

ปิดม่านการแสดงลงไปแล้วอย่างสวยงามและน่าประทับใจสำหรับงานมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติ กรุงเทพฯ ครั้งที่ 24 เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา รวมระยะเวลา 7 สัปดาห์ที่การแสดงระดับโลกได้จัดขึ้น ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยบรรดาผู้ชมต่างชื่นชอบการแสดงต่างๆ อันตระการตาและน่าประทับใจจากศิลปินระดับโลกในงานนี้ เช่น การแสดงของนักร้องเสียงเมซโซ-โซปราโน “แคทเทอรีน เจนกินส์”, การแสดงโอเปร่าระดับโลกหลายเรื่อง รวมถึงการแสดงบัลเลต์เรื่องสวอนเลคจากคณะบัลเลต์สตานิสลาฟสกี และคณะบัลเลต์เปรลโจกาจ,การแสดงของนักเปียโนชาวโครเอเชีย “แมกซิม มิรวิก้า”, วงดนตรี “เท็น เทเนอร์ส” จากออสเตรเลีย และการแสดงอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ในปีนี้นับเป็นครั้งแรกที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้จากศิลปินชั้นนำของโลก สำหรับ บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นพันธมิตรประกันภัยอย่างเป็นทางการของงานในครั้งนี้ ถือว่าเป็นช่วงเวลาพิเศษในการส่งเสริม “วัฒนธรรมแห่งคุณภาพ” (Culture of Quality) ของบริษัทฯ อย่างแท้จริง
มร. โคลด เซนย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การสนับสนุนงานมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของแอกซ่าในการยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นโอกาสอันดีในการตอบแทนพันธมิตรทางธุรกิจ ลูกค้า และพนักงานด้วยการเชิญให้ร่วมชมการแสดงต่างๆ ในครั้งนี้ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากทุกคน และในปีหน้างานมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติฯ เตรียมฉลองครบรอบ 25 ปี ด้วยการแสดงระดับโลกต่างๆ อีกมากมาย จากศิลปินกว่า 1,000 คน และแอกซ่าจะสนับสนุนการแสดงที่ยอดเยี่ยมนี้อีกครั้งอย่างแน่นอน”
ติดตามข่าวสารต่างๆ ของแอกซ่าผ่านช่องทางดังต่อไปนี้ https://www.axa.co.th
บริษัท แบทเทิลแล็บ เวนเจอร์ จำกัด ที่ให้ทุนวิจัย และพัฒนา แพลตฟอร์มใหม่ล่าสุด “Battlelab” (แบทเทิลแล็บ) โดยการคิดค้น 4 ระบบหลักอย่าง PVP Matchmaking ให้ผู้เล่นสามารถแข่งขันกับผู้เล่นอื่นจากทั่วทุกมุมโลก สามารถเล่นเดี่ยวหรือทีมได้ด้วยอัลกอริธึมของแพลตฟอร์ม, Sport Tournament Management System สร้างผู้เล่นอีสปอร์ตหน้าใหม่, E-sport academy & A.I. Coaching ระบบเชื่อมผู้เล่นและผู้ฝึกสอนเข้าด้วยกัน และ NFT Items, Games, Marketplace นำสู่แพลตฟอร์มอัจฉริยะ หวังยกระดับวงการอีสปอร์ต พัฒนาทักษะ สร้างอาชีพและรายได้ให้กับเกมเมอร์ทั่วโลก ตั้งเป้าหมายทำรายได้ 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี
นายเนธิรินทร์ วรางค์เลิศวรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แบทเทิลแล็บ เวนเจอร์ จำกัด กล่าวว่า Battlelab คือ Competitive Gaming Platform ที่ให้บริการการแข่งขันสำหรับเกมเมอร์ สามารถเล่นและสร้างรายได้จากเกมส์ ไม่ว่าจะเป็นการท้าแข่งกับเกมเมอร์ทั่วโลก การเข้าแข่งขันทัวร์นาเมนต์ การจัดการแข่งขันของตัวเอง การเป็นผู้ตัดสินเกมส์ อีกทั้งการเรียนรู้หรือเป็นโค้ชผู้ฝึกสอนการเล่นเกมส์
“ด้วยประสบการณ์ในวงการเกมส์มาหลายปี ทำให้คิดว่าการสร้างระบบที่ช่วยพัฒนาศักยภาพของผู้เล่นให้เก่งยิ่งขึ้น สามารถมาแข่งขันและได้รับรางวัลได้ในเวลาอันสั้น จากเดิมที่เวลาแข่งทัวนาเมนต์ ต้องแข่งเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ และต้องเสียค่าสมัคร ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้เล่นทุกคนสามารถเข้าร่วมและได้รางวัลจากการแข่งขันเพียงหนึ่ง การแข่งขัน ก็จะสามารถสร้างให้เกิดเกมเมอร์มืออาชีพขึ้นมาได้มากขึ้น ซึ่งระบบต่างๆ เหล่านี้ได้ผ่านการร่วมวิจัยและพัฒนากับทางพาร์ทเนอร์มาในระยะหนึ่งว่าจะสามารถเพิ่มศักยภาพให้กับผู้เล่น และสร้างรายได้ให้กับเหล่าเกมเมอร์ รวมถึงสร้างเกมเมอร์หน้าใหม่ได้จริง”
ทั้งนี้ “Battlelab” ถือเป็นแพลตฟอร์มแรกในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีความโดดเด่นในเรื่องของการใช้งานที่ง่าย รองรับเกมส์ทั้งใน PC และ Mobile โดยเกมเมอร์สามารถรับสิทธิประโยชน์จากหลายช่องทาง และแพลตฟอร์มสามารถให้บริการได้ในหลายประเทศทั่วโลก โดยกลุ่มเป้าหมายหลักคือเหล่าเกมเมอร์ที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 18 ปีจนถึงอายุ 40 ปี ที่ชอบเล่นเกมส์ต้องการสิทธิประโยชน์ต่างๆ และรายได้จากการเล่นเกมส์ รวมถึง Tournament Organizer จากทั่วโลก โดยได้มีการร่วมมือกับพันธมิตรจากหลากหลายประเทศ
“Battlelab มีการร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งหนึ่งในพาร์ทเนอร์สำคัญคือ Amazon Cloud แพลตฟอร์มให้บริการ Cloud Server ระดับโลก ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนแพลตฟอร์มนี้ อย่างรวดเร็วและปลอดภัยสู่ระดับโลก โดยในปีนี้ตั้งเป้าทำรายได้ 300 ล้านบาท และจะขยายสู่เกมเมอร์ทั่ว South East Asia ได้ ภายในสิ้นปีนี้ โดยคาดว่าจะสามารถทำรายได้ 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี”
ทั้งนี้แพลตฟอร์ม “Battlelab” มีระบบหลัก 4 ระบบ ได้แก่
1. PVP Matchmaking ทำให้ผู้เล่นสามารถแข่งขันกับผู้เล่นอื่นจากทั่วทุกมุมโลก โดยสามารถเล่นเดี่ยวหรือทีมได้ โดยอัลกอริธึมของแพลตฟอร์มจะจัดกลุ่มผู้เล่นกับเพื่อนร่วมทีมและคู่ต่อสู้ตาม match making rating ของผู้เล่น สิ่งที่ผู้เล่นต้องทำคือการเลือกเกมที่ต้องการ
2. E-Sport Tournament Management System “Battlelab” นำเสนอแพลตฟอร์มการจัดการทัวร์นาเมนต์ที่ผู้ใช้งานแพลตฟอร์มทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ผู้เล่นสามารถจัดการแข่งขันทั้งแบบสาธารณะและแบบส่วนตัว ระบบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างผู้เล่น Esports หน้าใหม่ และส่งเสริมการเล่นเกมระดับมืออาชีพ
