำเข้าจากต่างประเทศ และยังสามารถนำสายพันธุ์ของเราขยายตลาดไปยังกลุ่มเอเซียแปซิฟิก ได้อย่างแน่นอน”
บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด เจ้าของแบรนด์ดัง บาร์บีคิวพลาซ่า, ฌานา และเรดซัน จัดกิจกรรมพบสื่อพร้อมบอกเล่ากลยุทธ์การปรับตัวจนพ้นผ่านวิกฤติโควิด โดยเฉพาะในปี 2565 ที่ทำยอดรายได้กว่า 2,700 ล้านบาทจาก 3 ไตรมาสแรกของปี พร้อมประกาศแผนงานในการขับเคลื่อนองค์กรที่ปักหมุดบนมิชชั่นของความยั่งยืน ผ่านแนวคิด Go Beyond ด้วย Triple Bottom Line: People, Profit และ Planet เพื่อต้องการที่จะเป็นมากกว่าธุรกิจที่แข็งแรง แต่ยังต้องการเป็นองค์กรที่ดีทั้งกับเพื่อนมนุษย์ และดีต่อโลกไปพร้อมๆกัน ในขณะที่ก็ยังคงความสามารถในการสร้างผลกำไรและการเติบโตของธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
และด้วยโดยมีกลยุทธ์ 3GO Beyond ที่เป็นยุทธศาสตร์สร้างความสำเร็จ พร้อมตั้งเป้ารายได้ปี 2565 ที่ต้องการจะทะลุ 3,500 ล้านบาท พร้อมวางเป้าหมายสำหรับปี 2568 ไว้ที่ 4,500 ล้านบาท
นางชาตยา สุพรรณพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด ได้เปิดเผยว่า ภาพรวมของปี 2565 ถือได้ว่าเราได้ผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายและสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาสร้างรายได้และกำไรได้อย่างรวดเร็ว โดย 3 ไตรมาสที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตสูงกว่าปี 2564 มากถึง 80% คิดเป็นรายได้ 2,700 ล้านบาท ถือว่าใกล้เคียงรายได้ก่อนสถานการณ์โควิดในปี 2563 โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจร้านอาหารในเครือ ได้แก่ บาร์บีคิวพลาซ่า 2,606 ล้านบาท ฌานา 9 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจอื่นๆ 85 ล้านบาท อาทิ ธุรกิจร้านรูปแบบใหม่ ธุรกิจต่างประเทศ ธุรกิจสินค้าสำเร็จรูป รวมไปถึงที่ได้มีการพัฒนาและต่อยอดจากความเชี่ยวชาญในธุรกิจร้านอาหารมาสู่การเปิดธุรกิจศูนย์ฝึกอบรมและศูนย์การเรียนฟู้ดแพชชั่น ที่ในปัจจุบันสามารถสร้างรายได้ โตกว่าปี 2564 ถึง 5 เท่า
“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฟู้ดแพชชั่นสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาสร้างรายได้ได้อย่างรวดเร็ว คือ การออกแบบระบบการทำงาน และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเรื่องเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถใช้ Data ในการตัดสินและออกโปรโมชันที่โดนใจลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยปีที่ผ่านมาเราสามารถออกโปรโมชันได้มากกว่า 50 โปรโมชัน และแต่ละโปรโมชันมีความ Dynamic คือออกในช่วงสั้นๆ 7 วัน 14 วัน และ 30 วัน และปรับเปลี่ยนตามกลุ่มประเภทลูกค้าแบบ Personalize Offering บวกกับความร่วมแรงร่วมใจของทีมงานทุกฝ่ายในการปรับกลยุทธ์ธุรกิจในช่วงเวลาต่างๆ ได้รวดเร็วทันเวลา จึงทำให้ทันทีที่มีการคลายมาตรการเราก็สามารถสร้างสรรค์กิจกรรมกระตุ้นการขายได้ทันที”
ทั้งนี้ CEO ของฟู้ดแพชชั่น ยังได้ขยายความถึงแนวคิด Go Beyond ด้วย Triple Bottom Line ได้แก่ People, Profit และ Planet ที่หากเปรียบกับอาหารจานก็เสมือนสูตรลับของความสำเร็จ ที่ส่งผลต่อความสำเร็จและความยั่งยืน โดย Triple Bottom Line ใน 3 องค์ประกอบคือ
People: การบริหารธุรกิจที่ให้ “คน” มาเป็นอันดับหนึ่ง
ด้วยแนวคิดองค์กรแห่งความสุขผ่านกลยุทธ์ “เก่ง ดี สุข” เพื่อสร้างสรรค์วงจรแห่งความสุขที่ยั่งยืน ผ่านการพัฒนาศักยภาพ ความสามารถ ทักษะของบุคลากรในองค์กรให้เป็นคนมีคุณภาพของสังคม และการสร้างความเท่าเทียมในเรื่องการเข้าถึงศึกษา ด้วยการเสริมวุฒิการศึกษาคนในองค์กรด้วยโครงการ “ทุนสานฝัน” และ “ก้อนรักเรียน” ภายใต้การเปิดศูนย์การเรียนฟู้ดแพชชั่นในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการในระดับวุฒิปวช. และสร้างความร่วมมือกับวิทยาลัยทักษิณา บริหารธุรกิจในระดับวุฒิปวส. รวมถึงจับมือกับมหาวิทยาลัยหอการค้าพัฒนาหลักสูตร Passion Lab เพื่อพัฒนาทักษะในทุกด้านให้บุคลากรในองค์กร พร้อมด้วยการส่งเสริมให้บุคลากรเป็นคนดีของสังคมผ่านการทำกิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมต่างๆ และการเสริมสร้างความสุขด้วยรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นเข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คนปัจจุบันแบบ Hybrid workplace & new flexible benefits
Profit: การสร้างผลกำไรให้ธุรกิจผ่านกลยุทธ์ธุรกิจ 3GO ได้แก่
o Go Beyond Dine-in: เน้นการเสริมแกร่งให้แก่ธุรกิจร้านอาหารด้วย 3 แบรนด์ในเครือผ่านการยกระดับประสบการณ์ ทั้งประสบการณ์ภายในร้าน (Physical Experience) และประสบการณ์ดิจิทัล (Digital Experience) การขยายโอกาสในการทานทั้งที่ร้าน (Togetherness dine-in) และที่บ้าน (Happiness at home) ด้วยการพัฒนาโมเดลร้านบาร์บีคิวพลาซ่าในรูปแบบ Digital Store และการนำเทคโนโลยีทันสมัยทั้ง การค้นหา จองคิว สั่ง จนถึงการชำระเงิน และเก็บคะแนน ร้านที่เป็น Cashless และ GON Bot เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่และความสะดวกสบายให้กับลูกค้า รวมถึงการขยายฐานลูกค้า ด้วยการออกเมนูใหม่ และโมเดลร้านแบบใหม่ใกล้ลูกค้ามากขึ้น เป็นต้น สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการสร้างความผูกพันของแบรนด์ บาร์บีก้อน ให้สร้างแรงบันดาลใจกับผู้คนอยู่เสมอ สุดท้ายคือการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มประเภทซอสให้ลูกค้าสามารถนำไปสร้างความสุขได้ที่บ้าน
o Go Beyond Thailand: การขยายธุรกิจในแนวกว้าง คือการขยายสาขาไปยังตลาดต่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ประเทศมาเลเซีย โดยปีนี้ได้ขยายฝั่งมาเลเซียตะวันออก ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศกัมพูชา และประเทศล่าสุด ลาว โดยเฉพาะที่ลาวจะเป็นสาขา standalone ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยเปิดมา โดยใช้พื้นที่กว่า 800 ตารางเมตร ปัจจุบันมีสาขารวมกว่า 30 สาขา และในปี 2565 มีรายได้รวมของสาขาในต่างประเทศ กว่า 425 ล้านบาท
o Go Beyond Food Industry: การต่อยอดความสำเร็จและความเชี่ยวชาญด้านคนสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น การเปิดให้บริการศูนย์การเรียนฟู้ดแพชชั่น เปิดสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งในปีการศึกษา 2565 มีจำนวน 310 คน และศูนย์ฝึกอบรมฟู้ดแพชชั่น โดยเปิดสอนหลักสูตรการสุขาภิบาลอาหาร สำหรับผู้ประกอบกิจการและผู้สัมผัสอาหารตั้งแต่ปี 2564 โดยใน 3 ไตรมาสปีนี้ มีผู้ผ่านการอบรมรวมกว่า 10,000 คน
Planet: การลดผลกระทบต่อโลกและสิ่งแวดล้อม
โดยองค์กรตั้งเป้าที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ภายในปี 2030 และจะเป็นองค์กรที่บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายใน ปี 2050 (Net Zero Emissions by 2050)
สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจของฟู้ดแพชชั่นในปี 2565 ได้ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 3,500 ล้านบาทพร้อมคาดการณ์ว่าในปี 2566 ฟู้ดแพชชั่นจะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 3,800 ล้านบาท ด้วยการขยายโอกาสการรับประทานให้มากกว่าการนั่งรับประทานที่ร้านและในห้างฯ โดยมีการการขยายโมเดลร้านในรูปแบบ GEX (Gon Express) การขายแบบเดลิเวอรี่ที่เข้ากับไลฟ์สไตล์แบบใหม่รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ GON Product ซอสบาร์บีคิว ที่ล่าสุดได้รับการตอบรับดีเกินคาดหลังทดลองทำตลาดบนออนไลน์ นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายสาขาในประเทศไทยรวมทุกแบรนด์มากกว่า 30 สาขา และการขยายสาขาในต่างประเทศเพิ่มอีก 4 สาขา เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีแผนการปรับรูปแบบร้านบาร์บีคิวพลาซ่าด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้เพื่อความสะดวกสบายของลูกค้า ได้แก่ Platform Line @GonGang ที่สามารถให้บริการ สิทธิประโยชน์สมาชิก การสะสม-แลกคะแนน การสั่งซื้อเดลิเวอรี่ การซื้อ voucher รวมถึงการสอบถามโปรโมชันต่างๆ การใช้หุ่นยนต์ GON Bot มาให้บริการภายในร้าน เพื่อให้บริการใน 60 สาขา การปรับปรุงสาขาเดิมกว่า 50% ของสาขาทั้งหมดให้เป็นสาขาที่ไม่ต้องใช้เงินสด (Cashless) พร้อมด้วยการเปิด Digital Store ที่ลูกค้าจะได้สัมผัสประสบการณ์ดิจิทัลตั้งแต่จองคิวถึง สั่ง จนถึงการชำระเงิน และเก็บคะแนน แห่งแรกที่สีลม คอมเพล็กซ์ โดยพัฒนาระบบร่วมกับ Hato Hub ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพาร์ทเนอร์และตั้งเป้าจะเปิด Digital Store ทั้งหมด 40 สาขา ภายในปี 2566