3. E-sport academy & A.I. Coaching เป้าหมายของ “Battlelab” คือการสร้าง Artificial intelligence ที่มีประโยชน์สำหรับวงการอีสปอร์ต เป็นระบบที่เชื่อมผู้เล่นและผู้ฝึกสอนเข้าด้วยกัน โดย จะมีการรวบรวมข้อมูลจากผู้เล่นเพื่อสร้างระบบโค้ชชิ้งโดย A.I. เพื่อสร้างคอร์สเรียนที่เหมาะสมกับรูปแบบการเล่นของผู้เล่นแต่ละคน เพื่อสามารถพัฒนาทักษะในการ เล่นเกมได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ผู้เล่นมืออาชีพหรือผู้ฝึกสอนสามารถสร้างคอร์สหรือคลาสเรียนของตนเพื่อสร้างรายได้เช่นกัน ผู้เล่นทั่วไปสามารถหาคอร์สที่เหมาะสมหรือทดลองคอร์สเบื้องต้นก่อนเรียนจริงได้
4. NFT Items, Games, Marketplace ผู้เล่นสามารถซื้อหรือขายไอเท็ม NFT ของตนได้อย่างสะดวกสบายในแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างรายได้จาก NFT หรือใช้ NFT ในมินิเกมของแพลตฟอร์ม หรือใช้ในการตกแต่งอวตาร (Avatar) ของตัวเอง ซึ่ง NFT แต่ละแบบก็จะมีสกิล (Perk) ที่ได้รับแตกต่างกันไป
“แพลตฟอร์ม “Battlelab” ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้เล่นมาแข่งขันกันเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการให้ผู้เล่นสามารถพัฒนาทักษะของตัวเองได้ด้วย โดยมีระบบที่ช่วยในการวิเคราะห์ทักษะของผู้เล่น เช่น การยิงว่าแม่นแค่ไหน รูปแบบการเดินเกมส์เป็นอย่างไร การอัพฮีโร่ว่าทำได้ดีหรือเปล่า โดยจะมีการจัดหลักสูตรที่เหมาะสมที่สุดให้แก่ผู้เล่น รวมถึงมีการใช้ข้อมูลที่วิเคราะห์มาในการทำให้ การจัดอันดับในการแข่งขัน มีความเท่าเทียมมากขึ้น”
นอกจากนั้นยังมีระบบบล็อกเชนในแพลตฟอร์ม เพื่อช่วยสร้างความโปร่งใส่ให้กับระบบธุรกรรมและระบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแพลตฟอร์ม รวมถึงทำให้แพลตฟอร์มที่จะเกิดขึ้นมีการกระจายอำนาจการตรวจสอบ (Decentralize) ทำให้ เกมเมอร์ทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อกันได้ด้วย BLC Coin ช่วยให้เกมเมอร์มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการโกงกันเกิดขึ้นจากการแข่งขันในแพลตฟอร์ม
“ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกกำลังจะมุ่งสู่โลกของเกมส์อย่างเต็มรูปแบบในไม่ช้า ไม่ว่าจะเป็น Metaverse จากโลกจริงสู่โลกเสมือน หรือจากกีฬาในสนามสู่กีฬาดิจิตอลอย่างอีสปอร์ต เราเชื่อว่าแพลตฟอร์ม Battlelab จะสามารถต่อยอดให้ตลาด อีสปอร์ตเติบโตมากขึ้น เราคาดหวังว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่ง ที่จะมาช่วยผลักดันและส่งเสริมเกมเมอร์ทั่วโลก รวมถึงการแข่งขันอีสปอร์ตให้พัฒนาและเข้าถึงเกมเมอร์ได้ทุกระดับ และทำให้ธุรกิจนี้เติบโต และขยายตัวอย่างสูงสุดได้ในอนาคต และคาดหวังว่า บริษัท แบทเทอบเล็บ เวนเจอร์ จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริม และร่วมพัฒนาให้การสนับสนุน วงการเกมส์และอีสปอร์ตได้ในระดับโลก” นายเนธิรินทร์ กล่าวปิดท้าย
ผู้ที่สนใจแพลตฟอร์ม “Battlelab” สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ https://battlelab.gg/, เฟสบุ๊ก https://www.facebook.com/BattlelabTH, ทวิตเตอร์ https://twitter.com/Battlelabgg และดิสคอร์ด https://discord.gg/VTEHWDMebN
![]()
นายวิโรจน์ ศิริรัตนรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ เว็บเซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เข้ารับมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติ "รางวัลพิพิธภัณฑ์ไทยสดุดี" จาก สมาคมพิพิธภัณฑ์ไทย โดยมี นายกร ทัพพะรังสี อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้มอบ และนางยุลิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธี ทั้งนี้บริษัท บมจ. แอดวานซ์ เว็บเซอร์วิส ได้รับแต่งตั้งให้เป็นองค์กรดีเด่นแห่งวงการพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ไทย ประจำปี 2565 ในฐานะผู้ร่วมสร้างคุณประโยชน์ และให้การสนับสนุนทางด้านเทคโนโลยี ในการใช้บริหารจัดการพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ให้เกิดคุณประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม
นายวิโรจน์ ศิริรัตนรักษ์ กล่าว “ผมรู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติ "รางวัลพิพิธภัณฑ์ไทยสดุดี" ขอขอบคุณ สมาคมพิพิธภัณฑ์ไทย และท่านกร ทัพพะรังสี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ได้มอบรางวัลนี้ให้ ในฐานะผู้ร่วมสร้างคุณประโยชน์ และให้การสนับสนุนทางด้านเทคโนโลยี โดยเล็งเห็นความสำคัญของการทำ Digital Transformation ให้แก่วงการพิพิธภัณฑ์ไทย ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของ Brand WELOVEBOOKING ภายใต้ บมจ. แอดวานซ์ เว็บเซอร์วิส ผู้นำด้านการพัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการตั๋วแบบครบวงจร TMS (Ticketing Management System) และแพลตฟอร์มการให้บริการลูกค้าและสมาชิก ที่จะสามารถช่วยให้พิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศสามารถจัดการระบบขายตั๋วได้ง่ายขึ้นและการให้บริการผู้ใช้งานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผ่านทั้งทาง Website และแอปพลิเคชัน LINE OFFICIAL ACCOUNT
(LINE OA) นอกจากนี้เรายังออกแบบพัฒนา Digital Technology แบบครบวงจร โดยมุ่งมั่นให้ความสำคัญในเรื่องของการสร้างนวัตกรรม และบริการที่มีคุณภาพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศ จากประสบการณ์ในธุรกิจ เราสร้างสรรค์ เครื่องมือทางดิจิทัล และให้บริการแก่ผู้ประกอบการ องค์กรธุรกิจ ทั้งองค์กรขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก รวมไปถึงกลุ่มพิพิธภัณฑ์ ที่เราได้เข้าไปพัฒนาระบบให้ ภายใต้แนวคิด “SIMPLIFY YOUR BUSINESS” ยกตัวอย่างเช่น
1. องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ได้พัฒนาระบบจอง Ticketing Management System แบบ Onsite Booking สำหรับให้ขาย และปริ้นตั๋วริชแบนด์ QR ณ จุดจำหน่ายสำหรับพิพิธภัณฑ์พระราม 9 ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนาเพิ่มในส่วนของระบบจอง Web Booking Online โดยรวมทั้งระบบจอง (E-Booking) ระบบชำระเงินออนไลน์ (E-Payment) และระบบสมาชิก (E-Member) สำหรับกลุ่มพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ทั้งนี้ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาต่อเนื่องสู่ระบบจองแบบครบวงจร (Total Solution & One Stop Service) โดยมีทั้งระบบ Onsite Booking และ Web Booking Online ที่สามารถรองรับการให้บริการได้ครอบคลุมทุกพิพิธภัณฑ์ ของทางองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
2. นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ พิพิธภัณฑ์จัดแสดงนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกรุงรัตนโกสินทร์ ได้พัฒนาระบบ Ticketing Management System แบบ Onsite Booking จำหน่ายและปริ้นตั๋วกระดาษ ณ จุดจำหน่าย และ ระบบบริหารจัดการข้อมูลผู้เข้าชม
3. Museum of Contemporary Art (MOCA) (พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย) พิพิธภัณฑ์แสดงงานศิลปะผลงานทัศนศิลป์ จากศิลปินหลายรุ่นระดับชั้นครู ของศิลปินไทย ได้พัฒนาระบบ Ticketing Management System แบบ Onsite Booking ในการจำหน่ายตั๋วและปริ้นตั๋วกระดาษ ณ จุดจำหน่าย และ ระบบ Customer Relation Management
4. พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ นิทรรศการแบบร่วมสมัยจัดแสดงเงินตราของไทยและต่างประเทศ รวมถึงประวัติความเป็นมาของโรงกษาปณ์ ใช้ระบบ Ticketing Management System แบบ Onsite Booking จำหน่ายตั๋วและปริ้นตั๋วกระดาษ ณ จุดจำหน่าย และ ระบบบริหารจัดการข้อมูลผู้เข้าชม
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการพัฒนา IT Solution เรามีความเชี่ยวชาญและพร้อมเป็นกำลังหลักในการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการระบบส่งเสริมให้วงการพิพิธภัณฑ์ไทยให้มีความมั่นคงมีเสถียรภาพในการบริการ และให้การสนับสนุนทางด้านเทคโนโลยี เพื่อใช้บริหารจัดการพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ให้เกิดคุณประโยชน์สูงสุดต่อสังคมส่วนรวม ก้าวล้ำทันต่อยุคดิจิตอลที่เปลี่ยนแปลงไป”
![]()
นักลงทุนรุ่นใหม่ มองการที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ เริ่มเข้าสู่ขาลง คือจุดเปลี่ยนของราคาสินทรัพย์การลงทุนที่มีโอกาสฟื้นตัวได้ ระยะสั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสแรลลี่ได้จนถึงปลายปี เช่นเดียวกับสินทรัพย์ประเภทอื่นอย่าง ทองคำ และบิทคอยน์ ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อน ตลาดสินทรัพย์ทั่วโลกกลับมาคึกคัก แต่อย่างไรก็ตาม ระยะยาวยังต้องจับตามองเรื่องเศรษฐกิจถดถอย
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า การประกาศอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือนตุลาคมออกมาที่ 7.7% ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะออกมาที่ 8% เป็นจุดเปลี่ยนของตลาดการเงินทั่วโลก หลังจากตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาราคาสินทรัพย์ อย่างเช่นตลาดหุ้น ทองคำ บิทคอยน์ ถูกเทขายลงมาอย่างหนักจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เพื่อสกัดเงินเฟ้อ และในตลาดคริปโตเคอร์เรนซีก็ถูกแรงเทขายจากความไม่เชื่อมั่นของกระดานเทรด FTX ที่มีปัญหาการขาดสภาพคล่องจนราคาสินทรัพย์ดิจิทัลทุกตัวราคาปรับลงอย่างหนัก ก่อนการประกาศตัวเลขอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ซึ่งเรียกว่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนรุนแรง
“หากติดตามค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ Dollar Index จะเห็นสัญญาณของการปรับตัวลงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เพราะเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เริ่มชะลอตัวลง พอมีการประกาศตัวเลขเดือนตุลาคมออกมาทำให้ตลาดเกิดความเชื่อมั่นว่าเงินเฟ้อเริ่มมีทิศทางเป็นขาลงและธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ยแรงหลังจากที่ปรับขึ้นมาในอัตรา 0.75% ถึงสี่ครั้งติดต่อกัน ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์” นายณพวีร์ กล่าว
โดยหลังการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งสามตลาดต่างปรับตัวขึ้นแรงทั้งหมด โดยเฉพาะตลาด NASDAQ บวกขึ้นถึง 7.35% บ่งบอกว่าตลาดมีความเชื่อมั่นว่าการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ครั้งสุดท้ายในเดือนธันวาคม ของปีนี้ อาจจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยลง โดยอาจจะปรับลดเหลือ 0.5%
ขณะที่ดัชนี Dollar Index อ่อนค่าลงจนกลายเป็นทิศทางขาลงในระยะสั้นแล้ว จึงน่าจะเป็นผลบวกต่อสินทรัพย์อื่น ๆ ประกอบกับการเปิดประเทศของหลายประเทศหลังโควิดและในช่วงสิ้นปีที่ผู้คนทั่วโลกออกเดินทาง และมีการจับจ่ายใช้สอยช่วงเทศกาลมากเป็นพิเศษ จึงคาดการณ์ได้ว่าจากนี้จนถึงสิ้นปี ตลาดการลงทุนจะกลับมาคึกคักสร้างผลตอบแทนเป็นบวกจากกิจกรรมเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น
ขณะที่สินทรัพย์ อย่าง ทองคำ ถือเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการอ่อนค่าลงของค่าเงินดอลลาร์ ปัจจุบันราคาทองคำฟื้นตัวขึ้น หลังจากผ่านแนวต้านสำคัญที่ 1,723 ดอลลาร์มาได้ และกำลังขึ้นไปทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันที่ ระดับ 1,800 ดอลลาร์ หากผ่านตรงนี้ไปได้ มีความชัดเจนว่าแนวโน้มราคาทองคำจะดีดกลับเป็นขาขึ้น
ส่วนตลาดคริปโตเคอเรนซี่ ภาพรวมยังเจอแรงกดดันจากปัญหาการขาดสภาพคล่องของ FTX ซึ่งเป็น Exchange อันดับ 2 ของโลก และส่อเค้าจะล้มละลาย ทำให้ตลาดมีความผันผวนสูง โดยล่าสุดราคาบิทคอยน์ร่วงหลุดจุดต่ำสุดเดิมของปีนี้ที่ 17,500 ดอลลาร์ แต่ในระยะสั้น บิทคอยน์ มีโอกาสปรับตัวดีดขึ้น เพราะได้รับประโยชน์จากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งจะเป็นจังหวะทยอยขายทำกำไรในระยะสั้น