“สถานการณ์ที่ผ่านมาทำให้พวกเราแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม และให้บทเรียนมากมาย รวมถึงการเปิดประตูบานใหม่ในการทำธุรกิจของฟู้ดแพชชั่น ทั้งการขายเดลิเวอรี่ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ การเปิดธุรกิจด้านการศึกษา และการสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ของการทานอาหารให้กับผู้คนในทุกมิติ รวมถึงการทบทวนแนวคิดธุรกิจสู่การขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืนที่จะสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจ ผู้คน และสังคม” นางชาตยา กล่าวทิ้งท้าย
![]()
![]()
![]()
เคทีซีเผยแนวโน้มธุรกิจสุขภาพและความงามเติบโตสวนกระแส จากข้อมูลด้านพฤติกรรมและสถิติการจับจ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี พบว่าเติบโตก้าวกระโดดสูงกว่าตัวเลขของอุตสาหกรรม เป็นที่มาของการปรับแผนการตลาดเชิงลึก เพื่อเป้าหมายในการเข้าถึงและเข้าใจผู้บริโภค ภายใต้การผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมความงาม และสุขภาพ พร้อมวางเป้าหมายการให้บริการที่จะสามารถครอบคลุมสมาชิกได้ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ รวมถึงกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมี่ยม โดยทางหน่วยงานฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต KTC ได้เตรียมโปรฯจัดหนักทุกรูปแบบ ทั้งส่วนลด เครดิตเงินคืนและการผ่อนชำระ เพื่อส่งท้ายปีเอาใจสมาชิกที่ใช้บริการตรวจสุขภาพประจำปีที่โรงพยาบาล ทั้ง แคมเปญ “ลุ้นสวยฟรีทั้งบิล” และแคมเปญ KTC - VISA FIFA World Cup Qatar 2022™ โดยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ในหมวดสุขภาพและความงามติดอันดับ 4 จากยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีทั้งหมด
นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้อำนวยการ-การตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยว่า “ภาพรวมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีด้านสุขภาพและความงามระหว่างเดือนมกราคม - กันยายน 2565 เติบโตดีมาก ด้วยแรงส่งจากหมวดโรงพยาบาล จากสถานการณ์โควิดที่ผ่อนคลายขึ้น จำนวนผู้ป่วยโควิดลดลง ทำให้โรงพยาบาลมีความพร้อมในการรักษาผู้ป่วยโรคอื่นๆ มากขึ้น ประกอบกับผู้ป่วยกลับมารักษาในบริการที่เคยชะลอการรักษาในช่วงโควิดระบาดหนัก เช่น บริการผ่าตัดต่างๆ หรือบริการทันตกรรม ซึ่งส่วนมากเป็นการรักษาที่มียอดใช้จ่ายสูง หมวดความงาม คลินิกเสริมความงามมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังเปิดให้บริการได้ตามปกติ ผู้บริโภคคลายกังวลและกลับไปใช้บริการมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงและใช้บริการต่อเนื่อง อาทิ โปรแกรมยกกระชับและศัลยกรรมความงาม ประกอบกับเทรนด์ความงามกำลังมาแรงสำหรับผู้บริโภคในยุคนี้ที่ต้องการเสริมความมั่นใจเพื่อให้ตัวเองดูดี โดยผู้บริโภคที่มีอายุน้อยยังหันมาดูแลตัวเองในด้านความงามเพิ่มมากขึ้น”
“ส่วนหมวดกีฬาและฟิตเนส การใช้จ่ายในหมวดกีฬาและฟิตเนสเริ่มกลับมาคึกคัก ด้วยปัจจัยการแข่งขันกีฬาต่างๆ ที่กลับมาจัดงานได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นงานวิ่งหรือปั่นจักรยาน ทั้งนี้จากข้อมูลแพลตฟอร์มสมัครงานวิ่ง คาดว่าในปีนี้จะมีการจัดงานวิ่งประมาณ 600 -700 งาน ส่งผลให้สมาชิกเริ่มซื้อสินค้าอุปกรณ์กีฬาและบริการฟิตเนส สำหรับใช้ในการเตรียมตัวฝึกซ้อมเพื่อแข่งขันมากขึ้น นอกจากนี้ส่วนของสปอร์ตแฟชั่นที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ส่งผลให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่การใส่เล่นกีฬาเพียงอย่างเดียว จึงทำให้เกิดการซื้อซ้ำมากขึ้น”
“เคทีซีมีจุดแข็งในการทำการตลาดแบบเข้าใจผู้บริโภค โดยมอบสิทธิพิเศษดูแลสุขภาพแบบครบวงจร เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคไม่ได้รอให้ป่วยก่อนแล้วค่อยรักษา แต่ผู้บริโภคต้องการป้องกันก่อนที่จะเกิดโรค โดยมีการใส่ใจสุขภาพตนเองมากขึ้น ควบคู่กับการดูแลเรื่องความงามเพื่อให้เกิดความมั่นใจ นอกจากนั้นยังเน้นขยายการมอบสิทธิพิเศษครอบคลุมร้านค้าทุกภูมิภาคทั่วประเทศกับพันธมิตรธุรกิจชั้นนำ ในรูปแบบของส่วนลด เครดิตเงินคืน รวมถึงสามารถผ่อนชำระได้ ทำให้เราสามารถเข้าถึงสมาชิกผู้บริโภคได้มากขึ้น หมวดโรงพยาบาล ครอบคลุมพันธมิตรทั้งโรงพยาบาลรัฐบาล โรงพยาบาลเอกชน คลินิกเวชกรรม คลินิกทันตกรรม และร้านขายยา รวมกว่า 700 แห่งทั่วประเทศ หมวดความงาม
ครอบคลุมคลินิกเสริมความงาม ร้านนวดสปา ร้านทำผม ร้านทำเล็บกว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศ หมวดกีฬาและฟิตเนส ครอบคลุมทุกแบรนด์กีฬา และร้านค้ากีฬาชั้นนำ สตูดิโอฟิตเนสขนาดใหญ่ รวมถึงร้านค้า ฟิตเนสรายย่อยกว่า 500 ร้านค้าทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมี “KTC Sports Group” ซึ่งเป็น Community ของสมาชิกบัตรที่มีไลฟ์สไตล์รักการออกกำลังกาย โดยมีกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพด้วยการออกกำลังกายตลอดทั้งปี มีสมาชิกภายในกลุ่มมากกว่า 4,000 คน ด้วยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ส่งผลให้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในหมวดสุขภาพและความงามมีมูลค่า 15,961 ล้านบาท เติบโต 39% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 และมียอดใช้จ่ายเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมเมื่อเทียบกับภาพรวมของตลาด โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีเติบโตสูงกว่าตลาดทั้ง 4 หมวด ได้แก่ หมวดโรงพยาบาล หมวดความงาม หมวดกีฬาและฟิตเนส”
![]()
ในส่วนของ แพทย์หญิงธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สมวรรธน์ เฮลท์ จำกัด กล่าวว่า “หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 เทรนด์การดูแลสุขภาพเน้นในเชิงป้องกัน (Preventive) เช่น การตรวจสุขภาพ ทานอาหารสุขภาพ ทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ออกกำลังกายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ให้มีสุขภาพยืนยาว (Longevity) และใส่ใจสุขภาพจิตกันมากขึ้น (Mental Health) โดยเน้นการจัดการกับความเครียด เพื่อลดภาวะซึมเศร้าและลดความเครียดในชีวิตประจำวัน ประกอบกับนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีเติบโตขึ้น การเข้าถึงแพทย์หรือการดูแลสุขภาพก็ไม่ใช่เรื่องยาก รวมถึงมีการวางแผนรูปแบบโปรแกรมการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยและอาการของโรคในแต่ละคน (Personalized) ที่จะกลายเป็นเทรนด์สุขภาพในอนาคตซึ่งสามารถป้องกันได้ก่อนเกิดโรค”
“ด้วยความท้าทายของธุรกิจการดูแลสุขภาพ (Healthcare) ที่ถูกเทคโนโลยีและ COVID-19 เข้ามาเป็นตัวแปรทำให้ โรงพยาบาลต้องมีการปรับเปลี่ยน ปรับตัวตลอดเวลา เริ่มจากแนวคิด #เราไม่อยากให้ใครป่วย เน้นการตรวจเพื่อป้องกันการเกิดโรคในแต่ละช่วงวัย (Early Detection และ Total Health Solution) ที่ย่อมจะดีกว่าการรักษา ซึ่งสิ่งที่ สมิติเวชให้ความสำคัญมาตลอด คือมีการนำเทคโนโลยีมาร่วมกับการแพทย์ เพื่อให้คนเข้าถึงบริการทางการแพทย์ง่ายยิ่งขึ้น เช่น บริการให้คำปรึกษาทางการแพทย์ออนไลน์ 24 ชั่วโมง (Samitivej Virtual Hospital) แอปพลิเคชันติดตามข้อมูลสุขภาพผู้ป่วยโรคเบาหวาน และความดันโลหิตแบบเรียลไทม์ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ตลอด 24 ชั่วโมง (Engage Care) ระบบติดตามสถานะการผ่าตัดแบบเรียลไทม์ (Samitivej Pace) ระบบติดตามสถานะการดูแลผู้ป่วยในวอร์ด (Samitivej Prompt) และแอปฯ พบหมอผิวหนัง ซื้อยา ช้อปดีลความงาม (SkinX)”