อย่างไรก็ดี หากใช้สถิติเดิมจากรอบขาลงครั้งก่อน ราคาบิทคอยน์ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดกว่า 80% ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าราคาอาจปรับตัวลงมาได้ถึงระดับ 13,500 ดอลลาร์ แต่มองว่าราคาใกล้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว นักลงทุนที่มองการลงทุนระยะยาวสามารถทะยอยสะสมได้
“ในระยะยาวปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา คือภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งยังเป็นปัจจัยสำคัญกดดันตลาดหุ้นในระยะยาว โดยสัญญาณของ Recession จะชัดเจนขึ้นหลังจากบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกประกาศผลประกอบการในไตรมาสสาม ดังนั้น นักลงทุนยังต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนเช่นเดิม” นายณพวีร์ กล่าว
ส่วนตลาดหุ้นที่น่าสนใจ คือตลาดหุ้นจีน รวมถึงฮ่องกง เพราะหากพิจารณาในแง่ของ Valuation ค่าเฉลี่ย P/E ของตลาดหุ้นจีนลดลงต่ำกว่าระดับ 10 เท่า ซึ่งเป็นระดับ Valuation ที่ต่ำ เพราะที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนอยู่ในระดับค่า P/E ที่สูงมาตลอดแม้จะได้รับแรงกดดันจากนโยบาย Zero Covid รวมถึงการกีดกันทางด้านเทคโนโลยีจากนโยบายรัฐบาลจีน ดังนั้นมูลค่าของตลาดหุ้นจีนในปัจจุบันที่ลงมาจนอยู่ในระดับที่ต่ำ จึงเป็นโอกาสเข้าลงทุนได้ในระยะยาว
ส่วนตลาดหุ้นเวียดนาม จากต้นปีถึงตอนนี้ปรับตัวลงมาแล้วถึง 40% เหตุผลที่ปรับตัวลงมาจากปัจจัยลบภายในประเทศเวียดนามเอง ถึงแม้ว่าขณะนี้ยังไม่ใช่จังหวะที่จะเข้าไปทะยอยสะสม แต่หากพิจารณาในแง่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ ตลาดหุ้นเวียดนามน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาวเช่นกัน
![]()
บทความ : ณพวีร์ พุกกะมาน
ผนึกกำลังส่งเสริมความร่วมมือข้ามพรมแดน สนับสนุนการฟื้นฟู การเติบโตของภาค SME และการผนึกกำลังของรัฐบาล
ฟิลิปปินส์ ฟินเทค เฟสติวัล (Philippine FinTech Festival หรือ PFF) ซึ่งมีขึ้นเป็นครั้งแรกและจัดนานตลอดทั้งสัปดาห์ เช่นเดียวกับเวิลด์ ฟินเทค เฟสติวัล (World FinTech Festival หรือ WFF) ณ ฟิลิปปินส์ ได้ชูอาเซียนเป็นมหาอำนาจระดับโลกสำหรับนักนวัตกรรม งานนี้มีผู้นำจากภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกเข้าร่วมถึง 200 ราย โดยฟิลิปปินส์ ฟินเทค เฟสติวัล ได้เปิดฉากอาเซียน ฟินเทค มันธ์ (ASEAN FinTech Month) ซึ่งเป็นไฮไลท์สำคัญของงานสิงคโปร์ ฟินเทค เฟสติวัล (Singapore FinTech Festival) ที่เพิ่งปิดฉากไปเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน งานนี้มีดิจิทัล พิลิพินาส (Digital Pilipinas) ซึ่งเป็นขบวนการภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดเพื่อยกระดับเทคโนโลยีของชาติ เป็นผู้ดำเนินการประชุมร่วมกับอีเลวานดี (Elevandi) องค์กรที่ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ก่อตั้งขึ้น เพื่อส่งเสริมการหารือระหว่างภาครัฐกับเอกชนสู่การยกระดับฟินเทค
คุณเดวิด อัลมีโรล (David Almirol) ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของฟิลิปปินส์ ให้คำมั่นกับผู้เข้าร่วมงานว่า "รัฐบาลคือพันธมิตรของคุณในการส่งเสริมความยั่งยืนของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล"
คุณซปเนนดู โมฮันตี (Sopnendu Mohanty) ประธานเจ้าหน้าที่ฟินเทคของธนาคารกลางสิงคโปร์ เปิดเผยว่า "การฟื้นฟู" คือหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ "ธุรกิจขนาดเล็กที่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลจำนวนมาก"
ความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีศักยภาพทางดิจิทัลสูงอย่างฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฮังการี อิสราเอล และญี่ปุ่น ได้ก่อให้เกิดความร่วมมือมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือระหว่างศูนย์ฝึกอบรมทางการค้าแห่งฟิลิปปินส์ในสังกัดกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมกับพร็อกซ์เทรา (Proxtera) ของธนาคารกลางสิงคโปร์ ไปจนถึงข้อตกลงระหว่างดิจิทัล พิลิพินาส กับโครงการส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองทางดิจิทัล (Digitális Jólét) ของฮังการี แอฟฟินิดี (Affinidi) และสำนักงานบริการทางการเงินของอินโดนีเซีย
คุณเว่ย โจว (Wei Zhou) ซีอีโอของ Coins.ph กล่าวว่า "ฐานผู้ใช้ของ PFF ตลอดจนเงินทุนและโครงการต่าง ๆ จะช่วยผลักดัน" ความร่วมมือของอาเซียน
ฟิลิปปินส์ ฟินเทค เฟสติวัล มีผู้เข้าร่วมรวมกันกว่า 5,000 ราย โดยได้หารือเกี่ยวกับความท้าทายและโอกาสต่าง ๆ เกี่ยวกับความร่วมมือทางดิจิทัล บิ๊กดาต้าและปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีประกันภัย การเงินสีเขียว การเงินแบบเปิด NFT อีวอลเล็ต และสกุลเงินดิจิทัล ไปจนถึงเทคโนโลยีการศึกษา ความมั่งคั่ง การตลาด การเกษตร และอสังหาริมทรัพย์
ผู้มีส่วนร่วมในงานฟิลิปปินส์ ฟินเทค เฟสติวัล ประกอบด้วยผู้นำเสนอร่วมอย่าง Coins.ph และผู้ร่วมจัดงานอย่างอีติกา ฟิลิปปินส์ (Etiqa Philippines); อังคัส (Angkas); เพย์มองโก (Paymongo), ยูเนียนแบงก์แห่งฟิลิปปินส์ (UnionBank); ดิจิคูป (digiCOOP); แอนวานซ์ เอไอ (ADVANCE.AI); นินจาแวน ฟิลิปปินส์ (NinjaVan Philippines); เคพีเอ็มจี (KPMG) สาขาฟิลิปปินส์; ยูโน ดิจิทัล แบงก์ (UNO Digital Bank); ครีเอเดอร์ (Creador); โกลบ (Globe); พรูไลฟ์ ยูเค (PruLife UK); อะคิวบ์ ลอว์ (ACUBELAW); กอร์ริซตา แอฟริกา คอชัน แอนด์ ซาเวดรา (Gorriceta Africa Caution & Saavedra); บรังกาส (Brankas); จีแคช (GCash); ซีโอแอล ไฟแนนเชียล (COL Financial) และเซ็นดิต ฟิลิปปินส์ (Xendit Philippines) รวมถึงพันธมิตรรายอื่น ๆ ได้แก่ เทค เอ็กแซกลี (Tech Exactly); สตาร์ทอัพ วิลเลจ (StartUp Village); เบานซ์แบ็ค ฟิลิปปินส์ (Bounce Back Philippines); สมาคมฟินเทคฟิลิปปินส์ (Fintech Philippines Association); ฟินสกอร์ (FinScore); มหาวิทยาลัยมาปัว (Mapua University) และไกเซอร์มากลาง (GeiserMaclang)