“SkinX” คือ แพลตฟอร์มสำหรับปรึกษาแพทย์ผิวหนังออนไลน์ที่ครบวงจรที่สุดในประเทศไทย ถือเป็น แอปพลิเคชันด้านการรักษาผ่านระบบโทรเวชกรรม (Telemedicine) ที่รวบรวมแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังไว้มากที่สุด โดยมียอดผู้ดาวน์โหลดใช้งานแล้วกว่า 400,000 ครั้ง ให้บริการตั้งแต่พบแพทย์เพื่อให้คำปรึกษา สั่งยา เก็บประวัติ ติดตามผล และมีราคายาที่เป็นธรรม พร้อมบริการจัดส่งยาตามใบสั่งแพทย์โดยเภสัชกรถึงบ้าน นอกจากนั้นยังจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลผิวโดยเภสัชกร (SkinX Store) พร้อมรวมดีลแพ็กเกจความงามจากโรงพยาบาล และคลินิกที่ได้มาตรฐานไว้ในแอปฯ เดียว (SkinX Super Deal) โดยสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีจะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ อาทิ รับส่วนลด 100 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายขั้นต่ำผ่านเเอปฯ 1,000 บาท พร้อมกรอกโค้ด "KTC100" รับส่วนลด 50% เมื่อซื้อดีลความงาม (ลดสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาท จำกัด 10 คน ตลอดเเคมเปญ) เพียงกรอกโค้ด "KTC50" ในขั้นตอนสรุปค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2565 สมาชิกเคทีซีสามารถดาวน์โหลดแอปฯ SkinX ได้ที่ http://bit.ly/SkinXapp นอกจากนั้นโรงพยาบาลสมิติเวชยังมอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิตเคทีซีระดับพรีเมี่ยมตามที่กำหนด รับสิทธิ์การเป็นสมาชิกสมิติเวช เฟิร์ส (Samitivej First) ทันทีเมื่อแสดงบัตรฯ ที่เดอะ เฟิร์ส เลาจน์ (The First Lounge) โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท หรือที่สมิติเวช เอ็กซ์คลูซีฟ เลานจ์ (Samitivej Exclusive Lounge) โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 – 31 ธันวาคม 2566”
![]()
นายแพทย์พุทธพงศ์ เหลืองรัตน์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วี สแควร์ คลินิก (V Square Clinic) กล่าวว่า “สมัยก่อนคนมักยึดติดกับความสวยงามในแบบที่อยากจะเป็น และมักคิดว่าจะดูดีขึ้นได้ต้องทำศัลยกรรม แต่ปัจจุบันคนยอมรับความสวยความหล่อในแบบที่ตัวเองเป็น แล้วนำตัวตนมาพัฒนาให้ดูดีขึ้น ส่งผลให้เกิดความมั่นใจในแบบของตน (Self Confidence) ซึ่งตรงกับวิสัยทัศน์ของวี สแควร์ คลินิก ที่ต้องการให้คนมีความมั่นใจมากขึ้นในแบบของตัวเอง ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ กับการเน้นหัตถการที่ทำแล้วธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดผลเสียในระยะยาว เช่น ใช้โบท็อกซ์ (Botox) ฟิลเลอร์ (Filler) หรือเครื่องมือยกกระชับทดแทน (Face Lift Machine) จึงไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนโครงหน้าของตัวเองเสมอไป เราเน้นความสำคัญของความรู้จริงในสิ่งที่นำเสนอลูกค้า มีข้อมูลที่แน่นอน ทำแล้วเห็นผล เน้นความจริงใจ ด้วยแพทย์ที่มีประสบการณ์กับผลิตภัณฑ์ที่ดีในราคาคุ้มค่า ในบรรยากาศพรีเมี่ยมและบริการที่เป็นเลิศ ที่ผ่านมา วี สแควร์ คลินิก และเคทีซีเป็นพันธมิตรที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมาอย่างยาวนานตั้งแต่ในช่วงแรกของการดำเนินธุรกิจ เป็นที่ปรึกษาร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและนำไปพัฒนาการบริการของร้าน มีลูกค้าเคทีซีไปใช้บริการที่คลินิกจำนวนมาก โดยนิยมใช้บริการ โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ และโปรแกรมยกกระชับ วี สแควร์ คลินิก จึงขอมอบสิทธิพิเศษให้แก่สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถซื้อโปรโมชั่นโบเทอร่า ประกอบด้วยโบท็อกซ์ อัลเลอร์แกน (Allergan) ทั่วหน้า 100 ยูนิต และอัลเทอร่า เอสพีที (Ulthera SPT) 400 line ในราคาเพียง 48,000 บาท จากปกติ 58,000 บาท และยังสามารถผ่อนชำระ 0% ได้นาน 4 เดือน โดยไม่กำหนดยอดใช้จ่ายขั้นต่ำ พร้อมรับเครดิตเงินคืนไม่จำกัดตลอดรายการ เพียงลงทะเบียนเข้าร่วมรายการที่ www.ktc.co.th/beauty (สิทธิพิเศษนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 - 30 พฤศจิกายน 2565 กรุณานัดหมายล่วงหน้าก่อนเข้ารับบริการ)”
![]()
นายวีระเดช ผเด็จพล ผู้ก่อตั้ง เว็บไซต์ ฟิตดี ดอท คอม (Fit-D.com) และฟิตเนส สตูดิโอ ฟิตดี สเปซ (Fit-D Space) ผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกความแข็งแรง และโภชนาการสำหรับนักกีฬา (Strength Training & Nutrition Specialist) กล่าวว่า “เทรนด์การออกกำลังกายตอนนี้มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ได้จำกัดเฉพาะการวิ่งในสวนสาธารณะ โยคะในสตูดิโอ หรือออกกำลังกายในยิมเท่านั้น แต่ยังมีสตูดิโอหรือสถานที่ออกกำลังกายหลากหลายรูปแบบ รวมถึงมีการจัดแข่งขันวิ่งและกีฬาอื่นๆ ในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น ซึ่งที่ ฟิตดี สเปซ เราให้ความสำคัญกับเป้าหมายของลูกค้าในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ต้องการพัฒนาขีดความสามารถของตัวเอง หรือกลุ่มคนที่ได้รับการบาดเจ็บต้องการฟื้นฟูร่างกาย กลุ่มคนที่ต้องการดูแลสุขภาพหรือรูปร่าง โดยมีทีมบุคลากรคุณภาพที่เพียบพร้อมด้วยประสบการณ์และความรู้ ช่วยออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายให้เหมาะสม เพื่อให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ที่สำคัญต้องสามารถทำได้จริงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องในระยะยาวด้วย”
“นอกจากนี้เรื่องของโภชนาการที่ดีก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่เฉพาะแค่คนที่ต้องการลดน้ำหนักเท่านั้นที่ต้องให้ความใส่ใจ แต่ควรปรับให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำ เพื่อให้การออกกำลังกายได้ประสิทธิภาพ มีพัฒนาการที่ดีขึ้น รวมถึงช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เต็มที่ และช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายได้ด้วย สำหรับเว็บไซต์ ฟิตดี ดอทคอม เป็นคลังความรู้เกี่ยวกับสุขภาพและการออกกำลังกาย ที่เราตั้งใจพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับลูกค้าและบุคคลทั่วไป สามารถเข้าไปอ่านบทความดีๆ ที่น่าสนใจ รวมถึงท่าออกกำลังกายกล้ามเนื้อมัดต่างๆ เพื่อนำไปดูและฝึกตามที่บ้านได้เอง โดยไม่มีค่าใช้จ่ายอีกด้วย”
“สุดท้ายเมื่อเราเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพและรูปร่างที่ดีขึ้น เราจะสนุกกับการออกกำลังกาย และทำได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างยั่งยืน ซี่งสอดคล้องกับกิจกรรม Burn & Earn Challenge และกิจกรรม Tiny Habit Challenge ใน “KTC Sports Group” ทั้งสองเป็นกิจกรรมที่กระตุ้นให้สมาชิกได้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องทุกเดือน ด้วยการส่งผลการออกกำลังกายอย่างน้อย 600 นาทีต่อเดือน สร้างเป้าหมายให้กับสมาชิก นอกจากนี้ยังมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี เมื่อใช้บริการที่ฟิตดี สเปช สามารถผ่อนชำระ 0% พร้อมรับเครดิตเงินคืนไม่จำกัดตลอดรายการอีกด้วย”
![]()
นางสาวสิรีรัตน์กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับกลยุทธ์การตลาดในหมวดสุขภาพและความงามของเคทีซีจากนี้ จะเน้นทำการตลาดที่เข้าถึงแต่ละกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยศึกษาข้อมูลจากพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้าที่มีกำลังซื้อ เพื่อนำเสนอสิทธิพิเศษที่ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ รวมถึงกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัด เน้นขยายสิทธิพิเศษไปยังร้านค้าท้องถิ่นที่คนต่างจังหวัดนิยมไปใช้ ซึ่งจะส่งผลให้ยอดการใช้จ่ายในหมวดสุขภาพและความงามสูงขึ้น และมีส่วนในการเร่งให้ยอดการใช้จ่ายรวมผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในปีนี้เติบโตตามที่บริษัทฯ คาดการณ์ โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงของการใช้จ่ายเพื่อเตรียมรับเทศกาลแห่งความสุขต่างๆ เคทีซีจึงได้จัดแคมเปญการตลาดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี ได้แก่ รับสิทธิพิเศษเมื่อชำระค่าแพ็คเกจตรวจสุขภาพตามเงื่อนไขที่กำหนด พร้อมแพ็คเกจตรวจสุขภาพราคาพิเศษกับโรงพยาบาลที่ร่วมรายการ สำหรับหมวดความงามเคทีซีได้เตรียมแคมเปญ “ลุ้นสวยฟรีทั้งบิล” ให้สมาชิกรับสิทธิ์ลุ้นทำสวยฟรีรับปีใหม่ เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิป และต้องไม่พลาด เคทีซีร่วมกับวีซ่าขอเอาใจสายกีฬากับการแข่งขันฟุตบอลโลก FIFA World Cup Qatar 2022™ เชียร์บอลสนุก รับของ พรีเมี่ยมมูลค่า 600 บาทจากร้านอาดิดาส (adidas) ที่ร่วมรายการ เมื่อใช้บัตรเครดิตเคทีซี - วีซ่าช้อปชุดกีฬาและอุปกรณ์กีฬาครบ 5,000 บาทต่อเซลส์สลิป”
![]()
ซิโนเปค เชลล์ ไชน่า เป่าอู่ และบีเอเอสเอฟ เตรียมสำรวจการพัฒนา CCUS แบบโอเพนซอร์ซ เพื่อบรรลุเป้าหมายทางคาร์บอน
บริษัท ไชน่า ปิโตรเลียม แอนด์ เคมิคอล คอร์ปอเรชัน (China Petroleum & Chemical Corporation) (HKG: 0386) หรือซิโนเปค (Sinopec) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) แบบไม่มีผลผูกมัดกับเชลล์ (Shell) ไชน่า เป่าอู่ (China Baowu) และบีเอเอสเอฟ (BASF) เพื่อเปิดตัวโครงการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ขนาด 10 ล้านตันโครงการแรกในจีนตะวันออก โครงการแบบโอเพนซอร์ซนี้จะสนับสนุนอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วภูมิภาค ในการทำให้การดำเนินงานของตนปล่อยคาร์บอนน้อยลง และจัดตั้งซัพพลายเชนคาร์บอนต่ำ เพื่อรับหน้าที่นำการพัฒนา CCUS ในจีน และบรรลุเป้าหมาย “คาร์บอนคู่ขนาน” ของภูมิภาค
CCUS ซึ่งเป็นกรรมวิธีลดคาร์บอนด้วยการดักจับและทำให้ใช้ CO2 ที่ปล่อยจากภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีนัยสำคัญในสเกลใหญ่ และมีแนวโน้มที่จะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน
โครงการนี้จะสำรวจความเป็นไปได้ในการขนส่ง CO2 ที่ผลิตโดยโรงงานอุตสาหกรรมในตอนกลางและตอนล่างของแม่น้ำแยงซี (รวมถึงจากบริษัทเหล็กกล้า เคมี พลังงาน ซีเมนต์) ไปยังสถานีรับ CO2 จากนั้นขนส่ง CO2 ไปยังจุดจัดเก็บบนฝั่งหรือนอกฝั่งผ่านท่อส่งระยะสั้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเสนอโซลูชันการลดคาร์บอนที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพสำหรับบริษัทอุตสาหกรรม ซึ่งซิโนเปค เชลล์ ไชน่า เป่าอู่ และบีเอเอสเอฟ ไม่เพียงแต่สนับสนุนการลดคาร์บอนของอุตสาหกรรมในปัจจุบัน และสร้างห่วงโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำเท่านั้น แต่ยังเร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำและเศรษฐกิจหมุนเวียนคาร์บอนต่ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
หม่า หยงเชิง (Ma Yongsheng) ประธานบริษัทซิโนเปค กล่าวว่า “ซิโนเปคจะทำงานร่วมกับเชลล์ ไชน่า เป่าอู่ และบีเอเอสเอฟ เพื่อขยายการลดคาร์บอนในเชิงพาณิชย์ และส่งเสริมการพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรม CCUS เต็มรูปแบบอย่างแข็งขัน ไม่เพียงแต่สนับสนุนการพัฒนาสีเขียวของจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทั่วโลกด้วย ซิโนเปคจะยังคงมุ่งหวังที่จะร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับพันธมิตรระดับโลก บรรลุเป้าหมายการเปิดกว้างและการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมุ่งปล่อยคาร์บอนถึงจุดสูงสุดก่อนที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน”
ซิโนเปคมีความมุ่งมั่นในการรับหน้าที่เป็นผู้นำ CCUS ระดับอุตสาหกรรมของจีน โดยในปี 2555 นั้น ซิโนเปคได้เปิดตัวโครงการ CCUS โรงไฟฟ้าถ่านหินโครงการแรกของจีนในบ่อน้ำมันเฉิงลี่ และในปี 2558 ก็ได้ร่วมมือกับบริษัท ซิโนเปค หนานจิง เคมิคอล อินดัสทรีส์ จำกัด (Sinopec Nanjing Chemical Industries Co., Ltd.) และซิโนเปค อีสต์ ไชน่า ออยล์ แอนด์ ก๊าซ คอมปะนี (Sinopec East China Oil and Gas Company) เพื่อบุกเบิกการใช้ประโยชน์จาก CO2 ในบริษัททั้งต้นน้ำและปลายน้ำ ซิโนเปคดักจับ CO2 ได้ 1.52 ล้านตันในปี 2564 ทั้งยังได้เปิดตัวโครงการ CCUS ระดับเมกะตันโครงการแรกของจีนอย่างโครงการ CCUS บ่อน้ำมันฉีหลู่-เฉิงลี่ อย่างเป็นทางการในต้นปี 2565 ด้วย ดูข้อ.0.0.0.0.0.0.0.0.0.0.0.0.0.0
มูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของซิโนเปค
รายงาน Trends Demand Gold ฉบับล่าสุดจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) เผยความต้องการทองคำทั่วโลก (ไม่รวมการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์) ในไตรมาส 3 ของปี 2565 แตะ 1,181 ตัน เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบเป็นรายปี และด้วยความต้องการที่สูงขึ้นจึงทำให้ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีกลับไปเกือบเท่าช่วงก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ยิ่งไปกว่านั้น ความต้องการทองคำยังได้รับแรงหนุนจากผู้บริโภคและธนาคารกลาง แม้ว่าจะมีการหดตัวลงอย่างเห็นได้ชัดในส่วนของการซื้อเพื่อการลงทุน
ความต้องการทองคำของผู้บริโภคในไทยในไตรมาส 3/2565 เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบเป็นรายปี กล่าวคือ จาก 8.6 ตัน ในไตรมาส 3/2564 ไปเป็น 12.1 ตัน ในไตรมาส 3/2565 ด้วยแรงหนุนจากความต้องการอัญมณีที่สูงขึ้น 35% เมื่อเทียบเป็นรายปี จาก 1.9 ตัน ในไตรมาส 3/2564 เป็น 2.5 ตัน ในไตรมาส 3/2565 และความต้องการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำพุ่งขึ้น 42% เมื่อเทียบเป็นรายปี จาก 6.7 ตัน ในไตรมาส 3/2564 เป็น 9.6 ตัน ในไตรมาส 3/2565
Mr. Andrew Naylor ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำภูมิภาค APAC (ไม่รวมประเทศจีน) ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า "ความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และนับเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกันที่เราได้เห็นความต้องการอัญมณีในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากการฟื้นตัวของภาคส่วนการท่องเที่ยวและราคาทองคำที่ลดลง อันเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ค้าปลีกทองคำเร่งเติมคลังโดยคาดว่าความต้องการจะยังคงแข็งแกร่งต่อไปในไตรมาสที่สี่ เนื่องจากเป็นช่วงที่ผู้คนนิยมแต่งงานและมีการเฉลิมฉลองส่งท้ายปี”
การลงทุนทั่วโลกดิ่งลง 47% เมื่อเทียบเป็นรายปี เนื่องจากนักลงทุน ETF ไม่สู้อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งตัว โดยมีการไหลออกที่ 277 ตัน ซึ่งเหล่านี้ ผนวกรวมกับความต้องการการซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์ที่ลดลง และทัศนคติเชิงลบในตลาดซื้อขายล่วงหน้านับเป็นอุปสรรคต่อประสิทธิภาพของราคาทองคำส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลง 8% ในไตรมาส 3/2565
อย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดปัญหาข้างต้น แต่ทองคำก็ยังคงได้รับความนิยมจากนักลงทุนรายย่อยที่ตอบสนองต่อสัญญาณของตลาดต่าง ๆ และหันไปลงทุนในทองคำ เนื่องจากยังสามารถตรึงราคาไว้ได้ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยนักลงทุนจะเลี่ยงผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อด้วยการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำ ทำให้ความต้องการในส่วนค้าปลีกโดยรวมเพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังได้แรงหนุนจากการซื้ออย่างมีนัยสำคัญในประเทศตุรกี (มากกว่า 5 เท่า เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา) และในประเทศเยอรมนี (เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ที่ 42 ตัน) พร้อมอานิสงค์ที่เด่นชัดจากตลาดหลักทั่วโลก