ส่วนพันธมิตรภาคสื่อมวลชนประกอบด้วยกลุ่มบริษัทอินไควเรอร์ (Inquirer Group); อินไควเรอร์ โมไบล์ (Inquirer Mobile); อินไควเรอร์ ดอตเน็ต (Inquirer.Net); ฟิลิปปิน เดลีย์ อินไควเรอร์ (Phillipine Daily Inquirer); เดอะ ฟิลิปปิน สตาร์ (The
Phillipine Star); มะนิลา บูลเลติน (Manila Bulletin); ยูไนเต็ด นีออน (United Neon) คอยน์เวสตาซี (Coinvestasi) และคอยน์กีค (CoinGeek)
ผู้นำภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมต่างมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของอาเซียนในฐานะมหาอำนาจทางดิจิทัลระดับโลก
นายแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด เปิดเผยผ่าน “Finnovate Update” รายการใหม่ล่าสุดของกรุงศรี ฟินโนเวต ที่จะมาอัปเดตผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของบริษัท แผนงานในอนาคต และเป้าหมายของบริษัทที่ต้องการบรรลุให้สำเร็จ
· Krungsri Finnovate ทำให้กรุงศรีเป็นธนาคารที่ทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทำงานกับสตาร์ทอัพกว่า 72 บริษัท กว่า 122 โปรเจกต์ และส่งเสริมการทำงานด้านดิจิทัลของกรุงศรีและบริษัทในเครือถึง 38 หน่วยธุรกิจ
· ปัจจุบัน Krungsri Finnovate ลงทุนไปแล้ว 18 บริษัท โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 5,000 ล้านบาท
· บริษัทฯ ได้ตั้ง Finnoventure Private Equity Trust 1 กองทุนมูลค่า 3,000 ล้านบาท กองแรกในไทยที่มุ่งลงทุนในสตาร์ทอัพและเปิดให้นักลงทุนรายบุคคล (UI) ได้ร่วมลงทุน
· Krungsri Finnovate ได้ทุ่มกว่า 1,000 ล้านบาท ลงทุนในสตาร์ทอัพไทยด้าน DeFi ผ่านกองทุน Finnoverse
· และ Krungsri Finnovate จะมุ่งสู่เป้าหมายในการผลักดัน FinTech Startup ให้เติบโตสู่ยูนิคอร์น
แซม ตันสกุล เริ่มต้นในรายการ โดยเปิดเผยว่า ‘Krungsri Finnovate ได้ลงทุนในสตาร์ทอัพมาได้ 5 ปีแล้ว จนหลายๆ คนเริ่มถามว่า ในพอร์ตการลงทุนของเรามียูนิคอร์นอยู่แล้วถึง 2 บริษัท ไม่ว่าจะเป็น Flash Express และ Grab ซึ่งมีความน่าสนใจมาก และนำมาสู่คำถามที่นักลงทุนหลายๆ คนเริ่มถามว่า ถ้าอยากจะร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพเหล่านั้นด้วยต้องทำอย่างไร นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Krungsri Finnovate กลับมาพิจารณาถึงรูปแบบและความเป็นไปได้ว่า จริงๆ แล้ว เราไม่จำเป็นต้องลงทุนเองรายเดียว แต่สามารถสร้างการลงทุนร่วมได้ ซึ่งนำมาสู่การสร้างโมเดลการลงทุนในรูปแบบ Private Equity ที่
เป็นการรวบรวมเงินทุนจากลูกค้าสถาบันรายใหญ่และลูกค้า Private Banking ของธนาคารมาร่วมลงทุนด้วยกัน โดยมีมูลค่าเกือบ 3,000 ล้านบาท โดยในมูลค่าดังกล่าวมีส่วนที่ Krungsri Finnovate ร่วมลงทุนอยู่ด้วยที่ 500 ล้านบาท และบริษัทยังได้พันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง OR ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สยามราชธานี ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ ซึ่งเป็นกลุ่มของมาม่า และยังมี NTT Data ที่เป็น Global Tech จากทางญี่ปุ่นมาร่วมลงทุน เราเรียกกลุ่มนักลงทุนเหล่านั้นว่าเป็น Avengers รวมกับเงินลงทุนจากนักลงทุนในกลุ่ม Private Banking ซึ่งรวมกันทั้งหมดเป็น 3,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในกิจการสตาร์ทอัพทั้งไทยและอาเซียน โดยมีเป้าหมายในการสนับสนุนให้สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพเหล่านั้นโตไปเป็นยูนิคอร์นไปด้วยกัน สำหรับกองทุน Private Equity นี้หลักๆ จะเลือกลงทุนใน 3 ด้านคือ 1) FinTech 2) E-Commerce Tech และ 3) Automative Tech ซึ่งกองทุนนี้จะถูกรู้จักในชื่อ “Finnoventure Fund’
แซม เล่าต่อว่า ‘นอกจากเรื่องของการจัดตั้งกองทุนแล้ว ยังมีในส่วนของการทำโปรเจกต์ความร่วมมือระหว่างกรุงศรีกรุ๊ป กับสตาร์ทอัพด้วย ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยงานในกรุงศรีกรุ๊ปถึง 38 หน่วยงานแล้วที่ได้ร่วมทำงานกับสตาร์ทอัพ โดยมีทีมกรุงศรี ฟินโนเวต เป็นผู้นำเสนอและจับคู่ให้ ในปัจจุบันหน่วยงานต่างๆ เองเล็งเห็นว่าการทำงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีนั้น หากจะกระโดดมาลงมือทำเองต้องใช้ทั้งเวลาและต้นทุนที่สูงมาก ซึ่งกลับกันหากเลือกทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพ ก็จะช่วยลดทอนในเรื่องของทั้งต้นทุนและเวลา ซึ่งอาจจะใช้เวลาเพียง 3-6 เดือน ก็สามารถเริ่มโปรเจ็คใหม่ หรือโซลูชั่นใหม่ได้แล้ว ขณะที่สตาร์ทอัพเองก็มี Mindset พร้อมลุย พร้อมที่จะต่อยอด ปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นที่มาของความสำเร็จในวันนี้ ที่เราได้ทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพมากมายกว่า 72 บริษัท กับอีก 122 โปรเจกต์ เรียกได้ว่าเราทำงานกับสตาร์ทอัพมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของทีมงาน Krungsri Finnovate’
แซม เผยเพิ่มเติมถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้และต้องการบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จว่า “ปัจจุบันจากทั้งหมด 18 กิจการสตาร์ทอัพที่กรุงศรี ฟินโนเวตได้ลงทุนไปนั้น มีสตาร์ทอัพที่เป็นยูนิคอร์นแล้ว 2 ราย ขณะที่อีก 5 สตาร์ทอัพไทยกำลังเตรียมตัวทำ IPO สิ่งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเรามี Track record ที่ดี เราดูแลสตาร์ทอัพในพอร์ตของเราอย่างดี โดยไม่ใช่แค่เพียงเข้าไปลงทุนอย่างเดียวแต่ยังพร้อมสนับสนุนและช่วยเหลืออย่างจริงใจ และคิดเสมอว่าจะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาธุรกิจให้สตาร์ทอัพเหล่านั้นได้อย่างไร ดังนั้นเราจึงไม่ได้เป็น Passive investor แต่เราเป็น Active investor นั่นเอง นอกจากนี้เรายังพยายามหาทางต่อยอดธุรกิจสตาร์ทอัพกับกรุงศรีกรุ๊ป และ Investor ในกลุ่ม Avengers ของเราด้วย ดังนั้น Krungsri Finnovate และ Avengers พร้อมที่จะผลักดันให้สตาร์ทอัพเหล่านั้นเติบโต โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่า