การซื้ออัญมณียังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและได้กลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ 523 ตัน โดยนับว่าเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2564 การเติบโตส่วนใหญ่นี้มีสาเหตุมาจากผู้บริโภคในตัวเมืองของประเทศอินเดีย ซึ่งส่งผลต่อความต้องการให้เพิ่มขึ้น 17% เป็น 146 ตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา นอกจากประเทศอินเดียแล้วยังมีการเติบโตที่น่าประทับใจในหลายพื้นทั่วตะวันออกกลาง โดยประเทศซาอุดิอาระเบียเลือกซื้อเครื่องประดับเพิ่มขึ้น 20% นับตั้งแต่ไตรมาส 3/2564 และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพิ่มขึ้น 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ความต้องการของเครื่องประดับในจีนยังเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นที่มากขึ้น และราคาทองคำในประเทศที่ลดลงในเดือนกรกฎาคม รวมถึงการผลิตตามความต้องการที่เคยถูกชะลอไว้บางส่วน
ควบคู่ไปกับความต้องการในทองคำของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง การซื้อของธนาคารกลาง1ดีดตัวขึ้นอย่างมาก โดยมียอดซื้อสูงเป็นประวัติการณ์เกือบ 400 ตัน ในไตรมาส 3 สะท้อนให้เห็นถึงข้อเท็จจริงจากข้อมูลสำรวจเชิงลึกที่เราได้จากธนาคารกลางเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ว่า 25% ของผู้ตอบแบบสอบถามประสงค์ที่จะสำรองทองคำเพิ่มในอีก 12 เดือนข้างหน้า2
เมื่อมองไปในส่วนของอุปทานการทำเหมืองทอง (การลดความเสี่ยงสุทธิ) เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2564 โดยการทำเหมืองทองคำได้เติบโตติดต่อกันถึงไตรมาสที่หก ในทางกลับกัน การรีไซเคิลลดลง 6% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเนื่องจากผู้บริโภคไม่ตัดสินใจขายทองคำในภาวะที่เงินเฟ้อสูงขึ้นและมีแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
Ms. Louise Street นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโส ของสภาทองคำโลก ให้ความเห็นว่า
“แม้สภาวะเศรษฐกิจระดับมหภาคจะไม่ทรงตัว แต่ความต้องการในปีนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงสถานะของทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าทองคำยังทำกำไรได้ดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ส่วนใหญ่ในปี 2565
“ในอนาคต เราคาดว่าการซื้อของธนาคารกลางและการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยจะยังคงมีความแข็งแกร่งต่อไป ทำให้สามารถชดเชยการลงทุนใน OTC (Over-The-Counter) และ ETF (Exchange Traded Fund) ที่อาจลดลงในกรณี
ที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้ นอกจากนี้เรายังคาดว่าความต้องการในเครื่องประดับจะยังคงแข็งแกร่งในบางภูมิภาค อาทิ อินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่ภาคเทคโนโลยีจะมีแนวโน้มลดลงอีกเมื่อเผชิญกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ”
สามารถอ่านรายงาน Gold Demand Trends ฉบับครอบคลุมข้อมูลสำหรับไตรมาส 3/2565 ของทาง Metals Focus ได้ที่นี่: https://www.gold.org/goldhub/research/gold-demand-trends/gold-demand-trends-q3- 2022
หลังจาก Booking.com ได้เปิดตัว ‘Grow Green Stay’ บ้านดินรักษ์โลกที่ถูกออกแบบมาอย่างพิเศษเพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทยเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายน 2565 ที่ผ่านมา และเปิดโอกาสให้คนทั่วไปจองเพื่อเข้าพักสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพียงแค่ 2 คืน สำหรับแขกผู้โชคดีจำนวน 2 คู่ที่สามารถทำการจองได้สำเร็จผ่าน Booking.com เท่านั้น คนไทยต่างแสดงความสนใจในแคมเปญเพื่อความยั่งยืนนี้เป็นจำนวนมาก จนทำให้บ้านดินรักษ์โลกถูกจองเต็มทั้งหมดภายในเวลาเพียงไม่ถึง 10 นาทีเท่านั้น
ความสำเร็จของแคมเปญนี้ตอกย้ำถึงเจตนารมณ์และความต้องการที่เพิ่มขึ้นของชาวไทยที่ต้องการเดินทางบนเส้นทางแห่งความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจล่าสุดจาก Booking.com* ที่เผยว่า 94% ของผู้เดินทางชาวไทยยืนยันว่าการเดินทางอย่างยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขา และผู้เดินทางชาวไทยกว่า 75% ระบุว่าข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้น ส่งผลให้พวกเขาตัดสินใจเลือกตัวเลือกด้านการเดินทางอย่างยั่งยืนมากขึ้น
![]()
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า 90%* ของผู้เดินทางชาวไทยมีแนวโน้มที่จะเลือกที่พักแบบยั่งยืนมากกว่าที่พักรูปแบบอื่น ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะตั้งใจเลือกที่พักเหล่านั้นตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการจองหรือไม่ก็ตาม และเกือบครึ่งหนึ่งของ ผู้เดินทางชาวไทย (44%)* ตั้งใจเลือกที่พักแบบรักษ์โลกเพื่อช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากผลสำรวจดังกล่าวยังสอดคล้องกับความคิดเห็นจากแขกคนพิเศษของ Grow Green Stay บ้านดินรักษ์โลก ที่ได้เปิดเผยกับทาง Booking.com ถึงเรื่องราวความประทับใจ และความตั้งใจของพวกเขาสำหรับการเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนการเดินทางแบบยั่งยืน
![]()
คุณศักย์สรณ์ หนึ่งในแขกคนพิเศษของ Grow Green Stay บ้านดินรักษ์โลก เผยความรู้สึกหลังจากสามารถจองที่พักได้สำเร็จว่า “เราตื่นเต้นมากครับที่ได้เป็นหนึ่งในแขกคนพิเศษของ Grow Green Stay เพราะตอนแรกคิดว่าจะไม่สามารถจองได้ทันเวลา นอกจากเราจะประทับใจในแนวคิดของการสร้างสรรค์และยกระดับบ้านดิน ที่ได้แรงบันดาลใจจากภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ดูทันสมัยและเข้าถึงง่ายมากยิ่งขึ้นแล้ว ที่พักแห่งนี้ยังปฏิบัติตามแนวทางด้านความยั่งยืน อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราสนใจที่จะเข้าพักในที่พักแห่งนี้มาก ๆ เพราะพวกเรานั้นตระหนักอยู่เสมอว่าทุก ๆ ครั้งในการออกเดินทางท่องเที่ยว เราทิ้ง Carbon Footprint ไว้เยอะมาก พวกเราจึงหวังว่าการเลือกเข้าพักในที่พักที่มีนโยบายเพื่อความยั่งยืน จะสามารถลดผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนได้ทางใดทางหนึ่งครับ”
![]()
และเมื่อถามถึงปัจจัยในการพิจารณาเลือกที่พัก คุณพงษ์พันธุ์ แขกคนพิเศษของ Grow Green Stay อีกหนึ่งท่านเผยถึงแนวคิดของเขาว่า “ส่วนตัวแล้วผมชอบที่จะเข้าพักในที่พักที่มีแนวทางปฏิบัติเพื่อความยั่งยืนครับ เนื่องจากผมเองก็พยายามจะปรับใช้แนวทางด้านความยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้ได้มากขึ้นที่บ้านของผมเองด้วย อย่างเช่น การแยกขยะที่บ้าน และการเลือกเดินทางท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนก็เป็นอีกอย่างที่พยายามทำอยู่ครับ และโดยส่วนตัวแล้วตัวผมยังชอบออกไปตั้งแคมป์ การเลือกเข้าพักในที่พักรักษ์โลกจึงไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกไม่สะดวกสบายเมื่อต้องใช้ห้องน้ำรวม หรือการไม่มีเครื่องปรับอากาศในที่พักเลยครับ เพราะการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนสำหรับผม ไม่ได้หมายถึงความไม่สะดวกสบายเสมอไป และผมดีใจมากที่ได้มีโอกาสเข้าพักในบ้านดินรักษ์โลกแห่งนี้ ที่ช่วยสานต่อความตั้งใจให้ผมในสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมต่อไปครับ”
จากความต้องการในด้านความยั่งยืนที่มีเพิ่มมากขึ้น Booking.com ยังคงสานต่อเส้นทางในการเดินทางอย่างยั่งยืนให้สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายขึ้นกว่าเดิม ด้วยป้ายสัญลักษณ์และตัวกรอง “ที่พักสำหรับเดินทางอย่างยั่งยืน” (Travel Sustainable Badge) สำหรับที่พักกว่า 120,000 แห่งทั่วโลก เพื่อยืนยันและยกย่องแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ปฏิบัติตามหลักการเพื่อความยั่งยืนของแต่ละที่พักบน Booking.com