เราจะมี 5 ยูนิคอร์นที่เราสร้างเอง เหมือนกับ Flash ที่เราเลือกลงทุนตั้งแต่ยังไม่เป็นยูนิคอร์น และในที่สุดก็สามารถขึ้นมาเป็นยูนิคอร์นได้ นี่คือเป้าหลักสำคัญของเราครับ”
![]()
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ เผยผลดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2565 ด้วยกระแสเงินสดและผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขาย รวม 2,397 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 87,274 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 106 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 1,350 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 49,160 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 155 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 487 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 17,744 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 360 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นภายใต้อุปทานที่มีจำกัด ประกอบกับรายได้จากธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงานที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งมอบพลังงานที่ดีขึ้นเพื่ออนาคต (Smarter Energy for the Future)
![]()
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานของเราในไตรมาส 3 ปี 2565 มีการเติบโตอย่างน่าพอใจ ทั้งจากความต้องการพลังงานที่ขยายตัวแนวโน้มราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนการขยายตัวของรายได้ที่เริ่มเห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมทั้งจากการขยายการเติบโตในพอร์ตธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงานตามกลยุทธ์ Greener & Smarter และการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve ทั้งด้านที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมพลังงาน รวมไปถึงอุตสาหกรรมที่นอกเหนือจากด้านพลังงานและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยี (Tech Enabler) ซึ่งล่าสุด บ้านปู เน็กซ์ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นเพื่อการลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 25 ในบริษัท อัลโต้เทค โกลบอล จำกัด ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม IoT สำหรับจัดการระบบการใช้พลังงานในอาคารและโรงแรม ต่อยอดโซลูชันเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และลงทุนในกองทุน Smart City Fund II ของ Eurazeo ที่มุ่งเน้นการพัฒนาพลังงานรูปแบบใหม่ และเทคโนโลยีสำหรับภาคอุตสาหกรรม ขณะที่ยังคงเดินหน้าการดำเนินการภายใต้หลัก ESG ที่เรายึดถือมาตลอดอย่างแข็งขัน โดยได้รับรางวัล Sustainability Awards of Honor จากเวที SET Awards 2022 จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 ซึ่งมอบให้กับองค์กรต้นแบบด้านความยั่งยืนในระดับยอดเยี่ยมต่อเนื่องตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป และได้รับคัดเลือกเป็นหนึ่งในรายชื่อหุ้นยั่งยืน (Thailand Sustainability Investment) หรือ THSI ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 จากตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นกัน”
![]()
ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2565 มีรายละเอียดจำแนกตาม 3 กลุ่มธุรกิจหลักได้ดังต่อไปนี้
ด้านกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน (Energy Resources) ธุรกิจเหมือง สร้างโอกาสและรายได้ที่เติบโตจากราคาถ่านหินในตลาดโลกที่ยังคงสูง ขณะที่รายได้จากธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มสูงขึ้น และราคายังคงอยู่ในระดับสูง นอกจากนั้น ในไตรมาส 3 บริษัทฯ ยังสามารถรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อสัดส่วนผลประโยชน์ในแหล่งก๊าซธรรมชาติ XTO Barnett
ขณะที่กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน (Energy Generation) ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน สามารถรักษาอัตราการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะที่โรงไฟฟ้า BLCP ในไทย โรงไฟฟ้า HPC ในลาว และโรงไฟฟ้า Temple I ในสหรัฐฯ ขณะที่ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน สามารถเพิ่มกำลังการผลิตรวมจากพลังงานหมุนเวียนได้ถึง 1,003 เมกะวัตต์
กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน (Energy Technology) ยังคงเร่งเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณท์และบริการ เพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจของกลุ่มบ้านปู (Banpu Ecosystem) ให้แข็งแกร่ง โดยล่าสุดได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลท้องถิ่นในมณฑลเจิ้งติ้ง ประเทศจีน ในการดำเนินโครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา กำลังผลิต 58 เมกะวัตต์ และมีแผนขยายเพิ่มเป็น 167 เมกะวัตต์ในปี 2566
รวมทั้งเข้าถือหุ้น 25% ในบริษัท อัลโต้เทค โกลบอล จำกัด ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม IoT สำหรับระบบจัดการการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมในอาคารและโรงแรม และเข้าลงทุนจำนวน 15 ล้านเหรียญสหรัฐ ในกองทุน Smart City Fund II ของ Eurazeo ซึ่งเป็นบริษัทด้านการลงทุนระดับโลกที่มุ่งเน้นการพัฒนาพลังงานรูปแบบใหม่ สมาร์ทโมบิลิตี้ และเทคโนโลยีสำหรับภาคอุตสาหกรรม