ปัจจุบันทิศทางการใช้พลังงานของโลกได้เปลี่ยนไปจากเดิม โดยมีแนวโน้มหันมาใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้นถึง 12-15% และคาดการณ์ว่าในปี 2050 สัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนของโลกจะสูงถึง 85% ซึ่งสามารถชี้วัดได้ว่าการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มีแนวโน้มสูงขึ้นตามลำดับ จากเทคโนโลยีที่พัฒนาและต้นทุนวัสดุอุปกรณ์ที่ถูกลง ทำให้มีการเข้าถึงพลังงานสะอาดได้ง่ายขึ้น ซึ่งในประเทศไทยมีสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนอยู่ที่ประมาณ 12% จากทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เริ่มมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย รวมถึงกลุ่มบ้านพักอาศัยก็เริ่มหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์กันมากขึ้น ซึ่งมีผลจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมการทำงานที่บ้านเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีผลจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น แนวโน้มอัตราค่าไฟที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จากสถานการณ์พลังงานผันผวนทั่วโลก เป็นต้น
นายวิโรจน์ รัตนชัยสิทธิ์ Vice President – Housing Products and Solution Business ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน” ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมระบบหลังคาโซลาร์สำหรับที่พักอาศัย พร้อมโซลูชันครบวงจร เราเล็งเห็นถึงการพัฒนาโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นเรื่องที่สำคัญ จึงพัฒนาสินค้าและบริการให้เข้ากับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่างครอบคลุมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้เพื่อขับเคลื่อนและผลักดันให้พลังงานสะอาดสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายยิ่งขึ้น มุ่งเน้นในการพัฒนาโซลูชันให้ตอบสนองความต้องการของที่อยู่อาศัยในปัจจุบันได้อย่างสูงสุด ในด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างตื่นตัวต่อการใช้ระบบโซลาร์เป็นอย่างมาก ซึ่งในระยะหลังได้มีการนำระบบโซลาร์มาใช้ติดตั้งให้กับบ้านพักอาศัย เพื่อเป็นจุดขายสำหรับโครงการบ้านพักอาศัย และรวมถึงการใช้ไฟฟ้าจากระบบโซลาร์ในส่วนกลางของหมู่บ้านที่มีการใช้ไฟในช่วงกลางวัน ซึ่งทิศทางในอนาคต จะมีระบบการซื้อขายไฟในชุมชนเดียวกัน และระหว่างชุมชน ซึ่งจะทำให้การใช้พลังงานแสงอาทิตย์แพร่หลายมากยิ่งขึ้น"
ด้วยเหตุนี้ “เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน” จึงเดินหน้าพัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองความนิยมและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างตรงจุด สัมผัสถึงนวัตกรรมขั้นสุดของหลังคาโซลาร์ที่คุณมั่นใจ พร้อมส่งแคมเปญ ‘Home Energy Management” การบริหารจัดการพลังงานในบ้านได้ทั้งหลัง’ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้ไฟฟ้าในบ้านของคนยุคใหม่ได้อย่างครอบคลุม ยกระดับให้
การใช้ชีวิตในบ้านเป็น ‘Smart Living’ ด้วยการนำเทคโนโลยีมาเป็นส่วนหนึ่งของการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นโซลาร์รูฟ ที่มีทั้งระบบ On grid เหมาะกับบ้านที่ใช้ไฟในเวลากลางวันเป็นหลัก และระบบ Hybrid ที่ตอบโจทย์ทุกช่วงเวลาของการใช้ชีวิตในบ้าน สามารถกักเก็บไฟฟ้าไว้ใช้ได้ทั้งกลางวัน และกลางคืน โดยมีแอปพลิเคชันที่สามารถควบคุม ตรวจสอบการผลิตไฟฟ้า และค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้อย่างเรียลไทม์ เพิ่มความสะดวกสบาย และประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังตอบโจทย์เทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยการมีสินค้าและบริการอย่างเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า หรือ EV Charger ซึ่งเป็นทางเลือกของคนรุ่นใหม่ พร้อมชูจุดแข็งด้วย 2 หัวใจหลัก คือ 1) มั่นใจไร้กังวล โดยมีกระบวนการตรวจสอบความพร้อมของหลังคา (Roof Health Check) เพื่อมั่นใจว่าหลังคามีความพร้อมในการติดตั้งแผงโซลาร์ และยังมั่นใจในความแข็งแรง ไม่รั่วซึมของหลังคา ด้วยนวัตกรรม Solar Fix เอกสิทธิ์เฉพาะเอสซีจี 2) One Stop Service ด้านการให้บริการและการดูแลหลังการขายจากผู้เชี่ยวชาญ ตั้งแต่การตรวจสอบความพร้อมของหลังคาก่อนติดตั้งโซลาร์ ออกแบบ ติดตั้ง และขออนุญาตกับภาครัฐให้อย่างครบวงจร เพื่อให้การติดตั้งโซลาร์ รูฟ เป็นไปตามมาตรฐานและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งาน และยังสามารถลดค่าไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 60% พร้อมรับประกัน 25 ปีโดยเอสซีจี อีกด้วย
“เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน ตั้งเป้าขยายการเติบโตสู่ในตลาด Solar Rooftop สู่การเป็นผู้นำระบบหลังคาโซลาร์ในตลาด Residential ประเทศไทย ซึ่งคาดการณ์ว่า จากแคมเปญ Home Energy Management จะทำให้ยอดขายในกลุ่มบ้านพักอาศัย ปี 2022 ขยับเติบโตแตะ 300% หรือเทียบ 3 เท่าจากปี 2021 นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม SMEs ที่ให้บริการโดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 70% ของยอดขายทั้งหมด ทั้งนี้ ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดและการพัฒนาโซลูชัน จะช่วยตอกย้ำความแข็งแกร่งของเอสซีจีสู่ผู้นำด้านระบบหลังคาโซลาร์ เซลล์ แบบครบวงจรในกลุ่มบ้านที่พักอาศัย และเดินหน้าพัฒนาโซลูชันที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการพลังงานภายในบ้าน โดยตั้งเป้าหมาย ยอดขายที่ 2,000 ล้านบาท ในปี 2023” คุณวิโรจน์ กล่าวปิดท้าย
![]()
![]()
“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต้อนรับเทศกาลท่องเที่ยวมอบโปรโมชันกระเป๋าเดินทางล้อลากจากเพกาซัส (Pegasus) เมื่อช้อปด้วยบัตรเครดิตเคทีซีกับ “KTC U SHOP” ผ่านช่องทางเว็บไซต์ www.ktc.co.th/ushop / Line Official @KTCUSHOP หรือ Facebook KTC U SHOP สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก ได้แก่ 1) กระเป๋าเดินทางล้อลาก Pegasus รุ่น Dartmoor Zipper ราคาพิเศษ ขนาด 25 นิ้ว ราคา 2,799 บาท (ปกติ 7,400 บาท) และขนาด 30 นิ้ว ราคา 3,189 บาท (ปกติ 7,800 บาท) พร้อมบริการผ่อนชำระ 0% นาน 3 เดือน หรือ 2) แลกรับส่วนลดเพิ่ม 10% เมื่อใช้คะแนน KTC FOREVER เท่าราคาสินค้า หรือ 3) แลกรับกระเป๋าเดินทางได้ทันที เมื่อใช้คะแนน KTC FOREVER ตามที่กำหนด ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2565 – 31 ธันวาคม 2565 รายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อกระเป๋าเดินทางคลิกที่นี่ https://ktcushop.cc/f44b82
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE 02 123 5000 หรือเว็บไซต์ www.ktc.co.th สมัครบัตรเครดิตได้ที่ศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือคลิกลิงค์ได้ที่นี่ : https://bit.ly/apply-ktc
หลังจากที่ “โครงการมิตซุยกุ ปีที่ 2” โดยซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ร่วมกับสถาบันการเรียนรู้ของคนทุกวัยจังหวัดระยอง (RILA) และ ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา EEC ได้เริ่มดำเนินโครงการฯ ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนรุ่นใหม่เห็นถึงประโยชน์และความสำคัญของน้ำ ด้วยการจัดกิจกรรมรูปแบบต่างๆ ได้แก่ กิจกรรม Train the Trainers ที่จัดขึ้นเพื่อจุดประกาย ‘คุณครู’ ให้ตระหนักและรับรู้ถึงปัญหาและความสำคัญของน้ำและธรรมชาตินำไปสู่การ ‘ออกแบบห้องเรียนสิ่งแวดล้อม’ เพื่อส่งต่อองค์ความรู้และแรงบันดาลใจให้กับเด็กนักเรียน กิจกรรมปฐมนิเทศ (Orientation) ที่จัดขึ้นเพื่อให้คุณครูและนักเรียนผู้เข้าร่วมได้แบ่งปันความรู้ พร้อมทั้งแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและการดูแลรักษาน้ำให้ยั่งยืน ล่าสุด โครงการฯ เดินหน้าจัดกิจกรรม “แคมป์รักษ์น้ำ” ณ จังหวัดนครนายก เพื่อให้ครูและนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้เรียนรู้แหล่งกำเนิดน้ำ การใช้ประโยชน์จากน้ำและการอนุรักษ์น้ำจากประสบการณ์จริงพร้อมจัดกิจกรรมระดมความคิด ‘คืนสมดุลให้น้ำ คืนสมดุลให้โลก’ แชร์ไอเดียการส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้างมาร่วมกันดูแลแหล่งน้ำและธรรมชาติในชุมชนของตนเองให้ยั่งยืน
นางมธุวลี สถิตยุทธการ ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจและองค์กรสัมพันธ์ ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทยและ อินโดไชน่า กล่าวว่า “โครงการมิตซุยกุ คือ หนึ่งในโครงการด้านสิ่งแวดล้อมที่ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย ได้ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลรักษาและส่งต่อองค์ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์แหล่งน้ำและทรัพยากรทางธรรมชาติ รวมถึงเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อคำมั่นสัญญา “Mizu To Ikiru” ซึ่งแปลว่า “การมีชีวิตอยู่กับน้ำ” ซึ่งเป็นพันธกิจของเราในการสร้างความกลมเกลียวกับผู้คนและธรรมชาติเพื่อความยั่งยืน โดยการดำเนินโครงการมิตซุยกุ ปีที่ 2 เราได้ร่วมมือกับ ‘สถาบัน RILA’ และ ‘ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา EEC’ ซึ่งทั้งสองหน่วยงานเป็นพันธมิตรที่ร่วมกันผลักดันให้โครงการฯ ดำเนินไปได้อย่างลุล่วงจนประสบผลสำเร็จ อีกทั้งในปีนี้เรายังไดัรับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากกระทรวงสาธารณสุข ที่เห็นถึงความมุ่งมั่นของโครงการฯ ที่ต้องการกระตุ้นคนในพื้นที่ให้เกิดจิตสำนึกรักษ์น้ำ ช่วยตอกย้ำให้โครงการฯ เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในวงกว้างมากขึ้น และเป็นโครงการต้นแบบเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน โดยเฉพาะการสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้คนในพื้นที่จังหวัดระยอง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศและการดำรงชีวิต อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่เปิดให้ผู้คนได้มาสัมผัสกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อีกด้วย”
นายธงชัย มั่นคง ผู้อำนวยการสถาบันการเรียนรู้ของคนทุกวัยจังหวัดระยอง (RILA) กล่าวว่า “นับตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการมิตซุยกุในจังหวัดระยอง ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจนในกลุ่มครูอาจารย์และเด็กนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม คือ ความตื่นตัวต่อเรื่องการศึกษาและเรียนรู้ความสำคัญของ 3 แหล่งน้ำสำคัญในจังหวัดระยอง โดยหลังจากจบโครงการฯ ทาง RILA ได้วางแผนที่จะรวบรวมองค์ความรู้มาพัฒนาเป็นหลักสูตรการเรียนรู้ ‘ห้องเรียนสิ่งแวดล้อม’ ภายใต้โครงการแหล่งเรียนรู้พื้นที่ 3 ชุ่มน้ำ เพื่อส่งต่อให้กับเด็กนักเรียนและคนในพื้นที่ตามวิสัยทัศน์ด้านการศึกษาของสถาบัน RILA ที่ต้องการเป็นกลไกจังหวัด จัดการศึกษาด้วยตนเอง ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมดำเนินโครงการมิตซุยกุในพื้นที่จังหวัดระยอง ขอขอบคุณ ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย และ EEC ที่ได้ริเริ่มโครงการด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่เพียงแต่ให้ความรู้ทางทฤษฎีเพียง อย่างเดียว แต่เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้เกิดเรียนรู้จากบริบทในชีวิตจริงที่ต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ถือเป็นการ บ่มเพาะคุณลักษณะที่ดีในการที่จะอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน รวมถึงการสร้างกลไกและกระบวนการในการบ่มเพาะเด็ก และเยาวชนเรื่องการดูแลและอนุรักษ์แหล่งน้ำนำไปสู่การสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่มีความสมบูรณ์และเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น”
นายอเล็กซานเดอร์ ไซมอน เรนเดลล์ ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา (EEC) กล่าวว่า “EEC มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรในโครงการมิตซุยกุต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยในปีนี้ EEC ยังคงต้องการตอกย้ำให้ผู้ร่วมโครงการฯ ได้เรียนรู้ความสำคัญของสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ “น้ำ” ที่เป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิต การจัดกิจกรรมแคมป์รักษ์น้ำภายใต้แนวคิว “Give Balance to the Water and the World: คืนสมดุลให้นํ้า คืนสมดุลให้โลก” ในครั้งนี้ เรามีความมุ่งหวังที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาการศึกษาแหล่งธรรมชาตินอกห้องเรียนให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น โดยผ่านกิจกรรมหลากหลายแบบเพื่อให้คุณครูและนักเรียนได้เข้าใจถึงทรัพยากรน้ำอย่างครอบคลุม อาทิ กิจกรรมสายน้ำสร้างชีวิต กิจกรรมในห้องเรียนธรรมชาติ การเดินทางของสายน้ำ และสำรวจสิ่งมีชีวิตในสายน้ำ กิจกรรมกลุ่มระดมความคิดในหัวข้อ “Give Balance to the Water and the World: คืนสมดุลให้น้ำ คืนสมดุลให้โลก” เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนี้เปรียบเสมือนกลไกที่จะช่วยให้คุณครูและนักเรียนได้เรียนรู้และสัมผัสจุดกำเนิดของความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ซึ่งก็คือ แหล่งต้นน้ำ ตลอดจนการเดินทางของสายน้ำและการตรวจสุขภาพของน้ำที่ดี เพื่อต่อยอดในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการอนุรักษ์น้ำ เพื่อตอกย้ำและสร้างจิตสำนึกให้แก่ผู้เข้าร่วมได้นำข้อคิดและการลงมือปฎิบัติจริงไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”
ด้านคุณครูนุก – ศุภลักษณ์ ธรรมษา คุณครูจากโรงเรียนสาธิตเทศบาลนครระยอง (วัดตรีรัตนาราม) หนึ่งในคุณครูที่ได้เข้าร่วมแคมป์ “รักษ์น้ำ” บอกเล่าถึงความประทับใจที่มีต่อโครงการว่า “การได้เข้าร่วมโครงการมิตซุยกุในครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับทั้งตัวคุณครูและนักเรียนเอง ตั้งแต่กิจกรรม Train the Trainers ไปจนถึงเข้าแคมป์ “รักษ์น้ำ” ที่ได้เปิดโอกาสให้คุณครู และนักเรียนได้เรียนรู้ทั้งในแง่ของทฤษฎีและการปฎิบัติลงมือจริงในห้องเรียนธรรมชาติที่ช่วยให้นักเรียนได้ซึมซับความรู้จากการลงพื้นที่ ซึ่งทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของทรัพยากรน้ำมากยิ่งขึ้น โดยตัวคุณครูเองได้เห็นถึงการพัฒนาทั้งในด้านศักยภาพและความคิดของเด็กๆ ที่เพิ่มมากขึ้นจากการระดมความคิดในหลากหลายแง่มุมซึ่งคุณครูคิดว่าการสร้างจิตสำนึกใน การอนุรักษ์น้ำในครั้งนี้จะช่วยต่อยอดให้คุณครูนำองค์ความรู้ที่ได้รับมาไปถ่ายทอดให้กับเด็กๆ ในโรงเรียน โดยเรามีความตั้งใจ ที่จะจัดตั้งกิจกรรมสำหรับนักเรียนในโรงเรียนในระยะยาวเพื่อที่จะกระจายความรู้ไปยังชุมชนและจังหวัดระยองของเราให้มีผืนน้ำที่อุดมสมบูรณ์สำหรับคนรุ่นต่อๆ ไปได้ใช้น้ำอย่างยั่งยืน”
น้องม่อน – อัคคณัฐ ทิพย์เทียมรัตน์ ตัวแทนนักเรียนจากโรงเรียนสาธิตเทศบาลนครระยอง (วัดตรีรัตนาราม) เล่าถึงกิจกรรมครั้งนี้ว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นและสนุกมากครับที่ได้มีโอกาสมาเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติในหลากหลายมุม โดยเฉพาะมุมที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อน ได้มาเจอธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก แม่น้ำและสัตว์หลากหลายชนิดที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าในจังหวัดนครนายก และจากที่ผมได้เข้าร่วมกิจกรรมทำให้ผมเข้าใจและเห็นคุณค่า ความสำคัญของน้ำที่มีต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้มากยิ่งขึ้นครับ ผมได้เรียนรู้ว่าทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกมีน้ำเป็นที่หล่อเลี้ยงเพื่อการดำรงชีวิต รวมถึงมนุษย์ที่ใช้ประโยชน์จากน้ำมากมายหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การทำการเกษตร หรือการใช้ในชีวิตประจำวัน กิจกรรมครั้งนี้ทำให้ผมเข้าใจและเห็นภาพคำว่า “No Water No Life” ชัดเจนขึ้นเลยครับ เราได้ทั้งความรู้จากพี่อเล็กซ์และครูผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาและได้ลงไปสำรวจ แหล่งน้ำในพื้นที่จริงอีกด้วย โดยก่อนจะจบกิจกรรมเข้าแคมป์ ผมได้ร่วมกลุ่มกับเพื่อนๆ เพื่อแชร์ไอเดียเกี่ยวกับการอนุรักษ์น้ำโดยการคัดแยกขยะ เพราะผมมองว่าปัญหาการเกิดน้ำเน่าเสียส่วนใหญ่มากจากการทิ้งขยะและไม่คัดแยกขยะอย่างชัดเจนทำให้เกิดผลกระทบแก่ผู้คนมากมาย ผมจึงอยากรณรงค์และสร้างการอบรมให้ทุกคนคัดแยกขยะให้ถูกต้องเพื่อลดปริมาณน้ำเสีย โดยผมจะนำสิ่งที่เรียนรู้มาตลอดการเข้าร่วมกิจกรรมไปบอกต่อเพื่อนๆ ในโรงเรียนและครอบครัวให้ทุกคนเห็นคุณค่าของทรัพยากรน้ำและช่วยกันดูแลรักษาแหล่งน้ำเพื่อให้เด็กๆ อย่างพวกผมและทุกคนได้มีน้ำใช้กันนานๆ ครับ”