“เรายังคงเพิ่มอัตราเร่งในการสร้างการเติบโตภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter โดยอาศัยการผสานจุดแข็งจากระบบนิเวศด้านพลังงานอย่างครบวงจรของเรา ควบคู่ไปกับการแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตรในธุรกิจต่าง ๆ ที่สามารถพัฒนาความเชี่ยวชาญ ส่งเสริมศักยภาพซึ่งกันและกัน เพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่งและเดินหน้าพัฒนาสู่ความยั่งยืนในระยะยาว” นางสมฤดี กล่าวปิดท้าย
ธนาคารกรุงไทย” เดินหน้าตอบโจทย์ผู้ลงทุน เปิดเทรดทองออนไลน์ครบวงจรกับ “วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล” ร้านทองชั้นนำของไทย ผ่าน Gold Wallet บนแอปฯเป๋าตัง นับเป็นพันธมิตรรายที่ 2 เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ลงทุน ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.65 เป็นต้นไป
นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากความมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการลงทุน เพื่อตอบโจทย์ผู้ลงทุนทุกกลุ่มผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างครบวงจร ครอบคลุมทั้งพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ดิจิทัล และการลงทุนทองคำออนไลน์ ล่าสุด ธนาคารจับมือกับ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ร้านค้าทองชั้นนำของไทย เปิดซื้อขายทองออนไลน์ครบวงจร ผ่านบริการ Gold Wallet บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งนับเป็นพันธมิตรรายที่ 2 เพื่อเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้กับผู้ลงทุน ในการซื้อ-ขาย-ถอนทองออนไลน์ 99.99% ได้แบบเรียลไทม์ สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นไป
ธนาคารมีเป้าหมายพัฒนา Gold Wallet บนแอปฯเป๋าตัง ให้เป็นตลาดซื้อ-ขาย-ถอนทองคำออนไลน์แบบครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทย โดยให้ความสำคัญกับผลประโยชน์สูงสุดของผู้ลงทุน จากการเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2565 ที่ผ่านมา นักลงทุนให้การตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยบริการที่ครอบคลุม ทั้งการส่งคำสั่งซื้อ-ขาย-ถอนทองออนไลน์ พร้อมบริการรายงานความเคลื่อนไหวของราคาทอง และอัตราแลกเปลี่ยน ผ่านช่องทาง Krungthai Connext ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณการเปิดบัญชี Gold Wallet รวมจำนวน 140,000 บัญชี
“ทิศทางการลงทุนทองคำ มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปิดบัญชีและปริมาณการซื้อ-ขายที่เพิ่มขึ้นมาก ธนาคารจึงขยายความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อเพิ่มจำนวนร้านค้าทองใน Gold Wallet และมีแผนขยายความร่วมมือเพิ่มขึ้นอีกเร็วๆนี้ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ลงทุน และสร้างผลตอบแทนการลงทุนกับร้านทองชั้นนำในประเทศ ที่มีความน่าเชื่อถือ มีมาตรฐานทั้งด้านราคา และคุณภาพเพิ่มขึ้น”
ทั้งนี้ การลงทุนทองคำออนไลน์ผ่าน Gold Wallet มีความสะดวก ง่าย และปลอดภัย ด้วยจุดเด่น ซื้อ-ขายทองขั้นต่ำ 0.1 ออนซ์ หรือเท่ากับ 6,000 บาท (ขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลาซื้อ-ขาย) สามารถส่งคำสั่ง ซื้อ-ขาย ผ่านแอปฯเป๋าตัง โดยไม่มีค่าธรรมเนียม สามารถเปิดบัญชีผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่กำหนดวงเงินขั้นต่ำ ซื้อ-ขายทองผ่านแอปฯด้วยสกุลดอลลาร์สหรัฐ USD โดยอ้างอิงราคาตลาดโลก สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา และ Krungthai Contact Center โทร 02-111-1111
![]()
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ บ้านปู ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ มุ่งจุดประกายให้ผู้คนได้เห็นว่าพลังงานที่สมาร์ทและสะอาดสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ที่ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมได้พร้อมสร้างการรับรู้ ‘บ้านปูอยู่ใกล้คุณกว่าที่คุณคิด’ ผ่านแคมเปญ ‘เพลงรักจากพลังงานสะอาด’ โดยใช้ ‘เพลงรัก’ เป็นจุดเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่ให้เข้าถึงพลังงานสะอาดมากขึ้น ด้วยแนวคิดการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในกระบวนการผลิตเพลง ถ่ายมิวสิกวิดีโอ รวมถึงมินิคอนเสิร์ต ที่ลานสีฟ้า สยามสแควร์ ใจกลางกรุงเทพมหานคร ตอกย้ำกลยุทธ์ Greener & Smarter เพื่อบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนด้านพลังงาน และเป็นของขวัญสุดพิเศษเนื่องในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 40 ในปีหน้า โดยมี ‘วี วิโอเลต วอเทียร์’ ศิลปินผู้มีแนวคิดสนับสนุนความยั่งยืนและอยากเห็นโลกที่ดีกว่าเดิมเป็นผู้ถ่ายทอดบทเพลง ‘เป็นเธอ’ (Brighter Sky)
![]()
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แคมเปญนี้เกิดขึ้นจากจุดยืนของแบรนด์ของบ้านปูที่มุ่งส่งมอบพลังงานเพื่อความยั่งยืน และหนึ่งในภารกิจสำคัญคือการนำพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีพลังงาน (Clean Energy & Energy Technology) ที่กำลังเติบโตต่อเนื่องมาขับเคลื่อนธุรกิจและอุตสาหกรรมของโลก นับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายในการนำพลังงานซึ่งดูเป็นเรื่องไกลตัว มาทำให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ไปพร้อม ๆ กับสร้างการรับรู้ว่าพลังงานที่ดีขึ้นเพื่อนาคตจากบ้านปูสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้ และทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ ผ่าน ‘เพลงรัก’ ที่เข้าถึงผู้คนทุกเพศทุกวัย”