![]()
![]()
ช่วงกว่าสองปีที่ผ่านมาภาคธุรกิจส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก อย่างไรก็ดี ในช่วงวิกฤตอาจเป็นโอกาสสำหรับบางธุรกิจให้ขยายตัว ซึ่งหนึ่งในนั้นคือธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดีในช่วงการแพร่ระบาดและมาตรการล็อกดาวน์ จนกระทั่งสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายก็ยังคงมีแนวโน้มที่เติบโตดีต่อเนื่อง จากการเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้แบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง ครอบคลุมสินค้ามากมาย โดยเฉพาะสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการตอบสนองที่รวดเร็วทันใจในทุกที่ ทุกเวลา และทุกสถานการณ์
ธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติในไทยมีมานานกว่า 20 ปี แต่เริ่มมีบทบาทโดดเด่นมากขึ้นในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนจากจำนวนตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ณ ปัจจุบันมีมากกว่า 10 แบรนด์ ด้วยจำนวนมากกว่า 30,000 ตู้ แต่ค่อนข้างกระจุกตัวอยู่พื้นที่เขตกรุงเทพและภาคตะวันออกรวมแล้วมากกว่า 60% โครงสร้างธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ประกอบด้วยธุรกิจตู้เครื่องดื่มอัตโนมัติ 60% และตู้จำหน่ายขายสินค้าอื่น ๆ 40% ส่วนแบรนด์หลัก ๆ ที่ครองส่วนแบ่งตลาดสูง อาทิ ซัน108 ของกลุ่มสหพัฒน์ฯ เป็นผู้เล่นรายใหญ่สุดในตลาด มีสินค้าหลากหลายทั้งอุปโภคและบริโภค รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เล็ก ๆ รองลงมาเวนดิ้งพลัสของกลุ่มสบาย เทคโนโลยี จำหน่ายสินค้าตั้งแต่เครื่องดื่ม ขนม หน้ากากอนามัย และตู้เต่าบินที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2564 ของกลุ่มฟอร์ท เวนดิ้ง
รายได้ธุรกิจตู้จำหน่ายอัตโนมัติยังคงเพิ่มขึ้นในช่วงสถานการณ์โควิด-19 จากการวิเคราะห์รายได้ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้ พบว่าในปี 2564 มีรายได้อยู่ประมาณ 6,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2563 แม้ยังเป็นช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ เมื่อดูจากตัวเลขการนำเข้าตู้จำหน่ายอัตโนมัติ พบว่า ในภาพรวมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยส่วนที่เป็นตู้จำหน่ายเครื่องดื่มอัตโนมัติมีการนำเข้าในอัตราชะลอตัวต่อเนื่องในช่วงตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ในขณะที่ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติประเภทอื่น ๆ ยังมีการนำเข้าสูงต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากธุรกิจสามารถพัฒนาและผลิตตู้เครื่องดื่มอัตโนมัติได้เองออกมาตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคได้มากขึ้น สำหรับในปี 2565 คาดจำนวนตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติจะเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งสอดคล้องกับการที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ตั้งเป้าขยายสินค้าผ่านตู้อัตโนมัติในเชิงรุก โดยมีแผนการกระจายตู้ขายไปยังจุดที่บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เช่น คอนโดมิเนียม บริษัท อาคารสำนักงาน สถานศึกษา
หลากหลายปัจจัยหนุนการเติบโตธุรกิจในอนาคต ดันยอดขายเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ซึ่งปัจจัยต่างๆ นั้นประกอบไปด้วย
· พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ใช้ชีวิตเร่งรีบ ชอบความสะดวกสบาย มีสินค้าหลากหลายให้เลือกมากขึ้น โดยกระแสความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงที่มีการล็อกดาวน์ในสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคเริ่มปรับตัวคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าผ่านตู้อัตโนมัติมากขึ้น อีกทั้งมีสินค้าหลากหลายให้เลือกมากขึ้น ที่สำคัญคือพัฒนาการของระบบการชำระเงินของตู้อัตโนมัติในปัจจุบันเติมเต็มไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคดิจิทัล ด้วยช่องทางชำระเงินหลากหลายทั้งเงินสดและกระเป๋าเงินดิจิทัล พร้อมเพย์และสแกนจ่าย
· เป็นทางเลือกในการเพิ่มช่องทางจำหน่ายของธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ทำให้ปัจจุบันนอกจากตู้บริการเครื่องดื่มที่คนไทยคุ้นมานาน ยังมีสินค้าอย่างอื่นอีกมากมายที่สามารถวางขายในตู้อัตโนมัติได้ การขายสินค้าผ่านตู้อัตโนมัติช่วยประหยัดเรื่องของต้นทุนพื้นที่เช่าและค่าพนักงาน เครื่องเหล่านี้สามารถตั้งได้ในพื้นที่จำกัดทำให้ค่าเช่าพื้นที่หน้าร้านถูกลงมาก ตัวอย่าง ค่าเช่าพื้นที่ในตึกออฟฟิศใหญ่ในกรุงเทพฯ หรือคอนโดมิเนียมที่มีผู้อาศัยอยู่มาก อยู่ที่ราว 10,000 บาทต่อเดือน นอกจากค่าเช่าถูกแล้ว ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัตินั้นสามารถขายสินค้าได้ตลอด 24 ชม. ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับร้านค้าทั่วไป นอกจากนี้ การขายสินค้าผ่านตู้อัตโนมัติทำให้ธุรกิจของผู้ประกอบการดูทันสมัยยิ่งขึ้นจากการที่ตู้จำหน่ายอัตโนมัติทำหน้าที่เหมือนเป็นป้ายโฆษณา ดึงดูดกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น วัยทำงาน อีกทั้งทำให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่หลากหลายอีกด้วย
· เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก สะท้อนจากความหนาแน่นของตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติต่อประชากรไทยยังต่ำ เทียบกับประเทศญี่ปุ่นที่มีตู้ขายสินค้าอัตโนมัติกว่า 4 ล้านเครื่องคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติทั่วโลก ในขณะเดียวกันเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ 1 เครื่องจะครอบคลุมประชากรญี่ปุ่นราว 30 คน ซึ่งถือเป็นความหนาแน่นต่อประชากรที่มากที่สุดในโลก ขณะที่สัดส่วนของไทยอยู่ที่ 1 เครื่องต่อประชากร 366 คน เมื่อพิจารณาจากจำนวนตู้อัตโนมัติทั่วประเทศราว 30,000 ตู้เทียบกับประชากร 11 ล้านคนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีตู้อัตโนมัติมากสุด ประเทศอื่น ๆ เช่น เกาหลี สัดส่วนอยู่ที่ 1 เครื่องต่อประชากร 255 คน และสิงคโปร์ 1 เครื่องต่อประชากร 360 คน
· ผู้ประกอบการธุรกิจจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติใช้กลยุทธแฟรนไชส์ต่อยอดธุรกิจขยายสาขา เจาะเมืองท่องเที่ยว เมืองใหญ่ ทำเลย่านชุมชน เมื่อธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเริ่มลงตัวและบริษัทมองว่าธุรกิจของตนสามารถเติบโตได้อีก แต่บริษัทไม่มีกำลังมากพอที่จะดูแลการเติบโต เนื่องจากปัจจัยข้อจำกัดเช่นเรื่องพื้นที่ที่ห่างไกล จำนวนพนักงาน หรือแม้แต่ปัญหาเรื่องทุนทรัพย์ที่ไม่เพียงพอบริษัทสามารถพัฒนาระบบแฟรนไชส์ขึ้นมาเพื่อให้นักลงทุนที่สนใจสามารถมาลงทุนในกิจการของตน เพื่อให้บริษัทเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
จากหลายปัจจัยหนุนธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติให้เติบโต ทำให้ในปี 2566 คาดว่ามีผู้ประกอบการในธุรกิจเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นรูปแบบการเป็นแฟรนไชส์ ดันรายได้ธุรกิจในภาพรวมขยับสูงเป็น 1 หมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตปีละ 13-15% รวมทั้งจะได้เห็นตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติในรูปแบบใหม่ ๆ ดึงดูดผู้บริโภคในตลาดมากขึ้น
ttb Analytics