“เราอยากให้แคมเปญนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น และให้ทุกคนรู้ว่า ‘บ้านปูอยู่ใกล้คุณกว่าที่คุณคิด’ รวมถึงทำให้ผู้คนให้เห็นว่าธุรกิจพลังงานของบ้านปูไม่ใช่สิ่งที่อยู่ไกลตัวอีกต่อไป เรามี โซลูชันที่เชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนในยุคนี้ได้ และหวังว่าทุกคนจะได้รู้จักบ้านปูในฐานะบริษัทพลังงานไทยที่เติบโตในระดับนานาชาติ มุ่งส่งมอบพลังงานที่ดีขึ้นเพื่ออนาคต (Smarter Energy for the Future) ตอบโจทย์
คุณภาพชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน ภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter เพื่อบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนด้านพลังงาน ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญในเรื่อง ESG (Environment, Social and Governance) ถือเป็นของขวัญสุดพิเศษเนื่องในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 40 ของบ้านปูในปีหน้า”
![]()
ด้านนายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด กล่าวว่า “เพลงรักจากพลังงานสะอาด เป็นแคมเปญที่ใช้ ‘เพลงรัก’ เป็นตัวกลางที่เชื่อมบ้านปูกับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่ ที่มีไลฟ์สไตล์ในรูปแบบ Greener & Smarter ให้มารู้จักกันและใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ทำให้ผู้คนได้เห็นว่าพลังงานที่สมาร์ทและสะอาดสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้ ด้วยการนำพลังงานสะอาดอย่าง ‘พลังงานแสงอาทิตย์’ มากักเก็บไว้ในอุปกรณ์โซลูชันพลังงานจากกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานของบ้านปู เพื่อผลิตไฟฟ้า สำหรับใช้ในทุกขั้นตอนของแคมเปญ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตเพลง ถ่ายมิวสิควิดีโอ รวมไปถึงงานมินิคอนเสิร์ตในวันนี้ ที่ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานพลังงานสะอาดในการสร้างแสง สี เสียง และการแสดงของศิลปินทั้งหมดด้วย”
“นอกจากนี้ เรายังมีโอกาสได้ร่วมงานกับคุณวี วิโอเลต วอเทียร์ ศิลปินจากค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง Universal Music Thailand มาเป็นผู้ถ่ายทอดความตั้งใจและตัวตนของบ้านปู โดยเราคาดหวังว่าแคมเปญนี้จะทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น และสามารถทำให้คนหันมาสนใจพลังงานสะอาดมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เปิดรับแบรนด์บ้านปูเข้าไปอยู่ในใจของทุกคนได้” สินนท์ กล่าวทิ้งท้าย
![]()
SHIN-A หนึ่งในผู้นำทางด้านการตลาดเกมในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล่าสุดได้จับมือร่วมกับ Kyrie & Terra เกม NFT แนว RPG สไตล์ญี่ปุ่น โดยทีมพัฒนาจากบริษัท Center To Seconds ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ผนึกกำลังเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจ เพื่อสร้างสรรค์และเผยแพร่ผลงานเกมคุณภาพสู่ตลาดเกมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การผนึกความร่วมมือในครั้งนี้ก็เพื่อนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ทางด้านการตลาดเกมของ SHIN-A มาผนวกรวมกับประสบการณ์ทางด้านการพัฒนาเกมของทีมงาน Center To Seconds ผู้พัฒนาเกม Kyrie & Terra บนเป้าหมายที่ต้องการเสริมโอกาสต่อกั้นและกัน ที่จะช่วยสร้างศักยภาพเกม NFT ให้ตอบโจทย์ผู้เล่นอย่างแท้จริง รวมไปถึงการขยายฐานกลุ่มผู้เล่นเกมให้รู้จักเกม NFT มากยิ่งขึ้น
![]()
► เกี่ยวกับ SHIN-A
SHIN-A เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Game Marketing และ Game Service ชั้นแนวหน้าของประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มุ่งเน้นไปที่การทำการตลาดออนไลน์และการตลาดแบบ Co-branding รวมถึงการจัดทำแคมเปญการตลาด มีความเข้าใจในกลุ่มตลาด Gen Z, Gen Y และ Gen Alpha เป็นอย่างดี ภารกิจของ SHIN-A คือการเป็นผู้นำในการยกระดับอุตสาหกรรมเกมของประเทศไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล พร้อมพัฒนาอุตสาหกรรมเกมให้เติบโตอย่างยั่งยืน
► เกี่ยวกับเกม Kyrie & Terra
Kyrie & Terra เป็นเกม NFT แนว RPG สไตล์ญี่ปุ่น ACG (Anime, Comic and Games) พัฒนาโดย Center To Seconds ทีมผู้พัฒนาที่เกิดจากการรวมกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญหลากสาขาจากหลายประเทศ ตัวเกมถูกพัฒนาด้วยเทคโนโลยี Web 3.0 มีระบบ Play & Earn ให้ผู้เล่นสนุกกับตัวเกมก่อนและ Earn ในภายหลัง โดยตัวเกมได้เปิดให้เล่น Alpha Test เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นอกจากคุณภาพของเกมและทีมพัฒนาที่มีเชี่ยวชาญ เกม Kyrie & Terra ยังมีพาร์ตเนอร์อีกมากมายที่มาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับโปรเจกต์ ทั้ง SHIN-A ที่เป็นพาร์ตเนอร์ทางด้านการตลาดจากประเทศไทย รวมถึงพาร์ตเนอร์จากประเทศญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกที่พร้อมเสริมทัพให้โปรเจกต์มั่นคงมากยิ่งขึ้น
![]()
ในปัจจุบัน มูลค่าตลาดของเกม NFT ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเพียง 4.6 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมเกมทั่วโลกเฉพาะในส่วนของ PC และ Mobile Games ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 129.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ จะเห็นได้ว่าเกม NFT ยังมีโอกาสในการเติบโตของตลาดและยังสามารถพัฒนาได้อีกอย่างต่อเนื่อง (Source: Newzoo)
ก้าวสำคัญในการจับมือร่วมกันของบริษัท SHIN-A และเกม Kyrie & Terra ในครั้งนี้เป็นการร่วมมือกันในระยะยาวที่จะช่วยเสริมศักยภาพ พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมเกมและอุตสาหกรรมบล็อกเชน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) ให้เติบโตอย่างยั่งยืน เตรียมก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
#SHINAxKyrieandTerra #SHINA #KyrieandTerra #PlayandEarn